แว่นดุ 7.2
โหดร้าย
เช้าวันนี้ผมรู้สึกไม่สดใสเอาซะเลย...เมื่อคืนทั้งคืนผมแทบจะไม่ได้หลับ ไม่ใช่เป็นเพราะอ่านหนังสือหรอกนะแต่มันเป็นเพราะข้อความแชทต่างหากที่เป็นเหตุผลทำให้ผมไม่สามารถข่มตาหลับลงไปได้
เท่าที่ผมสังเกต พักหลังมานี้ผมมักจะเจอเรื่องไม่ดีหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับตัวผมและเจ้าแว่น ผมไม่อยากคิดไปเองหรอกนะ ว่ามันเป็นแค่เรื่องบังเอิญ แต่บรรยากาศรอบตัวผมในตอนนี้หลายๆเรื่องมันเกี่ยวข้องกับผมและเจ้าแว่นแทบทุกเรื่อง
ทางที่ดีผมคิดว่าตอนนี้สิ่งที่ควรทำมากที่สุดในตอนนี้คือการหลีกเลี่ยงที่จะอยู่กับเจ้าแว่นให้มากเท่าที่จะทำได้ เพราะถ้าหากผมพลาดพลั้งอยู่กับมันละก็ คลิปบ้าๆพวกนั้นได้เกลื่อนออกไปทั่วเน็ตแน่ๆ
“ไอ้กัส ทำไมมึงมาช้าจัง”
“ไอ้ที!”
เมื่อผมได้ยินเสียงจากคนคุ้นเคย ผมจึงรีบวิ่งปรี่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเข้าไปกอดเพื่อนรักทันทีที่เห็น มันเป็นที่พึ่งสุดท้ายของผมเลยก็ว่าได้
เพราะมันเป็นเพื่อนที่ผมสนิทมากๆมาตั้งแต่สมัยมัธยม ถึงจะมีทะเลาะกันอยู่บ้างแต่มันก็ไม่เคยโกรธผม หนำซ้ำยังเป็นฝ่ายมาง้อผมตลอดอีก
จะให้ไปหาเพื่อนนิสัยแบบนี้ได้อีกที่ไหนละ ว่าไหม...
“มึงเป็นไรวะ...ทำไมขอบตาดำขนาดนี้ แถมมึงยังดูโทรมมากเลยด้วย”
“...อะ...เอ่อพอดีกูไม่ได้นอนอะ”
“ไอ้สัดฟิตโคตร จะกวาดเอหรือไงวะ แค่นี้ทรานสคริปมึงมีแต่เอยังไม่พอหรือไง แบ่งให้กูบ้างก็ได้นะแหม”
“ไม่พอหรอกเว่ย นอกจากกูจะได้เกียรตินิยมลำดับที่หนึ่ง ถึงจะพอ”
ผมพูดยิ้มๆแกมหยอกล้อเหมือนเดิมให้บรรยากาศคงความเป็นปกติที่สุด ทั้งๆที่ใจผมมันไม่ได้ปกติเลยสักนิด
อันที่จริงนิสัยของผมมักจะเป็นแบบนี้อยู่เสมอนั่นแหล่ะ ผมน่ะเป็นพวกชอบเก็บความรู้สึกเอาไว้ที่ตัวเองคนเดียวอยู่เสมอ
ไม่เว้นแม้แต่เพื่อนที่ผมสนิทมากอย่างไอ้ที ผมไม่เคยบอกเล่าเรื่องราวความเครียดในลึกๆของจิตใจให้มันฟังเลยด้วยซ้ำ
จะมีก็แต่เพียงเรื่องราวเล็กๆเท่านั้นที่ผมมักจะมาปรึกษากับมันอยู่เสมอ จะว่าไปไอ้ทีมันก็ไม่เคยมีเรื่องเครียดอะไรมาระบายให้ผมฟังสักเท่าไหร่นะ โดยเฉพาะเรื่องส่วนตัว
ถึงผมจะเป็นเพื่อนกับมันมาตั้งแต่มัธยม แต่ผมไม่เคยเห็นพ่อแม่มันเลยสักครั้ง ส่วนใหญ่มันจะกลับบ้านด้วยรถที่มีคนมาคอยรับ น่าจะเป็นลูกน้องของพ่อมันนั่นแหล่ะ
แต่เอาเถอะ เข้าเรื่องของผมต่อ ที่ผมไม่ยอมบอกเล่าเรื่องราวที่ผมเครียดมากๆในหัวให้มันฟัง เพราะผมมีเหตุผลของตัวเอง มันเป็นเพราะผมไม่อยากให้มันต้องมารับเอาความเครียดจากผมไปต่างหากล่ะ
ถึงจะบอกว่าไม่อยากให้มันแบกรับเรื่องเครียดไปจากผม แต่สำหรับเรื่องพวกนี้ผมชักจะเริ่มทนไม่ไหวแล้วนี่สิ...มันทั้งอึดอัด และแถมยังจะพาลให้ผมปวดหัวปวดท้องอยู่บ่อยๆ
มันเริ่มกลายเป็นความเครียดมากขึ้นทุกที หลังสอบเสร็จผมคงต้องหาเวลาคุยกับมันสักหน่อยแล้ว
เผื่อว่ามันอาจจะมีคำแนะนำที่สามารถช่วยผมให้หลุดพ้นจากเรื่องราวพวกนี้ไปได้ ก็มันเป็นเพื่อนของผมนี่นะ ทำไมผมจะระบายเรื่องอึดอัดไม่ได้ล่ะ
.
.
วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ผมสอบเสร็จไปได้ด้วยดี จะเหลืออยู่แค่วิชาเดียวตอนเช้าของวันพรุ่งนี้เท่านั้น ที่มีการสอบน้อยเพียงไม่กี่วันแบบนี้ มันเป็นช่วงสอบมิดเทอมนะครับ บางวิชาจึงไม่มีการจัดสอบ เลยทำให้มีตัวสอบแค่เพียงนิดหน่อยเท่านั้น ลองมาเป็นสอบไฟนอลสิ มีหวังหัวระเบิดหูตาแฉะแน่
ยอมรับตรงๆเลยนะว่าเมื่อคืนผมอ่านหนังสือไม่ค่อยรู้เรื่อง จะเพราะอะไรเสียอีกละอย่างที่บอกไปตอนแรกเพราะผมมัวแต่คิดเรื่องคลิปนั่นน่ะสิ
โชคดีที่ผมมันเป็นคนหัวดีอยู่แล้ว เลยทำให้สามารถทำข้อสอบในวันนี้ได้ไม่ยาก อีกอย่างหนึ่งเป็นเพราะผมอ่านหนังสือล่วงหน้ามาแล้วหลายวันอยู่
ผมคิดเอาไว้ล่วงหน้าน่ะว่าควรอ่านทีละนิดจะได้ไม่หนักเอาวันสุดท้าย มันจึงเป็นผลที่ทำให้ผมสามารถทำข้อสอบผ่านไปได้ด้วยดีแบบนี้...
เมื่อผมเดินออกมาจากห้องสอบพร้อมกับเพื่อนรักอย่างไอ้ที เห็นมันทำท่าจะกลับทันทีทันใดเสียอย่างนั้น ผมเลยเอ่ยชวนมันกลับด้วยซะเลย
“ไปไหนต่อเปล่าไอ้ที กลับกันเลยไหม?”
“โทษทีว่ะมึง พอดีกูมีนัดว่ะ”
“ใครวะ ญาติมึงหรอ”
“ไม่เชิงอะ เออเดี๋ยวกูขอแยกตรงนี้เลยแล้วกัน”
“อ...เออได้ดิ โชคดีมึง และก็พรุ่งนี้อย่าลืมนะ ยังมีสอบอีกวิชานึงอะ”
“เออไม่ลืม ใจมากไปละ”
เป็นเพราะผมเห็นมันรีบร้อนจะไปแบบนั้นคงจะเป็นเรื่องด่วนละมั้ง จึงไม่อยากถามอะไรให้มันมากความ...ผมคิดว่าไอ้ทีมันยิ้มร่าดูมีความสุขแปลกๆนะ คนสำคัญหรือเปล่าถึงได้รีบออกไปขนาดนี้ นานครั้งนะครับที่ผมจะได้เห็นมันยิ้มอะไรแบบนี้
ยิ้ม...เป็นยิ้มที่เหมือนในห้องสมุดตอนนั้นเลยแฮะ
อันที่จริงผมรู้สึกแปลกอยู่นิดหน่อย มันเป็นเพราะผมไม่เจอไอ้แว่นเลยตลอดทั้งวันนี้ ปกติมันจะตามมาวอแวผมอยู่เสมอ อย่างน้อยๆนิดหน่อยมันก็เอา
แต่เอาเถอะ ถือว่าดีแล้วที่มันไม่โผล่หน้ามาที่นี่ เพราะถ้ามันมาละก็ มีหวังผมได้ซวยแน่ คงไม่ต้องบอกหรอกนะว่าซวยเรื่องอะไร...ก็เรื่องคลิปนั่นไง...
ครั้งนี้ผมจำเป็นต้องเดินกลับหอมาคนเดียว ซึ่งปกติผมมักจะเดินกลับพร้อมๆไอ้ที แต่วันนี้มันไม่ว่างนี่นะก็มันขอตัวแยกออกไปก่อนยังไงล่ะ
อีกอย่างผมมันก็คนมีเพื่อนไม่เยอะอยู่แล้วด้วย จะว่าไม่มีเลยดีกว่า อย่างที่ผมเคยไปผมไม่ค่อยสุงสิงกับใครมากนัก จะมีก็แค่ไอ้ทีเท่านั้นแหล่ะที่ผมมักจะสนิทสนมเป็นพิเศษ ทำอะไรก็ทำด้วยกัน จะไปไหนก็มักจะไปด้วยกันอยู่เสมอ...
ผมเงยหน้ามองท้องฟ้ามือทั้งสองข้างจับสายกระเป๋าสะพายเดินไม่รีบเร่งมากนักไปตามทางที่ปูด้วยปูนสีขาว
รอบๆข้างไม่มีอะไรนอกจากป่ารกร้างขนาดกว้างที่มีหญ้าขนขึ้นสูงเต็มไปหมด ถนนทั้งสายไม่มีรถแล่นผ่านซึ่งมันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว
นานๆทีถนนสายนี้จะมีรถแล่นเพราะมันเป็นทางลัดที่สามารถเชื่อมต่อกับหอของผมและมหาลัยได้ มันจะเร็วกว่าถ้าหากผมเลือกเดินในเส้นทางลัดนี้
แต่วันนี้ผมเดินคนเดียวเลยรู้สึกเปล่าเปลี่ยวนิดหน่อย ใจหนึ่งมันก็กลัวว่าจะมีโจรวิ่งออกมาจากป่าปล้นจี้ผมหรือไม่ อีกใจก็คิดว่าคงไม่มีเพราะแถบนี้มันแทบไม่มีคนเลยต่างหาก
ทว่าผมกลับรู้สึกแปลกๆยังไงชอบกล เนื่องจากตอนที่ผมกำลังเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ กลับรู้สึกได้ถึงใครบางคนกำลังเดินตามผมจากด้านหลัง
ใจของผมเต้นตึกตักและทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เสียงการย่ำเท้าจากคนด้านหลังเร่งรี่มากขึ้นจนเกือบจะใกล้ตัวผมอยู่แล้ว ในขณะที่ผมก็เร่งฝีเท้าเดินไปข้างหน้าให้เร็วมากยิ่งขึ้นเช่นกัน
ไม่กล้า....ไม่กล้าหันกลับไปมอง
น่ากลัวเกินไปจริงๆ... รู้แบบนี้ผมเลือกนั่งวินกลับหอเสียยังดีกว่า
“ไอ้กัส...”
ผมสะดุ้งสุดตัวในขณะที่เร่งฝีเท้าเดิน เพราะมีเสียงเรียกชื่อผมจากด้านหลัง เสียงแบบนี้มันคุ้นมาก ผมจึงหันกลับไปมองทันที แต่คนที่ผมเห็นกลับเป็นไอ้คนนั้น! มันคือคนที่หาเรื่องผมเมื่อวันก่อน ไอ้กลุ่มนี้อีกแล้ว
แล้วพวกมันตามผมมาทำไม อีกอย่างพวกมันมากันสามคน! หมายความว่ายังไงกัน
หลังจากที่ผมรับรู้ว่าเป็นพวกมัน ผมรีบหันหน้ากลับทันทีพร้อมกับสาวเท้าเร่งรีบจนกลายเป็นการวิ่งหนีอย่าไม่คิดชีวิต พวกมันต้องไม่ได้มาดีแน่
แต่มันไม่ทันเสียแล้ว...ไอ้คนตัวใหญ่ที่ผมเคยเหยียบเท้ามันในห้องน้ำ วิ่งเข้ามาขวางทางตรงหน้าของผมพอดี หน้าตาของมัน...ผมจำมันได้ดีเลยละ..
“พวกมึงตามกูมาทำไม”
ผมเป็นคนเปิดประโยคพูดขึ้นมาก่อน อย่างน้อยๆพวกมันก็เป็นเพื่อนภาคของผม ในความคิดของผมคิดว่าพวกมันก็เป็นนักศึกษาเหมือนกัน คงไม่คิดจะทำเรื่องไม่ดีแน่ๆ
แต่พวกมันไม่ได้ตอบคำถามของผมแต่อย่างใด กลับยิ้มออกแปลกๆและหัวเราะคิกคักเหมือนเป็นเรื่องสนุกสนาน จนผมรู้สึกขนลุกไปทั่วทั้งสันหลัง
ผมเลือกที่จะเดินถอยห่างจากพวกมันไปตามทางด้านข้างที่มีป่ารกทึบด้วยสันชาตญาน ที่ผมต้องขยับตัวไปตามทางด้านข้างเพราะพวกมันกำลังล้อมตัวผมเอาไว้ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง
จะมีก็แต่ข้างทางฝั่งนี้เท่านั้นที่ผมจะพาตัวเองให้ออกห่างจากพวกมันได้บ้าง
บริเวณแถวนี้ก็เปลี่ยวมากมากอยู่แล้ว อย่าถามถึงคนเลย มันไม่มีใครผ่านมาสักคนด้วยซ้ำ ท้องฟ้าจากเดิมที่เป็นแสงสลัวสีส้มยามเย็นที่ผมคิดว่าสวย ตอนนี้กลับมืดครึ้มอย่างรวดเร็วเมื่อตะวันลับขอบฟ้าไป เสียงนกจิ้งหรีดร้องโหยหวนน่ากลัว...
ใช่ผมกำลังกลัว แต่ผมยังพอมีความกล้าที่จะเปล่งเสียงออกไปถามพวกมันหวังจะเตือนสติให้พวกมันรู้สำนึกว่าไม่ควรทำกับผมแบบนี้
“กูถามว่าพวกมึงตามกูมาทำไม!”
“ตัวสั่นเป็นลูกนกเลยว่ะ กลัวหรอ ทีตอนอยู่กับเพื่อนทำไมไม่กลัวแบบนี้ล่ะ”
“ไอ้พวกหมาหมู่ แน่จริงมึงก็ตัวต่อตัวกับกูดิวะ อย่ารุมแบบนี้”
“ตัวต่อตัวแน่! มึงกับกูเนี่ยแหล่ะที่ตัวต่อตัว ตัวเปลือยๆด้วย5555”
เสียงหัวเราะของไอ้คนที่พูดมันน่ากลัว...ผมรับรู้ได้ว่ามันไม่ได้พูดเล่นหรือคิดจะข่มขู่อะไรทั้งนั้น แต่...มันพูดจริง สีหน้าของมันเอาจริงแน่ๆ
ผมเสียววูบไปทั้งแนวสันหลัง รู้สึกคลื่นเหียนอย่างบอกไม่ถูก มันเป็นเพราะสายตาของไอ้หมอนั่นที่กำลังตวัดมองโลมเลียตัวผมไปทั้งตัว
ในขณะที่มันพูดยังเลียริมฝีปากไปด้วย ไม่เพียงแต่พูดเท่านั้นมันยังสาวเท้าก้าวเข้ามาหาจนตัวของผมชิดติดป่าหญ้าด้านหลัง ไม่มีทางหนีอีกต่อไปแล้ว...
“อย่าเข้ามา ออกไป!”
“ทีแบบนี้ล่ะกลัว แต่ก็ดี น่าตื่นเต้นดีเหมือนกัน”
“กูบอกให้มึงออกไปไง อย่าเข้ามานะ! ไม่งั้นกูจะตะโกนให้คนช่วย”
“ตะโกนไปสิ ถ้ามึงกล้าก็ตะโกนดังๆเลย ใครจะมาช่วยมึง แถวนี้เปลี่ยวอย่างกับป่าช้า”
“ช...ช่วยด้วย!!! อุ้กกก”
“ไอ้สัด ตะโกนทำเชี่ยอะไรวะ!”
ผมถูกมันต่อยเข้าที่ช่วงท้องอย่างแรงจนจุกเสียดไปหมด ไม่มีแม้แต่การเปล่งเสียงร้องออกมาแม้แต่น้อย
แค่ผมจะเปล่งเสียงพูดยังแทบไม่มีเลยด้วยซ้ำ มันจุกจนบอกไม่ถูก ขณะที่ตัวของผมงอง้ำสองมือกอบกุมช่วงท้องเอาไว้
แม้แต่เข่าก็ยังไม่มีแรงหยัดยืนทรงตัว พาลให้ล้มลงทรุดกระแทกกับพื้นดินที่เต็มไปด้วยกรวดหินสีน้ำตาลแดง
เจ็บท้อง...เจ็บเหลือเกิน ผมไม่เคยทำอะไรมันก่อนด้วยซ้ำ มันต่างหากที่เข้ามาหาเรื่องผม แล้วทำไมถึงได้ทำกับผมแบบนี้
...ทว่าผมกลับต้องเบิกตากว้างทันที...
พวกมันคนหนึ่งสอดมือเข้ามาที่บริเวณใต้รักแร้ของผมทั้งสองข้างพยายามจะจับผมลากให้เข้าไปอยู่ในป่ารกข้างทาง ซึ่งบริเวณฝั่งนี้ไม่มีกำแพงกั้น ด้านหลังที่ผมถูกลากมันทั้งมืดทั้งน่ากลัว
หญ้าสีเขียวต้นใหญ่บาดมือของผมจนเลือดออกเป็นรอยแผลเล็กๆ
ผมพยายามเปล่งเสียงพูดออกมาอีกครั้งหลังจากที่จุกบริเวณช่วงท้องอยู่นาน
“อย่า...อย่าทำอะไร...กู..”
“โทษทีว่ะ กูกำลังต้องการพอดีเลย แต่ไม่คิดเลยนะเนี่ย พอดูมึงใกล้ๆแบบนี้มึงมันโคตรขาว”
ไอ้คนที่มันมีปัญหากับผมเดินตามเข้ามาในป่าหญ้าที่ผมถูกลาก พร้อมกับพูดจนผมรู้กลัว...มันน่ากลัวเกินไปแล้ว
แต่จู่ๆมือถือของผมกลับสั่นอยู่ภายในกางเกง มีคนกำลังโทรเข้ามาหาผม ไอ้คนที่ลากผมมามันปล่อยให้ผมนอนราบกับกองหญ้า และพวกมันก็เดินเข้าไปจับกลุ่มพูดคุยอะไรสักอย่างอยู่ข้างๆ
โอกาส....แบบนี้มันคือโอกาสที่จะหนีเอาตัวรอด เป็นเพราะมือถือที่สั่นมันทำให้ผมตั้งสติได้อีกครั้ง
อีกทั้งพวกมันยังปล่อยให้ผมนอนแน่นิ่งอยู่บนหญ้าโดยไม่คิดใส่ใจเท่าไหร่นัก
เมื่อสบโอกาสผมจึงรีบลุกขึ้นอย่างไวและวิ่งหนีออกมาผ่านป่ารกร้างออกไป ถ้าหากผมวิ่งไปที่ถนนพวกมันจะเห็นผมได้ชักเจนมากยิ่งขึ้น แต่ถ้าหากผมวิ่งผ่าป่าไปละก็ พวกมันไม่น่าจะตามผมเจอ
ผมวิ่งออกมาตอนที่พวกมันเผลอ ได้ยินเสียงตะโกนตะหวาดดังลั่นป่าหญ้า ผมจึงรีบวิ่งหนีออกมาด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี
ถึงจะเจ็บแต่ผมก็วิ่งออกมาอย่างไม่คิดชีวิต ผมต้องรอด...ในสมองของผมคิดแต่เพียงแค่นี้เท่านั้น
ผมวิ่งหนีออกมาไกลพอสมควร จนแน่ใจแล้วว่าพวกมันไม่ได้ตามมา ข้างหน้าของผมมีร้านค้าเก่าๆที่ปิดแล้ว ผมจึงวิ่งเข้าไปแอบใกล้ถังขยะในมุมมืดข้างร้านค้า
ตอนนี้น้ำตาของผมเอ่อนองเต็มสองแก้ม ไม่เหลือเคล้าคนกล้าอีกเลย
ผมรีบกดรับสายเรียกเข้าที่โทรมาหาผมอีกครั้งทันที หลังจากที่เลิกโทรไปหนึ่งครั้งในขณะที่ผมกำลังวิ่งหนีเอาตัวรอด...คนที่โทรมาหาผมมันคือไอ้แว่น
“เซน...อึก...เซนช่วยด้วย”
“พี่กัส! พี่เป็นอะไร!”
“ช่วย...ช่วยพี่ด้วย”
“ผมอยู่แถวหน้าหอพี่ ตอนนี้พี่อยู่ไหน...”
“ซอย...ทางลัดไปหอ ร้านค้าเก่าๆเป็นสังกะสี...”
“ผมกำลังไป อย่าตัดสายนะ รอผมก่อน”
“อื้อ...อึก...”
ผมนั่งรอคนในสายไม่นานมากนัก แต่ในระหว่างที่รอผมก็มองซ้ายทีขวาทีด้วยความหวาดระแวงพวกมัน... เพราะถ้าพวกมันตามรอยมาเจอผมก่อนที่เซนจะมาถึง คราวนี้ผมคงไม่รอดแน่
แสงไฟของรถยนต์คันหนึ่งสาดส่องมาทางผม...มันคือรถของเซน ผมจำได้!
...เซนขับรถมาจอดข้างหน้าผมทันที ส่วนเจ้าตัวรีบวิ่งลงมาจากรถอย่างรวดเร็วพุ่งตรงมายังผมที่นั่งกอดเข่าอยู่ข้างถังขยะในมุมมืดไม่ยอมลุกออกไปไหน เหมือนบริเวณตรงนี้เป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุดของผมแล้ว
“พี่...ไปกันเถอะครับ ผมมารับแล้ว”
ผมไม่ยอมลุกขึ้น เพราะในสมองของผมตอนนี้มันตีกันไปหมด ทั้งกลัวว่าพวกนั้นจะตามมา และกลัวว่าจะโดนปล่อยคลิปทุเรศนั่น
ยิ่งผมเห็นหน้าเซนผมก็ยิ่งกลัว...กลัวว่าถ้าหากผมเข้าใกล้มันอีกครั้ง คลิปนั่นจะต้องว่อนไปทั่วในเน็ตเป็นแน่
“พี่ซินอยู่ไหน อยากเจอพี่ซิน”
ผมพูดชื่อของพี่ซินเพราะพี่เขาเป็นคนผมอยู่ด้วยแล้วน่าจะปลอดภัยจากเหตุการณ์บ้าๆนี่ที่สุด
“ไปกับผม!”
“ไม่เอา...เรียกพี่ซินมาที”
หมับ!
เซนพุ่งเข้ามาที่ตัวของผม และกระชากแขนของผมให้ลุกขึ้นยืน มันไม่แรงมากเท่าไหร่ แต่เพราะตัวผมตอนนี้มันไม่มีแรงเหลืออยู่เลยต่างหาก
น้ำตาของผมล้นเอ่อไหลออกมาจากดวงตาเป็นทางยาวอาบแก้มอีกครั้ง หลังจากที่หยุดไปได้ไม่นาน
พอหันไปมองช่วงแขนของตัวเองที่มีมือของเซนจับอยู่ ผมจึงรีบสะบัดแขนออกและตะคอกออกไปเพราะควบคุมสติไม่ได้ทันที
“อย่าจับ!”
“เออ! เดี๋ยวโทรเรียกให้พี่ซินมาหา พอใจยัง!”
หลังจากที่เซนพูดจบ ผมถูกดันตัวให้เข้าไปนั่งในรถและเซนก็ขึ้นมามาประจำที่คนขับ จากนั้นก็ขับรถมุ่งหน้าไปที่คอนโดของเจ้าตัวอย่างรวดเร็ว
ผมนั่งนิ่งไม่กล้ามองออกไปทางไหนเลย ทั้งด้านหน้าด้านข้าง ผมเอาแต่นั่งมองไปที่มือของตัวเองที่มีร่องรอยถลอกเป็นบาดแผลเลือดซึมเป็นทางยาวเหมือนโดนอะไรบาดเต็มไปหมด...
เมื่อเวลาผ่านไปเกือบสิบนาที ผมเหมือนคนตั้งสติได้ เพราะความเงียบบนรถรวมไปถึงตอนนี้ผมปลอดภัยแล้ว ผมจึงเอ่ยคำพูดออกไปเพราะก่อนหน้านี้ผมทำตัวบ้าไม่น้อย...
“ขอโทษ...”
“ช่างมันเถอะ ผมก็ต้องขอโทษเหมือนกัน ทั้งๆที่พี่เป็นแบบนี้...ผมยังตะคอกใส่พี่อีก”
ผมก้มหน้าจนคางแนบชิดอก ไม่ได้พูดอะไรออกไปอีก นอกจากรอให้รถจอดสนิทนิ่ง...
ตอนนี้ผมถึงคอนโดของเซนแล้ว โดยเซนเดินลงมาจากรถก่อนคนแรกและเดินอ้อมมาที่ประตูที่ผมนั่ง จากนั้นก็ช่วยพยุงตัวผมพาขึ้นไปบนห้อง
มันค่อนข้างทุลักทุเลนิดหน่อยเพราะผมเจ็บที่ช่วงท้องและหัวเข่า จึงทำให้ผมไม่มีแรงที่จะพยุงตัวด้วยแรงของตัวเองมากนัก
ภายในห้อง..
เซนพาผมมานั่งที่โซฟาตัวยาวและพูดขึ้น
“พี่นั่งอยู่ตรงนี้ก่อนนะ เดี๋ยวผมโทรหาพี่ซินให้...”
“ไม่เอา อย่าโทร”
“ก็ตอนแรกพี่บอก...”
“พี่..พี่อยากอยู่แค่กับเซนสองคน...พอแล้ว”
มันจริงอย่าที่ผมพูดออกไป ใช่...ผมอยากอยู่กับเซนจริงๆ ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน หลายๆเรื่องที่ผมมักจะคิดถึง ผมจะคิดถึงเซนก่อนเสมอไม่ว่าจะเรื่องไหนก็ตามแต่
อย่างเหตุการณ์ในวันนี้ถ้าเซนไม่โทร ไม่มาหา ผมไม่รู้เลยว่าตัวเองจะเป็นยังไงบ้าง คงจะถูกไอ้พวกนั้นทำเรื่องทุเรศไปแล้วด้วย...
“อย่าร้องไห้นะครับ...พี่ไม่ต้องกลัวแล้วนะ”
เจ้าแว่นมันพุ่งตัวเข้ามากอดผมทันทีที่ผมร้องไห้ ผมไม่เคยร้องไห้ให้ใครเห็นนอกจากแม่...เพราะผมมักจะเก็บเอาความรู้สึกต่างๆไว้กับตัวเอง และไม่อยากให้ใครต้องมาเห็นว่าผมมันเป็นพวกคนอ่อนแอ ไม่อยากให้ใครต่อใครต้องมารู้สึกแย่ตามผมไปด้วย
แต่ในเวลานี้ คนที่เห็นทั้งหมดของผมทั้งด้านนอกและด้านในที่พยายามปกปิด ตัวตนของผมที่จริงๆแล้วมันก็เป็นแค่คนอ่อนแอคนหนึ่งเท่านั้น
คนที่เห็นมันคือเซน...
ผมกำลังเปิดใจให้กับเซน...
.
.
หลังจากที่ผมร้องไห้ไปพักใหญ่จนในที่สุดผมก็หยุดร้อง ในระหว่างที่ผมร้องไห้ เซนหยิบผ้าชุบน้ำมาค่อยเช็ดคราบเปื้อนดินตามแขนและมือของผมไปด้วย ไม่คิดเลยว่าเซนจะเป็นห่วงผมมากขนาดนี้...
จากที่ผมลอบมองตาของมัน ในนั้นเต็มไปด้วยความสงสารและเป็นห่วง ผมรู้สึกถึงมันได้ดีเลยล่ะ..
พอผมตั้งสติได้ ความกลัวในตอนแรกที่มี เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธ
เมื่อผมนึกถึงภาพเหตุการณ์ที่เลวร้ายและคำพูดจากปากของพวกมันที่เปล่งออกมาต่างๆนาๆ
ไอ้สารเลวสามคนนั้น!
มือของผมกำแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน ทั้งที่มีบาดแผลอยู่ในมือแท้ๆแต่กลับไม่สนใจความเจ็บปวดเลยแม้แต่นิด สันกรามขึ้นรูปเพราะกำลังกัดฟันระบายความโกรธที่มีอยู่เต็มอกออกมา..
ทว่าผมกลับรับรู้ได้ถึงสัมผัสอ่อนโยนและอุ่นไปทั่วทั้งมือ เซนกำลังลูบมือของผมเบาๆและแกะเอามือที่กำแน่นออก ผมเริ่มผ่อนคลายลงเพราะสัมผัสอ่อนโยนของคนตรงหน้า
“พี่พอจะเล่าให้ผมฟังได้หรือเปล่า ว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
เซนพูดพร้อมกับเอายาที่ไปหามาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ นำมาทาที่ฝ่ามือของผม
มันคงจะเห็นว่าผมคลายความโมโหและหวาดกลัวลงไปจนเกือบหมดแล้ว เลยกล้าพูดเปิดบทสนทนาที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ผมเผชิญผ่านมาเมื่อตอนช่วงค่ำ
“จำไอ้พวกที่ตามพี่มาจากห้องน้ำได้ไหม พวกมันจะข่มขืน....”
“ไอ้พวกสวะ!”
ผมยังไม่ทันพูดจบประโยคดีด้วยซ้ำ แต่เซนกลับกำมือของตัวเองแน่นและเปล่งเสียงพูดออกมาลอดไรฟันด้วยความโกรธ
ผมไม่เคยเห็นเซนโกรธแบบนี้มาก่อน อาจเป็นเพราะผมเพิ่งรู้จักกับเซนด้วยละมั้ง แต่เท่าที่ผมเห็นตอนนี้มันกำลังโกรธมากเลยล่ะ
“ถ้าเซนไม่โทรมาหา พี่คง...”
“พี่กัส... อย่าคิดแบบนั้นเลยนะ ไม่ว่ายังไง ผมต้องไปช่วยพี่ทันอยู่แล้ว ไม่มีทางที่จะเกิดเรื่องแบบนั้นแน่!”
เซนเปลี่ยนน้ำเสียงให้อ่อนลงทันทีที่ผมพูดจบ ผมเห็นมันเงยหน้ามามองและใช้มือลูบที่หลังมือของผมเบาๆและพูดคำพูดที่ทำให้ผมรู้สึกสบายใจมากขึ้นออกมา ผมยิ้มรับและใช้มืออีกข้างวางทับมือของมันเอาไว้เช่นกัน
“ขอบใจนะ ขอบใจที่มาช่วย”
“ไม่ต้องห่วงนะครับ เรื่องนั้นปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพี่ผมดีกว่า”
“พี่ซินหรอ...หมายความว่าไง”
“ก็พี่ผมเป็นตำรวจ พวกมันไม่รอดแน่”
จะว่าไปผมก็เพิ่งรู้ตอนนี้ว่าพี่ซินเป็นตำรวจ และที่มาร้านเหล้าในคืนนั้นก็คงเป็นเพราะมาทำธุระอย่างที่พี่ซินว่าจริงๆ ธุระที่ว่าคือธุระของตำรวจสินะ
ผมใจชื้นขึ้นมาหน่อย อย่างน้อยในตอนนี้ ผมก็อยู่ในความดูแลของตำรวจเรื่องราวและเหตุการณ์น่ากลัวพวกนั้นคงจะไม่เกิดขึ้นง่ายๆอีกแล้ว ผมหวังว่าจะเป็นแบบนั้น...
มีคนเดาถูกคนนึงค่ะ
จำได้ว่ามีคนเดาเอาไว้ว่าจะโดนข่มขืน
ซึ่งถูกต้องเลย...
ส่วนพี่กัสก็เริ่มเปิดใจรับเซนเข้ามาแล้วนะคะ
ตอนหน้ามี nc แง้งงงงง(อีกแล้ว) 5555