บทที่ 10
“ไปปั๊มมาตอนไหน” ผมเท้าเอวถาม มองคนที่ยัดขนมปังเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย เสมือนว่าการปั้มกุญแจห้องคนอื่นไว้เป็นเรื่องที่ควรทำแล้ว
“ตั้งแต่แรกเลย” เขื่อนหันมาตอบทั้งๆ ที่แก้มยังตุงไปด้วยอาหาร
ผมถอนหายใจ มองความไม่ยีระแล้วได้แต่ปล่อยเลยตามเลย
“ทั้งคีย์การ์ดทั้งลูกกุญแจเลยป่ะเนี่ย”
และเมื่ออีกคนพยักหน้า ผมก็ต้องถอนหายใจออกมาอีกระลอก
เอาที่ริมเขื่อนสบายใจเลยครับ
“งั้นล็อคห้องให้กูด้วย ไปทำงานละ” ผมตัดบทสนทนาก่อนจะเดินแบกของออกมาจากห้อง มองเวลาบนหน้าจอโทรศัพท์ก็พบว่าสิบเอ็ดโมงแล้ว เลยรีบจ้ำอ้าวออกไปที่รถไฟฟ้าทันที
โชคดีไม่น้อยที่ที่ลูกค้านัดอยู่ตามแนวรถไฟฟ้าบีทีเอส ผมสามารถคำนวณเวลาเดินทางได้ง่ายๆ และไม่ต้องเสี่ยงปัญหาระดับชาติอย่างแท็กซี่ปฏิเสธไม่ไปส่งด้วย
สิริรวมเวลาก็ราวๆ สี่สิบนาที ในที่สุดผมก็มายืนอยู่หน้าอพาร์ตเมนต์กลางเก่ากลางใหม่หลังหนึ่ง แต่สภาพทั้งภายนอกและภายในสะอาดสะอ้านและร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ดอกไม้นานาพันธุ์
ผมกดโทรออกหาลูกค้าที่นัดเอาไว้เพื่อให้เขาลงมารับ
“ผมถึงแล้ว รออยู่ข้างหน้านะครับ”
ปลายสายตอบรับก่อนจะวางไป
งานวันนี้ที่มารับจะเป็นงานถ่ายโฆษณาสินค้า เห็นว่าเป็นผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับผู้ชายซึ่งทางแบรนด์ได้จ้างนายแบบเอาไว้แล้ว และเพราะยังเป็นแบรนด์เล็กๆ อยู่ สถานที่ถ่ายทำเลยใช้เป็นห้องห้องหนึ่งในพาร์ตเมนต์นี้ ผมไม่ได้รู้รายละเอียดอะไรมากไปกว่านี้ คิดซะว่ามาตายเอาดาบหน้า
ช่วงแรกเริ่มที่ต้องการสร้างผลงานกับฐานลูกค้า งานอะไร เล็กใหญ่ผมก็รับหมดนั่นแหละครับ
“มาแล้วค่า คุณไผ่ใช่ไหมคะ” ผมที่กำลังเหม่อลอยสำรวจสถานที่ถึงกับสะดุ้งกับเสียงแหลมสูงของผู้หญิงจากทางด้านหลัง เมื่อหันไปมองก็พบว่าเป็นคนเดียวกับลูกค้าที่ติดต่อมาผ่านทางเฟสบุ๊ค ผมคลี่ยิ้มเป็นมิตร ผงกหัวทักทายอย่างมีมารยาท
“ครับ คุณกิ๊ก?”
“ขอโทษที่ให้รอนานนะคะ” ผู้หญิงตัวเล็กๆ ในชุดกระโปรงสีฟ้าอ่อนกับทรงผมถักเปียรอบศีรษะเดินนำผมเข้าไปด้านใน ส่วนสูงเธออยู่แค่หน้าอก แถมหน้าตายังน่ารักหมวยๆ สเปคชายไทยที่แท้จริง
ผมแอบมองใบหน้าด้านข้างอย่างพิจารณา น่ารักกว่าในรูปโปรไฟล์เสียอีก แต่ถ้าถามว่าผมรู้สึกอะไรไหม ผมอยากให้คุณหันไปมองริมเขื่อนก่อนแล้วคุณจะได้คำตอบเอง
ครับ ผมอยู่กับผู้ชายที่สวยอย่างกับเฮเลนแห่งกรุงทรอย ภูมิต้านทานคนหน้าตาดีเลยจะแน่นหนาเกินไปสักหน่อย ถ้าสเปคผู้หญิงผมสูงก็ขอให้โทษริมเขื่อนไว้ก่อนเป็นอันดับแรกเลย
พวกเราขึ้นลิฟต์มาจนถึงชั้นสี่ จุดหมายคือห้องที่สามทางซ้ายมือนับตั้งแต่เดินออกมาจากลิฟต์โดยสาร พื้นที่กว้างขวางระดับหนึ่งแถมยังโล่งเพราะไม่ค่อยมีเฟอร์นิเจอร์ จากการสำรวจด้วยตาแล้ว ค้นพบว่าคุณกิ๊กน่าจะเช่าที่นี่ไว้เพื่อทำเป็นที่เก็บสินค้าและแพ็กของส่ง เพราะมุมหนึ่งมีกล่องไปรษณีย์กองเต็มไปหมด
“อันนี้คือสินค้าที่จะให้ถ่ายนะคะ ส่วนนายแบบใกล้จะมาถึงแล้ว”
ผมพยักหน้าแล้วเอื้อมมือไปรับของมาหมุนดู เป็นกระปุกครีมขนาดเท่ากำปั้น สีน้ำเงินครามสลักอักษรสีทอง ดีไซน์ดูเรียบๆ เหมาะจะเป็นเครื่องสำอางค์สำหรับผู้ชาย ด้านหน้าเขียนเอาไว้ว่าเป็นครีมทาผิวหน้า ส่วนอีกอันคือหลอดโฟมล้างหน้าสีเดียวกับกระปุกครีม น่าจะมาเป็นเซ็ตคู่กัน
“คอนเซ็ปต์ก็แบบที่เคยคุยกันไว้เลยค่ะ อยากให้ถ่ายเฉพาะช่วงหัวไหล่ขึ้นมา” คุณกิ๊กใช้มือเป็นตัวช่วยในการอธิบาย “กิ๊กว่าจะให้ถ่ายตรงนั้น”
ผมมองตามที่ลูกค้าชี้ ก็พบฉากสีขาวกับโต๊ะเล็กๆ ที่สูงจนถึงหน้าอก ด้านบนมีกะละมังใส่น้ำกับสินค้าที่แกะแล้ววางอยู่ จากที่เคยคุยรายละเอียดไว้ คุณกิ๊กบอกว่าอยากได้แนว wet style ให้ออกมาเซ็กซี่หน่อยๆ
เมื่อพูดคุยจนได้ข้อตกลงที่แน่ชัด ผมก็ทำการจัดแสงและมุมกล้องให้เรียบร้อย คุณกิ๊กเธอดีมาก ช่วยบรีฟช่วยแก้จนในที่สุดก็ได้แสงได้มุมตามที่ต้องการ พอทุกอย่างลงตัวนายแบบก็เคาะประตูเรียกพอดี
ผมวางมือออกจากกล้องที่ตั้งไว้บนขาตั้ง หันไปยิ้มให้ผู้มาใหม่อย่างเป็นมิตร นายแบบเป็นแค่หนุ่มวัยรุ่นที่ดูแล้วน่าจะยังเรียนอยู่ ใบหน้าหล่อเหลาแบบตี๋ๆ ผิวขาวละเอียดกับทรงผมที่เซ็ตมาเรียบร้อย ดูท่าจะเป็นคนรู้จักกับคุณกิ๊กอยู่แล้วเพราะเห็นสนิทสนมกันดี
“สวัสดีครับ ไผ่ครับ”
“สวัสดีครับพี่ ผมบาสนะ”
ผมยิ้มรับนายแบบหนุ่มที่ดูเป็นมิตรและน่ารักน่าเอ็นดู
บาสไม่ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าให้มากมาย เพราะเราจะถ่ายกันแค่ช่วงไหล่ขึ้นไป คุณกิ๊กเลยสั่งให้ถอดเสื้อแล้วไปยืนหน้ากล้องได้เลย ผมมองร่างกายท่อนบนแล้วดันเผลอคิดเปรียบเทียบกับใครอีกคนที่น่าจะออกไปทำงานแล้ว
ริมเขื่อนหุ่นดีกว่ามาก กล้ามหน้าท้องของบาสเป็นแค่ร่องเล็กๆ ไม่ได้ชัดเท่าไหร่
“เดี๋ยวถ่ายคู่กับครีมก่อนนะครับ” ผมบอก คนหน้ากล้องก็พยักหน้าแล้วหยิบกระปุกครีมขึ้นมาถือ คุณกิ๊กเข้าไปช่วยจัดท่าทางที่ต้องการ ผมออกความเห็นบ้างเวลาบาสขยับตัวจนเกิดเงาทำให้ภาพออกมาดูไม่ค่อยสวย
แชะ แชะ
เสียงลั่นชัตเตอร์ดังต่อเนื่อง พร้อมกับการขยับเปลี่ยนท่าทางของนายแบบในเฟรม บาสฉลาดตรงรู้จักใช้สีหน้าให้เป็นประโยชน์ แค่ทาครีมก็เซ็กซี่ได้ ผมยอมรับนับถือเลย แต่ไม่รู้ทำไมถึงชอบคิดเปรียบเทียบไปถึงไอ้นายแบบชื่อดัง ว่าถ้าเป็นริมเขื่อนมายืนทาครีมอยู่ในเฟรมแทน ภาพที่ได้คงไม่ใช่แค่เซ็กซี่แน่ๆ
เพื่อนวัยเด็กของผมคนนั้น นอกจากเซ็กแอพพีลจะสูงแล้ว อินเนอร์ความอีโรติกมันก็สูงเช่นกัน
“ดีครับ เงยหน้านิดนึง” ผมบอกเมื่อบาสหมุนองศาหน้าไปด้านข้าง นิ้วยาวป้ายเนื้อครีมลงบนผิวแก้มก่อนจะหลับตาพริ้มแล้วหมุนวนครีมเบาๆ
“โอเคครับ ต่อไปเป็นโฟมล้างหน้านะ” ผมหันไปปรึกษากับคุณกิ๊กก่อนจะหันมาบอกกับนายแบบที่ใช้หลังมือปาดก้อนครีมออกจากหน้า
“บาส ก้มลงไปล้างหน้าแล้วสะบัดผมขึ้นมานะ” เจ้าของแบรนด์พุ่งตัวเข้าไปบรีฟเด็ก พร้อมทั้งทำท่าทางประกอบโชว์อีก ผมยิ้มขำให้กับความกระตือรือร้นนั้นก่อนจะก้มลงเลื่อนตัวกล้องเล็กน้อย เพราะคราวนี้น่าจะมีน้ำกระเด็น
พอตกลงกับนายแบบเสร็จผมก็จัดการให้สัญญาณเริ่มถ่าย บาสฉีกยิ้มมุมปากให้กล้อง ก่อนจะก้มลงไปวักน้ำขึ้นมาล้างหน้า ผมกดชัตเตอร์รัวๆ จนถ้ามาคลิ๊กดูภาพคงเห็นไม่ต่างจากวิดีโอเคลื่อนไหว เพราะกลัวจะพลาดฉากสวยๆ เลยต้องถ่ายไปแบบนั้นก่อน
บาสใช้โฟมถูหน้าเบาๆ เส้นผมของเขาเปียกชื้นตกลงมาปรกหน้า ดวงตาตี่เล็กเลยดูคมเฉี่ยวขึ้นมา ยิ่งตอนที่อีกฝ่ายใช้นิ้วถูไปรอบๆ บริเวณริมฝีปาก ก่อนจะเผยอขึ้นโชว์ไรฟันอย่างเซ็กซี่ ผมก็เหมือนเห็นภาพริมเขื่อนในวันนั้นซ้อนทับเข้ามาเป็นฉากๆ
ริมเขื่อนที่กัดปากยั่ว
ริมเขื่อนที่นอนเปลือยอยู่ในอ่างอาบน้ำ
ริมเขื่อนที่เข้ามากระซิบข้างหูแล้วกดจูบที่หลังคอ
ริมเขื่อนที่...
“ผมขอเข้าห้องน้ำแปบนะครับ”
ผมเอ่ยขัดการถ่ายแบบขึ้นมาก่อนจะรีบพุ่งเข้าห้องน้ำไปท่ามกลางสายตางุนงงของอีกสองคนภายในห้อง แต่ผมไม่สนใจอะไรทั้งนั้น คำว่าชิบหายวิ่งวนอยู่ในหัวเป็นพันล้านคำ
ชิบหายจริงๆ ครับ
เพราะเป้ากางเกงผมมันตุงขึ้นมา เพียงเพราะคิดถึงริมเขื่อนที่ยั่วยวนผมในวันนั้น!!
“เอ้า ชน!!”
แกร๊ง
เสียงแก้วกระทบกันดังกึกก้อง แทรกเสียงเพลงจากดนตรีสดที่เล่นอยู่มุมหนึ่งของร้าน ผมที่กลับเอาของไปเก็บที่คอนโดแล้วนั่งรถออกมาหาเพื่อนที่ร้านเป็นตัวเรียบร้องให้ทุกคนชนแก้วเอง
วันนี้แม่ง แบดเดย์ชัดๆ
คือผมไม่รู้ต้องทำตัวยังไงว่ะ หลังจากเกิดเหตุการณ์แบบนั้นกลางงาน แล้วผมก็ไม่รู้จะเอาหน้าที่ไหนไปมองหน้าเพื่อนตัวเองอีกแล้วเนี่ย
คืนนี้ไม่กลับห้องดีไหมวะ แม่งเอ้ย
“เป็นไรไอ้ไผ่ ทำหน้าอย่างกับโดนเมียทิ้ง” ไอ้นาย หัวตี้* แดกเหล้าวันนี้หันมาสนใจผมที่ถอนหายใจเป็นรอบที่ร้อยของวัน
(มาจากคำว่าปาร์ตี้ที่ใช้ในเกม เป็นการหาเพื่อน หากลุ่มเพื่อนไปทำกิจกรรมด้วยกัน หัวตี้จึงหมายถึงคนที่เป็นเจ้าของคำชวน)“มีเมียให้ทิ้งก็ดีดิ” ผมบอกก่อนจะกระดกแอลกอฮอล์รสฝาดลงคอ
“เฮ้ย ไอ้ต้อง จัดเหล้าเข้มๆ มาถวายไอ้ฝรั่งเสินเจิ้นนี่สักจอกดิ” คนที่นั่งข้างๆ ผมที่ชื่อ มิกซ์ ตะโกนบอกเพื่อนคนที่นั่งอยู่ข้างขวดเครื่องดื่มนับสิบ และไอ้ต้องก็แหกปากรับคำอย่างว่าง่าย
แค่แปบเดียว แก้วใบใหม่กับปริมาณแอลกอฮอล์ที่เข้มจนเป็นสีน้ำตาลก็มาวางกระแทกลงตรงหน้า เพื่อนทั้งโต๊ะหันมาเร้าหรือ ผมหยิบขึ้นมาชิมก่อนจะเบ้หน้าให้กับความข่มฝาดของมัน
“เข้มไป” ผมบอก ทำท่าจะวางลง แต่ทุกคนกลับพร้อมใจตะโกนบางอย่างขึ้นมา จนโต๊ะข้างๆ สามสี่โต๊ะหันมามองแล้วช่วยตบมือร้องเพลงไปด้วย
ไอ้พวกเหี้ย!
“ขอให้ไอ้ไผ่เพื่อนกูนั้นสุขสำราญ เหมือนดอกไม้บานยามเช้า เหมือนสัตว์สี่เท้าอ้วกเช้าอ้วกเย็น เอ้า! กรึบกะระรึบกรึบกรึบ ไม่หมดไม่เลิก ไม่หมดไม่เลิก”
ไอ้คำว่าไม่หมดไม่เลิกยังดังต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าผมจะกระดกจนหมดแก้ว
และใช่ ผมที่ถูกกดดันจากคนครึ่งร้านจำเป็นต้องซดเครื่องดื่มรสจัดลงคอจนหมด
ปัง!
ผมใช้หลังมือปาดคราบน้ำที่หกเลอะคางออกก่อนจะกระแทกแก้วลงบนโต๊ะเป็นเชิงบอกว่า กูดื่มหมดแล้วโว้ย! พวกเพื่อนๆ คนอื่นหัวเราะเฮลั่นก่อนจะคว้าแก้วเปล่าไปเติมเหล้าเข้ามาในทันที
ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงคืนกว่าๆ ได้แล้ว พวกเราเข้ามานั่งในร้านตั้งแต่สามทุ่ม ดังนั้นตอนนี้สภาพทุกคนเลยดูครื้นเครงจนเกินเหตุ แถมยังได้เบียร์ฟรีมาอีกสองขวดเพราะโต๊ะข้างๆ จะกลับแล้วกินไม่หมด ผมที่โดนไปทั้งเหล้าทั้งเบียร์เซสติไม่เต็มร้อยอยู่เหมือนกัน ตอนนี้เลยได้แต่กอดคอเพื่อนแล้วแหกปากร้องเพลงเสียงดังลั่นร้านไป บางครั้งก็นั่งซึมกะทื่อเพราะยังนอยด์กับเรื่องเมื่อตอนกลางวันอยู่
จริงๆ มันเป็นเรื่องที่โคตรไม่อยากจะนึกถึงเลย
ผมขึ้นเพราะคิดถึงไอ้เขื่อน จนต้องหลบไปทำใจให้สงบในห้องน้ำทั้งๆ ที่ยังถ่ายงานไม่เสร็จ
คิดแล้วก็เครียด พอเครียดก็ยกแก้วขึ้นดื่มอึกๆ ไม่สนใจว่าเหล้ากับเบียร์ไม่ควรซัดเข้าไปผสมกัน เพราะนอกจะเมาอย่างหมาแล้ว พรุ่งนี้คงแฮงก์แบบไม่สามารถลุกขึ้นไปไหนได้แน่ๆ
“นาย คืนนี้กูไปนอนด้วย” ผมหันไปบอกเพื่อนที่สนิทที่สุดในกลุ่ม ไอ้นาย เจ้าของชื่อไลน์ ‘นายอย่ามามั่ว’ ที่ผมไม่เคยเข้าใจตรรกะการตั้งชื่อนี้เลยสักครั้ง
“ไม่เอา ห้องกูไม่ว่าง”
“ทำไมวะ”
“เมียอยู่”
“...”
เกลียดว่ะ
ผมเบ้ปาก ก่อนจะหันไปขออาศัยที่นอนคนอื่นต่อ แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครว่างสักคน ไม่ติดแฟนก็กะจะลากผู้หญิงกลับห้อง แล้วผมจะทำอะไรได้ นอกจากยกแก้วย้อมใจแล้วปล่อยให้ความเศร้าทำงานของมันไป
เวิ่นเว้อไหม
ครับ ผมเมาแล้ว
ผมไม่รู้ว่ากินไปเยอะมากแค่ไหน ไม่รู้ว่าไปกอดคอไอ้ต้องไอ้มิกซ์ร้องเพลงอยู่หน้าเวทีตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้ตัวอีกทีคือโดนเพื่อนจับยัดรถแท็กซี่เพื่อกลับมาคอนโดแล้ว
ผมหลับไปบนรถ จนกระทั่งคนขับปลุกเพราะว่าถึงที่หมายแล้ว โชคดีที่โลกนี้พัฒนาไปไกลกว่าเดิม ผมถึงสามารถตัดบัตรเดบิตเป็นการจ่ายค่ารถแทนควานหาเงินในกระเป๋าตังค์ในสภาพที่สติแทบจะเหลือศูนย์
ผมเดินโซเซไปกดลิฟต์ ฉีกยิ้มร่าให้ลุงยามและคนที่เดินผ่าน พอเมาดันมนุษยสัมพันธ์ดี ทักทายกับคนที่ขึ้นลิฟต์มาด้วยกันอย่างสนิทสนม เขาก็ยิ้มๆ หัวเราะผมบ้างแต่ก็ยอมคุยด้วย ช่างเป็นคนดีจริงๆ เลย
แต่พอก้าวขาพ้นประตูลิฟต์ ผมก็ลืมหน้าคนที่คุยด้วยเมื่อสักครู่ไปโดยสิ้นเชิง
“เอิ๊ก” ผมเรอ ขณะพยายามยั้งตัวเองให้ยืนตัวตรงเพื่อควานหาปุ่มกรอกรหัสห้อง แต่ด้วยความมึนเมาทำให้ผมไม่สามารถจิ้มเลขหกหลักเพื่อเปิดประตูได้ สุดท้ายมันก็แจ้งเตือนว่ากดผิดเกินจำนวนครั้งที่กำหนด และภายในห้องก็ได้ยินเสียงร้องเตือนปิ๊บยาวๆ อยู่นานประมาณหนึ่ง
และเสียงนั่นคงจะปลุกคนที่มาอาศัยเตียงนอนในห้องผมให้ตื่นขึ้นมา
ผมเอียงกะเทเร่พิงผนัง หลับตาและพยายามคุยกับตัวเองเพื่อไม่ให้หลับ สติสตังผมไปหมดแล้ว ร่างกายเบาหวิวและชาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า อีกนิดผมคงลอยขึ้นไปแตะเพดาน ถ้าไม่ใช่เพราะประตูห้องเปิดออกก่อนผมว่าผมได้ลอยขึ้นไปจริงๆ
“ไผ่?”
“เขื่อออออน” ผมเรียกเสียงยานคาง ฉีกยิ้มกว้างแล้วทิ้งน้ำหนักตัวหาคนที่ยืนหน้าง่วงอยู่ตรงกรอบประตู “พากูเข้าห้องหน่อย อึก กูมาววว”
และร่างกายผมก็ถูกฉุดกระชากลากถูเข้าไปถึงเตียงนอนจนได้
รอดแล้วโว้ยยยยย
ผมกางแขนอย่างผู้ชนะ หลับตาพริ้มสัมผัสไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศและที่นอนนุ่มนิ่ม แม้จะยังคงไม่มีผ้าปูที่นอนแต่มันก็สบายกว่าการยืนพิงผนังอย่างหมดสภาพแบบเมื่อกี้ล่ะนะ
“เมาหนักขนาดนี้ใครมาส่งเนี่ย”
“แท็กซี่” ผมบอก “เก่งป่าว กูกลับเองได้”
“เก่งๆ” เขื่อนว่าอย่างเอือมระอา ก่อนจะลากผมขึ้นไปนอนบนเตียงดีๆ “กลิ่นเหล้าหึ่งเลย”
“เขื่อน...”
“หืม?”
“อย่ามาเนียนกอดนะ” ผมบ่น เพราะคนที่ลากผมขึ้นไปนอนกลับยังไม่ยอมคลายอ้อมแขนออก แถมยังใช้ฝ่ามือลูบหลังผมเบาๆ ไปมาด้วย
“เมาไม่ใช่เหรอ รู้ได้ไง” เขื่อนว่ากลั้วหัวเราะ ร่างสูงยอมปล่อยมือออกจากผม ก่อนจะดึงผ้าห่มมาคลุมให้ถึงหน้าอก
ผมฉีกยิ้มโอ้อวด “เก่งไง”
“ครับ เก่งๆ” ริมเขื่อนชมแล้วทิ้งตัวลงมานอนข้างๆ คนตัวสูงตะแคงข้างหันมามองหน้าผมก่อนจะยิ้มจาง ฝ่ามืออุ่นก็เอื้อมมาลูบแก้มผมเบาๆ ก่อนจะกวาดสายตาสำรวจทั่วใบหน้า
“มึงง”
“ว่า?”
“เบื่อขี้หน้ามึง”
“...” เขื่อนไม่ตอบ แต่เลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม
“แม่ง กูเครียด!”
“เป็นอะไรไผ่”
“ไอ้เขื่อน มึงมันเลว”
“เดี๋ยวไผ่ เยอะแล้วมึง”
ผมเบ้ปาก ย่นจมูกอย่างไม่พอใจ จริงๆ อย่างพุ่งเอาหัวโขกจมูกโด่งๆ นั่นให้เลือดซิบ แต่แค่ขยับตัวนิดหน่อยโลกก็เหวี่ยงชิบหาย ผมเลยทำได้แค่นอนกระพริบตามองหน้าริมเขื่อนอย่างเครียดแค้น
“โผล่หัวมาทำเหี้ยอะไร”
“มึงเมาไผ่ นอนได้แล้ว” ผมเห็นคิ้วโก่งสวยนั่นกระตุก แต่ผมก็ไม่ยอมหยุดด่ามัน
ต้องด่า แม่ง
เรื่องนี้ต้องด่าให้ถึงที่สุด
ด่าให้รู้ดำรู้แดงกันไปเลย
“แม่ง กูถ่ายงานอยู่เสือกโผล่มาไม่ดูเวล่ำเวลา”
“อะไรของมึงเนี่ย”
“ไอ้เขื่อนไอ้เหี้ย แม่งมาทำกูโด่ทำไมวะ”
“ไผ่นอ-” คนที่พยายามปรามผมหุบปากฉับทันที “มึงว่าอะไรนะ ใครทำมึงโด่”
“มึงไงจะใครล่ะ” พูดไปก็เผลอหัวเราะไปเพราะประโยคมันคุ้นหูแปลกๆ ไม่น่าเรียกเมา น่าเรียกว่าบ้าแล้วผมว่า
เอ้อ เมาแล้วด่าตัวเองก็ได้ด้วย
ผมพ่นลมหายใจแล้วพลิกตัวคว้าหมอนข้างมากอดเตรียมจะนอน แต่ริมเขื่อนกลับกระชากหัวไหล่ผมให้หันกลับไป ร่างสูงชันตัวขึ้นมาจ้องหน้าผมอย่างคาดคั้น
“ไผ่...”
ทำไมต้องกดเสียงต่ำด้วย
ผมขมวดคิ้ว มองใบหน้าสวยที่พร่าเบลอจนซ้อนเป็นสองสามชั้น
“อธิบายที่พูดเมื่อกี้หน่อย”
“เรื่องไรวะ”
“ที่มึงบอกว่า... กูทำมึงโด่”
“ก็มึงทำกูโด่ไง เอิ้ก”
“ได้ไง”
เนี่ย คาดคั้นอีก ผมอุตส่าห์ลืมไปแล้ว อุตส่าห์เลิกหงุดหงิดไปแล้ว
พอโดนขุด ผมเลยกลับมาโมโหผสมอับอายอีกครั้ง
“ก็มึงโผล่มาในหัวกู มาทำหน้ายั่วใส่กูไงไอ้เหี้ย!”
ถ้าผมตื่นมาแล้วจำเรื่องตอนนี้ได้
บอกคำเดียวเลยว่า...
นรก!______________________
Talk: โปรเจคผ่านแล้วค่า!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
รอดแล้วโว้ยยยยยยย ร้องไห้
ได้มีเวลาเขียนนิยายแล้ว เย้ๆๆๆๆๆๆๆๆ
คิดถึงทุกคนนะคะะะะะ จุ้บเหม่งที
เอ็นดูข้องเขื่อนกับพี่ไผ่ด้วยเน้ออ ร้ากกกก