บทที่ 34 ไม่คาดฝัน
.........................
เช้าวันต่อมารัตติต้องเดินออกมาหาตึกรับภารกิจด้วยตัวคนเดียว เนื่องจากสามหนุ่มกับหนึ่งตัวต้องทำงานที่พวกเอลฟ์ให้ทำอยู่ ยกเว้นรัตติเพียงคนเดียวที่พวกเอลฟ์ไม่ยอมให้ทำเนื่องจากรัตติเป็นมังกรชั้นสูง ดังนั้นจึงทำให้เด็กหนุ่มต้องเดินออกมาจากที่นั่นพร้อมแผนที่เมือง ซึ่งพวกขุนนางของเอลฟ์มอบไว้ให้ใช้ฟรี หลังจากรัตติเดินออกมาจากที่พักแล้ว เขาก็เดินตรงไปยังตึกรับภารกิจที่มีเขียนไว้บนแผนที่ทันที
“สวัสดีค่ะ มีอะไรให้ดิฉันรับใช้คะ” พนักงานสาวกล่าวพลางพนมมือยกไหว้เด็กหนุ่มที่เพิ่งจะเดินเข้ามาถึงเคาน์เตอร์ ซึ่งทำเอารัตติแทบยกมือขึ้นไหว้ไม่ทัน
“เอ่อ ผมจะมาสอบถามเกี่ยวกับภารกิจพิเศษนะครับ” รัตติตอบก่อนจะถามต่อ “ภารกิจระดับเอ เอ่อ กู้วิกฤตดินแดน…เอลฟ์นะครับ”
พนักงานสาวได้ยินที่รัตติพูดก็ฉีกยิ้มหวานก่อนจะตอบกลับไปว่า
“งั้นกรุณารอสักครู่นะคะ” แล้วพนักงานสาวก็คีย์ข้อมูลอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเงยหน้าขึ้นตอบรัตติว่า “ภารกิจนี้คุณผู้เล่นจะต้องช่วยเหลือเจ้าชายเอลฟ์ค่ะ แต่ทางเราไม่สามารถบอกได้ว่าคุณผู้เล่นจะต้องช่วยยังไง อ้อ แล้วภารกิจนี้คุณผู้เล่นสามารถขอให้ผู้เล่นคนอื่นช่วยได้นะคะถ้าหากคุณมีระดับที่ต่ำกว่ายี่สิบค่ะ”
รัตติขมวดคิ้วคิดย้อนกลับไปตอนที่เขาเปิดหน้าต่างสถานะดู ซึ่งตัวเขาในตอนนี้มีระดับแค่สิบเท่านั้นเอง
“แล้วภารกิจนี้เขาจำกัดจำนวนคนที่จะช่วยผมหรือเปล่าครับ”
“ไม่จำกัดจำนวนคนค่ะ ภารกิจนี้แล้วแต่คุณผู้เล่นนะค่ะ” พนักงานสาวตอบก่อนจะพูดอธิบายต่อ “แต่ภารกิจนี้จะพิเศษกว่าภารกิจอื่นตรงที่ทางเราจะมีของพิเศษมอบให้ไว้ใช้ยามจำเป็นด้วยค่ะ”
“ท่านได้รับชุดเซตตัวช่วยภารกิจพิเศษระดับเอ กู้วิกฤตดินแดนเอลฟ์เป็นจำนวน 1 เซต”“ของชิ้นนี้คุณสามารถเปิดดูได้ค่ะ แต่ยังใช้ไม่ได้ถ้ายังไม่ถึงเวลานั้นจริงค่ะ”
“ครับ ขอบคุณครับ”
จากนั้นรัตติก็ถามถึงเรื่องเวลาของการทำภารกิจนี้ ซึ่งพนักงานสาวบอกว่าต้องทำให้สำเร็จภายในเจ็ดวัน เมื่อหมดคำถามแล้ว เด็กหนุ่มก็เดินออกจากตึกรับภารกิจทันที ซึ่งหลังจากนี้รัตติคิดว่าจะลองเดินสำรวจเมืองเล่นดู เผื่อจะเจอข้อมูลดีๆเกี่ยวกับภารกิจนี้ก็เป็นได้ ทว่าการเดินทางตามหาข้อมูลนั้นไม่ใช่ของง่าย เพราะไม่ว่าเขาเดินไปทางไหน พวกเอลฟ์ต่างมองด้วยสายตาชื่นชมซึ่งผิดกับเมื่อวานลิบลับ
สงสัยต้องไปหาเจ้าชายเอลฟ์ซะแล้วมั้งรัตติคิดในใจก่อนจะเดินเข้าไปถามเอลฟ์หญิงวัยกลางคนที่ยืนขายผลไม้แผงลอยอยู่ข้างทาง เมื่อทราบที่อยู่ของเจ้าชายพร้อมกับผลไม้จำนวนหนึ่งที่ได้มาฟรีจากแม่ค้าเอลฟ์คนนั้นแล้ว รัตติก็มุ่งตรงไปยังที่อยู่ของเจ้าชายเอลฟ์ทันที พอถึงวังหลวงแล้ว พวกขุนนางที่เคยต้อนรับเขาเมื่อคืนนี้ต่างกรูเข้ามาต้อนรับรัตติทันทีที่พวกทหารยามไปแจ้งบอกกับพวกเขา
“เอ่อ ผมไม่ได้คิดจะมาเที่ยวหรอกครับ ผมก็แค่ต้องการมาหาเจ้าชายเอลฟ์นะครับ” รัตติรีบบอกเพราะกลัวอีกฝ่ายจะพาเขาเดินชมวังหลวง ซึ่งคำถามของเขาทำเอาเอลฟ์ชายวัยกลางคนที่มีผมขาวเกรียนสั้นติดหนังหัวอ้วนท้วมไปด้วยไขมันถึงกับชะงัก
“ท่านต้องการพบใครหรือขอรับ”
“เจ้าชายเอลฟ์นะครับ” พอสิ้นคำตอบ พวกเอลฟ์ที่ยืนล้อมรัตติพากันสะดุ้ง
“เมื่อครู่นี้ท่านพูดอะไรนะขอรับ พอดีข้าได้ยินไม่ชัด” เอลฟ์อ้วนเผละถามพลางเอามือขึ้นเช็ดเหงื่อ
“เจ้าชายเอลฟ์ ผมต้องการพบกับเจ้าชายนะครับ” รัตติตอบก่อนจะนึกถึงคำพูดของพวกนักเลงเอลฟ์ในเมื่อวานนี้ได้ “เอ่อ ถ้าไม่สะดวกจะพาไปล่ะก็ ผมไม่ไปหาเจ้าชายแล้วล่ะครับ ขอตัวกลับก่อน”
แล้วรัตติก็หมุนตัวเดินกลับทางเดิน โดยไม่รอคำตอบจากอีกฝ่ายเลยสักนิด ทว่ารัตติเดินออกไปได้ไม่พ้นประตูวังหลวงดี ก็ชนกับใครบางคนที่เดินสวนเข้าอย่างจัง
ผลัก!
100รัตติเกือบล้มหงายท้องแต่โชคยังดีที่อีกฝ่ายจับมือเขาไว้ได้ทัน ซึ่งเป็นหนุ่มเอลฟ์หน้าหวานผมสีน้ำตาลยาวถูกรวบด้วยเชือก สวมเสื้อสีขาวทับด้วยเสื้อคลุมสีน้ำเงิน กางเกงผ้าฝ้ายสีดำ ส่วนรองเท้าก็เป็นรองเท้าบูตสีน้ำเงินเข้ม
“ท่านเป็นอะไรรึเปล่าขอรับ?” อีกฝ่ายถามด้วยสีหน้ากังวล ซึ่งรัตติกำลังจะอ้าปากตอบว่าไม่เป็นไร เอลฟ์ที่เป็นขุนนางอ้วนๆคนเดิมที่เคยคุยกับรัตติก็สาวเท้าเข้ามาตบหน้าของหนุ่มเอลฟ์ผมสีน้ำตาลอย่างแรง
ฉาด!“เป็นอดีตองครักษ์แท้ๆ ดันมีหน้าสะเออะมาชนท่านผู้นี้ได้!” เอลฟ์ขุนนางอ้วนด่าอย่างไม่ไว้หน้า ก่อนจะหันไปสั่งทหารที่อยู่ใกล้ๆ “ทหาร! จับตัวไอ้องครักษ์นี่ไปขังคุกเดี๋ยวนี้!”
“ดะ...เดี๋ยวก่อนสิครับ ผมว่ามีอะไรเข้าใจผิดกันเล็กน้อยนะ” รัตติรีบแย้งทันควัน ซึ่งทำเอาทุกคนถึงกับชะงัก
“แต่ท่านโดน...”
“ถึงโดนชนแต่ผมก็ไม่ได้เป็นอะไรเลยนี่ครับ เห็นไหม” รัตติพูดพลางหมุนซ้ายขวาให้ทุกคนดู ก่อนจะหยุดหมุนแล้วพูดต่อ “เห็นไหมว่าผมไม่ได้เป็นอะไร เอ่อจริงสิ คุณเป็นองครักษ์ของเจ้าชายใช่ไหม”
“ชะ...ใช่ขอรับ” อดีตองครักษ์ถึงกับสะดุ้งเมื่อรัตติถาม
“ถ้างั้นช่วยพาผมไปหาเจ้าชายหน่อยได้รึเปล่าครับ” รัตติพูดพลางคว้าแขนขวาอดีตองครักษ์ขึ้นมา
“เอ่อคือ...ก็ได้ขอรับ”
“งั้นมัวรออะไรอยู่ล่ะ รีบพาผมไปสิครับ” รัตติพูดพลางดึงแขนให้อีกฝ่ายออกเดินนำ ซึ่งหนุ่มเอลฟ์เห็นดังนั้นจึงรีบทำตามคำสั่งแต่โดยดี โดยที่ปล่อยให้พวกขุนนางยืนอึ้งทำอะไรไม่ถูก หลังจากรัตติพาอดีตองครักษ์เดินออกมานอกวังหลวงแล้ว รัตติก็หยุดเดินพลางปล่อยมือของอีกฝ่ายออกก่อนจะหันหน้ากลับไปมองหนุ่มเอลฟ์ผมสีน้ำตาล
“ดีนะที่รีบออกมา ไม่อย่างนั้นมีหวังคุณได้โดนเอลฟ์อ้วนคนนั้นจับคุณไปขังแน่ครับ” รัตติพูดยิ้มๆ ก่อนจะพูดต่อ “ว่าแต่คุณคือองครักษ์ของเจ้าชายจริงๆใช่ไหมครับเนี่ย”
“ใช่ขอรับท่าน” อีกฝ่ายตอบอย่างสุภาพ ซึ่งทำเอารัตติรู้สึกเขินเล็กน้อย
“แล้วเจ้าชายอยู่ที่ไหนล่ะครับ ผมอยากพบเขา”
“ท่านรู้จักเจ้าชายด้วยหรือขอรับ ท่านผู้สูงศักดิ์” เอลฟ์หนุ่มถามอย่างสงสัย
“ก็ใช่…รู้จักกันเมื่อวานนี้นะครับ” รัตติตอบก่อนจะถามต่อ “ว่าแต่คุณชื่ออะไรล่ะ ผมรัตติ”
อีกฝ่ายได้ยินที่รัตติถามถึงกับสะดุ้งตกใจ
“โอ ข้าผู้นี้ต่ำต้อยนัก มิบังอาจบอกนามให้ท่านทราบได้ขอรับท่านผู้สูงศักดิ์”
“นี่แสดงว่าคุณรู้เรื่องเมื่อวานนี้แล้วงั้นสิครับ” รัตติพูดพลางนึกถึงความอ่อนน้อมถ่อมตนของพวกเอลฟ์ที่เจอมา ซึ่งทุกคนล้วนเห็นเขาราวกับเป็นเทพมาจุติ “เฮ้อ ถึงผมจะเป็นมังกรแต่ผมก็ไม่ได้สูงค่าอย่างที่พวกคุณคิด เพราะฉะนั้นคุณบอกชื่อมาเถอะ”
“แต่ว่า…ก็ได้ขอรับ ข้าน้อยมีนามว่าราเชลขอรับท่าน ยินดีที่ได้รู้จักขอรับ” เมื่อทราบชื่อแล้ว ราเชลอดีตองครักษ์ของเจ้าชายก็ได้พารัตติไปหาเจ้าชายตามคำขอ ซึ่งทีแรกรัตติคิดว่าที่พักของเจ้าชายจะเป็นพระราชวังตามที่เข้าใจคิด แต่พอได้เห็นจริงๆเข้ากลับเป็นเพียงบ้านซอมซ่อหลังหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ท้ายสุดของวังหลวงติดกับป่าแทน
รู้อยู่หรอกว่าเป็นเจ้าชายนอกสายเลือด
แต่ไม่ยักกะรู้ว่าที่พักจะเป็นแบบนี้รัตติครุ่นคิดในใจ
“ท่านแน่ใจแล้วหรือว่าอยากจะพบเจ้าชายนะขอรับ” ราเชลถามย้ำกับรัตติเป็นครั้งที่สองหลังจากที่เคยถามมาก่อนหน้านี้แล้ว “ข้าน้อยเกรงว่าเจ้าชายจะทรงพิโรธถ้าหากมีใครมา…”
“ข้าไม่โกรธหรอกถ้าคนนั้นเป็นท่านมังกร” เสียงคุ้นแว่วดังจากด้านหลัง ทำให้รัตติรีบหันกลับไปดูก็พบว่าคนพูดเป็นเจ้าชายเอลฟ์ ซึ่งสวมเสื้อผ้าทรงเดียวกับเมื่อวาน แต่ผิดตรงที่สีของเสื้อผ้าที่ไม่เหมือนกันเท่านั้น
“เอ่อ อรุณสวัสดิ์พะยะค่ะเจ้าชาย”
“เรียกข้าว่ารูนน์เถอะท่านมังกร” เจ้าชายรูนน์บอก ซึ่งทำเอาเด็กหนุ่มเบ้ปากเล็กน้อยกับคำว่า’ท่านมังกร’
“กระหม่อมว่าพระองค์ทรงตรัสนามของท่านผู้นี้ผิดนะพะยะค่ะ ความจริงแล้วท่านมีนามว่ารัตติพะยะค่ะ” อดีตองครักษ์หรือราเชลพูดกระซิบข้างหู
“ข้ายังไม่อนุญาตให้เจ้าพูดนะราเชล” เจ้าชายรูนน์พูดเสียงเข้ม ซึ่งทำเอาราเชลถึงกับหน้าหงอยพลางเดินถอยห่างออกมาสองสามก้าวอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว “แล้ววันนี้ท่านมาหาข้ามีธุระอันใดรึท่านรัตติ”
คำถามของเจ้าชายรูนน์ทำเอารัตติถึงกับพูดไม่ออก เพราะถ้าจะให้ตอบว่ามาทำภารกิจที่ไม่รู้รายละเอียดอะไรเลยก็คงดูแปลกๆ แล้วถ้ายิ่งถามเกี่ยวกับเนื้อหาภารกิจ สองคนนี้ก็คงตอบคำถามเขาไม่ได้อยู่ดี เพราะทั้งคู่เป็นแค่เอ็นพีซีเท่านั้น
“เอ่อ กระหม่อมก็แค่อยากจะชวนพระองค์เสด็จทอดพระเนตรที่ตลาดนะพะยะค่ะ”
“ชมตลาดงั้นรึท่าน”
“พะยะค่ะ” รัตติตอบส่งเดช เพราะเขาไม่รู้จะเริ่มต้นหาข้อมูลเกี่ยวกับภารกิจนี้ยังไงดี จึงเล็งไปที่ตลาดแทน ซึ่งอาจจะมีข้อมูลของภารกิจนี้หลงโผล่ออกมาบ้างเหมือนตอนที่เขาได้เจอกับเจ้าชายรูนน์โดยบังเอิญ
“ตกลงตามนั้น ข้าจะไปกับท่าน” เจ้าชายรูนน์ตอบ ก่อนจะพูดต่อด้วยประโยคที่ทำให้ราเชลถึงกับหยุดชะงักเดินทันที “ส่วนเจ้าอยู่ที่นี่ราเชล ข้ากับท่านรัตติจะไปกันแค่สองคน”
“แต่กระหม่อมเกรงว่าพระองค์ทรงอาจจะมีอันตราย...”
“ข้าอยู่กับท่านรัตติไม่มีคำว่าอันตราย” เจ้าชายรูนน์ตอบเสียงเข้ม “ไปกันเถอะท่านรัตติ ข้าไม่อยากจะเสียเวลาอยู่ที่นี่นาน”
แล้วเจ้าชายรูนน์ก็ดึงแขนของรัตติให้ออกเดินทันที ซึ่งพอมาถึงตลาด แน่นอนว่าพวกรัตติเป็นที่จับตามองของพวกเอลฟ์ โดยเฉพาะเจ้าชายรูนน์ที่ถูกพวกเอลฟ์ชาวบ้านซุบซิบนินทาอยู่ตลอดทาง
“ดูมันทำสิ คงอยากจะได้หน้าถึงทำเป็นสนิทชิดเชื้อท่านมังกรผู้สูงศักดิ์”
หรือไม่ก็
“ไม่ไหว เดินข้างท่านทำให้ท่านต้องมัวหมองเลย”
รัตติได้ยินคำพูดเหล่านั้นชัดเจนแต่แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน สรุปว่าวันนั้นรัตติไม่ได้ข้อมูลอะไรเกี่ยวกับภารกิจเลยสักนิด มีแต่ได้ยินเสียงนินทาเจ้าชายเพียงอย่างเดียว แล้ววันต่อมารัตติก็ชวนเจ้าชายรูนน์เที่ยวอีกไปเรื่อยๆจนกระทั่งวันเวลาออนไลน์ของรัตติก็เข้าวันที่หกของการออนไลน์เกม คราวนี้รัตติกับเจ้าชายรูนน์ไม่ได้เดินตลาดแต่เป็นเดินเล่นในป่าที่อยู่นอกริมชานเมือง
“ท่านอย่าเดินออกไปไกลนะขอรับ เพราะตอนนี้พวกกองทัพราชาปีศาจยังเดินเพ่นพ่านอยู่” ทหารเอลฟ์ที่เฝ้าประตูเมืองบอกรัตติ ซึ่งเขาพยักหน้าตอบแต่โดยดี ก่อนจะออกเดินต่อโดยที่เจ้าชายรูนน์ยืนรออยู่ห่างๆแล้ว
แม้กระทั่งทหารก็ยังไม่คิดจะห่วงเจ้าชายรูนน์ รัตติคิดในใจพลางมองอีกฝ่ายด้วยความสงสารที่ถูกคนในดินแดนเอลฟ์หมางเมิน ซึ่งมีคนเดียวที่ห่วงเจ้าชายรูนน์ก็คือราเชล อดีตองครักษ์ที่กำลังแอบเดินตามหลังมาห่างๆ
คงจะเป็นห่วงเจ้าชายรูนน์รัตติรับรู้การเดินตามของราเชลได้เพราะเขามีพลังจิตอยู่ในตัว และเนื่องด้วยรัตติเป็นมังกรแถมมีพลังจิตเหนือกว่าเจ้าชายรูนน์กับราเชลจึงรีบหยุดเดินเพราะได้กลิ่นคาวเลือดที่ลอยผ่านเตะจมูก
“หยุดเดินทำไมหรือท่านรัตติ” เจ้าชายรูนน์ถามอย่างสงสัย ซึ่งรัตติยังไม่ทันได้ตอบ เสียงกรีดร้องขอความช่วยเหลือก็ดังขึ้น
“ช่วยด้วย! ใครก็ได้ช่วยผมด้วย!”
“แย่ล่ะ ต้องรีบเข้าไปช่วยแล้ว!” เจ้าชายรูนน์ตะโกนก่อนจะออกวิ่งนำรัตติ เมื่อรัตติวิ่งตามหลังไปก็พบว่าเด็กผู้ชายประมาณสิบขวบกำลังถูกหมาป่าตัวหนึ่งทำร้าย ส่วนเจ้าชายรูนน์กำลังทำอะไรบางอย่างที่มันคล้ายกับร่ายเวทมนตร์
ทำแบบนั้นมันช้าเกินไปแล้วเจ้าชาย!รัตติคิดได้ดังนั้นจึงรีบหยิบมีดสั้นออกมาสองเล่มจากกระเป๋า ก่อนจะใช้มือสองข้างจับมีดสั้นเขวี้ยงใส่หมาป่าตัวที่กำลังขย้ำเด็กผู้ชายตรงหน้าอย่างรวดเร็ว
ฉึก!
1500
ฉูด!“ผู้เล่นราตรีพิสุทธิ์ได้รับค่าประสบการณ์ 20หน่วย”มีดสั้นสองเล่มเฉาะเข้าหน้าผากหมาป่าอย่างจังเบอร์ ทำเอาเลือดพุ่งกระฉูดเป็นน้ำพุ ซึ่งประจวบเหมาะที่เจ้าชายรูนน์ร่ายเวทมนตร์เสร็จพอดี
“พลังสายฟ้าเอ๋ยจัดการเจ้าหมาป่าเดี๋ยวนี้”
เปรี้ยง!
2000หมาป่าตัวนั้นถูกสายฟ้าฟาดเพียงครั้งเดียวก่อนจะหายไปในพริบตา ซึ่งรัตติมองเจ้าชายรูนน์ด้วยความตะลึง
พลังเวทย์ของพี่แกแรงโคตร!
โดนทีมีหวังตายซี่แหงแก๋แล้วเจ้าชายรูนน์ก็วิ่งเข้าไปดูร่างเด็กผู้ชายที่จมกองเลือด ก่อนจะร่ายมนตร์รักษาให้อย่างรวดเร็วจนเด็กน้อยกลับมาหายเป็นปกติ เหลือเพียงแต่เสื้อผ้ายังคงเปื้อนเลือดตามเดิม หลังจากรักษาเสร็จเรียบร้อยแล้วพวกรัตติก็พาเด็กคนนี้กลับเข้าเมืองต่อ โดยที่เจ้าชายยังคงอุ้มเด็กคนนี้ไว้เพราะเด็กชายบอกว่ากลัวจนหมดแรงที่จะเดินแล้ว
“นั่นลูกชายของข้านี่!” เสียงเอลฟ์ชายในวัยกลางคนร้องตะโกนเมื่อเห็นพวกรัตติกำลังเดินตรงมายังทางปากเข้าเมือง ซึ่งทำให้พวกชาวบ้านอีกหลายคนที่ยืนรวมกลุ่มพร้อมทหารหันไปมองพร้อมกัน ซึ่งครั้งนี้เป็นความโชคร้ายของเจ้าชายรูนน์ที่บังเอิญเดินนำหน้ารัตติ จึงทำให้พวกเอลฟ์ไม่เห็นเขา
“แกนี่มัน...เป็นเจ้าชายที่ชั่วจริงๆ”
“เอ๋?” รัตติเพิ่งจะได้ยินคำพูดถึงกับมึนงง แต่ยังไม่ทันจะได้ถาม เด็กชายที่เจ้าชายเคยอุ้มกลับถูกพวกทหารแย่งตัวกลับคืนไป
ปึก!ก้อนหินก้อนหนึ่งถูกขว้างจากที่ไหนไม่รู้ลอยมาโดนหน้าผากเจ้าชายรูนน์ไปเต็มๆ ทำให้เลือดไหลย้อยลงอาบจมูกของเจ้าชาย
“อย่าเข้ามาใกล้พวกข้านะไอ้ตัวกาลกิณี!” ชาวบ้านคนหนึ่งตะโกนด่าทอด้วยความโกรธเคือง “เพราะแกคนเดียว ทำให้เด็กคนนี้ต้องบาดเจ็บ!”
“เดี๋ยวฮะท่านพ่อ เจ้าชายไม่ได้...”
“ลูกไม่ต้องพูด ประเดี๋ยวบาดแผลจะเปิดเอานะ” คนเป็นพ่อแย้งลูกชายที่ถูกทหารอุ้มไว้อยู่ ก่อนจะหันมาด่าเจ้าชายต่อ “ไอ้เจ้าชายเฮงซวย แกมันพวกนอกรีต ข้าว่าแล้วเชียวว่าแกจะต้องนำพาเรื่องร้ายมาให้พวกข้า เฮ้ย! พวกเราจัดการขว้างหินมันเร็วเข้า อย่าให้มันเดินกลับเข้ามาในเมืองได้!”
“โอ้!” เสียงโห่ร้องดังพร้อมเพรียงก่อนที่พร้อมใจกันขว้างปาก้อนหินใส่เจ้าชายรูนน์อย่างกระหน่ำ ซึ่งทำเอารัตติที่ยืนอยู่ด้านหลังเจ้าชายต้องรีบโผล่ตัวออกมาช่วย
ปึก!
100ก้อนหินก้อนหนึ่งปะทะเข้าที่แก้มซ้ายของรัตติ ก่อนจะเห็นเปลือกแข็งสีฟ้าโผล่ออกมากันมิให้ก้อนหินทำอันตรายกับเขาได้ ซึ่งทำให้ชาวบ้านที่กำลังขว้างปาก้อนหินพากันหยุดชะงัก
“แย่ล่ะ ก้อนหินโดนท่าน”
“พระเจ้าช่วย ลูกไม่ได้ตั้งใจจะทำ” ชาวบ้านพากันพูดด้วยความตื่นตระหนกตกใจ
“เห็นไหม เป็นเพราะท่านพ่อเลยทีเดียว ไม่ฟังข้า! ท่านมังกรเลยต้องบาดเจ็บ” เด็กชายว่าพ่อของตัวเอง ก่อนจะพูดต่อ “เจ้าชายไม่ได้ทำร้ายข้าเลย พระองค์เป็นคนช่วยข้าจากปีศาจหมาป่าตั้งหากล่ะ”
ชาวบ้านที่ได้ยินเด็กชายพูดหันไปมองเจ้าชายอย่างไม่เชื่อสายตา
“ลูกพูดจริงหรือ เจ้าชายเป็นคนช่วยลูกจากปีศาจหมาป่าจริงๆหรือ” ผู้เป็นพ่อถามย้ำอีกรอบอย่างไม่แน่ใจ
“ก็จริงสิท่านพ่อ ข้าจะไปพูดโกหกทำไมกัน”
เมื่อรู้ความจริงจากเด็กชายแล้ว ชาวบ้านต่างพากันก้มลงกราบขอประทานอภัยเจ้าชายรูนน์ทันที หากแต่ด้วยความเขินอาย เจ้าชายจึงตรัสโดยไม่มองหน้าพวกชาวบ้านว่า
“ไม่เป็นไร ข้าทำไปก็เพื่อประชาชนของข้า”
แล้วชาวบ้านก็พูดแย้งมาว่า “แต่พวกเราทำไม่ดีกับพระองค์ไว้มามากนะพะยะค่ะ”
ด้วยทรงมีพระเมตตาเจ้าชายรูนน์จึงแสร้งตรัสกับพวกชาวบ้าน เพื่อให้พวกเขารู้ว่าพระองค์ไม่เคยโกรธพวกเขาเรื่องใดๆเลยว่า
“พวกเจ้าพูดอะไรกัน เคยมีเรื่องแบบนั้นด้วยหรือ”
หลังจากนั้นพวกชาวบ้านก็ก้มกราบขอโทษรัตติอีกครั้งเพราะทำให้เขาได้รับบาดเจ็บ ซึ่งรัตติก็บอกไปว่าไม่เป็นไร ก่อนจะพาเจ้าชายกลับที่พัก การเดินเที่ยวครั้งนี้รัตติรู้สึกว่าคุ้มเสียเหลือเกินที่ทำให้เจ้าชายรูนน์เป็นที่เคารพของพวกชาวบ้าน เพราะอย่างน้อยดีกว่าเก่าเยอะ ซึ่งในขณะที่รัตติจะอ้าปากบอกเจ้าชายรูนน์ที่เดินนำหน้าเขาเล็กน้อยว่าพรุ่งนี้จะชวนเจ้าชายไปทำความรู้จักกับมาริโออยู่นั้น จู่ๆ ก็มีมือปริศนาเข้าโอบกอดแขนสองข้างของรัตติอย่างแน่นหนา ก่อนจะรู้สึกถึงผ้าที่มีกลิ่นเหม็นของยาโปะเข้าจมูกกับปาก
อ๊ะ เสร็จกัน! ภาพเบื้องหน้าที่เคยเห็นชัดเจนก็เริ่มเลือนราง ทำให้เขาได้เห็นว่าเจ้าชายรูนน์มีอยู่สองคนกำลังหันมามองเขาด้วยสีหน้าตกใจ
หนีไป…เจ้าชายแล้วสติก็ดับวูบลงไม่รู้สึกอะไรอีกเลย
“เนื่องจากผู้เล่นราตรีพิสุทธิ์โดนโปะยาสลบ จึงทำให้ท่านอยู่ในสถานะหมดสติ”................................