เปิดเพลงไปด้วยก็ได้นะคะ แรงบัลดาลใจมาจากเพลงนี้แหละค่ะ
https://www.youtube.com/watch?v=1GKKueOroGYYume to hazakura
ความตายไม่น่ากลัวเลย
คนที่อยู่โดยไม่มีอากาศหายใจต่างหาก
คนที่ตายทั้งเป็นต่างหาก
เมื่อแรงบัลดาลใจในการมีชีวิตอยู่ของคนๆหนึ่งหายไป
ชีวิตจะเดินต่อไปอย่างไร
.
.
.
.
.
.
เศษเสี้ยวที่ตกผลึกหายไปของชีวิตผม ตะกอนความคิด ภาพความทรงจำ และรอยยิ้มสดใสของเพื่อนสมัยเด็กคนหนึ่งที่มีมาให้ผมเรื่อยมาจนกระทั่งเติบโตมาได้ยี่สิบปี เด็กบ้านใกล้เรือนเคียงที่เห็นหน้าค่าตามาตั้งแต่จำความได้ สิ่งที่ตรึงสายตาของผมนั้นไม่ใช่เพราะใบหน้าของเขาดูดีเพียงอย่างเดียว
รอยยิ้มที่เหมือนทำให้โลกสว่างไสวนั่นต่างหาก
“สวัสดี เราชื่อยูตะ”
“เรา นาโอกิ”
วันแรกที่เรารู้จักกัน และเริ่มที่จะเรียกชื่อกัน มากกว่าจะเรียกนามสกุลของอีกฝ่าย
“นาโอกิเที่ยวเผื่อผมด้วยนะ”
ประโยคที่ผมมักจะได้ยินเป็นประจำดังขึ้นทุกครั้งเมื่อเขาออกจากประตูบ้านมาแล้วพบว่าผมกำลังแบกเป้เตรียมไปข้างนอก เท่าที่ผมจำความได้ เมื่อผมอยู่ประถมสี่ละมั้ง ที่อยากจะไปจับแมลงในฤดูร้อนกับเพื่อนที่โรงเรียนประถม เลยชวนเพื่อนบ้านตรงข้ามไปด้วย แต่คุณแม่ของยูตะก็ปฏิเสธด้วยรอยยิ้มบางๆ
“ยูตะไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไหร่ ยังไงนาโอกิคุงจับมาเผื่อยูตะด้วยได้มั้ยลูก?”
ผมจำได้ว่าผมพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว พร้อมยิ้มกว้างให้เด็กหนุ่มบ้านตรงข้าม และรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะจับมาฝากหลายๆตัว และผมก็ทำตามสัญญา จนได้รับของขวัญชิ้นพิเศษจากยูตะ
รอยยิ้มสดใสกว้างขวางนั้นทำให้ผมหัวใจแทบหยุดเต้น
ในวัยเด็ก ผมไม่เคยเห็นอะไรสดใสเท่านี้มาก่อน
จนกระทั่งเมื่อผมโตขึ้นเรื่อยๆ และเริ่มรับรู้ถึงสิ่งที่ยูตะเป็น
ยูตะจำเป็นต้องเรียนโฮมสคูล เพราะสภาพร่างกายไม่เอื้ออำนวยเท่าไหร่นัก ในขณะที่ผมเป็นนักเรียนมัธยมและมีเพื่อนมาที่บ้านเป็นประจำ ผมไม่ลืมเรียกยูตะมาที่บ้านผม พร้อมทั้งแนะนำให้เพื่อนๆได้รู้จักกับยูตะ ยูตะตัวเล็กกว่าผมมาก ตัวผม ผิวขาวซีด ติดจะเหลืองมากกว่าผมพอประมาณ แต่รอยยิ้มเขาก็สดใสจนผมเองก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมเขาถึงมีรอยยิ้มสว่างไสวขนาดนี้ทั้งๆที่เขาไม่ค่อยได้พบเจอใคร ไม่ได้ออกไปไหนเท่าไหร่
ผมสงสัยเรื่องโรคที่ยูตะเป็น เคยถามแม่หลายครั้งแต่ก็ไม่เคยได้รับคำตอบที่ดี จนกระทั่งยูตะสอบเทียบมัธยมปลายได้ เขาเรียนช้ากว่าผมหนึ่งปีแต่ก็ไม่ได้แปลกอะไร เขาเข้ามาเรียนโรงเรียนเดียวกับผม ในขณะที่ผมอยู่มัธยมปลายปีสอง(มอห้า) เขาอยู่มัธยมปลายปีหนึ่ง(มอสี่) และเขาก็มักจะแกล้งเรียกผมว่ารุ่นพี่ตลอด นั่นทำให้ผมเผลอโบกมือกับศีรษะทุยๆนั้นจนชินเสียแล้ว
ยูตะแข็งแรงขึ้นมาก และเข้ากับสังคมรอบข้างได้ดีจนผมเองก็ไม่ต้องเป็นห่วงอะไร จนวันหนึ่งคุณป้าบ้านตรงข้ามเรียกให้ผมไปพูดคุยด้วย ใบหน้าของคุณป้าเคร่งเครียด และพูดทั้งน้ำตาว่า
“ป้าไม่อยากให้ยูตะอดทนกับมันคนเดียว ป้าอยากให้ยูตะมีเพื่อน และป้าแน่ใจว่านาโอกิคุงเองก็จะเป็นเพื่อนที่ดีคนหนึ่งของยูตะ”
ผมได้แต่ตอบรับหนักแน่น และเมื่อได้ยินสิ่งที่คุณป้าฝากฝัง ก็ทำให้ผมเผลออ้าปากค้างไป
“ยูตะเป็นโรคเอสแอลอีลูก โรคที่ไม่มีทางรักษาหาย และไม่รู้ว่าจะกำเริบเมื่อไหร่ ป้ายอมรับว่าแรกๆป้ากังวลกับเรื่องอาการในทางที่ผิด เป็นห่วงยูตะในทางที่ผิดเกินไป แต่ตอนนี้เราศึกษาและคิดว่าพอจะรับมือกับมันได้ แต่ป้าก็ยังเป็นห่วงยูตะอยู่ดี ป้าฝากยูตะหน่อยได้มั้ย นาโอกิคุง ...”
ผมตกใจตั้งแต่คำว่ารักษาไม่หายแล้วล่ะครับ จนเมื่อได้กลับบ้านไปเลยค้นหาข้อมูลของโรคนี้อย่างละเอียด สิ่งที่ผมพบก็ทำให้ผมเข้าใจคุณป้ามากขึ้นว่าทำไมถึงเป็นห่วงยูตะนัก และนับแต่นั้นมา ผมก็ค้นพบเส้นทางที่ทำให้ชีวิตของผมเปลี่ยนไป
ผมคอยดูแลเพื่อนบ้านตรงข้าม พยายามบอกให้เขาทำนู่นทำนี่ ทานโน่นทานนี่ดีกว่า อย่างนี้มันดีนะ อย่างนั้นมันดีนะ ชวนเขาไปออกกำลังกาย ชวนเขาทำกิจกรรมที่มันจะทำให้สุขภาพของเขาแข็งแรง จนวันหนึ่ง เหมือนยูตะจะรำคาญผมขึ้นมา
“นาโอกิ แกเป็นอะไรของแก วุ่นวายมากเกินไปแล้วมั้ง?”
“ฉันแค่เป็นห่วง ไม่อยากให้ถือของหนัก ไม่อยากให้ไปในที่ที่คนเยอะๆ ก็เลย...”
“ฉันเป็นผู้ชาย แกจะห่วงอะไรนัก หรือว่า ..”
สายตาที่ยูตะมองผมนั้นทำให้ผมนิ่งงันไป และพูดอะไรออกมาไม่ได้ รอยยิ้มของยูตะแห้งแล้งจนผมเผลอกำหมัดแน่น อย่างน้อยๆยูตะก็ไม่เคยยิ้มแบบนี้ให้ผม ไม่เคยยิ้มมุมปากดูแคลนผมแบบนี้
“รู้จากแม่สินะ ...สงสารเราสินะ?”
“เฮ้ ..ยูตะ ฉันแค่เป็นห่วง”
“หึ ..”
ยูตะทำแค่ยกยิ้มแล้วหันหลังเดินห่างผมไป
นั่นเป็นครั้งเดียวที่ผมทะเลาะกับเขา เป็นครั้งแรกและผมพยายามให้เป็นครั้งสุดท้าย ผมเริ่มพยามเปลี่ยนมุมมองใหม่ เมื่อพบว่าผมกำลังเป็นเหมือนคุณแม่ของยูตะตามที่เป็นห่วงเขามากเกินไป ผมพยายามศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับโรค และลอบสังเกตยูตะห่างๆ ผมทำได้แค่นั้นเพราะตั้งแต่วันนั้นยูตะก็ไม่คุยกับผมอีก ไปกับเพื่อนๆในห้องเรียนของเขา สินทกันจนผมกลายเป็นบุคคลที่ถูกลืม จนกระทั่งผมขึ้นมัธยมปลายปีสาม และยูตะขึ้นมัธยมปลายปีสอง
ในวันที่ซากุระร่วงโรยเต็มสองข้างทาง ในระหว่างที่ผมกำลังเดินไปโรงเรียน
ผมมองเห็นแผ่นหลังคุ้นตาที่นำหน้าผมอยู่ เขาเดินอย่างมั่นคง เรื่อยๆ จนกระทั่งหยุดเท้าแล้วเงยหน้ามองต้นซากุระเหล่านั้น ผมสีดำสนิทที่ถูกตัดเป็นทรงเรียบร้อยของยูตะปลิวเคลียร์แก้มสีชมพูอ่อน ๆ นั้น ในขณะที่ซากุระร่วงลงมาตามลมที่พัดมา
ยูตะผินหน้ามามองผมเมื่อเขาเห็นผมในคลองสายตา
เราสบตากันโดยไม่มีคำพูดใด ๆ เพียงแค่ช่วงเวลาไม่เกินห้าวินาที
แต่สุดท้าย ยูตะก็ยิ้มสว่างไสวแบบเดิมที่เขาชอบทำ
“อรุณสวัสดิ์ นาโอกิ”น้ำเสียงสดใสนั้นทำให้ผมเก็บงำความคิดที่ผมเก็บไว้กับตัวเองตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาที่ผมเริ่มแน่ใจ
ความรู้สึกที่มันชัดเจนจนทำให้เส้นทางชีวิตของผมเปลี่ยนไปตั้งแต่วันที่ค้นพบว่ายูตะป่วยเป็นอะไร
ผมอยากอยู่กับเขา อยากให้เขามีสุขภาพแข็งแรง อยากให้เขามีชีวิตที่ยืนยาว
โดยที่ขอเพียงแค่ผมคอยได้ลอบมองแผ่นหลังบาง ๆ นั่น จะจากที่ไหนก็ตาม
“จะเรียนแพทย์?”
“ครับ ...”
“แล้วเรื่องฟุตบอลล่ะลูก ? นาโอกิชอบฟุตบอลไม่ใช่หรือ?”
ผมเป็นนักกีฬาโรงเรียน และเป็นนักกีฬาฟุตบอลมาตลอด ผมชอบกีฬาชนิดนี้ ตลอดระยะเวลาที่เรียนมาก็เป็นนักกีฬาของโรงเรียนมาตลอด จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ก็มีคนมาติดต่อเรื่องจะขอให้ผมไปจริงจังกับการฝึกซ้อมเมื่อจบมัธยมปลาย เขาอยากให้ผมเป็นนักบอลอาชีพและจะพยายามสนับสนุนในผมเข้าทีมชาติให้ได้ เพราะเขาเล็งเห็นว่าผมค่อนข้างจะมีฝีมือพอสมควร ทางบ้านของผมเองก็ปล่อยอิสระ ถึงผมจะเป็นลูกชายคนโตก็ตามแต่ท่านทั้งสองก็ไม่ได้สั่งให้ผมเดินตามเส้นทางที่ท่านขีดไว้ให้
“นั่นสิ พี่ชอบฟุตบอลจะตาย”
ผมเหล่มองโทโมยะที่นั่งกินขนมไปดูทีวีที่กำลังฉายฟุตบอลไป นอกจากผมจะชอบฟุตบอลแล้ว ผมว่าโทโมยะมันก็ชอบพอกันกับผมเนี่ยล่ะ อีกอย่าง ผมมีเป้าหมายที่ชัดเจนกว่าการเป็นนักฟุตบอลทีมชาติมากโข
“ผมอยากเป็นหมอครับแม่ นะครับพ่อ”
พ่อของผมยิ้มบางแล้วยกมือขึ้นตบศีรษะผมตุบๆไม่แรง แล้วยิ้มให้
“เพราะยูตะคุงสินะ”
เสียงอ่อนโยนของพ่อทำให้ผมชะงักไป ใบหน้าของพ่อยิ้มและมองลึกเหมือนรู้ว่าผมคิดยังไง
“พยายามเข้านะ นาโอกิ”
และนั่นทำให้ผมตอบรับด้วยเสียงหนักแน่น
“ครับ”
.
.
.
.
ในช่วงที่ผมจะต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยนั้น ผมค่อนข้างขยันเป็นพิเศษ ถึงแม้ตัวผมจะเรียนอยู่ในระดับ Top 50 ของชั้นปี แต่ก็ใช่ว่าจะประมาทได้ ทำให้ผมต้องตั้งใจอ่านหนังสือสองเท่า จากเดิมผมก็อ่านบ้างไม่อ่านบ้าง และพอผมอ่านหนังสือขึ้นมาก็ทำให้ติดหนึ่งในสิบของชั้นปี ผมโอเคกับอันดับการสอบปลายภาคเรียนที่หนึ่งของมัธยมปลายปีสามของผม(มัธยมหก) และพอผมหันไปอีกดานของบอร์ดที่ติดประกาศของมัธยมปลายปีสอง(มัธยมห้า) ก็ทำให้ผมยกยิ้ม
“ที่หนึ่งเลยงั้นหรือ?”
“ของมันแน่อยู่แล้ว”
รอยยิ้มสดใสของยูตะทำให้ผมยิ้มตอบกลับไป ไม่นานจากนั้นเพื่อนๆของเขาก็เข้ามาล๊อคคอเขาจากด้านหลังแล้วลากเขาไปอีกด้าน การกระทำไม่รุนแรงแต่กลับทำให้ผมกระตุกวูบ แต่สุดท้ายก็ยั้งปากเอาไว้แล้วโบกมือลาอีกฝ่ายที่โบกมือไหวๆแล้วขอตัวขึ้นไปเรียน
ผมเองก็ทำได้แค่เพียงแอบเป็นห่วงยูตะห่างๆ คอยระวังนู่นระวังนี่ให้เขาโดยพยายามไม่ให้เขารู้ตัวว่าผมเป็นคนทำ เพราะผมไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์เหมือนเมื่อครั้งก่อนอีกแล้ว การไม่ได้พูดคุย ไม่ได้เห็นหน้าตลอดปิดเทอมใหญ่ทำให้ผมทรมานมากพอดู และผมไม่อยากทดสอบจิตใจตัวเองเป็นครั้งที่สอง
เพราะความรู้สึกของผมชัดเจนมากขึ้นเมื่อผมไม่ได้พบหน้าเขา ไม่ได้เห็นเขาและไม่ได้พูดคุยกับเขา แต่พอเราได้คุยกันอีกครั้ง ความรู้สึกเต็มตื้นในอกนั้นเองที่ทำให้ผมเข้าใจตัวเองมากขึ้น
ผมอยากเป็นหมอเพราะตัวผมเอง
ผมเห็นแก่ตัวเกินกว่าจะปล่อยให้คนที่ผมรักได้รับอันตราย
และเห็นแก่ตัวมากพอที่จะทำให้คำว่าหมอผูกมัดให้ผมกับเขาได้ใกล้ชิดกันเหมือนเมื่อก่อน
.
.
.
“ฉันได้ข่าวว่าแกจะเรียนหมอ?”
“ใครบอกล่ะ”
“สาวๆที่ห้องน่ะสิ นี่ไม่รู้เรื่องเลยใช่มั้ยว่าตัวเองเป็นประเด็นที่สาวๆเขาคุยกันว่าอยากจะให้ช๊อคโกแลตวาเลนไทน์มากที่สุดกันน่ะ รุ่นพี่นาโอกิ”
เพราะน้องชายผมเรียนอยู่มัธยมปลายปีหนึ่งผมถึงกลายเป็นรุ่นพี่นาโอกิไปเสีย เด็กๆที่เคยเรียกนามสกุลก็เลิกเปลี่ยนไปเรียกชื่อกันหมด แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ผมกังวลเท่าไหร่ ออกจะเสียดายนิดหน่อยเพราะชื่อของผมถ้าให้นับก็มีไม่กี่คนเท่านั้นที่เรียก
รวมถึงเพื่อนสนิทตรงข้ามบ้านที่ยืนคุยกับผมอยู่บนดาดฟ้าโรงเรียนช่วงพักกลางวันคนนี้ด้วย
“รุ่นพี่นาโอกิจะออกไปเผชิญโลกมหาวิทยาลัยแล้วสินะ ...”
ถึงจะทำเหมือนพูดกับตัวเอง แต่น้ำเสียงเรียบๆของยูตะนั้นบ่งบอกอารมณ์ของเจ้าตัวชัดเจนเหมือนปกติที่ผมได้ยิน เขามักจะเป็นคนที่มีสีหน้าต่างกับอารมณ์ข้างในที่รู้สึก และนั่นเป็นอีกจุดหนึ่งที่ผมชอบเขา
“เหงาหรือไง?”
“นิดหน่อย”
ผมเลิกคิ้วเหมือนจะสื่อว่าให้ตอบใหม่ และเจ้าตัวก็ทำหน้ามุ่ยส่งมาให้
“ไม่นิดก็ได้”
“เหงาก็ยอมรับว่าเหงา พูดตรงๆน่ะน่ารักจะตาย”
เจ้าตัวขมุบขมิบปากเหมือนอยากจะกร่นด่าอะไรผมสักอย่างซึ่งผมไม่ได้ตั้งใจจะเงี่ยหูฟังนัก เพราะลมที่แรงพอควร กับดาดฟ้าที่มีแดดในฤดูหนาว และนั่นทำให้ผมพึ่งรู้ตัวว่าผมเผลอไผลอีกครั้ง
ผมดึงผ้าพันคอออกจาคอตัวเองก่อนจะเดินเอาไปพันให้อีกฝ่ายที่ยืนมองท้องฟ้าฤดูหนาว ถึงจะมีแดดทำให้อุ่น แต่ลมบนดาดฟ้าก็แรงพอสมควรเลยทีเดียว ผมพลาดเองที่ตามใจเขา จนลืมนึกถึงร่างกายของอีกฝ่าย ถึงแม้ยูตะจะทำตัวเหมือนปกติแค่ไหน ผมก็ไม่อยากจะเชื่อใจโรคร้ายนี่เท่าไหร่นัก ช่วงจังหวะที่ดวงตาคู่โตมองมือผมที่พันผ้าพันคอให้เขาเงียบๆ ผมรู้สึกว่าถูกจ้องมองและนั่นทำให้ผมเหลือบตาจากลำคอขาวที่ถูกพันด้วยผ้าพันคอสีแดงสดขึ้นมาสบตาอีกฝ่าย
ผมไม่รู้ว่ายูตะจะรู้มั้ยว่าผมรู้สึกอย่างไร ผมรู้แค่ว่าผมเก็บงำความรู้สึกนั้นมิดชิด แต่มันมิดชิดได้แค่ไหน และมันจะทำให้อีกฝ่ายระแคะระคายหรือไม่ ผมไม่มั่นใจนัก แต่ดวงตาของยูตะทำให้ผมหยุดมือที่จับผ้าพันคอค้างไว้
“ฉันลืมไปหรือเปล่านะ ว่าเรารู้จักกันเกือบทั้งชีวิตที่ผ่านมา”
เสียงทุ้มเรียบของยูตะทำให้ผมยิ้มตอบ
“ไม่ได้ลืม ฉันเองก็ไม่ได้ลืม”
“แต่ฉันเกือบจะลืม ว่านาโอกิยืนอยู่ข้างๆมาตลอด”
แล้วสิ่งที่ทำให้ผมตกใจก็เกิดขึ้น
“ร้องไห้ทำไมยูตะ”
ผมยกมือปาดน้ำตาอีกฝ่ายเป็นพัลวัน เมื่อน้ำตาของยูตะไหลเคลียร์แก้มที่ซับสีเลือดจาง และนั่นทำให้ผมสังเกตเห็นว่าใบหน้าของยูตะไม่เหมือนเดิม รอยสีแดงที่พาดผ่านข้างจมูกและผ่านสันจมูกของอีกฝ่าย ที่ตอนแรกผมนึกว่าเพราะอากาศหนาวเย็นถึงทำให้อีกฝ่ายมีสีเลือดจางๆบนใบหน้าแบบนี้
“ยูตะ ...ไปโรงพยาบาลกัน”
ยูตะส่ายศีรษะไปมา
“ทำไมฉันถึงตามใจให้แกขึ้นมาบนนี้ทั้งๆที่แดดแรงขนาดนี้ได้นะ”
“ไม่เอา ไม่ไป”
“ยูตะ อย่าดื้อ”
“ไม่เอา”
“ยูตะ!!”
ผมตะหวาดเสียงดังลั่นดาดฟ้า และนั่นทำให้อีกฝ่ายร้องไห้หนักขึ้น ผมไม่รู้ว่าเขาร้องไห้เพราะอะไร เขามีอาการเจ็บปวดทางกายหรือไม่ หรือเขาปวดหัว หรืออะไรจนกระทั่งผมทำได้แค่จูงอีกฝ่ายไปหลบแดดอีกด้าน แล้วยกมือเช็ดน้ำตาอีกฝ่ายเบาๆ
“ปีที่แล้ว ขอโทษนะนาโอกิ ขอโทษ ..”
ผมถอนหายใจแล้วส่ายหน้าไปมา มือก็เช็ดหน้าอีกฝ่ายไม่แรงนักแล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าที่ผมมักจะพกไว้แต่ก็ไม่เคยได้ใช้เองเลย ผมส่งผ้าให้อีกฝ่ายเอาไปเช็ดน้ำตาและสั่งน้ำมูก ไม่เช่นนั้นเดี๋ยวจะหายใจไม่ออกเอา
“ไม่ร้องแล้วยูตะ เดี๋ยวหายใจไม่ทัน”
“พอนึกได้ว่าจะไม่ได้อยู่โรงเรียนด้วยกันแล้วมันก็โหวงๆขึ้นมา..”
“ก็เลยร้องไห้เนี่ยนะ?”
“ฉัน ...”
“ไม่เอาแล้วยูตะ เย็นนี้ไปหาหมอด้วยกันนะ”
ยูตะเม้มปากทำท่าจะปฏิเสธแต่พอผมมองดุเขาเลยถอนหายใจแล้วพยักหน้าในที่สุด
อาการกำเริบแน่ๆ ผมเห็นผื่นแดงบนใบหน้าของเขา
ผมยกมือขึ้นโยกศีรษะเล็กนั้นเบาๆ
“บ้านเรายังอยู่ตรงข้ามกัน ยูตะเบื่อก็มานอนเล่นที่ห้องฉัน เป็นไง?”
“อื้อ”
แล้วรอยยิ้มสดใสก็ปรากฏให้ผมเห็นอีกครั้ง
..
.
.
.
.
.