บทที่ 8
ผมยกนิ้วขึ้นกันริมฝีปากตัวเอง ในขณะที่สันจมูกของพวกเราถูไถกันอย่างใกล้ชิด โฬมชะงักไปครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็บรรจงกดริมฝีปากลงมาบนหลังนิ้วของผมเบาๆ
เหตุการณ์แบบนี้ผมไม่อาจช่างมันได้เหมือนทุกที
ไหล่ของโฬมถูกดันออกด้วยฝีมือผม เขาตัวใหญ่กว่า สูงกว่า และก็น่าจะมีแรงมากกว่า ถ้าเขาเลือกที่จะขืนตัวผมคงไม่สามารถผลักเขาออกได้ แต่คนตัวสูงก็ยอมขยับออกไปนั่งอีกฟากฝั่งของโซฟา ดวงตาคมเสมองพื้น ในขณะที่แก้มของเขาเต็มไปด้วยริ้วแดงๆ
“ทำอะไรครับ” ผมถามอย่างใจเย็น แม้ว่าหัวใจจะสั่นรัวเร็วจากอารมณ์สับสน ผมไม่ได้หันไปมองหน้าเขา ต่างฝ่ายต่างเกิดอาการอ้ำอึ้งกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ผมชันเข่าขึ้นมากอด ทิ้งใบหน้าหลบหลังต้นขาแล้วปล่อยให้ปอยผมทิ้งลงมาปรก
“ขอโทษครับ” โฬมบอกเสียงเบา เขาแอบเหลือบหางตามามองด้วยความเก้กัง
“ผม...” ด้วยความตอบไม่ถูก เลยได้แค่งึมงำในลำคอ จากนั้นความเงียบก็โรยตัวเข้ามาโอบล้อมภายในห้องซ้อมดนตรีแทน ผมเม้มปาก พยายามแก้สถานการณ์ด้วยรอยยิ้มแหยๆ
“เดี๋ยวผมกลับแล้ว”
“อ่ะ ครับ” โฬมสะดุ้ง รีบลุกขึ้นยืนในทันที
ผมสับเท้าฉับๆ ออกมาจากห้องซ้อม เดินตรงดิ่งไปที่หน้าบ้านโดยไม่เหลียวมองสำรวจเหมือนเคย ร่างสูงของโฬมเดินตามมาแต่ก็เว้นระยะห่างพอสมควร ผมหยิบกุญแจรถออกมาจากกระเป๋ากางเกง กดปุ่มปดล็อคด้วยปลายนิ้วสั่นระริก แต่ก็พยายามตีหน้าตายเหมือนไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
“เรื่องเพลง ไว้คุยกันผ่านไลน์ก็ได้นะครับ” ผมบอกโดยไม่หันกลับไปมองคู่สนทนา มือก็คว้าที่จับประตูรถเรียบร้อย เหลือแค่เปิดมันแล้วยัดตัวเข้าไปนั่ง อีกแค่นิดเดียวผมจะหลุดออกจากสถานการณ์แปลกๆ นี้
“ครับ” เสียงของโฬมยังอ้ำอึ้งเหมือนติดอยู่ที่ลำคอ แต่ผมไม่สนใจอะไรแล้ว รีบเปิดประตูและแทรกตัวเข้าไปนั่งทันที ผมโบกมือลาเขาตามมารยาท เตรียมจะปิดรถแล้วสตาร์ทเครื่องยนต์ แต่โฬมกลับตะโกนสวนขึ้นมาก่อน
“สกายครับ!”
“...ครับ?”
“เดินทางปลอดภัยนะครับ”
“ครับ โฬมก็หายไวๆ นะครับ”
พวกเรายิ้มให้กัน เป็นรอยยิ้มที่ดวงตาหันเหไปคนละทาง ผมปิดประตูดังปังแล้วรีบเหยียบคันเร่งออกจากที่นี่ทันที กระจกมองหลังสะท้อนภาพผู้ชายหน้าตาดีที่ยืนมองส่งจนรถยนต์เคลื่อนออกไปพ้นซอย ผมก็มองเขาจนกระทั่งลับสายตาไปเช่นกัน บัตรผ่านที่มีลายมือโฬมเซ็นต์รับรองถูกยื่นให้กับยามคนเดิม ผมกล่าวขอบคุณแล้วเร่งเครื่องออกสู่ถนนใหญ่ทันที
จะบ้าตาย จะบ้าตายๆๆๆ
ผมสบถงึมงำกับตัวเองเมื่อป้ายหมู่บ้านหายไปจากครรลองสายตาแล้ว อาการสงบเงี่ยมที่เพียรรักษามาหลายนาทีถูกทุบแตกร้าว ผมกัดปาก บีบพวงมาลัยจนปลายนิ้วขึ้นข้อขาว เท้าข้างที่ว่างก็กระดิกดิ๊กๆ อย่างอยู่ไม่สุข
เมื่อกี้โฬมจะจูบผมชัดๆ
ผมไม่ได้คิดไปเอง หลังนิ้วมือข้างขวาที่เขากดปากลงมายังร้อนผะผ่าวอยู่เลย รวมถึงหัวใจผมที่เต้นไม่เป็นจังหวะตั้งแต่ตอนนั้น
ผมหยุดคิดไม่ได้ ให้ตาย ผมว่าสติผมกำลังจะแตก!
ผมกลับมาถึงคอนโดโดยโดนคนบีบแตรอวยพรไปสามที โชคดีที่ไม่ไปเฉี่ยวชนใครเนื่องจากสติยังไม่ครบร้อยเปอร์เซ็นต์ ผมถอดกางเกงวอร์มขายาวทิ้ง เหลือไว้แค่บ๊อกเซอร์กับเสื้อกล้ามสีเทาตัวเดิม ก่อนจะปีนขึ้นเตียงนอนแผ่ตากแอร์เย็นๆ ครุ่นคิดวนไปมาจนไม่เป็นอันทำอย่างอื่น
ในหัวมีแต่คำว่าทำไมเต็มไปหมด
ผมถอนหายใจ อายุสั้นลงไปราวๆ สิบปี ขมวดคิ้วบ้างสะบัดหัวบ้าง บางทีก็ชักดิ้นชักงออยู่บนเตียงด้วยความอึดอัดใจ เราเพิ่งรู้จักกันได้กี่วันเอง นับคร่าวๆ ก็แค่อาทิตย์เดียว เจอกันไม่ถึงห้าครั้ง คุยกันได้แค่ไม่กี่สิบประโยค ผมควรจะโกรธเขาใช่ไหม หรือไม่ก็ต้องช่างมันไปเหมือนที่ทำประจำเวลามีเรื่องคิดไม่ตก
แต่ผมทำไม่ได้ครับ
ผมช่างแม่งกับเรื่องนี้ไม่ได้ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน
สุดท้ายผมถึงได้มีสภาพเป็นคนบ้านอนก่ายหัวอยู่บนเตียงเป็นเวลาหลายชั่วโมงแบบนี้ สมองของผมไม่ยอมหยุดทำงาน มันวนกลับไปฉายฉากบ้าๆ นั้นซ้ำครั้งแล้วครั้งเล่า พร้อมกับขึ้นแคปชั่นใต้ภาพว่าโฬมทำแบบนี้ทำไม
หรือเขาจะชอบผม ผมควรถามไปตรงๆ ไหม
ผมสำรวจความคิดตัวเอง ไม่ได้มีความหวั่นไหวปะปนอยู่ นอกจากอาการตื่นเต้นตกใจที่วิ่งพล่านทั่วกระแสเลือด ผมไม่ได้ชอบโฬมอย่างแน่นอน ถ้าเขาชอบผมจริงๆ ผมควรไปคุยให้รู้เรื่อง เราจะได้ทำงานกันต่อไปอย่างราบรื่น
แต่บางทีโฬมอาจจะไม่ได้ชอบ...
ไม่ ผมไม่รู้ ไม่รู้อะไรทั้งนั้นแล้วครับตอนนี้!
ไม่อยากคิดอะไรแล้ว ไม่คิดมันแล้ว ช่างมันไปให้หมดเลย!!
อากาศหนาวจากเครื่องปรับอากาศกำลังลอยอ้อยอิ่งอยู่เหนือผิวของผม ขนบนแขนลุกขึ้นตั้งชันในขณะที่ผ้านวมอุ่นถูกเตะลงไปกองอยู่ตรงบั้นเอวจนหมด ผมครางฮือ ควานมือสะเปะสะปะหาไออุ่นมาห่มกาย
แกร๊ก
มีเสียงเปิดประตูเข้ามา ผมที่กำลังง่วงเต็มแก่ไม่ได้ลืมตาขึ้นสนใจ แค่พยายามออกแรงดึงผ้าฝืนโตขึ้นมาจากด้านล่าง แทรกกายซุกไซพร้อมดึงหมอนข้างเข้ามากอดแนบอก
พื้นที่บนเตียงข้างๆ ยวบลงเล็กน้อย พร้อมกับอะไรบางอย่างที่วางลงบนศีรษะ มันนวดคลึงจนผมครางรับด้วยความสบายใจ ร่างกายขยับเข้าหาสัมผัสนั้นโดยอัตโนมัติ ฟูกนุ่มยวบยาบอยู่นานจนผมย่นคิ้ว ใครบางคนขยับตัวลงนอนแล้วรั้งร่างของผมเข้าไปกอด
แขนของเขาใหญ่จนรัดตัวผมได้จนหมด กลิ่นน้ำหอมคุ้นจมูกกับไออุ่นจากผิวกายเรียกรอยยิ้มเล็กๆ บนมุมปาก ผมร้องอื้ออึง หมอนข้างถูกดึงออกไปก่อนที่ร่างกายของผมจะถูกกระชับให้แน่นขึ้น ผมป่ายมือไปวางบนเอวแกร่ง มุดศรีษะซุกลงบนแผ่นอกแข็งแรง
“สกายครับ”
“ฮือ” ผมร้องตอบ หลับตาพร้อมเงยหน้ารับจูบอ่อนโยนบนหน้าผาก
“ขี้เซาจังเลย”
“อย่ากวน” ผมบ่นเสียงเบา ย่นจมูกด้วยความหงุดหงิดก่อนจะเตรียมมุดหน้ากลับไปซุกอกอุ่นอีกครั้ง ทว่าปลายคางกลับถูกนิ้วเรียวยาวเชยขึ้น ลมหายใจร้อนขยับเข้ามาจนรดลงบนแก้ม ผมปรือตามองใครสักคนตรงหน้า แต่ภาพของเขากลับพร่าเบลอและเลือนลาง
“ใครน่ะ” ผมถาม ทั้งๆ ที่สองแขนยังโอบกอดร่างของเขาเอาไว้แน่น
“ทำไมถึงลืมกันล่ะครับ”
“อื้อ ง่วง” ผมไม่สนใจจะเดาแล้ว ตอนนี้ด้วยท่วงท่าที่สบายและอากาศเย็นฉ่ำ ผมเตรียมกลับไปเฝ้าพระอินทร์อีกครั้ง ไม่สนใจสิ่งนุ่มหยุ่นที่เริ่มแตะลงบนแก้ม หน้าผาก ข้างขมับ และปลายจมูก
ผมรำคาญเลยสะบัดหน้าหนี แต่คางก็ถูกจับตรึงให้ไม่อาจเคลื่อนใบหน้าได้ คิ้วของผมจึงย่นขมวดเป็นปมใหญ่ พยายามฝืนลืมตาขึ้นมองแต่ก็ได้เพียงแสงสว่างจ้าที่สาดเข้ามากระทบนัยน์ตาดำ
“สกาย...”
ผมง่วง ผมอยากบอกเขาให้เลิกก่อกวนสักที
“สกายครับ”
เขาไม่หยุดยุ่มย่ามกับแก้มของผม และส่วนอื่นๆ ของใบหน้าผม ผมส่งเสียงฟึดฟัด แต่ทุกอย่างก็ยังดำเนินต่อไป จนกระทั่งสัมผัสนุ่มหยุ่นนั้นขยับเข้ามาใกล้ริมฝีปาก ผมเผยอรับจูบแผ่วเบาที่กดลงมา
แรงดูดผะแผ่วที่ผิวปากด้านล่าง ความเปียกชื้นของเรียวลิ้นที่สอดแทรกเข้ามา ผมเงอะงะเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ใช้งานอวัยวะนี้ในทางอื่นนอกจากกินข้าว ดวงตาปรือปรอยลืมมองได้เพียงเสี้ยวเล็กๆ เห็นแพขนตาดำขลับลอยอยู่ไม่ไกล แรงเคลื่อนบนริมฝีปากยังขยับซ้ายทีขวาที สันจมูกเสียดสียามเมื่อเจ้าของสัมผัสเปลี่ยนองศา
“ฮืออ” ผมต่อต้าน เมื่ออากาศในปอดกำลังจะหมดลง
โพลงปากไม่ได้ถูกรุกล้ำเข้ามา แต่เพียงแค่ความแนบแน่นที่ผิวนุ่มหยุ่น หัวใจก็ราวมีน้ำเย็นฉ่ำมารินรด ผมขยับตัว เงยหน้าขึ้นรับสัมผัสร้อนผ่าวนั้นอย่างเต็มใจ แม้จะเริ่มอึดอัดในอกเพราะหายใจไม่ทัน
ใครคนนั้นหยอกล้อริมฝีปากของผมเล่น ขบกัดเบาๆ เรียกความขุ่นมัวจากหัวคิ้วของผม ผ่ามือร้อนทาบลงบนข้างแก้ม ใช้ปลายนิ้วถูวนที่กรอบหน้า นวดเบาๆ และกดริมฝีปากลงมาแนบยิ่งกว่าเก่า ผมกำลังจะขาดหายใจ ถ้าเขายังไม่หยุด ผมคงต้องตายลงท่ามกลางรสชาติหวานล้ำ
ผมทุบอกเขา ขอร้องให้หยุดก่อนที่ผมจะตายไปจริงๆ ใครคนนั้นหัวเราะเบาๆ ยอมถอนใบหน้าออกไปอย่างง่ายๆ ในจังหวะที่ผิวเนื้อนุ่มหยุ่มดึงรั้งกันราวไม่อยากพรากจาก ผมสัมผัสได้ถึงความร้อนระอุจากลมหายใจที่พ่นออกมาทางปากเขา ไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศแทรกซึมเข้ามาทีละนิด จนกระทั่งพวกเราแยกออกจากกันในที่สุด ผมหอบหายใจ ปรือตาฉ่ำชื้นมองเจ้าของจูบหลอมละลาย
ใบหน้าของเขายังพร่าเลือด แต่ริมฝีปากนั้นคลี่ยิ้มกว้างส่งมาให้ ผมเห็นฟันเขี้ยวสองซี่โผล่พ้นขอบออกมา รวมถึงลักยิ้มบุ๋มลึกทรงเสน่ห์ที่ข้างขวา
เห็นแค่นี้ก็จำได้แล้วว่าเขาเป็นใคร
โฬม ลภณ........
.....
...
..
.
เฮือก!ผมสะดุ้ง ผุดลุกขึ้นจากเตียงด้วยเหงื่อโทรมกาย ผ้าม่านกระพือให้เห็นว่าภายนอกมืดสนิท ผมหันซ้ายหันขวา ยกมือข้างหนึ่งขึ้นกุมอกที่อวัยวะภายในสั่นแรงจนได้ยินเสียงมาถึงข้างนอก
ฝัน
เมื่อกี้ผมฝัน
ผมบอกตัวเอง ลูบปลอบโยนหัวใจที่ยังกระแทกอย่างแรงเบาๆ ขณะพยายามผ่อนลมหายใจเพื่อคลายความตื่นตกใจ เครื่องปรับอากาศส่งเสียงหึ่งๆ ไฟบนเพดานยังเปิดสว่างโร่ รวมถึงนาฬิกาบนโทรศัพท์ที่บอกเวลาตีสี่กว่า
ผมเผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ หลังจากกลับมาจากทำงานตอนสี่ทุ่ม ผมก็นอนเอกเขนกเล่นโทรศัพท์ แล้วจู่ๆ ภาพทุกอย่างก็เปลี่ยนไป
แต่ใจความสำคัญไม่ได้อยู่ตรงที่ว่าผมหลับไปตอนไหน
สิ่งที่ควรสนใจคือทำไมผมถึงฝันอะไรแบบนี้ได้!!
ผมขยี้ศีรษะจนหัวยุ่ง ทึ้งมันอยู่นานก็ไม่อาจสร้างความสงบแก่จิตใจ วันนี้น่าจะถอนหายใจรวมกันมากกว่าทั้งชีวิตเสียอีก ผมเม้มปาก รสสัมผัสในฝันที่เคยเด่นชัดค่อยๆ เลือนลายลง แต่หัวใจผมไม่อาจหยุดเต้นได้อีกเลย
ผมไม่เคยมีจูบแรก แต่กลับฝันเป็นตุเป็นตะเหมือนจริงออกมาได้แบบนั้น
ผมว่าผมหมกมุ่นเรื่องที่โฬมจะจูบผมมากเกินไป
“เฮ้อ” ผมถอนหายใจอีกครั้ง เบ้หน้ามองจอโทรศัพท์ที่ไม่มีแจ้งเตือนอะไรเข้า สบถกับตัวเองสองสามคำก่อนจากลากสังขารยุ่งเหยิงไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำ
คืนนี้คงนอนไม่หลับแล้วแน่ๆ
หลังจากคืนนั้น ผ่านมาได้สามวันแล้ว ไลน์ของผมเพิ่งมีแจ้งเตือนเข้าเมื่อวาน เพราะโฬมส่งทำนองทั้งเพลงมาให้ รวมถึงเนื้อร้องที่เพิ่มขึ้นจากเดิมท่อนหนึ่ง
ผมฟังแล้วก็ต้องยอมรับว่าเขามีความสามารถ
แต่ช่วงนี้สติผมไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ทางคอร์ดกีตาร์ที่โฬมส่งมา ผมพยายามที่จะเอามามิกซ์เข้ากับบีทดนตรีเพื่อให้เหมาะกับแนว Hip-Hop แต่ไม่ว่าจะแก้ไฟล์กี่ร้อยกี่พันครั้ง ผมก็ไม่พอใจกับมันสักที
วันนี้ผมเลยมาขลุกอยู่กับพี่ยุทธและลูกสมุนทั้งสองในห้องสตูดิโอของบริษัท พวกพี่เขาก็ยังหัวปั่นเหมือนเคย ค่ายเพลงนี้ไม่ได้ยักษ์ใหญ่มากจนมีทีมงานเยอะ แต่ถ้าถามว่ามีชื่อเสียงไหมก็มีส่วนแบ่งในตลาดพอสมควร ในค่ายมีทีมโปรดิวเซอร์อยู่สองทีม แต่ผมสนิทกับทีมพี่ยุทธเพราะทำเพลงกันมาตั้งแต่แรก ส่วนอีกทีมนั้นดูแลเพลงอีกแนวเลยไม่ค่อยได้เจอกัน
ผมนอนเอกเขนกบนโซฟาที่เดิม มองพี่ๆ เขาทำงานหน้าดำคล้ำเครียด เห็นแล้วก็ไม่กล้ารบกวนเลยได้แค่จิ้ม Garageband* บนไอแพดเล่น
(*แอพลิเคชั่นสำหรับใช้สร้างดนตรีและเพลงที่เน้นรูปแบบใช้งานง่าย ป็นโปรแกรมซอฟต์แวร์ย่อย ในชุดซอฟต์แวร์ของไอไลฟ์ ที่ผลิตโดยบริษัทแอปเปิล) พี่ยุทธเคาะโต๊ะโยกหัวเบาๆ ขณะสวมหูฟังครอบอันใหญ่ พี่คนอื่นก็กำลังหัวปั่นอยู่หน้าจอไม่ต่างกันนัก
ผมนั่งแต่งทำนองบีทของตัวเองไปเรื่อยๆ รอจนกว่าจะถึงเวลาพักของพวกพี่ๆ แล้วจะได้สาธยายความอึดอัดใจให้ได้ฟังสักที อันที่จริงผมอยากโทรไปปรึกษาเพื่อนสนิทที่เป็นเกย์ของผมมาก แต่มันกลับวุ่นวายอยู่กับการทำงานหาเงินอยู่ เลยได้แค่วางสายไปอย่างหงอยๆ
กว่าครึ่งชั่วโมงนั่นแหละพี่ยุทธถึงได้วางหูฟังแล้วเริ่มบิดขี้เกียจ ร่างอวบอ้วนของพี่แกขยับลงมาจากเก้าอี้เลื่อน เอนตัวลงนอนบนพื้นแล้วหันมาทางผม
“อะไรของเอ็ง ไอ้สกาย หน้าตาเหมือนอดหลับอดนอน”
“ผมแต่งเพลงไม่ได้เลยพี่” ผมบอก ทำปากยื่นปากยาวใส่
“อะไรวะ ปกติไม่เคยมีปัญหานี่” พี่ยุทธขมวดคิ้ว มือซ้ายก็เลิกเสื้อขึ้นแล้วเกาพุงกลมๆ ไปด้วย “หรือเพราะมันเป็นเพลงรัก แต่เอ็งก็แต่งแค่แรปนี่หว่า”
“ผมเครียด”
“เป็นอะไรน้องสกาย” พี่เมฆรามือจากงานแล้วหันมาสนใจผมบ้าง ผมก็เลยได้ทีทำสีหน้าเหมือนโลกจะแตกใส่ทุกคน ผมเด็กสุดในนี้ เด็กกว่าหลายปีด้วยเพราะผมเพิ่งอายุ 24 เลยมักจะได้รับความเอ็นดูจากผู้ใหญ่ อีกทั้งผมเป็นคนอ้อนเก่ง อยู่กับยายมาแค่สองคน ตอนเด็กๆ ก็ไม่กล้าหรอกครับ แต่พอโตมาแล้วต้องย้ายมาเรียนในกรุงเทพฯ พอคิดถึงคุณยายมากๆ ก็เลยลองอ้อนลองออเซาะ ผลลัพธ์ก็เลยทำเป็นมาจนถึงตอนนี้
“พี่ครับ ใครก็ได้ ผมมีเรื่องจะถาม”
“ว่ามาๆ” พี่อ้อยขยับตัวมานั่งบนโซฟาข้างผม ผมเลยต้องลุกขึ้นนั่งอย่างเสียไม่ได้ นอนคุยกับพวกพี่เขาจนชินแล้วครับ ไม่มีใครว่าผมเสียมารยาทเพราะพี่ยุทธก็นอน พี่เมฆตอนนี้ก็กำลังใช้พุงกลมบ๊อกของหัวหน้าต่างหมอนอยู่
“พี่มีจูบแรกกันตอนไหนอ่ะครับ”
“...”
“...” ทุกคนมองผม เหมือนไม่คิดว่าผมจะถามคำถามแบบนี้
และก็เป็นพี่อ้อยที่อ้าปากตอบคำถาผมก่อนใคร “มอสาม กับแฟนคนแรก”
ผมอ้าปากค้าง มอสามนี่เพิ่งอายุสิบห้าไม่ใช่เหรอครับ
“แค่ปากแตะปากเฉยๆ” พี่แกพูดเสริมเมื่อเห็นสีหน้าของผม คราวนี้ผมเลยพยักหน้า ยังไม่หายอึ้งอยู่ดี แต่ก็เลื่อนสายตาไปมองพี่เมฆที่กำลังเม้มปากหน้าแดงอยู่
“มอห้าอ่ะ...”
“หน้าแดงทำไมวะ” พี่ยุทธผงกหัวมองคนบนพุง เห็นคนตัวแห้งตัวแดงเป็นกุ้งก็เลยถามจี้เข้าไปอีก “มีอะไร ไม่ใช่แค่จูบรึไง”
“พี่ยุทธ!”
“นั่นปะไร ไอ้กุ้งแห้งมันร้าย!”
“ฮ่าๆๆ” มีเสียงหัวเราะทั้งจากผมและพี่อ้อยดังสวนกันขึ้นมา พี่เมฆนี่มุดหน้าลงกับพุงหัวหน้าทีมไปแล้ว ในขณะที่คนเป็นหัวหน้าก็หัวเราะจนพุงกระเพื่อมเป็นคลื่นน้ำ
“แล้วพี่ยุทธล่ะครับ”
“กูตั้งแต่มอหนึ่งแล้วครับน้องๆ”
“เฮ้ย จริงป่ะพี่” ผมอ้าปากเหวอ อึ้งพี่อ้อยไม่หาย มีเรื่องให้อึ้งกว่าอีก
“จริงดิวะ กับแมวที่บ้านเนี่ย”
“โห พี่” หลังจากได้รับคำเฉลย ไอ้พี่ยุทธก็ถูกพวกผมรุมโห่ร้องเสียงดัง แต่พี่แกกลับหัวเราะสะใจเอามากๆ พวกเราผลัดกันแกล้งผลัดกันถูกแกล้ง ผมหอบหายใจเพราะหัวเราะจนเจ็บท้อง กลิ้งตัวลงนอนบนตักพี่อ้อยโดยขออนุญาตก่อนแล้ว
ขำจนท้องแข็ง ขำจนนั่งไม่ไหวแล้วครับ
“แล้วคิดไงถามเรื่องนี้อ่ะ” พี่เมฆพูดโพล่งขึ้นมาท่ามกลางเสียหอบหายใจ ผมชะงักทันที พี่คนอื่นสังเกตเห็นเลยยิ่งเค้นคอเข้าไปใหญ่
“ก็... ผมยังไม่เคย”
“เฮ้ย จะเบญจเพศอยู่แล้วนะเอ็ง” พี่ยุทธดูตกใจมากเมื่อได้ยินความจริงจากปากผม
ก็ผมไม่เคยมีแฟน จะไปจูบใคร...
คิดแล้วภาพใครบางคนก็ลอยขึ้นมาในหัว เจ้าของลักยิ้มข้างขวาที่เข้ามาวิ่งเล่นในฝันผมแทบทุกคืน ถ้านับจูบในฝันว่าเป็นหนึ่งจูบ ผมคงเสียไปเกือบสิบแล้วล่ะครับ
โคตรหมกมุ่นเลย ให้ตาย
“งั้นที่มาถามนี่... แสดงว่ามีคนที่อยากจูบป่ะ” อยู่ๆ พี่อ้อยก็โน้มหน้าลงมา ส่งรอยยิ้มแซวมาให้พร้อมดวงตาพราวระยับ ประโยคนั้นประโญคเดียวเรียกเสียงโห่ฮาจนดังลอดออกไปนอกห้องสตูฯ ได้เลย
“เปล๊า!”
“เสียงสูง สารภาพมาเด็กน้อย”
ผมโดนคาดคั้น ถูกพี่สามคนรุมรังแกด้วยการจั๊กกะจี้ที่เอว ผมไม่ใช่คนบ้าจี้ แต่ตอนที่เรากำลังหัวเราะหรืออ่อนไหวกับบางเรื่องอยู่ เส้นประสาทที่เอวก็พร้อมใจทำหน้าที่ของมันอย่างดี
“พี่ พี่ ฮ่าๆๆๆๆ” ผมดิ้น ยกขายกแขนเตะปัดไปทั่ว มีฟาดโดนพี่เขาบ้างแต่พวกชายฉกรรจ์ทั้งสามก็ยังไม่หยุด “พี่ ผม ผม แฮก ผมบอกแล้ว”
กว่าผมจะเป็นอิสระ ผมก็ได้ค้นพบว่าช่วงชีวิตที่เฉียดใกล้ความตายมันเป็นยังไง
ผมที่ดิ้นจนลงมานอนกองบนพื้นหอบหายใจ หน้าดำหน้าแดง เสื้อผ้าก็ยับย่นและเลิกขึ้นมาถึงหน้าอก ผมไม่มีแรงพอจะขยับตัว ตอนนี้กำลังพยายามสูดอากาศเข้าปอดได้มากที่สุด พวกพี่เขาก็ไม่ต่างกัน เพราะต้องต่อสู้กับแรงดิ้นมหาศาลของผม เสียงหอบหายใจของพวกเราทั้งสี่ดังคลอประสานกันแทนบทสนทนา
“พูดมา ไอ้สกาย” พี่ยุทธเร่งเร้า
“ก็... ผมเกือบถูกจูบ”
“ใครวะ ผู้หญิงที่ไหน”
ผมเม้มปาก ไม่ตอบคำถามนั้นโดยเลี่ยงไปพูดอย่างอื่นแทน “นั่นแหละ มันแค่เกือบ แต่หลังจากนั้นผมดันอยากรู้ว่าถ้าจูบจริงๆ จะเป็นยังไง”
“เด็กเวอร์จิ้น”
“เด็กน้อย”
หัวของผมถูกฝ่ามือทั้งสามรุมขยี้จนยุ่งหนักกว่าเดิม
“เดี๋ยวถึงเวลาก็ได้รู้เองนั่นแหละ” พี่ยุทธว่าทิ้งท้าย ก่อนที่ผมจะถูกรังแกอีกครั้งด้วยเรื่องอื่น เหมือนผมเป็นเรื่องบันเทิงเดียวในห้องสตูฯ ที่มีแต่งานกองสุมหัวเลยครับ
ไม่รู้คิดผิดคิดถูกที่มาหาพวกพี่เขา สภาพของผมตอนกลับไปที่คอนโดนี่เหมือนโดนรุมทำร้ายจากคนนับสิบเลย ให้ตาย
ผมไม่ได้เจอโฬมมาอาทิตย์หนึ่ง จนอยู่ๆ เขาก็ไลน์มาว่าแผลหายดีแล้ว และจะเข้าสตูดิโอของผมตอนบ่าย เพราะอยากลองอัดเสียงลงซาวด์
ตอนนี้ผมถึงได้มายืนอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ กับผู้ชายหน้าตาดีผู้มีลักยิ้มมหาเสน่ห์ บรรยากาศระหว่างเรายังคงมีความอึดอัดอยู่ แต่รอยยิ้มของโฬมก็ช่วยปลอบประโลมให้อาการย่ำแย่พวกนั้นค่อยๆ ดีขึ้น
คนตัวไม่ได้พูดถึงเรื่องวันนั้นอีก เขาทำเหมือนลืมไปแล้ว ในขณะที่ผมยังหัวหมุนกับภาพความทรงจำกับความฝันที่ผสมปนเปไม่เลิก โฬมคงสัมผัสได้ว่าผมไม่เหมือนเดิม เขาถึงไม่ค่อยได้เข้ามาคุยและนั่งจมจ่อมอยู่หน้าไมค์กับจอคอมพิวเตอร์ ผมยืนมองอยู่ข้างๆ ฟังเสียงนุ่มหูกับเสียงกีตาร์เพราะๆ
ริมฝีปากของเขาขยับขึ้นลงตามจังหวะคำร้อง ในบางท่อนโฬมก็แลบลิ้นออกมาเลียผิวปากด้านล่าน ก่อนจะขบเม้มเบาๆ ในจังหวะที่ร้องผิดคีย์หรือหลุดทำนอง
ผมไม่รู้ตัวว่าตัวเองเอาแต่จ้องปากของโฬม
ไม่รู้ตัวจนกระทั่งอยู่ๆ อีกคนก็หันมาถามความคิดเห็นว่าเป็นยังไงบ้าง
กรอบหน้าได้รูป ดวงตาสีน้ำตาลที่จ้องมามา ไม่อาจเรียกสายตาผมได้เท่าผิวปากฉ่ำน้ำสีแดงสด วันนี้เขากัดปากบ่อย มันเลยขึ้นสีแดงที่บริเวณด้านใน
ผมเผลอกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ ดวงตาแห้งผากเพราะลืมวิธีกระพริบตาไปแล้ว
“กาย”
ปากของเขาขยับ ภาพความฝันซ้อนทับเข้ามา ผมเห็นรอยยิ้มของเขากับแสงสว่างที่สะท้อนมาจากด้านหลัง โฬมค่อยๆ เชยคางก่อนจะเคลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้ ริมฝีปากของเขาอยู่ห่างออกไปไม่ไกล ลมหายใจร้อนชื้น และอัตรการเต้นของหัวใจที่เร่างระดับขึ้นเรื่อยๆ
“สกายครับ”
ผมค่อยๆ หลับตาลง เตรียมรับสัมผัสอ่อนหวานที่ได้ลิ้มลองในทุกค่ำคืน
“สกาย!”
เฮือก!
“คะ ครับ”
“สกายไม่สบายรึเปล่าครับ จะเป็นลมเหรอ” คนตัวสูงผุดลุกจากเก้าอี้ เดินเข้ามาประชิดตัวแล้ววางฝ่ามือทาบลงบนหน้าผาก ผมต้องเงยหน้ามองเพราะเขาสูงกว่า
เหมือนภาพความฝันซ้อนทับเข้ามาอีกแล้ว
ผมเหม่อ ยืนมือไปคว้าจับชายเสื้อโฬม จับจ้องริมฝีปากของเขาที่กำลังขยับพูดอะไรสักอย่าง แต่หูของผมตัดการรับรู้ไปแล้ว
“โฬมครับ...”
ผมอยากจูบ...__________________________
Talk:
มาแล้ว มาช้าไปวันนึง มัวแต่ไปเที่ยวเล่นอยู่ค่ะ
พอดีวันเสาร์ไปงาน ไทยเกาหลี 60 ปีมา เลยไม่ได้เขียนนิยายเลย
เอาเจ้าสกายมาเสิร์ฟแล้ว
ฮือออ น้องดูหมกมุ่น
พื้นเพน้องโตมากับยาย เป็นเด็กบ้านนอก และเป็นเด็กที่ตามความฝันมาตลอดตั้งแต่เด็ก
ไม่เคยมีแฟน เรียกว่าไม่เคยสนใจดีกว่า เพราะกำลังบ้าแรป บ้าฮิบฮอบ
แต่น้องไม่ได้ใสนะคะ น้องก็คือเด็กป้อจาย แต่น้องแค่ทุ่มเทกับแรปมากกว่าหาแฟน
มันเป็นความอยากรู้อยากลองของเด็กเพิ่งออกจากโลกใบเดิมน่ะค่ะ 555
ถ้านังพี่มันรู้ความในใจน้องนะ เจ้าสกายไม่น่ารอดเงื้อมมือมาร
มีไรจะทอล์คเยอะเนี่ย ยาวไปแล้ว ฝากเจ้าสกายด้วยนะคะ
รักทุกคน ทุกคอมเม้น เพิ่งเจอวิธีตอบเม้น 555 เดี๋ยวว่างๆ มานั่งไล่ตอบดีกว่า
ฝากนิยายอีกเรื่องด้วยค่า
--
เพื่อนวัยเด็ก #เขื่อนคนสวยแนวเมะหน้าสวยๆ เน้อ
เรื่องนี้จะออกกับ สำนักพิมพ์อ่านนานนะคะ
แวะไปอ่านกันเถอะๆๆ