บทที่ 188 Begin Again
“ข้าว่านี่ก็ถึงเวลาที่เหมาะสมที่พวกเอ็งจะเดินทางต่อกันได้แล้ว ตลอดเวลาเดือนกว่าๆ ที่ผ่านมา ข้าคิดว่าข้าได้ถ่ายทอดวิชาความรู้ให้พวกเอ็งทั้งสามจนครบถ้วนแล้ว”
ชายเจ้าของร่างกายกำยำเอ่ยพร้อมกับกวาดสายตาไปทางลูกศิษย์ทั้งสามคนที่นั่งอยู่บนลานกว้างที่เป็นเสมือนห้องโถงของดินแดนฐานทัพลับแห่งนี้ สูงสูดของเพดานแห่งนี้มีลักษณะเหมือนจะโปร่งแสงและยินยอมให้แสงแดดส่องลงมาแก่สถานที่ด้านล่างซึ่งเป็นห้องหับที่แสนซับซ้อนเหล่านั้น
“จริงเหรอลุง ไหงจบเร็วจังเลย ผมยังยิงเลเซอร์ออกจากลูกกะตาไม่ได้เลย” ธันกระเซ้าผู้เป็นอาจารย์ด้วยรอยยิ้ม
“พวกเอ็งตอนนี้ได้แค่นี้แหละ มากกว่านี้ไปก็เหมือนน้ำล้นแก้ว พวกเอ็งรับไม่ได้หรอก” ลุงหัสดินตอบมาอย่างไม่สนใจต่อล้อต่อเถียงกับลูกศิษย์
“พวกเอ็งตั้งใจจะเดินทางไปไหนกันต่อ”
“น่าจะเป็นเมืองมีนาคมครับลุง เพราะอยู่ใกล้ที่สุดจากตรงนี้” เฟี๊ยตเป็นคนตอบ เมื่อเห็นว่าเพื่อนทั้งสองคนต่างนิ่งราวกับว่าจะปล่อยให้เขาเป็นคนเจรจาเรื่องแผนการ
“ดีแล้วแหละ แต่อีกสิ่งหนึ่งที่พวกเอ็งต้องระวังคือ หลังจากนี้เอ็งคงจะได้เจอกับผู้เล่นจำนวนมาก ตลอดเวลาที่ผ่านมา นักเล่นหน้าใหม่มากระจุกตัวอยู่ฝั่งตะวันออกเยอะ เพราะข้ามฝั่งแม่น้ำแห่งชีวิตไปไม่ได้ คนส่วนใหญ่น่าจะไปรวมตัวกันที่เมืองมีนาคมเป็นหลัก” ลุงเอ่ยถึงเรื่องที่พวกเขาทั้งสามไม่เคยคิดมาก่อน
“พวกเราควรระวังผู้เล่นคนอื่นในเรื่องไหนบ้างครับลุง ปรกติผู้เล่นไม่สามารถชิงการ์ดกันได้โดยตรงไม่ใช่เหรอครับ” เฟี๊ยตเอ่ยอย่างสงสัย
“ถ้าฆ่าเอ็งจนตาย การ์ดเอ็งจะหายไปกลับคืนสู่ระบบใหม่อีกครั้ง แบบนั้นก็คงไม่มีประโยชน์อะไร แต่ถ้าทรมานจนเอ็งต้องยอมโอนการ์ดให้โดยจำยอม อย่างนั้นก็ไม่แน่” อาจารย์ลุงของพวกเขาเอ่ยด้วยเสียงในลำคอ
ลูกศิษย์ทั้งสามคนมองหน้ากันโดยไม่มีคำพูดใดๆ ออกมาทั้งสิ้น เด็กหนุ่มจมูกคมขมวดคิ้วพร้อมกับหรี่ตาเล็กน้อย ชายหนุ่มผิวขาวละเอียดยิ้มมุมปากอย่างสนใจ ในขณะที่ชายคนสุดท้ายเงยหน้าขึ้นและกลอกตาไปมาอย่างครุ่นคิด
“วิธีคลาสสิกที่สุดน่าจะเป็นการจับเป็นตัวประกัน ไม่ว่าจะเพื่อนหรือตัวของเอ็งเอง ถ้ามีมีดมาจ่อคอหอยอยู่ก็อาจจะตัดสินใจอะไรได้ง่ายขึ้น” ลุงพูดต่อ
“อย่างที่สองก็คำสาป พวกเอ็งอาจจะต้องคำสาปอะไรสักอย่างและอาจจะต้องยอมเสียการ์ดเพื่อแลกกับการถอนคำสาป และสุดท้าย...”
“ยาพิษ” เฟี๊ยตตอบขึ้นระหว่างที่ประโยคจากผู้ที่เป็นอาจารย์จะจบลง
“สงสัยจะเคยทำ ฮ่าฮ่าฮ่า” ชายวัยกลางคนหัวเราะคำรามออกมาอย่างอารมณ์ดี
“บ้าดิลุง ใครจะไปทำ” เฟี๊ยตพูดอย่างไม่ค่อยเต็มเสียงเท่าไหร่นัก
“มอมคนด้วยกัญชานี่นับเปล่าวะ”
กันต์หันมาถามด้วยคิ้วย่นๆ เหมือนจะสงสัย แต่ถ้าดูจากรอยยิ้มที่มุมปาก น่าจะแปลความไปในทางกระเซ้ามากกว่า
“อ๊าว แล้วสาปคนให้ติดกับก่อนจะล้วงความลับตามใจชอบนี่ถือเป็นข้อสองเปล่าวะ” ยังไม่ทันที่เฟี๊ยตจะพูดอะไร ธันก็ถามกันต์กลับพร้อมกับยักคิ้วอย่างสบอารมณ์
“กูว่าไอ้พวกชอบสร้างตึกสูงเอาไว้ขู่ให้คนขาสั่นจนยอมแพ้นี่ก็น่าจะนับเป็นข้อแรกนะ” เฟี๊ยตหันไปทางธัน พร้อมกับพูดด้วยตาที่เป็นประกาย
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”
ชายทั้งสามคนระเบิดเสียงหัวเราะมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ไม่น่าเชื่อว่าสิ่งที่ลุงตักเตือนอย่างตั้งใจนั้นจะมาจุดไต้ตำตอพวกเขาอย่างถนัดถนี่ที่สุด ข่มขู่ คำสาป และยาพิษนี่มันแสดงถึงตัวตนพวกเขาทั้งสามคนจริงๆ
“ลูกศิษย์ข้านี่มันแจ่มจริงๆ เลวแบบครบวงจร ฮ่าฮ่าฮ่า”
ลุงหัสดินลั่นเสียงหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดีเมื่อเห็นว่าศิษย์ของตนก็เจนจัดสนามรบไม่แพ้ใครเหมือนกัน เสียงหัวเราะของผู้เป็นครูกังวานไปมาในเส้นทางใต้ดินที่ซับซ้อนเหล่านั้น ราวกับว่าพวกมันก็จะร่วมกันกล่าวอำลาให้กับผู้มาเยือนที่ใกล้จะถึงเวลาที่ต้องจากกันเสียแล้ว
“ต่อไปนี้คงจะเป็นคำสั่งเสียสุดท้ายจากข้าแล้ว ขอให้พวกเอ็งตั้งใจฟังให้ดี ข้าคงไม่ได้เจอพวกเอ็งอีกแล้ว จดจำคำสอนของข้าให้ขึ้นใจ มันมีประโยชน์มหาศาลแน่ๆ ไม่วันใดก็วันหนึ่ง”
ลุงหัสดินปรับน้ำเสียงพร้อมกับทำสีหน้าเคร่งขรึมขึ้น เหมือนเป็นการส่งสัญญาณให้เหล่าลูกศิษย์ของตนเองตั้งใจฟัง
“กันต์” เสียงเข้มดังขึ้นเรียบๆ พร้อมกันกับที่ชายหนุ่มเจ้าของชื่อลุกขึ้นเดินไปหาผู้เป็นครูของตน
“ในศิษย์ทั้งสามคน ข้ายอมรับว่าข้าได้สอนอะไรให้กับเอ็งน้อยที่สุด ซึ่งข้าเองก็ยอมรับในความจริงข้อนี้ แต่ข้ามีความจำเป็นที่จะต้องรีบสอนให้เพื่อนทั้งสองคนของพวกเอ็งเอาตัวรอดในสถานการณ์เหล่านี้ให้ได้ก่อน ซึ่งข้าคิดว่าเอ็งก็คงรู้ว่ามันลำบากกว่ามาก”
“ผมเข้าใจดีครับ” กันต์พูดพร้อมกับโค้งคำนับให้กับผู้เป็นครู
“เก็บรักษาไพ่ที่ข้าไพ่ให้เอ็งให้ดี มันอาจจะไม่ใช่ไพ่ที่ทำให้เอ็งเอาชนะคู่ต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดได้ แต่มันอาจจะทำให้เอ็งรักษาชีวิตของเพื่อนที่สำคัญที่สุดของเอ็งไว้ได้” ลุงหัสดินพูด
“ครับ” กันต์รับคำ
“สติ เอ็งต้องมีสติอยู่เสมอนะ ยิ่งเพื่อนเอ็งไม่มีสติเท่าไหร่ เอ็งยิ่งต้องมีสติเท่านั้น อย่าลืมหน้าที่ของตัวเองเสมอว่าเอ็งคือผู้รักษากุญแจ ในเวลาสำคัญที่สุด ถ้าเอ็งไม่มีสติที่จะปิดผนึกหรือปลดผนึกกุญแจได้ เอ็งคงรู้นะว่าข้าหมายความว่าอะไร”
“ผมจะจำไว้ครับ” กันต์โค้งอย่างขอบคุณอีกครั้ง ก่อนจะถอยหลังมายืนรอเงียบๆ หลังจากเห็นว่าผู้เป็นครูไม่มีอะไรจะพูดกับตนเพิ่มเติมอีกแล้ว
“ธัน” เด็กหนุ่มอีกคนลุกยืนขึ้นมาเบื้องหน้าของชายวัยกลางคนอย่างรอคอยจังหวะอยู่แล้ว
“อย่าปล่อยให้ความว่างเปล่าครอบงำตัวเองได้เด็ดขาด ตัวเอ็งมีลักษณะเป็นธาตุว่างเปล่าก็จริง แต่จงควบคุมและเรียนรู้การเคลื่อนไหวของจักระตนเองอยู่เสมอ ถ้าเอ็งละเลย ความว่างเปล่าในตัวเอ็งจะดูดกลืนความมืดมิดจากรอบข้างเข้ามาไว้ภายใน และเอ็งก็จะกลายเป็นปีศาจที่ไร้สมอง”
“ครับ” ธันเอ่ยรับคำอย่างสงบ
“ครั้งหน้าอาจจะไม่โชคดีเหมือนครั้งนี้แล้ว ครั้งต่อไป เอ็งอาจจะหันคมเขี้ยวให้กับเพื่อนของเอ็งก็ได้ จงระวังให้ดี” ลุงสำทับอีกครั้ง
“ผมจะระวังครับ” ธันตอบ
“แต่ถึงแม้ว่าพรสวรรค์ที่เอ็งมีจะอันตรายมากถึงขีดสุด แต่มันก็เป็นพรสวรรค์ที่ล้ำค่าที่สุดเช่นกัน จักระปริมาณมหาศาลที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของเอ็งนั้นสามารถพาเอ็งและพวกไปได้ไกลในเกมนี้แน่ๆ จงฝึกฝนตัวเองอยู่เสมอ ข้าจะคอยฟังชื่อเสียงของเอ็งในอนาคต”
ชายเจ้าของร่างกายกำยำยิ้มให้ธันอย่างเปิดเผย พร้อมกับใช้มือขวาตบไหล่ของลูกศิษย์อย่างให้กำลังใจ ก่อนที่ธันจะถอยออกไปยืนอยู่ข้างกันต์ที่อยู่ไม่ห่างออกไปนัก
“เฟี๊ยต”
ชายหนุ่มคนสุดท้ายลุกยืนขึ้น ก่อนจะเดินไปหาลุงหัสดินอย่างสุขุม สีหน้าของเฟี๊ยตมีท่าทีครุ่นคิดอะไรสักเรื่องอย่างคิดไม่ตก
“ชีวิตในเกมหลังจากนี้คงจะลำบากขึ้นอีกมาก”
ลุงหัสดินเริ่มต้นประโยคด้วยเสียงไม่ดังเท่าไหร่นัก เฟี๊ยตเองก็ก้มหน้าพร้อมกับถอนหายใจยาวอย่างรับสภาพ
“มันไม่ใช่โชคร้ายของเอ็ง การที่เอ็งจะใช้จักระอีกไม่ได้เลย นั่นเป็นข้อดีของเอ็งต่างหาก คนที่มองไม่เห็นจะได้ยินเสียงที่ดัง กลิ่นที่ชัด รสชาติที่คมกว่าคนที่มองเห็นเสมอ จงฝึกฝนประสาทสัมผัสและความสามารถด้านอื่นให้พร้อม เอ็งก็อาจจะแข็งแกร่งกว่าคนตาดีอีกหลายคนได้” ผู้เป็นครูกล่าวออกมา ในขณะที่เฟี๊ยตยืนรับฟังเงียบๆ โดยไม่มีความเห็นใดๆ อื่น
“ข้าคิดว่าข้าเองทำหน้าที่ผู้เป็นครูได้ดีที่สุดตามที่ตาแก่นั่นได้ฝากฝังไว้แล้ว ต่อไปคงจะหมดหน้าที่ของข้าแล้ว”
ลุงหัสดินพูดพร้อมกับหยิบการ์ดใบหนึ่งที่เคยเป็นรูปภาพของตน ซึ่งตัวเขาเองได้รับมาตั้งแต่วันแรกที่เฟี๊ยตได้สติคืนให้ลูกศิษย์ของตนอีกครั้ง
“ขอบคุณลุงมากๆ ครับ” เฟี๊ยตกล่าวออกมาจากใจจริง
“ข้าว่าเอ็งไปขอบคุณตาแก่ขี้โรคที่เอ็งช่วยชีวิตไว้ดีกว่า ถ้าไม่มีคำขอจากมัน ข้าก็คงจะไม่รักษาชีวิตเจ้าไว้ให้ด้วยซ้ำ” ลุงหัสดินตอบอย่างง่ายๆ
ในจังหวะนั้น ธันก็หันไปมองหน้ากันต์อย่างเข้าใจในเนื้อความ เฟี๊ยตเองเคยบอกกับเพื่อนทั้งสองคนอยู่แล้วว่าตัวเขาเคยช่วยรักษาโรคให้กับชายชราคนหนึ่ง และชายคนนั้นได้ตอบแทนโดยการมอบการ์ดระบุตัวตนชายอีกคนหนึ่งมา เพื่อจะให้ตัวเขามาฝึกฝนวิชาด้วย แต่เหตุการณ์มันตกกระไดพลอยโจนทำให้อาจารย์คนนั้นเป็นมากกว่าครู เพราะได้มาพบกันตอนที่กำลังป่วยหนัก ซึ่งทำให้ต้องรับบทบาทหมอจำเป็นไปด้วย และอาจารย์คนนั้นก็คือลุงหัสดินคนนี้นั่นเอง
“ลุง...”
เฟี๊ยตเอ่ยอย่างสงสัย เมื่อเขาก้มดูลายบนหน้าไพ่ที่ได้รับกลับมา พร้อมกับหันไพ่ใบนั้นไปให้ผู้เป็นครูดู เพราะไพ่ใบนั้นหน้าตาไม่เหมือนกับที่เขาได้รับมาตอนแรก
“The lady of the moon คือครูคนต่อไปของเอ็ง อาการที่เอ็งเป็นนั้นหนักหนาเกินกว่าข้าจะเคี่ยวเข็ญเอ็งคนเดียวให้สำเร็จได้ เมื่อถึงเวลาอันสมควร เอ็งจงนำไพ่ใบนี้ไปแสดงตนเพื่อเรียนรู้วิชาแห่งจิตขั้นต่อไปซะ ครูคนต่อไปของเอ็งเก่งกว่าข้าหลายขุมนัก ฮ่าฮ่าฮ่า” ลุงหัสดินปิดท้ายประโยคด้วยเสียงหัวเราะกังวานดังไปมาอีกครั้ง
“ขอบคุณลุงมากๆ ครับ ขอบคุณจริงๆ”
เฟี๊ยตพนมมือไหว้อย่างอ่อนน้อมที่สุด เพื่อเป็นการแสดงถึงความขอบคุณในบุญคุณที่มากมายของคนตรงหน้านี้
“พอๆๆ ไม่ต้องพิธีรีตองมาก ข้ากระดาก” ลุงหัสดินยกมือขึ้นโบกอย่างไม่ใส่ใจทั้งที่ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
‘ตาแก่ขี้โรคนั่นมองคนไม่ผิดเลยจริงๆ’