ตอนที่ 31
ผมได้ยินเสียงงานเลี้ยงรื่นเริง งานต้อนรับทูตต้าหมิงคงกำลังเริ่มขึ้น ผมปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยไม่รู้ว่าข้างนอกตำหนักเป็นเวลากลางวันหรือกลางคืน ผมเศร้าซึมตั้งแต่ที่ทหารมาพาตัวคังยูไป ชีวิตผมเหมือนมาถึงจุดแตกสลายอีกครั้ง ไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร...
ด้านนอกผมเองก็ไม่รู้ว่าจะมีคนมายืนเฝ้าเหมือนในซีรี่ส์หรือเปล่า(กูก็นะ…คิดว่ามันจะเหมือนซีรี่ส์ตลอดหรือยังไง) ผมลองไปจับประตูดู...มันถูกล็อคมาจากด้านนอก เงียบเชียบเหมือนที่นี่เป็นตำหนักร้าง และมันก็เงียบมากพอที่จะทำให้ผมคิดทบทวนถึงเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้น และเรื่องที่สำคัญที่สุดก็คือเรื่องที่ยองวอนบอกผมในความฝันเมื่อคืน
เรื่องที่ผมจะต้องเลือกว่าตัวเองจะกลับไปยุคของตัวเองหรือว่าจะอยู่ในยุคเดิมแต่ไม่มีคังยู...
เราคนใดคนหนึ่งจะต้องตาย...
แล้วเหตุการณ์นั้นมันจะเกิดขึ้นตอนไหนล่ะ หรือว่าใกล้ๆ นี้ เฮ้ย จริงหรือเปล่าวะ ผมยังไม่มีเวลาเตรียมตัวเตรียมหัวใจอะไรเลยนะ ยิ่งยองวอนมันมาเตือนแบบนี้แปลว่าต้องใกล้เวลานั้นมากแล้วแน่ๆ
ผมเอามือทึ้งหัวตัวเอง ทำไมกูไม่เป็นบ้าไปเสียจะได้ลืมๆ เรื่องวุ่นวายทั้งหมดนี่ให้หมด ให้ตายเถอะ
ระหว่างที่ผมกำลังคิดอะไรบ้าๆ อยู่นั้นประตูก็มีเสียงขยับ ผมมองอย่างตกใจเพราะไม่รู้ว่าใครที่เป็นคนมาปลดล็อกประตู ทหารอีกแล้วครับ...และก็ไม่รู้ด้วยว่าใครส่งมา
ที่แปลกไปกว่านั้นก็คือ...ผมถูกคลุมหัวด้วยผ้าสีดำ ก่อนที่จะถูกคุมตัวออกไปด้านนอก ผมพยายามดิ้นพล่านขัดขืนแต่ทว่าคนตัวเล็กๆ อย่างผมน่ะเหรอจะไปสู้แรงทหารพวกนั้นได้
นี่ผมเกิดมาเพื่อถูกพาตัวไปโน่นไปนี่ไปนั่นเหรอวะ สงสัยฉิบหาย
ผมสัมผัสได้ว่าผมถูกจับมาใส่เกี้ยวเล็กๆ คันหนึ่ง หลังจากนั้นทหารพวกนั้นก็จับผมมัดมือมัดเท้า ผมดิ้นไปมาพยายามส่งเสียง พวกนั้นแม่งก็รู้อีกว่าปากของผมว่าง มันก็เลยหาอะไรไม่รู้มายัดปากผม...สรุปก็คือไม่มีทางไหนเลยที่ผมจะขัดขืนพวกมันได้
มันจะพาผมไปไหน
หรือพวกมันจะฆ่าผม...
ผมที่รู้ตัวว่าตัวเองเวลาเหลือน้อยก็เริ่มอยากจะอาละวาด อย่างน้อยก็ช่วยให้เวลากูร่ำลากับคังยูก่อนไมไ่ด้หรือไงวะ แล้วค่อยปล่อยให้กูตาย ขอร้องเถอะ ได้โปรด พลีส T_T
ร้องไห้หรือขอร้องในใจไปใครเล่าจะฟังผม...แม้กระทั่งตอนที่เป็นเด็กรัฐศาสตร์อยู่ดีๆ ก็เสือกถูกโยนมาที่ยุคโชซอนนี้เฉยเพราะแค่มือบอลไปหยิบสมุดบันทึกที่วังคยองบกกุง เพราะงั้นคงไม่มีใครฟังอะไรผมแล้วล่ะครับ อะไรจะเกิดแม่งก็ต้องเกิดแล้วล่ะ
สิ่งที่ยองวอนทิ้งไว้ให้ผมคิด เชื่อมั้ยครับว่าผมเลือกได้แล้ว ที่จริงแม่งไม่ต้องเสียเวลาคิดเลยด้วยซ้ำ
ผมเลือกที่จะตาย
เหตุผลเพราะหนึ่ง ผมทนเห็นคังยูตายต่อหน้าผมไม่ได้ สองถ้าคังยูตายและผมต้องใช้ชีวิตอยู่โดยไม่มีเขา ผมคิดว่ามันคงเป็นชีวิตที่ทรมานน่าดู ถึงแม้ว่าถ้าคังยูรู้ว่าการที่ผมเลือกแบบนี้จะดูเหมือนผมทิ้งเขาไป...แต่ผมทนไม่ได้ที่จะเห็นเขาตายจริงๆ ครับ มันคงทรมานสำหรับผม ผมดูเห็นแก่ตัวเกินไปมั้ยครับ...
เอ๊ะ...ถ้าเป็นอย่างนั้น...แสดงว่าผมจะได้เจอคังยูอย่างน้อยก็อีกหนใช่มั้ย
การรู้อนาคตก่อนนี่มันดีจริงๆ...เพราะยองวอนมันก็บอกเองว่าชะตาของผมกับมันก็คือเสียสละชีวิตตัวเองเพื่อคังยู เพราะเป็นอย่างนั้นจากที่ผมขัดขืนดิ้นไปดิ้นมาที่ถูกจับผมกลับนอนอยู่เฉยๆ ปล่อยให้ทุกอย่างมันเป็นไปและก็รอเจอหน้าคังยูเป็นครั้งสุดท้าย แม้จะดูเศร้ามากจนอยากจะให้ช่องสามให้ถ่ายวงเวียนชีวิต แต่การที่จะได้เห็นหน้าคังยูคือเรื่องดีที่สุดเรื่องเดียวสำหรับคนใกล้ตายอย่างผม เพราะฉะนั้นโชคชะตาให้ผมแค่นี้ผมก็ดีใจมากแล้วล่ะ
ผมทำได้เพียงแค่รอคอยเท่านั้น...
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว...
เกี้ยวที่ผมนั่งอยู่นิ่งแล้ว ผมตื่นขึ้นมาก็มองไม่เห็นอะไรเพราะยังไม่ถูกปล่อย ผมได้ยินเสียงคนคุยกันอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล...
“มันอยู่ไหน”
“เจ้าใจเย็นๆ สินารา”
“ข้าน้อยเย็นไม่ได้แล้วเพคะ...”
“เจ้าบอกข้า...ว่าเจ้าจะจัดการหมดทั้งคังยูและก็ยองวอนใช่หรือไม่”
“เพคะองค์ชาย”
“ข้าจะเชื่อใจเจ้า...”
“ความรักที่ข้ามีให้ต่อองค์ชายซองโจนั้นมากมายจนอธิบายไม่ได้ แต่พระองค์กลับมองไม่เห็นค่าของมัน ทำข้ารอคอยในงานแต่งงานอย่างเสื่อมเสียเกียรติ...” ยุนนาราพูดเหมือนระบายความอัดอั้นตันใจ น้ำเสียงของนางเหมือนจะสะอื้นไห้ ผมฟังและก็ถอนหายใจ การตายของผมคงจะเป็นฝีมือของยุนนาราและก็องค์ชายแทจงที่กำลังพูดอยู่กับนาง
“อีกสักพักคังยูจะตามมา...ข้าหลอกไปว่าข้าจะพาเขาหนีไปอยู่กับชู้รักของเขา...”
“...และข้าจะไม่ปล่อยให้ทั้งคู่ได้อยู่อย่างสงบสุขแน่นอน”
อย่างน้อยผมก็จะได้เจอคังยูอีกครั้ง น้ำตาของผมไหลออกมาอย่างปิติยินดี คนใกล้ตายแต่ก็รู้ความสุขที่สุดกำลังจะเดินทางมาหานี่มันมีความสุขมากเลยนะครับ เหมือนชีวิตนี้ได้เกิดมาคุ้มแล้วยังไงยังงั้น
ผมเจอคังยูอีกครั้งผมควรจะพูดอะไรกับเขาบ้าง ผมควรจะจ้องเขา มองหน้าเขาแบบไหนให้ตัวเองได้จดจำเขาให้ได้มากที่สุด ให้เขาได้จดจำใบหน้าของผมเอาไว้ให้ได้มากที่สุด ก่อนที่เราจะจากกันตลอดกาล...
ภายนอกเกิดความเงียบขึ้นอีกครั้ง เวลาผ่านไปหลายชั่วยามในที่สุดก็มีเสียงคนมา...คนๆ นั้นกำลังขึ้นมาบนเกี้ยวที่มีผมนอนอยู่ เขาทำการปลดผ้าที่คลุมหัวผมออกอย่างรวดเร็ว และคนๆ นั้นก็คือคังยู...
...คังยูที่หลงคิดว่าองค์ชายแทจงผู้เป็นพี่ชายของเขาจะช่วยเขาและทำให้เขาได้อยู่กับผมสมดังที่เขาปรารถนา
“เป็นอย่างไรบ้าง” เกี้ยวถูกขับเคลื่อนอีกครั้ง...เขาปลดทุกอย่างที่พันธนาการผมเอาไว้ออกให้หมด อย่างแรกที่ผมทันก็ถือสวมกอดเขาอย่างแนบแน่น “ข้าเป็นห่วงเจ้าเหลือเกินจูเนียร์”
ผมไม่ยอมพูดอะไรทั้งนั้น ผมกอดเขาอยู่แบบนั้น หลับตาพริ้มโดยมีน้ำตาปริ่มอยู่ขอบตา(น้ำตาแม่งกลายเป็นเพื่อนสนิทผมแล้วล่ะตอนนี้) พยายามจดจำอ้อมกอดอุ่น จดจำอกแกร่งที่พักหลังๆ ผมมักจะได้ซบเสมอ
ไม่อยากห่างออกไปไหนเลย...
“ทำไมไม่พูดอะไรเลยล่ะ...”
คังยูยื่นใบหน้าหล่อเหลาของเขามาสำรวจผม...ผมจับใบหน้าของเขาด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยน้ำตา จ้องมองความงงงันที่ปรากฏอยู่ใบหน้าที่งดงามราวกับเทพบุตรนั้น สัมผัสไปทั่วทั้งพวงแก้มสีขาวสะอาด จมูกโด่งได่้รูป ดวงตาคมที่มักจะมีอำนาจแฝงอยู่ด้วยเสมอ และก็ริมฝีปากที่ผมเพิ่งจะสัมผัสมันเมื่อคืน...
ผมจำได้ทั้งหมด...แต่ไม่ว่าจะยังไงผมก็ไม่อยากเสียมันไป
“จูเนียร์ เจ้าทำตัวแปลกๆ นะ...”
“เราไม่ได้จะได้อยู่ด้วยกันหรอกคังยู” ผมพูดอย่างเศร้าหมอง “เรากำลังจะถูกลอบสังหาร”
“เจ้าว่าอย่างไรนะ!” คังยูตกใจ เขากำลังจะหันออกไปนอกเกี้ยวแต่แล้วผมก็จับตัวเขาให้เขานั่งอยู่ข้างในนั้นกับผม
ชะตาของผมคงจะเปลี่ยนแปลงไม่ได้อีกแล้ว...
“อย่าไปไหน”
“อะไร”
“ใช้เวลาอยู่ด้วยกันก่อน”
“จูเนียร์...”
“เราเปลี่ยนแปลงอะไรมันไม่ได้หรอกคังยู”
“...”
“ยังไงเราสองคนก็ไม่ได้อยู่ด้วยกัน...”
ใบหน้าหล่อเหลาของคังยูก้มหน้าลงต่่ำอย่างผิดหวัง ผมจับใบหน้านั้นด้วยความรักใคร่ไม่อยากห่างไปไหน...
“ข้าขอโทษ...” คังยูพูดน้ำเสียงเบา “...ข้าทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับเจ้าไม่ได้...”
“แต่เจ้าทำให้ข้าได้อีกเรื่องหนึ่ง...”
“เรื่องอะไรหรือ...”
เกี้ยวที่บรรทุกผมกับคังยูสั่นไปมา ข้างนอกมีกลุ่มคนแปลกหน้าเข้ามาลอบโจมตี เป็นอย่างที่ผมพูดเอาไว้ไม่มีผิดเพี้ยน ผมหลับตาลงพร้อมกับทำใจว่าเวลาของผมนั้นได้มาถึงแล้ว...
...แม้ทุกอย่างจะดูไวไปหมด...แต่สุดท้ายแล้วมันก็ลงท้ายแบบนี้อยู่ดี
“ข้าทนเห็นเจ้าได้ไม่ได้คังยู...” ผมพูดกับเขา “...ข้าทนเห็นเจ้าตายต่อหน้าข้าไม่ได้จริงๆ”
ผมเตรียมตัวลงจากเกี้ยว คังยูยื่นแขนมาขวางผมเอาไว้หลังจากนั้นเขาก็ตอบผมกลับมา
“ข้าเองก็เช่นกัน...ข้าเองก็ทนเห็นเจ้าตายต่อหน้าข้าไม่ได้เช่นเดียวกัน”
ไม่นะ...ผมอ้าปากค้างตอนที่คังยูลงจากเกี้ยว เตรียมตัวต่อสู้กับคนที่เข้ามาลอบสังหารอย่างเต็มที่ หากเขาเป็นอะไรไป...ผมจะอยู่อย่างโดดเดี่ยวในยุคนี้ต่อไปโดยไม่มีเขา...
ผมจะเห็นเขาตายต่อหน้าผม...
ผมรีบลงมาจากเกี้ยวทันที กลุ่มทหารกำลังต่อสู้กับพวกที่ใส่ชุดดำและก็น่าจะเป็นพวกของยุนนารา ผมทำอะไรไม่ถูกขณะที่ตัวเองนั้นอยู่ท่ามกลางการต่อสู้อย่างนองเลือดของจริงที่มีทั้งคนถูกฆ่าและก็คนที่ถูกฟันแขน
คังยูกำลังต่อสู้กับพวกชายชุดดำอย่างเก่งกาจ แต่คนพวกนั้นมีจำนวนมากเกินไปและก็มีเข้ามาเพิ่มเติมเสริมเรื่อยๆ เขากำลังเสียเปรียบอยู่และก็กำลังจะล้มลง...
ผมทนเห็นภาพนั้นไม่ได้...และยิ่งไปกว่านั้นยุนนารากำลังเล็งธนูมาที่คังยูจากเนินเขาสูง สายตาของนางเต็มไปด้วยความเคีียดแค้นและก็อาฆาตพยาบาท
นี่สินะ...สิ่งที่ยองวอนมันเคยทำ...นี่สินะ...คือสิ่งที่ผมกำลังจะทำ
ผมรีบเอาตัวเข้าไปขวาง ลูกธนูถูกยิงมาจากยุนนาราและก็ฝังเข้ากับตัวของผมจนลูกธนูทะลุตัวของผมออกไป
มันเจ็บนะครับ...แต่ถ้าผมเห็นคนด้านหลังผมมันเจ็บ...ผมคงจะเจ็บกว่า
“จูเนียร์” คังยูอึ้งมาก...เขารับร่างที่เอนตัวไปหาเขา แต่ผมผลักเขาออกไปเมื่อยุนนารากำลังจะเล็งลูกที่สองมาใส่คังยู
จึก
ผมโดนอีกครั้งที่ลำตัว...ไม่ว่ายังไงก็ไม่น่าจะรอด ตอนนั้นนั่นเองที่ซองชิลเข้ามาช่วยพวกเรา ซองชิลพาทหารที่จงรักภักดีกับซองโจมาด้วย พวกชุดดำจึงถูกจัดการไปหลายคนด้วยคนมีฝีมืออย่างซองชิล
“ไม่นะ จูเนียร์...” คังยูเสียงสั่นขณะที่ผมล้มลงไป เขารีบรับตัวผมด้วยมือไม้ที่สั่นระรัว น้ำตาของเขากำลังจะไหลออกมา “ไม่นะ...”
“อย่า...ร้อง...” ผมเอื้อมมือไปแตะดวงตาของเขา ผมกำลังทำตัวเหมือนผมรู้อยู่แล้วว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ ใช่ ผมรู้อยู่แล้ว “...ยิ้ม...ให้...ดู...หน่อย...”
“เจ้าบ้าไปแล้วหรือ ข้าจะยิ้มได้ยังไง!” คังยูหันซ้ายหันขวา พยายามคิดว่าจะช่วยผมให้รอดยังไง แต่มันไม่มีทางที่ผมจะรอดหรอก
“ยิ้ม...” ความเจ็บปวดแล่นริ้วไปทั่วร่างกายของผม ผมกระอักเลือดสองสามครั้ง ยิ่งผมเป็นแบบนั้น คังยูก็ไม่ยอมยิ้มเหมือนอย่างที่ผมต้องการ...
“จูเนียร์ อย่าทิ้งข้าไป อย่าทิ้งข้า...”
“ข้า...บอก...แล้ว...ข้า...เห็น...เจ้า...ตาย...ไม่ได้” ผมพูดอย่างยากลำบาก
“ไม่เอา...ไม่”
“ดูแล...ตัวเอง...นะ”
“ไม่”
“...”
“ข้าขอสั่งให้เจ้าไม่ไปไหน!”
“หึ...เจ้าสั่งข้าได้หรือ”
คังยูมองผมอย่างเหนื่อยหน่ายหัวใจ สีหน้าของเขาเจ็บปวดมากมายเกินจะบรรยาย “เจ็บไหม เจ็บมากไหม” คังยูแตะใบหน้าของผมอย่างเป็นห่วงเป็นใย และพูดด้วยน้ำเสียงที่หัวใจแตกสลาย
ผมส่ายหน้า... “ข้า..กำลัง...จะ...กลับไป..แล้ว...”
“กลับหรือ”
“กลับไป...ที่ยุคของข้า”
“...”
“เจ้าสัญญา...กับข้าได้ไหม...”
“...”
“เจ้าต้องตามหา...ข้าให้เจอ...ข้าต้องได้เจอเจ้า...”
“จูเนียร์ ไม่นะ ไม่...” คังยูน้ำตาไหลออกมาเป็นสาย “...ข้าจะอยู่ยังไง ข้าไม่ให้เจ้าไป...เจ้าไม่รักข้าแล้วหรือ...”
“ความรักของข้า...เป็นอย่างไร...เจ้าจะรู้ได้...ตอนที่เจ้า...เปิดลิ้นชัก...อยู่ในหอพัก...”
“...”
“ความรักของข้า...เป็นไปตาม...สิ่งที่ป้ายหยกนั้น...บอกเจ้า”
ผมรู้สึกว่าเท้าของผมเย็นเฉียบ...ดวงตาที่ผมมองเห็นเป็นใบหน้าที่กำลังร้องไห้ของคังยูเริ่มพร่ามัว...ความเจ็บปวดที่ผมมีเริ่มเปลี่ยนแปลงไปอย่างช้าๆ...กลายกับว่ามันกำลังจะสูญสลายไปยังไงยังงั้น
เฉกเช่นเดียวกันกับตัวผม...
“เจ้าไม่ไป ไม่ได้หรือจูเนียร์ ได้โปรดเถอะ”
ผมหลับตาพริ้มแทนคำตอบ...
“จูเนียร์”
“...”
“ข้ารักเจ้า”
“...”
“ข้าสัญญาว่าเราจะได้เจอกัน”
“...”
“ข้าจะตามหาเจ้าให้เจอ”
ความรักของผมที่มีให้กับคังยูเหมือนกับป้ายหยกที่ยองวอนมันให้พ่อของมันไปสั่งทำมาให้
เป็นคำภาษาจีนที่คำแปลเหมือนชื่อของมัน...
ความรักของผมที่มีให้กับคังยู...จะให้เขาอยู่แบบนั้น...ตราบชั่วนิรันดร์
ผมหลับตาลง โลกทั้งโลกดับวูบ สิ่งสุดท้ายที่ผมเห็นก็คือใบหน้าของคังยูที่เศร้าโศกเสียใจมากเกินกว่าที่ผมจะบรรยายได้...
หม่าม้าบอกผมเสมอว่าผมเป็นเด็กพิเศษ
ไม่ใช่ดาวน์ซินโดรมอะไรเทือกๆ นั้นนะครับ แต่หม่าม้าบอกว่าผมเหมือนเป็นเด็กที่อยู่ในคราบของผู้ใหญ่ ไม่ดื้อ เชื่อฟังหม่าม้ากับพ่อเสมอ ยิ่งผมโตขึ้นหม่าม้าก็ยิ่งชอบชมผมว่าผมนั้นสอนไม่ยากไม่เย็นอะไรเลย แต่แปลกอยู่อย่างหนึ่ง...เหมือนผมมีเรื่องในใจตลอดเวลา
ใช่ครับ...ผมมีเรื่องในใจตลอดเวลา
ผมกลายมาเป็นจูเนียร์ ลูกของพ่อชาวอีสานและก็หม่าม้าที่เป็นทายาทร้านทองที่เยาวราช มีน้องสาวชื่อเจอาร์ ทุกอย่างเป็นไปตามสิ่งที่ผมเคยเป็นก่อนหน้าที่ผมจะถูกย้อนเวลากลับไปที่ยุคโชซอน
ผมไม่ได้ย้อนเวลากลับมาตอนที่ผมเป็นเด็กรัฐศาสตร์การทูตที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล แต่ผมย้อนเวลากลับมาเกิดใหม่ เริ่มต้นใหม่ กลายเป็นจูเนียร์คนเดิมที่เป็นผู้ใหญ่มากขึ้นกว่าเดิม และก็เฝ้าหวังว่าสักวันหนึ่งผมจะได้เจอคังยูในยุคปัจจุบันอย่างที่ผมกับคังยูให้คำสัญญาต่อกันเอาไว้
ผมเฝ้ารอวันนั้นเสมอ...ผมกลายเป็นเด็กเงียบๆ...ชอบมองเหม่อตลอดเวลา แม้ผมจะทำหน้าที่เป็นลูกที่ดีด้วยการตั้งใจเรียน แต่ท้ายที่สุดแล้วผมก็มีเรื่องเดียวในใจของผมตลอดมา นั่นก็คือเมื่อไหร่ผมจะได้เจอคังยู...
หารู้ไม่ว่าโชคชะตาแม่งโคตรจะเล่นตลก
ผมจำความได้ตอนที่ผมอายุประมาณสามขวบกว่า...ตอนนั้นแม้เรื่องราวจะจางๆ ไม่ได้ปะติดปะต่ออะไรมากมาย แต่ผมรู้ว่าผมเคยเป็นใครมาก่อน
ตอนสี่ขวบ...เรื่องราวทุกอย่างชัดเจนขึ้นทุกขณะ ผมจำได้ทั้งหมด และก็รู้ตัวว่าตัวเองต้องรอคอยใครสักคน
ตอนห้าขวบ...ผมก็ยังรอคอยให้ความบังเอิญหรือความตั้งใจอะไรก็ตามแต่นั้นได้เกิดขึ้นกับผมสักที
แต่จนแล้วจนรอดมันก็ยังไม่เกิดขึ้น ห้าขวบก็แล้ว หกขวบก็แล้ว เจ็ดขวบ แปดขวบ เก้าขวบ สิบขวบ...คังยูก็ไม่มาปรากฏตัวให้ผมเห็น
จนกระทั่งวันหนึ่ง...วันที่ผมรอคอยนั้นก็มาถึง
TBC*