หลงตะวัน : 9
[ Shogun’s Part ]
ซันเคยมีประวัตินอกใจ...
เรียกเป็นประวัติได้มั้ยนะ ในเมื่อมันไม่ใช่ความจริง
สมัยมัธยม มันคงเป็นเรื่องปกติที่เรื่องรักๆ ใคร่ๆ จะน่าสนใจกว่าเนื้อหาวิชาการในบทเรียน โดยเฉพาะกับหนุ่มหล่อตัวท็อปอย่างเขา ที่ไม่ว่าจะขยับตัวไปทางไหนก็มีแต่คนจับตามอง ชีวิตรักของซันกลายเป็นเรื่องสาธารณะโดยที่เขาไม่ได้ตั้งใจ... ซันกำลังคบใคร หรือเพิ่งเลิกกับใครมักกลายเป็นหัวข้อที่หลายๆ วงสนทนายกมาพูดกัน
แต่มีครั้งหนึ่งที่มันกลายเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์... เรื่องที่ซันเลิกกับดาวโรงเรียนเพราะว่าแอบนอกใจ... ใครๆ ก็พูดแบบนั้น
ข่าวลือไปในทิศทางเดียวกัน และเขาก็ไม่คิดจะโต้แย้งใดๆ
ซันกลายเป็นเสือผู้หญิง คนหลายใจ เป็นคาสโนว่าตัวพ่อ... หรืออะไรก็ตามแล้วแต่คนจะนิยาม แปลกดีที่พอมีข่าวลือแบบนั้น คนกลับเข้าหาเขามากกว่าเดิม ทั้งผู้หญิงที่เห็นว่าฉายาเหล่านั้นยิ่งขับให้เขาดูมีเสน่ห์ และผู้ชายที่เห็นค่านิยมของการคบซ้อนเป็นเรื่องเท่มากกว่าการรักเดียวใจเดียว
แปลกดี... ที่พอเป็นเขา ใครๆ ก็พากันหลับหูหลับตาเข้าข้างกันไปหมด ยกเว้นผม...
จำได้ว่าตอนนั้นตัวเองได้แต่ประณามเขาอยู่ในใจ ที่ต่อให้ข่าวลือกระพือแรงแค่ไหน เจ้าตัวก็ดูจะไม่เดือดเนื้อร้อนใจอะไรเลย มันกลายเป็นเรื่องตลกขบขันที่เขาไม่คิดจะใส่ใจ หงุดหงิดแทบบ้าตอนที่เห็นว่าถึงจะเป็นอย่างนั้น คนเดียวที่พยายามแก้ข่าวให้เขาก็คือตรี... ผู้ชายแสนดีที่เป็นรักแรกของผม ตอนนั้นผมคิดว่าตรีปกป้องเขามากเกินไป ทำไมถึงให้ท้ายผู้ชายเห็นแก่ตัวคนนั้นอยู่ได้ ทำไมถึงยังรักเขา ทั้งที่เห็นอยู่ว่าเขาไม่มีความซื่อสัตย์
ผมเอาแต่คิดแบบนั้น จนกระทั่งความจริงปรากฏขึ้นมาว่าไม่มีการนอกใจ... ข่าวลือที่เกิดเป็นเพียงเรื่องที่กุขึ้นมาอย่างสนุกปากของคนที่พยายามสร้างเหตุผลลมๆ มาตอบคำถามว่าคนสองคนที่เพอร์เฟ็กต์มากๆ จะเลิกกันทำไมเท่านั้น มันกลายเป็นลมหวนที่พัดกลับทิศทาง... ทว่าผลลัพธ์ไม่ต่างกันเท่าไหร่
ไม่ว่ายังไงซันก็คือซัน... พระอาทิตย์ดวงเดิมที่ฉายแสงสว่างสดใสโดยไม่หวั่นไหวกับกระแสลมใดๆ
ในขณะที่ผมกลับมาทบทวนตัวเอง และถูกโจมตีด้วยความรู้สึกผิดกับความคิดไร้สาระที่เกิดขึ้นเพียงเพราะอคติบังตา... เชื่อตามข่าวลือบ้าๆ พวกนั้นได้ยังไง ในเมื่อผมสังเกตเขามาเป็นปีๆ ย่อมรู้ดีว่าผู้ชายคนนี้จริงใจไม่แพ้ใคร
ยิ่งได้รู้จัก ได้ใกล้ชิด ได้เห็นทุกการกระทำ ได้ยินทุกคำพูด รับรู้ทุกอย่างที่สื่อผ่านแววตา ผมก็ได้แต่บอกตัวเองว่า ถ้าไม่เชื่อเขา... บนโลกนี้ผมก็คงไม่สามารถเชื่อใครได้อีกแล้วจริงๆ
ซันโกหกไม่เก่งเลยสักนิด... ต่อให้พยายามแค่ไหน สุดท้ายเจ้าตัวก็จะเป็นฝ่ายหลุดความจริงออกมาไม่ทางใดก็ทางหนึ่งอยู่ดี
ดังนั้นในวินาทีที่เขาอธิบายเรื่องภาพถ่ายที่ผู้หญิงคนนั้นส่งมาให้ ผมจึงเชื่อทุกคำพูดของเขาโดยไร้ข้อแม้... จะว่าใจง่ายก็ได้ แต่ผมมั่นใจว่าไม่เห็นร่องรอยการโกหกใดๆ ในแววตาคู่นั้นของเขาที่จ้องมาอย่างซื่อตรง
“ห้องสะอาดจัง” หลังจากเอาแต่คิดเรื่อยเปื่อยตลอดทาง นั่นคือคำพูดแรกที่ผมเอ่ยออกมาหลังจากที่ซันเปิดประตู เดินนำผมเข้ามาในห้องของตัวเอง
ห้องสีขาวสะอาด กับเฟอร์นิเจอร์สีน้ำตาลอ่อนดูอบอุ่นสบายตา กับข้าวของที่จัดเรียงเป็นระเบียบเรียบร้อยค่อนข้างต่างจากที่ผมจินตนาการ... คิดว่าจะรกกว่านี้ซะอีก
“จ้างแม่บ้านไง” แต่เขาก็ทำลายภาพลักษณ์คุณชายเจ้าระเบียบของตัวเองลงด้วยการหันมาพูดขำๆ พลางจับหัวผมโยกไปมา
แต่ผมสนใจสิ่งอื่นเกินกว่าจะปัดมือเขาออกไป ยังคงกวาดมองไปทั่วห้องที่บ่งบอกความเป็นตัวตนของเขาราวกับจะเก็บทุกรายละเอียดไว้ด้วยสายตา... มันเป็นครั้งแรกเลยที่ผมได้มาห้องของซัน เพิ่งสังเกตเหมือนกันว่าตั้งแต่รู้จักกัน ผมยังไม่เคยมาเหยียบห้องเขาเลยสักครั้ง เพราะเคยชินกับการมีเขาอยู่ในพื้นที่ของตัวเอง ไม่เคยคิดว่าการที่วันหนึ่งได้เข้ามาในพื้นที่ของอีกคนบ้างจะรู้สึกยังไงจนกระทั่งวินาทีนี้
ถึงแม้จะเป็นครั้งแรกที่มา แต่ผมกลับรู้สึกคล้ายกับว่ามันเป็นสถานที่คุ้นเคย อบอุ่น เรียบง่าย และปลอดภัยไม่ต่างจากเจ้าของเลยสักนิด
“มองอะไรนักหนาครับ อยากย้ายมาอยู่ตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วนะ” เขาพูดกลั้วหัวเราะ ขยี้หัวผมแรงๆ ทีหนึ่งก่อนจะเปลี่ยนมายืนซ้อนหลังเพื่อโอบแขนรอบคอผมไว้แล้วดันให้เดินต่อไป
วอแวจนน่าหมั่นไส้ แต่ถึงจะยิ่งทำให้เดินลำบากกว่าเดิม ผมก็ไม่คิดจะว่าอะไร เดินตามแรงดันของเขาพลางกวาดสายตามองไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถูกดุนหลังเข้ามาในห้องนอนที่สภาพต่างจากข้างนอกลิบลับ ข้าวของถูกรื้อออกมากระจัดกระจาย โดยเฉพาะเสื้อผ้าที่ส่วนหนึ่งถูกโยนๆ ไว้บนเตียงในขณะที่ส่วนใหญ่ถูกยัดในกระเป๋าเดินทางลวกๆ จนล้นออกมา
ซันต้องย้ายออกจากอพาร์ทเม้นต์ของเขาภายในอาทิตย์หน้า พวกเราเลยจำเป็นต้องมาเก็บของกันเพื่อขนไปไว้ที่บ้านของเขาก่อน ในขณะที่ผมทำเรื่องย้ายหอไว้หลังปิดเทอมซึ่งเหลือเวลาอีกไม่กี่วันก็จะเข้าสู่ฤดูกาลสอบไฟนอลครั้งสุดท้ายของพวกเรา
ไม่ทันได้เตรียมใจเหมือนกันว่าเวลามันจะผ่านไปเร็วขนาดนี้ ถึงผมจะแน่ใจแล้วว่าหลังเรียนจบคงทำงานที่ร้านต่อไป แต่อดรู้สึกใจหายไม่ได้ที่กำลังจะผ่านพ้นช่วงเวลาสี่ปีในมหาวิทยาลัยและก้าวเข้าสู่โลกของการเป็นผู้ใหญ่อย่างเต็มตัว
“ไม่รู้ต้องเก็บยังไงอ่ะ” ผมหลุดจากภวังค์อีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงบ่นพึมพำข้างหู น้ำเสียงออดอ้อนแบบที่ทำให้ผมรู้สึกแพ้อยู่เป็นประจำ เหมือนรู้ว่าต้องถูกบ่นแน่ถ้าผมเห็นสภาพข้าวของที่เจ้าตัวบอกว่าจะมาเก็บก่อนตั้งแต่เช้า แต่สุดท้ายกลับไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย
“แต่ไม่ใช่ยัดไปเรื่อยแบบนี้สิครับ” แต่สุดท้ายผมก็ดุอยู่ดี
เข้าใจแล้วที่เขาบอกว่าจะจ้างคนมาแพ็คของให้เพราะอะไร ถ้าผมไม่บอกว่าจะช่วย คุณชายคงได้ใช้เงินแก้ปัญหาจริงๆ
ผมถอนหายใจทีหนึ่ง ก่อนจะผละจากอ้อมกอดไปรื้อเสื้อผ้าจากกระเป๋าออกมากองรวมกับตัวอื่นๆ ที่อยู่บนเตียง มองไปรอบๆ ห้องอีกครั้งพลางคิดว่าควรเริ่มเก็บจากตรงไหนก่อนแล้วหันไปถามคนที่เดินตามมานั่งมองผมนิ่งๆ อยู่ที่ปลายเตียง
“หยิบกล่องตรงนั้นให้หน่อยครับ” ผมว่าพลางชี้มือไปบนหลังตู้เสื้อผ้าที่มีกล่องพลาสติกสามสี่กล่องวางไว้
“นี่คร้าบ” ซันลุกขึ้นไปหยิบมาเรียงไว้ให้อย่างว่าง่าย แต่ก็ไม่วายทำหน้ากรุ้มกริ่มล้อเลียนให้ผมย่นหน้าใส่ ก่อนจะไล่เปิดดูทีละกล่องและพบว่ามันไม่มีอะไรนอกจากของจิปาถะที่ดูเหมือนจะเป็นของสะสมมากกว่าของใช้
“พวกนี้ใส่รวมกันได้มั้ยครับ” แต่ผมก็หันไปถามเพื่อความแน่ใจ ซันขยับลงมานั่งพื้นข้างๆ ชะโงกหน้ามองก่อนจะพยักหน้ารัว
“งั้นเดี๋ยวผมเอาพวกนี้ใส่รวมกันนะ จะได้เอากล่องที่เหลือไปใส่อย่างอื่นด้วย” ผมว่าพลางมองไปบนโต๊ะเขียนหนังสือที่มีแต่พวกอุปกรณ์การเรียน “ซันไปจัดของบนโต๊ะก่อนแล้วกัน อะไรจำเป็นต้องใช้ก็แยกไว้นะครับ เดี๋ยวเผลอแพ็คไปด้วยแล้วมันจะวุ่นวาย”
“...”
“ส่วนเสื้อผ้า เดี๋ยวผมเก็บให้ ซันแยกที่จะใส่ไว้นะครับ จะได้เอากลับห้องเรา”
“...” ผมก้มหน้าก้มตาพูดยาวเหยียดแต่กลับไม่ได้ยินเสียงตอบอะไร เลยหันกลับไปมองคนที่นั่งขัดสมาธิมองผมอยู่อย่างแปลกใจ แต่ก็ยิ่งแปลกใจเมื่อเห็นใบหน้ากรุ่มกริ่มเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มบางๆ ขณะที่ดวงตาฉายแววบางอย่างออกมาชัดเจน
ผมไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองเผลอพูดอะไรออกไป เขาถึงได้มองแบบนั้น แต่ไม่ทันได้ถาม ซันก็โน้มตัวเข้ามาใกล้ ทาบริมฝีปากลงมาเบาๆ แล้วผละออกอย่างอ้อยอิ่งก่อนจะยิ้มกว้างจนดวงตาโค้งเป็นสระอิ ฟันเรียงสวยเกือบครบสามสิบสองซี่แบบที่ทำให้ใจผมแกว่งทุกทีที่เห็น
“โคตรน่ารักเลย”
อะ... อะไร ทำไมอยู่ๆ มาชมกันเฉย
แถมจูบเสร็จก็ขยี้หัวผมทีหนึ่งแล้วลุกออกไปเลย ทิ้งให้ผมได้แต่กะพริบตาปริบๆ มองแผ่นหลังกว้างของคนที่ทำเป็นตีมึนขะมักเขม้นจัดของบนโต๊ะด้วยความงุนงง ขณะที่หัวใจกำลังเต้นโครมครามอย่างห้ามไม่ได้
เพราะโควต้าจูบวันละครั้ง ทำให้หลายวันที่ผ่านมาเขาเหมือนจะไตร่ตรองเสมอก่อนจะทาบริมฝีปากลงมา ต้องมั่นใจก่อนว่าถ้าจูบไปแล้วจะไม่นึกเสียดาย และทุกครั้งมันมักจะเป็นจูบที่พรากลมหายใจราวกับว่าถ้าไม่ตักตวงเอาไว้ เขาอาจจะขาดอากาศหายใจไประหว่างวัน
แต่จูบเมื่อกี้กลับแตกต่างออกไป... เพียงแค่แตะริมฝีปากลงมาแผ่วเบา ไร้การตักตวงหรือไตร่ตรองใดๆ ไม่ใช่จูบดูดดื่มด้วยซ้ำ... แต่กลับแผ่ซ่านความอบอุ่นไปทั้งหัวใจ
ทำไมถึงได้ขยันหาวิธีใหม่ๆ มาทำให้ผมแพ้ราบคาบได้ตลอดเลย
ผมได้แต่ย่นหน้าใส่ลับหลัง พยายามไม่ให้ตัวเองแสดงอาการเขินมากเกินไป ใช้เวลาอยู่พักใหญ่กว่าจะสงบจิตสงบใจลงได้ แล้วกลับมาโฟกัสกับการย้ายของออกจากกล่องหนึ่งไปรวมอยู่ที่กล่องใหญ่โดยไม่ใช่พื้นที่ให้คุ้มค่าที่สุด
แต่จัดได้ไม่เท่าไหร่ผมก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อหยิบกล่องใบหนึ่งขึ้นมา เป็นกล่องพลาสติกทรงสูงที่มองเข้าไปเห็นว่าข้างในบรรจุรูปถ่ายเอาไว้จำนวนหนึ่ง ผมถือวิสาสะหยิบออกมาหนึ่งใบเพราะสถานที่ในภาพมันคุ้นตา และเห็นชัดว่าคนในภาพนั้นคือผมกับซัน
เป็นภาพถ่ายตอนที่เราไปเที่ยวกับพวกตรี จากในภาพ น่าจะเป็นตอนที่ผมกับซันยืนคุยกันบนยอดเขาก่อนถูกเรียกไปถ่ายรูปรวม
“อัดไว้ด้วยเหรอครับ” ผมยิ้มออกมาพลางเดินถือกล่องใส่รูปเดินไปหาซันที่กำลังง่วนอยู่การจัดของบนโต๊ะ เขาหันมาเลิกคิ้วงุนงงก่อนจะยิ้มตามเมื่อเห็นรูปในมือผม
“ไอ้ตรีมันอัดมาให้อ่ะ บอกให้เอามาแบ่งกัน” ฝ่ามือหนาเอื้อมมาหยิบกล่องไปถือให้ขณะที่ผมวางรูปเดิมลงและหยิบรูปต่อๆ ไปขึ้นมาดู ส่วนใหญ่เป็นรูปแอบถ่ายผมกับซัน ไม่รู้ตัวเหมือนกันว่าพวกเราตัวติดกันแทบจะตลอดทริป จนกระทั่งมาเห็นรูปถ่ายนี่แหละ
“ผมไม่เห็นได้เลย” ผมถามพลางหลุดยิ้มกับรูปที่พวกเรานั่งล้อมวงรอบกองไฟกัน และซันพยายามจะเล่นกีตาร์ทั้งที่ฝีมือไม่เอาอ่าว ผมนั่งอยู่ข้างๆ และทำสีหน้าเหม็นเบื่อใส่เขาในณะที่คนอื่นๆ กำลังหัวเราะตัวโยน
ก่อนที่ภาพต่อมาจะเป็นภาพที่ผมหลุดยิ้มออกมาบ้าง...
จำได้ดีว่าเพราะเสียงเพลงห่วยๆ ของเขา ทำให้บรรยากาศที่เจือปนด้วยความกระอักกระอ่วนกลับกลายเป็นสดใสได้อย่างเหลือเชื่อแค่ไหน เป็นคนที่มีบรรยากาศรอบตัวอบอุ่นไม่แพ้แสงไฟที่ใช้บรรเทาความหนาวเหน็บในคืนนั้นเลย
“ก็อยากเก็บไว้เองทุกรูปเลยอ่ะ” คนขี้หวงตอบกลั้วหัวเราะพลางทิ้งสะโพกพิงกับโต๊ะเขียนหนังสือ ใช้มือข้างที่ไม่ได้ถือกล่องไว้รั้งตัวผมให้ขยับเข้าไปใกล้แล้วก้มหน้าลงมาจนหน้าผากแตะกันเพื่อดูรูปด้วยกัน ผมเบ้หน้าใส่คำตอบของเขา ก่อนจะเปลี่ยนเป็นหยิบรูปอื่นออกมา เป็นรูปถ่ายรวมที่ผมเพิ่งสังเกตว่าเราสองคนยืนจับมือกัน
“นี่แอบแต๊ะอั๋งกันตั้งแต่ตอนนั้นแล้วเหรอครับ” ผมแกล้งเลิกคิ้วถาม ซันยิ้มกว้างอีกครั้งก่อนจะแกล้งงับปลายจมูกผมเบาๆ
“ดูดีๆ ตัวเองก็จับไว้เหมือนกันเหอะ” ว่าพลางตีสีหน้ายียวน “แบบนี้เรียกแต๊ะอั๋งร่วมป่ะครับ”
ผมเบ้หน้าใส่อีกรอบ ก่อนจะทำเป็นเฉไฉก้มหน้าดูรูปถ่ายต่อไป นึกถึงบรรยากาศตอนนั้นแล้วอยากจะไปอีกสักครั้ง ทั้งๆ ที่ปกติผมไม่ใช่คนชอบเที่ยว โดยเฉพาะการเที่ยวเป็นกลุ่มเนี่ย นอกจากไปทัศนศึกษาซึ่งค่อนข้างน่าเบื่อ ผมก็ไม่เคยมีประสบการณ์ไปเที่ยวแบบนี้เลย ต้องขอบคุณซันจริงๆ ที่ชวนผมไป
“เอ๊ะ...” ผมนึกอะไรเพลินๆ อยู่ก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อหยิบรูปถ่ายใบหนึ่งที่อยู่ก้นกล่องขึ้นมา
มันแปลกที่สุดในบรรดารูปถ่ายทุกใบ เพราะไม่ใช่รูปถ่ายจากทริปนั้น... และที่สำคัญ มันมีเพียงครึ่งใบ
รูปถ่ายสมัยมัธยมที่ผมจำได้ดีว่าครั้งหนึ่งเคยเก็บมันไว้เป็นของสำคัญ เอาไว้เตือนใจว่าสักวันผมจะก้าวข้ามชีวิตอันน่าสมเพชเข้าไปในโลกที่มีแต่แสงสว่างได้อย่างเปิดเผยบ้าง... เดิมที มันเป็นรูปที่มีจุดโฟกัสอยู่ที่ซัน ตรี กับเพื่อนอีกคนหนึ่งที่ยืนโพสต์ท่าอยู่ด้านหน้า ในขณะที่มีผมติดมาอย่างบังเอิญขณะกำลังนั่งมองตรีอยู่ไกลๆ
แต่ตอนนี้อีกครึ่งที่มีตรีกับเพื่อนอีกคนกลับถูกฉีกทิ้งไป จนเหลือเพียงครึ่งหนึ่งที่มีแค่ผมกับซัน
“อา... นั่นมัน...” คนเก็บรูปไว้ส่งเสียงอึกอักขึ้นมาอย่างร้อนตัว ก่อนจะเอื้อมมือมาดึงรูปถ่ายกลับไป ผมเงยหน้าขึ้นมองร่างสูง เลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่าทำไมรูปนี้ถึงมาอยู่กับเขาได้
“ซันบอกให้ผมทิ้ง” ผมว่า เมื่อเขาเอาแต่หลบสายตาเก้ๆ กังๆ เหมือนไม่รู้จะพูดยังไง
ในวันที่ผมถูกจับได้ว่าแอบชอบตรี เขาเป็นคนฉีกรูปนี้เพื่อบอกให้ผมทิ้งอดีตไป แต่ในวันที่ผมตั้งใจจะทำลายรูปทิ้ง กลับพบว่าครึ่งหนึ่งมันหายไป... ใครจะคิด ว่าคนที่เก็บมันไว้จะเป็นคนที่ฉีกมันเองกับมือ
“ก็...” เขาอึกอัก วางกล่องรูปลงแล้วยกมือขึ้นลูบท้ายทอยเก้อๆ แล้วถอนหายใจออกมา “แค่เก็บมา เพราะคิดว่าอยากเห็นรอยยิ้มแบบนี้อีกไง” เขาเริ่มอธิบาย ดวงตาคู่สวยเลื่อนมาสบตาผมอีกครั้งราวกับจะถ่ายทอดความรู้สึกทุกอย่างที่อยู่ในใจ
“อยากเห็นสายตาแบบนี้ อยากเห็นสีหน้ามีความสุขทั้งที่ได้แต่มองจากที่ไกลๆ”
“...”
“ตั้งใจมาตลอดว่าถ้าได้เห็นอีกเมื่อไหร่ จะเป็นคนทำให้สมหวังเอง” เขายิ้มกว้างอีกครั้ง มือข้างหนึ่งยกขึ้นมาเกลี่ยแก้มผมเบาๆ
ในขณะที่ผมได้แต่นิ่งไปอย่างไม่รู้จะพูดอะไร... เหมือนหัวใจกำลังถูกสัมผัสอย่างแผ่วเบาด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้ม และสายตาที่ทวีความอ่อนโยนในทุกๆ ประโยคที่เต็มไปด้วยความปรารถนาดีนั่น ทุกอย่างที่เป็นเขาตอนนี้ล้วนทำให้หัวใจของผมสั่นไหว และสุขสงบในเวลาเดียวกัน
“แล้วอีกอย่าง มันเป็นรูปคู่รูปแรกเลยนะ” เขาพูดขำๆ ก้มหน้ามองรูปถ่ายในมืออีกครั้ง “ไม่เคยรู้เลยว่าอยู่ใกล้กันขนาดนั้น โคตรเสียดาย”
“...”
“ถ้าได้รู้จักกันเร็วกว่านี้คงดีเนอะ”
“ซัน...”
“คงได้กอดเร็วกว่านี้ ได้จูบมากกว่านี้ ได้บอกรักตั้งแต่ตอนที่ยังไม่มีเรื่องไอ้ตรีให้เสียใจ”
“ถึงผมจะอยู่ในสภาพแบบนั้นเหรอครับ” อดไม่ได้ที่จะถาม เพราะนึกภาพไม่ออกจริงๆ ว่าถ้าเราเจอกันตั้งแต่ตอนนั้นจะเป็นยังไง
เขาจะยังปฏิบัติกับผมแบบนี้มั้ย หรือแค่มองผมอย่างดูถูกไม่ต่างจากใครๆ
“เออ นั่นดิ...” ซันเงยหน้าขึ้นมาสบตา แกล้งทำท่านึกนิดหน่อย แล้วยิ้มกว้างกว่าเดิม
“แต่ถ้าเป็นคนนี้อ่ะ... ยังไงก็รัก” ก้มหน้าลงมากดจูบหนักๆ บนหน้าผาก ผมหลุดหัวเราะเบาๆ แล้วขยับเข้าไปใกล้กว่าเดิม
ไม่คิดจะถามอะไรอีก ไม่สงสัยเลยสักนิดว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นแค่การเอาใจหรือคิดแบบนั้นจริงๆ สิ่งที่ผมอยากทำตอนนี้วินาทีนี้ คือการกอดเขาไว้... ดึงใบหน้าของร่างสูงลงมารับจูบของผมไป เพื่อบอกว่าผมได้รับทุกๆ ความรู้สึกของเขา และรู้สึกขอบคุณมากแค่ไหน
ซันชะงักไปเหมือนไม่ทันได้ตั้งตัว ปล่อยให้ผมเป็นฝ่ายรุกล้ำ มอบจูบแสนอ่อนหัดให้เขาอยู่นาน จนกระทั่งเกือบจะหมดลมหายใจเสียเองถึงได้ผละออกมา มองใบหน้าเหวอหนักของคนตัวสูงกว่าแล้วได้แต่หลุดขำ
แต่ไม่นานก็ถูกครอบครองริมฝีปากอีกครั้งด้วยจูบที่ลึกล้ำยิ่งกว่า
มือหนารั้งท้ายทอยผมเอาไว้ เอียงใบหน้าปรับองศาเพื่อให้ริมฝีปากเราแนบสนิทไร้ช่องว่าง รสจูบแสนหวานที่มอมเมาให้เคลิบเคลิ้มจนลืมไปแล้วว่านี่มันเกินโควต้าจูบวันละครั้ง... และกำลังจะนำพาไปสู่การละเลยข้อตกลงอีกอย่างระหว่างเรา
รู้ตัวอีกทีผมก็ถูกแขนแข็งแกร่งยกร่างสลับขึ้นมาเป็นฝ่ายนั่งอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสืออย่างง่ายดาย ได้ยินเสียงข้าวของถูกปัดร่วงกระจัดกระจายเมื่อร่างสูงโถมตัวเข้ามาใกล้กว่าเดิมหลังจากผละให้ผมได้หายใจเพียงเสี้ยววินาที ก่อนกดจูบลงมาอีกครั้ง เรียวลิ้นที่เกี่ยวกระหวัด รุกเร้า และร้อนแรงแทบจะหลอมละลาย
ผมหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อเขาเลื่อนริมฝีปากพรมจูบไปทั่วใบหน้าระหว่างรอให้ผมหายใจ อาศัยจังหวะที่ริมฝีปากร้อนจัดกำลังง่วนอยู่กับการขบกัดไปทั่วใบหูและซอกคอ ถอดแว่นออกวางไว้ให้พ้นระยะอันตราย ก่อนที่อีกฝ่ายจะฉกฉวยริมฝีปากลงมาอีกครั้ง บดจูบย้ำๆ ด้วยสัมผัสที่ทวีความรุนแรงราวกับจะบอกว่าเส้นความอดทนของเขาใกล้จะขาดเต็มที
และอีกไม่กี่วินาทีก็คงกลายเป็นสัตว์ร้ายคลุ้มคลั่งที่ปล่อยให้ความหิวโหยกลืนกินผมลงไปทั้งตัว
“...” แต่ชั่วขณะที่ผมคิดว่าทุกอย่างกำลังจะไปไกลเกินห้าม ริมฝีปากที่พรากลมหายใจผมซ้ำๆ ก็หยุดชะงัก
ฝ่ามือซุกซนที่ปลดกระดุมเสื้อนักศึกษาของผมจนถึงเม็ดสุดท้ายโดยไม่รู้ตัวนิ่งค้างอยู่บนแผ่นหลังพักใหญ่ ก่อนจะทิ้งลงข้างกายเหมือนหมดเรี่ยวแรง
“ฮื่อ...” เสียงครางงอแงดังขึ้นหลังจากร่างสูงผละริมฝีปากออกไป ซบหน้าลงกับไหล่ที่เกือบเปลือยของผมพลางส่ายหน้าไปมา “เกือบไปแล้วอ่ะ”
ผมหลุดหัวเราะ รู้ดีว่าเขาหมายถึงอะไร
จะว่าไปก็ไม่ใช่ว่าไม่รู้ตัว แต่ผมคิดไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าถ้าสุดท้ายเขาทำตามข้อตกลงหนึ่งเดือนนั่นไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร
บอกแล้วไง ว่ายังไงผมก็จะเชื่อใจเขาอยู่ดี
“อันตรายสัสๆ ทำไมขี้ยั่วงี้วะ” เสียงทุ้มบ่นพึมพำขณะกดจูบหนักๆ ลงมาบนไหล่และซอกคอของผมเหมือนทำได้แค่นั้น มือข้างเดิมรั้งเอวผมเข้าไปกอดไว้ แกล้งรัดอ้อมกอดแน่นอย่างหมั่นไส้กัน ขณะที่ผมยิ้มขำ ทั้งประหลาดใจ และปลื้มใจที่เขายอมหยุดและทำตามสัญญาที่ให้ไว้
เดิมทีมันเป็นเพียงข้อเรียกร้องงี่เง่าที่ผมอยากทำโทษในความเจ้าเสน่ห์เกินไปจนน่าหมั่นไส้ของเขาก็เท่านั้น ไม่คิดว่าซันจะยอมทนเป็นอาทิตย์ๆ ทั้งที่โดนผมแกล้งสารพัด แม้กระทั่งตอนนี้...
สารภาพตามตรงว่าอันที่จริง ผมใจอ่อนตั้งแต่เขาตอบตกลงแล้วด้วยซ้ำ เพราะในตอนนั้นสายตาของเขายืนยันชัดเจนว่าสิ่งเดียวที่ต้องการคือความเชื่อใจจากผม... ไม่ใช่สิ่งอื่นใด
“คนดี” ผมหลุดปากเรียกเขาออกไปตามที่ใจคิด ก่อนจะดึงใบหน้าคนที่กำลังงอแงขึ้นมากดจูบลงไปบนโหนกแก้มทั้งสองข้างเบาๆ “น่ารัก”
“น่ารักมากๆ” ตามด้วยริมฝีปากบางที่คว่ำลงทำหน้ากระเง้ากระงอดใส่กันทันทีที่ผมถอนจูบออกมา
“โชครับ... ถ้าจะทำขนาดนี้เอาปากกาบนโต๊ะมาแทงกันเลยดีกว่า” ครวญครางพลางซบหน้าลงกับไหล่ผมอีกรอบขบกัดเหมือนลูกหมาที่กำลังคันฟันอยากกัดทุกสิ่งรอบตัวจนผมหลุดหัวเราะอีกครั้ง ยกมือขึ้นโอบรอบคอเขาไว้แล้วกดจูบลงไปบนขมับอีกฝ่ายด้วยความมันเขี้ยวไม่แพ้กัน
“ทำไมถึงได้น่ารักขนาดนี้ครับ”
กว่าจะเก็บของในห้องนอนเสร็จก็เย็นมากแล้ว แถมกินพลังงานจนคุณชายงอแงขอเก็บที่เหลือวันหลัง เราเลยตัดสินใจพักไว้แล้วโทรสั่งอาหารมากินกัน ก่อนจะผลัดกันอาบน้ำเพื่อเตรียมตัวไปทำงานในอีกไม่กี่ชั่วโมง ผมยืมเสื้อผ้าซันใส่เพราะชุดเดิมเต็มไปด้วยเหงื่อและคงเหนอะตัวแย่ถ้าต้องใส่มันต่อไปตลอดทั้งคืน
เสื้อยืดโคร่งๆ กับกางเกงที่ตัวใหญ่กว่าผมไซส์หนึ่งมีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ของเจ้าของต่างจากเสื้อผ้าที่เขาใส่อยู่ทุกวันนี้ที่มีกลิ่นของผมปะปนอยู่จนแยกไม่ออกแล้วว่าเป็นกลิ่นใคร หรือแม้แต่บนเตียงที่ไม่ได้ใช้งานมานานก็ยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของเขาหลงเหลือเอาไว้ มันคงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผมรู้สึกสบายใจราวกับนั่งอยู่ในห้องตัวเอง
“อ้วนขึ้นป่ะเนี่ย” เสียงทุ้มเอ่ยถามขึ้นมาหลังจากเดินมานั่งซ้อนหลังผมทำตัวเป็นพนักพิงต่างหัวเตียง
ถ้าเป็นเมื่อก่อนได้ยินใครทักแบบนี้ผมคงจิตตก กังวลจนวิ่งไปส่องกระจกอยู่นานสองนานด้วยความไม่มั่นใจ แต่หลังจากอยู่กับซัน และเห็นชัดว่าเขาพยายามขุนผมให้อ้วนขึ้นด้วยสารพัดอาหารทั้งมีประโยชน์และไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ผมก็เหนื่อยใจที่จะต้องมานั่งนับแคลอรี่เหมือนที่เคยทำ
“จะได้กอดนุ่มขึ้นไงครับ” ผมตอบอย่างไม่ใส่ใจ ขณะที่สายตากำลังจดจ่ออยู่บนชีทสรุปบทเรียนที่พกมาอ่านฆ่าเวลา
อย่างที่บอกว่าไฟนอลกำลังใกล้เข้ามา ดังนั้นทุกวินาทีเลยมีค่า รู้ดีว่าตัวเองมีเวลาน้อยกว่าคนอื่นเพราะต้องทำงาน ก็เลยต้องเริ่มก่อนคนอื่นเขาเพื่อที่จะได้ไม่ต้องมาเร่งอ่านเอาทีหลัง ซึ่งเสี่ยงมากที่จะอ่านไม่ทัน
“หนาย~” คนขี้แกล้งลากเสียงยียวน ก่อนจะโอบแขนรอบเอวผม รัดแน่นพลางจับโยกไปมา “นุ่มขึ้นจริงด้วยอ่ะ”
“ซัน” ผมทำเสียงดุอย่างรำคาญ แต่ตีหน้านิ่งได้ไม่นานก็หลุดขำเมื่อจมูกโด่งๆ กดลงมาที่แก้มพลางพึมพำ
“เพิ่มตรงนี้ให้ด้วยดิ” ก่อนจะก้มลงซุกไหล่แล้วสูดกลิ่นจนได้ยินเสียงลมหายใจ “ตรงนี้ด้วย”
“...”
“ตรงนี้” งับเบาๆ ตรงต้นแขนที่อยู่ใต้เสื้อยืดตัวบาง
“อ่านหนังสือไปเลยครับ” ผมดุ ใช้ชีทในมือเคาะหัวคนทะเล้นจนหยุดวอแว แต่ก็ยังไม่วายหลุดขำที่แกล้งผมได้ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบชีทของตัวเองมาอ่านบ้างพลางดึงตัวผมลงไปพิงอกกว้างเพื่อให้นั่งสบาย
ไม่นานทั้งห้องก็เงียบกริบ ต่างคนต่างจมลงสู่เนื้อหาการเรียนเงียบๆ ไม่มีใครส่งเสียงรบกวนกัน แถมยังใช้ร่างกายของอีกคนแทนการระบายความคิดบางอย่างโดยไม่รู้ตัว
เช่นตอนนี้ที่พอถึงข้อที่เป็นโจทย์ยากๆ ผมก็จะเผลอลากนิ้วทดเลขบนหลังมือเขาที่วางอยู่บนเข่าที่ชันขึ้นมาข้างหนึ่ง ในขณะที่ซันเวลาที่เขาต้องใช้สมาธิในการจำ เจ้าตัวก็จะกดจูบซ้ำๆ ลงมาบนกระหม่อมผมพลางเอ่ยเนื้อหาที่ต้องจำ
แปลกดีที่เราปล่อยให้อีกฝ่ายทำแบบนั้นโดยไม่รู้สึกรำคาญ กลับรู้สึกสบายใจกับการกระทำที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัวแบบนี้ และเชื่อเถอะว่าเวลาที่เขาท่องจำสลับไปมามันน่ารักมากจนบางครั้งก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับไปแกล้งกัดริมฝีปากเจ้าตัวเบาๆ
เรานั่งอ่านหนังสือกันอยู่นาน จนกระทั่งเจ้าของไหล่กว้างที่ผมพิงอยู่ถอนหายใจหนักๆ วางชีทลงข้างๆ พลางทิ้งตัวลงมาวางคางบนไหล่กอดผมไว้หลวมๆ แล้วบ่นพึมพำ
“ง่วง” ผมหยิบมือถือขึ้นมาเปิดดูนาฬิกาแล้วพบว่ามันยังพอมีเวลา
“หลับก่อนก็ได้ครับ เดี๋ยวผมปลุกเอง” ผมบอก ไม่คิดจะห้ามเพราะรู้ว่าหลายคืนที่ผ่านมาเขาต้องอดหลับอดนอนปั่นโปรเจ็กต์ให้ทัน คืนหลังๆ เขาไม่ได้กลับไปที่ห้องด้วยซ้ำ ไม่ต้องถามถึงที่ร้านเลย ผมต้องจัดการลางานและสลับเวรนายมาทำแทนให้เพื่อที่เขาจะได้ทำงานโดยไม่ต้องกังวล
“อืม” เสียงงัวเงียรับคำสั้นๆ แต่แทนที่จะขยับไปนอนดีๆ เขากลับหลับตาแล้วซบหน้าลงกับไหล่ผม ขณะที่แขนสองข้างกอดรอบเอวไว้คล้ายกำลังกอดหมอนข้างก็ไม่ปาน
“ลงไปนอนดีๆ สิครับ” ผมว่าพยายามแกะมือออกจากเอว แต่ฝ่ามือหนากลับจับมือผมไว้แทน
“ซัน...” ผมกำลังจะดุ แต่ก็ไม่ทันเขาเถียงทั้งที่เสียงงึมงำ
“แบบนี้สบายแล้ว”
สบายที่ไหนกัน ถ้าตื่นมาปวดหลังผมจะตีซ้ำให้ดู
แต่รู้ว่าเถียงไปก็คงไร้ประโยชน์ เลยปล่อยให้คนดื้อนอนท่านั้น ติดตรงที่มือของเขายังคงจับมือผมอยู่เลยทำให้ยังอ่านหนังสือไม่ได้ กำลังจะอ้าปากบอก แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร คนที่คิดว่าหลับไปแล้วก็เรียกชื่อผมขึ้นมา
“โช...”
“...” ผมเงียบและรอฟัง ในขณะที่เจ้าของเสียงเว้นวรรคไปนาน มือข้างที่จับมือผมอยู่วนไปมาอยู่ที่นิ้วนางราวกับว่ากำลังวัดขนาดของมัน
และเพราะมัวแต่สงสัยในการกระทำนั้น ผมจึงไม่ทันได้ตั้งตัวตอนที่เสียงทุ้มเอ่ยบางอย่างออกมาเบาๆ
“แต่งงานกันมั้ย”
“...”
อะ... อะไรนะ
ผมเบิกตากว้างอย่างตกใจ แต่เสียงของเขามันเบาและงัวเงียเกินกว่าจะจับใจความได้ แถมคนพูดก็ดูเหมือนไม่พร้อมจะเอ่ยทวน
ซันเงียบไป ขณะที่ฝ่ามือเปลี่ยนมาประสานนิ้วมือผมไว้หลวมๆ ดวงตาทั้งสองข้างปิดสนิท และลมหายใจร้อนๆ ที่คลอเคลียอยู่ตรงลำคอก็สม่ำเสมออย่างคนที่กำลังจมดิ่งอยู่ในห้วงนิทรา
ผมขมวดคิ้วมองเสี้ยวหน้าของคนที่กำลังหลับใหล ไม่กล้าปลุกเจ้าตัวขึ้นมาถามว่าพูดอะไร เลยได้แต่ถอนหายใจ เบ้ปากงอแงอยู่ในใจคนเดียว
จากที่ตั้งใจจะอ่านหนังสือต่อ ตอนนี้กลับกลายเป็นสมาธิกระจัดกระเจิงจนอ่านไม่ได้ วางชีทลงแล้วซุกไซ้ใบหน้าลงกับซอกคออีกฝ่าย แล้วกัดเบาๆ อย่างหมั่นไส้
นิสัยไม่ดี... มาแกล้งให้คนอื่นใจสั่นขนาดนี้แล้วหลับหนีกันได้ยังไง
------------------------------------------------------------------------
ใครอ่านจบตอนนี้แล้วใจสั่นตามโชจะรู้สึกขอบคุณมากเลยค่ะ 5555
แต่เชื่อว่าคงมีหลายคนอยากจะพุ่งเข้าไปตบหน้าเจ้าซัน ปลุกขึ้นมาให้พูดให้ชัดๆ มากกว่าใช่มั้ยคะ
เอาน่า มันยังไม่ถึงเวลาไงคะ (ตบบ่าๆ)
ยิ่งใกล้จบยิ่งรู้สึกว่าเขียนยากยังไงไม่รู้อ่ะ
เหมือนต้องปลดปล่อยความรู้สึกหลายๆ อย่างที่เคยกั๊กไว้ออกมาหมดหน้าตัก
เหนื่อยมาก แต่ก็ตื่นเต้นมากเช่นกัน
หวังว่าอ่านแล้วจะชอบกันนะคะ แต่ถ้าหวานเกินไปจนเลี่ยนก็ต้องขออภัย บอกได้นะคะ เราจะยื่นน้ำมะนาวให้ 55555
ฝาก #ซันโช เหมือนเดิมนะคะ
ขอบคุณทุกๆ คอมเม้นต์คือกำลังใจจริงๆ ค่ะ ^^