ตอนที่ 4 ปุโรทั่ง
“คุณหนู!!”
“ขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจ”
ผมจับหัวเบลท์ไว้ นาคินทร์ถอนหายใจยาว ส่ายหน้าไปมา
“เอาเถอะครับ มันเก่าแล้ว แต่ครั้งหน้าก็ระวังหน่อยนะครับ สงสารมัน”
“แล้วมาทำคุยว่าจะขับแซงรถฉันได้ แซงไปอยู่บนสวรรค์ก่อนมากกว่า”
ผมบ่นใส่ นาคินทร์หัวเราะ เปิดประตูด้านผมออกกว้างขึ้น คุกเข่าที่พื้น ก้มลงมาใส่หัวเบลท์เข้าที่ ผมจ้องมองใบหน้าที่กำลังขะมักเขม้นนั้น
“ทำยังไงให้หน้าอ่อนแบบนาคินทร์ไปตลอด”
อยู่ ๆ ผมก็ถามขึ้น
นาคินทร์ช้อนตามอง
“คิดดีทำดี หน้าตาจะได้ดีตามไปด้วย”
“หูยยยยยยย” ผมโปรยเสียงยาวใส่ นาคินทร์หัวเราะ “ไหนว่ารูปร่างหน้าตาตัวเองเป็นแค่เปลือกนอก”
“มันเป็นแค่เปลือกนอกจริง ๆ นี่ครับ” นาคินทร์ช้อนตาขึ้นสบ “หน้าตามันแค่ภายนอก แต่สิ่งสำคัญอยู่ที่นี่” นาคินทร์ชี้ไปที่หัวใจตัวเอง “ผมว่าผมดีจากตรงนี้” เขาจิ้มที่หัวใจตัวเองอีกรอบ ผมเลื่อนมือไปวางไว้บนตำแหน่งนั้น ไม่ได้มองตาเจ้าของ แต่มองตำแหน่งที่มือตัวเองอยู่ คงเพราะผมวางมือลงตอนนาคินทร์กำลังจะวางมือลงตรงตำแหน่งหัวใจตัวเองอีกรอบ ตอนนี้มือนาคินทร์เลยกุมมือผมไว้ตรงตำแหน่งหัวใจตัวเองพอดี
เราต่างคนต่างนิ่ง ผมนิ่งเพื่อฟังเสียงหัวใจนาคินทร์ ส่วนนาคินทร์นิ่งเพราะอะไรนั้น ผมไม่อาจรู้ได้ ผมนิ่งฟัง มันเต้นเป็นจังหวะช้า ๆ แต่มั่นคง มือที่กุมมือผมไว้มันร้อนผ่าว แต่ก็อบอุ่นอยู่ในที
ผมเลื่อนสายตาขึ้นสบดวงตาของเจ้าของ ดวงตานั้นมองผมอยู่ก่อนแล้ว ผมเผยอริมฝีปากนิด ๆ อย่างไม่มีความหมาย
ผมคิดไปเองหรือเปล่า ที่จังหวะการเต้นหัวใจที่แผ่วสม่ำเสมอนั้นไหวแรงขึ้น และแรงขึ้นเรื่อย ๆ ผมอยากถามคนตรงหน้าเหมือนกัน ว่าทำไมหัวใจเขาถึงได้เต้นแรงขนาดนี้ แต่ก็ไม่ได้ถาม
ได้ยินเสียงสตาร์ทเครื่องยนต์ดังกระหึ่มขึ้นมากลบความเงียบ เสียงนั้นเหมือนระฆังตีสั่งให้เราสองคนละสายตาออกจากกัน นาคินทร์รีบปล่อยมือจากหลังมือผม ผมเองก็รีบชักมือกลับเหมือนกัน
“กลับกันเถอะครับ คุณหนูคงจะหิวแล้ว”
ผมพยักหน้า กลับมานั่งนิ่ง ๆ เมื่อกี้ฟังเสียงหัวใจนาคินทร์เต้นแรง แต่ตอนนี้ผมกำลังฟังเสียงหัวใจตัวเองเต้นแรงแทน
รถติด… = =;
ติดแบบไม่ทราบสาเหตุ หนูแดงโทรมาตามพ่อแล้ว
“สงสัยจะเกิดอุบัติเหตุ หิวมากไหมครับ อดทนหน่อยนะ”
นาคินทร์พูดอย่างร้อนรน หันไปคุ้ยหาอะไรสักอย่างแถว ๆ เบาะท้าย(มีข้าวของวางสุมอยู่เกลื่อน)
“หาอะไร”
ผมหันไปมอง เผื่อจะได้ช่วยหาดีกว่าให้คนขับรถหาเองแบบนี้
“ของกินครับ เผื่อผมหรือหนูแดงทิ้งไว้ จะได้ให้คุณหนูรองท้องไปก่อน”
ผมส่ายหัว
“ไม่เป็นไร ฉันทนได้”
“นาคินทร์ไม่อยากให้คุณหนูทน อยู่กับนาคินทร์คำว่าลำบากไม่อยากให้มี”
นาคินทร์อาจพูดคำนั้นโดยไม่คิดอะไร แต่คำพูดนั้นทำให้หัวใจผมวูบไหวอีกแล้ว นาคินทร์ดีกับผมมาตลอด ในฐานะคนสวนของบ้าน แต่ผมไม่เคยใส่ใจเลยจนเดี๋ยวนี้ ผมแทบจะอิ่มกับความรู้สึกดี ๆ ที่เขามีให้
“ปกติเด็กนั่นจะทิ้งของกินไว้น้า”
นาคินทร์หาไปบ่นไป ผมแตะต้นแขนนาคินทร์เบา ๆ หวังเบรกโดยไม่ใช้เสียง นาคินทร์ชะงักมอง
“ไม่ต้องหาหรอก ดูท่ารถน่าจะติดนาน เบียดรถเข้าซอยนั้นก็ได้ เบียด ๆ ไปเถอะ เขาเห็นความเก่ากึกของรถเราเดี๋ยวก็ขยับที่ให้เอง วันหน้าห้อยแป้งไว้ท้ายรถผูกผ้าแดงสามสีจะได้ขลัง”
คนที่กำลังทำสีหน้าหงุดหงิดอยู่หัวเราะออกมาได้ พลอยพาเอาใจผมแกว่งอย่างรู้สึกดีตามไปด้วย
“อดทนหน่อยนะครับ”
แล้วเจ้าตัวก็ค่อย ๆ ประคองเจ้าปุโรทั่งขับตรงไปด้านหน้า
“อดทนหน่อยนะลูก ไว้พ่อแกรวยเมื่อไหร่ จะทำใหม่ให้หล่อขึ้น แต่คงชาติหน้าตอนบ่าย ๆ เพราะเจ้าตัวไม่รู้วิธีขอขึ้นเงินเดือนทั้งที่ทำงานหนักแทบตาย”
ผมตบคอนโซลหน้าเบา ๆ นาคินทร์หัวเราะเสียงดัง
“คุณหนูน่ารัก”
เอิ่ม...
คราวนี้ผมไปไม่เป็นเลย มือผมยังแตะอยู่ที่เจ้าปุโรทั่ง ในขณะที่คนพูดพยายามพาเจ้าปุโรทั่งแซะผ่านช่องแคบระหว่างรถกับขอบถนนเพื่อเบียดเข้าซอยหน้า ผมรีบเสมองไปทางอื่น เพราะตอนนี้หน้าผมกำลังจะไหม้เพราะไฟวาจาของเขาแล้ว
ผมไม่ได้พูดเล่นครับ เพราะรถคันอื่น ๆ เขาขยับให้จริง ๆ มอซงมอไซค์ มองกันทึ่ง ๆ ที่พ่อเจ้าปุโรทั่งสามารถลากสังขารผ่านสมรภูมิมาได้ นาคินทร์เลี้ยวซ้ายเข้าซอยแคบ ๆ แต่ผมเดาเอาว่าน่าจะมีของอะไรให้กินบ้าง เราขับทะลุไปอีกซอย
“คุณหนูอยากกินอะไรครับ”
“ดูอยู่”
ผมชะเง้อคอ พยายามมองไปไกล ๆ หาร้านอะไรน่านั่ง
“เคยกินข้าวนอกบ้านแบบนี้บ้างหรือเปล่า”
ผมถามคนข้างตัว
“ครั้งเดียวครับ ยัยหนูแดงลากมา”
ผมลองนึกวาดภาพดู
“ตอนมาแต่งตัวแบบไหน”
“ก็แบบเดิม”
“แล้วหลังจากนั้นหนูแดงก็ไม่เคยพามาอีกเลยใช่ไหม”
“คุณหนูรู้ได้ยังไง”
“ถ้าฉันเป็นลูกนายก็ไม่พามาหรอก แต่งตัวซกมก”
“อ้าว คนสวนนี่ครับ”
“สวนไม่สวนก็ควรแต่งตัวให้ดีนิด ไม่เห็นแก่ตัวเองก็ควรเห็นแก่คนที่มาด้วย โดยเฉพาะหนูแดง”
“นาคินทร์คิดไปไม่ถึงจริง ๆ ครับ พอหนูแดงชวน นาคินทร์ก็ออกมา เสื้อผ้านาคินทร์มีไม่มาก หาตัวที่ดีที่สุดมาใส่แล้ว”
ผมถอนหายใจเบา ๆ พอ ๆ กับเขา คงนึกไปถึงสภาพตัวเองตอนนั้นแล้วสงสารลูกละมั้ง
“คุณหนูคงนึกรังเกียจนาคินทร์อยู่ใช่ไหมครับ นาคินทร์เข้าใจ นาคินทร์ถึงชอบอยู่แต่ในสวน ทำงาน คลุกดินตากแดดภายใต้ท้องฟ้า และนาคินทร์ก็มีความสุขที่ได้อยู่ตรงนั้นด้วย”
ผมนิ่งไป รู้สึกอับอายไปกับสิ่งที่ตัวเองพูดไปเมื่อกี้
ใช่แล้ว นาคินทร์ดูดีที่สุดตอนอยู่ในสวน ไม่ใช่ว่าคนทุกคนจะพร้อมไปกับทุกสถานที่ เหมือนอย่างผม ถ้าลงไปคลุกดินแบบเขาผมก็คงไม่เหมาะ
“ฉันขอโทษ” ผมพูดขึ้น
“คุณหนูขอโทษเรื่องอะไรครับ”
“ที่พูดจาให้ไม่สบายใจ ฉันก็ลืมไปว่าแต่ละคนก็มีพื้นที่ที่เหมาะสมกับตัวเอง ฉันไม่เคยนึกรังเกียจนาคินทร์นะ ไม่ว่าจะตอนนี้หรือตอนไหน นาคินทร์เห็นฉันมาตั้งแต่เล็กจนโต ก็น่าจะรู้นิสัยฉันดี”
“บางครั้งก็รู้ บางครั้งก็ไม่ครับ เพราะจิตใจคนเป็นสิ่งที่อ่านยากที่สุด”
แทบไม่น่าเชื่อว่านี่คือคำพูดจากคนที่ไม่เคยผ่านรั้วโรงเรียนที่ไหนมาก่อนจริง ๆ
“ถ้าฉันรังเกียจนาคินทร์ คงไม่ไปหาไม่ไปพูดคุยด้วยหรอกนะ”
“แล้วถ้านาคินทร์แต่งตัวมอซอ หนวดเครารกรุงรังกว่านี้ล่ะครับ”
ผมหันไปมองคนถาม นึกภาพตาม
“ก็เห็นมาตั้งแต่เล็กจนโต แต่ที่ฉันให้นายโกนหนวดโกนเคราแต่งตัวให้เหมาะสมก็เพื่อให้เหมาะแก่สถานที่เท่านั้น ทำสวนที่บริษัทเสร็จ จะกลับไปไว้เคราเพื่อให้หนูมดแมลงสาบมาทำรัง หรือเอาผ้าขี้ริ้วมาใส่ก็เอาเถอะ เอาที่สบายใจ”
นาคินทร์หันมามองตาผม ยิ้ม
“นาคินทร์ทำทุกอย่างเพื่อคุณหนู ถ้าคุณหนูอยากให้โกนนาคินทร์ก็จะโกน”
“มันไม่ใช่ว่าฉันให้ทำเพราะรังเกียจหรอกนะ แต่เวลานายยิ้มหรือหัวเราะ มีหนวดมีเคราแล้วมองไม่ค่อยเห็น แต่เวลาไม่มี มันเห็นได้ชัด ฉันชอบ ดูสดใสเหมือนพระอาทิตย์ส่องแสงดี”
นาคินทร์นิ่งไป
“เอาร้านนี้ดีกว่า มีที่จอดรถด้วย”
ผมชี้บอก นิ่งขนาดนี้ สงสัยนาคินทร์จะชอบหนวดเครากับชุดมอ ๆ ของตัวเองมากจริง ๆ
นาคินทร์ตบไฟซ้าย ชะลอรถลงช้า ๆ เพราะมีรถตามหลังมาสองคัน นาคินทร์ตบไฟฉุกเฉินแล้วค่อย ๆ พารถเข้าซอง พอรถเราเข้าเรียบร้อยนั่นแหละ รถคันอื่นถึงผ่านไป เขาขับรถเก่งจนผมยังทึ่งเลย นาคินทร์ดับเครื่อง ผมกำลังจะจิ้มกดเบลท์อย่างเคย แต่ชะงักกึก ไม่กล้าแตะ
“นี่ ถ้าฉันสัมผัสมัน เจ้าปุโรทั่งมันจะไอค๊อกแค๊กพังตัวเองใส่ฉันอีกไหม”
นาคินทร์หันมามอง
“ถ้ารู้วิธีก็ไม่มีปัญหาครับ แต่ทางที่ดี นาคินทร์ว่าให้นาคินทร์ทำให้ดีกว่า”
แล้วนาคินทร์ก็ปลดเบลท์ตัวเองออก หันมาจิ้มกดเบลท์ให้ผม จับมันเบามืออ้อมไปวางไว้ข้าง ๆ จังหวะเก็บสายเบลท์นั้นเหมือนผมกำลังถูกโอบกอดไว้กราย ๆ เลย
ดีว่าตรงนี้ไม่สว่างมาก ไม่งั้นหน้าผมคงฟ้องว่ากำลังเขินเขาอยู่แน่ ๆ
อันตรายแฮะ กับการอยู่ใกล้คนคนนี้เกินไป
อันตรายกับหัวใจ
40%
“นั่งอยู่เฉย ๆ ก่อนนะครับ”
นาคินทร์บอกแค่นั้น เปิดประตู ก้าวลงจากรถ เดินอ้อมมาฝั่งผม เปิดประตูให้ ผมก้าวลงไป หลายคนหันมามอง ไม่รู้มองผมที่มากับเจ้าปุโรทั่ง หรือว่ามองเจ้าปุโรทั่งกันแน่ คงสงสัยว่าทำไมคนสองคนที่รูปร่างหน้าตาและการแต่งตัวดีระดับหนึ่งถึงได้มาขับรถแบบนี้ ผมชักอาย ๆ
แต่คิดไปคิดมา ผมว่าผมไม่ควรจะอายนะ เพราะรู้ว่าที่นาคินทร์ไม่ยอมใช้เงินเพื่อตัวเอง ก็เพื่อเก็บเงินไว้ให้ยัยหนูแดงและพ่อแม่ และที่ไม่ยอมขอขึ้นเงินเดือนสักทีทั้งที่ทำงานมาเกือบจะยี่สิบปีนี่ก็เพราะไม่อยากเบียดเบียนเจ้านายอย่างพวกผม
ทุกวันนี้นาคินทร์แทบจะทำงานให้บ้านเราฟรีด้วยซ้ำ โดยให้เหตุผลว่า แค่ให้ที่อยู่ที่กินฟรี ส่งเสียยัยหนูแดงได้เข้าโรงเรียนดี ๆ นี่ก็เกินเงินเดือนที่ควรจะได้ไปไกลโข สำหรับนาคินทร์ รถไม่ได้มีไว้โชว์ แต่มีไว้สำหรับใช้งานจริง ๆ ต่างหาก
“ร้านนี้เหรอครับ”
นาคินทร์ดูจะไม่ใส่ใจกับสายตาใคร หันมาถาม
“อื้อ ร้านนี้แหละ หน้าตาน่าจะอร่อย”
นาคินทร์พยักหน้า เปิดประตูให้ ทุกสายตาหันมามอง ร้านเป็นร้านอาหารสไตล์กลางคืนทั่วไป ดูจากป้ายแล้วปิดเที่ยงคืน
“สองท่านใช่ไหมคะ” พนักงานถาม
“ครับ”
เธอผายมือเชิญให้เดินขึ้นไปชั้นสอง มีแขกนั่งอยู่ประปราย
“ต้องการที่ติดหน้าต่างหรือน้ำตกคะ”
พนักงานถามต่อ เพราะพื้นที่ด้านหนึ่งเป็นกระจกใส มองเห็นวิวถนน รถวิ่งไปมา อีกด้านเป็นน้ำตกจำลอง มีต้นไม้ และน้ำกำลังไหลริน ดูเป็นธรรมชาติประดิษฐ์น่ารักดี ผมหันไปมองตาคนมาด้วย นาคินทร์ตาวาวอยู่กับน้ำตกประดิษฐ์ แต่ไม่พูดอะไร
“ขอติดน้ำตกละกันครับ”
ผมบอก พนักงานพาเดินไปนั่งยังที่นั่งวิวดี มันเป็นน้ำตกจำลองแบบเป็นน้ำตกสองด้าน ที่นั่งล้อมสองฝั่ง มีน้ำตกลงมาเป็นสาย มีต้นไม้จริง ๆ ในกระถางขนาดใหญ่ประดับ
เข้าใจคิดนะ
กำลังจะลากเก้าอี้เพื่อนั่ง แต่นาคินทร์ลากให้ก่อน ผมบอกขอบใจเบา ๆ แล้วนาคินทร์ก็กลับไปนั่งที่ของตัวเองฝั่งตรงข้าม
“อยากกินอะไรสั่งเลยนะ ฉันเลี้ยง”
“ไม่เหมาะครับคุณหนู”
“อย่าขัดเวลาจะกิน”
นาคินทร์หุบปากลงฉับ วางเมนูลง
“งั้นคุณหนูสั่งดีกว่า นาคินทร์ไม่รู้จักอะไรเลย ปกติยัยหนูแดงทำมาให้กิน ชื่อเช่ออะไรก็ไม่รู้หรอก”
ผมหัวเราะ รัวปากสั่ง จริง ๆ คือกะจะลองเมนูด้วย ไม่รู้ว่าอร่อยไหม แต่ดูจากจำนวนลูกค้า ป้ายประกาศนียบัตรนู้นนี่นั่นก็น่าจะยัดลงกระเพาะได้
“คิดถึงยัยหนูแดง”
“เอาน่า แค่มื้อเดียว”
“ผมอยากพาลูกมาแบบนี้บ่อย ๆ แต่มันก็สิ้นเปลือง”
“ไว้วันหน้าฉันพามา”
“เปลืองเปล่า ๆ ครับ”
“ขับรถให้ละกัน จะได้คุ้มค่าอาหาร”
“ใช้เงินเปลืองนะคุณหนู”
“บังเอิญพ่อรวย”
นาคินทร์ส่ายหน้า
“เป็นลูกผมหน่อย จะจับตีก้นลาย”
ผมบู้หน้าใส่
“ไม่ใช่ก็เล่นเอาฉันเจ็บก้นเพราะแรงชน นี่ยังรู้สึกเจ็บอยู่เลย”
นาคินทร์หน้าตื่น รีบขยับลุกมาใกล้
“จริงสิ ผมก็ลืมไปเลยว่าจะทายาให้คุณหนูตอนก่อนขึ้นรถ มัวซ่อมเบลท์จนลืมก้นคุณหนูไปเลย”
ผมหน้าร้อนผ่าวกับคำพูดแบบไม่คิดอะไรนั้นของเขา คนอื่นหันมามองกันนิด ๆ ผมหน้าร้อนแล้วร้อนอีก
“กินอิ่มค่อยไปทาก็ได้ นั่งลงก่อนเถอะ ฉันอายเขา”
ผมบอกอาย ๆ
นาคินทร์หันมองไปรอบ ๆ
“ขอโทษครับ ที่ทำให้คุณหนูรู้สึกขายหน้า คุณหนูไม่น่ามากับผมเลย” นาคินทร์บอกอย่างสำนึกผิด
“ฉันไม่ได้อายที่มากับนาคินทร์ แต่อายเพราะนายจะมาดูก้นฉันในร้านอาหารนี่แหละ”
ผมติง นาคินทร์ขมวดคิ้วคิด
“นาคินทร์จะระวัง”
ผมพยักหน้า เครื่องดื่มมาแล้ว ผมรับมาดื่มอย่างกระหาย นั่งคุยกันไม่นานอาหารก็มา นาคินทร์ขมวดคิ้วมอง
“เยอะจัง”
“ซื้อมาทดลองชิม”
“เปลืองเปล่า ๆ ซื้อแค่พอกินก็น่าจะพอแล้ว”
“เอาน่า ตามใจฉันหน่อย ฉันอยากลองชิม นี่มันทางผ่านบริษัทเรานะ เผื่ออร่อย เราจะได้แวะมากินกันอีก”
ผมตอบเพื่อให้คนแบบนาคินทร์ยอม และเจ้าตัวก็ยอมง่าย ๆ อย่างที่คิดจริง ๆ ผมลงมือทานทันที
“อื้ม อร่อยแฮะ”
ผมกินไปชมไป ตักผัดปูไปวางไว้ในจานนาคินทร์ นาคินทร์มองอึ้ง ๆ
“อร่อย ลองกินดูสิ ฉันให้เป็นหนึ่งในเมนูโปรดเลย”
นาคินทร์ไม่พูดอะไร ตักข้าวมาเรียงไว้ข้าง ๆ ใช้ส้อมเกลี่ยเข้าช้อน ยัดใส่ปาก ผมเพิ่งเห็นว่าฟันนาคินทร์เรียงกันได้ระเบียบดี พื้นน่าจะเป็นคนสุขภาพฟันดี ไม่ได้ขาวจั๊วะอย่างคนที่ไปฟอกมา แต่มันก็เรียงกันได้ระเบียบ สีขาวหม่นตามธรรมชาติของฟันแท้คนทั่วไป
“อร่อย”
นาคินทร์เบิกตานิดหนึ่ง
“ใช่ไหม งั้นกินเยอะ ๆ นะ”
ผมตักอีกช้อนไปวางไว้ให้
“นาคินทร์ว่าคุณหนูอย่าตักให้นาคินทร์เลย มันไม่เหมาะ”
“เวลากินอย่าขัด” ปากพูดไปมือตักไป นาคินทร์ไม่เถียงอีก “ถ้ากลัวเสียเปรียบ ตักให้ฉันบ้างก็ได้”
“เอ่อ...ผมว่าคุณหนูทานเองดีกว่าครับ”
“ขี้เกรงใจจัง”
ผมบ่นให้เบา ๆ ตักกินอย่างเอร็ดอร่อย ผมชิมอย่างละนิดละหน่อย เพื่อให้รู้รสชาติ
“สั่งไอ้นี่กลับบ้านไปฝากยัยหนูแดงหน่อยก็ดี เผื่อวันหลังให้หนูแดงทำให้กิน” ผมบอกขณะใช้ส้อมเขี่ยผัดปูใส่ช้อนมาวางไว้บนจานตัวเอง
“ครับ หนูแดงเก่งเรื่องพวกนี้”
“ว่าแต่ฉันซุ่มซ่าม ตัวเองก็ทำเลอะเป็นเถอะ”
ผมว่าใส่เบา ๆ เอื้อมเช็ดคราบผัดปูออกจากมุมปากอีกคนให้ นาคินทร์มองผมอึ้ง ๆ ในขณะที่ผมเริ่มรู้ตัวว่าเผลอทำอะไรเกินเหตุ ผมรีบหยิบทิชชู่มายื่นให้
“ซื้อไอ้นี่กับไอ้นี่ไปฝากด้วย เอาไปฝากแม่ครัว”
ผมแถเหมือนสิ่งที่ทำไปเมื่อกี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่
นาคินทร์สูดลมหายใจเข้าปอดลึกจนแผงอกที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อนั้นผงาดขึ้น ผมทำเป็นไม่เห็นเสีย
ผมแทบจะลุกไม่ขึ้นกับสภาพหน้าท้องที่ป่องขึ้นเป็นชูชก ส่วนพ่อคนสวนผมนั่งพุงไม่ขยับเหมือนเดิม ผมก้มมอง
“อาหารไปไหนหมด”
“อยู่ในนี้แหละครับ”
นาคินทร์ตบท้องตัวเองให้ดู
“ทำไมมันไม่ยื่นเลย ไม่เหมือนฉัน ดูสิ”
ผมลูบพุงให้ดู
“คนใช้แรงกับไม่ใช้แรง ต่างกันแบบนี้แหละครับ นั่งให้ย่อยก่อนก็ได้”
ผมพยักหน้า ตาปรือลงนิด ๆ
“ง่วงจัง”
“กินแล้วนอนเลยไม่ดีนะครับคุณหนู”
ผมพยักหน้า เรียกพนักงานมาเก็บเงิน ราคาอาหารทำเอานาคินทร์เบิกตากว้าง
“เสียดาย”
นาคินทร์บ่น ผมหัวเราะ ขยับขาไปใกล้ ถลกโชว์ขนหน้าแข้งให้ดู
“ไม่ร่วงสักเส้น”
“ของคุณหนูไม่ร่วง แต่นาคินทร์ร่วงแทน”
พนักงานเดินนำบัตรเครดิตมายื่นให้ ผมลุกขึ้นยืนท้องโย้
“นี่ ถ้าฉันเป็นผู้หญิงต้องบอกว่าท้องสี่เดือนแล้วนะเนี่ย”
“ใครว่า ตอนเมียนาคินทร์ท้องหนูแดง ขนาดนี้น่ะเก้าเดือนแล้ว”
ผมตาโต แต่ก็นึกได้ว่าท้องแรกนี่
“นาคินทร์นี่ดูรักภรรยาดีเนอะ”
ใบหน้าคมเข้มนั้นดูละมุนขึ้นมาทันที
“ผมรักเธอครับ ต่อให้เธอลาโลกไปนานแล้วก็ตาม”
“นี่คือสาเหตุที่นายไม่ยอมมีใครด้วยหรือเปล่า”
นาคินทร์สูดลมหายใจเข้าปอดอีกรอบจนอกตั้ง
“ก็ด้วย อีกอย่างคือนาคินทร์ไม่อยากให้หนูแดงมีปัญหาเรื่องแม่เลี้ยงลูกเลี้ยง ไม่อยากดูแลใครเพิ่มด้วย เพราะถ้ามีเมีย ก็จำเป็นต้องมีรายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งนั่นก็คือการเบียดเบียนนายจ้างผมด้วย”
ผมหยุดตัวเองลงกึก
“ฉันรู้แล้วว่าทำไมพ่อถึงได้รักนาคินทร์เหมือนน้อง”
“เพราะผมเคยช่วยชีวิตท่านไว้”
“นั่นก็ด้วย แต่เพราะนาคินทร์เป็นคนดีต่างหาก ดีจากส่วนลึกของจิตใจ จริง ๆ ครอบครัวเราโชคดีที่ได้นาคินทร์มาอยู่ด้วย ไม่ว่าจะในฐานะไหนก็ตาม”
ใบหน้านั้นฉาบรอยยิ้มเอาไว้บาง ๆ นัยน์ตาสื่อออกถึงความเคารพอย่างแท้จริง เขาพาผมกลับมาที่รถ
“ข้อดีของเจ้าปุโรทั่ง” ผมหยุดขาไว้ ยืนห่างจากตัวรถประมาณหนึ่งวา นาคินทร์หันมามองหน้าผม “รับรองได้ว่าชาตินี้ไม่มีคนคิดมาขโมยแน่ ๆ ยกเว้นพวกขายเศษเหล็ก”
นาคินทร์หัวเราะ ขยับก้าวล้ำผมไปไขเปิดประตูให้ ผมแทรกตัวลงไปนั่ง
“ขออภัยนะครับคุณหนู”
นาคินทร์ออกปาก ก่อนแทรกตัวใหญ่ ๆ เข้ามาดึงสายเบลท์กดลงรูให้ ทำเองก่อนที่ผมจะทำลายมันอีกรอบ
“ถ้าง่วงก็หลับก่อนได้นะครับ”
“ไหนว่าไม่ให้นอนหลังอิ่ม”
“อนุโลมให้หนึ่งวัน”
“ใจดีจัง”
ผมชม นาคินทร์ยิ้ม เดินอ้อมไปฝั่งคนขับ จับประตู ได้ยินแต่เสียงแกรก ๆ แต่เปิดไม่ออก นาคินทร์พยายามดึงอยู่นาน ผมมองมันอย่างฉงน กดปลดเบลท์ เอื้อมไปช่วยงัดเปิดให้ แต่มันเปิดไม่ออกจริง ๆ นาคินทร์เดินอ้อมกลับมาทางผม
“ผมเปิดไม่ได้ครับ”
“มันคงน้อยใจที่เราไม่ชวนมันไปกินข้าวด้วย” ผมพูดติดตลก “เป็นไงล่ะ พ่อคนเก่ง”
“คุณหนูลงมาก่อนได้ไหมครับ ให้ผมเข้าไปเช็กดูก่อน”
ผมจำต้องก้าวลงจากรถ ให้อีกคนข้ามจากฝั่งผมไปฝั่งนั้น จับเขย่า ๆ
“เสียจริง ๆ เหรอลูกพ่อ”
นาคินทร์พูดกับรถ ผมขยับขึ้นนั่งบนเบาะตัวเอง มองคนที่ลองจับส่วนอื่นของประตูเพื่อเขย่าเช็ก
“ไอ้นี่คืออะไร”
ผมถามพร้อมโน้มตัวไปจับบางสิ่งที่ยื่นล้ำออกมาจากที่จับ
แค่นั้นแหละ ที่จับทั้งแผงก็หลุดติดมือผมมา ผมอ้าปากค้างมองอย่างช็อก ๆ แต่คนที่ช็อกกว่าน่าจะเป็นนาคินทร์
“คะ คุณหนู...”
[80%]
“ขอโทษ ไม่คิดว่ามันจะพังง่ายขนาดนี้”
“โธ่~...”
นาคินทร์ครวญ หยิบที่จับแผงนั้นไปถือดู
“นี่”
ผมพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง หันไปดึงประตูฝั่งตัวเองงับปิดบ้างหวังเพิ่มความเป็นส่วนตัว
ผมอ้าปากค้างเมื่อที่จับประตูฝั่งผมหลุดติดมือมาด้วยเหมือนกัน นาคินทร์อ้าปากค้างระลอกสอง
“คะ คุณหนูครับ”
“ขอโทษ~~”
นาคินทร์นิ่งไปนาน ก่อนทำหน้าซีเรียส
“คุณหนูกรุณานั่งเฉย ๆ นะครับ ห้ามแตะต้องหรือสัมผัสอะไรอีกทั้งสิ้น ผมจะพากลับบ้าน โอเคนะ”
ผมพยักหน้าหงึก ๆ นาคินทร์หยิบที่จับจากมือผมไปใส่เก๊ะหน้ารถคู่กับอีกข้าง
“แน่ใจนะว่าเราจะกลับถึงบ้าน”
“ถ้าคุณหนูนั่งเฉย ๆ ก็น่าจะถึง”
เขาพูดพร้อมเอื้อมมาคาดเบลท์ให้อีกรอบ ผมนั่งนิ่งตามคำสั่ง เหลือบมองที่จับประตูที่หลุดร่วงทั้งสองฝั่ง
“นี่นาคินทร์”
ผมพูดด้วยน้ำเสียงซีเรียสขึ้นอีก นาคินทร์หันมามองหลังคาดเบลท์ตัวเองเสร็จ
“นี่คือคำสั่ง พรุ่งนี้ไปออกรถใหม่กับฉัน”
“คุณหนู!!”
“ห้ามเถียง ก่อนฉันจะแบกฆ้อนมาทุบเจ้านี่พังเพื่อบังคับ มันเก่าแล้ว นึกถึงความปลอดภัยของตัวเองบ้าง” ผมพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เกิดวันไหนพาหนูแดงไปทำธุระ แล้วรถพังมาหนูแดงจะเป็นยังไง”
นาคินทร์นิ่งคิด แล้วแสดงสีหน้าจำนน
“ครับ”
ผมยิ้ม ทิ้งหลังลงกับเบาะแรงอย่างเคยชิน(กับรถคันอื่น) แล้วอยู่ ๆ ตัวก็ทรุดฮวบเพราะเบาะยุบ
ภายในรถเงียบกริบเป็นป่าช้า
“กรุณานั่งนิ่ง ๆ นะครับ คุณหนู”
นาคินทร์ยกสองมือขึ้นมาทำท่าปราม ผมกะพริบตาปริบ ๆ ตอบ เพราะกลัวว่าถ้ากะพริบแรงไปแล้วรถเสียอีก นาคินทร์หันไปสตาร์ทเครื่อง ขับพารถวิ่งกลับมาจนถึงบ้าน
ผมถอนหายใจออกมาแรง
“คิดว่าจะไม่รอดซะแล้ว นอกจากไปเล่นสวนสนุกแล้ว การนั่งรถมากับนาคินทร์เป็นอะไรที่ทำให้ตื่นเต้นสุด ๆ”
นาคินทร์หันมามอง กดเบลท์ออกให้
“ขออภัยด้วยครับ คุณหนูนั่งอยู่เฉย ๆ นะ”
นาคินทร์ขยับมากดลดกระจก เปิดประตูจากด้านนอก
“เชิญครับ”
เขาให้ผมลงไปก่อน แล้วตัวเองก็ก้าวตาม นาคินทร์ลงมายืนมองรถตัวเองด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์
“กี่ปีแล้วรถคันนี้”
“ประมาณสามสิบปีครับ ผมซื้อเป็นมือสองมา ลุยงานหนักมาตลอด”
“ขายเป็นเศษเหล็กเถอะ”
นาคินทร์ส่ายหัว
“เดี๋ยวผมจะซ่อมเอาไว้ใช้งาน”
“พรุ่งนี้ซื้อรถใหม่แล้ว”
“แต่นั่นรถคุณหนูนะครับ”
“ฉันซื้อให้นายนั่นแหละ เอาไว้ใช้งานในบ้าน ส่วนรถคันนี้ถ้าเสียดาย นู่น เอาไปไว้ในสวน ข้างฐานทัพลับฉัน แม่บ้านจะได้มีที่ขูดหวยเพิ่ม เก็บไว้เป็นอนุสรณ์ว่าครั้งหนึ่งมันเคยวิ่งได้”
นาคินทร์หัวเราะ
“ผมคงทิ้งมันไม่ลงจริง ๆ มันอยู่กับนาคินทร์มานาน”
“ฉันถึงบอกให้เอาไปเก็บไว้ที่ฐานทัพลับฉันไง ฉันพูดจริง”
นาคินทร์มองหน้าผม
“ครับ นาคินทร์จะทำตาม”
“งั้นฉันไปอาบน้ำนอนละนะ”
“เชิญครับ”
เขาค้อมหัวให้นิดหนึ่ง ผมเดินเข้าไปชิดเจ้าปุโรทั่ง
“ไปละนะ เจ้าปุโรทั่ง”
ผมตบมันเบา ๆ อยู่ ๆ ล้อหลังก็ทรุดฮวบลงเหมือนอะไรสักอย่างหลุด ผมอ้าปากค้าง
“คะ คุณหนู...”
นาคินทร์ครวญ ผมหันไปมองหน้านาคินทร์ตาปรอย
“ขอโทษ~~”
“ไม่เป็นไรครับ รีบไปนอนเถอะ อ้อ”
ยังไม่ทันที่ผมจะได้ขยับ นาคินทร์ก็สอดตัวเข้าไปค้นอะไรในเก๊ะหน้ารถ ได้บางสิ่งติดมือมา
มันคือยาหม่องครับ
“เอาไว้ทาตรงที่ช้ำ”
นาคินทร์บอกด้วยท่าประหม่านิด ๆ ผมรับมาถือไว้ในมือ
“ขอบใจ ยังไงก็นอนหลับฝันดีนะ”
“ครับ”
นาคินทร์รับคำแค่นั้น ผมหันหลังเดินจากมา
บอกตามตรงว่าผมอยากอยู่กับนาคินทร์นาน ๆ บอกไม่ถูกว่าทำไม ผมกุมยาหม่องแน่น เห็นบรรดาแม่ ๆ นั่งดูหนังอยู่ในห้องรับแขก ผมเดินเข้าไปหา
[มีต่อในหน้าสองค่ะค่ะ>>
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54278.msg3422759#msg3422759]