คาบเรียนที่แปด “สวัสดีค่ะ มินิคาเฟ่ยินดีต้อนรับค่า”
เสียงทักทายของเจ๊บัวเอ่ยดังขึ้นทันทีที่ผมเปิดประตูร้านเข้าไป
“อ้าว หนูนันท์น่ะเอง สบายดีมั้ยจ๊ะ”
เจ๊บัวเอ่ยถามขึ้นทันทีที่เห็นว่าคนที่เปิดประตูเข้ามาในร้านเป็นผม ผมยกมือไหว้ทักทายพร้อมกับพยักหน้าเป็นคำตอบกลับไปก่อนที่จะเดินเข้าไปนั่งที่โต๊ะข้างๆ เคาน์เตอร์เหมือนทุกครั้ง
“มองหาแบงค์อยู่เหรอจ๊ะ”
เจ๊บัวหันมาถามเมื่อเห็นว่าผมทำท่าชะเง้อมองซ้ายมองขวา ผมยิ้มหัวเราะแห้งๆ กลับไปเป็นคำตอบ เจ๊บัวยิ้มก่อนที่จะรินน้ำเปล่าส่งมาให้ผม
“แบงค์เขาออกไปเอาของให้เจ๊ที่คิวรถน่ะจ้ะ เดี๋ยวก็กลับมาละ มีธุระอะหยังพิเศษมั้ย เดี๋ยวเจ๊โทรตามให้”
เจ๊บัวเอ่ยถามผมก่อนที่จะหันไปหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ผมรีบส่ายหน้าร้องห้ามอย่างรวดเร็วด้วยความเกรงใจทันที
“บ่เป็นหยังครับ ผมรอได้ แค่มารอแบงค์เขาเลิกงานน่ะ ว่าจะชวนไปเป็นเพื่อนซื้อของที่ถนนคนเดินหน่อยน่ะครับ”
ผมตอบกลับไปพร้อมกับสั่งสตรอว์เบอร์รี่ปั่นและบลูเบอร์รี่ชีสเค้กมานั่งทานเล่น
“อ่อ จะชวนไปเดทนี่เอง”
เจ๊บัวพูดด้วยน้ำเสียงมีเลสนัยกลับมา ผมยิ้มกลับไป ในขณะที่ในใจก็ตั้งคำถามขึ้นมาว่า...
เดท คืออะไรวะ
แต่ผมก็ทำได้แค่นั่งนิ่งเงียบๆ ยิ้มตอบกลับไปโดยที่ไม่กล้าจะเอ่ยถาม เพราะเกรงว่าจะโดนหัวเราะ
“ปกติแบงค์เขาเป็นคนหัวรั้นเหรอครับ”
ผมเอ่ยถามขึ้นทันทีที่เจ๊บัวนำสตรอว์เบอร์รี่ปั่นกับบลูเบอร์รี่ชีสเค้กมาเสิร์ฟ
“หืม? มีอะหยังอย่างงั้นเหรอ”
เจ๊บัวเงยหน้าขึ้นมาถามผมกลับด้วยความสงสัยก่อนที่จะนั่งลงยังเก้าอี้ตัวข้างๆ ผมจึงตัดสินใจเล่าเรื่องราวที่แบงค์ตอบตกลงเป็นนักร้องนำและเรื่องที่ผมกังวลใจว่านั่นอาจจะเป็นการรบกวนเวลาของอีกฝ่ายมากเกินไป ทันทีที่เจ๊บัวได้รับฟังเรื่องราวทั้งหมด ก็ลากเสียง อืมมม ยาวในลำคอก่อนที่จะนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง
“จะเรียกว่าหัวรั้น มันก็บ่ถูกเสียทีเดียวนะ”
เจ๊บัวเอ่ยขึ้นมาก่อนที่จะหยิบแก้วน้ำเปล่าขึ้นมาดื่มอึกหนึ่งแล้วจึงหันมามองหน้าผม
“จะว่ายังไงดีล่ะ แบงค์เขาเป็นพวกมุ่งมั่นเวลาตั้งใจจะทำอะหยังมากกว่าน่ะ แล้วทีนี้พอเขาตั้งใจที่จะลงมือทำแล้ว เขาก็จะบ่หยุดจนกว่าสิ่งนั้นจะสำเร็จ มันก็เลยดูเหมือนเป็นคนหัวรั้นไปกลายๆ น่ะล่ะ”
แล้วเจ๊บัวก็ลุกขึ้นไปรับออเดอร์ลูกค้าก่อนที่จะกลับมานั่งลงข้างๆ ผมที่ยังคงขมวดคิ้วอยู่หลังจากที่เสิร์ฟเมนูนั้นเสร็จแล้ว
“แต่เชื่อเถอะ ว่าสิ่งที่แบงค์เขากำลังทำอยู่ มันต้องมีเหตุผลอะหยังสักอย่างแน่ๆ”
“......”
“และเจ๊ก็คิดว่า เจ๊พอจะเดาๆ ได้ว่าเหตุผลที่ว่านั้นคืออะหยัง”
“อะหยังเหรอครับ บอกผมหน่อยสิ”
ผมรีบเงยหน้าขึ้นถามเจ๊บัวที่ตอนนี้กำลังทำหน้ายิ้มอย่างมีเลศนัยด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“บอกไปก็บ่สนุกสิ”
เจ๊บัวอมยิ้มตอบกลับมา ผมจึงได้แต่ถอนหายใจเบาๆ ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้นก่อนที่จะตัดเค้กเข้าปาก
“เจ๊คิดว่าแบงค์เขาคงมีเหตุผลส่วนตัวด้วยล่ะ เขาเลยยังบ่บอกใคร ถ้าขืนเจ๊บอกออกไป จะกลายเป็นว่าเจ๊ไปทำลายความตั้งใจของแบงค์เขาทางอ้อมด้วยน่ะ เพราะงั้นคงบ่โกรธเจ๊นะจ๊ะ ที่เจ๊บ่บอก”
เจ๊บัวยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยน ผมจึงได้แต่นิ่งเงียบ
“แล้วผมควรจะทำยังไงต่อไปดีล่ะครับ”
ผมเอ่ยถามด้วยสีหน้าวิตกเล็กน้อยพลางหยิบสตรอว์เบอร์รี่ปั่นขึ้นมาดูด เจ๊บัวอมยิ้มเล็กๆ ให้ผมหลังจากที่นิ่งเงียบครุ่นคิดไปครู่หนึ่ง
“เป็นตัวของตัวเองจ้ะ”
“ว่ายังไงนะครับ”
ผมถามกลับไปด้วยความสงสัย ในขณะที่เจ๊บัวยังคงยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยน
“ก็อย่างที่บอก ว่าแบงค์เขาคงมีเหตุผลส่วนตัวของเขา เราคงทำอะหยังบ่ได้หรอก เพราะงั้นเราก็ทำตัวตามปกติไปน่ะล่ะ”
“แต่ว่า...”
“ถ้าอยากจะช่วยจริงๆ...”
เจ๊บัวเอ่ยแทรกขึ้นมาก่อนที่จะหยิบแก้วน้ำเปล่าขึ้นดื่มอีกรอบ
“แค่คอยอยู่เคียงข้างเขา ดูถึงความตั้งใจในสิ่งที่เขาทำ ส่วนผลลัพธ์สุดท้ายมันจะเป็นอย่างไร ก็ค่อยว่ากันอีกที”
ทันทีที่เจ๊บัวพูดจบก็ลุกขึ้นไปคิดเงินให้ลูกค้า ปล่อยให้ผมนิ่งเงียบและพยายามทบทวนในสิ่งที่เจ๊บัวพูดเมื่อครู่
เหตุผลอย่างนั้นเหรอ
แต่เหตุผลอะไรวะ
“บ่ต้องไปคิดมากอะหยังให้วุ่นวายหรอกจ้ะ”
เจ๊บัวเอ่ยขึ้นหลังจากที่คิดเงินลูกค้าเสร็จแล้ว
“เป็น ตัว ของ ตัว เอง แค่นั้น”
เจ๊บัวพยายามพูดช้าๆ เน้นคำชัดๆ พร้อมกับกุมมือผมเอาไว้แน่น
“กลับมาแล้วครับเจ๊ ได้ของมาละเน่อ อะ อ้าว นันท์ มาได้ไงน่ะครับ”
แบงค์หันมาถามทันทีที่เห็นผม ผมยิ้มแห่ะๆ กลับไปแทนคำทักทาย
“ก็มาชวนเราไปเป็นเพื่อนซื้อของที่ถนนคนเดินยังไงล่ะ เอาของวางไว้ตรงนั้นเลยนะ แล้วก็ไปเก็บของได้เลย อีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เราก็ออกงานแล้ว เพราะงั้นไปเลย เจ๊อนุมัติ เร็วๆ ด่วนๆๆๆ ด่วนเลย อย่าให้คนสวยอย่างเจ๊ต้องพูดมาก บ่อยากพูดเยอะ เจ็บคอ”
เจ๊บัวออกคำสั่งใส่แบงค์ทันทีด้วยความรวดเร็ว ทำเอาคนถูกสั่งถึงกับออกอาการงงๆ ตั้งตัวไม่ทันพร้อมกับเอามือเกาหัวแกรกๆ ด้วยความสงสัยก่อนที่จะเดินเข้าไปด้านใน ผมหยิบเงินออกมาจ่ายค่าขนม ไม่นานนักแบงค์ก็เดินออกมา
“งั้นผมไปก่อนนะเจ๊ เสาร์หน้าเจอกัน”
แบงค์หันไปบอกลาให้กับเจ๊บัว ก่อนที่จะหันมาทางผม
“ไปกันครับ”
แบงค์หันมาบอกพร้อมกับยื่นฝ่ามือหนามาทางผม ผมจับมือของแบงค์ไว้เพื่อฉุดตัวเองให้ลุกขึ้นยืน
“ผมไปก่อนนะครับเจ๊บัว”
ผมกล่าวลาพร้อมกับยกมือไหว้ เจ๊บัวหันมารับไหว้และยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยน
“ว่าแต่จะไปซื้ออะไรเหรอครับ”
แบงค์หันมาถามผม
“บ่รู้”
“ห๊ะ?”
อีกฝ่ายหันมาขมวดคิ้วใส่ผมทันทีที่ได้ยินผมตอบเช่นนั้น
“ก็แค่กูบ่ได้ไปถนนคนเดินนานแล้วน่ะ ก็เลยอยากไปเดินเล่นเฉยๆ มึงไปเป็นเพื่อนกูหน่อยได้ปะวะ”
ผมยิ้มหัวเราะ แบงค์เองเมื่อได้ยินเช่นนั้น ก็ยิ้มตอบกลับมาพร้อมกับเอามือมายีหัวผมเบาๆ
“ไปก็ได้ครับ ถ้านันท์ชวน อีกอย่าง ผมก็กำลังอยากได้ต้นกระบองเพชรเพิ่มอยู่พอดี...”
“แบงค์ หนูนันท์”
เสียงของเจ๊บัวเอ่ยเรียก ในขณะที่พวกเราทั้งสองคนกำลังจะเปิดประตูร้านออกไป ผมกับแบงค์หันกลับไปมองด้วยความสงสัย
“เดทให้สนุกนะจ๊ะ”
“เจ๊!!!”
แบงค์รีบเอ่ยขึ้นทันทีที่ได้ยินเจ๊บัวพูดเช่นนั้นด้วยสีหน้าเขินอาย ในขณะที่เจ๊บัวก็ยิ้มหัวเราะเบาๆ ให้กับพวกเราสองคนส่วนผมน่ะเหรอ ก็ได้แต่ทำหน้างงๆ เอ๋อๆ อยู่น่ะครับ ก่อนที่จะเดินตามแบงค์ออกจากร้านไป
“ว่าแต่ มึงสะสมต้นกระบองเพชรด้วยเหรอวะ”
“ก็พอจะมีอยู่บ้างน่ะครับ แต่อยากจะได้เพิ่มอีก ทำไมเหรอครับ”
“บ่ๆ ก็แค่ถามดูเฉยๆ น่ะ”
แบงค์เอามือมายีหัวผมเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดนั้นของผม ก่อนที่จะหันกลับไปแล้วเดินนำผมต่อ
หากอ่านมาถึงตรงนี้แล้ว คงกำลังคิดสงสัยอยู่ใช่ไหมล่ะครับ ว่าหลังจากเรื่องราวที่สนามบาสคืนนั้นแล้ว เกิดอะไรขึ้นต่อระหว่างผมกับแบงค์
ก็ขอตอบตรงๆ เลยครับว่า
ไม่มีเกิดอะไรขึ้นทั้งนั้นครับ
ยอมรับครับว่าผมยังมีอาการเขินอายอยู่บ้าง ตอนแรกคิดมากสุดๆ แต่กลายเป็นว่าแบงค์เองดูจะไม่ได้รู้สึกติดใจอะไรยังไงไม่รู้ เพราะดูเจ้าตัวก็ยังคงทำตัวตามปกติเหมือนเช่นทุกวันที่ผ่านมา พอมาคิดดูอีกที มันก็น่าจะเป็นเรื่องปกติของผู้ชายล่ะมั้ง แหม ก็ยังหนุ่มยังแน่นอยู่นี่เนอะ เพราะงั้นจึงตัดจบไปอย่างง่ายๆ กร๊ากกก
“......”
เอ่อ... แต่ถ้าจะว่ากันตามความเป็นจริงแล้ว มันก็พอจะมีเรื่องให้พูดถึงอยู่นิดหน่อยนะ แต่ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างเลยคิดว่าถ้าเล่าตอนนี้คงยังไม่เหมาะเป็นแน่ เพราะงั้นถ้ามีโอกาสผมจะกลับมาเล่าให้ฟังทีหลังแล้วกันนะ
แหม ก็อยากที่บอกไง ว่านิยายเรื่องนี้เป็นนิยายใสๆ เพราะงั้น ก็เลยทำให้ยังเล่าตอนนี้ไม่ได้ วะฮ่าฮ่าฮ่า
เอาล่ะตัดกลับมาเข้าสู่ภาคปกติกันดีกว่า ก่อนที่จะออกทะเลไปไกล
เป็น ตัว ของ ตัว เอง
คำพูดของเจ๊บัวผุดขึ้นมาในหัวผม ผมย้อนคิดกลับไปยังเหตุการณ์ที่ผมกับเจ๊บัวคุยกันเมื่อครู่ แล้วจึงเงยหน้าขึ้นมองแบงค์ที่ตอนนี้ยังคงเดินนำหน้าผมไปยังลานจอดรถอยู่
“มึง”
“ครับ?”
“เดทคืออะหยังวะ”
ผมเอ่ยถามแบงค์ทันทีด้วยความสงสัย เพราะคิดว่าอีกฝ่ายคงไม่กล้าด่าหรือหัวเราะผมแน่ๆ หากผมถาม แบงค์หันมามองผมด้วยสีหน้าตกใจเล็กน้อย ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าจะตกใจทำไม
“ไม่รู้ความหมายจริงๆ เหรอครับ”
“ไอ้ที่แปลว่าตายใช่ปะวะ”
“นั่นมันเดธที่สะกดด้วยตัวดี อี เอ ที เอชครับ คนละความหมายกันเลย”
“งั้นกูก็บ่รู้แม่งละ สรุปมันแปลว่าอะหยังวะ”
ผมขมวดคิ้วพ่นลมหายใจออกทางจมูกเล็กน้อยด้วยท่าทีหงุดหงิด แบงค์ยกนิ้วชี้ขึ้นมาเกาจมูกตัวเองเบาๆ ทีหนึ่ง
“เอ่อ...เดท...คือ...เอ่อ...”
แบงค์ออกอาการอึกอักๆ เล็กน้อย ในขณะที่สายตาก็ดูเหมือนจะพยายามมองหลบไปทางอื่น
“คือ ไปเที่ยว...แบบ...อ่า...ไปเที่ยวน่ะล่ะครับ ไม่มีไรมาก ไปเที่ยวน่ะ เจ๊แกหมายถึงให้เราไปเที่ยวให้สนุกๆ น่ะ”
แล้วเจ้าตัวก็หันหลังกลับไปด้วยความรวดเร็ว ในขณะที่ผมก็ได้แต่พยักหน้าให้กับความรู้ใหม่
เดท คือ ไปเที่ยว โอเคๆ ความรู้ใหม่ อย่างนี้ต้องจด
“มึง”
“ครับ?”
แบงค์หันมาอีกรอบทันทีที่ได้ยินผมเอ่ยเรียก ผมยิ้มมุมปากเล็กๆ กลับไปให้
“งันวันนี้ มึงกับกูไปเดทกันให้สนุกเลยนะเว้ย”
แบงค์นิ่งอึ้งเงียบไปครู่ ในขณะที่ผมยังคงยิ้มมุมปากด้วยความมั่นใจอยู่ จนอีกฝ่ายอมยิ้มหัวเราะเบาๆ ตามไปด้วยพร้อมกับเอามือมายีหัวผมเล่น แล้วจึงเดินนำหน้าผมไป
ถึงแม้ผมจะไม่รู้ว่าเหตุผลของแบงค์นั้นคืออะไร แต่ก็คิดว่าหากนั่นเป็นสิ่งที่อีกฝ่ายทำแล้วมีความสุข ผมก็ไม่สมควรที่จะไปคิดมากหรือไปขัดขวาง เพราะงั้นก็เป็นตัวของตัวเองอย่างที่เจ๊บัวเอาไว้นั่นล่ะ น่าจะดีที่สุด
ถนนคนเดิน
“ว่าแต่มาถนนคนเดินเนี่ย แต่ไม่รู้จะซื้ออะไรจริงๆ เหรอครับ”
แบงค์หันมาเอ่ยถามผมอีกรอบหลังจากที่หาที่จอดรถได้แล้ว
“ก็อย่างที่กูบอก กูแค่อยากมาเดินเล่นน่ะ อาจจะหาซื้ออะหยังกินด้วยล่ะมั้ง”
ผมตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มแห้งๆ แบงค์เองเมื่อเห็นเช่นนั้น ก็ยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยนพร้อมกับเอามือมายีหัวผมเบาๆ ก่อนที่จะเดินนำหน้าผมไปยังถนนคนเดิน
หากจะพูดถึงเชียงใหม่ อย่างหนึ่งที่ต้องพูดถึงนั่นคือ ‘ถนนคนเดิน’ ซึ่งถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันดับแรกๆ ที่นักท่องเที่ยวจะพูดถึงโดยเฉพาะอย่างยิ่งถนนคนเดินท่าแพ ที่จะเปิดทุกๆ วันอาทิตย์ โดยทางเทศบาลเชียงใหม่จะทำการปิดบริเวณตั้งแต่ประตูเมืองท่าแพต่อไปยังถนนราชดำเนินและถนนพระปกเกล้าอีกส่วนหนึ่ง เพื่อให้ชาวบ้านนำสินค้าหัตถกรรมของกินของใช้ต่างๆ มาวางขาย จึงเป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ หากใครมีโอกาสได้แวะมาเที่ยวเชียงใหม่ ผมขอแนะนำถนนคนเดินท่าแพเลยครับ รับรองว่าจะต้องติดใจอย่างแน่นอน ขอเอาหัวของไอ้เหี้ยเต้ยเป็นประกัน ฮ่าฮ่าฮ่า
“ว่าแต่เมื่อกี๊มึงบอกว่าจะซื้อต้นกระบองเพชรใช่ปะวะ”
“ครับ”
“แล้วมันอยู่ตรงไหนล่ะ”
ผมถามด้วยความสงสัยในขณะที่สายตาก็มองดูสินค้ามากมายที่เรียงรายอยู่ทั้งซ้ายและขวา แต่จะให้ความสนใจกับพวกของกินมากเป็นพิเศษ ฮ่าฮ่าฮ่า แหม ก็กองทัพมันต้องเดินด้วยท้องสิ จริงมั้ยครับ
“ก็ทางฝั่งเส้นที่จะไปท่าแพน่ะครับ ระวังหน่อยนะครับ คนเยอะ”
แบงค์หันมาบอกผมในขณะที่เราทั้งสองกำลังจะเดินผ่านโซนรับจ้างวาดรูปเหมือนที่คนจะเยอะเป็นพิเศษ ด้วยความที่ผมนั้นมีขนาดพกพาสะดวกแบงค์จึงเอาตัวกันผมไว้จากคลื่นฝูงชนนักท่องเที่ยว ซึ่งก็ทำให้ผมสามารถเดินผ่านไปได้โดยไม่ถูกเบียดหายหรือโดนเหยียบตายไปเสียก่อน ซึ่งพอพูดแบบนี้แล้วก็รู้สึกอนาถใจในความสะดวกพกพาของตัวเองยังไงก็ไม่รู้แฮะ เฮ้อออ
“ขอบใจมึงมากนะ”
แบงค์ยีหัวผมเบาๆ เมื่อได้ยินคำขอบคุณนั้นจากผม
“เอ่อ...จับมือ...กันมั้ยล่ะครับ”
แบงค์หันมาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักเล็กน้อยพร้อมกับยื่นมือมาทางผม ผมหันไปมองทางข้างหน้า ก็พบว่าคนยังค่อนข้างเยอะและเบียดเป็นพิเศษ
“ไอ้สัส อายเขา”
ผมตอบกลับไปด้วยอาการเขินอายพอสมควร เพราะคิดๆ ดูแล้วการจะให้มาเดินจับมือกันท่ามกลางผู้คนมากมายแบบนี้มันก็เป็นอะไรที่น่าอายไม่ใช่น้อยโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ชายด้วยกันแล้วเนี่ย คนอื่นเขาจะมองว่าประหลาดเอาได้น่ะสิ
“แบบนี้ดีกว่า”
พูดจบผมก็มือข้างหนึ่งของตัวเองไปคล้องแขนแบงค์เอาไว้ ส่วนอีกข้างก็จับแขนอีกฝ่ายเอาไว้เแน่น เจ้าตัวหันมามองผมพร้อมกับนิ่งเงียบไม่พูดอะไรครู่หนึ่ง ก่อนที่จะอมยิ้มเล็กๆ แล้วจึงเดินนำเข้าไปในฝูงชนนั้นโดยมีผมเกาะแน่นตามไปติดๆ
โครก~~~
เสียงท้องร้องของผมดังขึ้นหลังจากที่ผ่านพ้นคลื่นมหาชนมาได้อีกรอบ แบงค์หันมามองหน้าผมพร้อมกับขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ในขณะที่ผมได้แต่หัวเราะแห้งๆ กลับไป
“หาอะไรกินที่วัดพันอ้นก่อนมั้ยครับ”
แบงค์เอ่ยถามผมด้วยรอยยิ้ม ผมพยักหน้าเป็นคำตอบกลับไป
หลังจากที่เราทั้งสองหาอะไรกินกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว แบงค์ก็พาผมไปยังวัดสำเภาซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามกับวัดพันอ้น ก่อนที่จะตรงดิ่งไปยังแผงขายต้นกระบองเพชร แบงค์พยายามเลือกต้นกระบองเพชรที่มีอยู่มากมายด้วยความตั้งใจ ในขณะที่ผมเองยังคงสอดส่ายสายตามองไปยังร้านขายของกินที่ตั้งอยู่รายล้อม คือก็อิ่มแล้วนะ แต่ยังกินได้อีกว่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า
“ต้นกระบองเพชรนี่ต้องเลี้ยงยังไงถึงจะออกดอกวะ”
ผมเอ่ยถามออกไปพร้อมกับก้มมองดูเจ้าต้นกระบองเพชรต้นน้อยๆ ที่มีรูปร่างแตกต่างกันในแต่ละกระถาง
“ก็...หลักๆ ก็แสงแดดน่ะครับ ถ้าเลี้ยงให้โดนแสงก็จะออกดอกไวหน่อย แต่ทั้งนี้่ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ด้วย บางสายพันธุ์ก็จะออกดอกตามฤดูกาลของมันไม่เหมือนกัน”
แบงค์พยายามอธิบายให้ผมฟังพร้อมกับหยิบต้นกระบองเพชรขึ้นมาพิจารณา ผมเองก็พยักหน้าพอจะเข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายอธิบาย
“ไม่ลองเลี้ยงดูมั่งเหรอครับ”
แบงค์หันมาถาม ผมทำหน้านิ่งเลิกคิ้วขึ้นสูง
“เอ่อ อย่าเลยจะดีกว่า กูเคยเลี้ยงเมื่อตอนเด็กๆ แบบแม่ซื้อมาให้น่ะ แต่ก็ทำมันตาย ก็เลยบ่กล้าเลี้ยงอีกว่ะ”
ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเศร้า แบงค์เองเมื่อเห็นเช่นนั้นก็วางต้นกระบองเพชรแล้วหันหน้ามาหาผม
“งั้นเอาแบบนี้ก็ละกัน นันท์เลือกมาให้ผมหน่อยครับ สองต้น ต้นไหนก็ได้”
ผมส่งเสียง “ห๊ะ” เบาๆ ทันทีที่ได้ยินอีกฝ่ายพูดเช่นนั้น
"ก็ถ้านันท์ไม่กล้าเลี้ยง ผมก็เลยจะเลี้ยงให้ยังไงล่ะครับ นันท์เลือก ผมจ่ายเงินเอง แต่ถือว่าเป็นของนันท์"
แบงค์พยายามอธิบายพร้อมกับยิ้มให้ผมด้วยสีหน้าที่ดูแล้วจะรู้สึกสนุกกับสิ่งที่ตัวเองพูดออกมา ผมเองเมื่อได้ฟังก็รู้สึกว่าเป็นไอเดียที่ดีเหมือนกันแฮะ จึงหันไปพิจารณาเจ้าต้นกระบองเพชรที่เรียงรายมากมายอยู่ในกระบะ
ต้นนั้นก็สวย ต้นนี้ก็แปลก เอาต้นไหนดีหว่า
ผมใช้เวลาเลือกนานพอสมควรโดยที่มีแบงค์ยืนคอยอยู่ข้างๆ อย่างเงียบๆ
“อะ งั้นเอาอันนี้ก็ละกัน”
ผมหยิบต้นกระบองเพชรขึ้นมาสองกระถางก่อนที่จะยื่นไปให้อีกฝ่าย แบงค์รับมันไปพร้อมกับยิ้มให้เจ้าต้นกระบองเพชรสองต้นนั้น
“ไปอยู่กับไอ้แว่นหนาก็โตไวๆ นะ เจ้าคิริโตะ กับ อาสึนะ”
“ห่ะห๊ะ?”
แบงค์เงยหน้ามามองผมด้วยความสงสัยทันทีที่ได้ยินผมพูดเช่นนั้น
“ก็ชื่อของมันไง”
ผมชี้ไปยังเจ้าต้นกระบองเพชรน้อยๆ ทั้งสองต้นนั้น
“ทางซ้ายนี่ชื่อคิริโตะ ทางขวานี่ก็อาสึนะ”
“เอ่อ...ปกตินอกจากสัตว์เลี้ยงแล้วเนี่ย คนเราเขาตั้งชื่อให้ต้นไม้แบบนี้ด้วยเหรอครับ”
แบงค์เอ่ยถามผมด้วยความสงสัยและลังเลพอสมควร ผมเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายพร้อมกับขมวดคิ้วเล็กน้อย
“อ้าว เขาบ่ตั้งกันเหรอวะ”
“ปกติก็คิดว่าไม่นะครับ”
แบงค์ส่ายหัวเบาๆ พร้อมหันไปมองยังทางคนขาย
“......”
“......”
“......”
เงียบ ไม่มีคำพูดใดๆ ออกมาทั้งจากผมและแบงค์ รวมไปถึงคนขายด้วย...
“บ่รู้ล่ะ ก็กูจะตั้งชื่อให้มันอะ ก็ไหนๆ มึงบอกว่าเป็นของกูนี่”
ช่างเป็นการตัดบทที่เหี้ยและมักง่ายมากๆ
ผมยังคงพยายามยืนกรานในความคิดนั้น ถึงแม้ความจริงแล้วจะรู้สึกเขินอายเล็กน้อยก็ตามที
“ว่าไงก็ว่าตามกันครับ”
แบงค์หัวเราะเบาๆ ก่อนที่จะส่งมันต่อไปยังคนขาย ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่านะ แต่ดูเหมือนจะแอบเห็นคนขายกำลังพยายามกลั้นหัวเราะด้วย
“ว่าแต่ ไอเจ้าชื่อ...คิ...”
“คิริโตะกับอาสึนะ”
“เอ้อ นั่นล่ะครับ คิริโตะกับอาสึนะ มันมีที่มาจากไหนเหรอครับ”
แบงค์หันมาถามผมในขณะที่มือก็หยิบเงินจากกระเป๋าจ่ายให้กับคนขาย
“ชื่อพระเอกนางเอกการ์ตูนที่ดูอยู่ตอนนี้น่ะ เรื่องซอร์ด อาร์ท ออนไลน์ บ่เคยดูเหรอวะ”
แบงค์ส่ายหัวกลับมาเป็นคำตอบ ผมเองก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง และคิดว่าหากอธิบายต่อคงยาวแน่ เพราะพอลองนึกดูดีๆ ก็คิดว่าแบงค์เองก็ไม่น่าจะเป็นคนที่ชอบอ่านการ์ตูน ดูอนิเมะหรือเล่นเกมเหมือนผมเท่าไหร่นัก
“เออ ช่างเถอะว่ะ เอาเป็นว่าตามนี้นะ”
ผมตัดบทพร้อมกับหยิบเจ้าต้นกระบองเพชรที่ห่อและใส่ถุงเรียบร้อยแล้วจากคนขาย ก่อนที่จะส่งมันให้แบงค์
“ฝากด้วยนะเว้ย ดูแลมันดีๆ ล่ะ”
ผมยิ้ม แบงค์เองเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ก้มมองต้นกระบองเพชรทั้งสอง พร้อมกับนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมามองผม
“ไม่ต้องเป็นห่วงครับ ผมจะดูแลให้ดีที่สุด ให้สุดความสามารถที่ผมมีเลยครับ”
แบงค์ตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มที่ดูสดใสก่อนที่จะยกมือมายีหัวผมเบาๆ
“จะไปไหนต่อมั้ยครับ”
แบงค์เอ่ยถามผมพลางหันมองไปยังรอบๆ บริเวณ
“ก็บ่มีที่ไหนเป็นพิเศษนะ เอาเป็นว่าวันนี้เดินให้ทั่วทั้งสี่ทิศเลยดีมั้ย”
“แล้วอย่าบ่นว่าปวดขานะครับ”
แบงค์บอกผม ก่อนที่จะเดินนำหน้าออกไป ผมรีบสอดมือตัวเองเข้าไปคล้องแขนอีกฝ่ายเอาไว้ทันทีอย่างรวดเร็วเจ้าตัวก้มมามองผมครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่พูดอะไรก่อนที่เราทั้งสองจะเดินฝ่าเข้าไปยังฝูงชนมากมายที่มาเดินเที่ยวถนนคนเดินในวันนี้
แต่ผมก็ไม่กลัวว่าจะโดนเหยียบตายแต่อย่างใด
เพราะผมเกาะแขนแบงค์ไว้แน่นแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า
จบคาบเรียนที่แปด
มุมแคปชั่นไร้สาระPower Bank ได้เพิ่มรูปภาพใหม่
โตไวๆ สูงไวๆ นะครับ
นันทการ ถูกใจสิ่งนี้นันทการ : มึงหมายถึงต้นกระบองเพชร หรือหมายถึงกูกันแน่วะ
Power Bank : ทั้งคู่เลยครับ
(Oat Inwศาสตร์ถูกใจสิ่งนี้)นันทการ : ......