@@@The Taste of Love...อิ่มรักรสโอชา - มื้อค่ำพร้อมเสิร์ฟแล้วครับ (5/1/64)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: @@@The Taste of Love...อิ่มรักรสโอชา - มื้อค่ำพร้อมเสิร์ฟแล้วครับ (5/1/64)  (อ่าน 117879 ครั้ง)

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- ยามบ่ายที่บ้านแม่ (ต่อ) ----




"แม่คับ บ่มีข้าวนึ่งกา?"

เจนยุทธถามหาข้าวเหนียวนึ่ง ถึงอาหารเที่ยงในวันนี้จะมีอาหารพื้นเมืองอย่างแกงฮังเลกับน้ำพริกอ่องและแกงบ่ะค้อนก้อม แต่ก็ยังมีอาหารอย่างไข่เจียว แกงเลียงและผัดกะเพรามาเสริมด้วย ฟองนวลจึงตัดสินใจเสิร์ฟอาหารกับข้าวสวยเพียงอย่างเดียว

"มีข้าวนึ่งตี้แม่นึ่งหื้อหมู่อ้ายคนงานเปิ้น เจไปแบ่งมาพ่องก่อได้ลอ"

"มีข้าวเหนียวที่แม่นึ่งให้พวกพี่คนงานเค้า เจไปแบ่งมาบ้างก็ได้นะ"

เจยิ้มกว้าง เขารีบเดินเข้าไปในครัวแล้วกลับมาพร้อมกับข้าวเหนียวปั้นไม่ใหญ่นัก เจฮัมเพลงเบาๆ พลางแผ่ข้าวเหนียวลงบนจาน เขาจัดการแกะเนื้อปลาทูในส่วนของตัวเองแล้วเอาลงวางกลางแผ่นข้าวเหนียว จากนั้นทบปิดและตลบส่วนหัวท้ายปิดจนมิด ฟองนวลและอิ่มหัวเราะเบาๆ มีปลาทูเมื่อไหร่ เจต้องเอามากินแบบนี้ทุกครั้ง ส่วนคนตัวโตมองอย่างสงสัย

"ทำแบบนี้แล้วจะอร่อยเหรอ เจ ไม่มีเครื่องปรุงอะไรสักอย่าง"

"อร่อยสิ คุณ เอ๊ย อ้าย เนี่ย ของโปรดผมสมัยเด็กๆ เลยนะ"

เจกัดข้าวเหนียวห่อปลาทูแท่งนั้นเข้าไปคำใหญ่ด้วยความลิงโลด จากนั้นเขาส่งมันเข้าปากคนตัวโตที่งับชิมอย่างไม่ขัดเขิน ฆาเบียร์เคี้ยวๆ กินแล้วก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันพิเศษกว่าปกติตรงไหน อิ่มใจยิ้มเมื่อเห็นภาพนั้น เธออธิบายให้คนตัวโตฟัง

"ข้าวเหนียวห่อปลาทูแบบนี้เป็นรสชาติวัยเด็กของพวกเราค่ะ ตอนเด็กๆ แม่จะทำข้าวบ่ายหรือข้าวเหนียวที่ใส่ไส้แบบนี้ไว้ให้พวกเราถือกินเล่น มันยังเป็นการหัดให้พวกเรากินข้าวด้วยตัวเองอีกด้วยค่ะ พวกเด็กๆ ก็จะถือมันติดมือกินเป็นเหมือนอาหารว่างที่กินทั้งวัน บางทีต้องเปลี่ยนให้เพราะถือไปบีบไปจนดำเป็นขี้มือหมดทั้งแท่งแล้ว ไส้ที่ใส่ก็จะเป็นเนื้อเค็มฉีกฝอยบ้าง ปลาช่อนแดดเดียวบ้าง ปลาทูบ้างแบบนี้"

"แต่สำหรับผมไม่เคยถือไว้จนมันดำซักทีนะ ได้มาปุ๊บก็หมดปั๊บ"

เจหัวเราะคิกคัก ฟองนวลส่ายหัว พ่อลูกชายคนนี้กินจุตั้งแต่เล็ก เขากินๆ จนหมดแท่ง แล้วก็เรียกหาแท่งใหม่อย่างรวดเร็ว เธอต้องใช้วิธีปั้นให้เล็กลงแทน เจหันไปคุยกับฆาบี้



"เมื่อก่อนผมก็เคยสงสัยนะครับอ้าย คำว่า 'ข้าวบ่าย' เนี่ยมันแปลว่าอะไร ในภาษาไทยกลาง 'บ่าย' หมายถึง afternoon ผมก็คิดมาตลอดว่ามันเป็นข้าวที่เอาไว้กินตอนบ่าย เพราะเมื่อก่อนแม่เอามักให้ผมกินตอนบ่ายๆ เย็นๆ แต่ปรากฏว่ามันไม่ใช่แบบนั้น"

เจบอกว่ามีครั้งหนึ่งเขาไปกินอาหารพื้นเมืองที่ร้านอาหาร "เอื้องคำสาย" ในศูนย์วัฒนธรรมเชียงใหม่ ที่ร้านนั้นนำเสนออาหารเมืองที่เป็นตำรับเฉพาะของครอบครัวหลวงอนุสารสุนทรผู้เป็นบรรพบุรุษของเจ้าของร้าน หนึ่งในอาหารเหล่านั้นคือ "ข้าวบ่าย" ในหน้าแรกของเมนูอาหารได้มีการบรรยายถึงอาหารชนิดนี้ไว้

"พอผมอ่านดูถึงได้รู้ว่าคำว่า 'บ่าย' ในข้าวบ่ายนั้นเป็นคำเมือง แปลว่าป้ายหรือทา ซึ่งเป็นลักษณะการทำอาหารชนิดนี้ คือเอาน้ำพริกมาป้ายหรือทาบนข้าวแล้วเอาเนื้อสัตว์และเครื่องอื่นๆ มาวางซ้อนๆ ทับ ผมงี้รู้สึกว่าตัวเองโง๊โง่"

"ตายละ เจ นี่เราเข้าใจว่ามันมาจากคำว่า afternoon จริงๆ อ่ะ? เป๋นคนเมืองจั้ดใดหา?"

อิ่มใจกระเซ้ามาและตบท้ายด้วยคำเมืองที่ว่า "เป็นคนเมืองประสาอะไรฮึ?" เจหันไปแลบลิ้นยาวเฟื้อยให้พี่สาว ทั้งฟองนวลและฆาเบียร์หัวเราะให้กับนิสัยเด็กๆ ของเจนยุทธ



"พูดถึงข้าวบ่ายของศูนย์วัฒนธรรม ผมว่าอยากจะซื้อให้อ้ายชิมสักวัน"

เจนยุทธกินข้าวบ่ายปลาทูในมือตัวเองหมดแล้วและกำลังตั้งหน้าตั้งตากินอาหารบนโต๊ะต่อ เขาหันไปเล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้ฆาเบียร์ที่ก็กินแกงเลียงเกือบหมดถ้วยแล้วฟัง แล้วก็วกกลับมาเรื่องข้าวบ่ายอีกรอบ เจบอกว่าในเมนูของร้านนั้น เขาเขียนบรรยายถึงข้าวบ่ายสูตรของร้านว่ามีมาเกือบร้อยปีแล้ว โดยเริ่มตั้งแต่สมัยที่ปู่ทวดของเจ้าของร้านยังเดินทางไปค้าขายต่างเมืองอย่างบางกอกหรือเชียงตุง สมัยนั้นการเดินทางไปทั้งสองที่นั้นทำได้โดยการขี่ม้าและโดยสารทางเรือและเกวียนเท่านั้น

"ในนั้นเขาบอกว่า สมัยก่อนตอนเดินทาง พวกเขาจะพกพวกอาหารแห้งหรืออาหารที่ผ่านการถนอมอาหารติดตัวไปเช่นข้าวสาร ไข่เค็ม น้ำพริกแดง แล้วยังมีพวกผักดองและหมูเค็มใส่ไหไปด้วย เมื่อตกเย็นก็พักค้างแรมประกอบอาหาร เขาก็จะทำข้าวบ่ายไว้เผื่อกินในวันรุ่งขึ้น โดยเอาข้าวเหนียวมาวางแผ่บนใบตองแล้วทาน้ำพริกแดงลงไป จากนั้นวางทับด้วยหมูเค็ม ผักกาดดองและไข่แดงของไข่เค็ม..."

เจกลืนน้ำลายเอื้อกใหญ่เมื่อนึกถึงรสชาติของข้าวบ่ายของร้านนั้น

"สมัยก่อนอากาศมันไม่ได้ร้อนเท่าสมัยนี้ครับ ข้าวบ่ายนี่น่าจะทำเก็บไว้ได้ พอจะกินก็เอามานึ่งให้ร้อน พอตอนเดินทางก็สามารถถือกินบนหลังม้าได้โดยที่ไม่ต้องใช้ช้อนส้อมแล้วก็ไม่ต้องหยุดพัก มันให้พลังงานได้ดี"

"เหมือนพวกแซนด์วิชใช่ไหมเจ?"

"ใช่ครับ น่าจะประมาณนั้น แต่ไม่แน่ใจว่าตอนนี้ที่ร้านเอื้องคำสายยังทำข้าวบ่ายหมูเค็มอยู่ไหม คราวที่แล้วผมเจอแต่ข้าวบ่ายปลาบ้วงหรือปลาช่อนแดดเดียวครับ ก็อร่อยดีเหมือนกัน แต่ไงๆ ผมก็ชอบแบบหมูเค็มมากกว่า"

เจพูดแล้วก็ก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อเป็นจานที่สอง เขาตักนั่นนี่ใส่จานจนเต็มเหมือนเดิม ฟองนวลดันถ้วยน้ำพริกอ่องฝีมือฆาเบียร์ที่เกือบจะหมดแล้วมาไว้ตรงหน้าลูกชาย เจยิ้มอายๆ ให้ทุกคนและจัดการตักข้าวสวยสองช้อนลงไปคลุกในถ้วยน้ำพริกนั้นและกวาดกินจนไม่เหลือคราบ ฟองนวลได้แต่ส่ายหัวและบ่นลูกชายตัวดีที่ทำตัวไม่งามบนโต๊ะอาหาร

"ได้กินน้ำพริกหนุ่มฝีมืออ้ายฆาเบียร์ทั้งที ผมก็ต้องกินให้เกลี้ยงสิครับ"

เจนยุทธหัวเราะแหะๆ แล้วหันไปทำท่าประจบประแจงคนรัก ฆาเบียร์ยิ้มแก้มแทบแตกเมื่อเห็นเจกินน้ำพริกอ่องของเขาด้วยความเอร็ดอร่อย

"ไว้คราวหน้าถ้าอาปามาฮ่องกง ฉันจะลองทำให้อาปากินดูด้วย ดีไหมเจ?"

เจพยักหน้า เขาคิดว่าคริสน่าจะชอบแน่นอน



"อ้ายลองชิมแกงบะค้อนก้อมหรือยัง?"

เจเลื่อนถ้วยแกงบะค้อนก้อมส่งให้คนรัก ฆาเบียร์ตักน้ำขึ้นชิม รสชาติมันคล้ายกับแกงชนิดอื่นอย่างแกงขนุนเพราะใช้พริกแกงคล้ายกัน เขาตักตัวฝักมะรุมที่ต้มจนเกือบเปื่อยนั้นมาดู

"กินยังไงเหรอ เจ?"

"ถ้าเป็นฝักอ่อนๆ เรากินได้ทั้งหมดเลยครับ แต่ถ้าแบบฝักนี้ คือเป็นฝักแก่ อ้ายก็เอาช้อนรีดๆ เม็ดมันออกมากิน แบบนี้"

เจนยุทธสาธิตให้ดู

"แต่ถ้าสำหรับผม ก็ยอมมือเปื้อนหน่อย หยิบตัวฝักมันขึ้นมา แล้วก็ใช้ฟันกัดแล้วรูดตามยาว "

เจหยิบฝักมะรุมขึ้นมาฝักหนึ่งแล้วทำให้ฆาเบียร์ดู คนตัวโตพยักหน้ารับคำ แต่เขาก็เลือกใช้ช้อนแทน

"เออ รสมันแปลกดีนะเจ มีติดหวานนิดๆ แต่ก็ไม่ได้มีรสชาติอะไรมาก"

เจพยักหน้า รสอร่อยของอาหารจานนี้มันอยู่ที่เนื้อสัมผัสของตัวมะรุมและรสชาติของน้ำแกงมากกว่า ฆาเบียร์ลองชิมอีกสองสามฝักให้พอรู้แล้วก็พอ มันยังแปลกเกินไปสำหรับเขาอยู่ดี

ทั้งสี่คนกินอาหารไปพลางคุยกันไปพลางจนอิ่มหนำสำราญ หลังจากนั้น พวกเขาก็มานั่งคุยกันต่อที่ชุดรับแขกอีกพักใหญ่ก่อนที่อิ่มและฟองนวลจะแยกตัวไปทำธุระของแต่ละฝ่ายต่อ



"อ้ายครับ... ฆาเบียร์ ตื่นๆ "

เจปลุกคนตัวโตที่เผลอหลับไปที่โซฟาให้ตื่นขึ้น พวกเขาสองคนนั่งเล่นนั่งดูทีวีกันต่อที่โซฟาจนฆาเบียร์ที่ตื่นแต่เช้าผลอยหลับไปทั้งที่นั่งพิงตัวเจอยู่ เจนยุทธจึงจัดท่าให้เมียตัวโตของเขาได้นอนหลับพักผ่อน ส่วนตัวเองไปจัดการเก็บข้าวของที่ห้อง พอกลับมาเขาก็อดยิ้มไม่ได้เมื่อเห็นไอ้เจ้าหมาหมูโรซ่าขึ้นไปนอนเบียดคนตัวโตบนโซฟา เขาปล่อยฆาเบียร์ให้นอนต่ออีกพักใหญ่ แต่ไม่ลืมที่จะบันทึกภาพน่ารักๆ นี้ไว้ดูเล่น เมื่อเห็นว่าเวลาล่วงเลยไปพอสมควรแล้ว เขาจึงปลุกคนรักให้ตื่นขึ้น

"จ้ะๆ ตื่นแล้วๆ เอ๊ะ!"

ฆาเบียร์ที่ยันกายขึ้นทั้งที่ยังหลับตาทำหน้านิ่วเมื่อรู้สึกถึงของหนักๆ ทับที่ขา ตอนแรกเขานึกว่าเจนยุทธแกล้งนั่งทับขาเขา แต่เมื่อลืมตาขึ้นก็ต้องโคลงหัวเมื่อพบเจ้าหมาหมูนอนเบียดและทับขาเขาไว้บางส่วน เจหัวเราะเบาๆ เขาจัดการไล่เจ้าหมาอ้วนซึ่งมันก็ลุกหนีอย่างไม่เต็มใจนัก

"ขาชาเลยล่ะสิ"

ฆาเบียร์พยักหน้า เขาสะบัดขาเบาๆ เพื่อไล่อาการเหน็บชา เจลงนั่งที่ปลายเท้าของคนรักและค่อยๆ บีบนวดแข้งขาให้ฆาบี้



"เจ อย่าสิ..."

ฆาเบียร์ครางเบาๆ พร้อมชำเลืองดูอิ่มที่นั่งตรวจงานเด็กอยู่ไม่ห่าง คนตัวเล็กแกล้งเขาด้วยการค่อยๆ นวดไล่ขึ้นมาเรื่อยๆ จนถึงโคนขาของเขา แถมยังนวดเฉี่ยวจุดสำคัญไปมาจนมันเริ่มที่จะตื่นน้อยๆ แล้ว เจหัวเราะคิกคักและหยุดนวดเฟ้นให้คนรัก

"ไว้เดี๋ยวผมจะนวดต่อให้ที่บ้านเรานะ"

เจนยุทธกระซิบเบาๆ

"งั้น เรากลับเลยก็ได้นะเจ"

คนตัวโตของเจนยุทธกระซิบตอบ เขาอดไม่ได้ต้องหอมแก้มแดงๆ ของเจไปอีกฟอดใหญ่ด้วยความเอ็นดู

"คุณนี่นะ เดี๋ยวก็ได้มีรูปลงเพจอีกหรอก"

เจบ่นพึมพำที่ฆาเบียร์แสดงความรักกับเขาต่อหน้าพี่สาว​ เขาหันไปชำเลืองดู 'อิป้าสาววาย' ของเขาอย่างไม่ไว้วางใจ อิ่มใจที่เก็บโทรศัพท์แทบไม่ทันก็ทำเป็นก้มหน้าก้มตาตรวจงานต่อ เจถอนหายใจแล้วหันกลับมาพูดกับคนรัก

"อีกสักพักค่อยกลับครับ เดี๋ยวผมจะรอพี่จืดกลับมาก่อน ต้องเอาอั่งเปาให้ไอ้สองแสบมันด้วย"

ฆาเบียร์ยิ้มน้อยๆ ต่อให้เจบ่นว่าเขาไม่ชอบเด็กขนาดไหน เขาก็ยังไม่ลืมให้อั่งเปาหลานๆ ของเขาอยู่ดี

"แหม...ทีหลานบ้านอื่นผมยังให้ได้ ทำไมจะให้หลานแท้ๆ ตัวเองไม่ได้ล่ะ เห็นผมเป็นยักษ์เป็นมารเหรอ"

เจบ่นอุบอิบเมื่อฆาเบียร์พูดสิ่งที่เขาคิดไว้ให้ฟัง

"...แต่ผมก็ไม่ได้ให้เยอะอะไรนะ ซองละไม่เกินพัน พี่จืดเขาขอไว้น่ะ บอกว่าไม่อยากให้พวกเด็กๆ มันถูกสปอยล์มากนัก ถ้าอยากให้เยอะกว่านั้น ก็เอาให้ใส่บัญชีไว้เป็นทุนการศึกษาให้มันดีกว่า ส่วนซองน่ะ ให้พอไปกินขนมแค่นั้นพอ"



เจบอกกับฆาเบียร์ว่าถึงเขาจะแสดงออกว่ารำคาญและไม่ค่อยอยากเล่นกับหลานๆ มากนัก แต่เขาก็เอาเงินใส่บัญชีไว้ให้เด็กๆ อยู่เนืองๆ ครั้งละพันสองพัน

"เผื่อแก่ตัวมาไม่มีใคร อย่างน้อยก็อาจจะพอพึ่งพาไอ้เด็กพวกนี้มันได้"

เจพูดออกมาเบาๆ ฆาเบียร์ถอนหายใจและโอบไหล่คนรักแล้วดึงให้มาซบอกตน

"โธ่ เจ นายยังมีฉันไง"

เจนยุทธลอบถอนหายใจ ต่อให้ฆาเบียร์แสดงออกถึงความรักที่มีต่อเขามากเพียงใด เขาซึ่งไม่เคยคบหาผู้ชายมาก่อนก็ยังไม่มั่นใจว่าความสัมพันธ์แบบนี้จะอยู่ยืนยาวได้แค่ไหน แต่เขาก็ไม่อาจพูดมันออกไปให้กระทบจิตใจคนรักที่มีอารมณ์อ่อนไหวของเขา เขากลับยิ้มกว้างให้ฆาเบียร์และจุ๊บเบาๆ ที่ริมฝีปากอย่างลืมอายพี่สาว

"อือ นั่นสินะ ผมกับคุณจะอยู่ด้วยกันจนแก่เลยเนาะ"

ฆาเบียร์กุมมือของเจและจับมาวางทาบบนตำแหน่งของหัวใจเขา

"ฉันขอสัญญานะเจนยุทธว่าถ้าหัวใจดวงนี้ยังเต้นอยู่ ฉันก็จะไม่ไปไหนไกลจากเจหรอกนะ ฉันจะอยู่กับนายจนกว่านายจะบอกให้ฉันไปนะ"

เจพยักหน้าเบาๆ ฆาเบียร์ก้มหน้าลงเพื่อรับความหวานจากปากของคนรัก หากเจรีบยกมือขึ้นปิดปากไว้

"สต๊อป ผมได้ยินเสียงรถ พี่จืดคงจะมาแล้ว หยุดซนได้แล้ว"

ฆาเบียร์รีบกลับไปนั่งตัวตรง เขาและเจพยายามจะไม่ทำอะไรประเจิดประเจ้อต่อหน้าจืดและครอบครัวซึ่งยังไม่ชินกับการทำตัวเลิฟๆ ของพวกเขา เจชะเง้อชะแง้มองหารถของจืด แล้วก็จริงดั่งเจคาด ไม่นานนักพี่ชายคนโตของเขาและครอบครัวก็เดินขึ้นลานหน้าบ้านมา ฆาเบียร์ลุกขึ้นทักทายชายวัยเดียวกันอย่างสุภาพ แม้เขาจะพบกับจืดและครอบครัวหลายครั้งแล้ว เขาก็ยังเกรงใจพี่ชายคนโตของเจคนนี้ซึ่งถือเป็นผู้ชายที่มีอาวุโสสูงสุดของบ้าน จากนั้นเขาก็หันไปทักทายหวาน ภรรยาของจืดซึ่งก็เรียกลูกๆ ของเธอให้มาสวัสดี “อาฆาเบียร์” เจยิ้มกริ่มดูคนรักซึ่งเริ่มรับไหว้หลานๆ ของเขาเป็นแล้ว เขาพยายามสอนมารยาทไทยบางอย่างให้ฆาบี้รู้ด้วย ซึ่งคนตัวโตก็ทำได้อย่างไม่มีที่ติ



“ไง นึกว่าเรากลับไปแล้ว”

จืดทักทายน้องชายอย่างอารมณ์ดี

"ผมก็รอพี่จืดอยู่นี่แหละ ว่าจะรอแจกอั่งเปาหลานๆ มันก่อนกลับ"

จืดหันไปบอกหวานให้พาเด็กไปเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อยแล้วให้พากลับมาหาอาเจ เจนยุทธขอตัวไปหยิบซองที่เขาเตรียมไว้มาจากในห้อง ฆาเบียร์ก็ลุกตามไปด้วย

"นี่ ตามมาทำไมล่ะคุณ?"

"เอ่อ เจ ฉันก็อยากให้อั่งเปาเด็กๆ ด้วย ให้เท่าไหร่ดี ซักคนละสามสี่พันพอไหม? ฉันไม่ได้เอาเงินไทยติดตัวมาด้วยมากนัก หรือว่าจะให้เป็นดอลลาร์ดี"

คนตัวโตเปิดกระเป๋าเงินตัวเองดูและหยิบเงินขึ้นมานับ

"เฮ้ยๆๆ จะบ้าเหรอ ไม่ต้องให้เยอะขนาดนั้น ไอ้สองตัวนั่นมันยังเด็กอยู่ เอแคลร์เพิ่งสิบขวบ ไอ้อันปังเพิ่งหกขวบ จะเอาตังค์ไปทำอะไรเยอะแยะ ผมใส่ซองให้พวกมันทีละหลักร้อย ไม่เกินพัน ไม่เคยเยอะกว่านั้น อย่างที่บอก พี่จืดเขาบอกไว้ว่าไม่อยากให้เด็กพวกนี้ได้ถือเงินเยอะ"

เจถอนหายใจ เมื่อเห็นคนรักทำหน้าสลด

"ถ้าคุณอยากให้จริงๆ ผมจะใส่ให้เขาคนละ หกร้อย คุณก็ใส่เพิ่มอีกหกร้อย เป็นพันสองต่อคน โอเคไหม? เดี๋ยวผมบอกพี่จืดไว้ให้ แล้วถ้าอยากให้เพิ่มอีก ก็เอาใส่บัญชีให้เด็กๆ ไว้ใช้ในอนาคตแทน แต่นั่นก็ห้ามใส่เยอะ ไม่งั้นพี่จืดแกโวยแน่ๆ"

จืดเองก็เหมือนเจนยุทธ พ่อแม่เลี้ยงพวกเขามาให้พึ่งตัวเองและไม่ให้เรียกร้องขอเงินหรือรับเงินจากใครง่ายๆ ฉะนั้นเขาคงไม่แฮ้ปปี้ที่ถ้าจู่ๆ คนรักของน้องชายที่ก็ยังถือว่าเป็นคนนอกอยู่ดีจะเอาเงินก้อนใหญ่มาใส่บัญชีให้กับลูกๆ ของเขา

"ตามนั้นก็ได้ เจ"

ฆาเบียร์หยิบธนบัตรสีแดงออกมาจากกระเป๋าและนับให้ได้ตามจำนวนที่เจนยุทธว่า เจหาซองแดงซองใหม่มาให้คนตัวโตใส่

"เอ่อ ฉันเอาใส่ซองเดียวกับเจก็ได้"

เจนยุทธส่ายหัว

"ไม่ครับ คุณให้ส่วนของคุณ เด็กๆ มันจะได้มีปฏิสัมพันธ์กับคุณด้วย โอเคไหม?"

ฆาเบียร์ยิ้มให้คนรัก เจช่างคิดแทนเขาจริงๆ



"เอ้า อันปัง เอแคลร์ มานี่ซิ อาเจมีของจะให้"

จืดเรียกลูกชายและลูกสาวของเขามาหาเจนยุทธ เด็กๆ ต่างมีท่าทางลิงโลดเพราะรู้ดีว่าถ้าอาเจเรียกมาแบบนี้พวกเขาต้องมีได้ซองแน่ๆ เจส่งซองแดงทั้งสองในมือให้เด็กๆ ซึ่งไหว้เขาอย่างสวยงามก่อนจะรับซองไป

"เดี๋ยวๆ อย่าพึ่งไป กลับมานี่ก่อน อาฆาเบียร์ก็มีซองจะให้เหมือนกัน"

เจรีบเรียกหลานๆ ทีทำท่าจะวิ่งปรู๊ดกลับไปเปิดซองต่อหน้าแม่ของพวกเขา เด็กๆ รีบเดินกลับมายืนต่อหน้าหนุ่มละตินและยกมือไหว้อย่างอ่อนช้อย คนตัวโตรับไหว้พร้อมรอยยิ้มกว้าง เขาหยิบซองออกมาส่งให้เด็กๆ ทั้งสอง ซึ่งรับมาด้วยสีหน้าลิงโลด ฆาเบียร์เอ่ยคำสวัสดีปีใหม่จีนออกมาเป็นภาษาอังกฤษเพราะเขารู้ว่าลูกๆ ทั้งสองคนของจืดเรียนในแผนภาษาอังกฤษของโรงเรียนคริสต์แห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ เด็กทั้งสองก็กล่าวขอบคุณกลับมาอย่างคล่องแคล่ว

“พี่จืด ไอ้สองแสบมันพูดอังกฤษได้ขนาดนี้แล้วเหรอ?”

เจกระซิบถามเมื่อเห็นเอแคลร์ หลานสาววัยสิบขวบของเขาตอบคำถามสัพเพเหระที่ฆาเบียร์ถามเป็นภาษาอังกฤษได้อย่างฉาดฉาน จืดพยักหน้า

“อือ เก่งเกินหน้าพ่อแม่มันไปเยอะแล้ว เด็กสมัยนี้โชคดี มีโอกาสได้เรียนแผนภาษาอังกฤษแต่เล็ก”

ในทีแรกจืดลังเลเรื่องที่เรียนของเด็กๆ ใจหนึ่งเขาก็อยากให้ลูกเข้าโรงเรียนอินเตอร์ฯ แต่อีกใจหนึ่งเขาก็อยากให้เด็กๆ อยู่ในสังคมเพื่อนแบบไทยๆ ด้วย ในที่สุดจึงเลือกโรงเรียนไทยที่มีแผนภาษาอังกฤษแทน และผลของมันก็ออกมาน่าพอใจสำหรับเขา ครอบครัวของเจเห็นความสำคัญของการเรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่เล็กเพราะมีแม่เป็นอดีตครูสอนภาษาอังกฤษ ฟองนวลและเลอลาภส่งจืดและอิ่มเข้าเรียนโรงเรียนคริสต์ตั้งแต่อนุบาล พวกเขาเล็งเห็นแล้วว่าโรงเรียนเหล่านั้นสอนภาษาอังกฤษตั้งแต่ชั้นอนุบาลเมื่อเทียบกับโรงเรียนรัฐในสมัยนั้นซึ่งเริ่มสอนภาษาอังกฤษตอน ป. 5

สิบปีผ่านไป เมื่อลูกชายคนเล็กของพวกเขาถึงวัยเข้าอนุบาล แม้โรงเรียนรัฐหลายแห่งจะเริ่มสอนภาษาอังกฤษตั้งแต่เริ่มแรกแล้ว แต่ฟองนวลและเลอลาภก็ยังยอมจ่ายแพงกว่าเพื่อให้เจได้เข้าเรียนในโรงเรียนคริสต์เช่นเดียวกัน พวกเขาทั้งสองยอมทุ่มทุกอย่างเพื่อการศึกษาของลูกๆ เมื่อเด็กๆ อยู่บ้าน ฟองนวลก็จะพยายามให้ลูกได้ใช้ภาษา เธอจะอ่านนิทานภาษาอังกฤษให้ลูกฟังก่อนนอน ให้เรียนศัพท์เกี่ยวกับสิ่งของรอบตัว จัดชั่วโมงพูดภาษาอังกฤษซึ่งเน้นให้พูดโดยยังไม่ต้องกังวลเรื่องแกรมมาร์ จุดประสงค์ของเธอก็เพื่อให้ลูกๆ ไม่รู้สึกกลัวและเกร็งเมื่อต้องใช้ภาษาอังกฤษ



"Uncle Javier, are you Uncle Jay's boyfriend?"

เจแทบสำลักน้ำอัดลมที่ดื่มอยู่เมื่อได้ยินหลานสาวถามฆาเบียร์ออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ เขาเคยตกลงกับจืดไว้ว่าเขาจะบอกเด็กๆ ว่าฆาเบียร์เป็นเพื่อนสนิทของเขา และพยายามระวังเรื่องการแสดงออกต่อหน้าเด็กๆ พวกนี้ ฆาเบียร์เองก็มีทีท่าตกใจ เขาหันมาหาจืดและเจเพื่อขอคำแนะนำ จืดถามลูกกลับไปเป็นภาษาอังกฤษ

"ทำไมหนูถึงคิดแบบนั้นล่ะ เอแคลร์?"

สาวน้อยวัยเริ่มแก่แดดพยายามนึกคำภาษาอังกฤษก่อนที่จะตอบออกมา

"หนูเคยเห็นอาเจกับอาฆาเบียร์จับมือกันเหมือนทอมมี่กับบาส"

เอแคลร์พูดชื่อเพื่อนชายสองคนในชั้นเรียนของเธอ

"สองคนนั้นทำไมเหรอลูก?"

หวานถามมาบ้าง

"สองคนนั้นเขาบอกว่าเขาเป็นแฟนกัน เขาจับมือกันแล้วก็หอมแก้มกันด้วย"

เด็กน้อยตอบมาอย่างไร้เดียงสา เจกุมขมับส่วนจืดก็ได้โคลงหัว ดูเหมือนว่าเด็กๆ รุ่นลูกรุ่นหลานของเขาน่าจะโตมาโดยรับกับเรื่องแบบนี้ได้ดีกว่าพวกรุ่นเขาแล้ว เจหันไปถามบางอย่างกับพี่ชายเขาเบาๆ จืดพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต



"Yes, Eclaire. Uncle Javier is my boyfriend."

เจนยุทธตอบหลานสาวออกไป ฆาเบียร์หันขวับไปหาพี่ชายและพี่สะใภ้ของคนรัก เขารู้สึกตื้นตันเมื่อเห็นใบหน้ายิ้มละไมของคนทั้งสอง เขาขอบคุณทั้งสองเบาๆ จืดค้อมหัวรับคำขอบคุณนั้น

"Great! I like you, Uncle Javier. If you are Uncle Jay's boyfriend, I can see you more often, right?"

สาวน้อยกอดแขนฆาเบียร์ด้วยสีหน้าลิงโลด อันปังผู้เป็นน้องชายก็พลอยมากอดแขนเขาตามพี่สาวไปด้วย เจเกาหัวแกรกๆ ไม่ช้าไม่นานหลานสาวตัวแสบของเขาท่าทางจะเป็นผู้สืบทอดมรดกความวายจากพี่อิ่มแน่ๆ ฆาเบียร์เองก็ทำหน้าพิพักพิพ่วน เขาไม่รู้จะแสดงออกอย่างไรในสถานการณ์แบบนี้ เขาซึ่งเป็นลูกคนเดียวไม่รู้วิธีที่จะจัดการกับเด็กๆ เลยแม้แต่น้อย



"เอ้าๆ เด็กๆ ไม่ต้องกวนอาฆาเบียร์เขาแล้ว นี่กลับมายังไม่ได้ไปสวัสดีย่าเลยนะ ไปกันได้แล้ว...ขอตัวก่อนนะคะ"

พี่สะใภ้ของเจเข้ามาช่วยแก้ไขสถานการณ์น่ากระอักกระอ่วนนี้ เธอต้อนลูกๆ ของเธอให้เข้าไปในบ้าน เอแคลร์ยังมีทีท่าเสียดายและอยากคุยกับอาฆาเบียร์ของเธอต่อ คนตัวโตโบกมือบ๊ายบายเด็กทั้งสองด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ก่อนจะหันกลับมายิ้มเจื่อนๆ ให้จืด

"ขอโทษด้วยนะครับ ผมกับเจอาจจะเผลอไปทำท่าทางใกล้ชิดกันให้เอแคลร์เขาเห็น พวกเราจะระวังให้มากกว่านี้ครับ"

ฆาเบียร์พูดด้วยความไม่สบายใจ ต่อให้เขาเป็นคนเปิดเผยแค่ไหน แต่เขาก็ยังเกรงใจพี่ชายคนโตของคนรักคนนี้อยู่ดี เจเองก็มีสีหน้าลำบากใจ เขาเกรงใจทั้งพี่ชายและฆาเบียร์ จืดหัวเราะเบาๆ แล้วยกมือขึ้นยีหัวน้องชายที่นั่งทำหน้าจ๋อยอยู่

"ไม่เป็นไรครับ ยัยลูกสาวคนนี้ของผมมันก็แก่แดดอยู่แล้ว ผมซะอีกที่ต้องขอโทษที่ยัยเอแคลร์มันถามออกมาแบบนั้น เดี๋ยวคงต้องให้หวานเขาอบรมหน่อย"

ฆาเบียร์รีบโบกไม้โบกมือห้าม เขาบอกว่าเขาไม่ถืออะไร



"เจ ฉันว่าเราคงต้องระวังเรื่องการแสดงออกจริงๆ แล้วล่ะ"

ฆาเบียร์พูดกับเจนยุทธเมื่อจืดลุกไป เจพยักหน้ารับคำ

"นั่นสิ ต่อให้เด็กมันรู้แล้วก็เหอะ ยิ่งรู้ผมว่าเรายิ่งต้องระวัง ทีนี้จะมาจ้องคอยดูพวกเราเหมือนยัยป้านั่นหรือเปล่าก็ไม่รู้"

ฆาเบียร์หัวเราะก๊ากออกมาเมื่อคนรักทำท่ากระซิบกระซาบและพยักเพยิดไปทางอิ่มที่นั่งแอบมองพวกเขาอยู่

“งั้น เราจะกลับกันแล้วไหม ฆาบี้? สี่โมงกว่าแล้ว เดี๋ยวจะถึงห้องเลทเกินไป ผมนัดพี่นพกินมื้อเย็นด้วย”

เจบอกฆาเบียร์ว่า เขานัดนพว่าจะเลี้ยงข้าวเพื่อตอบแทนที่นพช่วยเป็นธุระจัดการเรื่องดอกกุหลาบให้เขา

“เจ งั้นมื้อนี้ฉันขอเลี้ยงดีกว่า เพราะฉันเป็นคนทำให้วุ่นวายเอง”

เจคิดนิดหนึ่งแล้วพยักหน้าตอบรับ เขาชวนคนรักให้เข้าไปลาแม่และพี่ๆ



“ผมกลับก่อนนะครับ แม่ ไว้เดือนหน้าผมมาแล้วจะมาหาใหม่ครับ”

ฆาเบียร์ยกมือไหว้เพื่อลาฟองนวล

“จ้ะ เดินทางปลอดภัยนะคะ แล้วถ้าคุณมาคราวหน้า แม่จะสอนคุณทำอาหารอีกนะ”

คนตัวโตยิ้มกว้างและตอบรับคำ เขามองใบหน้ายิ้มละไมของฟองนวลและอิ่มใจ ในใจเขารู้สึกเหมือนบ้านนี้เป็นบ้านของเขาไปทุกทีๆ และคนในครอบครัวของเจก็เริ่มกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเขาไปแล้ว ฆาเบียร์โบกมือลาสมาชิกในครอบครัวของคนรักและเดินไปหาคนตัวเล็กที่ออกไปหยิบกระเป๋าและรอเขาอยู่นอกตัวบ้านแล้ว เขายื่นมือใหญ่ของเขาให้เจเกาะกุมและพากันเดินไปที่รถ




----------------------------------------------

สัปดาห์นี้มาช้านิดนึงนะคะ ป่วยไปสองวัน ตอนนี้โอเคละ มัวแต่ดูบอลกับทำฟาร์มด้วยค่ะ แหะๆ ไม่น่ากลับมาเล่น Hay Day ใหม่เลย เปลืองเวลาชีวิตไปมากโขเลยทีเดียว

สำหรับสองหนุ่มนี้ วันๆ นึงก็ยังคงเดินไปช้าๆ ในตอนนี้อยากให้เห็นปฏิสัมพันธ์ของฆาบี้กับคนในบ้านของเจด้วยน้อ แต่ก็รู้สึกว่ายังสื่อออกมาได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่เลย

สูตรแกงเลียงมาจากเว็บ Wongnai ค่ะ http://bit.ly/2K9IZ2j

ปลาทูแม่กลอง อ่านแล้วอยากกินมาก เชียงใหม่หาปลาทูอร่อยๆ กินย๊าก ยาก http://bit.ly/2McSe2b

ข้าวบ่ายร้านเอื้องคำสายค่ะ







ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- Cars and 'Pla' ----





"เจจ๊ะ งั้นเดี๋ยวเรายังไม่ต้องกลับห้องก็ได้ แวะไปหานพเลยดีกว่า"

ฆาเบียร์ดูนาฬิกาของเขา ตอนนี้ห้าโมงแล้ว พวกเขายังเข้าไม่ถึงตัวเมืองเชียงใหม่

"ผมก็ว่างั้นแหละคุณ ไม่งั้นกว่าจะกลับห้อง เก็บของนั่นนี่ แล้วออกมาหาพี่นพที่บ้านอีกก็คงค่ำ งั้นเดี๋ยวขอผมโทรบอกพี่นพก่อนแป๊บนึงนะ"

เจนยุทธกดปุ่มจากพวงมาลัยรถ จากนั้นเลือกเบอร์โทรของนพจากลิสต์ที่ปรากฎบนจอซึ่งฉายขึ้นกระจกหน้ารถและกดโทรออก เขาจัดการนัดแนะเวลากับเพื่อนรุ่นพี่เสร็จสรรพแล้วจึงกดวาง

"นี่คุณทำอะไรของคุณน่ะ ฆาบี้?"

เจถามอย่างสงสัย ตอนนี้พวกเขาจอดติดไฟแดงอยู่และฆาเบียร์ก็ชะโงกหน้ามาดูกระจกหน้ารถตรงฝั่งคนขับ

"ไอ้เจ้า head-up display ตรงกระจกหน้ารถเจนี่แสดงอะไรให้เห็นมั่งน่ะ?"

 ฆาเบียร์ซึ่งเคยขับรถของเจนยุทธหลายครั้งแล้วรู้ดีว่ารถ BMW X1 รุ่นของเจมีโปรเจ็คเตอร์ซึ่งฉายหน้าจอเล็กๆ ขึ้นไปบนกระจกหน้ารถ หน้าจอนี้จะบอกข้อมูลบางอย่างเวลาขับขี่ทำให้คนขับไม่ต้องละสายตาจากถนนยามขับรถ ที่เขาเคยเห็นคือมันแสดงเลขความเร็วของรถ และแสดงฟังก์ชั่นที่ใช้ยามเชื่อมต่อกับโทรศัพท์ เช่นแสดงชื่อหรือเบอร์โทรที่โทรเข้า แสดงลิสต์การโทรเข้าออกและคนขับสามารถเลือกเบอร์โทรออกจากลิสต์นั้นได้โดยใช้ปุ่มบังคับบนพวงมาลัยรถ หรือที่เจใช้บ่อยอีกฟังก์ชั่นหนึ่งคือให้แสดงเพลงที่ฟังอยู่และเลือกกดกลับหรือเลื่อนไปอีกเพลงได้



"จริงๆ มีอีกฟังก์ชั่นหนึ่งแต่ผมไม่ค่อยใช้ครับ คือใช้ร่วมกับแผนที่ในตัวรถ เมื่อเราเซ็ตจุดหมายปลายทาง บนจอก็จะขึ้นนำทางเรา มีบอกว่าต้องเลี้ยวตรงไหน มีลูกศรขึ้นให้เห็นชัดเจน บอกด้วยว่าเหลืออีกกี่เมตร ค่อนข้างแม่นยำเหมือนกันครับ แต่ว่าข้อเสียคือมันใช้ร่วมกับแผนที่ของรถเท่านั้น ใช้กับกูเกิลแม็ปไม่ได้ และต้องบันทึกข้อมูลเองเสียเยอะว่าจะไปไหน ที่ไหนที่ไปบ่อย อะไรงี้ ไม่ค่อยมีโลเคชั่นให้เลือกมากนัก สุดท้ายถ้าจะต้องใช้แผนที่ ผมก็เปิด Google map จากโทรศัพท์หรือไอแพดดีกว่า"

เจบอกว่าเขาเคยลองใช้ฟังก์ชั่นนี้ของรถแล้ว รู้สึกว่ามันยุ่งยากไป ก็เลยปล่อยมันไว้แบบนั้น

"ทุกวันนี้ที่ใช้ๆ ก็แค่ดูความเร็วรถ โทรเข้าออก แล้วก็ฟังเพลง แต่แค่นี้ผมก็รู้สึกว่าคุ้มใช้แล้ว ผมเลือกซื้อรถคันนี้ส่วนหนึ่งก็เพราะฟังก์ชั่นจอนี้นั่นแหละ"

เจนยุทธหัวเราะแหะๆ เขาบอกว่ามันทำให้เขารู้สึกเหมือนขับรถจากหนังสายลับที่มีหน้าจอแสดงผลต่างๆ ฝังอยู่ที่กระจก

"นี่เจรู้ไหมว่าไอ้เจ้า Aston Martin DB 11 รุ่นเดียวกับของเจมส์ บอนด์ที่ฉันขับที่ฮ่องกงยังไม่มีฟังก์ชั่นนี้เลยนะ"

ฆาเบียร์พูดกลั้วหัวเราะ

"เห้ย จริงดิ? รถคุณออกจะล้ำ ไม่มีอินี่ได้ไง?"

"จริงๆ มันอาจจะมีแต่เป็นออพชั่นเสริมต้องจ่ายเพิ่มมั้ง ฉันก็ไม่แน่ใจ ฉันก็ไม่ได้ถามเพราะคิดว่าไม่ได้จำเป็นต้องใช้ขนาดนั้น แต่ถ้ารถคันที่ฉันขับที่สหรัฐฯ นี่มีไอ้เจ้าจอนี้เหมือนกันกับรถเจนั่นแหละ"

"เหรอ อยู่นู่นคุณขับอะไรอ่ะ?"

เจถามพลางออกรถและขับต่อไปเรื่อยๆ การจราจรขาเข้าเมืองผ่านอำเภอแม่ริมช่วงเย็นๆ แบบนี้ติดขัดพอสมควร ฆาเบียร์ยิ้มเมื่อคิดถึงรถคันงามของเขาซึ่งตอนนี้จอดทิ้งไว้ในโรงรถของคริสที่บ้านพาโล อัลโต

"ฉันขับ Dawn น่ะ"

"ดอว์น? โรลส์รอยซ์ ดอว์นอ่ะนะ? หูย อย่างเฟี้ยว"

เจครวญออกมาเบาๆ เมื่อนึกถึงรถสปอร์ตเปิดประทุนสี่ที่นั่งจากค่ายรถหรูสัญชาติอังกฤษ สนนราคาของมันในไทยสูงเสียดฟ้า บางครั้งเขาก็ลืมไปว่าฆาเบียร์ของเขานั้นล่ำซำเพียงไหน



"คันที่ฉันใช้นั้นเป็นรุ่นปี 2016 น่ะ ฉันซื้อก่อนย้ายมาฮ่องกงได้ปีนึง ตอนนี้จอดทิ้งไว้ในโรงรถอาปา ไอ้พวกระบบเอนเตอร์เทน หรือระบบสั่งการในรถก็ไม่ค่อยต่างจากของเจนะ เพราะมันพัฒนามาจากระบบ iDrive ของบีเอ็มเหมือนกัน ฉันถึงค่อนข้างคุ้นกับรถของเจน่ะ"

เจนยุทธร้องอ๋อ

"เออ ใช่สิ บีเอ็มเขาซื้อบริษัท Rolls-Royce Motors ไปแล้วใช่ไหมครับ?"

ฆาเบียร์ส่ายหัว

"ไม่ใช่จ้ะ"

"อ้าว แล้วไหงโรลส์รอยซ์ถึงใช้เทคโนโลยีของบีเอ็มล่ะครับ? ไม่ใช่ว่าบีเอ็มซื้อบริษัทและโรงงานโรลส์ไปแล้วเหรอ?"

 เจนยุทธถามด้วยความสงสัย เขาเข้าใจมาตลอดว่ามหาอำนาจในวงการรถยนต์อย่างเครือ BMW นั้นซื้อโรงงานผลิตรถยี่ห้อ Mini และ Rolls-Royce ไปแล้ว

"คนมักจะเข้าใจแบบนั้น แต่ที่บีเอ็มซื้อจริงๆ คือสิทธิ์ในการใช้โลโก้และแบรนด์ Rolls-Royce ต่างหาก รถโรลส์รอยซ์ที่ผลิดนับตั้งแต่ 2003 เป็นต้นมานั้นออกแบบ พัฒนา และผลิตออกมาจากโรงงานที่สร้างขึ้นใหม่โดยเครือบีเอ็ม ไม่ใช่โรงงานดั้งเดิมของโรลส์รอยซ์ แต่ก็ยังอยู่ในอังกฤษเหมือนเดิมนะ"

เจพยักหน้าหงึกหงัก วันนี้เขาได้ความรู้ใหม่อีกเรื่องแล้ว

"แล้วเจรู้ไหมว่าบริษัท Rolls-Royce Motors ดั้งเดิมตอนนี้เป็นยังไง?"

เจนยุทธส่ายหัว

"มันคือโรงงานที่ผลิตรถ Bentley ไงล่ะ เจ้าของในปัจจุบันคือกลุ่ม Volkswagen AG ซึ่งถือเป็นเครือผู้ผลิตรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีแบรนด์ในมือหลายยี่ห้อทั้ง โฟล์คสวาเก้น เอาดี้ บูกัตติ ลัมบอร์กินี่ ปอร์เช่ เซียท สโกด้าและเบนท์ลีย์ มอเตอร์ไซค์ Ducati ก็เป็นของเครือโฟล์คไปแล้วนะ"

ฆาเบียร์พูดยิ้มๆ เจขับรถไปพลางฟังคนรักเล่าอย่างเพลิดเพลิน เขาชอบนักเวลาคนรักเล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ในวงการธุรกิจให้เขาฟัง



"ที่จริงแล้วเจ้าของเดิมของบริษัทโรลส์รอยซ์มอเตอร์ส์คือ Vickers plc. บริษัทนี้ตัดสินใจขายบริษัทโรลส์รอยซ์มอเตอร์ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยี่ห้อโรลส์รอยซ์และเบนท์ลีย์ในปี 1998 ในตอนนั้นเครือโฟล์คก็ประมูลชนะเครือบีเอ็มและได้สิทธิ์ในการผลิตรถทั้งสองยี่ห้อนี้..."

แต่สิ่งหนึ่งที่โฟล์คพลาดไปก็คือ แม้ว่าจะได้สิทธิ์ครอบครองสัญลักษณ์รูปนางฟ้ามีปีกซึ่งเรียกว่า The Spirit of Ecstasy และกระจังหน้ารถแบบซี่ตะแกรงที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของรถโรลส์รอยซ์ แต่เครือโฟล์คไม่ได้รับสิทธิ์ในการใช้ชื่อและโลโก้ RR ของแบรนด์โรลส์รอยซ์ติดบนตัวรถที่พวกเขาผลิตออกมา สิทธิในโลโก้และแบรนด์นั้นเป็นของบริษัท Rolls-Royce plc. ซึ่งเป็นบริษัทเจ้าของเครือธุรกิจโรลส์รอยซ์ ในปัจจุบัน บริษัทนี้เป็นผู้ผลิตเครื่องยนต์สำหรับเครื่องบินและอากาศยาน รวมถึงทำธุรกิจด้านพลังงานและระบบป้องกันประเทศ เครือ BMW ซึ่งทำธุรกิจร่วมกันกับบริษัทโรลส์รอยซ์ในด้านการผลิตเครื่องยนต์ได้ติดต่อขอซื้อสิทธิ์ในการใช้โลโก้และแบรนด์ไปเรียบร้อยแล้วในราคา 40 ล้านปอนด์



"ทีนี้โฟล์คก็ซวยสิ จ่ายตังค์ไป 430 ล้านปอนด์ ได้สำนักงานใหญ่ ได้โรงงาน ได้แบบรถ ได้รูปนางฟ้ากับกระจังหน้ามาก็จริง แต่พะยี่ห้อโรลส์รอยซ์ไม่ได้ ก็ทำไงล่ะ แถมยังซวยหนักเข้าไปอีกเพราะบีเอ็มเป็นผู้ผลิตเครื่องยนต์และอะไหล่ให้ทั้งเบนท์ลีย์และโรลส์รอยซ์ แต่ในสัญญาที่ทำไว้ก่อนหน้าอนุญาตให้บีเอ็มยกเลิกสัญญาได้โดยแจ้งล่วงหน้าแค่ 12 เดือน ซึ่งทางโฟล์คออกแบบรถใหม่ให้ใช้เครื่องจากที่อื่นไม่ทันหรอก ก็เลยต้องมาเจรจากัน..."

ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ เรื่องการเชือดเฉือนในวงการธุรกิจแบบนี้เป็นสิ่งที่เขาได้พบเจอมาตลอด

"หลังจากเจรจากันก็ได้ข้อสรุปว่า เครือโฟล์คจะยอมขายสิทธิ์การใช้รูปนางฟ้าและกระจังหน้าที่เป็นเอกลักษณ์ของโรลส์รอยซ์ให้บีเอ็ม โดยแลกกับการที่บีเอ็มยังคงเป็นผู้ผลิตเครื่องยนต์และอะไหล่ให้รถยี่ห้อเบนท์ลีย์ต่อ ส่วนทางบีเอ็มจะอนุญาตให้โรงงานเก่านี้ผลิตรถโดยแปะยี่ห้อโรลส์รอยซ์ได้จนถึงสิ้นปี 2002 ระหว่างนั้นบีเอ็มก็ไปสร้างสำนักงานใหญ่และโรงงานใหม่ของตัวเองเพื่อผลิตรถโรลส์รอยซ์ภายใต้ชื่อบริษัทใหม่ คือ Rolls-Royce Motor Cars Limited แทนบริษัท Rolls-Royce Motors เดิม บริษัทนี้ก็ออกแบบรถใหม่หมดโดยไม่เอาแบบเดิมมาใช้ แต่ยังตั้งชื่อรุ่นอิงชื่อรุ่นเดิม ส่วนทางโฟล์คก็ตั้งบริษัท Bentley Motors Limited ขึ้นมาแทนและผลิตแต่รถเบนท์ลีย์เพียงอย่างเดียวโดยใช้ฐานการผลิตเดิม”



"งั้นแปลว่ารถโรลส์รอยซ์ที่ผลิตตั้งแต่ปี 2003 เป็นต้นมาก็ไม่ใช่โรลส์รอยซ์ที่ออกมาจากโรงงานดั้งเดิมแล้วสิครับ มิน่า ผมถึงว่าโรลส์รอยซ์รุ่นหลังๆ มันหน้าตาไม่เหมือนรุ่นเก่าๆ เสียทีเดียว "

ฆาเบียร์พยักหน้า

“ถูกต้อง ที่เป็นทายาทสายตรงของโรลส์รอยซ์เดิมจริงๆ ก็คือเบนท์ลีย์ ส่วนโรลส์รอยซ์ในปัจจุบันที่อยู่ภายใต้เครือบีเอ็มนั้นก็เรียกได้ว่าเป็นการกำเนิดใหม่ของแบรนด์โรลส์รอยซ์ก็ว่าได้น่ะ แล้วพอรู้งี้ เจคิดว่ามันเสื่อมความคลาสสิคไปไหม?"

คนตัวโตถาม หลายคนอาจคิดว่ามันอาจจะไม่ได้ดีเหมือนเดิมแล้ว หรือไม่ได้เป็นสืบทอดความเป็นตำนานมา เจครุ่นคิดนิดหนึ่งแล้วส่ายหัวเบาๆ

"ไม่อ่ะ จากที่เคยนั่งรถคุณกับรถอาปาที่ฮ่องกงให้เป็นบุญตูดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นโรลส์รอยซ์ที่ออกจากโรงงานใหม่หรือเบนท์ลีย์ที่ออกมาจากโรงงานดั้งเดิม มันก็ไม่ต่างกัน นั่งสบาย เบาะหนังนุ่มนิ่มห๊อมหอมเหมือนกัน"

ฆาเบียร์ยิ้มน้อยๆ

"มันก็ยังคงคอนเส็ปต์ด้านหรูหราและยังเป็นรถประกอบมือตามสั่งทีละคันเหมือนเดิมจ้ะ ยังเลือกสั่งสีสั่งเบาะอะไรได้ตามคอนเส็ปต์เดิม อาจจะดีขึ้นด้วยเพราะได้เทคโนโลยีสมัยใหม่ของบีเอ็มเข้ามาเสริม แล้วฉันก็ว่าหน้าตามันสวยกว่ารถรุ่นเก่าด้วย"



คนตัวโตเล่าอีกว่าโรลสรอยซ์ยังนำเสนอบริการที่เรียกว่า bespoke คือสามารถสั่งสร้างรถได้ตามใจชอบ

"...ไม่ว่าจะให้ผสมสีใหม่ขึ้นมาเป็นสีเฉพาะของเราคนเดียว อยากจะกรุไม้หายากลงไปตรงนั้นตรงนี้ หรือจะให้เลือกหนังชั้นเลิศจากที่นั่นที่นี่มาทำเบาะ เขาก็จัดให้ได้นะ อยากจะปักลายมังกรลงไปบนเบาะก็ทำได้ หรือถ้าจะมีเจ้าชายอาหรับสักองค์สั่งทำตราประจำพระองค์ฝังอัญมณีแปะไว้ตรงพวงมาลัย เขาก็คงทำให้ได้เหมือนกัน"

คนตัวโตพูดยิ้มๆ แต่แน่นอนว่าทั้งหมดนี้มาพร้อมกับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ฆาเบียร์บอกว่าเขาไม่ได้เลือกใช้บริการ bespoke เต็มรูปแบบ เขาแค่เลือกสีรถ สีเบาะและการตกแต่งภายในรถจากตัวเลือกที่มีให้มากหลายตามใจชอบและให้ปักชื่อย่อของตัวเองไว้ที่เบาะคนขับ ซึ่งแค่นั้นก็แพงขึ้นมาอักโขแล้ว

ฆาเบียร์หยิบมือถือมาเปิดรูปรถของเขาที่จอดอยู่ในโรงรถของคริสให้เจดูตอนที่รถติดไฟแดงอีกครั้ง เจตาลุกวาวเมื่อเห็นรถสีฟ้าอมเทาแสนสวยที่มีหลังคาผ้าใบสีส้มแมนดารินคันนั้น

"หูย งามหยดย้อยเลยคุณเอ๊ย สเป็คเครื่องเป็นไงอ่ะ?"

"อืมม์ เครื่อง V12 6500 กว่าซีซี 563 แรงม้า อัตราเร่ง 0-60 ไมล์ 4.3 วินาทีนะ ความเร็วสูงสุด 155 ไมล์ต่อชั่วโมง ก็ประมาณเกือบๆ 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ไม่เลวสำหรับรถที่หนักกว่าสองตันครึ่งเลยนะ เจว่าไหม?"

ฆาเบียร์ตาเป็นประกายเมื่อพูดถึงรถสุดหวงของเขา เขายังนึกถึงเวลาที่ขับมันเฉิดฉายไปในเมืองใหญ่อย่างซานฟรานซิสโกยามค่ำคืน หรือขับกินลมเล่นบนไฮเวย์ระหว่างทางพาคู่ควงของเขาไปจิบไวน์ที่นาปา แวลลีย์ ใจจริงเขาอยากขนมันมาใช้ที่ฮ่องกงด้วยแต่ติดขัดหลายประการจึงต้องทำใจทิ้งมันไว้ที่พาโล อัลโต้



"อยากลองขับสักครั้งอ่ะ"

เจพูดเสียงอ่อยๆ เขาก็เหมือนผู้ชายคนอื่นๆ ที่ชอบรถและเครื่องยนต์ ถ้ามีโอกาสเขาก็อยากจะสัมผัสความแรงระดับไฮเอนด์แบบนั้นบ้าง ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ แล้วบอกว่าถ้าสักวันเขาได้มีโอกาสพาเจไปที่บ้านเขาที่สหรัฐฯ เขาจะให้เจลองขับมันดูแน่นอน

"จะให้ขับเจ้า Audi R8 GT Spyder ตัวเก่ากึ้กของฉันด้วยเอ้า"

เจอ้าปากค้าง รถแต่ละคันของเมียตัวโตของเขาล้วนแต่เริ่ดหรูทั้งนั้น ฆาเบียร์บอกว่าเขาสั่งจองเจ้ารถสปอร์ตเปิดประทุนคันงามนั้นทันทีที่เห็นมันจากหนังเรื่อง Iron Man 2

"ทั้งสหรัฐฯ มีแค่ 50 คันเองนะเจ แต่ฉันกะว่ากลับไปบ้านรอบนี้คงจะขายมันแล้วล่ะ เพราะได้รถใหม่แล้ว แต่ถ้าเจอยากลองขับ ฉันก็จะรอให้เจได้ลองก่อนแล้วค่อยปล่อย"

"อูย ขอผมลองสักครั้งก่อนนะครับคุณ ผมงี้โคตรชอบรถเอาดี้เลยอ่ะ ตอนแรกผมก็อยากได้เอาดี้ ทีที แต่ว่าที่เชียงใหม่ไม่มีศูนย์ ก็เลยอดไป"

เจนยุทธทำท่าเสียดาย



"เออ ฉันสงสัยอย่าง เท่าที่ดูๆ เจก็ชอบขับรถแรงๆ ทำไมไม่ซื้อรถอย่างปอร์เช่เคย์แมนล่ะ มันไม่ได้แพงอะไรมากมาย ที่สหรัฐฯ ขายอยู่แค่ห้าหมื่นกว่าเหรียญเอง แพงกว่ารถบีเอ็ม X1 ของเจคันนี้นิดเดียวเองนะ หรือเพราะมันไม่มีศูนย์ที่เชียงใหม่เหรอ?"

เจนยุทธหัวเราะหึๆ ฆาเบียร์ดูถูกกำแพงภาษีรถยนต์นำเข้าของประเทศไทยเกินไปเสียแล้ว

"ฆาบี้ครับ ผมเคยเล่าให้คุณฟังคร่าวๆ แล้วใช่ไหมว่ารถยุโรปในไทยมันแพงด้วยเรื่องของภาษี"

ฆาเบียร์พยักหน้า เขาคิดว่ามันน่าจะแพงขึ้นประมาณ 40% ของราคาที่สหรัฐฯ หรืออย่างมากก็ไม่น่าจะเกินเท่าหนึ่งเหมือนที่ฮ่องกง เจถามต่อ

"คุณว่ารถผมคันนี้ที่เมืองไทยขายอยู่ที่เท่าไหร่?"

รถของเจนยุทธคือ BMW X1 รุ่น sDrive18d M Sport ซึ่งเป็นตัวท็อปในตอนที่เขาซื้อ ฆาเบียร์ครุ่นคิดเทียบกับราคาในสหรัฐฯ ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 53,000 เหรียญ

"เอ ไม่รู้สิ เจ น่าจะซักล้านปลายๆ ถึงสองล้านบาทมั้ง?"

เจหัวเราะเบาๆ

"เกือบสองล้านหกนะครับ คุณฆาเบียร์ นี่ขนาดเป็นตัวประกอบในนะ เจอภาษีนำเข้าชิ้นส่วน ซึ่งเบากว่าเจอภาษีนำเข้ารถทั้งคันมากเลยครับ"



"อื้อหือ แต่ก็แพงขึ้นมาเยอะเหมือนกันนะ เจ รถยุโรปในไทยนี่แพงใช้ได้เลยจริงๆ"

คนตัวโตครางออกมา เจซ่อนยิ้มและถามต่อ

"แล้วคุณรู้ไหมว่าไอ้เจ้าปอร์เช่เคย์แมนที่คุณถามถึงน่ะ ในไทยขายเท่าไหร่?..."

เจพูดต่อโดยไม่รอคำตอบเพราะรู้ว่าคนตัวโตไม่มีทางเดาถูกแน่นอน

"...ราคาเปิดตัวของโฉมปี 2016 ในไทยน่ะเกือบเจ็ดล้านนะครับคุณ"

"Bullsh-t!"

คนตัวโตสบถลั่นออกมาอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง

"เห้ยๆ ผมไม่ได้โม้นะเว้ย ราคานี้จริงๆ นี่ตัวถูกสุดนะ ถ้าตัวแรงอย่าง Cayman S น่ะ แปดล้านสาม"

ฆาเบียร์ตาเหลือก เจบอกเขาว่าภาษีรถนำเข้าของไทยนั้นโหด แต่ไม่นึกว่าจะโหดร้ายขนาดนี้



"เจ ทำไมมันแพงขนาดนั้น?!"

"ก็เพราะมันเป็นรถนำเข้าทั้งคันครับ ภาษีนำเข้ารถยนต์ประกอบนอกของไทยน่ะคิดโหดมหาหิน เริ่มจากคิดราคาภาษีอากรขาเข้าก่อน โดยคิดเป็น 80% ของค่า C.I.F. คือราคารถ บวกค่าขนส่งและค่าประกันภัย"

เจสาธยายให้คนรักฟัง

"สมมติ ค่า C.I.F. รวมออกมาแล้วคือหนึ่งล้านบาท ก็จะเจอบวกค่าอากรขาเข้าอีกแปดแสน..."

ฆาเบียร์เอาโทรศัพท์มาเปิดโปรแกรมเครื่องคิดเลขแล้วจิ้มตาม

"...แต่ที่โหดน่ะ คือภาษีสรรพสามิต เขาคิดค่า C.I.F. บวกค่าอากร และค่าธรรมเนียมอื่นๆ ที่ไม่ใช่ VAT คูณด้วยอัตราภาษีสรรพสามิตซึ่งคิดตามขนาดเครื่อง ตรงนี้มันใช้สูตรคำนวนอะไรไม่รู้ยุ่งยาก ผมก็ลืมๆ ไปละ..."

เจพยายามคิดถึงสิ่งที่เขาเคยเรียนมา

"...จำได้แค่ว่าถ้าเครื่องต่ำกว่า 2,000 คูณ 30% 2,000 ถึงไม่เกิน 2,500 คูณ 35% ส่วนรถที่มีขนาดเครื่อง 2,500 - 3,000 CC น่ะ คูณ 40% แต่ถ้าเกิน 3,000 คูณ 50%  แต่ถ้าอย่างเคย์แมนน่ะ ต่อให้เครื่องแค่สองลิตร ก็น่าจะโดน 50%"

เจซึ่งปวดหัวหนักกับเรื่องพวกการคำนวนภาษีทั้งหลายตอนสมัยเรียนพูดอย่างเซ็งๆ



“แล้วทำไมเคย์แมนที่เครื่องไม่ถึงสามพันซีซีถึงโดนคูณตั้ง 50% ล่ะเจ?”

“ถ้าเครื่องแรงเกิน 220 แรงม้าก็โดน 50% ครับ”

เจบอกว่านอกจากนั้นแล้วยังมีภาษีกระทรวงมหาดไทยซึ่งบวกไปอีก 10% ของภาษีสรรพสามิต และตบท้ายด้วย VAT อีก 7% ของราคารวมเบื้องต้น

"รวมๆ แล้ว ถ้ารถต่ำกว่า 2,000 ซีซี ก็จะเสียภาษีทั้งหมดประมาณ 180% กว่าๆ ของราคา C.I.F. แต่ถ้ารถเกิน 3,000 ซีซีน่ะ ล่อเข้าไปเกิน 300% นะคุณ"

เจบอกว่าถึงจะเป็นรถญี่ปุ่น แต่ถ้าประกอบนอกก็โดนภาษีแบบนี้เหมือนกัน

“รถเล็กซัสกับพวกสปอร์ตญี่ปุ่นตัวที่ต้องนำเข้าอย่างแฟร์เลดี้หรือจีทีอาร์ในไทยถึงแพงนักแพงหนาไงคุณ อย่างแฟร์เลดี้นี่ห้าล้านกว่าเลยนะ ส่วนจีทีอาร์น่ะ 13.5 ล้าน”

เจหัวเราะหึๆ เมื่อเห็นสีหน้าตระหนกของคนรัก



"เจ แล้วรถฉันที่เมืองไทยขายเท่าไหร่?"

"โรลส์รอยซ์ ดอว์น ใช่ไหมครับ? ผมไม่รู้ราคาศูนย์อ่ะ แต่เคยเห็นราคาโฉม 2016 ในเน็ต ไม่รู้ว่ามือสองหรือว่าไง ก็ อืมม์..."

เจนึกครู่หนึ่งแล้วตอบออกมา

"ประมาณ 35 ล้านบาทอ่ะคุณ

"Holy Sh-t!"

ฆาเบียร์ร้องลั่นรถ เจนยุทธหัวเราะก๊าก คนตัวโตของเขาปกติไม่ค่อยสบถหยาบๆ เท่าไหร่ แต่วันนี้ฆาเบียร์ปล่อยคำว่า sh-t ออกมาถึงสองครั้งแล้ว

"บ้าไปแล้ว! นี่มันล้านเหรียญนิดๆ แล้วนะเจ รถฉันที่สหรัฐฯ ขนาดฉันใส่นั้นใส่นี่ไปเพิ่ม มันยังไม่ถึงห้าแสนเหรียญเลยนะ ไม่ถึง 15 ล้านบาท ฉันก็ว่ามันแพงมากแล้วนะเมื่อเทียบกับยี่ห้ออื่น แล้วรุ่นอื่นล่ะ เจ?"

"ไอ้ที่แพงสุดอย่างแฟนธ่อมตัวฐานล้อยาวนี่ ราคาล่าสุดของโฉมปี 2018 นี่ 59.5 ล้านครับ ส่วน Rolls-Royce Ghost ที่คุณใช้ที่ฮ่องกงก็น่าจะประมาณสามสิบล้านมั้ง ผมไม่แน่ใจ ส่วนเบนท์ลีย์มูซานน์ตัวฐานล้อยาวแบบของอาปานั่นผมไม่มีข้อมูล แต่ถ้ารุ่นมาตรฐานเท่าที่เคยรู้มาก็น่าจะเกือบๆ 35 ล้านครับ"

ฆาเบียร์หลับตาปี๋

"ฉันว่าราคารถที่ฮ่องกงว่าแพงแล้วนะ อย่างโรลส์รอยซ์รุ่นที่ฉันใช้ที่สหรัฐฯ ที่นั่นก็ประมาณเจ็ดล้านเหรียญฮ่องกง ก็ประมาณ 28 ล้านบาทไทย แต่ที่นั่นค่าครองชีพสูง เงินเดือนคนที่นั่นโดยเฉลี่ยก็สูงกว่าคนไทย แต่เจอราคารถที่ไทยไปนี่ โอ้โห โหดมาก..."

คนตัวโตครางออกมาด้วยความสยองใจ



"...35 ล้านเลยเหรอเจ? ราคานี้ที่สหรัฐฯ ซื้อรถฉันบวกลัมบอกินี่ อเวนตาดอร์อีกคันได้เลยนะ"

"อย่าพูดให้เจ็บใจดิคุณ ถึงรถเมืองไทยจะแพง แต่ค่าอย่างอื่นเราไม่ได้แพงมากนักนะ ค่าจดทะเบียนหรือภาษีรายปี หรือกระทั่งค่าประกันชั้นหนึ่งก็ไม่ได้แพงมาก โอเค รถหรูๆ มันก็อาจจะหลักแสนแหละ แต่ค่าใช้จ่ายต่างๆ ก็เบากว่าเมืองนอกเยอะอ่ะมั้ง ไม่ต้องมาจ่ายค่าที่จอดแพงๆ แบบที่ฮ่องกงด้วย"

สำหรับเมืองไทย จอดรถข้างถนนได้ฟรี ไม่ต้องมาหยอดเหรียญค่าจอด หรือถ้าจะมีคนเดินเก็บเงิน อย่างมากก็ห้าบาทสิบบาท

"ตามลานจอดรถ อย่างแถวนิมมานฯ บางที 50 บาท จอดได้ทั้งวัน สบายๆ"

ฆาบี้หัวเราะหึๆ เมื่อได้ยินเจพูดเรื่องค่าที่จอดที่ฮ่องกง ค่าที่จอดรถในฮ่องกงนี่แพงมหาโหดจริง ถึงขนาดที่ว่ามีธุรกิจซื้อขายที่จอดรถในราคาแพงระยับกันด้วยซ้ำ

"นายรู้ไหมเจ ปีที่แล้วมีคนซื้อที่จอดรถช่องหนึ่งในอาคารจอดของคอนโดหรูในแถบฮ่องกงตะวันตกด้วยราคากว่าห้าล้านเหรียญฮ่องกงด้วยนะ ทำสถิติสูงสุดของฮ่องกงเลยล่ะ"

ถึงคราวเจอ้าปากค้างบ้าง เขารู้ว่ามีการซื้อขายที่จอดรถในอาคารหรูๆ เพื่อเก็งกำไร แต่ไม่นึกว่ามันจะถึงเจ็ดหลัก

"นี่เขาเหมาทั้งฟลอร์เหรอคุณ?"

คนตัวโตส่ายหน้าและบอกว่านี่สำหรับที่จอดขนาดประมาณ 18 ตารางเมตรเท่านั้น

"มันจำเป็นขนาดนั้นเลยเหรอคุณ? แล้วที่จอดของคุณที่ตึก ICC อ่ะ เท่าไหร่?"

ฆาเบียร์เกาหัว

"เอ นี่ฉันก็ไม่แน่ใจ น่าจะรวมมาพร้อมกับค่าเช่าสำนักงานแล้วน่ะ"

คนตัวโตบอกว่าเดี๋ยวเขาค่อยถามเมลิน่าดูทีหลัง แต่ก็ไม่แน่ใจว่าเธอจะรู้เหมือนกัน



"อ๊ะ ใกล้ถึงบ้านพี่นพแล้ว เดี๋ยวค่อยมาคุยเรื่องรถกันทีหลังแล้วกันนะคุณ"

เจจอดรถที่หน้าประตูบ้านของนพ เขาหยิบรีโมทประตูบ้านที่นพให้เขาไว้มากดเปิด

"นี่พวกนายมีกุญแจบ้านกันไว้ยังกับเป็นแฟนกันเลยนะ"

ฆาเบียร์บ่นขึ้นมาเบาๆ เจหันไปยิ้มหวานให้คนรักที่ดูเหมือนจะคิดฟุ้งซ่านขึ้นมาอีกแล้ว

"แหม ที่ให้กุญแจกันไว้ก็เพราะจะได้ใช้งานอีกฝ่ายได้สะดวกต่างหากล่ะคุณ อย่างตอนผมไม่อยู่ ผมก็ฝากห้องไว้กับพี่นพ อะไรงี้ ไม่ก็เผื่อกรณีฉุกเฉิน หรืออย่างบางทีไปดื่มกันแล้วพี่นพแกเมา ผมก็จะได้ขับรถมาส่งแล้วก็เปิดบ้านเข้ามาได้เลย อะไรประมาณนี้"

ช่วงที่แล้วพวกเขามีเวลาว่างตรงกันและแฮงก์เอาท์ด้วยกันเกือบตลอดเวลา ฉะนั้นจึงไม่แปลกที่ทั้งคู่จะเข้านอกออกในบ้านของกันและกันจนเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน แต่ตั้งแต่พ่อของนพเสียและเขาต้องเข้าไปทำงานแทน พวกเขาทั้งคู่ก็มีเวลาให้กันน้อยลง แต่ความสนิทสนมนั้นยังคงเป็นเหมือนเดิม



เจจอดรถไว้ที่ถนนในบ้านของนพ พวกเขาลงรถและกดกริ่งที่ประตู

"จริงๆ ผมมีกุญแจนะ แต่เพื่อความปลอดภัย กดกริ่งก่อนดีกว่า"

เจหันไปหัวเราะคิกคักกับฆาเบียร์

"...ก็คราวที่แล้วตอนผมทะเลาะกับคุณแล้วหนีมาหาพี่นพที่บ้านอ่ะ ผมเปิดประตูพรวดเข้าไปเจอช็อตเด็ด..."

ฆาเบียร์หลุดหัวเราะพรืดออกมาเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น เจเปิดเข้าไปเจอนพกับวัฒน์ในสภาพเกือบเปลือยอยู่บนโซฟา นับแต่นั้นเป็นต้นมาคนรักของเขาจึงกดกริ่งทุกครั้งเมื่อมาที่บ้านของพี่ชายคนสนิทคนนี้



"ไง พวกมึง เข้ามาสิๆ "

ร่างอวบของนพเปิดประตูมาทักทายเพื่อนๆ ของเขา เจเข้าไปพร้อมกับสอดส่ายสายตาไปทั่ว

"หาอะไรวะ?"

"หาพี่วัฒน์อ่ะ ผมไม่ได้มากวนเวลาจู๋จี๋ของพวกพี่ใช่ไหม?"

เจทำหน้าทะเล้น นพด่าไอ้น้องตัวดีลั่น

"ห่านนี่ กูอยู่คนเดียวโว้ย ช่วงตรุษจีนพี่วัฒน์แกไม่มาหรอก ต้องอยู่กับที่บ้าน"

นพชวนทั้งสองลงนั่งที่ชุดรับแขก

“เอ้า นี่ ตังค์มึง ไอ้เจ เอาไปซะ”

นพส่งซองจดหมายค่อนข้างหนาซองหนึ่งให้เจนยุทธ เจเปิดออกมาดูก็ต้องทำตาโตเมื่อเห็นธนบัตรใบสีเทาในนั้นเป็นปึก

“เห้ย ค่าอะไรกัน พี่นพ? ใจดีให้อั่งเปาผมหรา?”

เจทำตาปิ๊งๆ ให้เพื่อนรุ่นพี่ นพส่ายหัวอย่างระอา

“มึงนี่สมองปลาทองจริงๆ ค่าดอกกุหลาบไง ที่ฝากกูเอาไปขายน่ะ 4,500 ดอกมั้ง กูขายดอกละ 15 บาท คนงี้รุมกันยังกะแจกฟรี แค่ที่เฮียคิมเจ้าของผับซื้อเอาไปแจกสาวๆ ที่เข้ามาผับแกก็พันดอกแล้วมั้ง พวกเพื่อนๆ มึง ไอ้ปรินซ์กับซันก็เอาส่วนหนึ่งไปขายหน้าร้านวอร์มอัพด้วย หมดเกลี้ยงเหมือนกัน เออ แต่ของเฮียคิมแกกูให้ดอกละ 10 บาทนะ เพราะแกเหมาเยอะ”

นพพักหายใจ

“ก็เลย เนี่ย ได้ตังค์มาเกือบหกหมื่น นี่หักที่ดอกมันเสียไปบ้างนะ กูชักค่าดำเนินการออกไปละ เหลือให้มึงห้าหมื่นห้า”



นพชักค่าดำเนินการออกไปเพียงสามพันกว่าบาทแค่ให้คุ้มค่าเสียเวลาที่ต้องไปวาเลนไทน์ เจหันไปมองหน้าฆาเบียร์ที่นั่งทำหน้าเจื่อนๆ อยู่ด้านข้าง นี่ขนาดเขาให้นพเอาไปขายถูก อาจจะแค่สิบเปอร์เซ็นต์ของราคาจริงก็ยังได้เงินคืนมาถึงขนาดนี้ พ่อเจ้าประคุณของเขานี่ช่างทุ่มทุนจริงๆ เจส่ายหัวเบาๆ ด้วยความระอาแล้วกลับไปคุยกับนพต่อด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“ได้ไงพี่นพ นี่ๆ พี่เอาไปเลยอีกหมื่นนึงอ่ะ อุตส่าห์เป็นธุระให้ผมแท้ๆ”

เจรีบนับใบเทาออกมาสิบใบแล้วส่งให้นพ หากเพื่อนรุ่นพี่ก็ดันมันคืนมาให้เขา ทั้งสองยึกๆ ยักๆ กันอยู่พักใหญ่จนสุดท้ายนพก็ยอมแพ้และรับเงินก้อนนั้นไว้

“เออๆๆ เอางี้ กูจะเก็บเงินก้อนนี้ไว้เอาไว้เป็นงบกินข้าวด้วยกันเหมือนเมื่อก่อนแล้วกัน มึงไม่ต้องหารค่าข้าวไปอีกหลายมื้อเลย”

นพพูดยิ้มๆ โดยปกติแล้ว ถ้าพวกเขาสองคนไปกินข้าวด้วยกัน ก็มักจะหารสองกัน ช่วงที่พวกเขากินมื้อเย็นด้วยกันทุกวัน พวกเขาทั้งคู่ก็จะมีการตั้งงบกองกลางรายเดือนขึ้นมาเพื่อที่จะควบคุมปริมาณการกินของตัวเอง แต่ช่วงหลังมาพวกเขาเจอกันน้อยลงก็เลยใช้วิธีหารเหมือนเดิม

“ไงก็ได้พี่ แต่เย็นวันนี้เรามีเจ้ามือแล้ว พี่นพไม่ต้องจ่ายนะ”

เจหันไปตบหลังเมียตัวโตของเขาป้าบใหญ่ ฆาเบียร์สะดุ้งเฮือก แต่ก็หันไปยิ้มให้นพ

“อือ เย็นนี้กูเลี้ยงเอง ขอบใจนะที่ช่วยจัดการธุระให้เจ”

“งั้นกูจัดอาหารฝรั่งเศสชุดใหญ่เลยได้มะ?”

นพทำตาวาว

“จัดมาเลยเพื่อน”

ฆาเบียร์พูดตอบทันทีด้วยน้ำเสียงแบบที่เขาเคยใช้คุยกับนพก่อนที่เขาจะเผลอใจตกหลุมรักหนุ่มร่างอวบคนนี้



เจนยุทธมองพี่ชายคนสนิทและคนรักของเขาที่พูดคุยกันอย่างสนุกสนานด้วยความอิ่มใจ ฆาเบียร์ยิ้มตอบเมื่อหันมาเจอใบหน้าที่ยิ้มละไมของเจ เขากุมมือเรียวของคนที่เขารักสุดหัวใจและยกขึ้นหอมเบาๆ

“ขอบใจนะ นพ...”

เขาหันไปพูดกับคนที่เคยอยู่กลางใจ

“...ขอบใจที่พากูมาเจอกับเจ”

ยิ่งเวลาผ่านไป ฆาเบียร์ก็รู้สึกได้ว่านพชักพาเขาให้มาพบเจอกับเจนยุทธอย่างจงใจ ถึงจะมีผิดแผนไปบ้างในทีแรก แต่ส่วนใหญ่คงเป็นการจัดฉากของเพื่อนจอมเจ้าเล่ห์ของเขาอย่างแน่นอน นพหัวเราะเบาๆ และตบไหล่หนาของอดีตรูมเมทตัวร้ายของเขา

“ไม่ต้องขอบใจกูหรอก พวกมึงมีความสุขกูก็ดีใจ มึงก็ดูแลไอ้เจมันดีๆ แล้วกัน มันน่ะตัวยุ่งเลย”

“อ้าวๆ พี่นพ ไม่คิดว่าผมจะเป็นฝ่ายดูแลเพื่อนพี่มั่งเหรออ่ะ?”

เจทำหน้ายุ่ง ทุกวันนี้เขาว่าเขาออกจะทำตัวเป็นคนรักที่ดีของฆาเบียร์

“เออๆ ก็ช่วยๆ กันดูแลทั้งสองคนนั่นแหละ พวกมึงทั้งสองคนน่ะตัวป่วนทั้งคู่เลย”

นพส่ายหัวอย่างระอา เขาสังหรณ์ว่าในอนาคตเขาคงต้องปวดหัวกับคู่รักเพี้ยนๆ คู่นี้อีกมากแน่ๆ



(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)


ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- Cars and 'Pla' (ต่อ) ----



“งั้นเดี๋ยวเราจะกินอะไรดี พี่นพ ผมเริ่มหิวแล้ว”

เจทำเสียงอ่อยๆ พวกเขานั่งคุยกันต่ออีกครู่ใหญ่ก่อนที่ท้องน้อยๆ ของเจจะเริ่มประท้วงเสียงดัง

“เจ มื้อเที่ยงเจกินไปเยอะมากเลยนะ หิวอีกแล้วเหรอ?”

คนตัวโตถามด้วยความทึ่ง เจหันไปยิ้มหวานให้คนรัก

“แหม นิดๆ หน่อยๆ น่า กระเพาะผมทำงานตรงเวลาครับ ว่าแต่กินไรดี พี่นพ พี่เลือกเลย”

“อืมม์ ไปกินปลาจุ่มกันไหม? ร้านโอชะปลาจุ่มที่หน้ากองบิน 41 เขามาเปิดสาขาใหม่ใกล้ๆ นี่เอง เปิดตั้งแต่ปลายปีแล้วแต่ก็ก็ยังไม่ได้ไปลองเลย”

“ก็ได้ครับ คุณกินได้ไหม ฆาบี้? ปลาจิ้มจุ่มคล้ายๆ ที่เราเคยกินที่สมุยน่ะ”

“ได้สิ ดีซะอีก ฉันยังไม่หิวมากเท่าไหร่ กินปลาก็เบาๆ กระเพาะดี”

คนตัวโตตอบรับอย่างว่าง่าย เมื่อตกลงกันได้แล้ว พวกเขาก็พากันเดินทางไปที่ร้าน “โอชะปลาจุ่ม”



“ร้านอยู่ไหนนะพี่นพ?”

เจขับรถของเขาไปตามถนนสมโภชเชียงใหม่ 700 ปีหรือที่คนเชียงใหม่เรียกกันว่าถนนวงแหวนรอบสอง เขาขับไปทางที่จะมุ่งหน้าไปศูนย์ราชการจังหวัดเชียงใหม่

“โครงการชื่อ The One Place น่ะ มึงต้องเลยร้านเรือนแพ 2 กับ VT แหนมเนืองไปก่อนนะ ประมาณ 200 เมตร”

นพดูแผนที่จากในมือถือของเขา

“มึงขับช้าๆ หน่อย ชิดซ้ายไว้ก่อน”

นพซึ่งนั่งหน้าคู่กับเจนยุทธบอกเขาให้ชะลอความเร็วลง เจขับผ่านสวนอาหารเก่าแก่ของจังหวัดเชียงใหม่อย่างร้านเรือนแพสาขาสอง และร้านอาหารเวียดนามซึ่งมีบริการซื้อกลับบ้านด่วนแบบ Drive-Thru อย่าง VT แหนมเนือง เขาลดความเร็วลงและตบไฟเลี้ยวเพื่อขับชิดเลนซ้ายสุด เขาเลี้ยวเข้ายังลานจอดรถของโครงการ The One Place ซึ่งมีป้ายใหญ่ให้สังเกตได้ชัดเจน

“โห มีร้าน  Ai Sushi ด้วยอ่ะ ร้านนี้เห็นเขาว่าอร่อย พี่นพเคยลองหรือยัง?”

เจอุทานเมื่อเห็นป้ายขนาดใหญ่ที่ติดหน้าร้านซูชิซึ่งตั้งอยู่ใกล้เคียง นพส่ายหัว

“ยังไม่เคยลอง หรือว่ามึงจะเปลี่ยนใจกินซูชิแทน?”

เจปฏิเสธทันควัน

“ไม่เป็นไร พี่นพ ตั้งใจมากินปลาจุ่มแล้ว ก็กินปลาจุ่มเถอะ”

โดยไม่รอฟังคำตอบ เจดึงมือคนรักและพาเดินไปยังร้านโอชะปลาจุ่ม เขาหิวไส้แทบขาดแล้ว



พวกเขาทั้งสามพากันเดินเข้าในร้านซึ่งเป็นโครงสร้างเหล็กกรุกระจกที่หันหน้าเข้าถนนใหญ่ พนักงานพากันมาต้อนรับอย่างแข็งขัน

“จะกินเป็นชุดรวมหมูกับปลาดี หรือสั่งแต่ปลาอย่างเดียว?”

นพเงยหน้าขึ้นจากเมนูและถามเจนยุทธ พวกเขาเคยกินร้านโอชะปลาจุ่มสาขาหน้ากองบิน 41 มาแล้วจึงรู้ดีว่าอาหารของร้านนี้เป็นอย่างไร

“ฆาบี้ คุณว่าไง จะกินแบบไหนดี?”

คนตัวโตเปิดเมนูดูครู่หนึ่งแล้วบอกว่าให้เจตัดสินใจแทนเขาไปเลย

“แต่ฉันอยากลองไอ้เจ้านี่ Asian Catfish พวกอื่นในเมนูอย่าง Red Tilapia หรือ Sea Bass ฉันเคยกินแล้ว แต่เจ้าปลานี่ฉันไม่เคยกิน”

ฆาเบียร์ชี้ภาพเนื้อปลาหนังชนิดหนึ่งซึ่งถูกแล่มาอย่างสวยงาม เจชะโงกมาดู

“อ๋อ ปลาคัง เอาสิ ฆาบี้ สั่งเลยๆ มันอร่อยมากเลยนะ”

เจยิ้มแป้น เขาบอกว่าเขาเคยคุยกับเจ้าของร้านซึ่งบอกเขาว่าในบรรดาปลาสี่ชนิดที่มีในร้านคือปลากะพง ปลาดอรี่ ปลาทับทิมและปลาคัง ถ้าจะให้เขาแนะนำ เขาจะแนะนำสองอย่างหลัง เพราะเป็นปลาสดใหม่ที่ไม่ผ่านการแช่แข็งหรือแช่เย็นมาเท่ากับปลากะพงและดอรี่ซึ่งเดินทางมาไกล



“แต่ผมว่าจะสั่งชุดปลารวมมาให้คุณได้ชิมด้วยครับ ในชุดโอชะรวมใจที่เป็นชุดปลารวมนี้จะมีเนื้อปลามาทั้งสี่แบบเลยกับกุ้งอีกสามตัว แต่ไอ้เจ้าดอรี่นี่ คุณอย่าไปหวังจอห์น ดอรี่ แพงระยับนะ เนื้อปลาดอรี่ที่มีขายทั่วไปในไทย มันคือปลา Pangasius จากเวียดนามครับ ถ้าจอห์น ดอรี่ของแท้จะหาได้ตามร้านอาหารแพงๆ และจะใช้ชื่อว่า จอห์น ดอรี่ ไปเลยเพื่อให้แยกจากดอรี่ปลอม”

เจชี้ภาพเนื้อปลาดอรี่ในชุดปลารวมราคา 339 บาทให้ฆาเบียร์ดู ปลาแพนกาเซียส หรือปลาน้ำจืดในตระกูลปลาสวายสายพันธุ์เวียดนามถูกตั้งชื่อทางการค้าว่าปลาดอรี่โดยอิงจากชื่อปลาจอห์น ดอรี่ ซึ่งเป็นปลาทะเลราคาแพงระยับ แต่มันไม่มีอะไรใกล้เคียงกับปลาทะเลรสเลิศนั้นเลย ฆาเบียร์ขมวดคิ้ว เขาไม่ชอบรสชาติของปลาแพนกาเซียสหรือดอรี่ของคนไทยเลย

"เจ งั้นเราไม่ต้องเอาชุดปลารวมก็ได้ สั่งมาแค่ปลา Red Tilapia กับ Asian Catfish ฉันก็โอเคแล้ว"

ฆาเบียร์บอกคนตัวเล็ก เขากินปลาอะไรก็ได้ขอให้สดเป็นใช้ได้

"อืมม์ งั้นเดี๋ยวผมสั่งปลาทับทิมแบบเต็มตัวมาจานนึง แล้วก็ปลาคังจานนึงแล้วกัน"

“เจ งั้นมึงสั่งปลาคังมาอีกสองที่สิ ให้ฆาบี้มันที่นึง แล้วมึงแบ่งกับกูอีกที่”

นพส่งเสียงมา เจพยักหน้าตอบรับ เขาสั่งปลาทั้งสองชนิดกับพนักงาน นอกจากนั้นทั้งสองหนุ่มยังสั่งอย่างอื่นเช่นพวกลูกชิ้น หมูนุ่ม และอื่นๆ อีกสองสามอย่าง



"จะรับน้ำซุปแบบไหนดีคะ? น้ำซุปธรรมดา ซุปต้มยำ เพิ่ม 59 บาท และซุปหมาล่า เพิ่ม 40 บาทค่ะ"

เจครุ่นคิดครู่หนึ่ง ถ้าเขาแบ่งครึ่งหม้อและเพิ่มทั้งสองอย่าง ก็เท่ากับว่าต้องเพิ่มตั้ง 99 บาท แต่ความอยากกินของเขามีมากกว่าความงก เขาหันไปคุยกับสมาชิกอีกสองคนก่อนจะตัดสินใจสั่งทั้งซุปหมาล่าและต้มยำ พวกเขารอไม่นาน หม้อซุปซึ่งแบ่งใส่ซุปทั้งสองมาอย่างละครึ่งหม้อก็มาตั้งพร้อมบนเตาไฟฟ้าตรงหน้า

"เครื่องต้มยำค่ะ"

พนักงานสาวยกจานใส่บรรดาเครื่องเคราสำหรับน้ำซุปต้มยำมาให้ ซึ่งมีทั้งน้ำปลา มะนาวผ่าซีก น้ำพริกเผา ตะไคร้หั่นฝอย ใบมะกรูด ข่า พริกชี้ฟ้าหั่นแฉลบและกระเทียมสับหยาบ รวมถึงผักชีฝรั่งและมะเขือเทศเชอรี่ผ่าครึ่ง

"น้ำปลา มะนาวและพริกเผาเติมได้ตลอดนะคะ พริกหมาล่าก็เติมได้ค่ะ"

เธอทิ้งท้ายไว้ เจจัดการเททุกอย่างลงในหม้อซีกที่เป็นน้ำซุปเปล่าและคนๆ เขาตักใส่ช้อนชิม ฆาเบียร์ก็ทำเช่นกัน

"อืมม์ ซุปอร่อยนะ รสติดหวานนิดหน่อย พอรับได้ แต่เจ้าซุปหมาล่านี่ อื้อหือ เผ็ดใช้ได้เหมือนกันนะ"

เจบอกว่าเขาเพิ่งเคยลองซุปหมาล่าของที่นี่เป็นครั้งแรก มันไม่เผ็ดจนปากชาเหมือนร้าน Hei Hei บนถนนนิมมานเหมินท์ แต่ก็อร่อยใช้ได้เลยทีเดียว



"ผักที่มากับชุดปลาค่ะ"

พนักงานยกถ้วยใส่ผักนานาชนิดมาวาง ปลาหนึ่งชุดมาพร้อมกับชุดผัก ได้แก่ผักบุ้ง ผักกาดขาว เห็ดรวม ข้าวโพดอ่อน ข้าวโพดหวาน โหระพา อีกทั้งไข่และวุ้นเส้น พวกเขาสั่งปลามาสามชุดจึงได้ผักมาทั้งหมดสามชุดเช่นกัน คนชอบผักอย่างฆาเบียร์ยิ้มร่าอย่างถูกใจ

"เอ้า จัดการซิ คุณ"

เจส่งผักให้คนตัวโตจัดการ ฆาเบียร์เด็ดผักบุ้งเป็นท่อนๆ และฉีกผักกาดขาวเป็นชิ้นเล็กๆ เพื่อใส่ในหม้อซุปทั้งสองหม้อ

"เออ มึงหัดมันจนกินเป็นแล้วนี่"

นพแอบกระซิบกับเพื่อนรุ่นน้องเป็นภาษาไทย เจยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างภูมิใจ เขาพยายามให้ฆาเบียร์เรียนรู้วิถีไทยโดยเฉพาะเกี่ยวกับการกินทุกครั้งที่เขากลับมาเชียงใหม่

"ผมพาฆาบี้เขาไปกินพวกหม้อไฟแบบนี้บ้างครับ พี่แกชอบผัก ก็น่าจะชอบกินอะไรแบบนี้"

เจตอบกลับ คนตัวโตที่เหมือนจะรู้ตัวว่าถูกพูดถึงอยู่หันมายิ้มให้คนทั้งสอง

"แบบนี้ได้หรือยังเจ แต่ฉันไม่ใส่เจ้าเบซิลนี่ลงไปนะ รู้สึกว่ามันไม่ค่อยเข้ากับน้ำสองอย่างนี้เท่าไหร่"

เขายกโหระพาในชุดให้เจดู เจพยักหน้า

"ได้ครับ เดี๋ยวผมลงลูกชิ้นให้เอง"



เจใช้ตะเกียบกวาดลูกชิ้นไส้เห็ดหอมกับลูกชิ้นไส้ไข่เค็มใส่ลงไปในหม้อ แต่ลูกชิ้นเจ้ากรรมดันลงน้ำแรงจนน้ำร้อนในหม้อกระเด็นใส่แขนคนตัวโตจนสะดุ้งโหยง เจรีบทิ้งทุกอย่างและดูอาการคนรักทันที เขารีบเอาผ้าเช็ด ประคบน้ำแข็ง ต่างๆ นานา ปากก็บ่นตัวเองที่ไม่ระมัดระวัง

"โอ๊ย น้ำซุปวันนี้มันหวานเลี่ยนวุ้ย"

นพบ่นขึ้นมาดังๆ เจหันมาแยกเขี้ยวใส่พี่ชายคนสนิทแล้วหันไปประคบประหงมคนรักที่นั่งยักคิ้วให้นพต่อ

"อิจฉาล่ะสิ?"

คนตัวโตพูดยิ้มๆ นพจิ๊ปากให้คู่รักที่ทำท่าไม่สนโลกคู่นี้

"ชิ ทีไปกินกับกู ซุปกระเด็นแบบนี้ ไม่สิ เคยหกใส่ตักเลยด้วยซ้ำ ไม่เห็นมึงจะมาทำท่าเป็นห่วงเป็นใยขนาดนี้เลยนะ ไอ้ตัวดี...เห็นผัวดีกว่าพี่นะมึง"

นพบ่นกะปอดกะแปดและตบท้ายด้วยภาษาไทย เจหันไปฟ่อดแฟ่ดใส่นพ

"โว้ย บอกแล้วว่าเมียๆ!..."

เจลดเสียงลงเมื่อเห็นโต๊ะข้างๆ เริ่มเหลือบมองและเปลี่ยนการสนทนากลับเป็นภาษาอังกฤษ

"...แถมตอนนั้นพี่วัฒน์ก็นั่งอยู่ด้วย จะให้ผมไปลูบๆ คลำๆ เช็ดตักพี่ให้หรือไง..."

"เฮ้ๆๆ ต่อให้วัฒน์ไม่อยู่ นายก็ห้ามทำแบบนั้นนะ เจ ตักใคร คนนั้นก็เช็ดเอง"

คนตัวโตพูดแทรกขึ้นมาทันควัน ทั้งเจและนพอดหัวเราะไม่ได้กับทีท่าขึงขังของฆาเบียร์



"เนื้อปลาทับทิมกับเนื้อปลาคังค่ะ"

พนักงานวางเนื้อปลาทั้งสองชนิดลงบนโต๊ะ ทั้งสามคนหยุดการสนทนาและหันมาให้ความสนใจกับอาหารบนโต๊ะแทน ปลาทับทิมตัวขนาดพอเหมาะนั้นถูกแล่แบะออกมาเป็นสองซีกและมาพร้อมกับหัวปลา เนื้อปลาถูกตัดเป็นชิ้นพอดีคำมาให้เรียบร้อย ส่วนปลาคังนั้นแล่ออกมาบางกว่าและมาในปริมาณกำลังดี ฆาเบียร์บอกว่าถ้าเขามาคนเดียวเขาคงจะสั่งชุดปลาคังหรือปลาทับทิมครึ่งตัว อาจจะเพิ่มบะหมี่หรือข้าวสักเล็กน้อยก็น่าจะอิ่มแล้ว หากสองหนุ่มไทยทำหน้านิ่วใส่และบอกว่าพวกเขาทั้งคู่คงไม่อิ่มอย่างแน่นอน ฆาเบียร์โคลงหัวและพูดกับคนรัก

"กระเพาะพวกนายน่ะเหมือนชาวบ้านซะที่ไหนล่ะ เอ้า ไหน กินแบบไหนล่ะ  ค่อยๆ คีบจุ่มทีละชิ้นเหมือนกับหม้อไฟปลาจาระเม็ดที่เราเคยกินที่สมุย หรือว่านายจะเอาเนื้อปลาลงไปต้มเลย?"

"ค่อยๆ จุ่มทีละชิ้นดีกว่าครับคุณ ปลาคังนี่ลวกแป๊บเดียวพอนะ ลวกนานแล้วมันเละ ไม่อร่อย ส่วนปลาทับทิมน่ะ จุ่มนานอีกนิดนึงเพราะเนื้อมันหนากว่า แต่เดี๋ยวคุณรอแป๊บนะ ผมขอจัดการกับหัวปลาก่อน"

เจคีบหัวปลาทับทิมทั้งสองซีกใส่ลงหม้อซึี่งน้ำเดือดพอประมาณแล้วหม้อละซีก

"อย่าเพิ่งคนนะครับ รอจนมันสุกก่อน ไม่งั้นจะคาว"

ฆาเบียร์พยักหน้ารับคำ

"ใส่หัวปลาแบบนี้ น้ำมันจะได้หวานอร่อยขึ้นอีกหน่อยด้วย"

นพเสริมมา ฆาเบียร์หันมาให้ความสนใจกับเนื้อปลาคังแทน



"ว้าว เนื้อปลาสวยเชียว เนื้อใส ดูสดมากเลยนะ"

ฆาเบียร์คีบปลาเนื้อขาวที่มีสีชมพูระเรื่อปนเล็กน้อยขึ้นดู ด้านบนของชิ้นปลามีหนังปลาสีออกเทาเงินติดอยู่

"ภาษาไทยเรียกว่าปลาอะไรนะเจ?"

"ปลาคังครับ"

"Pla Kang เป็นปลาน้ำจืดใช่ไหม?"

"ใช่ครับ ตัวใหญ่เอาเรื่องนะ เขาว่ามันใหญ่ได้ถึงเมตรครึ่ง แต่ว่าที่เพาะกันในฟาร์มนี่น่าจะขนาดซักห้าหกสิบเซ็นต์"

เจหารูปในเน็ตและเปิดให้ฆาเบียร์ดู

"อ๋อ หน้าตาแบบนี้ ก็คล้ายๆ พวก Catfish ของทางบ้านฉัน หวังว่าเนื้อจะอร่อยเหมือนกัน"

ปลาตระกูลแคทฟิชในสหรัฐฯ ถือเป็นอาหารอันโอชะโดยเฉพาะในทางภาคใต้ของประเทศ ปลาแคทฟิชชุบแป้งทอดถือเป็นอาหารประจำถิ่นชื่อดังของแถบนั้นเลยทีเดียว



ฆาเบียร์ดูเจตักเอาหัวปลาทับทิมออกจากซุปทั้งสองหม้อ เขารออย่างใจจดใจจ่อจนเจบอกว่าซุปได้ที่แล้วจึงคีบเนื้อปลาคังลงแกว่งในน้ำซุปหมาล่าร้อนๆ

"อืมม์ อร่อยอย่างที่เจบอกจริงๆ เนื้อแน่นออกกรึบๆ หน่อยๆ ด้วย มีคาวบ้างนิดหน่อยแต่น้ำซุปหมาล่าช่วยตัดคาวไปเยอะเลยนะ"

"เนาะ อร่อยใช่ไหม? แต่ผมแอบเสียดายนิดหนึ่งนะ..."

เจมองที่หม้อซุปอย่างเสียดาย

"พวกเราสั่งซุปรสจัดทั้งคู่ มันเลยกลบกลิ่นรสของปลาไปเยอะเหมือนกัน นี่ถ้าอยากได้รสปลาเต็มๆ ก็ควรสั่งซุปธรรมดาครึ่งกับซุปรสจัดนะ"

"จริงของเจ แต่ฉันก็ชอบแบบนี้นะ ซุปต้มยำนี่ก็รสชาติดีทีเดียว เดี๋ยวฉันจะลองเจ้า Red Tilapia นี่ดูอีกหน่อย"

"ภาษาไทยคือ 'ปลาทับทิม' ครับ"

"Pla Tubtim?"

คนตัวโตออกเสียงตาม

"ใช่ครับ ทับทิม แปลตรงตัวว่า ruby"

"Pla means fish...So Pla Tubtim literally means 'Ruby Fish'?"

ฆาเบียร์ถาม เจพยักหน้า

"ใช่ครับ มันได้ชื่อนี้เพราะสีของมันที่ออกแดง"



"ชื่อสวยเชียว อร่อยด้วยนะแก"

คนตัวโตพูดกับเนื้อปลาที่เขาคีบขึ้นมาจากกระชอน เขาส่งมันเข้าปาก เคี้ยวๆ แล้วอุทานออกมาเบาๆ ก่อนจะคายก้างชิ้นเล็กๆ ออกมา ฆาเบียร์หันไปเตือนคนรัก

"เจจ๊ะ กินปลาทับทิมระวังก้างด้วยนะ มีติดมาบ้างนิดหน่อย"

"นี่ บอกแต่ไอ้เจมัน ไม่บอกกูบ้างล่ะ นี่ไม่รักไม่ห่วงกูสักนิดแล้วเหรอ?"

นพที่เมื่อครู่เอาแต่ก้มหน้าก้มตากินแซวข้ามฝั่งมาอย่างไม่ได้คิดมากอะไร หากฆาเบียร์หน้าเสียไปเล็กน้อย เขาแอบหันไปสังเกตอาการของเจนยุทธเพราะรู้ว่าเจเคยคิดมากเรื่องอดีตของเขากับนพ แต่ก็ต้องถอนหายใจออกมาเบาๆ ด้วยความโล่งอก เมื่อเห็นคนตัวเล็กของเขายังคงยิ้มน้อยๆ ออกมาได้

"ชิๆๆ ตาลุงนี่ ไม่ต้องมารักเริกอะไรเลย ของผม ผมหวงเฟ้ย เดี๋ยวฟ้องพี่วัฒน์ซะเลยนี่"

เจแกล้งทำหน้าบึ้งและมีท่าทีกระฟัดกระเฟียด แต่เขารู้ดีว่าในใจเขาไม่เหลือความรู้สึกไม่มั่นใจในความสัมพันธ์ของคนคู่นี้แล้ว นพบ่นอุบอิบและทำหน้ายุ่งเมื่อได้ยินชื่อคนรักจากปากของเจ​



“เออ ฆาบี้ครับ ผมลืมบอกไป สองขวดนี้คือน้ำจิ้มนะ สีเขียวคือน้ำจิ้มซีฟู้ด สีแดงคือน้ำจิ้มสุกี้”

เจหยิบขวดน้ำจิ้มติดโลโก้ร้านที่วางอยู่บนโต๊ะส่งให้ฆาเบียร์

“เหรอ ที่จริงฉันว่าแค่เนื้อปลาจุ่มน้ำซุปเผ็ดๆ นี่ก็อร่อยแล้วนะ แต่ลองจิ้มดูก็ได้ แบบไหนอร่อยล่ะ?”

ฆาเบียร์รับขวดมาดู

“น้ำจิ้มเขาอร่อยทั้งสองแบบนะมึง กูชอบน้ำจิ้มสุกี้ กูว่าอร่อยกว่าของเอ็มเคอีก ส่วนน้ำจิ้มซีฟู้ดกูว่ายังแซ่บน้อยกว่าร้านกั๊ตจังที่แยกหนองหอย แต่ก็ถือว่าอร่อยแหละ”

นพส่งเสียงบอกมา เขาพูดถึงหมูจุ่มร้านประจำของเขาและเจ

“อ๋อ ร้านนั้น กูจำได้ ที่มึงเคยพากูไปกินครั้งหนึ่งใช่ไหมนพ ไม่ไหวๆ น้ำจิ้มร้านนั้นเผ็ดเกินไป”

ฆาเบียร์ทำหน้าเบ้ เขาเคยไปร้านนั้นครั้งหนึ่งกับนพช่วงสามสี่สัปดาห์แรกที่มาอยู่เชียงใหม่ เจหัวเราะคิกคักเมื่อนึกถึงผลของมัน คืนนั้นฆาเบียร์ลำบากวิ่งเข้าออกห้องน้ำอยู่หลายหนจนเจเกือบต้องพาส่งโรงพยาบาล

“ผมกินทั้งสองแบบครับ แล้วไม่ต้องกลัว ฆาบี้ น้ำจิ้มซีฟู้ดเขารสไม่จัดขนาดกั๊ตจังหรอกคุณ แต่หนักกระเทียมไปบ้าง คุณลองชิมจากถ้วยผมก่อนก็ได้”

เจเลื่อนถ้วยน้ำจิ้มของเขาให้ฆาเบียร์ลองชิม คนตัวโตแตะๆ เนื้อปลาคังกับน้ำจิ้มแล้วลองชิมดู

“เออ โอเค รสนี้ฉันพอกินได้”

เขาหยิบขวดมาเทน้ำจิ้มปริมาณเล็กน้อยลงในถ้วยของเขาแล้วกินต่ออย่างเอร็ดอร่อย



“ถ้าคุณถูกใจ เราซื้อน้ำจิ้มที่นี่กลับบ้านไปเผื่อทำกินเองที่บ้านก็ได้นะคุณ”

“เขาขายน้ำจิ้มเป็นขวดด้วยเหรอ?”

เจพยักหน้า

“ครับ น้ำจิ้มซีฟู้ด 59 น้ำจิ้มสุกี้ 69 ถ้าได้แวะไปกิน ผมก็ชอบซื้อน้ำจิ้มเขาติดบ้านไว้เหมือนกัน แต่ช่วงนี้ไม่ค่อยได้ไป เลยไม่ได้ซื้อไว้”

เจเรียกพนักงานมาแล้วสั่งซื้อน้ำจิ้มทั้งสองแบบไปอย่างละขวด และเขายังได้ขอเติมน้ำจิ้มบนโต๊ะที่เกือบจะหมดแล้ว พนักงานก็ยกขวดใหม่มาให้อย่างรวดเร็ว เจหันกลับมาก็ต้องอมยิ้มเมื่อเห็นคนรักกินปลาคังในจานของตัวเองหมดไปเกือบครึ่งแล้ว แถมยังกวาดผักกาดขาวซอยที่รองใต้เนื้อปลาลงไปต้มอีกจำนวนมาก ฆาเบียร์ดูเจริญอาหารมากในวันนี้




(แถมรูปชุดปลาจุ่ม "โอชะรวมใจ" ให้ด้วยค่ะ ที่บอกว่ามีเนื้อปลา 4 ชนิดและกุ้งอีก 3 ตัวค่ะ แต่โดยส่วนตัวแล้วชอบสั่งเป็นอย่างไปเลยมากกว่า)



“มึงนี่กินเก่งขึ้นเยอะเลยนะ ฆาบี้”

นพแซวอดีตรูมเมทของเขา เขาจำได้ว่าสมัยเรียน ฆาบี้กินน้อยเหมือนกับแมวดม แถมยังเลี่ยงอาหารมันๆ อ้วนๆ และเมื่อกลับมาพบกันอีกครั้ง ยามที่เขาต้องพาฆาเบียร์ไปกินข้าวในช่วงแรกๆ ที่ฆาเบียร์มาอยู่เชียงใหม่ คนรักของเจก็ยังคงระมัดระวังเรื่องอาหารการกินเหมือนเดิม แต่ช่วงหลังมานี้ โดยเฉพาะเมื่อมีเจอยู่ด้วย ฆาเบียร์ดูจะสนุกกับการกินอาหารมากขึ้น ถึงจะยังระวังเรื่องของมันหรืออาหารพลังงานสูงอยู่ แต่เขาก็ไม่ได้กินน้อยมากเหมือนเดิมแล้ว

“โหย พี่นพ ยิ่งถ้าพี่แกเจอของโปรดนะ เบรคแตกเลยครับ”

เจฟ้องเพื่อนรุ่นพี่ของเขา

“...อย่างรถด่วนที่พี่นพให้ไปตอนก่อนปีใหม่นะ พี่แกกินทีเป็นชามเลยเหอะ”

คนตัวโตหน้าแดงเมื่อถูกนินทาระยะเผาขน

“นั่นมันช่วงก่อนที่ฉันจะรู้ว่ามันแคลอรี่สูงต่างหาก...”

ฆาเบียร์บ่นอุบอิบ ก่อนจะหันไปตีหน้ายักษ์ใส่คนเคยรัก

“ต่อไปนี้นายห้ามซื้อมาฝากทีละถุงใหญ่ๆ แล้วนะ ต่อให้เจฝากซื้อก็ห้ามซื้อให้ โอเค๊?”

“คุณครับ คุณก็กินทีล่ะหน่อยพอสิ”

เจพูดยิ้มๆ คนตัวโตพึมพำว่ามันอร่อยจนเขามักอดใจไม่ไหว หนุ่มไทยทั้งสองหัวเราะเมื่อเห็นใบหน้าเคร่งเครียดของหนุ่มละตินผู้กลัวอ้วน พวกเขาทั้งสามกินไป คุยกันไป สุดท้ายปลาจุ่มร้านนี้ที่โอชะสมชื่อทำให้ฆาเบียร์สั่งปลาคังมาเพิ่มอีกหนึ่งจานจนได้



"ช่วยฉันกินด้วยนะเจ"

"โหย ปลาแค่นี้ กลัวอะไร แคลอรี่ต่ำ แถมมีผักมาด้วยตั้งเยอะ กินแป๊บๆ เดี๋ยวกลางคืนก็หิวใหม่แล้วน่า ถ้ากลัวอ้วน คืนนี้คุณก็ออกกำลังกายเข้าไปสิ อ๊ะ…"

เจแทบกัดลิ้นตัวเองเมื่อรู้ตัวว่าพูดสิ่งที่น่าจะกำกวมออกไป ฆาเบียร์ส่งสายตากรุ้มกริ่มกลับมาให้คนรักทันที

"ถ้าเจว่างั้น เดี๋ยวฉันจะกินคนเดียวให้หมดเอง แล้วคืนนี้รับรองว่าฉันจะออกกำลังกายหนักเพื่อเบิร์นมันออกให้หมด ดีไหม?"

เจหน้าร้อนผ่าวๆ เมื่อหันไปเห็นนพกลั้นหัวเราะอยู่ที่อีกฝั่งของโต๊ะ เขายกมือซัดที่ไหล่คนรักดังผั่วะ​

"ทะลึ่งจริงคุณ พอๆ รีบๆ กินให้หมดๆ ได้แล้ว"

"อื้อหือ นี่มึงรีบจะกลับไปออกกำลังกายขนาดนั้นเลยเหรอวะ ไอ้เจ เร่งไอ้ฆาบี้มันยิกๆ เชียว"

"นั่นสิ เจไม่ต้องรีบมากก็ได้ ฉันไม่เบี้ยวเจหรอกนะ"

คนตัวโตพูดยิ้มๆ เจหน้าแดงแปร๊ดแล้วรีบก้มหน้าก้มตากินโดยไม่สนใจคนแก่ทั้งสองคนที่หัวเราะและแซวกันไปแซวกันมาต่ออย่างสนุกสนาน นพยิ้มให้อดีตรูมเมทที่แม้ว่าในตอนนี้จะเป็นผู้บริหารระดับสูงของบริษัทข้ามชาติ แต่จากที่เขาเห็นในวันนี้ ภายใต้คราบสุภาพบุรุษมาดดีแสนเคร่งขรึม ฆาเบียร์ก็ยังคงเป็นหนุ่มละตินผู้ทะลึ่งตึงตังและร่าเริงคนเดิมที่นพเคยรู้จักเมื่อเกือบยี่สิบปีที่แล้ว



"ต้องขอบใจมึงสินะ เจ ที่ทำให้ไอ้ฆาบี้มันได้รอยยิ้มกลับคืนมา"

หนุ่มร่างอวบคิดในใจ ช่วงสองสามปีที่แล้วที่ฆาเบียร์กับเขาเริ่มกลับมาคุยกันใหม่อีกครั้ง เขาสังเกตว่าเพื่อนของเขาคนนี้เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าฆาเบียร์จะแสดงท่าทางร่าเริงและกะตือรือล้นอยากคุยกับเขา แต่บางครั้งเขาสังเกตเห็นแววตาอันเศร้าหมอง และความทุกข์ที่อดีตรูมเมทของเขาแบกเอาไว้ ภายหลัง เมื่อเขาได้ยินเรื่องชีวิตของฆาเบียร์จากปากเจเขาถึงได้เข้าใจความรู้สึกของเพื่อนคนนี้ชัดเจนขึ้น และยิ่งรู้สึกดีใจที่ตัวเองได้ตัดสินใจชักพาคนทั้งสองให้มาเจอกัน ถึงตัวเขาจะไม่สามารถตอบสนองต่อความรู้สึกของฆาเบียร์ในอดีตได้ แต่เขาก็หวังจะให้เพื่อนรักของเขาคนนี้ได้พบเจอกับความสุขในชีวิตเสียที และในวันนี้ เขาก็ได้เห็นแล้วว่าฆาเบียร์มีความสุขเพียงใด

“พี่นพครับ”

นพที่กำลังครุ่นคิดอะไรเพลินๆ สะดุ้งน้อยๆ

“หือ ว่าไง?”

เขาหันไปยิ้มให้เพื่อนรักของเขาทั้งสอง

“น้ำต้มยำนี่มันอร่อยมากเลยพี่ พอเอาวุ้นเส้นคลุกไข่ลงไปลวกแล้ว น้ำมันกลายเป็นยังกะต้มยำน้ำข้นเลยอ่ะ ผมเลยว่าเดี๋ยวจะตักพวกเศษตะไคร้ ใบมะกรูดพวกนั้นออก แล้วสั่งข้าวเปล่ากับไข่อีกฟองมาทำข้าวต้มไข่”

“เออ ความคิดดี เหมือนข้าวต้มปิดท้ายชาบูปูที่เราเคยกินที่ฮอกไกโดใช่ไหม เอามาเลยๆ”



นพเรียกพนักงานมาเติมน้ำซุปเพิ่มอีกเล็กน้อยและสั่งข้าวและไข่เพิ่ม เมื่อซุปเริ่มเดือดอีกครั้ง เขาเทข้าวสวยลงไปต้มให้ข้าวเริ่มบานเล็กน้อย จากนั้นตอกไข่ ทิ้งไว้จนไข่ขาวเริ่มขุ่นน้อยๆ จากนั้นเขาจึงดับไฟและคนจนไข่กระจายทั่ว เจนั่งน้ำลายยืดมองข้าวต้มแสนอร่อยหม้อนั้น นพตักมันแบ่งใส่ถ้วยให้ทุกคน ถึงปริมาณจะไม่มากนัก แต่มันคือความสุขตบท้ายมื้อหม้อไฟนี้

“โอย อร่อยโคตรๆ น้ำซุปต้มยำนี่ข้นกำลังดี หวานผัก หวานปลา ชอบไหม ฆาบี้? เฮ้ย!”

เจร้องลั่นเมื่อเห็นคนตัวโตคีบตะไคร้ที่เขาตักมากองๆ ทิ้งไว้ในจานใส่ในถ้วยตัวเอง

“ใครเขากินตะไคร้ในต้มยำกันมั่ง มันแค่เครื่องปรุงรสปรุงกลิ่น ผมบอกคุณตะกี้แล้วนะ”

เจบ่นหนุ่มละตินที่คอยจะคีบข่าบ้าง ตะไคร้บ้างเข้าปากตลอดมื้ออาหาร

“ไม่เห็นเป็นไรเลยเจ พวกสมุนไพรพวกนี้ดีจะตาย ตอนอยู่ที่สหรัฐฯ บางทีเวลาไปกินอาหารไทย บางร้านเขาก็เสิร์ฟต้มยำแบบซุป ฉันก็เห็นเขาหั่นตะไคร้บางๆ มาแบบนี้เพื่อให้กินได้ ใครๆ เขาก็กินกันนะ”

เจกุมขมับ เขายังคิดว่ามันแข็งเกินไปที่จะกินอยู่ดี เขาจึงตัดใจใช้ไม้สุดท้าย

"งั้นก็ได้ อยากกินก็ตามใจ แต่ขอบอกไว้ก่อนนะว่าตะไคร้น่ะมีฤทธิ์ขับลม แถมคุณยังกินขิงที่มากับปลาไปซะเยอะอีก ฉะนั้นคืนนี้ถ้าเกิดคุณเกิดปุ๋งในที่นอนขึ้นมา ผมไล่คุณออกไปนอนนอกห้องแน่​"

ฆาเบียร์วางช้อนทันที

"เห้ย มันมีฤทธิ์แบบนั้นจริงๆ เหรอ เจ?"

"เออ ตะไคร้ ข่า ขิงอะไรพวกนี้มีฤทธิ์ขับลมและช่วยย่อย กินแล้วระบายลมทั้งบนทั้งล่างเลย แล้วพวกมึงก็ต้องมาคุยเรื่องนี้กันบนโต๊ะอาหารด้วยนะ"

นพตอบแทนเจนยุทธอย่างระอา เจหันไปทำหน้าเป็นให้เพื่อนรุ่นพี่ที่ทำปากขมุบขมิบด่าเขากลับมา ฆาเบียร์รีบช้อนตะไคร้ออกจากถ้วยข้าวต้มของเขาแล้วลงมือกินมันจนหมดถ้วย เขากินมันจนหมดและแทบไม่เหลือน้ำติดก้นถ้วย เจกับนพก็จัดการกินส่วนของตัวเองจนหมด พวกเขาทั้งสามนั่งคุยกันอีกพักใหญ่จึงเรียกคิดเงินซึ่งเจก็ปล่อยให้ฆาเบียร์เป็นคนเลี้ยงตามที่ตกลงกันไว้



"งั้น กูคงไม่ได้เจอมึงอีกรอบก่อนมึงกลับนะ ฆาบี้ ไงก็เดินทางดีๆ ล่ะ ไว้เจอกันรอบหน้า"

นพพูดกับอดีตรูมเมทก่อนจะกอดอำลากัน ฆาเบียร์จะอยู่เชียงใหม่อีกสองคืนก่อนจะกลับไปทำงานต่อ

"อืมม์ ไว้เจอกัน ถ้าอยากได้อะไรจากฮ่องกงหรือสหรัฐฯ ก็บอก เดี๋ยวรอบนี้กูต้องกลับสำนักงานใหญ่ประมาณสัปดาห์หนึ่ง จะเอาอะไรก็ฝากบอกไว้ที่เจแล้วกัน"

 นพรับคำ เขาหันไปคุยอะไรกับเจเป็นภาษาไทย เจทำตาโตและหัวเราะคิกคัก เขาคุยกับนพอีกครู่หนึ่งก่อนจะต้อนคนรักขึ้นรถและขับออกจากบ้านของนพเพื่อกลับไปยังที่พักของตน



------------------------------------------

ในตอนนี้ขอหาเรื่องแมนๆ ให้หนุ่มๆ พวกนี้คุยกันหน่อยนะคะ สิ่งหนึ่งที่คนเขียนรู้สึกสนุกไปกับเรื่องนี้ก็คือข้อมูลที่หาเอามาประกอบเรื่องนี่แหละค่ะ มีหลายๆ อย่างที่คนเขียนก็ได้เรียนรู้ไปผู้อ่านด้วย อย่างในตอนนี้ก็คือเรื่องภาษีรถยนต์ กับเรื่องของรถโรลส์รอยซ์ เรื่องหลังนี่พอหาอ่านเรื่องการเชือดเฉือนกันระหว่างบีเอ็มกับโฟล์คแล้วแซ่บมากค่ะ บีเอ็มนี่แสบมากจริงๆ

ว่าแล้วก็มาแจกลิงค์กันต่อดีกว่า

เรื่องราวของบริษัทโรลส์รอยซ์ใหม่ค่ะ http://bit.ly/2tMFDLO

ว่าด้วยเรื่องภาษีนำเข้าค่ะ เพจนี้มีครบทุกชนิด สำหรับรถยนต์ก็เลื่อนลงล่างๆ หน่อยค่ะ http://bit.ly/2KhJ1cC

เรื่องการซื้อขายที่จอดรถแพงระยับในฮ่องกงเพื่อเก็งกำไรค่ะ ที่เขียนไปในตอนนี้เป็นสถิติเก่าค่ะเพื่อความสมจริงว่าในเรื่องเรากำลังอยู่ในเดือนกุมภาพันธ์ ส่วนสถิติใหม่นั้นเพิ่งมีการซื้อขายกันไปในช่วงต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาที่ราคา 760,000 ดอลลาร์ฮ่องกง สำหรับที่จอดรถขนาด 16.4 ตารางเมตรค่ะ https://cnn.it/2yT3wXN


ส่วนร้าน "โอชะ ปลาจุ่ม" ร้านนี้อร่อยจริงค่ะ ของสะอาดดี รสชาติดี ปลาสด น้ำซุปติดหวานนิดนึง แต่ก็ไม่ได้ทำให้เสียรสอะไร ในตอนนี้ขอไม่สมจริงนิดนึงตรงที่ว่าน้ำหมาล่าเพิ่งจะมามีเอาเมื่อตอนเดือนเมษาฯ ที่ผ่านมาค่ะ แต่อยากแนะนำเพราะอร่อยจริง มันเข้ากับเนื้อปลามากเลยค่ะ

ลิงค์ fb ของร้าน สาขาแรกที่หน้ากองบิน 41 ค่ะ https://www.facebook.com/ocha2014/

ลิงค์ fb ของสาขาที่ไปกินมา สาขา The One Place ค่ะ https://www.facebook.com/Ochathaihotpot/






ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
อยากตามไปกินด้วยจัง

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1




---- คืนร้อน ----





"นี่ เมื่อกี้ก่อนออกมา นพเขาพูดอะไรกับเจเหรอ? เห็นหัวเราะกันใหญ่เชียว"

คนตัวโตที่กำลังเรียงเสบียงที่แม่ของเจให้มาเข้าตู้เย็นหันไปถามเจนยุทธที่นั่งรอเขาอยู่ที่เคาเตอร์กลางครัว

"อ๋อ ไม่มีอะไรหรอก คุณ พี่นพเขารายงานข่าวเรื่องไอ้สองตัวแสบน่ะ"

ฆาเบียร์ขมวดคิ้ว

"สองแสบ หมายถึงปรินซ์กับซันซันเหรอ? ทำไมเหรอ? สองคนนั้นทำไม? มีอะไรเหรอ?"

เจหัวเราะคนรักที่ทำท่าอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาเบาๆ

"ก็ตอนที่พี่นพเอาดอกกุหลาบไปขายให้ผมน่ะ ก็ให้สองคนนั้นไปช่วยด้วย..."

นพเล่าว่าก่อนพวกเขาจะเริ่มเอาดอกไม้จำนวนมากนั้นไปวางขาย ปรินซ์ได้มากระซิบกับเขาว่าเขาขอซื้อดอกกุหลาบจำนวน 100 ดอกและขอให้นพเก็บไว้ให้ เขาจะมารับมันหลังจากเอาดอกไปขายที่ร้านวอร์มอัพเสร็จแล้ว นพก็ทำตามนั้น

"แล้วไงต่อรู้ไหมคุณ? พอตกดึก ไอ้เจ้าสองตัวนั่นก็กลับมาจากวอร์มอัพ แล้วมาหาพี่นพที่รออยู่ พี่นพแกก็เหมือนพวกเราที่ดูท่าทางไอ้ปรินซ์ออกตั้งแต่ร้อยเมตรแล้วว่ามันคิดไงกับไอ้ซัน แกก็รอดูเต็มที่เลยว่าปรินซ์มันจะเอาดอกให้ซันไหม แล้วจะบอกไอ้ตี๋อ้วนซื่อบื้อมันว่าไง..."



เจหยุดพัก

"ไงต่อ เจ?"

ฆาเบียร์ซึ่งกำลังลุ้นตามรีบถามขึ้นทันที

"เอ๊ คุณนี่ ใจร้อนจริง เดี๋ยวสิครับ ขอโค้กเย็นๆ ให้ผมสักกระป๋องก่อนได้ป่าว"

ฆาเบียร์หยิบโค้กซีโร่ที่แช่ไว้ในตู้เย็นและรีบเดินมานั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเจเพื่อรอฟัง เจนยุทธรับกระป๋องโค้กที่คนรักเปิดและส่งให้มาดื่ม

“ฮ้า ชื่นใจ แล้วไงต่อนะ? อ๋อ พอมาถึง ปรินซ์มันก็ไล่ไอ้ซันไปเข้าห้องน้ำห้องท่าแล้วให้ไปซื้อเบียร์ให้ มันอ้างว่าจะอยู่เคลียร์เรื่องเงินค่าดอกกุหลาบที่ไปขายที่วอร์มอัพ แต่ที่จริงมันอยู่เพื่อนัดแนะกับพี่นพไว้ก่อน”

ปรินซ์บอกให้นพเล่นตามน้ำกับเขาไปก่อน นพหรือตาลุงเจ้าเล่ห์ตามที่เจเรียกก็ตกลงทำตามนั้น เขาจะรอดูว่าเด็กพวกนี้จะเล่นอะไรกัน



“อ้าว พี่นพ ดอกขายไม่หมดเหรอ เหลือเพียบเลย”

ซันซันที่เดินกลับมาที่โต๊ะพร้อมเบียร์สามขวดถามขึ้นเมื่อเห็นกุหลาบแดงแสนสวยที่เหลือในถัง

“อือ ดึกแล้ว คนคงไม่ซื้อแล้วล่ะ เหลือสักร้อยดอกได้มั้ง กำลังคิดอยู่ว่าจะเอาไปคืนเจมันดีหรือไม่ก็เอาทิ้งไว้แถวๆ นี้แหละ เออ เอ้า นี่ ซันซัน พันห้า ค่าเหนื่อยขายดอก"

นพยื่นเงินให้ซันซันพร้อมตอบตามที่นัดแนะกับปรินซ์ไว้ เขายื่นเงินอีกพันห้าให้กับปรินซ์

“โหย น่าเสียดาย งั้นถ้าไม่มีใครเอาแล้ว ผมขอได้ไหมพี่ ซื้อก็ได้ดอกละเท่าไหร่นะ? 15 บาท? งั้นก็พันห้าพอดี”

ปรินซ์ส่งเงินจำนวนนั้นคืนให้นพทันที นพรับเงินมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“แล้วนี่จะเอาไปแจกใครล่ะ ตั้งร้อยดอก”

นพถามมาตามบทที่ได้รับ

“นั่นสิ มึงจะเอาไปทำไมเยอะแยะ กิ๊กมึงเยอะนักเหรอ?”

ซันซันถามมาบ้างด้วยน้ำเสียงจิกกัดเล็กๆ

“ชะช้า อย่าดูถูกกันนะครับ น้องซันซัน วันนี้กูเจอสาวๆ กิ๊กเก่ากูแถวนี้ตั้งหลายคน เดี๋ยวต้องให้ใครมั่งนะ...น้องฝน น้องเชอรี่ พี่กิฟท์ เจ๊ครีม...”

เขาทำท่าครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ พร้อมทำท่านับนิ้วก่อนจะส่ายหน้าแรงๆ

“โว้ย เยอะแยะ จำไม่หมด พวกสาวๆ นี่วุ่นวายว่ะ เดี๋ยวคนนั้นได้คนนู้นไม่ได้ ยุ่งยาก ไม่ให้มันละ…แต่ไหนๆ ก็เสียตังค์ซื้อแล้ว”

ปรินซ์รวบเอากลุ่มกุหลาบแดงแสนงามที่นพคัดไว้ให้เพื่อนรักของเจเป็นพิเศษขึ้นมาแล้วยื่นไปตรงหน้าเพื่อนที่คบหากันมาตั้งแต่เด็ก

“กูให้มึงแทนแล้วกันนะ ซันซัน”




“เฮ้ย เดี๋ยวๆ ให้กันดื้อๆ แบบนี้เลยเหรอเจ? ไม่มีอารัมภบท ไม่มี I love you หรือบอกว่าชอบอะไรงี้เลยเหรอ?”

ฆาเบียร์ร้องลั่น พร้อมกับกุมขมับ เพื่อนรักคนนี้ของเจช่างทื่อเกินคาดจริงๆ

"เออ ไม่มีสักอย่าง ลูกสมุนเอกคุณคนนี้มันโคตรจะไม่ได้เรื่องเลยอ่ะ ไม่รู้สอนกันมายังไง ฮ่าๆๆ"

เจหัวเราะออกมาอีกครั้งอย่างอดไม่ได้

"เฮ้ๆ ไม่ต้องมาโทษฉันนะ ฉันสอนปรินซ์แค่เรื่องธุรกิจกับการวางตัวแค่นั้น ไอ้เรื่องนี้ฉันไม่เคยสอน"

ฆาเบียร์บ่นอุบอิบ สงสัยเขาคงต้องจับเพื่อนหนุ่มของเจคนนี้เข้าคอร์สติวเข้มเสียแล้ว

"แล้วนพทำยังไงล่ะ? ไม่อึ้งไปเลยเหรอ?"

เจหัวเราะหึๆ

“พี่นพบอกผมว่าแกงี้แทบสำลักเบียร์เลยอ่ะ ไม่นึกว่ามันจะบื้อไปได้ขนาดนั้น

“แล้วปกติปรินซ์เขาจีบใครไม่เป็นเหรอ เจ? ฉันว่าเขาน่าจะเนื้อหอมออก”

ฆาเบียร์ถามอย่างสงสัย แม้เพื่อนหน้าตาพิมพ์นิยมสไตล์หนุ่มเชื้อสายจีนของเจคนนี้ไม่ได้ถือว่าเป็นคนหล่อจัด แต่ด้วยความที่รูปร่างดี สูงใหญ่ กล้ามล่ำ อีกทั้งหน้าตาผิวพรรณที่ดูสะอาดสะอ้านตามประสาคนดูแลตัวเองดี ทำให้เขาถูกจัดเป็นหนุ่มเจ้าเสน่ห์คนหนึ่งมาตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว เจยิ้มเมื่อได้ยินคำถามของฆาเบียร์

“ม่ายยยยย ปกติมันลื่นเป็นปลาไหลเลยคุณเอ๊ย อย่างที่เคยเล่า มันสาวเยอะพอๆ กับผมอ่ะ ที่ต่างกันคือช่วงหนึ่งมันมีคนที่เคยคบหาแบบเป็นแฟนด้วย แต่มันคบทีละหลายๆ คน สับรางกันสนุก ฉะนั้นจะบอกว่าจีบสาวไม่เป็นคงไม่ได้ ผมก็ไม่เข้าใจมันเหมือนกันว่าทำไมทีกับซันซันมันถึงทำตัวไม่ถูก”



เจหัวเราะหึๆ กับซันซัน ปรินซ์ทำได้แค่พูดหยอกบ้าง แกล้งแหย่ให้โกรธบ้าง แต่ไม่กล้าแสดงความรู้สึกจริงๆ ออกไปให้เห็น ฆาเบียร์ถอนหายใจแล้วพูดเบาๆ

“ฉันว่าปรินซ์เขาคงไม่กล้ากับคนที่เป็นตัวจริงของเขามั้ง แล้วเขาก็คงกลัวว่าถ้าทำผิดพลาดไปแล้วจะเสียความสัมพันธ์ที่เคยมีต่อกันมา อะไรแบบนั้น”

เจแอบเหลือบมองคนที่เคยอยู่ในสถานการณ์คล้ายๆ กันเมื่อเกือบยี่สิบปีที่แล้ว เขายื่นมือไปเกาะกุมมือคนรักแล้วบีบน้อยๆ ฆาเบียร์ยิ้มให้เจแล้วยกมือนิ่มของเจขึ้นจูบเบาๆ

“มันเป็นอดีตไปแล้ว เจ ตอนนี้ฉันก็มีแต่นายนั่นแหละ”

“ผมยังไม่ได้พูดอะไรซักหน่อย อย่าร้อนตัวสิ คุณมาร์ติเนซ”

เจพูดยิ้มๆ ฆาเบียร์หน้าแดงซ่าน โดนคนรักแซวแบบนี้อดีตพ่อปลาไหลอย่างฆาเบียร์ก็ไปไม่เป็นเช่นกัน

“เอ้า แล้วจะฟังต่อไหม?”

“ฟังจ้ะ เล่าต่อเลย หลังจากปรินซ์ยื่นดอกให้ ซันซันทำไง?”

เจหัวเราะออกมาเบาๆ

“ว่าไอ้ปรินซ์มันซื่อบื้อแล้ว ไอ้ซันมันซื่อกว่าอีกคุณ”



“ให้กูเหรอ?…”

หนุ่มตี๋อ้วนพูดอย่างงงๆ จากนั้นก็ยิ้มร่า นพเองก็อมยิ้มและแอบสังเกตท่าทางของทั้งสองคน ปรินซ์ก็ยิ้มกว้างเมื่อเห็นท่าทางดีใจของเพื่อนวัยเด็กของเขา แต่เขาต้องหุบยิ้มทันทีที่ได้ยินประโยคถัดไป

“…มึงไม่เอาแล้วแน่นะ? ดีเลย กูจะได้เอาไปแจกสาวๆ ต่อ ขอบใจนะมึง งั้นเดี๋ยวกูมา แล้วจะเอาเบอร์สาวมาฝากด้วยนะ”

ซันซันยิ้มกริ่ม เขาตบไหล่เพื่อนรักป้าบใหญ่ก่อนที่จะลุกเดินหายไปพร้อมดอกกุหลาบหอบนั้น ทิ้งให้ปรินซ์ยืนทำตาปริบๆ

“พี่นพ ผมทำอะไรผิดไปวะ? ทำไมมันไม่เก็ตผมสักนิดเลย? ผมไม่รู้จะทำไงแล้วอ่ะ”

ปรินซ์หันมาบ่นเสียงอ่อยๆ กับนพพร้อมกับกระดกขวดเบียร์ขึ้นดื่มอึกใหญ่ด้วยความเซ็ง นพก็ได้แต่ตบไหล่เพื่อนรักของเจเบาๆ อย่างเห็นใจ เรื่องนี้เขาคงเข้าไปสอดแทรกหรือแนะนำไม่ได้ คงต้องปล่อยให้ปรินซ์หาทางเอาเอง




“คุณ นี่มันไม่ตลกนะเฟ้ย จะหัวเราะอะไรนักหนา สงสารไอ้ปรินซ์มันมั่งสิ”

เจทำหน้างอดุคนรักที่ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างหนักจนถึงขั้นต้องฟุบตัวไปหัวเราะกับเคาเตอร์ครัว แต่ในที่สุดเจนยุทธเองก็อดไม่ได้ต้องหัวเราะก๊ากออกมาเช่นกัน

“โอย เจ ไม่ไหวแล้ว ฉันหัวเราะจนปวดท้องแล้ว โอย หายใจไม่ทัน”

คนตัวโตเช็ดน้ำตาป้อยๆ เขาพยายามหายใจเข้าลึกๆ ให้ตัวเองหยุด แต่ก็อดไม่ได้ต้องหัวเราะพรืดออกมาอีก

"แล้วคุณรู้ไหม? ไอ้ซันมันกลับมาพร้อมกับไลน์สาวๆ ด้วยจริงๆ นะ ได้มาหลายคนเลย มันเอามาอวดด้วยความภูมิใจใหญ่เลยนะ ฮ่าๆๆ"

ฆาเบียร์หัวร่องอหายอีกครั้ง เจเองก็นั่งกุมท้องหัวเราะจนน้ำตาร่วงเช่นกัน

“พอแล้วๆ คุณนี่นะ ไม่เอาละ เลิกหัวเราะๆ”

เจเช็ดน้ำตา ต่อให้สงสารเพื่อนแค่ไหน เขาก็อดขำมันไม่ได้อยู่ดี

“นี่ดีนะที่ไม่เห็นเองกับตัว ถ้าผมอยู่ในเหตุการณ์ผมต้องอดไม่ได้แหง พี่นพแกสุดยอดเลยที่ไม่หลุดขำมันออกมา แล้วนี่ถ้าเจอหน้ามันสองคนผมต้องหัวเราะแน่ๆ เลย ทำไงดี”

เจพูดเสียงอ่อยๆ ฆาเบียร์พยักหน้า เขาเองก็คงต้องพยายามไม่นึกถึงเรื่องนี้ถ้าเจอหน้าเพื่อนของเจคู่นั้น



“เออ เจจ๊ะ จะว่าไป ฉันก็ไม่ได้เจอคู่นั้นนานแล้วนะ ตั้งแต่ปีใหม่เลยใช่ไหม? ก็เดือนครึ่งละนะ”

ฆาเบียร์ถามออกมา เจรีบตอบรับทันที

“นั่นสิครับ งั้นคืนพรุ่งนี้นัดพวกมันกินเหล้าเลยแล้วกัน ดีมะ? หรือจะกินมื้อเย็นก่อน แล้วค่อยตามด้วยไปผับตอนดึกดี คุณจะได้เจอพวกมันก่อนกลับไง”

“นี่ ไม่ต้องเอาฉันมาอ้างเลย ฉันรู้ว่าเจอยากเจอสองคนนั้นเพื่อจะดูท่าทางพวกเขาหรอก”

คนตัวโตยื่นแขนไปดีดหน้าผากคนรักที่นั่งอยู่ตรงข้ามเบาๆ

"แหมๆ คุณเองก็พอกันเองนั่นแหละ อยากเจอพวกมันเพราะอยากรู้อยากเห็นเหมือนกันใช่ไหม?"

เจหัวเราะ เขาลุกเดินไปโอบคอคนรักจากด้านหลังและหอมแก้มหนักๆ อย่างมันเขี้ยว ฆาเบียร์หันหน้าไปเพื่อรับจูบจากริมฝีปากร้อนผ่าวของเจนยุทธ เจครางเบาๆ ในลำคอเมื่อลิ้นของคนรักเข้าเกาะเกี่ยวกับเรียวลิ้นของเขา ฆาเบียร์ถอนปากออกและหมุนเก้าอี้บาร์ที่ตัวเองนั่งอยู่ให้หันหน้าไปหาเจ เขารั้งกายของคนรักให้เข้ามาชิดกาย ริมฝีปากของทั้งคู่ล็อคติดกันอีกครั้ง มือของพวกเขาลูบไล้ไปทั่วร่างของอีกฝ่ายเพื่อปลุกเร้าไฟในกายของกันและกัน



“ไปที่โซฟากันไหม?”

เจกระซิบถามเสียงกระเส่า แทนคำตอบ ฆาเบียร์ช้อนมือเข้าใต้สะโพกเจและยกร่างเพรียวขึ้นพาเดินไปที่โซฟาที่อยู่ไม่ห่าง

“ฆาบี้ เดี๋ยวก่อน ผมยังไม่อยากทำถึงขั้นสุดอ่ะ ยังอิ่มจากเมื่อกี้อยู่เลย”

เจนยุทธใช้มือยันอกคนรักที่ทำท่าจะปลดกระดุมกางเกงของตัวเองออก ตัวเจเองนั้นแทบจะเหลือแต่ตัวเปล่าๆ แล้ว หลังจากพวกเขามานัวเนียกอดจูบลูบไล้กันที่โซฟาได้พักหนึ่ง​ เสื้อผ้าของเขาถูกคนแก่จอมหื่นปลดเปลื้องและโยนลงไปกองบนพื้นเรียบร้อย ฆาเบียร์ที่เปลือยครึ่งท่อนแล้วชะงักมือแล้วพยักหน้าเบาๆ

“ฉันเองก็ยังตื้อๆ อยู่เหมือนกัน รอก่อนก็ได้…”

ฆาเบียร์รั้งเจนยุทธที่นอนทอดกายอยู่บนโซฟาโดยมีเขาคร่อมอยู่ให้ลุกขึ้นนั่ง

“…แต่ที่ให้ฉันรอน่ะ นายก็คงรู้ผลของมันดีใช่ไหมเจนยุทธ พรุ่งนี้นายอาจจะลุกไม่ขึ้นเลยก็ได้นะ”

คนตัวโตกระซิบแผ่วๆ ที่ข้างหูคนรัก เจนยุทธกัดปากเบาๆ

“ไม่หรอก ถ้าผมชิงเป็นฝ่ายกดคุณก่อน”

ฆาเบียร์อุทานออกมาเบาๆ เมื่อถูกเจผลักร่างลงบนโซฟาโดยมีร่างเพรียวตามขึ้นมาทาบทับ



“คิดจะขู่ผมเหรอ ฆาบี้ เร็วไปสิบปีแล้ว”

เจนยุทธพูดด้วยหน้าตาขึงขัง หากการกระทำของเขานั้นอ่อนโยนยิ่ง เจเสยผมสลวยสีน้ำตาลและจุมพิตแผ่วๆ บนหน้าผากของคนรัก ตามด้วยเปลือกตาทั้งสอง ปลายจมูกโด่งงามและโหนกแก้มสูงเด่นแบบชาวตะวันตก ก่อนจะจบด้วยสัมผัสแผ่วๆ เพียงชั่วครู่ที่ริมฝีปากของคนตัวโต ฆาเบียร์กายสั่นสะท้านกับสัมผัสอันนุ่มนวลของเจนยุทธ มืออุ่นๆ ของเจสัมผัสกายเขาอย่างแผ่วเบา ปลายนิ้วที่ลูบไล้แผงอกกว้างคลึงเคล้ากับยอดอกสีแทนที่แข็งเป็นไตทำให้ฆาเบียร์แทบทนไม่ได้

"เจนยุทธ!"

ฆาเบียร์ครางเรียกชื่อคนรักออกมาเบาๆ อย่างลืมตัว เจ้าตัวเล็กที่ง่วนอยู่กับการทิ้งรอยไว้ที่ซอกคอของเขาหยุดและดันตัวขึ้นมามองหน้าเขา

"หยุดทำไมล่ะเจ"

คนตัวโตหน้าแดงซ่านเมื่อตาเขาประสานกับดวงตาที่มีแววยั่วเย้าคู่นั้น​

"ก็ผมอยากดูหน้าคุณ..."

เจพูดยิ้มๆ เขาอยากให้ฆาเบียร์เห็นหน้าตัวเองในเวลานี้จริงๆ เขาหอมแก้มสีแทนที่ตอนนี้แดงระเรื่อฟอดใหญ่ ก่อนจะกลับมาจ้องตาคู่งามที่หรี่ปรือของร่างที่ทอดกายอยู่ใต้ร่างเขาอีกครั้ง ส่วนฆาเบียร์นั้นอดใจเต้นไม่ได้เมื่อถูกเจนยุทธคร่อมกายไว้แบบนี้ แม้มันจะเป็นเรื่องปกติที่เจจะอยู่บนตัวเขาในเวลาที่ร่วมรักกันไม่ว่าจะอยู่ในบทบาทไหน แต่การถูกคร่อมร่างไว้พร้อมกับจ้องตานิ่งแบบนี้มันกระตุ้นเร้าให้เขารู้สึกตื่นเต้นแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูก เขาไม่รู้เลยว่าเจจะทำอะไรต่อไป

"...หน้าคุณเซ็กซี่มากเลยรู้ไหม ฆาบี้"

เจไล้นิ้วไปบนเปลือกตาบนกรอบตาลึกของคนตัวโตและสัมผัสขนตายาวหนาเป็นแพ ก่อนจะไล้ฝ่ามือผ่านปลายจมูกและริมฝีปากที่คอยไล่งับนิ้วเขา เขาสัมผัสลำคอแข็งแรงและกลับขึ้นมายั่วเย้ากับริมฝีปากบางที่เผยอน้อยๆ ฆาเบียร์ไล้ลิ้นไปกับนิ้วหัวแม่มือที่แทรกเข้ามาระหว่างกลีบปากของเขา เจมองริมฝีปากแสนยั่วยวนที่งับและดูดดุนนิ้วของเขาเล่นราวกับเป็นลูกอมแสนอร่อยอย่างหลงใหล เขาดันนิ้วเข้าลึกอีกและรู้สึกถึงเรียวลิ้นที่ตวัดเกี่ยวพัน สายตาที่เชิญชวนและใบหน้าอันยั่วยวนของฆาเบียร์ทำให้เจแทบทนไม่ไหว เขาดึงนิ้วออกและแทนที่ด้วยเรียวลิ้นของเขา เจดูดดึงริมฝีปากบางอย่างหนักหน่วง ฆาเบียร์เองก็ตอบสนองด้วยความร้อนแรงไม่ยิ่งหย่อนกัน  แต่ก่อนที่อารมณ์ของทั้งสองจะเตลิดไปไกลกว่านั้น เสียงปลุกจากโทรศัพท์ของฆาเบียร์ก็ดังขึ้น เจรีบดันกายออก คนตัวโตสบถเป็นภาษาแม่ออกมาเบาๆ เขาลุกขึ้นนั่งและหยิบโทรศัพท์ของตัวขึ้นดู



"เรื่องงานเหรอครับ?"

เจนยุทธขยับกายมานั่งแอบอิงร่างคนรัก เขาจำได้ว่านี่คือเสียงเตือนจากปฏิทินงานของฆาเบียร์ คนตัวโตผงกหัวพร้อมทำท่าเซ็งๆ

"เดี๋ยวฉันมีนัดคุยกับทางสำนักงานใหญ่ วันนี้เขามีอัพเกรดระบบกับเซิร์ฟเวอร์และจะต้องมารายงานผลให้ฉันฟัง"

เจยกนาฬิกาของตัวเองขึ้นดู

"สี่ทุ่มกว่า ที่นู่นก็ยังไม่แปดโมงเลยคุณ ทำงานกันแล้วเหรอ?"

"เรามีฝ่ายไอทีประจำยี่สิบสี่ชั่วโมงจ้ะ แล้วนี่พวกเขาเริ่มอัพเกรดกันตั้งแต่ตอนหลังเที่ยงคืนที่พาโล อัลโตแล้ว ฉันนัดให้เขารายงานผลรอบแรกตอนแปดโมงที่นู่นน่ะ"

เจพยักหน้าตอบรับ



"งั้น เดี๋ยวผมจะไปหยิบคอมคุณมาให้นะ"

เจทำท่าจะขยับลุกขึ้น แต่คนตัวโตดึงมือเขาไว้ก่อน

"เดี๋ยวสิ เจ นี่ยังไม่ห้าทุ่มเลย เหลือเวลาอีกตั้งเกือบชั่วโมง นายจะปล่อยฉันไว้แบบนี้เหรอ?"

คนตัวโตโอดครวญพร้อมพยักเพยิดไปที่แก่นกายที่ยังไม่ยอมสงบ มันแข็งเป็นลำอยู่ภายใต้กางเกงยีนส์รัดๆ ของเขา

"ช่วยฉันหน่อยสิ mi amor มันปวดไปหมดแล้ว"

ฆาเบียร์ทำหน้าน่าสงสารและส่งสายตาอ้อนวอนไปให้คนรัก เจโคลงหัวเบาๆ ก่อนจะลงนั่งคุกเข่าและแกะกระดุมกางเกงยีนส์ยี่ห้อดังออกและดึงมันให้พ้นเรียวขาแข็งแรง เจบีบคลึงส่วนสงวนของคนรักที่แข็งเกร็งอยู่ภายใต้กางเกงในสีขาวสะอาด

"แฉะไปหมดเลยนะคุณ"

เจพูดยิ้มๆ เขาใช้นิ้วแตะน้ำเหนียวใสที่เยิ้มซึมผ่านผ้ายืดเนื้อบางออกมาและส่งมันเข้าปากอย่างยั่วยวน คนตัวโตขบกราม ภาพของเจที่คุกเข่าอยู่ที่หว่างขาและช้อนตาขึ้นมองเขาทำให้ไฟของเขาลุกโชนทุกครั้ง เจเองก็สังเกตเห็นไฟในตาของคนรัก เขาค่อยๆ สัมผัสท่อนลำนั้นผ่านเนื้อผ้า ฆาเบียร์ซี้ดปากเมื่อริมฝีปากน้อยๆ นั้นจูบพรมไล่ตามลำและขึ้นไปจนถึงส่วนปลายก่อนจะใช้ลิ้นตวัดไล้ส่วนที่น่าจะเป็นรูร่อง เจล้วงมือเข้าไปใต้กางเกงตัวน้อยนั้นและสัมผัสกับถุงเนื้อทั้งสองพร้อมๆ กับโจมตีแท่งลำผ่านเนื้อผ้า

"เจ ถอดมันออกเถอะ เกะกะ"

คนตัวโตโอดครวญมา เขาเอื้อมมือลงไปดึงขอบกางเกงในของตัวเองลง เจนยุทธช่วยคนตัวโตถอดมันออก แก่นกายเขื่องของฆาเบียร์ดีดผึงออกมาทันทีที่พ้นเนื้อผ้าที่รัดรึง เจหัวเราะเบาๆ เขาค่อยๆ จัดการกับส่วนสงวนของคนรักอย่างช่ำชอง ฆาเบียร์หลับตาเอนกายพิงพนักโซฟาและปล่อยใจไปกับความเสียวซ่านที่คนรักมอบให้ เขาสูดปากลั่นเมื่อรู้สึกถึงการรุกล้ำทางด้านหลัง หลังๆ มาเจมักจะใช้นิ้วช่วยกระตุ้นเร้าที่ช่องทางด้านหลังของเขาไปด้วยระหว่างที่กลืนกินแก่นกายของเขา เขาเองก็ปล่อยให้เจ้าตัวดีทำตามใจชอบไปโดยไม่ขัดขืน ตัวเขาเองก็ยอมรับได้เต็มปากแล้วว่าเขาติดใจความรู้สึกที่ได้รับจากช่องทางด้านหลังนั้นไปแล้ว

"อูย เจ นั่นแหละ แบบนั้นแหละ"

ฆาเบียร์ครางลั่น เขาอดไม่ได้ต้องขยุ้มกลุ่มผมดำขลับนั้นและดันหัวของเจลง หากเขาปล่อยมือทันทีที่เจตบเบาๆ ที่สะโพก

"ใจเย็นๆ สิครับ คนดี ปล่อยให้เป็นหน้าที่ผมเองนะ"

เจยิ้มหวานให้คนรักใจร้อนของเขาก่อนจะปรนนิบัติคนดีของเขาต่อ ฆาเบียร์สูดปากเมื่อลิ้นของเจเลียไล้ที่ส่วนปลายอันบอบบาง แรงดูดหนักๆ มือเรียวที่คอยรูดแท่งลำส่วนโคน นิ้วชุ่มเจลของเจที่สัมผัสย้ำๆ ที่จุดเสียวในช่องทางด้านหลังทำให้ฆาเบียร์ต้องคำรามหนักๆ และปลดปล่อยออกมาในเวลาไม่นาน



"เอาทิชชู่อีกไหม เจ?"

ฆาเบียร์ส่งทิชชู่ให้คนรักเช็ดหน้าเช็ดตาเพิ่ม เจถอนปากออกตอนก่อนที่เขาจะถึงจุดและปล่อยให้น้ำขุ่นข้นของเขาฉีดพ่นเข้าที่ใบหน้าและแผงอก

"นายนี่เล่นพิเรนทร์อะไรกัน ฮึ? เลอะเทอะไปหมดแล้ว"

คนตัวโตบ่นพลางใช้ทิชชู่ช่วยซับผลผลิตของตัวเองบนตัวเจนยุทธ

"แหม บอกว่าผมเล่นพิเรนทร์ คุณต้องเห็นหน้าตัวเองซะก่อน เมื่อกี้คุณมองผมเหมือนจะกินผมลงไปทั้งตัวอย่างนั้น"

เจกระเซ้าคนรัก ฆาเบียร์หน้าร้อนผ่าว เขารู้ตัวว่าทำท่าแบบนั้นออกไปจริง ภาพของเจนยุทธที่มีน้ำรักของเขาเปรอะตามใบหน้าไปจนถึงแผงอกช่างดูเย้ายวนและดูลามกเหมือนหลุดออกมาจากหนังผู้ใหญ่

"ผมรู้นะฆาบี้ ว่าบางทีคุณก็ชอบอะไรที่มัน kinky หน่อยๆ "

เจใช้ศัพท์ที่มีความหมายครอบคลุมตั้งแต่คำว่าพฤติกรรมทางเพศที่ผิดแปลกกว่าปกติไปจนถึงคำว่าเซ็กส์วิตถาร ฆาเบียร์หน้าแดงน้อยๆ เขาไม่ได้ชอบเซ็กส์วิตถารขนาด BDSM เต็มขั้นหรือมีความหลงใหลแบบ fetish ในบางสิ่ง แต่บางทีเขาก็เผลอใจเพลิดเพลินไปกับการถูกเจมัด ปิดตา หรือใช้ความรุนแรงเล็กๆ อย่างใช้อะไรฟาดเบาๆ หรือกระทั่งการเล่นสวมบทบาทต่างๆ ในอดีตเขาเคยผ่านคู่นอนที่ทำแบบนี้มาบ้าง แต่เจเป็นคนที่ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นไปกับการเล่นทะลึ่งๆ แบบนี้มากที่สุด



"นายนี่มันรู้มากจริงๆ นะ เจนยุทธ"

ฆาเบียร์ดึงคนรักขึ้นมานั่งตักและหอมแก้มหนักๆ เขาจูบแผ่วๆ ที่ซอกคอของเจ และเริ่มลวนลามคนตัวเล็กของเขาอีกครั้ง

"คุณ อย่าซนสิ เมื่อกี้ยังไม่พออีกเหรอ?"

เจปัดป้องมือซุกซนของคนรักที่ทำท่าจะล้วงลงไปในกางเกงในของเขา

"ฉันเสร็จคนเดียวก็ไม่แฟร์เท่าไหร่นะ ให้ฉันช่วยเจด้วยนะ"

เสียงทุ้มแหบที่กระซิบข้างหูทำให้เจหยุดปัดป้องและปล่อยใจไปกับมือใหญ่นั้น ฆาเบียร์สัมผัสแก่นกายของเจอย่างนุ่มนวล เขาต้องข่มใจไม่ให้เตลิดไปกับลมหายใจหอบกระเส่าและเสียงครางที่แสนเย้ายวนของเจนยุทธ และจัดการกระตุ้นเร้าจนเจถึงสวรรค์คามือเขา ฆาเบียร์จูบปากน้อยๆ ที่แดงก่ำเพราะเลือดฝาด เจจูบตอบ พวกเขาอ้อยอิ่งพลอดรักกันต่ออีกพักหนึ่งก่อนที่เจจะไล่ฆาเบียร์ไปอาบน้ำอาบท่าและแต่งตัวให้เรียบร้อย ส่วนตัวเขาเดินเข้าไปหยิบคอมพิวเตอร์โน้ตบุ้คของฆาเบียร์และของตัวเองออกมาจากในห้องนอน



"คุณทำงานของคุณไป ผมก็จะนั่งเขียนงานส่งเมลิน่าด้วย โอเค๊? แต่เดี๋ยวผมจะต่อ wifi เอา คุณเสียบสายแลนตรงนั้นแล้วกัน”

เจชี้ให้ฆาเบียร์นั่งทำงานที่เคาเตอร์ครัวตรงที่เขาให้ช่างเดินสายแลน ปลั๊กไฟและสายโทรศัพท์มาซ่อนไว้ที่ตู้ใต้หน้าโต๊ะ ฆาเบียร์รับคำ เขาชอบไอเดียการออกแบบเคาเตอร์ครัวของเจจริงๆ เคาเตอร์ของเจเป็นแบบลอยตัวกลางห้องหรือที่เรียกว่า Island มันเป็นเหมือนโต๊ะขนาดใหญ่ที่กรุหน้าโต๊ะด้วยหินแกรนิต เจสามารถใช้มันเป็นที่จัดเตรียมอาหาร หรือใช้เป็นโต๊ะทำงานและโต๊ะกินข้าวเลยก็ได้ ใต้เคาเตอร์ฝั่งที่ติดครัวคือตู้และลิ้นชักที่เจใช้เก็บจานชามช้อนส้อม รวมถึงพวกอาหารแห้งต่างๆ หากที่ปลายสุดด้านหนึ่งของเคาเตอร์นั้นเจเว้นที่ไว้เพื่อเป็นตู้สำหรับสายไฟ สายโทรศัพท์และสายแลน เมื่อมาพักอยู่กับเจช่วงแรกๆ เขาเคยถามเจนยุทธเรื่องการจัดพื้นที่เคาเตอร์นี้



(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)


ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- คืนร้อน (ต่อ) ----




“ตรงนี้เป็นจุดเดียวที่มีผิวหน้าเป็นไม้ เพราะจะได้เปิดซ่อมระบบได้ง่ายครับ”

เจตอบฆาเบียร์เมื่อถูกถามว่าทำไมถึงปูส่วนนี้ของโต๊ะด้วยไม้ มันดูเหมือนเอาตู้ไม้มาวางต่อไว้กับเคาเตอร์ที่ปูด้วยหิน

“เวลาต้องซ่อม เราก็เปิดออกได้ทั้งด้านข้าง แล้วก็ด้านบนเลยไง”

เจเปิดบานประตูด้านข้างตู้และเปิดฝาไม้ที่ปิดด้านบนของเคาเตอร์ออก เผยให้เห็นสายไฟที่เดินร้อยท่ออย่างเป็นระเบียบเข้ามาที่เต้าเสียบที่ติดอยู่ข้างเคาเตอร์

“ผมกะใช้ตรงนี้เป็น work station ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ก็เลยจัดแบบนี้ ปลั๊กตรงนี้ก็เตรียมไว้เสียบปลั๊กคอมแล้วก็เครื่องใช้ไฟฟ้าเล็กๆ อย่างพวกเบลนเดอร์ หม้อหุงข้าวหรือเครื่องทำกาแฟ"

เจชี้ไปที่เครื่องทำกาแฟเอสเปรสโซ่ขนาดไม่ใหญ่​นักที่วางอยู่บนเคาเตอร์หินถัดจากส่วนที่เป็นไม้

"ถ้าคุณจะกินกาแฟก็เชิญเลยนะครับ เม็ดกาแฟกับที่บดอยู่ในตู้ใต้เคาเตอร์"




​"espresso ครับ ฆาบี้"

เจยื่นกาแฟเอสเปรสโซ่ที่เขาเพิ่งทำใหม่ๆ ให้คนรักที่นั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์โน้ตบุ้ค ฆาเบียร์ซึ่งสวมแว่นสายตาเตรียมทำงานรับกาแฟแก้วน้อยนั้นมา คืนนี้เขาอาจต้องใช้เวลาอยู่หน้าคอมพักใหญ่ เจนยุทธลงนั่งหน้าเคาเตอร์ฝั่งตรงข้ามกับคนรัก เขาวางแก้วกาแฟลาเต้ของตัวเองไว้และเปิดคอมของตนบ้าง

"คุณครับ ถ้าผมใช้เน็ตไปด้วยนี่มันจะไปกวนการทำงานคุณหรือเปล่า?"

เจถามอย่างไม่แน่ใจ เขาไม่รู้ว่าฆาเบียร์ต้องรันเทสต์อะไรที่ต้องใช้ประสิทธิภาพของอินเตอร์เน็ตอย่างเต็มที่หรือไม่

"ไม่เป็นไรจ้ะ ไม่ได้มีอะไรซับซ้อน ตามสบายเลย แค่อย่าพึ่งโหลดอะไรหนักๆ เป็นใช้ได้ แต่ที่จริงเน็ตที่เราใช้อยู่ตอนนี้ก็ไม่น่ามีปัญหานะ"

เมื่อรู้ว่าตัวเองต้องไปๆ มาๆ เชียงใหม่และอาจต้องหอบงานมาทำด้วย ฆาเบียร์ได้ทำการอัพเกรดอินเตอร์เน็ตที่ห้องของเจนยุทธเพื่อให้เอื้อต่อการทำงานของเขา เขาช่วยเจหาแพคเกจอินเตอร์เน็ตรวมทั้งอุปกรณ์ที่ดีที่สุดเท่าที่จะหาได้ โดยเขาขอเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ทั้งหมด ถึงเจจะอิดออดในตอนแรก แต่สุดท้ายก็ปล่อยให้คนตัวโตทำไปตามใจ



"คืนนี้ฉันอาจจะใช้เวลามากหน่อย ถ้าเจง่วง ก็ไปนอนก่อนเลยก็ได้นะ"

"ครับ คุณก็ทำงานไปเถอะนะ ผมจะจัดการพวกรูปหน่อย พี่นพเอารูปที่เคยๆ ไปกินนั่นนี่กับที่ไปเที่ยวกันให้ผมมา ผมอาจจะเอาบางส่วนมาเขียนลงบล็อกด้วย"

เจชู thumb drive ที่นพให้มาให้ฆาเบียร์ดู คนตัวโตทำท่าสนใจ

"ไม่ต้องเลย คุณทำงานไปก่อน พรุ่งนี้กลางวันผมค่อยเปิดให้คุณดูแล้วกันนะ"

เจโบกมือไล่คนรักให้ไปจัดการทำงานของตน ส่วนเขาหยิบหูฟังขึ้นมาครอบหูและเปิดเพลงจากเพลย์ลิสต์ จากนั้นเปิดไฟล์ภาพในเครื่องดู ฆาเบียร์แอบเหลือบมองคนรักด้วยความอิ่มใจ เจได้แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจในการทำงานที่ได้รับมอบหมายมาโดยตลอด แม้จะมีงานแปลชุก เขาก็หาเวลาเขียนบทความหรือทำรีวิวส่งให้ทางฮ่องกงอย่างน้อยสัปดาห์ละหนึ่งหรือสองชิ้น หรือถ้าไม่มีเวลาทำจริงๆ เขาก็จะโพสต์ไลฟ์ หรือลงรูปพร้อมแค็ปชั่นสั้นๆ เป็นระยะๆ เพื่อให้เพจของเขามีความเคลื่อนไหว และเจทำทุกชิ้นด้วยความตั้งใจ แต่สิ่งเดียวที่ฆาเบียร์ไม่พึงใจนักคือ เจยืนยันรับค่าจ้างเพียงแค่ห้าหลักต้นๆ เท่านั้น เขาเคยเจรจาขอขึ้นเงินเดือนให้ แต่พ่อจอมดื้อของเขาก็ไม่เคยยอม

"เฆเฟ่คะ ทางนั้นพร้อมแล้วค่ะ"

เมลิน่าซึ่งอยู่ในสายกับเขาส่งเสียงบอกมา ฆาเบียร์หลุดจากห้วงคำนึงและพยักหน้าให้เลขาฯ สาวซึ่งรอเขาอยู่ในจอคอมก่อนจะเริ่มการประชุมทางไกลกับทางสำนักงานใหญ่



"เจ นี่จะไม่ตื่นจริงๆ เหรอ?"

ฆาเบียร์เขย่าร่างของเจนยุทธที่นอนอยู่บนเตียงเบาๆ

"อือ ไม่เอา จะนอน"

เจงึมงำออกมาด้วยความรำคาญ เขาควานมือไปหาหมอนที่อยู่ใกล้ๆ แล้วดึงมาปิดหัวไว้ คนตัวโตโคลงหัวน้อยๆ และอดขันในท่าทางขี้เซาของคนรักไม่ได้ หลังจากใช้เวลาเกือบสามชั่วโมงกับทางสำนักงานใหญ่ เขาก็พบว่าเจนยุทธได้ฟุบหลับไปกับเคาเตอร์ครัวเรียบร้อย เจทำงานของเขาเสร็จเมื่อชั่วโมงที่แล้ว เขาเข้าไปอาบน้ำอาบท่าเรียบร้อย แต่แทนที่จะเข้านอนเลย เจกลับมานั่งรอคนรักที่เคาเตอร์ครัวและฟุบหลับไปทั้งอย่างนั้น ฆาเบียร์พยายามปลุกคนตัวเล็กให้ไปนอน แต่เจก็ดูไม่มีทีท่าจะลุก เขาจึงต้องอุ้มร่างพ่อคนขี้เซาเข้าห้องและพาขึ้นไปนอนบนเตียง แต่ฆาเบียร์เองก็ยังไม่อยากจะปล่อยเจให้หลับสบายๆ ไปทั้งอย่างนั้น

"เจ นี่ถ้าไม่ตื่นฉันจะลักหลับแล้วนะ"

คนตัวโตขู่เบาๆ ที่ข้างหูของคนรัก

"ถ้าทำได้ก็ทำสิ"

ฆาเบียร์ทำตาโต เสียงที่ลอดออกจากริมฝีปากของคนที่เมื่อครู่กรนออกมาเบาๆ นั้นไม่มีแววง่วงงุนเลยแม้แต่น้อย

"นี่นายหลอกฉันให้อุ้มนายมาเหรอ? ร้ายกาจมากนะเจนยุทธ ตัวนายใช่จะเบาๆ นะ"

คนตัวโตร้องลั่นด้วยความเจ็บใจเมื่อรู้ตัวว่าเสียรู้ให้เจ้าตัวดีเข้าอีกแล้ว เจหัวเราะคิกคักทั้งที่ยังหลับตา แต่ก็ต้องอุทานออกมาเมื่อฆาเบียร์โถมร่างทับมาบนตัวเขาและกอดปล้ำจูบเขาทั้งตัว

"ไม่เอาๆ ผมจะนอนแล้วจริงๆ ฮ่าๆ คุณ อย่าจั๊กกะจี้สิ"

เจหัวเราะลั่น

"โอ๊ย พอแล้วๆ ตื่นก็ได้"

เจลุกขึ้นทำหน้ายุ่ง เขาบิดขี้เกียจและหาวออกมาดังๆ

“คุณยังไม่ง่วงอีกเหรอฆาบี้ ตีสองแล้วนะ”

คนตัวเล็กพูดเสียงอ่อยๆ คนตัวโตส่ายหัว เขาเอนกายลงนอนหนุนตักคนรักและกอดเอวไว้ เจก้มหน้าลงจุ๊บแก้มคนรักเบาๆ



“อ้อนแบบนี้ จะเอาอะไรล่ะ?”

“ฉันจะทวงสัญญาเมื่อตอนหัวค่ำน่ะ จำได้ไหม?”

ฆาเบียร์จูบหน้าท้องแบนราบของเจแผ่วๆ

“จำได้ แต่ผมง่วงอ่ะ ฆาบี้ พรุ่งนี้เช้าไม่ได้เหรอ?”

คนตัวโตทำหน้าเซ็งน้อยๆ

“พรุ่งนี้เช้าฉันต้องประชุมอีกรอบตอนเก้าโมงน่ะสิ ตอนนี้ไม่ได้เหรอ เจนยุทธ?”

เจทำหน้าเจื่อนจ๋อย ฆาเบียร์ขมวดคิ้ว เขาลุกขึ้นนั่งและโอบไหล่คนรักไว้

“มีอะไรเหรอจ๊ะ Mi vida? นายไม่ใช่แค่ง่วงใช่ไหม? “

เจอึกอักก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ

“ผมยังเจ็บจากเมื่อคืนอยู่เลยอ่ะ”

ฆาเบียร์อุทานออกมาเบาๆ เมื่อคืนพวกเขารุนแรงกันไปบ้างจริงๆ

“โธ่ เจ แล้วทำไมนายไม่บอกฉัน นี่เป็นอะไรมากไหม? มีไข้อะไรหรือเปล่า?”

คนตัวโตเอามืออังหน้าผากเจนยุทธ เจส่ายหน้าเบาๆ

“งั้นไม่เป็นไรหรอก เจ เดี๋ยวเรานอนกันเลยก็ได้ ไม่ต้องทำแล้ว”

“แต่ผมอยากให้ความสุขคุณอ่ะ ฆาบี้ คุณอยู่อีกแค่สองคืนเองนะ แล้วกว่าคุณจะมาอีกทีก็อีกตั้งเดือนกว่า”

เจพูดเสียงแผ่วเบา ฆาเบียร์ล้มกายลงนอนแล้วดึงร่างเจนยุทธให้นอนทาบทับร่างเขา เขาโอบรัดร่างเพรียวนั้นและจูบแผ่วๆ ที่ริมฝีปากของคนรัก

“เจจ๊ะ นายให้ความสุขฉันแบบอื่นก็ได้”

ฆาเบียร์ยิ้มละไม เขายกขากระหวัดโอบรอบสะโพกของคนรักและไล้บั้นท้ายเปล่าเปลือยกับกลางกายเจเบาๆ

“แต่ฆาบี้ คุณอยากทำเองไม่ใช่เหรอ?”

เจพูดเสียงอ่อยๆ หากคนตัวโตส่ายหัว

“ที่รักของฉัน ฉันเคยบอกนายแล้วว่าการได้ร่วมรักกับนาย ไม่ว่าจะแบบไหนก็ตามก็ทำให้ฉันมีความสุขได้ทั้งนั้น เข้าใจไหม?”

เจยิ้มกว้าง เขาจูบหนักๆ บนริมฝีปากบางที่ยิ้มพราย

“เมียผมน่ารักจริงๆ “

เจจูบซ้ำด้วยจุมพิตที่ร้อนแรงขึ้น ฆาเบียร์จูบตอบ เจยกมือขึ้นโอบรอบคอคนรัก มือของเขาเปะป่ายลูบคลำเนื้อตัวของคนตัวโต ฆาเบียร์เองก็ปลดเปลื้องเสื้อยืดและชั้นในที่เจใส่ติดตัวออกจนเหลือตัวเปล่าๆ



“อ้ายฮักเจนะ”

ฆาเบียร์กระซิบแผ่วๆ เจกระซิบตอบด้วยคำรักในภาษาแม่ของเมียตัวโตของเขา

“เจ ทำอะไรน่ะ?”

ฆาบี้ร้องอย่างตกใจเมื่อเจดันกายเขาให้พลิกนอนหงายและตัวเองขึ้นมานั่งคร่อมสะโพกเขาไว้แทน

“คุณทำตัวน่ารักกับผมแบบนี้ แล้วผมจะใจร้ายปล่อยให้คุณผิดหวังได้ยังไง”

เจพูดยิ้มๆ เขาใช้มือปลุกเร้าแก่นกายของคนรัก ก่อนจะหยิบถุงยางมาบรรจงใส่ให้

“ไหวเหรอ?”

คนตัวโตถามอย่างเป็นห่วง

“ไหวน่า ผมก็สำออยไปงั้นแหละ คุณก็นุ่มนวลกับผมหน่อยนะครับ คนดีของผม”

เจชะโลมเจลลงบนแก่นกายคนรัก แต่ก่อนที่จะจัดการกับช่องทางของตน ฆาเบียร์พลิกคนรักของเขาให้ลงนอนและขยับกายลงนั่งกลางหว่างขาของเจนยุทธ

“เดี๋ยวฉันจัดการให้เองจ้ะ”

เจสะดุ้งน้อยๆ เมื่อรู้สึกถึงปลายนิ้วที่นวดเฟ้นปากช่องทางแคบเล็กของเขา

"อ๊ะ คุณครับ อย่า ไม่ต้องก็ได้"

เจอุทานเมื่อรู้สึกถึงเรียวลิ้นที่ชำแรกเข้ามาในกาย หากฆาเบียร์ไม่หยุด เขาไม่รังเกียจที่จะทำแบบนี้ให้คนรักของเขาเลยแม้แต่น้อย เจซี้ดปากออกมาหนักๆ เมื่อฆาเบียร์สอดนิ้วที่ชุ่มเจลเพิ่มเข้ามา คนตัวโตงอนิ้วน้อยๆ และขยับควานหาจุดหฤหรรษ์ของเจนยุทธ เจครางกระเส่าพร้อมรูดไล้แก่นกายของตนตามจังหวะของฆาเบียร์



"คุณครับ เข้ามาเถอะ นะ"

เจอ้อนวอนคนรักที่ตั้งหน้าตั้งตาปรนนิบัติเขาด้วยมือและปากจนเขาหัวหมุนไปหมดแล้ว

"พร้อมแล้วแน่นะ เจนยุทธ?"

คนตัวโตหยุดมือและถามอย่างไม่แน่ใจ เขาไม่อยากให้เจต้องฝืนตัวเองจนเกินไป เจพยักหน้า ฆาเบียร์ดึงร่างเพรียวของเจให้มานั่งคร่อมตักของเขา

"กอดคอฉันไว้ก็ได้นะเจ"

ฆาเบียร์ขยับนั่งคุกเข่า เจนยุทธกอดคอคนรักของเขาไว้ ฆาเบียร์ใช้แขนอันแข็งแรงช้อนใต้ขาของเจและยกสะโพกบางแต่แข็งแรงของเจขึ้น เขาสูดปากเบาๆ เมื่อแก่นกายของเขาชำแรกเข้าไปในช่องทางสีชมพูของเจนยุทธ แม้จะผ่านการโรมรันกันมาอย่างหนักเมื่อคืนที่ผ่านมา ช่องทางของเจยังคงรัดรึงและสร้างความเสียวซ่านอย่างสุดแสนให้กับเขา เจนยุทธเองก็ซี้ดปากออกมา เขาซบหน้าลงกับไหล่คนรักเพื่อพรางน้ำตาหยดน้อยๆ ที่หยดเผาะลงมา แม้เขาจะบอกฆาเบียร์ว่าไม่เป็นไร หากที่จริงแล้วเขาก็ยังรู้สึกเจ็บแปลบน้อยๆ จากความไม่บันยะบันยังของพ่อม้าเทศของเขาคนนี้ แต่ในคืนนี้ ฆาเบียร์ค่อยๆ ร่วมรักกับเจนยุทธอย่างเนิบนาบและนุ่มนวล เจแผดเสียงออกมาด้วยความสุขสมไม่นานหลังจากที่คนตัวโตเริ่มขยับ



"ดีไหมจ๊ะ ที่รัก?"

ฆาเบียร์หอบเบาๆ เขากระซิบถามคนตัวเล็กที่ฟุบหน้าอยู่กับบ่าของเขา เจพยักหน้าเบาๆ เหงื่อของเขาโทรมกายเช่นเดียวกับฆาเบียร์ คนตัวโตถึงจุดไปสองครั้งแล้ว ส่วนตัวเจเองนั้นแทบไม่ได้นับ ฆาเบียร์ปล่อยร่างเพรียวที่เขาโอบอุ้มและดันหลังชิดผนังห้องน้ำไว้ลง ทันทีที่เท้าสัมผัสพื้น เจขาอ่อนแทบซวนซบลงกับพื้นแต่ฆาเบียร์รั้งไว้ได้ทัน คนตัวโตอดถอนหายใจไม่ได้ เขาคงฝืนคนรักไปอีกครั้งแล้ว ถึงคราวนี้เขาจะร่วมรักกับเจอย่างนุ่มนวล แต่เขาอดไม่ได้ที่จะยื้อความสุขนี้ให้ยืดยาวออกไปจนเจถึงจุดครั้งแล้วครั้งเล่าจนแทบสลบคาอ้อมแขนของเขา ตัวเขาเองก็ไม่สามารถผละจากร่างเพรียวนี้ไปได้ แม้จะถึงจุดสุดยอดไปแล้วในครั้งแรก แต่ร่างเปลือยที่สั่นสะท้านด้วยความเสียวกระสันในอ้อมอกเขาทำให้เขาข่มความต้องการของตัวเองไม่ได้จนต้องร้องขอคนรักอีกครั้ง เจเองก็ตอบสนองเขาด้วยความเต็มใจ

"ทำไมนะ เจนยุทธ ทำไมนายถึงทำให้ฉันไม่รู้จักพอเสียที"

ฆาเบียร์ถอนหายใจ เขารู้ตัวว่าตัวเองมีความต้องการทางเพศล้นเหลือ แต่เขาไม่เคยเจอใครที่ทำให้เขาข่มความปรารถนาของตัวเองไม่ได้เหมือนเจ ถึงเจจะไม่ใช่คู่นอนที่ช่ำชองในเกมรักของชายด้วยกันที่สุดหรือมีลีลาแพรวพรายที่สุด แต่ความรู้สึกที่เขามีให้กับเจ ทำให้เขาต้องการที่จะกกกอดและให้ความสุขคนรักของเขาอย่างไม่รู้จักเหนื่อยหน่าย



"เจจ๊ะ เดี๋ยวล้างตัวหน่อยนะ"

“ครับๆ ได้ครับ ฆาบี้

เจพูดทั้งที่ยังปิดตาอยู่ ฆาเบียร์เปิดน้ำอุ่นจากแผงเรนชาวเวอร์บนหัวให้สาดรดตัวพวกเขา เขาประคองร่างเพรียวที่ดูจะเริ่มรู้ตัวดีขึ้นหลังจากได้รับความสดชื่นจากสายน้ำ เจเงยหน้าขึ้นรับสายน้ำอุ่นที่สาดต้องกายก่อนจะหันมายิ้มหวานให้เขา ฆาเบียร์มองคนตรงหน้าด้วยความลุ่มหลง เขาอดไม่ได้ที่ต้องจูบเบาๆ ที่แก้มใสซึ่งตอนนี้แดงระเรื่อ เจเขย่งกายน้อยๆ ขึ้นจูบริมฝีปากของเขาตอบ ฆาเบียร์ยิ้มน้อยๆ ตัวเจนยุทธเองนั้นก็คงไม่ต่างอะไรกับเขา เจเองก็หยุดไม่อยู่ทุกครั้งยามที่พวกเขาร่วมรักกันไม่ว่าในบทบาทไหน พวกเขาทั้งคู่เป็นเหมือนไฟกับน้ำมัน เมื่อสัมผัสกันแล้วก็ยากที่จะหักห้ามใจกันได้ ยิ่งรู้ว่าอีกฝ่ายนั้นทันกันในด้านชั้นเชิงในเกมรัก มันยิ่งทำให้พวกเขาเพลิดเพลินไปกับความสุขที่อีกฝ่ายป้อนให้ เมื่อบวกกับความรู้สึกลึกซึ้งที่พวกเขามีให้กัน มันทำให้พวกเขายิ่งต้องการกันและกันมากขึ้นเรื่อยๆ แทนที่จะชินชาและเริ่มเบื่อหน่ายเหมือนกับที่เขาเคยรู้สึกกับคนอื่นๆ

"เดี๋ยวฉันจัดการตรงนี้ให้นะ"

ฆาเบียร์โอบร่างของคนรักไว้และขยับให้เจอ้าขาน้อยๆ เขาชำแรกนิ้วเข้าไปในช่องทางที่อ่อนนุ่มและลื่นไปด้วยผลิตผลของเขา เขาพยายามล้างมันออกให้มากที่สุดเพื่อที่เจนยุทธจะได้ไม่ต้องลำบากภายหลัง เจหลับตาพริ้มและเอนกายอิงแอบคนรัก



"เอ๊ะ คุณ อย่าซนสิครับ"

เจนยุทธพูดด้วยเสียงแหบพร่าเมื่อรู้สึกถึงมือไม้ที่เริ่มซุกซนของฆาเบียร์

"จะต่ออีกเหรอ? ผมไม่ไหวแล้วจริงๆ นะ ฆาบี้ ตาจะปิดแล้ว"

ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ เมื่อได้ยินเสียงสั่นสะท้านของคนรัก เขาแค่เย้าแหย่มันเล่นแค่นั้น คนตัวโตจัดการชำระล้างร่างกายให้เจนยุทธจนสะอาดเอี่ยม จากนั้นประคองร่างเพรียวออกมาเช็ดเนื้อตัวและเป่าผมให้จนแห้ง เขาโอบอุ้มเจขึ้นนอนบนเตียงอย่างทะนุถนอมและดึงผ้าห่มมาห่มให้


"Buenas noches y dulces sueños, mi rey."​

'ราตรีสวัสดิ์และฝันดีนะ ราชาของฉัน'


ฆาเบียร์ก้มลงจูบหน้าผากเนียนของเจเบาๆ คนตัวเล็กที่หลับตาลงแล้วยิ้มบางๆ

"Y tu tambien, mi vida."

'เช่นกันครับ ที่รัก'


เจตอบกลับไปด้วยภาษาเดียวกัน เขากอดแขนแข็งแรงของฆาเบียร์และหลับไปแทบจะทันที คนตัวโตดูให้แน่ใจว่าคนรักของเขาหลับสนิทแล้วจึงค่อยๆ ดึงแขนตนออก เขาดูนาฬิกาแล้วถอนหายใจเบาๆ เวลาตอนนี้ล่วงเลยไปกว่าตีสี่แล้ว เขาค่อยๆ ย่องออกไปยังห้องครัวและเปิดประตูตู้เย็นดูของข้างใน เขาเปิดแท็บเล็ตดูและเลือกๆ ของหลายๆ อย่างมาวางไว้ใกล้ๆ กันก่อนที่จะปิดตู้เย็นและกลับเข้าห้องไป เขาค่อยๆ ขึ้นเตียงเพื่อไม่ให้เจนยุทธตื่น เขาตระกองกอดร่างเพรียวที่กรนน้อยๆ อย่างสบายใจและหลับไปอย่างรวดเร็ว



เจลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกเมื่อยขบไปทั้งตัว เขานอนนิ่งๆ อยู่พักใหญ่ก่อนจะหันไปควานหาร่างอุ่นๆ ที่ควรนอนอยู่เคียงข้าง เขาลุกขึ้นนั่งและมองไปรอบๆ เมื่อหาไม่เจอ เจหยิบนาฬิกามาดู มันเป็นเวลาแปดโมงกว่าแล้ว

“อ๋อ สงสัยจะไปเตรียมประชุม”

เจพูดกับตัวเองเบาๆ เขาค่อยๆ ขยับกายลงจากเตียง เจขมวดคิ้วเมื่อรู้สึกเจ็บแปลบน้อยๆ ที่ช่องทางด้านหลัง เขายังรู้สึกเหมือนยังมีส่วนหนึ่งของร่างกายคนรักคาอยู่ในนั้น เซ็กส์โดยมีฆาเบียร์เป็นผู้นำนั้นเยี่ยมยอดเหลือเกิน ความรู้สึกที่ได้นั้นอาจจะสุดยอดกว่าตอนที่เขาเป็นฝ่ายกระทำด้วยซ้ำ แต่มันก็แลกมากับความทรมานเล็กๆ หลังจากนั้น ในตอนนี้เจเองก็ยังชั่งใจอยู่ว่าควรจะปล่อยให้เมียตัวโตของเขาเปลี่ยนบทบาทบ่อยขึ้นดีหรือไม่ เพื่อให้ตัวเองได้ชินกับขนาดและความต้องการอันล้นเหลือของคนรัก

“ไม่ไหวว่ะ โดนแบบนี้บ่อยๆ ลำบากแน่ ไอ้เจเอ๊ย จะเผลอตัวเผลอใจบ่อยๆ แบบนี้ไม่ได้นะ”

เจนยุทธส่ายหัวแล้วบ่นตัวเองเบาๆ เขาพลันลุกขึ้นใส่เสื้อยืดและกางเกงขาสั้นและออกไปตามหาพ่อตัวดีของเขา เมื่อเปิดประตูห้องนอนออก เจก็ได้ยินเสียงเพลงจังหวะเร้าใจดังมาจากครัว เจอดยิ้มไม่ได้เมื่อเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้า คนตัวโตของเขายืนอยู่หน้าเตาและง่วนอยู่กับการผัดอะไรสักอย่างในกะทะ หากฆาเบียร์ไม่ทำอาหารเปล่า เขาขยับกายโยกย้ายไปตามจังหวะเพลงเต้นที่เปิดคลออยู่เบาๆ ปากของเขาก็ร้องหงุงหงิงตามเพลงซึ่งเป็นหนึี่งในเพลงฮิตตลอดกาลของ Ricky Martin​ อย่าง 'Livin' La Vida Loca'


https://www.youtube.com/watch?v=p47fEXGabaY
(Livin’ La Vida Loca – Ricky Martin)



Upside inside out She's livin' la vida loca

She'll push and pull you down Livin' la vida loca

Her lips are devil red And her skin's the color of mocha

She will wear you out Livin' la vida loca She's livin la vida loca



ฆาเบียร์ปิดเตาและยกกะทะออกวางข้างๆ เขาร้องเพลงออกมาดังๆ เมื่อเข้าท่อนฮุค เจอดยิ้มไม่ได้เมื่อเห็นฆาบี้ถือตะหลิวไว้ในมือแทนไมโครโฟน เขาหลับตาร้องและเต้นตามเพลงอย่างเต็มที่เหมือนกับจะใช้ชีวิตบ้าคลั่งและสุดเหวี่ยงตามชื่อเพลง คนตัวโตที่เต้นอย่างเมามันพลันสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักจากด้านหลัง เขาหันขวับไปแล้วก็เจอคนรักที่ยืนมองอยู่นานแล้ว ฆาเบียร์รีบกดปิดเพลงและส่งยิ้มเจื่อนๆ ให้เจ

"อ้าว หยุดทำไมล่ะคุณ กำลังสนุกเลย"

เจนยุทธเดินเข้าไปหาและโน้มคอคนรักเท้าไฟของเขาลงมาแล้วจุ๊บเบาๆ ที่ริมฝีปาก ฆาบี้จุ๊บตอบ

"มานานแล้วเหรอเจ"

คนตัวโตถามเสียงอ่อยๆ

"ก็นานพอได้เห็นอะไรดีๆ ล่ะครับ นึกครึ้มอะไรขึ้นมาล่ะ ถึงได้เต้นซะขนาดนี้?"

เจถามยิ้มๆ เขารู้ว่าคนรักที่เป็นอดีตดาวสังคมคนนี้ชอบเต้น แต่นานๆ พ่อเจ้าประคุณจะเต้นขนาดนี้ให้เขาเห็นสักครั้ง และโดยมากก็มักจะเป็นในสถานบันเทิงเสียมากกว่า

"เช้านี้ฉันอารมณ์ดีนี่นา..."

ฆาบี้พูดอ้อมแอ้ม เจเลิกคิ้วให้เป็นเชิงถาม

"...ก็นานๆ เจจะใจดีกับฉันที"

เจนยุทธหน้าแดงซ่าน คนตัวโตพูดถึงเรื่องเมื่อคืนเป็นแน่แท้ ฆาเบียร์โอบไหล่คนรักและหอมแก้มใสๆ อีกฟอดใหญ่ เมื่อคืนเจของเขาช่างน่ารักเหลือเกิน เจนยุทธโอนอ่อนผ่อนตามความปรารถนาของเขาทุกอย่าง และนานๆ ทีคนตัวเล็กจะปล่อยให้เขาเป็นฝ่ายรุกเร้าถึงสองคืนติดถ้าไม่นับที่มาเก๊าซึ่งพวกเขาได้ตกลงกันไว้ก่อนแล้ว



"ไม่ต้องมาทำดีใจเกินเหตุเลย คุณนี่เวอร์จริงๆ"

เจหน้าร้อนผ่าวเมื่อฆาเบียร์สาธยายออกมายืดยาวว่าเขามีความสุขแค่ไหน

"แล้วนี่ไม่ต้องประชุมแล้วเหรอ? แปดโมงกว่าแล้วนะคุณ"

เจยกนาฬิกาขึ้นดู

"อ๋อ ทางนู้นเขาบอกมาว่าขอเลื่อนเป็นสิบโมงครึ่งไทยจ้ะ ฉันก็เลยมาทำมื้อเช้าให้เจ"

ฆาเบียร์จูงเจนยุทธมานั่งที่เคาเตอร์ครัว เมื่อคืนคนรักของเขาดูจะเสียพลังงานไปมาก เช้านี้เขาจึงต้องโด๊ปเจเสียหน่อย

"งั้นเดี๋ยวเจนั่งรอแป๊บนึงนะ เกือบเสร็จแล้ว รับรองว่านายชอบแน่ๆ"

คนตัวโตยิ้มกว้างให้สุดที่รักของเขา เจพยักหน้าและนั่งรอมื้อเช้าของเขาด้วยใจจดจ่อ




-------------------------------------


จบตรงนี้ก่อนนะคะ ตอนแรกกะว่าจะให้ทำมื้อเช้าให้เสร็จ แต่กลัวว่ามันจะยาวเกินก็ขอตัดฉับก่อนนะคะ ตอนนี้ไม่มีอะไรมากค่ะ ให้สองคนปล้ำกันเล่นไปก่อน แหะๆ

ช่วงนี้เขียนได้ช้าจริงๆ ค่ะ หัวไม่ค่อยแล่นเลย มัวแต่ดูบอลกับลุ้นทีมหมูป่าแหะๆ ถึงผลบอลโลกจะไม่ค่อยได้ดังใจ ทีมที่เชียร์ๆ อยู่ตกรอบไปจนหมด โดยเฉพาะสเปนและอาร์เจนติน่า แต่ก็ดีใจที่เจอเด็กๆ ที่หลงถ้ำเสียทีค่ะ



ที่ต้องรีบตัดให้สั้นเพราะวันนี้คนเขียนมีเรื่องยืดยาวที่อยากคุยกับคนอ่านค่ะ คือถ้าจำไม่ผิด วันนี้ (5/7/2018) เป็นวันครบรอบหนึ่งปีที่คนเขียนเริ่มลงเรื่องที่ขีดๆ เขียนๆ มั่วๆ ลงในเน็ต โดยเริ่มจากเรื่อง "Para Ti...คำ 'รัก' นี้แด่เธอ" จากที่ในชีวิตนี้ไม่เคยเขียนอะไรยาวๆ นอกจากงานที่ต้องเขียนส่งอาจารย์ตอนเรียนแล้ว คนเขียนก็ไม่นึกเลยว่ามันจะต่อยอดยืดยาวมาจนถึงเรื่อง The Taste of Love นี้  และที่ยิ่งนึกไม่ถึงคือ มีคนอ่านเรื่องที่ตัวเองเขียนด้วย!

โดยส่วนตัวไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเขียนอะไรได้ เพราะว่าเป็นคนไม่อ่านนิยาย โตมากับเพชรพระอุมา นิยายชุดโรงเรียนกลางป่าและนิยายจีนกำลังภายใน พอโตขึ้นมาหน่อยก็อ่านพวกนิยายแปลภาษาญี่ปุ่นบ้าง กับพวกลอร์ด ออฟ เดอะ ริงส์ หนังสือชุดนาร์เนีย แต่ก็แค่นั้นจริงๆ พอขึ้นเลขสาม ขนาดนิยายของแดน บราวน์ เล่มหลังๆ ยังอ่านไม่จบเลยค่ะ​ ส่วนนิยายวายนี่ ก่อนหน้าจะมาเขียนเรื่องนี้นี่ไม่เคยแตะเลย เน้นอ่านแต่การ์ตูนอย่างเดียว มาเริ่มอ่านเรื่องแรกก็เรื่อง "พี่ไม่หยิ่ง รักจริงหวังฟัน" ของพี่ Belove ซึ่งรู้จักกันเป็นการส่วนตัวจากสมัยเรียน และพอเริ่มมาขีดๆ เขียนๆ ก็ไปหาเรื่องอื่นๆ ของคนอื่นๆ อ่านบ้าง บอกได้เลยว่าพออ่านของคนอื่นแล้วรู้สึกอายในความอ่อนด้อยในสำนวนการเขียนของตัวเองมาก นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เรื่องนี้และอีกสองเรื่องที่เขียนเป็นแบบอ่านฟรี (เรื่องอื่นๆ ที่จะตามมาก็คงจะเป็นแบบนี้เช่นเดียวกัน) เพราะคิดเสมอว่างานของตัวเอง โดยเฉพาะเรื่องสำนวนการเขียนไม่ได้ดีเด่ขนาดที่จะขายได้ จะเก็บตังค์ก็เกรงใจคนอ่าน (แต่ถ้าใครอยากให้ค่ากาแฟเล็กๆ น้อยๆ ห้าบาทสิบบาท ก็ตามไปให้ที่ ReadAWrite ได้นะคะ แหะๆ)



สำหรับเรื่อง The Taste of Love นี้ เรื่องราวของเราก็เรียกได้ว่าพล็อตหลัก (มีด้วยเร้อ??) ได้เดินไปเกินครึ่งแล้วค่ะ อย่างที่บอกว่าเรื่องนี้ไม่ต้องลุ้นตอนจบมาก จบสวยแน่นอน แต่จะแบบไหนและเมื่อไหร่ ก็ต้องรอดูกันไปค่ะ ระหว่างนี้ก็ปล่อยสองหนุ่มนี้เขาเดินต้วมเตี้ยมไปเรื่อยๆ ชิลๆ ค่ะ ใจหนึ่งก็ไม่อยากให้เรื่องนี้จบเลย ยังสนุกกับการที่ได้เห็นสองคนนี้ลั้ลลา ชิลๆ แบบนี้ ยังสนุกกับการหาข้อมูลนั่นนี่มาเติมแต่งเป็นเรื่องราว และคิดว่าในชีวิตนี้ คงไม่สามารถเขียนเรื่องหรือสร้างตัวละครแบบของเรื่องนี้มาได้อีก

สุดท้ายนี้คนเขียนต้องขอขอบคุณผู้อ่านทุกคนที่คอยอ่านและคอยให้กำลังใจ   ขอบอกว่าอ่านทุกคอมเมนท์นะคะ แต่ไม่ได้ตอบอะไรเพราะว่าเป็นคนคุยไม่เก่ง ยังทำตัวไม่ถูกว่าควรจะต้องสนทนาหรือมีปฏิสัมพันธ์กับคนอ่านแบบไหนดีค่ะ



และสุดท้ายจริงๆ ต้องขอขอบคุณ "เธอคนนั้น" ที่ทำให้ฉันเริ่มเขียนเรื่อง Para Ti ขึ้นมา ไม่ว่าวันนี้เธอจะอยู่ไหนแล้วก็ตาม...




ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0
 :L1: :L1: :L1: ประทับใจในงานเขียนของคุณมากครับ  ขอชื่นชม และให้กำลังใจ... :L1: :L1: :L1:


 :L2: :pig4: :pig4: :pig4: :L2:

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1
:L1: :L1: :L1: ประทับใจในงานเขียนของคุณมากครับ  ขอชื่นชม และให้กำลังใจ... :L1: :L1: :L1:


 :L2: :pig4: :pig4: :pig4: :L2:

คนเขียนก็ต้องขอบคุณคุณ ommanymontra มากด้วยนะคะที่คอยติดตามและให้กำลังใจเสมอมา ขอบคุณจริงๆ ค่ะ 

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- Jay's Journey ----




"ดื่มนี่รอไปก่อนนะ เจ"

ฆาเบียร์หยิบแก้วน้ำมะเขือเทศจากในถาดส่งให้เจแก้วหนึ่ง ส่วนเขาหยิบอีกแก้วขึ้นมา

"Cheers!"

เขายกแก้วของตนชนกับแก้วของเจเบาๆ เจนยุทธยกมันขึ้นจิบน้อยๆ

"หืมม์? นี่จะมอมผมแต่เช้าเหรอ ฆาบี้?"

ที่ดูเหมือนน้ำมะเขือเทศในแก้วนั้น แท้ที่จริงคือ Bloody Mary ค้อกเทลที่มีส่วนผสมของว้อดก้า น้ำมะเขือเทศ ทาบาสโก้ ซอสวูสเตอร์เชียร์ น้ำมะนาว เกลือเซอเลอรี่และพริกไทย โดยปกติแล้ว ฆาเบียร์ชอบปรุงรสน้ำมะเขือเทศที่เขามักดื่มในมื้อเช้าให้มีรสชาติเหมือนบลัดดี้แมรี่ที่ไม่ใส่แอลกอฮอล์ หากในวันนี้เขาเติมว้อดก้าลงไปด้วยและดูเหมือนจะหนักมือกว่าในสูตรพอสมควร



"ฉันชิมแล้วว่ามันอ่อนเหล้าไปหน่อย เลยเติมเพิ่มอีกนิด"

"อื้อหือ ผมว่ามันไม่นิดแล้วแหละ แต่ไม่เป็นไรครับ วันนี้ผมก็ไม่ได้จะไปไหนอยู่แล้ว แต่แก้วเดียวพอนะ ไม่เติมแล้ว"

เจพูดยิ้มๆ เขายกแก้วในมือขึ้นชูให้คนรักและยกขึ้นจิบอีกอึกใหญ่ ฆาเบียร์เองก็ดื่มเข้าไปอีกอึกน้อยๆ ก่อนจะวางแก้วแล้วหันไปจัดการอาหารเช้าต่อ เขาวางจานเซรามิคสีสันสดใสลงตรงหน้าของเจนยุทธ และวางอีกใบไว้ตรงกันข้ามสำหรับตัวเอง จากนั้นหันไปจัดการคีบขนมปังโฮลวีทร้อนๆ สองแผ่นออกจากเครื่องปิ้ง เขาวางแผ่นหนึ่งลงบนจานของเจ และวางอีกแผ่นลงบนจานของตัวเอง

"ของฉันไม่ทาเนยนะ ของเจจะเอาหรือเปล่า?"

คนกลัวอ้วนหันไปถามเจนยุทธซึ่งเขาก็ปฏิเสธว่าไม่ต้องการเนยเช่นกัน จากนั้นฆาเบียร์จึงหยิบกะทะที่เขาเอาวางไว้ข้างเตาเมื่อสักครู่มา เขาตักเอาไข่กวนในกะทะโปะลงบนขนมปังปิ้งที่วางไว้บนจาน

"มันสุกไปนิดหนึ่งนะเจ..."

คนตัวโตยิ้มเขินๆ เขามัวแต่เพลินไปกับเพลงจึงลืมนึกไปว่าเขาควรจะตักมันลงพักในถ้วยก่อนเพื่อกันไม่ให้มันสุกมากเกินไป เจใช้ส้อมจิ้มๆ ดู เขาตาโตเมื่อเห็นชีสที่เยิ้มติดปลายส้อมมา

"ว้าว ฆาบี้ มันไม่ใช่แค่ไข่กวนธรรมดาๆ นี่? น่ากินมากเลยครับ ใส่อะไรมั่งน่ะ?"

"หัวหอม มะเขือเทศ โชริโซ่แล้วก็เชดดาร์ชีสจ้ะ ของที่เจมีติดตู้เย็นไว้ทั้งนั้น"

ฆาเบียร์บอกว่าเขาผัดหัวหอมที่หั่นเป็นลูกเต๋าเล็กละเอียดในเนยจนใส จากนั้นใส่มะเขือเทศหั่นเต๋าเล็กๆ ลงไปผัดต่อจนนิ่ม ต่อด้วยของที่ไม่อยู่ในสูตรคือไส้กรอกสเปนหรือ Chorizo รสชาติเผ็ดเค็มเปรี้ยวซึ่งเขาค้นเจอจากในตู้เย็นของเจ เขาตัดมันมานิดหน่อยและหั่นเป็นลูกเต๋าขนาดเล็ก เมื่อผัดโชริโซ่จนเริ่มแตกมันแล้ว เขาจึงใส่ชีสเชดดาร์ขูดพอประมาณลงไปตามด้วยเกลือและพริกไทย เขารีบเทไข่สองฟองที่ตีจนเข้ากันดีลงไปในกะทะแล้วตะล่อมคนเบาๆ โดยใช้ไฟอ่อน เมื่อเห็นว่าไข่เริ่มเซ็ตตัวดีแต่ยังไม่สุกแข็งและชีสเริ่มเยิ้มจึงยกลง



"ฉันจัดลำดับผิดไปหน่อย ฉันควรทำจานนี้ทีหลัง ตอนนี้ไข่มันเลยสุกไปหน่อย"

ฆาบี้บ่นเบาๆ เมื่อเขาตักไข่กวนจากกะทะใส่ลงบนขนมปังในจานของตัวเอง เขาตักใส่จานของเจมากกว่าของตัวเองอย่างเห็นได้ชัด เขาหันหลังเอากะทะไปวางไว้ในซิงค์น้ำและเอาขนมปังอีกสองแผ่นใส่ในเครื่องปิ้ง

"กินไปก่อนนะ เจ ยังเหลืออีกอย่างนึง"

ฆาเบียร์หันกลับมาหาคนรักแล้วก็ต้องหัวเราะออกมาเบาๆ เจนยุทธกินไข่และขนมปังในจานของตัวเองหมดไปครึ่งหนึ่งแล้วโดยที่เขาไม่ต้องบอกด้วยซ้ำ แถมเจ้าตัวดียังกำลังเอื้อมมือมาแอบตักไข่จากจานเขาไปอีกต่างหาก เจทำตาแป๋วและยิ้มหวานให้คนรักเมื่อถูกจับได้

"อร่อยมากเลยครับ ฆาบี้ ไข่สุกไปหน่อยก็จริง แต่ชีสยังเยิ้มอยู่นะ รสโชริโซ่กับมะเขือเทศนี่ก็เข้ากันดีมากเลย เวิร์คมากครับ"

คนตัวโตรีบยกขนมปังหน้าไข่ในจานของตัวเองขึ้นกัดกินบ้างก่อนที่จะถูกฉกไปอีก เขายิ้มอย่างพึงใจ สูตรที่เขาหามาจากอินเตอร์เน็ตสูตรนี้ออกมาใช้ได้ตามคาด



"เจจ๊ะ ไข่ติดปากน่ะ"

ฆาเบียร์เอื้อมมือไปแล้วใช้นิ้วปาดเอาเศษไข่กวนที่ติดบนริมฝีปากคนรักออก เขาต้องหน้าร้อนวูบเมื่อเจเผยอปากน้อยๆ แล้วงับปลายนิ้วเขาเบาๆ

"อย่าสิ เจนยุทธ..."

ฆาเบียร์กลืนน้ำลายลงคอเมื่อเจไม่ยอมหยุด เจจับข้อมือเขาไม่ให้ชักกลับและค่อยๆ ใช้ปลายลิ้นตวัดเลียไล้นิ้วเขาช้าๆ ฆาเบียร์ยันกายขึ้นและชะโงกหน้าไปหาคนรัก เขาแทนที่นิ้วของตัวเองด้วยริมฝีปากและเรียวลิ้นนิ่มๆ เจจูบเขาตอบอย่างอ่อนโยน ก่อนจะใช้มือดันอกเขาให้กลับไปนั่งเหมือนเดิม

"คุณนี่ชอบลวนลามผมจริงๆ"

คนตัวเล็กทำท่าเขินอาย ฆาเบียร์โคลงหัวน้อยๆ อย่างจนปัญญา ใครกันแน่ที่เป็นฝ่ายเริ่มก่อน



"เอ้า ไหน มีอะไรให้ผมกินอีก ฆาบี้ แค่นี้ผมยังไม่อิ่มนะ แล้วก็รีบๆ ด้วย เก้าโมงกว่าแล้วนะ"

ฆาเบียร์ดูนาฬิกา เขาเดินไปหยิบของจากบนเคาเตอร์มา เขาคีบขนมปังที่ปิ้งแล้วอีกสองแผ่นออกมาวางบนถาด จากนั้นหยิบอะโวคาโดขนาดพอประมาณลูกหนึ่งมาผ่าครึ่ง เขาใช้มีดกรีดไล่ตามแนวเม็ดของมัน จากนั้นเขาถืออะโวคาโดลูกนั้นไว้ในมือ บิดเบาๆ เนื้ออะโวคาโดก็หลุดออกจากเม็ดอย่างง่ายดาย ฆาเบียร์ใช้ช้อนโต๊ะแคะเม็ดออกและควักเนื้ออะโวคาโดที่สุกนิ่มแล้วออกมาจากเปลือก เขาหั่นเนื้อมันเป็นแผ่นหนาพอประมาณ จากนั้นโปะเนื้อมันลงบนขนมปังแผ่นละครึ่งลูก เขาส่งขนมปังทั้งสองแผ่นให้เจนยุทธ

"ใช้ส้อมบี้ๆ เนื้อมันให้หน่อยนะ เจ เดี๋ยวฉันมา"

เจนยุทธรับมาทำตามที่คนตัวโตบอก เขาบี้เนื้ออะโวคาโดลงไปกับขนมปังแต่ยังพอให้เหลือเป็นชิ้นบ้าง ฆาเบียร์กลับมาที่เคาเตอร์พร้อมเบค่อนกรอบหลายเส้นที่เขาอบในไมโครเวฟไว้ก่อนหน้านี้ เขาขยำมันส่วนหนึ่งจนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย จากนั้นเอาคลุกผสมลงไปในเนื้ออะโวคาโดที่บี้แล้วบนขนมปัง เขาราดน้ำมันมะกอกลงไปเล็กน้อย จากนั้นส่งมะนาวหั่นซีกและเกลือ ให้เจนยุทธ

"บีบมะนาว เติมเกลือตามใจชอบเลยจ้ะ เอาพริกป่นด้วยไหมเจ?"

เจนยุทธพยักหน้า ฆาเบียร์เปิดตู้เก็บสารพัดเครื่องเทศของเจและเลือกเอาพริกป่นญี่ปุ่นออกมาส่งให้เจนยุทธ ส่วนตัวเขาเมื่อปรุงเนื้ออะโวคาโดของตัวเองเสร็จก็เอาเบค่อนกรอบอีกสองเส้นวางโปะทับทั้งแบบนั้น ส่วนเจรับเบค่อนไปบี้เป็นชิ้นหยาบๆ แล้วเอาโรยหน้า ฆาเบียร์ลิ้มรสขนมปังหน้าอะโวคาโดและเบค่อนที่ตัวเองทำแล้วต้องส่งเสียงเบาๆ ในลำคอด้วยความสุข เขาเหลือบมองเจนยุทธ เจเองก็ทำหน้าฟินเช่นเดียวกัน

"คุณเอ๊ย เบค่อนกับอะโวคาโดนี่สุดๆ แล้ว หาสูตรมาจากในเน็ตเหรอครับ? "

"ใช่จ้ะ แต่เบค่อนนี่ฉันมาเพิ่มเอาเอง ชอบเหรอ?"

เจพยักหน้าระรัว เขาคงต้องทำมันกินเองบ้างแล้ว



"เสียดายว่าขนมปังเราวันนี้ไม่ได้อร่อยมาก ถ้าได้พวกขนมปังข้าวไรย์ พวก sourdough หรืออย่างน้อยก็ขนมปังฝรั่งเศสที่เนื้อมันหนักกว่านี้ก็คงจะดี"

ฆาเบียร์พูดด้วยความเสียดาย ขนมปังที่เจมีติดตู้ไว้คือขนมปังปอนด์แบบโฮลวีทที่มีขายทั่วไป เนื้อของมันค่อนข้างบางเบาและพรุน ต่อให้ปิ้งแล้ว แต่เมื่อวางท็อปปิ้งที่ออกแฉะบ้างอย่างไข่กวนก็ทำให้เนื้อขนมปังแฉะนิ่มไป หรือเมื่อใช้ส้อมเจบี้เนื้ออะโวคาโดลงไป เขาทำแผ่นขนมปังทะลุไปบ้างเพราะความบางของมัน

"อือ ถ้าได้ขนมปังที่แผ่นหนาหนักกว่านี้ก็น่าจะเหมาะกว่าครับ แถมยังจะอิ่มกว่าด้วย"

"เจจะเอาอะไรเพิ่มอีกไหม? เดี๋ยวฉันทำเพิ่มให้"

ฆาเบียร์ถาม สำหรับเขา ขนมปังพร้อมท็อปปิ้งสองแผ่นนี้ก็พอทำให้เขาอยู่ท้องแล้ว แต่เขาลืมไปว่ากระเพาะของเจนั้นไม่เหมือนกับของเขา ขนมปังแค่สองแผ่นคงไม่พอยาไส้เจ้าตัวน้อย หากเจนยุทธส่ายหน้า

"ไม่เป็นไรครับ แค่นี้พอได้แล้ว ผมไม่ค่อยหิวเท่าไหร่ เดี๋ยวไว้เราค่อยไปหาอะไรกินกันตอนเที่ยงก็ได้"

คนตัวโตขมวดคิ้วและถามขึ้นอย่างกังวล

"เจ นายสบายดีแน่ใช่ไหม? ไม่ได้มีไข้หรืออะไรใช่หรือเปล่า?"

ฆาเบียร์ยังอดกังวลไม่ได้ถึงสภาพร่างกายของเจนยุทธ เขาไม่แน่ใจว่าเมื่อคืนที่ผ่านมาเขาได้ฝืนสังขารของคนตัวเล็กไปหรือไม่ ภาพของเจที่นอนซมเพราะพิษไข้ที่สมุยกลับมาหลอกหลอนเขาอีกครั้ง

"โอ๊ย ไม่เป็นอะไร ฆาบี้ ผมแค่คิดว่าเท่านี้ก็พออยู่ท้องแล้ว"

"แน่ใจนะ เจ? ตอนที่นายป่วยที่สมุย อาการมันก็เริ่มจากไม่อยากอาหารและกินอะไรไม่ลงแบบนี้เหมือนกัน..."

เขาพูดออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา



"โธ่ ฆาบี้..."

เจอุทานออกมาเบาๆ เขาลุกจากเก้าอี้ของตัวเองแล้วเดินไปโอบคอคนรักไว้ เขาจูบแผ่วๆ ที่แก้มของฆาเบียร์ จากนั้นเอาหน้าผากของตัวเองแนบกับหน้าผากของคนตัวโต

"รู้สึกไหม? ไม่ร้อน ไม่มีไข้อะไรทั้งนั้น โอเคนะครับ? ผมแค่คิดว่าสองสามวันนี้กินเยอะไปแล้ว ต้องเพลาๆ หน่อย แล้วก็..."

เจหน้าแดงซ่านและพูดด้วยเสียงแผ่วเบา

"...เมื่อวานคุณก็บอกว่าผมตัวหนักด้วย ผมก็ไม่อยากให้คุณต้องแบกน้ำหนักผมมากอ่ะ"

ฆาเบียร์ที่ใบหน้าเจื่อนจ๋อยอดหัวเราะออกมาไม่ได้

"เจจ๊ะ ฉันก็บ่นไปแบบนั้นแหละ ฉันยังอุ้มนายไหวน่า"

ฆาเบียร์ดึงคนตัวเล็กเข้ามาชิดกาย ใช้แขนช้อนใต้สะโพกและยกร่างเจขึ้นและปล่อยลง

"เห็นไหม? สบายๆ ฉันออกกำลังกายมาเพื่อการนี้นะ..."

เขากระซิบแผ่วๆ ข้างหูเจนยุทธ

"...ให้ฉันอุ้มนายเดินรอบห้องแบบเมื่อคืนอีกรอบก็ยังได้นะ"

เจหน้าร้อนผ่าว เขานึกถึงตัวเองที่ครางลั่นอยู่บนกายของคนรัก ร่างกายของฆาเบียร์แข็งแรงพอที่จะรับน้ำหนักตัวของเขาที่กอดคอคนรักไว้แน่นและกระแทกสะโพกลงหนักๆ อย่างลืมตัวได้

"ผมอยากทำแบบนั้นกับคุณได้บ้างอ่ะ"

เจบ่นอุบอิบ ท่านี้เป็นอีกหนึ่งท่าที่เขาชอบใช้กับสาวๆ ไซส์มินิ แต่คงใช้ไม่ได้กับพ่อเจ้าประคุณกล้ามงามที่สูงท่วมหัวเขาคนนี้ ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ เขาขยี้ผมดำขลับของเจนยุทธอย่างเอ็นดูและหอมอีกฟอดใหญ่ นี่ถ้าไม่ติดว่าเขามีประชุม เขาคงจะอุ้มเจเข้าห้องอีกรอบเป็นแน่แท้



“พอๆๆ คุณนี่เผลอไม่ได้จริงๆ หื่นมาจากไหนฮึ?”

เจว๊ากลั่นพร้อมกับดันตัวคนรักออก คนตัวโตไม่เพียงกอดๆ หอมๆ เขาเล่นด้วยความเอ็นดู ตอนนี้มือไม้ของพ่อม้าเทศของเขาเริ่มอยู่ไม่สุข เจตีมือร้อนๆ ที่พยายามมุดลงไปคลึงเคล้นบั้นท้ายของเขา

“ฆาบี้ ไปอาบน้ำแต่งตัวดีๆ ได้แล้วครับ จะสิบโมงแล้ว”

เจดันใบหน้าที่ซุกอยู่ที่อกเขาออกและพูดด้วยน้ำเสียงเว้าวอน ฆาเบียร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่และลุกขึ้นยืน

“โอเคจ้ะ อาบน้ำด้วยกันไหม?”

“ไม่ครับ คุณไปก่อนเถอะ เดี๋ยวผมเคลียร์พวกจานชามพวกนี้ให้เอง”

ฆาเบียร์พยักหน้าเบาๆ ก่อนจะเดินเข้าห้องนอนไป เจระบายลมหายใจออกจากปาก ถ้ายอมเข้าไปอาบน้ำด้วย ฆาเบียร์ก็คงอาบเสร็จไม่ทันประชุมแน่ๆ เจหันไปจัดการกับภาชนะและช้อนส้อมบนเคาเตอร์และกะทะในซิงค์ เนื่องด้วยมีปริมาณไม่มากเขาจึงล้างมือแทนที่จะเอาใส่เครื่องล้าง

“โอเค ทำอะไรต่อหว่า? อ้อ”

เจหันรีหันขวางอยู่พักหนึ่งก่อนจะทำท่านึกได้ เขาหยิบโน้ตบุ๊คของฆาเบียร์มาวางบนโต๊ะพร้อมต่อสายทุกอย่างให้เรียบร้อย เจจัดการเอาแก้วเปล่าและขวดน้ำเย็นมาวางให้ฆาเบียร์ พร้อมทั้งขนมขบเคี้ยวกับผลไม้สดนิดหน่อย เขาไม่รู้ว่าคนตัวโตจะใช้เวลานานเท่าไหร่ แต่ก็เตรียมไว้ก่อนเผื่อการประชุมที่ว่าจะยืดเยื้อ



“ขอบใจนะเจ”

เจสะดุ้งน้อยๆ เมื่อท่อนแขนแข็งแรงของฆาเบียร์โอบหมับเข้าที่เอวเขาจากด้านหลัง ฆาบี้จูบแผ่วๆ เข้าที่ข้างลำคอของคนรัก เจหันหน้าไปหาคนตัวโตที่อยู่ในเสื้อเชิร์ตและกางเกงยีนส์ เขารับจูบเร็วๆ ที่ประทับลงมา

“อาบน้ำเร็วเชียวนะคุณ”

“ก็ไม่มีคนกวนนี่จ๊ะ”

ฆาเบียร์พูดยิ้มๆ เจจิ๊ปากเบาๆ ใครจะเป็นฝ่ายกวนใครกันแน่ คนตัวโตหันไปจัดการเปิดคอม จากนั้นทำท่าจะออดอ้อนคนรักของเขาต่อ แต่เสียงสัญญาณเตือนในคอมทำให้เขาหยุดมือ

“ไปทำงานเถอะคุณ เดี๋ยวผมหลับรอที่โซฟา…ไง เมลิน่า”

เจขยับออกไปยืนนอกรัศมีของกล้องพร้อมส่งเสียงทักทายเลขาฯ สาวของฆาเบียร์ที่ปรากฎขึ้นบนหน้าจอ เมลิน่าทักทายตอบ เธอหันไปบอกว่าทางสำนักงานใหญ่พร้อมประชุมแล้ว คนตัวโตถอนหายใจเบาๆ

“เจเข้าไปหลับรอในห้องก็ได้ เสร็จแล้วเดี๋ยวจะไปปลุก”

เจนยุทธพยักหน้าและเดินกลับเข้าไปในห้อง ฆาเบียร์ลงนั่งและเริ่มเตรียมการสนทนาทางไกล



"เจ เจจ๊ะ ตื่นเถอะ"

ฆาเบียร์เขย่าปลุกเจนยุทธเบาๆ เจทำท่าเหมือนยังไม่อยากตื่น เขายังรู้สึกเพลียจากเมื่อคืนอยู่บ้าง

"ขอนอนต่ออีกแป๊บได้ไหมอ่ะ คุณก็มานอนด้วยกันมะๆ "

เจนยุทธใช้มือโอบคอคนรักและดึงให้ลงนอนเคียงข้าง หากฆาเบียร์ฝืนกายไว้

"ถ้าไม่อยากลุกก็นอนต่อเถอะเจ เดี๋ยวฉันไปบอกอาปาก่อนว่าเจยังไม่สะดวกมาคุยด้วย"

เจนยุทธลืมตาแล้วรีบยันกายขึ้นนั่ง

"อาปาจะคุยกับผมเหรอ? แล้วทำไมไม่บอกแต่แรกล่ะ อาปารอแย่แล้ว"

เจรีบลุกขึ้น  เขาแอบขมวดคิ้วน้อยๆ เมื่อยังรู้สึกตึงๆ ที่ช่องทางด้านหลัง ฆาเบียร์ลอบมองอย่างเป็นห่วง เขาเห็นอาการของเจตั้งแต่เมื่อตอนกินข้าวกันแล้ว

"เจ เดี๋ยวก่อน"

คนตัวโตดึงมือของคนรักที่กำลังจะเดินออกห้องไป เขาส่งกางเกงขาสั้นที่เจถอดไว้ข้างเตียงให้ เจนยุทธหัวเราะแหะๆ แล้วรับมาใส่ คงไม่ดีนักถ้าจะโผล่ไปให้อาปาเห็นทั้งๆ ที่ยังใส่แค่กางเกงในกับเสื้อยืด



"งั้น อาปาไม่กวนพวกเราแล้วนะ พักผ่อนเยอะๆ นะเจ"

คริสโบกมืออำลาลูกๆ ของเขาทั้งสองคน เจยิ้มกว้างให้พ่อบุญธรรมของคนรักก่อนที่ตัดการสนทนาไป

"แล้วทำไมอาปาต้องบอกให้ผมพักผ่อนเยอะๆ ด้วยอ่ะ?"

เจหันไปถามคนตัวโตด้วยความสงสัย ฆาเบียร์เสชวนคุยเรื่องอื่นแทนทันที แต่เจนยุทธไม่ยอมเปลี่ยนประเด็นด้วย

"นี่เล่าอะไรให้อาปาฟังอีกแล้วใช่ไหม? คุณนี่มันจริงๆ เลย"

เจทำหน้าง้ำ เมียตัวโตของเขามีอะไรก็ชอบไปเล่าให้คริสฟังจนหมดไส้หมดพุง

"ก็ฉันดีใจที่เจ..."

คนตัวโตทำหน้าจ๋อยอีกครั้ง เจรีบยกมือปิดปากคนรักไว้

"พอๆ ไม่ต้องพูดแล้ว รู้แล้วครับ"

เจถอนหายใจเบาๆ

"คุณชอบทำแบบนี้มากกว่าให้ผมทำสินะ ผมมันคงไม่ได้เรื่องจริงๆ ถึงให้ความสุขคุณได้ไม่เต็มที่"

เจนยุทธแสร้งทำท่าทางเศร้าซึม เขาช้อนตามองคนรักที่มีทีท่าร้อนใจขึ้นมา

"โธ่ เจ ไม่ใช่แบบนั้น ฉันไม่ได้คิดแบบนั้นสักนิดเลยนะ นายไม่เห็นเหรอ ฉันก็สุขแทบตายทุกครั้งที่นาย เอ่อ นาย f--- ฉัน"

คนตัวโตหน้าแดงก่ำก่อนจะพูด F-word ออกมา เจยิ้มกริ่ม เขายกมือขึ้นลูบแก้มตอบของคนรัก

"จริงๆ เหรอ ฆาบี้ คุณชอบให้ผม f--- จริงๆ เหรอ?"

เจถามต่อโดยใช้คำเดียวกัน ฆาเบียร์พยักหน้า เจหัวเราะเบาๆ เขาดึงร่างคนรักเข้ามากอดและหอมแก้มฟอดใหญ่

"งั้นคืนนี้ ผมจะ f--- คุณให้หนำใจเลยนะ เมียจ๋า"

ฆาเบียร์อุทานออกมาเมื่อเจขยำก้นแน่นๆ ของเขาเข้าเต็มแรง เจหัวเราะคิกคักเมื่อคนรักเป็นฝ่ายปัดป้องมือของเขาบ้าง เขาต้องให้เมียตัวโตของเขาคนนี้ได้รู้ว่าจะมาคอยลวนลามเขาเพียงฝ่ายเดียวไม่ได้



"เจ เดี๋ยว หยุดก่อน นั่นเสียงโทรศัพท์เจหรือเปล่า"

ฆาเบียร์ที่หอบน้อยๆ ดันร่างคนตัวเล็กออก เจจิ๊ปากเบาๆ แต่ก็หยุดมือที่กำลังคลึงเคล้นเนื้อตัวฆาเบียร์ เขารีบเดินเข้าไปหยิบโทรศัพท์มาดู

"ฮัลโหล ครับ เมื่อกี้โทรมาเบอร์นี้หรือเปล่าครับ?"

เจนยุทธโทรกลับไปยังเบอร์ไม่คุ้นตาที่โทรมาหาเขาถึงสองรอบแล้ว

"อ้าว พี่บูม นี่เบอร์พี่เหรอ? อือ ฮึ ได้สิพี่...ฆาบี้ครับ ผมขอกระดาษหน่อย"

เจนยุทธเดินออกไปที่ครัว เขาบอกลูกพี่ลูกน้องของเขาว่าจะขอใช้ภาษาอังกฤษเพื่อที่ฆาเบียร์จะได้เข้าใจด้วย เขาเปิดเป็นสปีกเกอร์โฟนและวางไว้ที่เคาเตอร์ครัว ฆาเบียร์ส่งกระดาษและปากกาให้คนรัก

"โอเค เจ นี่คือเอกสารที่เราต้องเตรียมให้พี่นะ จดตามที่พี่บอกนะ..."

ทนายหนุ่มไล่เรียงรายชื่อเอกสารสำคัญที่เขาต้องการจากเจนยุทธลงมา เจจดตาม ฆาเบียร์เองก็บันทึกมันไว้ในมือถือของเขา

"อืมม์ ผมมีครบหมดครับ จะให้ผมเอาไปแวะให้ที่โรงแรมหรือว่าไงดี?"

บูมพักที่โรงแรมในย่านไนท์บาซาร์ซึ่งอยู่ไม่ไกลกับบ้านวัดเกต เขาบอกกับพ่อแม่ว่าเขาจะได้พักผ่อนมากกว่าไปนอนที่บ้านวัดเกตที่มีญาติๆ มารวมตัวกันเต็มบ้าน และเขายังมีเหตุผลส่วนตัวอีกข้อหนึ่ง


(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- Jay's Journey (ต่อ) ----




"พี่ว่าเย็นนี้พี่จะนัดเจกินข้าวสักหน่อย สะดวกไหม?"

"ได้ครับพี่ กินไหนดี กี่โมง?"

"เฮ้ๆ นัดแต่เจคนเดียว ไม่นัดฉันด้วยเหรอ แพทริค?"

ฆาเบียร์ประท้วงมาก่อนที่เจนยุทธจะทันอ้าปากตอบรับ บูมหัวเราะเบาๆ แต่กลับมีเสียงทุ้มนุ่มของชายอีกคนตอบมาแทน

"คุณอยากมาก็มาด้วยสิครับ คุณมาร์ติเนซ ใครจะไปห้ามคุณได้ล่ะ"

"อ้าว เห้ย อลัน นายอยู่ด้วยเหรอ?"

คนตัวโตอุทานออกมาเมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นหู เจเองก็ทำตาโต พี่ชายของเขากล้าทีเดียวที่พาแฟนหนุ่มมาเชียงใหม่ทั้งๆ ที่อาพิมเองก็อยู่ด้วย

"ครับ อลัน เอ่อ คุณวูเขาขอตามมาด้วย เขาบอกว่าเขาไม่ได้มาเชียงใหม่นานแล้ว อยากเห็นว่ามันเปลี่ยนไปขนาดไหน แล้วก็อยากมาเจอครอบครัวผมด้วย"

ญาติผู้พี่ของเจนยุทธตอบกลับคนรักของน้องชาย

"เห้ย พี่บูม แล้วพี่บอกอาพิมว่าไงอ่ะ? อุ๊บส์"

เจรีบอุดปากตัวเอง เขาลืมไปเสียสนิทว่าพี่ชายคนนี้ยังไม่ได้แสดงตัวกับเขาว่าตัวเองก็มีแฟนเป็นผู้ชายเหมือนกัน บูมถอนหายใจเบาๆ เขากะแล้วว่าฆาเบียร์ต้องเล่าเรื่องนี้ให้เจนยุทธฟัง

"พี่บูม ผม เอ่อ..."

"ไม่เป็นไรหรอก เจ มันก็ไม่ใช่เรื่องที่พี่ปิดบังอะไร แค่ว่าที่บ้านเขายังไม่รู้แค่นั้น..."

ทนายหนุ่มถอนหายใจอีกครั้ง

"พี่พาอลันเขาไปกินข้าวกับที่บ้านมาครั้งหนึ่งแล้ว พี่บอกแม่ว่าหัวหน้าพี่เขาว่างช่วงตรุษจีนเลยตามมาเที่ยวเชียงใหม่ด้วย แต่จะให้ไปพักบ้านใหญ่ก็ไม่สะดวก ก็เลยต้องนอนโรงแรมกัน"

บูมบอกว่าอลันบินตามเขามาเมื่อวานและจะบินกลับไปฮ่องกงด้วยกันวันพรุ่งนี้



"พวกนายกลับไฟลท์เดียวกับฉันหรือเปล่า? คาเธ่ย์ดราก้อนตอนบ่ายสามกว่า"

ฆาเบียร์เปิดตารางบินของเขาดู อลันตอบรับว่าใช่ไฟลท์เดียวกัน

"ดีเลย งั้นพรุ่งนี้ผมวนไปรับพี่บูมที่โรงแรมก็ได้นะ..."

"เดี๋ยวๆ ก่อนจะนัดกันพรุ่งนี้น่ะ นัดเรื่องวันนี้ให้ได้ก่อน เจ"

บูมพูดกลั้วหัวเราะ พ่อน้องชายคนนี้ของเขามักใจร้อนเสมอ

"เออ ช่ายๆ พี่บูมอยากกินร้านไหนเป็นพิเศษหรือเปล่า?"

"คราวที่แล้วพี่มาเชียงใหม่แล้วติดใจร้านนึง ร้านโอ้กะจู๋น่ะ แต่เสียดายว่ามันอยู่ไกลไปหน่อย"

บูมพูดถึงร้านอาหารแนวสุขภาพที่เด่นเรื่องผักออร์แกนิคจานใหญ่ยักษ์ซึ่งเปิดสาขาแรกที่แถวแม่โจ้ เจหันไปทำจมูกย่นให้ฆาเบียร์ แล้วหันไปคุยโทรศัพท์กับพี่ชายต่อ

"พี่บูมไม่ได้ไปนานแล้วใช่ไหม? ตอนนี้เขามีสาขาในเมืองแล้วครับ แถวๆ แยกสนามบิน เดี๋ยวเรานัดกันที่นั่นเลยก็ได้ กี่โมงดี ผมจะได้จอง คิวเขายาวครับ"

"งั้นซักหกโมงก็ได้ เจสะดวกไหม?"

เจนยุทธดูนาฬิกา ตอนนี้เกือบบ่ายโมงแล้ว ถ้ารีบโทรจองตอนนี้ก็น่าจะยังทัน

"เดี๋ยวผมรีบโทรจองเลย พี่บูมจะให้ผมไปรับตอนเย็นหรือว่ายังไงครับ?"

"ไม่เป็นไรๆ พี่เช่ารถไว้ เดี๋ยวขับไปเองได้ เจส่งแผนที่มาให้พี่หน่อยแล้วกัน"

เจนยุทธรีบแชร์โลเคชั่นของร้านไปให้บูม

"เปิดเป็นหรือเปล่า พี่บูม เห็นว่าไม่ถนัดใช้พวกนี้"

เจกระเซ้า บูมหัวเราะแล้วบอกว่าเขาใช้ไลน์พอเป็นแล้ว

"โอเค ร้านอยู่ในโครงการนิ่มซิตี้ เดลี่ถูกต้องไหม? ถ้าที่นั่นพี่รู้จัก แล้วไว้เจอกัน อย่าลืมเอกสารที่พี่ขอด้วยล่ะ"

บูมพูดทิ้งท้ายก่อนจะวางสายไป

“ร้านนั้นไม่อร่อยเหรอ เจ? เมื่อกี้ฉันเห็นเจทำท่าลังเล”

ฆาเบียร์ถามคนรัก

“ไม่เชิงอ่ะ คุณ ผมแค่เคยไปแล้วรู้สึกว่ามันไม่ใช่แนวผม แต่คนที่ชอบก็อาจจะชอบก็ได้ อาหารเขาจานใหญ่ ให้ผักสดเยอะแยะ น่าจะแนวคุณชอบนั่นแหละ แต่สำหรับพวกจานเนื้อหรืออะไรแล้ว ผมว่าเขายังสู้ร้านอย่าง The Duke’s อะไรพวกนี้ไม่ได้ แต่ก็ลองดูครับ อย่างว่า ร้านนี้เขาเน้นผัก”

เจเปิดๆ หาเว็บไซต์และรีวิวของร้านนี้ให้ฆาเบียร์ดู ฆาบี้ทำตาโตเมื่อเห็นสลัดจานยักษ์ในรูป เจถอนหายใจ ถ้าพ่อเจ้าประคุณติดใจ เขาคงต้องใส่ชื่อร้านนี้ลงในลิสต์ร้านประจำเสียแล้ว



“ฆาบี้ครับ งั้นเดี๋ยวเรากินอะไรง่ายๆ กันที่ห้องแล้วกันนะ จะอุ่นข้าวที่แม่ให้มาก็ได้ เพราะไงๆ เราก็จะกินมื้อใหญ่ตอนเย็น”

เจหันไปถามฆาเบียร์หลังจากโทรจองที่นั่งที่ร้านโอ้กะจู๋แล้ว คนตัวโตพยักหน้า

“ได้จ้ะ งั้นเจไปเตรียมเอกสารที่บูมขอมาเถอะ ฉันจะจัดการเรื่องมื้อเที่ยงเอง”

เจนยุทธพยักหน้า เขาเดินหายไปพักหนึ่งก่อนจะกลับมาพร้อมซองสีน้ำตาลในมือและโน้ตบุ้คเครื่องบางของเขา เจวางเครื่องโน้ตบุ้คไว้เคียงคู่เครื่องของฆาเบียร์บนส่วนทำงานของเคาเตอร์ครัว​

"ผมสแกนเอกสารไว้ครับ จะได้ส่งเข้าอีเมล์พี่บูมด้วยเลย"

เจตอบคนตัวโตเมื่อถูกถามว่าทำอะไร เขาจัดการเรียงสำเนาเอกสารที่เขาถ่ายไว้เป็นชุดๆ และใช้คลิปหนีบไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เขาเขียนโน้ตน้อยๆ ลงบนกระดาษโพสต์อิทแปะไว้เป็นที่ๆ ฆาเบียร์มองเจนยุทธจัดการกับเอกสารอย่างถูกใจ เจของเขาดูเหมือนจะเป็นคนง่ายๆ สบายๆ แต่ที่จริงแล้วเจเป็นคนละเอียดและเป็นระเบียบมากกว่าที่คิด



"โอเค เสร็จแล้ว ส่วนเมล์ผมค่อยมาส่งทีหลัง ป่ะ กินข้าวกันดีกว่า คุณเตรียมอะไรให้ผมกินมั่งครับ?"

เขาหันไปดูอาหารที่ฆาเบียร์จัดเตรียมไว้ให้

"ฉันดูๆ แล้ว กลัวเจจะเบื่ออาหารช่วงตรุษจีน ก็เลยทำพาสต้าให้แทนนะ"

ฆาเบียร์วางจานใหญ่ที่เขาใส่พาสต้าลงตรงกลางเคาเตอร์

"จานนี้เป็นราวิโอลี่ไส้แฮมชีสคลุกซอสเพสโต้นะ ฉันค้นเจอจากในช่องฟรีซ เห็นใกล้หมดอายุแล้วเลยเอามากินซะ"

ทั้งสองอย่างเป็นผลิตภัณฑ์ยี่ห้อ Buonissimo ซึ่งเป็นเจ้าของเดียวกับร้าน Enoteca ซึ่งเจและฆาเบียร์มักไปซื้อไวน์และผลิตภัณฑ์อาหารจากอิตาลีเป็นประจำ เจจะซื้อพวกพาสต้าและซอสพาสต้าแช่แข็งพวกนี้ติดตู้เย็นไว้กินยามที่เขาขี้เกียจทำอาหาร ที่เขาต้องทำก็แค่ต้มพาสต้าแล้วผัดใส่สารพัดซอสแช่แข็ง หรือถ้าขี้เกียจจัดๆ เขาก็จะแค่อุ่นซอสให้ร้อนในไมโครเวฟแล้วคลุกเส้นพาสต้าลงไปเลย

"แล้วนี่ สปาเก็ตตี้ผัดเบค่อน ตอนแรกว่าจะทำคาโบนาร่าให้ แต่ว่าเราไม่เหลือทั้งแฮมกวนชาเล่แล้วก็ชีสเพโคริโน่ ก็เลยไม่ทำดีกว่า เลยผัดใส่แค่น้ำมันมะกอก เบค่อน กระเทียมกับพริกแห้งแทน โอเคไหมจ๊ะ?"

เจรีบจ้วงตักสปาเก็ตตี้ใส่จานแบ่งแทนคำตอบ คนตัวโตหัวเราะน้อยๆ เขาลงนั่งที่หน้าเคาเตอร์และตักส่วนของตัวเองใส่จานบ้าง

"ใส่ชีสเพิ่มไหมเจ?"

ฆาเบียร์ส่งถ้วยชีสพาร์มีซานที่เขาขูดสดๆ จากก้อนชีสที่เจมีติดตู้เย็นไว้ให้คนรัก เจตักโรยบนพาสต้าของเขาจากนั้นก็กินมันอย่างเอร็ดอร่อย คนตัวโตเริ่มจากกินสลัดผักชามน้อยที่เขาเตรียมให้ตัวเอง เจนยุทธเอื้อมมือมาจิ้มผักในถ้วยไปบ้างจนฆาเบียร์ต้องไปเด็ดใบผักในตู้เย็นมาเติม พวกเขากินอาหารมื้อเที่ยงเบาๆ นี้หมดในเวลาไม่นาน



“เกือบบ่ายสองแล้ว งั้นเราออกบ้านกันซักก่อนห้าโมงครึ่งก็ได้ ผมว่ารถไม่น่าติดมาก”

เจล้างจานชามจนเสร็จแล้วจึงดูนาฬิกา เขาหันไปบอกเวลาให้ฆาเบียร์ที่นั่งดูทีวีอยู่ที่โซฟา คนตัวโตตบๆ ที่นั่งข้างตัวและบอกให้เจมานั่งดูทีวีด้วย แต่เจนยุทธส่ายหัวปฏิเสธ ถ้าไปนั่งด้วย สงสัยว่าเขาคงไม่ได้แค่ดูทีวีดีๆ แน่ๆ

“เดี๋ยวผมจะเอารูปที่พี่นพให้มาเมื่อวานใส่รวมในอัลบั้มที่ผมมี คุณดูทีวีไปเถอะ”

เจขึ้นนั่งบนเก้าอี้บาร์หน้าเคาเตอร์ เขาเปิดคอมขึ้นพร้อมหยิบ thumb drive ที่นพให้มาเสียบกับพอร์ท usb เพื่อโอนถ่ายข้อมูล เขาเอา external hard disk ที่เขาพกติดตัวประจำเสียบเข้าที่อีกพอร์ทหนึ่งแล้วเริ่มย้ายรูป ระหว่างรอเขาก็ส่งเมล์เอกสารของเขาให้พี่บูมไปด้วย

“ขอฉันดูด้วยได้ไหม?”

ฆาบี้ปิดทีวีแล้วเดินเข้ามานั่งเคียงข้างเจ เขาถือวิสาสะชะโงกหน้ามาดูที่หน้าจอ เจหันไปยิ้มให้พ่อคนอยากรู้อยากเห็นของเขา

“ได้สิ ผมแยกรูปไว้ตามสถานที่ๆ เคยไป อย่างมาเก๊า ฮ่องกงเนี่ย ผมก็เอาใส่โฟลเดอร์เดียวกันไว้”

เจชี้ให้ดูโฟลเดอร์ “Macau-HK” บนหน้าจอ

“ในนั้นผมก็แยกตามปีที่ไปเที่ยวอีก ส่วนของพี่นพ เขาแยกโฟลเดอร์เป็นตามปี แล้วข้างในก็เป็นรายชื่อสถานที่ ก็ง่ายต่อการย้ายหน่อย”

เจเปิดโฟลเดอร์ปี 2015 ของนพแล้วก๊อปปี้รูปจากโฟลเดอร์มาเก๊ามาวางในโฟลเดอร์ของเขา

“รูปเยอะเหมือนกันนี่นา?”

“ครับ ตาลุงนี่แกชอบถ่ายรูป พกกล้องไปทีสองสามตัว ให้ผมถือตัวนึง พี่แกถือตัวนึง แต่ผมน่ะหลังๆ ก็ใช้กล้องมือถือ สบายดี”



เจยิ้มน้อยๆ เมื่อนึกถึงเพื่อนรุ่นพี่ของเขา เจเล่าว่าตอนช่วงแรกๆ ที่พวกเขาไปเที่ยวกัน นพจะแบกกล้อง DSLR ตัวใหญ่ไป แบกไปบ่นไปว่าหนัก พอหลังๆ มาพี่แกถึงเปลี่ยนไปเล่นกล้องขนาดย่อมแต่คุณภาพรูปดีอย่างพวกกล้อง mirrorless ที่เปลี่ยนเลนส์ได้

"เหรอ? นพเขาใช้กล้องอะไรมั่งล่ะ?"

ฆาเบียร์ถามอย่างสนใจ เขาเองก็เคยบ้าถ่ายรูปอยู่พักหนึ่ง แต่ในตอนนี้เขาพกแค่กล้องคอมแพคท์ซึ่งง่ายต่อการทำงาน

"เอ...น่าจะมีแคน่อน 7D ตัวนึงที่เป็น DSLR แล้วก็มี mirrorless อีกสองสามตัว น่าจะมีโอลิมปัส OM-D EM-10 ตัวนึง แล้วก็ Leica T อีกตัว ตอนนี้ทั้งหมดกองอยู่ในตู้ครับ วันๆ แกไม่ใช่ไปไหนน่ะ จะเอาเวลาที่ไหนไปถ่ายรูปกัน"

"อื้อหือ กล้องดีๆ ทั้งนั้นนะ ฉันก็จำได้ว่าตอนเรียนอยู่นพมันก็พกกล้องติดตัวตลอด สมัยนั้นยังไม่ใช่กล้องดิจิตัลหรอกนะ ยังเป็นกล้องฟิล์มอยู่ ตอนนั้นนพน่าจะใช้กล้องคอมแพคท์ของโอลิมปัสมั้ง แล้วไอ้พี่ตัวดีของนายน่ะ เวลาถ่ายรูปทีก็กดไม่ค่อยบันยะบันยังเท่าไหร่"

ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ นพน้อยคนนั้นของเขาเดินถ่ายรูปไปทั่ววิทยาลัยโดยเฉพาะช่วงใบเมเปิ้ลทั่ววิทยาลัยเปลี่ยนเป็นสีส้มแดงและใบแปะก๊วยเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทอง เมื่อส่งรูปไปอัดมาแล้ว เขาจะเลือกรูปที่ชอบมาติดไว้ข้างเตียง ฆาเบียร์บอกว่าเจว่านอกเหนือจากภาพครอบครัว เพื่อนและภาพหนุ่มน้อยในดวงใจคนนั้นของนพแล้ว ภาพที่นพติดไว้ข้างเตียงก็คือภาพพระอาทิตย์สีแดงฉานที่กำลังตกลับขอบฟ้าอันราบเรียบซึ่งปกคลุมไปด้วยทุ่งข้าวโพดและทุ่งหญ้าของรัฐมินเนโซต้า ภาพต้นไม้ที่เปลี่ยนเป็นสีขาวโพลนเพราะถูกหยดน้ำแข็งปกคลุม และภาพตึกเรียนที่มีอายุเก่าแก่กว่าร้อยปีของวิทยาลัย หากที่คนตัวโตไม่ได้บอกคนรักของเขาออกไปคือ อีกภาพหนึ่งที่นพติดไว้ข้างเตียงคือภาพหนุ่มน้อยร่างอวบนั่งเคียงคู่กับฆาเบียร์ในวัยหนุ่มที่งานปิคนิคของวิทยาลัยในค่ำของวันแรกที่พวกเขาพบกัน เขาเคยถามนพด้วยใจหวังว่าเหตุใดจึงติดรูปเขาไว้ข้างเตียง

“ก็เพราะมึงเป็นเพื่อนคนแรกของกูที่นี่ไง ก็ต้องติดรูปไว้ซะหน่อย”

นี่คือคำตอบซื่อๆ ที่ทำให้ใจของหนุ่มน้อยฆาเบียร์ห่อเหี่ยวลงฉับพลัน



ฆาเบียร์ในวัย 40 อดหัวเราะออกมาไม่ได้เมื่อนึกถึงภาพตนเองในวัยหนุ่มนั้น

“ไม่มีอะไรจ้ะ ฉันนึกถึงเรื่องขำๆ ในสมัยก่อนขึ้นมาได้ เอ่อ…”

ฆาเบียร์รีบตอบเมื่อเจนยุทธถามว่าเขาขำอะไร

"...ตอนนั้นนะ นพมันถ่ายรูปไปทั่ว แล้วก็มาบ่นว่าตัวเองถ่ายเยอะ ล้างอัดแพง ซื้อฟิล์มแพง แล้วทีนี้เวลาจะล้างรูปทีเราต้องส่งรูปไปล้างที่เคาเตอร์รับอัดรูป ฉันก็จำไม่ได้ว่ามันอยู่ที่สหกรณ์หรือไปรษณีย์ของวิทยาลัย​..."

ฆาเบียร์เล่าให้ฟังว่าที่สหรัฐฯ ในยุค 90 นั้น วิธีอัดรูปที่ถูกที่สุดสำหรับเด็กนักศึกษาคือการส่งฟิล์มไปล้างอัดทางไปรษณีย์ โดยนำฟิล์มที่ถ่ายหมดแล้วไปส่งที่เคาเตอร์รับ ทางนั้นก็จะนำใส่ซองกระดาษปิดผนึกและให้เขียนชื่อที่อยู่ไว้ โดยจะใช้เวลาล้างอัดและส่งกลับมาหลายสัปดาห์

"ถ้าฉันจำไม่ผิด รูปพร้อมฟิล์มที่ล้างแล้วจะถูกส่งกลับมาให้ทางไปรษณีย์ตามที่อยู่ที่ให้ไว้ นพมันก็บ่นใหญ่ว่าที่นี่ล้างอัดแพง ม้วนนึงก็แพงอยู่มั้ง ฉันก็จำราคาไม่ได้แล้ว เขาบอกว่าที่ไทยน่ะ ในตอนนั้นล้างอัดรูปทีใช้เวลาแค่ไม่กี่วัน แถมยังใบละแค่ไม่ถึงสิบบาท"

เจนยุทธฟังอย่างสนใจ เขาโตมากับยุคกล้องดิจิตอล ถึงพ่อเขาจะเล่นกล้องฟิล์ม แต่ตัวเจไม่ได้มรดกความสนใจทางนี้มาเลย กลับเป็นพี่จืดมากกว่าที่ชอบเล่นกล้องใหญ่อย่าง DSLR ส่วนเขาใช้แค่กล้องมือถือกับกล้องมิเรอร์เลสของนพเวลาไปเที่ยวเท่านั้น



"แล้วฝีมือถ่ายรูปของนพพัฒนาขึ้นหรือยัง ฉันจำได้ว่าตอนเรียนมันอัดรูปมาทีไรก็จะบ่นตลอด ว่าถ่ายมัวมั่ง เบี้ยวมั่ง​ องค์ประกอบภาพไม่ดีมั่ง"

“ไม่เลยครับ แกยังถ่ายเบี้ยว ถ่ายเอียงเหมือนเดิม แกใช้กล้องดีๆ พวกนั้นเหมือนกล้องป๊อกแป๊กเลย ใช้โหมด P ไม่ก็ออโต้อย่างเดียว เวลาถ่ายก็ยกขึ้นเล็งแล้วถ่าย ไม่มีการมานั่งปรับอะไร ผมก็ถามว่าทำไมไม่ซื้อกล้องคอมแพคท์ จะมาซื้อพวกนี้ให้แพงทำไม แกบอกว่าเลนส์กับระบบประมวลผลที่ดีกว่าทำให้รูปมันออกมาดีเอง แกบอกว่าแกเลือกมุมถ่ายไม่เก่ง ก็ต้องอาศัยอุปกรณ์ช่วย ขืนฝีมือห่วย มุมกล้องห่วย แถมอุปกรณ์ห่วย รูปก็ยิ่งออกมาดูไม่ได้ ใช้กล้องดีอย่างน้อยรูปก็คมชัดกว่า”

ฆาเบียร์หัวเราะลั่นเมื่อได้ฟังแนวคิดแบบเข้าข้างตัวเองของเพื่อนรัก

“ไอ้นี่มันก็แถไปเรื่อยตลอดมาตั้งแต่สมัยนู้นแล้ว แก่มาก็ยังไม่เลิกอีกนะ”

ฆาเบียร์ยิ้มกว้างเมื่อนึกถึงวีรกรรมเก่าๆ ของอดีตรูมเมท เขาหุบยิ้มทันทีเมื่อนึกขึ้นมาได้

“เอ่อ เจ ฉันขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจคิดถึงเรื่องเก่าๆ นะ”

เจนยุทธเกาหัว

“คุณครับ ผมยังไม่ได้ว่าอะไรเลย จะต้องขอโทษทำไม? ผมยังไม่ได้คิดอะไรเรื่องคุณกับพี่นพเลยสักนิด หรือว่าคุณคิด?”

“เฮ้ย ไม่ๆ ฉันไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นแล้ว ฉันสาบานเลย”

ฆาเบียร์ยกนิ้วสาบาน ในหัวเขาไม่เหลือความคิดเชิงรักใคร่กับนพอีกแล้ว ที่เขานึกถึงมีแค่เรื่องช่วงเวลาสนุกๆ ที่พวกเขาเคยมีด้วยกันในฐานะเพื่อนเท่านั้น

“ก็นั่นไง ถ้าไม่ได้คิดอะไร คุณก็ไม่ต้องมาคอยระวังขนาดนั้น ถ้าผมไม่สบายใจหรือรู้สึกไม่ดี ผมก็จะบอกเอง เข้าใจไหม?”



เจกุมมือใหญ่ของคนรักแล้วยกขึ้นจูบเบาๆ

“ผมเชื่อใจคุณนะฆาบี้และผมก็เชื่อใจพี่นพด้วย ถ้าพวกคุณบอกว่าไม่ได้คิดอะไรกันแล้ว ผมก็ว่าตามนั้น แล้วไอ้การที่คุณมาคอยระวังนั่นนี่น่ะ มันทำให้พี่นพไม่สบายใจด้วย รู้ไหม?”

นพเคยเปรยกับเจบ้างว่าบางครั้งฆาเบียร์ก็ดูเกร็งเมื่อต้องพูดคุยกับเขาต่อหน้าเจ มันทำให้นพเองพาลไม่สบายใจไปด้วย เขาไม่รู้ว่าที่ฆาเบียร์ต้องคอยระวังอย่างนั้นเป็นเพราะตัวเจนยุทธยังคิดมากเรื่องอดีตของพวกเขาทั้งสองหรือไม่ หลังจากที่เจกลับมาจากมาเก๊า นพได้เรียกเจ้าน้องชายคนสนิทมาคุยเพื่อเคลียร์กันให้เข้าใจ เจมีทีท่างงๆ เมื่อถูกถามและบอกว่าเขาเลิกสงสัยเรื่องสองคนนี้แล้วมานานแล้ว เขาไม่นึกเลยว่าทีท่าของฆาเบียร์จะทำให้นพอึดอัดใจ และรับปากว่าจะลองคุยกับฆาเบียร์ดูเมื่อมีโอกาส

"ผมไม่อยากให้เราสามคนต้องคบหาอย่างหวาดระแวงหรือว่ามีความไม่สบายใจในตัวกันและกัน ผมรักคุณมากนะฆาบี้ แต่พี่นพก็เป็นคนสำคัญในชีวิตผมเหมือนกัน ผมอยากมีพวกคุณทั้งสองคนอยู่ในชีวิต ไม่อยากให้การที่เราคบหากันกลายเป็นการผลักพี่นพให้ออกไปจากชีวิตของพวกเรา คุณเข้าใจผมใช่ไหม?"

ฆาเบียร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาสบตากับคนรัก คนตัวโตเห็นแต่ความหนักแน่นและจริงใจในดวงตากลมหวานคู่นั้น

"เข้าใจสิ แจ่มแจ้งถ่องแท้เลยล่ะ แต่ฉันควรต้องทำตัวยังไงล่ะ เจนยุทธ? คือ ฉันไม่มีปัญหาในการทำตัวเหมือนเดิมกับนพ เพราะฉันไม่ได้คิดอะไรกับเขาแล้ว และนพก็ไม่ได้คิดอะไรกับฉัน แต่นายจะรับได้ไหม ฉัน เอ่อ ฉันเกรงใจเจนะ"

คนตัวโตพูดเสียงอ่อยๆ เขาไม่อยากเห็นน้ำตาหรือสีหน้าที่แสดงความลังเลของเจอีก เจนยุทธหัวเราะออกมาเบาๆ

"ที่รักครับ ผมบอกแล้วไง ว่าผมไม่เป็นอะไรแล้ว ไม่คิดอะไรแล้วจริงๆ ตอนนี้ต่อให้คุณไปค้างอ้างแรมกับพี่นพสองต่อสองหรือว่าอะไร ผมก็จะไม่สงสัยเลย โอเคไหม? ถ้าพูดอะไรออกมาก็แปลว่าแค่แซวเฉยๆ ไม่ต้องซีเรียสอะไรมาก แต่ถ้าวันไหนผมเกิดหวั่นไหวขึ้นมาจริงๆ ผมสัญญาว่าจะบอกทันที ฉะนั้น ถ้าผมยังไม่พูดอะไร คุณก็เชิญทำตัวเหมือนเดิมได้เลย โอเค๊?"

ฆาเบียร์ยิ้มกว้างออกมา เขาโอบกระชับไหล่ของเจและหอมแก้มป่องๆ นั้นฟอดใหญ่

"คนดีของฉันใจกว้างจริงๆ ขอบใจจ้ะ"

เจหันมาจุ๊บเบาๆ ที่ปากคนรักตอบและซบหน้าลงกับไหล่กว้างอันแสนอบอุ่นของฆาเบียร์



“ขอฉันฟังคำว่ารักจากปากเจอีกทีสิจ๊ะ”

คนตัวโตอ้อน เขาใจละลายทุกครั้งที่เจพูด L-word ออกมา เจนยุทธดันกายออกจากอ้อมอกอุ่นของคนรัก เขายกมือขึ้นแนบแก้มของฆาเบียร์และจ้องลึกเข้าไปในดวงตาคมวาว

”I love you. Love you. Love you”

พร้อมคำรักนั้น เจจุมพิตที่หน้าผาก สองแก้ม และจบลงที่ริมฝีปากของเมียตัวโตของเขา ฆาเบียร์จูบตอบ มันเป็นจูบเปี่ยมรักไม่ใช่ราคะ ฆาบี้อดใจหายไม่ได้เมื่อนึกถึงว่าพรุ่งนี้เขาต้องจากคนรักของเขาไปอีกแล้ว เขาอยากสัมผัสริมฝีปากนิ่มๆ เบื้องหน้านี้ทุกเมื่อเชื่อวัน เจยกมือขึ้นโอบคอคนตัวโต ใจของเขาก็ปวดร้าวเช่นกันเมื่อนึกถึงคืนวันอันเปลี่ยวเหงาที่ไม่มีคนรักอยู่เคียงข้าง พวกเขาอ้อยอิ่งป้อนจูบให้กันอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่คนตัวโตจะดันร่างเพรียวที่แทบจะฝังตัวในอ้อมอกเขาออก

“ดูรูปกันต่อดีกว่านะ”

คนตัวโตเบรคคนรักที่ทำตาแดงๆ เจพยักหน้า เขาข่มใจให้สงบและหันหน้าจอมาให้ฆาเบียร์ดู



"เอ้า ไหน ขอดูรูปที่พวกนายไปเที่ยวหน่อยซิ ไปไหนมากันมั่ง?..."

คนตัวโตไล่นิ้วไปตามโฟลเดอร์ที่อยู่บนหน้าจอ

"ฮ่องกง มาเก๊า นี่ไม่ต้องดูก็ได้มั้ง  สเปน อิตาลี ดูนี่ดีกว่า..."

"ทริปนี้ผมไปกับแม่กับพี่อิ่มครับ ไปหลังพ่อเสียได้ครึ่งปี พาแม่ไปเที่ยวจะได้ไม่ต้องเศร้ามาก"

ฆาเบียร์ที่ทำท่าจะคลิกดูชะงักเมื่อได้ยินคำของเจ เขาหันไปขออนุญาตเจนยุทธก่อน เจพยักหน้าน้อยๆ คนตัวโตคลิกเปิดภาพในโฟลเดอร์มาดู

"รูปที่สวยๆ นี่มาจากกล้องพี่อิ่มครับ ของผมใช้กล้องคอมแพ็คถ่าย มีแต่รูปอาหารซะเยอะ"

เจนยุทธยิ้มเขินๆ ฆาเบียร์คลิกๆ ดูรูปแล้วก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ กล้องของเจมีแต่รูปอาหารจริงๆ

"พวกผมไปสเปนก่อน ไปมาดริด บาร์เซโลน่า เซวิย่า แล้วก็บาเลนเซียสี่เมืองครับ ชอบหมดทุกเมือง แต่ก็แอบน่ากลัวนิดหนึ่งตรงพวกยิปซีที่คอยจะล้วงกระเป๋าเรานี่แหละ"

เจเล่าให้เขาฟังว่าแม่กับพี่อิ่มเกือบตกเป็นเหยื่อของพวกโจรตัวร้ายพวกนี้

"ตอนนั้นพวกผมไปเดินเล่นกันที่ย่าน Barri Gotic..."

ย่าน Barri Gotic ที่เจว่าคือย่านเก่าแก่ที่สุดของบาร์เซโลน่า ว่ากันว่ามีการตั้งรกรากในที่แห่งนี้ตั้งแต่สมัยโรมัน หากเหล่าตึกที่สร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบโกธิคในย่านนี้โดยมากไม่ได้เก่าแก่ไปจนถึงยุคกลางตามชื่อของมัน หากถูกสร้างใหม่ขึ้นช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ถึงต้นศตวรรษที่ 20 ในโครงการฟื้นฟูย่านที่อยู่อาศัยให้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเพื่อจัดแสดงในงาน International Exhibition ที่จัดขึ้นที่บาร์เซโลน่าในปี 1929

ในช่วงศตวรรษที่ 18 ตึกรามบ้านช่องจากสมัยยุคกลางถูกทำลายและถูกปรับเปลี่ยนไปมาก อาคารใหญ่ๆ ถูกต่อเติมและปรับแต่งให้กลายเป็นอพาร์ทเมนท์รูหนู ย่านนี้กลายเป็นชุมชนแออัดจนกระทั่งทางเมืองได้วางแผนเปลี่ยนแปลงมันให้กลับคืนสู่สภาพใกล้เคียงกับที่เคยเป็น มีการย้ายผู้คนออกจากย่านนี้ ตึกรามที่เสื่อมสภาพถูกทุบทำลายและสร้างขึ้นใหม่ หลังที่ยังมีสภาพดีก็ได้รับการบูรณะ มีการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างหรือกำแพงที่ชาวบ้านต่อเติมออกและทำการตกแต่งประดับประดาให้ดูเหมือนอาคารในยุคกลางอีกครั้ง ในปัจจุบันอาคารเหล่านี้ถูกใช้เป็นร้านค้า ร้านอาหารและโรงแรมโดยมีทางการเป็นผู้ควบคุมและดูแล



(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)



CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

@@@The Taste of Love...อิ่มรักรสโอชา - Jay's Journey (12/7/61)
« ตอบ #339 เมื่อ: 12-07-2018 07:00:00 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- Jay's Journey (ต่อ) ----



แม้ย่านนี้จะกลายเป็นย่านที่สวยงามและเป็นที่นิยมในบรรดานักท่องเที่ยว แต่สิ่งที่ตามมาก็คือเหล่ามิจฉาชีพ บาร์เซโลน่าจัดเป็นหนึ่งเมืองอันตรายสำหรับนักท่องเที่ยว การฉกชิงวิ่งราวและล้วงกระเป๋าเป็นสิ่งที่พบเจอได้เป็นประจำ โดยเฉพาะในแหล่งท่องเที่ยวที่มีผู้คนแออัดอย่างย่านโกธิคและถนนคนเดินที่ถูกเรียกว่าสวยที่สุดในโลกอย่าง Las Ramblas ซึ่งอยู่ไม่ห่างออกไปนัก

"ตอนนั้นพวกผมไปหาซื้อรองเท้า espadrille ไอ้รองเท้าผ้าที่พื้นเป็นเชือกถักแบบสเปนน่ะครับ พี่อิ่มเขาอยากได้ เพื่อนคนสเปนของเจ๊เขาแนะนำร้าน La Manual Alpargatera​ ในย่านโกธิค พวกเราก็ไปแวะดูของในร้าน ก็เลือกรองเท้าไปนั่นนี่ไป พี่อิ่มก็ซื้อไปซะหลายคู่ ทีนี้เงินปลีกที่พี่อิ่มเขาแยกใส่กระเป๋าเล็กไว้ใช้รายวันมันก็ไม่พอจ่าย เจ๊แกก็ไม่อยากรูดการ์ด ก็เลยเอาแบงค์ใหญ่ที่ซ่อนไว้ออกมา..."

อิ่มใจกับแม่นั่งลงที่ม้านั่งยาวภายในร้าน อิ่มเปิดกระเป๋าน้อยที่เธอซ่อนไว้ในกระเป๋าถือ ในนั้นบรรจุไปด้วยธนบัตร 100 และ 200 ยูโร เธอหยิบเงินออกมานับโดยไม่ได้ระวังตัวเพราะคิดว่าตัวเองนั่งอยู่ในร้านค้าที่ปิดมิดชิด

"เจ๊บอกผมว่าอยู่ๆ เจ้าของร้านเขาเดินมาเรียกทั้งเจ๊และแม่ให้ไปหาเขาทันทีเลย เจ๊ก็งงๆ ว่าทำอะไรผิด พอเดินเข้าไปหา เจ้าของร้านก็ดุให้เลย เขาว่าเธอไม่ระวังตัวเลย ห้ามเอาเงินออกมานับเงินแบบนี้เด็ดขาด เธอรู้ไหมว่าไอ้ครอบครัวที่มันยืนอยู่ตรงนั้น มันเป็นพวกโรม"

พวกโรมที่ว่าคือคำที่คนสเปนใช้เรียกพวกยิปซีที่อพยพมาจากโรเมเนีย อิ่มใจเล่าว่าเจ้าของร้านแทบจะชี้มือไปไปที่คนกลุ่มหนึ่งซึ่งมีผู้ชายหนึ่งคนและหญิงสาวอีกสองคน ในสายตาอิ่มแล้ว พวกเขาไม่ได้ดูต่างไปจากคนสเปนหรือนักท่องเที่ยวชาวยุโรปทั่วไปเลย เจ้าของร้านพูดด้วยเสียงค่อนข้างดังว่า

'พวกเธออาจจะดูไม่ออก แต่พวกเรารู้ว่าพวกนี้มันคือโรม ดูสิ เข้าร้านรองเท้ามา แต่ไม่ได้สนใจดูรองเท้าสักนิด'

เจ้าของร้านยังบอกอีกว่าเมื่อตอนที่อิ่มหยิบเงินขึ้นมานับ คนพวกนั้นก็คอยดูว่าเธอเก็บเงินไว้ตรงไหน พวกเขาจะเข้าประกบเพื่อล้วงกระเป๋าเธอภายหลังจากออกร้านไปแล้ว

"เจ๊บอกว่าป้าเจ้าของร้านยังกวักมือเรียกผู้หญิงอเมริกันอีกคนมาเตือนด้วย บอกว่าเธอเองก็โดนเล็งเช่นกัน"



"แล้วไงต่อๆ"

ฆาเบียร์ถามด้วยความอยากรู้เมื่อเจหยุดพักจิบน้ำ

"พอพวกนั้นเห็นเจ้าของร้านเปิดโปงตัวเองก็เดินหนีออกร้านไป ไปซะง่ายๆ แบบนั้น จะแจ้งความก็ไม่ได้เพราะยังไม่มีเหตุ พี่อิ่มงี้รีบย้ายที่ซ่อนกระเป๋าแล้วก็แทบจะกอดกระเป๋าสะพายของตัวเองไว้เลยครับ ส่วนผมก็โดนด่าตามระเบียบ"

เจนยุทธหัวเราะแหะๆ

"อ้าว ทำไมล่ะ?"

ฆาเบียร์ถามอย่างสงสัย

"ก็ในตอนนั้นผมทิ้งแม่กับพี่อิ่มไว้ในร้านสองคน ส่วนตัวเองออกไปลั้นลาถ่ายรูปอ่ะสิ หลังจากนั้นผมเลยต้องคอยเดินประกบแม่ตลอดเลยครับ โดยเฉพาะตอนไปเดินที่ลาส รัมบลาส"

"เออ ใช่ ไอ้ถนนนั่นมันอันตรายจริงๆ จ้ะ"

ฆาเบียร์พูดออกมาเบาๆ เขารู้กิติศัพท์ของถนนสายนี้ดี ถนนแสนสวยนี้ทอดยาว 1.2 กิโลเมตรจากมหาวิหารของบาร์เซโลน่าไปจนถึงอนุสาวรีย์โคลัมบัสที่หน้าหาด มันมีต้นไม้ปลูกเป็นแนวสองข้างทางและมีร้านค้าและภัตตาคารเรียงรายตลอดแนวถนน หากถนนสายนี้ก็เป็นแหล่งหากินชั้นดีของเหล่ามิจฉาชีพเช่นกัน โดยเฉพาะในวันอาทิตย์ที่มีการจัดตลาดนัดขายดอกไม้และสัตว์เลี้ยงกลางถนน

"พนักงานของฉันคนหนึ่งเคยโดนจี้หน้าด้านๆ บนถนนนี้เลยนะ ทั้งๆ ที่มีคนอยู่เต็มไปหมด แต่ไม่มีใครรู้หรือใส่ใจเลยว่าเขาโดนจี้"

"เห้ย โดนได้ไงอ่ะคุณ?"

เจถามอย่างสงสัย ถ้าโดนล้วงกระเป๋านั้นเขาไม่แปลกใจ แต่ถ้าจี้กันกลางถนนนั้น เจมองว่าน่าจะเป็นเรื่องยาก



"ฉันบอกได้แค่ว่า อย่าหยุดเดิน"

ฆาเบียร์พูดพร้อมโคลงหัวน้อยๆ พนักงานของเขาคนนั้นมาแบ็คแพ็คตามลำพัง เขามาเดินเที่ยวถนนคนเดินแห่งนี้และหยุดดูการแสดงมายากลข้างถนน

"ก็เป็นพวกกลง่ายๆ จำไม่ได้ว่าเป็นกลไพ่หรือกลสลับลูกเหล็ก แต่พอเขาหยุดดูได้ไม่นาน ก็มีพวกผู้ชายตัวใหญ่ๆ เข้ามายืนล้อมเขาไว้ หนึ่งในนั้นควักมีดขึ้นมาจี้และให้เขาส่งกระเป๋ามา จะเรียกให้ใครช่วยก็ไม่ได้ทั้งๆ ที่รอบข้างมีคนเดินอยู่เต็มไปหมดเพราะว่าถูกยืนบังไว้รอบทิศ สุดท้ายก็ต้องให้ของมันไป"

ฆาเบียร์บอกว่าถนนคนเดินในวันอาทิตย์ของบาร์เซโลน่ามีคนแน่นไม่ต่างจากถนนคนเดินของเชียงใหม่เลย

"อ่า พนักงานคุณคนนี้ต้องเป็นคนตัวเล็กแน่ๆ เลย"

"ใช่จ้ะ เขาเป็นจีนมาเลย์ ตัวไม่ใหญ่นัก โดนยืนบังไว้มิด พวกนี้มันจะคอยเล่นงานคนเอเชียด้วย เพราะรู้ว่าจะไม่ค่อยมีปากมีเสียงเท่าไหร่"

เจพยักหน้า ถ้าเป็นเขาโดนแบบนั้นก็คงต้องส่งกระเป๋าตังค์ให้โดยดี

"ฉะนั้น ถ้าไปเที่ยวแบบนี้ โดยเฉพาะโซนยุโรป ถ้าจะหยุดดูการแสดงอะไร ก็ต้องอย่าดูเพลิน ถ้ามีคนทำท่าจะล้อมเรา หรือทำท่าจะเข้าประชิดตัวเราเกินควร ก็ให้เดินหนีเลย แล้วเวลาจะหยุดถ่ายรูปหรือดูแผนที่ก็ต้องดูรอบๆ ดีๆ ถ้าจะให้ดี ให้ยืนพิงกำแพงไว้ จะได้ระวังแค่สามด้านพอ"

คนที่เดินทางมามากเล็คเชอร์เจนยุทธ เขาบอกว่าเขาเคยเขียนเรื่องสารพัดกลวิธีของพวกมิจฉาชีพพวกนี้ลงในเพจด้วย



"นอกจากพวกล้วงกระเป๋า จี้ปล้น ยังมีพวกขอเงินหน้าด้านๆ อีกนะ ฉันเคยเจอที่ปารีส ฉันกับอาปากำลังยืนให้คนขับรถของเราถ่ายรูปให้ที่หน้าหอไอเฟล จู่ๆ ก็มีคนแต่งตัวเป็นกอริลล่าโดดมาเข้ากล้องด้วย มากอดคอถ่ายรูปด้วยเลยนะ จากนั้นก็เรียกเอาตังค์ บอกว่าเราถ่ายรูปเขา ฉันลบรูปตรงนั้นแล้วเดินหนีเลย"

คนตัวโตหัวเราะหึๆ เขาไม่ใช่คนตัวเล็กและหน้าตาก็ดุดันเอาเรื่อง ไอ้เจ้ากอริลล่านั่นเลยไม่กล้าตามมาตอแย

"เออ ผมก็เคยเจอ มีป้ายิปซีเข้ามาจับไม้จับมือจะทำนายอะไรให้ที่เซวิย่า เอาใบอะไรไม่รู้มาลูบๆ ฝ่ามือแล้วชมนั่นนี่ พอจบก็จะยัดเยียดอิใบนั่นให้ผม ผมก็เลยให้ตังค์ไปยูโรนึง”

เจบ่นอุบอิบว่าสำหรับเขายูโรหนึ่งนี่ก็เยอะแล้ว ในตอนนั้นหนึ่งยูโรก็ตั้งสี่สิบกว่าบาท ที่ไทยเขายังไม่เคยให้ขอทานเกินยี่สิบบาทเลย

“...สรุปอิป้ามันทำท่าโมโหเว้ย บอกว่าแค่นี้ไม่พอ ผมก็เลยเอ็ดเป็นภาษาอังกฤษดังๆ ให้คนสนใจว่าผมไม่ได้อยากได้สักนิด ป้าเอามาให้ผมเอง แล้วจะมาเอาตังค์ได้ไง อะไรแบบนี้"

เจบอกว่าหลังจากเห็นคนเริ่มหันมามอง ป้าก็บ่นพึมพำแล้วเดินหนีไป



"ถูกต้องแล้วเจ มีอะไรให้เอะอะเข้าไว้ ถ้ามันทำพูดไม่รู้เรื่อง เจก็ตะโกนภาษาไทยใส่หน้าไปเลย แต่ที่ฉันเคยเจอวิธีแก้เผ็ดพวกนี้ที่เจ๋งที่สุดที่อิตาลี..."

ฆาเบียร์พูดยิ้มๆ

"ฉันไม่แน่ใจว่าที่ฟลอเรนซ์หรือมิลาน แต่จำได้ว่าเป็นที่หน้ามหาวิหารของเมือง..."

ในย่านท่องเที่ยวที่มีคนพลุกพล่านนั้นย่อมมีคนที่คอยจะหากินกับนักท่องเที่ยว ฆาเบียร์บอกว่าที่เขาเคยเจอคือกลุ่มคนผิวสีที่คอยเร่ขายสร้อยข้อมือที่ทำจากเชือกถัก แต่แทนที่จะวางขายดีๆ พวกนี้ใช้วิธีเอามันมามัดข้อมือคนที่เผลอแล้วเรียกร้องเงิน

"มีคนจะเอามันมาคล้องมือฉันเหมือนกัน แต่ฉันรีบสะบัดทิ้งแล้วเดินหนีเลย แต่มีคนนึงที่ทำให้พวกคนผิวสีพวกนั้นอึ้งไปเลย..."

เขาบอกว่าพอเขาเดินหนีมาตั้งหลักห่างๆ แล้ว เขาก็หันกลับไปดูว่าพวกนั้นเดินตามมาหรือไม่ แต่ก็เห็นว่าพวกนั้นเดินไปหาเหยื่อรายใหม่ซึ่งเป็นหนุ่มอิตาเลียน หนุ่มคนนั้นกำลังยืนกดโทรศัพท์อยู่ คนขายสร้อยคนหนึ่งก็เดินเข้าไปเอาสร้อยมัดมือเขาให้เสร็จสรรพ หนุ่มอิตาเลียนคนนั้นเงยหน้าขึ้นดูและยิ้มน้อยๆ

“Grazie!”

เขากล่าวคำขอบคุณ จากนั้นก็เดินหนีคนขายไปพร้อมกับเชือกถักที่ข้อมือ

"เห้ย ทำแบบนั้นก็ได้เหรอคุณ? เชิดสร้อยเขาหนีไปแบบนั้นอ่ะนะ? แล้วพวกนั้นทำไงอ่ะ?"

เจร้องลั่น เขาหัวเราะอย่างถูกใจ

"ก็อึ้งไปสิเจ ไม่กล้าเดินตามไปทวงคืนด้วย ต่อให้เดินไปทวงคืน เขาก็คงแกะคืนให้แล้วบอกว่าไม่รู้ นึกว่าให้ฟรี"

ฆาเบียร์หัวเราะหึๆ เหนือกว่ามิจฉาชีพก็คงเป็นคนอิตาเลียนนี่แหละ



"ไปๆ มาๆ ผมว่าเที่ยวยุโรปนี่น่ากลัวกว่าเอเชียอีก ยิ่งถ้ามีคนที่ต้องคอยดูแลด้วยนะ"

เจบ่นอุบ เมื่อครั้งที่เขาพาแม่ไปเที่ยวสเปนและอิตาลีด้วยตัวเอง เขากับพี่อิ่มต้องระวังไปหมดทุกอย่างจนแทบจะหมดสนุก

"เวลาไปที่ไหนกันทั้งบ้านบางทีพวกผมก็ชอบไปทัวร์แทนครับ อย่างน้อยก็ไม่ต้องห่วงมากเวลาเดินทาง ไม่ต้องไปขึ้นรถใต้ดินหรือหาแท็กซี่ ไม่ต้องแบกของพะรุงพะรังเวลาลงเดิน เก็บที่ท่องเที่ยวได้ครบ ถ้าได้ไกด์ดีก็มีคนคอยบรรยายให้ความรู้ ไม่ต้องมาแพลนอะไรมากก่อนเดินทาง คุมงบได้ แต่มันก็แลกมากับว่าอดกินของอร่อย บางทีก็ไม่ได้ไปที่ๆ เราสนใจ และได้ไปแต่ที่ๆ เราไม่สนใจบ้าง แถมยังต้องรีบทำเวลาตอนแวะสถานที่ท่องเที่ยวหรือซื้อของครับ"

เจเปิดรูปที่เขาไปเที่ยวเองให้ฆาเบียร์ดูเรื่อยๆ ฆาเบียร์ยิ้มดูภาพสามคนแม่ลูกในหลากหลายเมือง เจชี้ให้ดูภาพที่พวกเขาถ่ายหน้าศูนย์ศิลปะและวิทยาศาสตร์ของเมืองบาเลนเซียที่ดูล้ำสมัย

"ที่นี่เขามีพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำด้วยครับ สวยทีเดียว พี่อิ่มงี้ติดใจมาก"

เจชี้อีกรูป

"ส่วนนี่ วังหลวงที่มาดริด คุณคงเคยเข้าไปแล้วมั้ง เสียดายที่เขาไม่ให้ถ่ายรูปข้างใน มันสวยไปหมดเลยครับ"

เจบอกว่าเขาติดใจห้องโชว์เครื่องดนตรีที่มีเครื่องสายของผู้ผลิตชื่อก้องโลกจากปลายศตวรรษที่ 17 และต้นศตวรรษที่ 18 อย่างอันโตนี่ สตราดิวาริอุส

"เจรู้ไหมว่าที่วังหลวงของมาดริดเนี่ยมีเครื่องสายของสตราดิวาริอุสมากที่สุดในโลกคือห้าตัว มีไวโอลินสองตัว วิลอนเชลโล่สองตัวและวิโอล่าอีกหนึ่งตัว ทั้งห้าตัวนี้ว่ากันว่ามีมูลค่ารวมกันเกินร้อยล้านยูโรเชียวนะ"

เจตาเหลือก เครื่องสายมูลค่าตัวละเกือบพันล้านบาทเหล่านั้นถูกจัดแสดงไว้ในตู้กระจกหน้าตาบอบบาง ถ้ามีใครเสียหลักชนก็คงตกแตกอย่างไม่ต้องสงสัยแน่นอน ฆาเบียร์หัวเราะท่าทางของคนรัก เขากดปุ่มเลื่อนภาพไปเรื่อยๆ จนหมดอัลบั้มสเปน



"นายชอบสเปนไหม?"

เจพยักหน้า

"ชอบครับ ถึงจะต้องลุ้นเรื่องโดนล้วงกระเป๋าหรือโดนจี้หน่อย แต่ผมก็ชอบนะ อย่างมาดริดกับบาร์เซโลน่านี่ตึกรามบ้านช่องมันสวยไปหมด ส่วนบาเลนเซีย ก็หลากหลายดี แต่ก็คงไม่ไปซ้ำแล้วล่ะ แต่ที่ผมชอบมากที่สุดเลยคือเซวิย่า ผมว่าเมืองมันโคตรโรแมนติกเลย"

เจบอกว่าเขาพักในย่านเมืองเก่าที่เต็มไปด้วยอาคารโบราณซึ่งมีทั้งแบบโกธิค บาโร็ก เรอเนสซองซ์และแบบมูเดฆาร์หรือสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานระหว่างแบบแขกมัวร์และคริสเตียน บรรยากาศของเมืองหลวงแห่งแคว้นอันดาลูเซียแบบนี้คือภาพความเป็นสเปนแท้ๆ ที่ผู้คนอยากมาสัมผัส

"ตอนกลางคืนผมออกมาเดินเล่นคนเดียว ผมชอบทุกอย่างเลย ทั้งพวกซอยแคบๆ ตึกรามบ้านช่องสวยๆ ไฟสีส้มๆ เสียงคนเล่นกีตาร์สเปน เสียงคนคุยกันในร้านทาปาส มันมีชีวิตชีวามากครับ ผมชอบจริงๆ"

"งั้น อยากกลับไปอีกรอบไหม เจ?"

ฆาเบียร์ถามยิ้มๆ

"อยากไปสิ คุณจะไปกับผมเหรอ? เมื่อไหร่ดีล่ะ?"

เจเกาะแขนคนรักและถามอย่างตื่นเต้น

"ก็ไหนๆ เราก็จะต้องไปงานแต่งของฌองที่ฝรั่งเศสตอนเดือนตุลาอยู่แล้ว เราก็แวะเที่ยวสเปนกันก่อนดีไหมล่ะ? ไปซัก มาดริด บาร์เซโลน่า เซวิย่าแบบที่เจเคยไป จะเพิ่มเมืองอื่นแบบโตเลโดหรือกรานาดาด้วยก็ได้ ไว้เราค่อยมาแพลนกันอีกที"

"เยี่ยมเลยครับคุณ! โอ๊ย ผมดีใจจัง! ไว้ผมจะหาข้อมูลนะ แล้วจะเอาไปเสนอ"

เจนยุทธยิ้มกว้าง จะมีอะไรดีกว่าได้ไปเมืองที่เขามองว่าโรแมนติกที่สุดกับคนที่เขารัก



เจเปิดรูปจากทริปสเปนและอิตาลีให้ฆาเบียร์ดูต่อ ตอนนี้พวกเขามาถึงภาพในส่วนของประเทศอิตาลีแล้ว

"อิตาลีนี่เจไปแค่สองที่เองเหรอ? เวนิสกับโรม?"

ฆาเบียร์ดูภาพเจ ฟองนวลและอิ่มใจโพสต์ท่าให้คนแจวเรือกอนโดล่าถ่ายรูปให้

"ครับ พวกเราใช้เวลาส่วนใหญ่ในสเปนและแวะอิตาลีแค่สี่คืน แต่เหตุผลหลักที่ทำให้เรามาเที่ยวคราวนี้ก็อยู่ที่เวนิสนั่นแหละครับ"

เจบอกว่าพ่อกับแม่ของเขาเคยเดินทางมาที่อิตาลีหลังจากแม่ของเขาถูกล็อตเตอรี่ พ่อของเจตกหลุมรักเมืองแห่งสายน้ำริมฝั่งทะเลอาเดรียติคแห่งนี้เข้าอย่างจัง แต่ในตอนนั้นพวกเขามากับทัวร์และมีเวลาอยู่ในเมืองแห่งนี้เพียงแค่คืนเดียว เขาพูดกับลูกเมียตลอดเวลาว่าถ้ามีโอกาสเขาอยากกลับมาเยือนดินแดนแห่งนี้อีกครั้งและใช้เวลาที่นี่นานขึ้นอีกหน่อย แต่เขาก็เสียชีวิตลงก่อนที่จะได้ทำอย่างที่ปรารถนา

"ในตอนแรก พวกผมตั้งใจว่าจะเอาอังคารของพ่อบางส่วนมาลอยที่นี่ด้วย แต่พอพี่อิ่มลองหาข้อมูลดูเอาตอนก่อนเดินทางไม่นานก็ปรากฎว่ามันต้องทำเรื่องขออนุญาตมากมายหลายสิ่ง ซึ่งพวกเราทำไม่ทันแล้ว ก็เลยตัดสินใจว่าพวกเราจะแค่พกรูปของพ่อมาเที่ยวด้วยแค่นั้น"

เจหัวเราะเบาๆ แล้วบอกว่า นึกๆ ดูแล้ว ถ้าพวกเขาจะแอบๆ พกอังคารของพ่อมาเทลงน้ำก็คงพอได้ แต่พวกเขาก็ไม่อยากที่จะฝ่าฝืนกฎหมายของบ้านเมืองอื่น

"น่าจะยากหน่อยนะเจ ฉันเคยอ่านเจอว่าถ้าจะเอาเถ้าอังคารติดตัวอาจจะต้องขอใบอนุญาตอะไรมาด้วย เพราะว่าเถ้าอังคารของคนเวลาผ่านเข้าเครื่องเอ็กซ์เรย์ที่สนามบินแล้วจะดูเหมือนวัตถุระเบิด รับรองว่าโดนเปิดดูแน่ เว้นแต่จะมีใบไปแสดง"

คนตัวโตพูดยิ้มๆ เจทำท่าตกใจ เขาบอกว่าดีแล้วที่สุดท้ายพวกเขาเลือกพกไปเพียงรูปถ่ายของพ่อเท่านั้น

"ถ้าคุณดูในรูปนี้จะเห็นกรอบรูปเล็กๆ ที่แม่เอาวางไว้บนโต๊ะด้วย นี่ ตรงนี้ นั่นแหละรูปของพ่อ"

ฆาเบียร์น้ำตาซึม ภาพนั้นเป็นภาพของทั้งสามคนในร้านอาหาร แม้ใบหน้าของทั้งสามจะยิ้มแย้ม แต่ฆาเบียร์กลับรู้สึกเศร้าเหลือเกินเมื่อมองดูมัน ในภาพนั้น เขาเห็นได้ว่าฟองนวลวางกรอบรูปที่มีภาพของสามีไว้บนโต๊ะตรงตำแหน่งที่นั่งที่ว่างอยู่ประหนึ่งมีเลอลาภมาเที่ยวด้วยอีกคน มันทำให้เขาอดคิดถึงครอบครัวของเขาไม่ได้



ในช่วงแรกๆ หลังจากที่พ่อแม่ของเขาจากไป เวลาที่เขากับคริสกินข้าวด้วยกันที่บ้าน พวกเขาต้องให้คนจัดจานชามช้อนส้อมและอาหารสำรับสำหรับสี่คนเสมอ เวลาออกไปกินข้าวข้างนอก ถ้าไปร้านประจำ ทางร้านจะรู้ดีและจัดโต๊ะสำหรับสี่ที่ไว้ให้ บางครั้งเขาก็เทน้ำหรือไวน์ใส่แก้วอีกสองใบที่เหลือให้ด้วย พวกเขาทำแบบนั้นนานนับปีจนคริสรู้สึกว่าพวกเขาทั้งคู่ต้องพยายามก้าวข้ามผ่านความโศกเศร้านี้ไปให้ได้เสียที เขาจึงให้หยุดทำเช่นนั้น ฆาเบียร์ซึ่งยังอยู่ในช่วงปรับสภาพอารมณ์ก็ไม่พอใจในช่วงแรก แต่เขาก็พยายามทำความเข้าใจและยอมรับมันในที่สุด

"คุณครับ..."

เจบีบมือคนรักเบาๆ เมื่อเห็นหยาดน้ำตาที่เอ่อคลอดวงตาคมวาวที่มีแววโศกคู่นั้น

"ผมขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจให้คุณนึกถึงเรื่องนั้น"

เจลอบถอนหายใจ แม้เหตุการณ์จะผ่านไปกว่าสิบปี เขาก็รู้สึกได้ถึงความโศกเศร้าที่ยังฝังลึกในใจของคนรักเมื่อฆาเบียร์เล่าเรื่องของเขาออกมา ตัวเจเองแม้จะเสียพ่อไปอย่างกระทันหัน แต่เขาก็ยังมีสมาชิกในครอบครัวคนอื่นอยู่ล้อมรอบ แต่สำหรับครอบครัวน้อยๆ ที่มีเพียงสี่คนของฆาเบียร์ การสูญเสียอันเดรสและคาตาลิน่าไปนั้นส่งผลกับอีกสองคนที่เหลืออย่างมาก

"ร้องไห้ออกมาก็ได้นะ ฆาบี้ อย่าปล่อยให้อัดอั้นตันใจ"

เจนยุทธดึงคนตัวโตผู้อ่อนไหวของเขาเข้ามาแนบอก ฆาเบียร์ซบหน้าลงกับไหล่ของคนรักและปล่อยโฮออกมา

"ฉันคิดถึงพ่อกับแม่มากนะเจ คิดถึงมาก"

คนตัวโตสะอื้นฮักๆ เจลูบหลังฆาเบียร์เบาๆ เขาไม่ได้พยายามพูดปลอบโยนอะไร เพียงแค่ปล่อยให้คนรักระบายความรู้สึกของตัวเองออกมา ฆาเบียร์พร่ำเพ้อออกมาทั้งภาษาอังกฤษและสแปนิช หลักๆ ก็พูดว่าเขาอยากให้พ่อแม่อยู่เห็นความสำเร็จของเขาและอยากใช้เวลากับทั้งสองคนให้มากกว่านี้

"...ฉันอยากให้พวกท่านได้เจอนายเหลือเกิน เจนยุทธ อยากให้พ่อแม่ได้เห็นว่าฉันมีความสุขแค่ไหน อยากให้พวกท่านรู้ว่าในที่สุดฉันก็มีคนที่รักและคอยดูแลฉัน"

เจโอบรัดร่างฆาบี้ไว้แน่น เขาจูบซับน้ำตาที่ไหลนองแก้มของคนรัก คนตัวโตเริ่มสงบลง เจลูบหลังคนรักเบาๆ จนฆาเบียร์หยุดสะอื้น เจกอดสุดที่รักของเขาไว้นิ่งๆ อีกครู่หนึ่งจนฆาเบียร์เป็นฝ่ายดันกายออกเอง



"ฉันโอเคแล้วจ้ะ ไม่เป็นอะไรแล้ว โอย ไม่ได้ร้องไห้แบบนี้นานแล้วนะ"

ฆาเบียร์ยกนิ้วปาดคราบน้ำตาที่ยังเหลือและส่งยิ้มกว้างให้คนรัก

"ไม่ต้องทำมาพูดเลย คราวที่แล้วที่มาเก๊าก็งอแงแบบนี้ นี่คุณกินยาครบหรือเปล่าครับ?"

เจถามขึ้นอย่างเป็นห่วง ฆาเบียร์พยักหน้า

"ครบจ้ะ ฉันไม่ได้มีอาการอีกเลยหลังจากกลับจากมาเก๊านะ เพียงแค่ว่าเรื่องนี้มัน เอ่อ..."

"ครับ ผมเข้าใจ คุณไม่ต้องอธิบายแล้ว"

เจเอื้อมมือไปกุมมือใหญ่ของคนรักไว้แน่น ขืนให้พ่อเจ้าประคุณอธิบายอีกก็อาจจะมีน้ำหูน้ำตาขึ้นมาอีกได้ เจลุกไปหยิบผ้าเย็นที่เขามีติดไว้ในตู้เย็นมาพร้อมกับรินน้ำเย็นใส่แก้วมาให้เมียตัวโตของเขา ฆาเบียร์เช็ดหน้าเช็ดตาเรียบร้อยแล้วก็หันไปยิ้มอายๆ ให้เจนยุทธ

"เรามาดูรูปกันต่อก็ได้นะ ยังเหลืออีกหลายที่นี่ แต่ฉันขอข้ามอัลบั้มนี้ไปเลยนะ"

ฆาเบียร์กดปิดโฟลเดอร์สเปน อิตาลีลงไปและเลือกโฟลเดอร์ใหม่ขึ้นมาแทน

"ไหน? มาดูอัลบั้มนี้กันดีกว่า"



----------------------------------------

ชีวิตของสองหนุ่มนี้ก็ยังเดินไปเรื่อยๆ นะคะ ส่วนคนเขียนก็ลุ้นทั้งทีมหมูป่าและบอลโลกจนไม่เป็นอันเขียน (แหะๆๆ อ้างไม่ได้เนาะ) ตอนนี้น้องๆ ทั้งสิบสามคนก็ออกมาได้แล้ว บอลโลกก็ได้คู่ชิงแล้ว คนเขียนก็ปวดหัวเลยค่า เหตุการณ์เยอะแบบนี้ ถ้าต่อไปเขียนถึงช่วงนี้จะจับยัดลงไปเนื้อเรื่องได้ยังไงล่ะเนี่ย ก็ต้องมาลุ้นกันไป

ในตอนนี้ตอนแรกกะจะเขียนเรื่องเที่ยวนั่นนี่ของเจให้จบ แต่เวิ่นเว้อไปมา ยกยอดไปตอนหน้าแล้วกันนะคะ พยายามจะแทรกเกร็ดหรือเรื่องราวเล็กๆ น้อยๆ ของที่ๆ เคยไปเที่ยวมาให้ค่ะ อย่างเรื่องมิจฉาชีพที่เล่าในตอนนี้มีทั้งที่เจอเองกับตัวและเป็นเรื่องของเพื่อนพี่น้องที่เคยพบเจอมาค่ะ ส่วนเรื่องสเปนนี่ เอาไปนิดหน่อยก่อนนะคะ เพราะเดี๋ยวเราจะมีภาคไปเที่ยวสเปนแบบจัดเต็มกันทีหลัง พวกลิงค์หรือรูปภาพจะขอยกยอดไปตอนนั้นเลยค่ะ

ส่วนเรื่องการลอยอังคารในเวนิสนี่ เรื่องจริงแท้แน่นอนค่ะ ตอนแรกกะเขียนให้เอาไปลอยเฉยๆ เลย แต่พอหาข้อมูลดูปรากฏว่าจู่ๆ เอาไปลอยเลยไม่ได้ ต้องขอส่งใบคำร้องไปให้ที่ทางการเขาก่อน และจะทำได้ในจุดที่เขาอนุญาตให้เท่านั้น ข้อมูลที่ใช้ประกอบอยู่ในลิงค์นี้ค่ะ แต่เหมือนจะเป็นลิงค์เก่า ไม่แน่ใจว่าในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงอีกหรือเปล่า http://bit.ly/2JjN3fi

ใครอยากอ่านความยากลำบากของการลอยอังคารที่เวนิส เชิญที่เพจนี้ค่ะ (ภาษาอังกฤษ) อ่านไปสงสารคนเขียนไป แต่สุดท้ายก็ถือว่าคุ้มค่า  https://dpo.st/2N8BsSn

แจกลิงค์สูตรอาหารนะคะ วันนี้เป็นสูตรอาหารเช้าฝรั่งแบบง่ายๆ ถ้าอยากได้สูตรมากกว่านี้ก็กูเกิลหา easy breakfast ได้ค่ะ มาเพียบ แต่จริงๆ สำหรับคนไทย ออกไปซื้อโจ๊กหน้าปากซอยง่ายสุด ฮ่าๆๆ

เริ่มจากสูตรค้อกเทล Bloody Mary ถือเป็นค้อกเทลแก้แฮงค์ชนิดหนึ่งค่ะ http://bit.ly/2Jfdlip

ต่อด้วยขนมปังหน้าไข่กวนใส่มะเขือเทศและชีส http://bit.ly/2KRq6Wb

ขนมปังหน้าอะโวคาโดค่ะ http://bit.ly/2KN6S41




ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1




ข้าน้อยผิดไปแล้ว ขอผู้อ่านโปรดอภัย :-(




มาแจ้งว่าตอนใหม่นี้จะออกช้าหน่อยนะคะ พยายามเข็นมาหลายวันแล้วแต่ยังจบไม่ลง แถมยังลงไปธุระที่กทม. มาอีกสองวัน งานยิ่งไม่เดินไปกันใหญ่ ทีแรกว่าจะลงให้ก่อน 50% แต่นึกไปนึกมา รอครบทีเดียวไปเลยดีกว่า คนอ่านจะได้ไม่ต้องเสียเวลาอ่านซ้ำอีก ก็อดใจรออีกนิดนะคะ



ก็เลยว่าจะมาแจกลิงค์ไปพลางๆ ก่อน วันนี้มาแจกไอจีของคนที่เป็นต้นแบบของฆาบี้ค่ะ

อย่างที่เคยเขียนไว้แต่แรก จริงๆ แล้วฆาเบียร์เป็นแค่ตัวละครประกอบบทน้อยนิดในเรื่องแรกที่เคยเขียน ในตอนนั้นก็ไม่ได้วางคาแร็คเตอร์ของพี่แกไว้ชัดเจนอะไรนัก เอาเป็นว่าเป็นหนุ่มละตินเจ้าสำอาง ภาพในหัวตอนนั้นคือต้องแนวเฟี้ยว ดุ แซ่บเหมือนหนุ่ม Chayenne ใน mv เพลง Torero



https://youtu.be/GuZzuQvv7uc



แต่พอมาเขียนเรื่อง The Taste of Love นี้ ตัวละครฆาเบียร์นี้เริ่มเด่นชัดขึ้น ภาพลักษณ์แบบนี้ชักไม่ค่อยเข้ากับฆาบี้แล้ว ประกอบกับคนเขียนเริ่มปิ๊งหนุ่มใหม่ (ฮา) พ่อชาเย็นเลยตกกระป๋องไป พ่อหนุ่มคนใหม่นี้ก็คือคนที่โพสต์รูปไว้ตั้งแต่แรกค่ะ คือ Jon Kortajarena โมเดลชายอันดับต้นๆ ของโลกจากสเปน เชิญตามไปทัศนาไอจีฮีได้ที่นี่ค่ะ Kortajarenajon (https://www.instagram.com/kortajarenajon) หน้าได้ ฟีลได้ แต่จะต่างไปตรงทรงผม ฆาเบียร์จะผมยากปรกคอ เกือบถึงบ่า และปากบางกว่านี้ และรูปร่างจะใหญ่หนากว่า ซึ่งพอพูดถึงรูปร่าง ก็จะนึกถึงหุ่นของนายแบบอีกคนที่คนเขียนตามดูอยู่คือ Federico Cola คนนี้เป็นหนุ่มอิตาเลียนค่ะ ไอจีตามนี้ Colafederico (https://www.instagram.com/colafederico) นอกจากหุ่นแล้ว ปากบางๆ แบบนี้แหละคือปากของฆาบี้ค่ะ



ส่วนลุคของอินุ้งเจ ตอนนี้ที่ใกล้เคียงสุดก็คงเป็นน้องหมอแจ็ค ช้างเผือกของมช. ค่ะ น้องน่าร้ากกกกก หน้าได้ แก้มได้ ปากได้ แต่เจน่าจะตาโตและหวานกว่านี้ ไอจีหมอแจ็คค่ะ jacky_jackk (https://www.instagram.com/jacky_jackk)



ก็ดูกันเล่นๆ ไปก่อนนะคะ แล้วคนเขียนจะรีบเข็นตอนใหม่ออกมาให้ได้ภายในสุดสัปดาห์นี้ค่ะ


ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- Destinations and Destiny Pt.1 ----





"นายนี่ก็ไปเที่ยวมาหลายที่เลยนะ"

ฆาเบียร์พูดขึ้น เขานั่งๆ ดูรูปในคอมพ์ของเจ ทั้งที่เขาไปทัวร์ยุโรปกับออสเตรเลียกับที่บ้าน หรือที่ไปเที่ยวในแถบเอเชียกับนพ คนตัวโตเปิดโฟลเดอร์ภาพที่เจไปหลวงพระบางขึ้นมาดู

"หลวงพระบางนี่ฉันยังไม่เคยไปเลย สวยเหมือนกันนะ ยกเว้นไอ้ที่ตลาดเช้านั่นน่ะ"

ฆาเบียร์ทำท่าขนลุกขนพอง เจกลั้นหัวเราะ เมื่อสักครู่คนตัวโตเปลี่ยนรูปแทบไม่ทันเมื่อเปิดไปเจอภาพแลนหรือตะกวดขนาดใหญ่ที่ถูกสับเป็นท่อนๆ วางขายในตลาดเช้าที่หลวงพระบาง

"วัดเซียงทองที่เป็นมรดกโลกนี่สวยดีนะ แต่ฉันว่าลวดลายที่กำแพงวัดมันคุ้นๆ จัง"

"คุ้นสิคุณ ก็ลายที่อยู่หน้าจูมทองฮอลล์ของโรงแรมดาราเทวีได้แรงบันดาลใจมาจากที่ีนี่ไงล่ะ "

คนตัวโตร้องอ๋อ เขาจำลวดลายนกยูงกับต้นโพธิ์แสนสวยที่ทำจากกระจกแผ่นเล็กๆ หลากสีแปะเรียงกันได้ ถึงจะไม่เหมือนเป๊ะ แต่มันก็ละม้ายคล้ายคลึงกับลายของวัดนี้จริง เจเปิดรูปต่อ

"ตอนผมไปที่นั่น ต้นปี 2012 รู้สึกว่าเขากำลังเริ่มบูรณะวัด อะไรๆ ก็ยังไม่ค่อยเข้าที่ ข้าวของหรือลวดลายในวัดก็ยังอยู่ในสภาพโทรมบ้าง"

เจเปิดภาพโรงเมี้ยนโกศ หรือโรงเก็บพระโกศของเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวัฒนาผู้ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ลาวพระองค์สุดท้ายให้ฆาเบียร์ดู ลวดลายไม้แกะสลักที่หน้าโรงนั้นสวยงามนัก หากในภาพเห็นได้ถึงความทรุดโทรมของมัน สีทองที่ทาไว้บางส่วนหลุดลอกจนเห็นเนื้อไม้ บางส่วนก็สีซีดจาง



"ดูหดหู่จริงๆ ด้วย ด้านในนี่ก็ดูเหมือนไม่ค่อยได้รับการดูแลเท่าไหร่"

ฆาเบียร์พูดขึ้นด้วยความเสียดาย ด้านในนั้นไม่ได้มีการจัดวางอะไรสวยงามอย่างที่ควรเป็น ราชรถขนพระโกศถูกนำมาวางเรียงกันดาษๆ รอบข้างนั้นล้อมรอบไปด้วยเหล่าพระพุทธรูปไม้แกะสลักที่ดูทรุดโทรม หากลวดลายเล็กละเอียดแสนวิจิตรที่ทำจากกระจกสีแผ่นเล็กจิ๋วที่ผนังโรงเมี้ยนโกศนั้นทำให้เห็นถึงความสำคัญของสถานที่แห่งนี้

"ผมก็ไม่แน่ใจนะว่าตอนนี้เขาบูรณะให้มันสวยงามสมพระเกียรติหรือยัง หรือเขาอาจจะมีความเชื่อเหมือนคนไทยที่ว่าราชรถและพระโกศเป็นของอวมงคล เมื่อไม่ได้ใช้ก็จะไม่มีการแตะต้องหรือทำอะไรด้วย และจะนำออกมาบูรณะซ่อมแซมเมื่อต้องการใช้เท่านั้น"

เจเล่าให้คนรักฟังว่าโรงราชรถของไทยนั้นถูกก่อกำแพงปิดตายและทำการทุบทำลายถนนเข้าออกทุกครั้งหลังจากใช้เสร็จ จะมีการพังกำแพงเพื่อนำออกมาบูรณะยามมีงานพระบรมศพและงานพระศพเจ้านายเท่านั้น ทั้งหมดนี้ก็เพราะความเชื่อที่ว่าพระโกศและราชรถอัญเชิญพระโกศไม่ควรอยู่ในสภาพพร้อมใช้ และเพื่อเป็นการเอาเคล็ดว่าจะได้ไม่ต้องมีงานอวมงคลแบบนี้ในเวลาอันใกล้อีก

"แต่ที่ลาวก็ไม่มีเจ้ามหาชีวิตอยู่แล้ว เขาก็ไม่น่าจะถือความเชื่อนี้แล้ว ตอนนี้ก็อาจจะมีการบูรณะให้สวยแล้วมั้่ง ผมเคยเปิดๆ ดูรูปที่ถ่ายในช่วงปีสองปีนี้ หน้าโรงเก็บก็ดูสวยขึ้นนะ รวมทั้งตัววัดส่วนอื่นๆ ด้วย ดูสีสันสดใสขึ้น แต่ผมก็ยังไม่เห็นรูปด้านในโรงเมี้ยนโกศว่ามีการปรับปรุงไหม"






"นอกจากไปดูวัดแล้ว พวกนายไปไหนอีกมั่งน่ะ? ฉันเห็นแต่รูปอาคารบ้านเรือนกับรูปอาหาร"

ฆาเบียร์กระเซ้าคนรัก เจหัวเราะแหะๆ

"พวกผมไม่ได้ไปไหนมากเลยคุณ คือแทบไม่ได้หาข้อมูลอะไรไปเลย คือจริงๆ แล้วทริปนี้ต้องเป็นพี่นพไปกับพี่วัฒน์ แต่พี่วัฒน์แกติดงานด่วนหรืออะไรนี่แหละ ผมก็เลยส้มหล่นได้ไปแทน ค่าตั๋วก็ไม่ต้องจ่ายเป็นพี่นพออกให้ สองคนนั้นตอนแรกเค้ากะไปสวีทวี้ดวิ้วกัน พอเปลี่ยนเป็นผมไปก็เลยได้แค่เดินเล่นไปๆ มาๆ ในเมืองนั่นแหละ น้ำตกกวางสีที่เขาว่าสวยๆ นั้นผมก็ไม่ได้ไป"

"บินตรงจากเชียงใหม่เลยเหรอ?"

"ครับ การบินลาว ก็โอเคนะ นั่งไม่นาน แต่แพงอยู่เหมือนกัน"

เจนยุทธบอกฆาเบียร์ว่าเครื่องของสายการบินลาวบินตรงจากเชียงใหม่สู่หลวงพระบางสัปดาห์ละสี่วัน หากเวลาเดินทางไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก

"เครื่องออกบ่ายสามกว่าๆ ถึงนั่นสี่โมงเกือบครึ่ง กว่าจะผ่านนั่นนี่ นั่งรถเข้าเมือง ถึงโรงแรมก็ห้าโมงกว่าแล้วคุณ โชคดีที่พี่นพจองโรงแรมสองคืนแรกไว้ในเมือง พอไปถึงพวกเราก็ไปเดินตลาดมืดเขา"

ตลาดมืดที่ว่าคือถนนคนเดินบนถนนศรีสว่างวงศ์ซึ่งเป็นถนนเส้นหลักสำหรับย่านท่องเที่ยวของหลวงพระบาง ถนนเส้นนี้เป็นที่ตั้งของพระราชวังเก่าซึ่งตอนนี้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์หลวงพระบางไปแล้ว

"ถนนเส้นนี้จะปิดช่วงหนึ่งเป็นถนนคนเดินทุกคืนครับ ปิดตั้งแต่ห้าโมงเย็นถึงห้าทุ่มมั้ง โรงแรมที่ผมพักก็อยู่ซอยข้างพิพิธภัณฑ์ ซึ่งก็คือกลางถนนคนเดินเลย"



"แล้วเจชอบหลวงพระบางไหม? ใครๆ ก็บอกฉันว่าเมืองสวยดี ชิลๆ เหมาะไปพักผ่อน"

"อืมม์..."

เจนยุทธครุ่นคิด

"ตอนแรกผมก็ไดัยินมาแบบนั้นนะ แต่อาจจะสำหรับคนกรุงเทพฯ น่ะคุณ สำหรับเด็กเชียงใหม่อย่างผมกับพี่นพ มันเหมือนอยู่บ้านเลยอ่ะ ผมกลับมาเล่าให้ที่บ้านฟังว่าเหมือนไปเที่ยวรอบนอกของเชียงใหม่ แค่มีโรงแรมสวยๆ คาเฟ่เก๋ๆ กับร้านอาหารฝรั่งเพิ่มมา พ่อ...เอ่อ ตอนนั้นพ่อผมยังอยู่นะ พ่อผมหัวเราะใหญ่แล้วบอกว่าทำไมไม่ถามก่อน พ่อเคยไปหลวงพระบางกับเพื่อนเมื่อสิบปีก่อนหน้านั้น พ่อบอกว่ามันเหมือนเชียงใหม่เมื่อสักสามสิบปีก่อนนั่นแหละ"

เจหัวเราะเบาๆ สำหรับเด็กบ้านนอกอย่างเขา หลวงพระบางก็ไม่ต่างจากไปใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์แถวๆ นี้ มันคงเหมาะสำหรับคนกรุงฯ มากกว่า แต่เจนยุทธก็บอกว่าเขาเองก็ไม่ได้ไปมาหลายปีแล้ว อะไรๆ ก็อาจจะเปลี่ยนไปแล้วก็ได้

"ถนนคนเดินของเขาในตอนนั้นเหมือนของบ้านเราเลย เป็นสินค้าพวกสินค้าพื้นเมือง เสื้อผ้าชาวเขา รูปวาดพระพุทธรูป นึกภาพออกใช่ไหมคุณ? ผมกับพี่นพงี้ไม่รู้จะซื้ออะไรเลย สุดท้ายก็ได้มาแต่แม็กเน็ตกับโปสการ์ด อ้อ ได้ผ้าซิ่นลาวมาฝากแม่กับพี่อิ่มด้วย"

เจเปิดรูปถนนคนเดินที่หลวงพระบางให้ฆาเบียร์ดู คนตัวโตโคลงหัว มันคล้ายกับถนนคนเดินของเชียงใหม่จริงๆ เพียงแต่ว่าคนเดินน้อยกว่า

"ที่เป็นจุดขายอีกอย่างของหลวงพระบางคืออาคารเก่าแก่แบบโคโลเนียล โอเค นั่นผมก็ชอบอยู่ ไปเดินถ่ายรูปกัน ที่ย่านเก่าแก่ ส่วนมากเป็นเรือนไม้หรือปูนสองชั้นเรียงกันเป็นแถว สวยดีครับ แต่มันก็ให้ความรู้สึกเหมือนแถวย่านวัดเกตหรือท่าแพ ถ้ากรุงเทพฯ ก็คงเหมือนดงตึกแบบชิโน-โปรตุกีสแถวๆ รอบคลองเก่าบนเกาะรัตนโกสินทร์”

ฆาเบียร์ดูภาพบนหน้าจอ มันเป็นเหมือนอย่างที่เจพูดจริงๆ หากอาคารเก่าของหลวงพระบางดูจะได้รับการดูแลดีกว่าของในกรุงเทพฯ พอสมควร




​   


“…แล้วพวกเราไปไหนกันอีกหว่า?”

เจนยุทธครุ่นคิดเล็กน้อย

“…อ๋อ ใช่ ไปดูวัดเชียงทองที่ผมให้คุณดูรูปไปแล้ว นั่งรถตุ๊กตุ๊กแบบลาวไป อีกวัดดังคือพระธาตุพูสีซึ่งอยู่บนเขาที่ตั้งอยู่กลางเมืองเลยนะ ต้องขึ้นบันไดไป 328 ขั้นเพื่อไปสักการะพระธาตุและดูวิวพระอาทิตย์ตกดิน คุณทายซิว่าผมได้ขึ้นไปไหม?"

เจถามยิ้มๆ ฆาเบียร์หัวเราะออกมา เขาเดาได้ทันทีว่าไอ้เจ้าอดีตรูมเมทตัวกลมของเขามันคงไม่ยอมออกแรงเดินขึ้นเขาแน่นอน เจหัวเราะหึๆ นพงอแงบอกว่าขนาดพระธาตุดอยสุเทพที่มีบันไดแค่ 185 ขั้นเขายังไม่เดินขึ้นเลย ขึ้นรถเคเบิลตลอด นี่ 328 ขั้น เขาไม่เดินขึ้นเด็ดๆ และบอกเจว่าถ้าอยากไปดูวิวก็ให้ขึ้นไปเอง

"ผมก็เลยพาลขี้เกียจขึ้นไปด้วย สุดท้ายก็เลยเลี้ยวไปกินข้าวที่ร้าน L'Elephant แทน"



"เอ๊ะ ร้านชื่อเดียวกับที่เชียงใหม่เลยนะ เป็นสาขากันเหรอ?"

ฆาเบียร์นึกถึงร้านอาหารฝรั่งเศสรสชาติดีบนถนนศิริมังคลาจารย์ เจส่ายหัว

"ไม่ใช่ครับ เป็นร้านฝรั่งเศสเหมือนกันก็จริง แต่เป็นคนละแนวกับเลเลฟองที่เชียงใหม่เลยครับ อาหารเขาจะใช้วัตถุดิบพื้นบ้านแต่ปรุงแบบฝรั่งเศส แล้วก็มีอาหารลาวขายด้วย ราคาไม่ถูกนะ พอๆ กับกินร้านอาหารฝรั่งที่เชียงใหม่เลย เมนูเขาเหมือนจะเป็นตามฤดูกาล แล้วแต่ว่าช่วงนั้นมีอะไร ตอนที่ผมไป ที่กินแล้วถูกใจคือสเต๊กเนื้อควายครับ เขาทำอร่อยเลยล่ะ เสิร์ฟมาพร้อมกับเนยคาเฟ่ เดอ ปารี เชียงใหม่หากินยากอ่ะ"

เจนยุทธหมายถึงเนยที่ปรุงรสด้วยสมุนไพรหลากหลายชนิด บางที่อาจใส่มัสตาร์ด หรือแอนโชวี่ลงไปด้วย จุดประสงค์ก็เพื่อเลียนแบบซอสดังอย่างซอสคาเฟ่ เดอ ปารีของร้านอาหารดังซึ่งมีชื่อเดียวกันกับซอสในเจนีวา สูตรของร้านดังนั้นเป็นความลับ แต่สูตรที่ใกล้เคียงที่สุดนั้นใช้ครีมข้น ใบและดอกของต้นไธม์ มัสตาร์ดดิฌงขาว เนย น้ำ เกลือและพริกไทยปั่นให้เข้ากัน เจเลื่อนให้ดูภาพอาหารจานถัดไป

"อย่างจานนี้ นกกระทายัดไส้ข้าวและเห็ด ซอสมันเป็นพวกผลไม้ท้องถิ่นอย่างลูกหม่อน ส่วนนี่เทอรีนเนื้อกวาง นี่ก็ชีสกามองแบต์โฮมเม้ดชุบเกล็ดขนมปังทอดกับสลัด คุณพอจะเก็ตไอเดียของเขาใช่ไหม?"

ฆาเบียร์พยักหน้า มันต่างกับร้านเลเลฟองของเชียงใหม่ที่นำเสนออาหารฝรั่งเศสแบบคลาสสิคและใช้วัตถุดิบจากฝรั่งเศส



"พวกผมกินข้าวเย็นที่ร้านนี้สองมื้อ มื้อคืนที่สองกับสาม แต่คืนหลังนี่พวกผมพลาดมาก เพราะดันไปสั่งเมนูอาหารลาว"

เจหัวเราะหึๆ

"ราคาถูกกว่าอาหารฝรั่งเศสไม่มากเลยเหอะ มีอะไรมั่งหว่า แหนมคลุก ลาบเนื้อ หน่อยัดไส้ทอด และแจ่วบอง ทั้งหมดนี้ประมาณพันนึง"

เจเปิดเฟซบุ้คของเขาที่โพสต์รูปจากทริปนี้ขึ้นมาดูเพื่อกระตุ้นความทรงจำ

"ฉันว่าที่เจเจ็บใจคงเพราะไม่อิ่มด้วยใช่ไหม?"

ฆาเบียร์พูดยิ้มๆ เขาดูปริมาณอาหารในรูปแล้ว เจ้าตัวดีของเขาไม่น่าอิ่ม

"อือ ไม่อิ่มสิ ผมต้องไปซื้อขนมจากร้านขายของชำกินอีกต่างหาก"





"แล้วคืนแรกพวกนายกินอะไรกัน ยังไม่เห็นเอารูปให้ฉันดูเลย"

"อ้าว เมื่อกี้ก็ให้ดูแล้วไง ตรงช่วงที่เป็นถนนคนเดินน่ะ"

เจนยุทธไล่ๆ รูปเก่าๆ มาให้ฆาบี้ดู

"เออ นะ ผมก็ให้คุณดูรูปแต่ลืมอธิบาย มื้อแรกพวกผมกินตรงถนนคนเดินน่ะ ตอนที่ผมไปมันจะมีตรอกเล็กๆ ตรอกหนึ่ง เป็นเหมือนตลาดอาหารย่อมๆ ไม่รู้ตอนนี้ยังมีอยู่ไหม? คุณเห็นแผงพวกนี้ไหม?"

เจนยุทธชี้ภาพแผงลอยขายอาหารซึ่งดูเหมือนร้านข้าวแกงของไทย

"พวกนี้เป็นข้าวราดแกง จะซื้อกินหรือสั่งกลับบ้านก็ได้ ผมเดินเข้าไปดูนี่รู้สึกเหมือนอยู่เชียงใหม่เลยเหอะ"

ในตอนนั้น เขากับนพมองหน้ากันและคิดว่าตัวเองหลุดกลับมาอยู่ที่กาดแถวบ้าน อาหารที่ขายในตลาดของหลวงพระบางคล้ายอาหารพื้นเมืองของทางภาคเหนือเป็นอย่างมาก

"ผมเขียนบรรยายในเฟซบุ๊คไว้ว่าแผงนี้มีแกงหอยขมขาย เอ่อ มันคือ pond snail อ่ะ เป็นหอยน้ำจืดฝาเดียวครับ แถวบ้านผมบางทีก็เรียกหอยจุ๊บเพราะเวลากินเราก็ใช้ปากดูดตรงฝาหอยเพื่อเอาเนื้อออก..."

เจสาธิตให้ฆาเบียร์ดู เขาทำท่าดูดอากาศให้คนตัวโตดู แต่ก็โดนคนรักดึงเข้าไปจุ๊บแทน

"แบบนี้ใช่ไหม?"

ฆาเบียร์ถามยิ้มๆ เจหน้าแดงก่ำแล้วบ่นพึมพำว่าเวลากินหอยจุ๊บไม่ต้องใช้ลิ้นสักหน่อย เขาดันตัวคนชอบลวนลามที่พยายามจะจุ๊บเขาอีกออก



"พอแล้วๆ ไม่ต้องมาจุ๊บผมแล้ว ดูต่อๆ เอ้า ส่วนแผงนี้ มีทั้งตำมะเขือคล้ายๆ แบบที่แม่เคยทำให้คุณกิน ยำหน่อดอง ยำเตาหรือที่เป็นสาหร่ายน้ำจืดน่ะ อาหารหลวงพระบางซึ่งเป็นลาวเหนือคล้ายอาหารทางบ้านเรามาก ภาษาพูดก็เหมือนกัน กระเดียดมาทางภาษาเหนือมากกว่าภาษาอีสาน เอาเป็นว่าผมพูดคำเมืองกับเขาพอรู้เรื่องด้วยนะ”

“มื้อเย็นวันนั้นนายกินพวกข้าวราดแกงนี่เหรอ?”

เจส่ายหัวอีกครั้ง

“ไม่ครับ จริงๆ ตอนแรกพวกผมก็อยากลองพวกอาหารพื้นเมืองกับตำบักหุ่งหรือสัมตำในตลาดนะ แต่ก็กลัวท้องเสีย เลยไปลองร้านที่ฝรั่งรุมกัน พลาดเต็มๆ ล่ะคุณเอ๊ย”

เจหัวเราะเบาๆ เขาเปิดรูปโต๊ะไม้เก่าๆ ที่มีถาดอาหารเรียงรายอยู่เต็ม และชี้ให้ดูป้ายบอกราคาด้านบน

“มันบอกว่าเป็นบุฟเฟต์มังสวิรัติ แต่เอาเข้าจริงๆ มันก็คืออาหารราคาถูกที่มีแต่แป้งกับผักนั่นแหละ”

เจนยุทธโคลงหัวเบาๆ

“คุณไปหาพนักงาน จ่ายตังค์ราวๆ หนึ่งหมื่นกีบ ตอนนั้นก็สี่สิบบาท พนักงานก็จะให้จานคุณมาใบนึง เหมือนกับที่ร้านบุฟเฟต์ขนมจีนบ้านเราน่ะ แต่ที่นี่ คุณตักอาหารได้ครั้งเดียว จานก็เล็กตึ๋งนึง”

ฆาเบียร์ขมวดคิ้ว

“งั้นก็ไม่ถูกเลยนะเจ”

“อือ ก็ไม่ถูกอ่ะสิ แล้วคุณดูอาหารนะ ก๋วยเตี๋ยวผัด มาม่าผัด ข้าวผัด มะเขือยาวผัด ผัดผัก ผักทอด ปอเปี๊ยะทอด แล้วที่แย่คืออาหารถูกวางทิ้งไว้จนเย็นชืด กินเพื่อกันตายจริงๆ เหมาะกับพวกฝรั่งแบ็คแพ็คที่มีงบจำกัด”

คนตัวโตไล่ๆ ดูรูป เจตักอาหารมาพูนจานก็จริง แต่มันดูไม่น่ากินเลยสักอย่าง

“เอ๊ะ ในรูปก็มีไก่ย่าง ปลาทอดด้วยนี่?”

“นั่นจ่ายเพิ่มครับ ไม่ถูกด้วย พวกผมที่กะกินๆ ให้อิ่มไว้ก่อนเลยไม่สั่ง รู้งี้กินตำบักหุ่งดีกว่า”

เจนยุทธบ่นอุบ พวกเขาไม่ได้ไปเที่ยวแบบจำกัดงบอะไร ไม่น่ามาทำตัวงกเลย ทีมื้อที่ไม่ควรจ่ายแพงอย่างอาหารลาวที่ L'Elephant ก็ดันไปกินแพงเสียได้ แต่สำหรับเจ การลองผิดลองถูกแบบนี้คือรสชาติของการไปเที่ยวและบางครั้ง เขาจำทริปที่มีความผิดพลาดได้มากกว่าการไปเที่ยวที่ราบรื่นเสียอีก







"กินข้าวเสร็จ พวกผมก็ไปเดินเล่นถนนคนเดิน เลยออกไปแถวย่านบาร์ ร้านนั่งดื่มที่อยู่ในดงตึกโคโลเนียลบนถนนเส้นหลักนั่นแหละ สุดท้ายก็ไปนั่งดื่มไวน์ที่ร้านนึง จำไม่ได้ว่าร้านชื่ออะไร ไม่ได้ดีเด่อะไรมาก ผมก็จำไม่ได้แล้วว่าไวน์ดีหรือไม่ดี รู้แค่ว่าถูกกว่าเมืองไทย แต่ก็ไม่ขนาดมาเก๊าครับ"

เจบอกว่าพวกเขาไม่ได้คิดจะนั่งดื่มเป็นเรื่องเป็นราวอะไรมากนัก เพราะยังเป็นแค่วันแรก

"อีกวัน ตอนเช้าผมก็กินข้าวโรงแรมซึ่งก็ไม่มีอะไรให้กินมากนัก เพราะตอนผมไปเป็นโลว์ซีซันส์ แขกน้อย เขาเลยจัดอาหารไม่ค่อยเยอะ จากนั้นก็ออกมาเดินเล่น มาเจอร้านเฝอกับข้าวเปียกเส้น ก็เลยแวะกิน"

เจเปิดรูปให้ดู เขาบอกว่าข้าวเปียกเส้นร้านนี้อร่อยใช้ได้ แต่นึกไปนึกมาก็แอบแพง ราคาเริ่มต้นที่หมื่นกีบหรือสี่สิบบาท

"ราคาเท่าๆ ก๋วยเตี๋ยวเมืองไทยเลยนะคุณ นึกดูดิ เครื่องน้อยด้วย แต่ราคาพอๆ กับก๋วยเตี๋ยวหมูต้มยำบ้านเรา อืมม์ แต่อย่างน้อยเส้นมันก็อร่อยครับ หนึบๆ ดี แต่ที่ผมตกใจคือคนที่นี่ติดกินผงชูรสกัน ในพวงเครื่องปรุงนี่มีผงชูรสให้เติมเองด้วยนะ เขาว่าถ้าอาหารพวกส้มตำอะไรนี่ก็ไม่ต้องพูดถึง สาดกันทีเป็นช้อนๆ"

ฆาเบียร์ทำท่าขนลุกเมื่อนึกภาพตาม สำหรับชาวตะวันตกอย่างเขาที่ค่อนข้างระวังเรื่องการใช้ MSG อาหารเอเชียแทบทุกชาติถือว่าอันตรายสำหรับเขา แต่เขาก็ต้องทำตัวให้ชินกับมันไปในที่สุด



"ตอนฉันตามอาปามาฮ่องกงใหม่ๆ นี่ก็ลำบากพอสมควรนะ ขนาดว่าฉันอยู่แคลิฟอร์เนีย เจออาหารจีนอะไรบ่อย ชินกับ MSG บ้างแล้ว แต่พอมากินที่ฮ่องกงนี่ โดยเฉพาะร้านริมทาง บางทีก็ปากชา หน้าชา คอแห้งมาก แต่ก็ยังดีที่ไม่ได้แพ้อะไร"

คนตัวโตบอกเจว่าอาการเหล่านี้คืออาการของคนที่ได้รับโซเดียมเข้าไปมาก ยิ่งอาหารจีนเป็นอาหารที่ใส่เกลือเยอะอยู่แล้ว บวกกับผงชูรสหรือโมโนโซเดียมกลูตาเมทเข้าไปด้วย ก็ยิ่งเท่ากับว่าได้โซเดียมเข้าไปสองเท่า เจพยักหน้ารับคำ

"แม่ผมจะไวกับผงชูรสมากครับ ไม่เชิงแพ้นะ แต่ถ้าเจอร้านไหนที่ใส่เยอะบางทีก็ถึงกับปวดหลังหนักจนต้องนอนเลยก็มี แม่เลยไม่ค่อยได้ไปกินข้าวนอกบ้านเท่าไหร่"

เจบอกว่าช่วงที่เขายังไม่แยกออกมาอยู่คอนโดเอง เขาก็ค่อนข้างไวกับผงชูรสเพราะกินแต่อาหารที่แม่ทำ แต่พอออกมาอยู่เองและกินข้าวนอกบ้านมากขึ้น ร่างกายมันก็เหมือนปรับตัวให้ชินไปเอง



"มะ เรามาดูต่อกันดีกว่า"

เจเปิดๆ รูปให้ดูต่อ

"พวกผมไปหลวงพระบางก็กะไปเดินเล่น ชิลๆ อย่างวันนี้พวกผมก็เดินเล่น ถ่ายรูป ไปวัดเชียงทอง จากนั้นก็ไปเดินเล่นริมน้ำโขงต่อ แถวนั้นก็ตึกสวยครับ เป็นแบบโคโลเนียลเหมือนกัน ผมว่าอาจจะสวยกว่าแถวกลางเมืองอีก พวกเราเดินไปเรื่อยๆ พอเมื่อย ก็แวะนั่งร้านเพิงๆ ริมน้ำโขง สั่งลาบมากินกับโค้ก โค้กก็ภาษาไทยมาเลยครับ ของที่นี่นำเข้าจากไทยมาก็เยอะ ไปร้านขายของชำนี่ พวกของใช้ในชีวิตประจำวันก็มาจากไทยทั้งนั้น..."

เจหยุดพักดื่มน้ำเย็นๆ ที่คนรักรินให้ เขายิ้มหวานให้ฆาเบียร์แล้วเล่าต่อ

"...เย็นมาพวกเราก็เดินมากินเลเลฟอง จากนั้นก็กลับมาหลับ"

ตอนที่พวกเขาไป ยามค่ำคืนไม่มีอะไรให้ทำมากนัก ถ้าไม่นั่งตามคาเฟ่ ก็คือนั่งร้านเหล้าร้านไวน์

"ตอนแรกว่าจะไปจิบไวน์อีก แต่เหมือนจะฝนตกด้วยมั้ง ก็เลยรีบกลับห้อง ก่อนกลับก็แวะร้านขายของชำ ปรากฏว่าคนขายแทบไม่สนใจพวกเราเลยครับ นั่งจ้องแต่จอทีวี ช่องไทยเลยแหละครับ ตอนนั้นละครดังมากเรื่องหนึ่งของไทยกำลังจะจบมั้ง จำไม่ได้ว่าเรื่องอะไร รู้แค่ว่าคนลาวเองก็ติดกันมาก ไม่เป็นอันทำอะไรกันเลยทีเดียว"

เจหัวเราะเบาๆ คนลาวคนไทยนั้นก็ติดละครไม่ต่างกัน



"อีกวันพวกผมก็ตื่นเร็วหน่อยเพราะจะไปตลาดเช้า ดูรูปอีกรอบไหมคุณ?"

ฆาเบียร์รีบยกมือห้ามไว้ ภาพตะกวดสับเป็นท่อนๆ เมื่อครู่ยังคงติดตาเขาอยู่ เจหัวเราะคิกคัก นี่ถ้าเขาเปิดรูปสัตว์ปริศนาที่ถูกถอนขนและสับเป็นชิ้นใส่ถุงพลาสติกไว้และโผล่มาแค่ช่วงขาให้เห็นเท้าที่ดูยังไงก็เหมือนกับเท้าเจ้าหมาหมูโรซ่าให้คนตัวโตดู ฆาเบียร์คงไม่แคล้วกินข้าวไม่ลงไปอีกหลายวันแน่ๆ เจเปิดรูปอื่นๆ ของตลาดให้คนตัวโตดูแทน

"ก็เหมือนตลาดตามรอบนอกของบ้านเราครับ มีพวกของป่า เนื้อสด ปลาสดจากแม่น้ำโขง ผักสดวางขายแบกะดิน ผมก็ตื่นเต้นอยู่บ้างเพราะไม่ค่อยได้เห็น ปกติตื่นไปไม่ทันแม่ไปตลาดเลยไม่เคยตามไปด้วย"

เจนยุทธหัวเราะแหะๆ ยังไงๆ เขาก็ยังมองตัวเองเป็นเด็กในเมืองมากกว่า

"แล้วเจได้ไปตักบาตรอะไรนั่นที่เขานิยมทำกันหรือเปล่า?"

คนตัวโตถามอย่างสงสัย อีกกิจกรรมเด่นที่คนไปหลวงพระบางต้องทำคือการตักบาตรข้าวเหนียว ซึ่งทำตอนเช้าตรู่ แต่เขาก็รู้ว่าเจกับนพนั้นนอนขี้เซาทั้งคู่ ยิ่งพอมาเข้าคู่กันไม่รู้ใครจะเป็นฝ่ายตื่นก่อน

"ไม่ได้ไปอ่ะ ไม่ตื่นกันทั้งคู่เลย"

เจหัวเราะหึๆ พวกเขากะแล้วว่าคงไม่ได้ตื่นมาใส่บาตรแน่ๆ เลยนอนต่ออีกหน่อยและตื่นไปตลาดเช้าแทน จากตลาดเช้าพวกเขาก็เช็คเอาท์และย้ายโรงแรม




(ตอนแรกว่าจะลงรูปตัวแลนแบบพร้อมปรุงที่ฆาบี้เปิดเจอแล้วรีบเปลี่ยนแทบไม่ทันนั่นนะคะ แต่ก็กลัวว่าคนอ่านจะตกใจและพาลเลิกอ่านไปซะก่อน เลยลงแบบที่ยังเป็นๆ อยู่แล้วกันเนาะ)



“ก่อนย้ายโรงแรมพวกผมก็ไปแวะร้านกาแฟดัง ชื่อร้านประซานิยม เป็นร้านกาแฟโบราณ”

“แล้วเป็นไง อร่อยไหม”

“อร่อยครับ…”

เจหัวเราะหึๆ

“อร่อยเหมือนกาแฟโบราณบ้านเราเล้ย”

ฆาเบียร์ทำตาปริบๆ

“ไหงงั้นล่ะ?”

“มันก็คือกาแฟแบบที่ใช้ถุงผ้าขาวบางชงอ่ะคุณ เหมือนกาแฟโบราณที่เราเคยกินแถวกาด จำได้ไหม? ใส่นมข้นหวาน เหมือนกันเป๊ะ นมข้นหวานยังใช้ยี่ห้อไทยเลย”

เจพูดยิ้มๆ แต่ที่อาจจะทำให้คนติดใจคือบรรยากาศแบบสภากาแฟของร้านที่คนกินนั่งในเพิงไม้เก่าๆ ทุกคนนั่งบนม้ายาวล้อมโต๊ะที่มีคนขายคอยชงกาแฟให้ นอกเหนือจากกาแฟก็ยังมีอาหารเช้าอย่างปาท่องโก๋ โจ๊กและไข่ลวก ใกล้ๆ กันยังมีแผงเฝอ ข้าวเปียกเส้นและข้าวซอยหลวงพระบาง อีกทั้งข้าวจี่บาแกตต์ หรือแซนวิชขนมปังฝรั่งเศสขายอีกด้วย

“แต่ที่ผมสังเกตเห็นอย่างนึงคือร้านพวกนี้ในลาวยังใช้ฟืนทำอาหารอยู่ อย่างหม้อใบใหญ่ที่ใช้ต้มน้ำร้อนชงกาแฟของร้านนี้นี่ดำสนิทไปทั้งใบเลยนะคุณ”

สีดำสนิทที่ว่านั้นเกิดจากเขม่าควันไฟจากฟืน เจบอกฆาเบียร์ว่าร้านเฝอที่เขากินวันก่อนหน้าก็มีหม้อสีดำปี๋แบบนี้เช่นกัน







“สรุปว่ารอบนั้นนายไม่ประทับใจอาหารเท่าไหร่ใช่ไหม? แล้วที่พักล่ะ? ฉันเห็นหลวงพระบางมีโรงแรมดีๆ หลายที่เลยนะ พวกนายพักแบบรีสอร์ทหรือเกสต์เฮาส์กันล่ะ”

“อืมม์ พวกผมพักโรงแรมเล็กๆ ในเมืองสองคืน รีสอร์ทนอกเมืองอีกคืนนึงครับ พี่นพกับพี่วัฒน์เขาก็ทำเหมือนเรานะ เวลาไปเที่ยวพวกเขาก็จะหารค่าใช้จ่ายกัน แต่พี่นพจะเป็นคนยึดอำนาจจองทุกอย่างเอง เพราะพี่วัฒน์แกไม่ค่อยมีเวลามาช่วยดู บางทีก็เป็นผมนั่นแหละที่ช่วยแพลน รอบที่ไปลาวนี่แกเลยเลือกโรงแรมราคากลางๆ สองคืนให้พี่วัฒน์จ่าย ส่วนคุณชายนพแกจ่ายค่าพูลวิลล่าอลังการที่นอกเมืองเอง”

เจพูดยิ้มๆ สุดท้ายเมื่อวัฒน์มาไม่ได้ คนที่ส้มหล่นได้มาเที่ยวฟรีก็คือเขาเอง เจเปิดรูปที่พักทั้งสองที่ให้คนตัวโตดู

“ที่แรกผมพักบูติคโฮเทลชื่อรามายณะ อยู่ซอยข้างพิพิธภัณฑ์หลวงพระบางครับ โลเคชั่นดีมาก ใกล้ทุกอย่าง ทั้งตลาดเช้า ตลาดมืด เดินไปย่านตึกเก่ากับพวกไวน์บาร์ก็ไม่ไกล หารถตุ๊กๆ ก็ไม่ยาก แต่ผมแค่ไม่ชอบบรรยากาศมัน”

เจนยุทธบ่นพึมพำกับตัวเอง ฆาเบียร์ยิ้ม ที่พักแห่งนี้ดูเป็นการใช้อาคารเก่ามาทำ เจบอกว่าถ้าจำไม่ผิด มันคือหอประชุมเก่าของหลวงพระบาง การตกแต่งภายในนั้นเป็นไม้สีทึมๆ และเต็มไปด้วยของประดับที่ดูเหมือนเป็นของเก่า

“ผมผวาทุกทีที่กลับมาตอนกลางคืน ยิ่งไอ้มือจับประตูนั่นยิ่งทำให้ผมหลอน”

มือจับประตูของแต่ละห้องนั้นเป็น “มือ” จริงๆ ทางโรงแรมใช้รูปหล่อทองเหลืองซึ่งหน้าตาเหมือนส่วนหัตถ์ของพระพุทธรูปเป็นที่จับประตู



“แต่พอเจออีกโรงแรมเข้าไปนี่ โรงแรมนี้กลายเป็นจิ๊บๆ ไปเลย”

เจพูดพร้อมทำท่าขนลุก เขาเปิดภาพโรงแรมรีสอร์ทสุดหรูอีกแห่งที่เขาเข้าพักให้ฆาเบียร์ดู คนตัวโตดูอย่างสนใจ รีสอร์ทนั้นมีบริเวณกว้างขวาง อาคารพักนั้นเป็นทรงแบบโคโลเนียลแลดูสวยงาม หากมันดูคล้ายสถานที่ราชการมากกว่าที่พัก ส่วนที่เจพักเป็นอาคารชั้นเดียวที่เป็นแนวยาวอยู่เลียบแนวกำแพงโรงแรม

“ห้องที่พี่นพจองเป็นพูลวิลล่าครับ มีสวนเล็กๆ ด้วย พื้นที่เยอะพอสมควรครับ”

การตกแต่งภายในห้องเป็นแบบร่วมสมัยดูเรียบง่ายแต่งามตา ส่วนอ่างอาบน้ำของห้องนั้นเป็นแบบฝังลงบนพื้นระเบียงห้องซึ่งมีประตูบานเฟี้ยมซึ่งเปิดโล่งให้เห็นสวนได้

“ก็เหมือนอาบน้ำเอาท์ดอร์กลายๆ ครับ แค่ว่ามีหลังคาคุ้มหัว”

เจบอกว่าเขาชอบอ่างอาบน้ำที่นี่เพราะไม่ต้องปีนลงอ่าง เขาเปิดภาพให้คนรักดูต่อ ที่กลางสวนขนาดย่อมหลังห้องคือสระว่ายน้ำขนาดไม่เล็กนัก ถัดออกไปนั้นคือกำแพงที่กั้นตัวโรงแรมกับถนนด้านนอก

“ทีนี้ คุณเห็นอะไรไหม? รู้สึกขัดตากับอะไรหรือเปล่า?”

เจถามยิ้มๆ ฆาเบียร์ดูรูปแล้วก็ขมวดคิ้ว

“ถ้าถามฉัน ก็คงเป็นเจ้ากำแพงนี่แหละ ปกติกำแพงโรงแรมถ้าอยู่ติดห้องพูลแบบนี้ก็น่าจะต้องตกแต่งให้สวยงาม แต่นี่เป็นกำแพงคอนกรีตทื่อๆ แถมยังสูงมากๆ เท่าไหร่น่ะ? น่าจะซักสี่เมตร? กันคนแอบดูเหรอ เจ? แล้วไอ้ป้อมตรงนั้นทำให้รู้สึกเหมือนกำแพงคุกเลย เอ๊ะ!”

ฆาเบียร์นึกขึ้นมาได้ เขาเคยได้ยินเรื่องของโรงแรมแห่งหนึ่งในหลวงพระบางมาก่อน

“เจ นี่คือโรงแรมโซฟิเทลเหรอ? ที่ใช้เรือนจำเก่ามาทำใช่ไหม?”

เจนยุทธหัวเราะหึๆ

“ถูกต้องครับ แต่ตอนที่ผมเข้าพัก มันยังใช้ชื่อ Hotel de la Paix อยู่ อิพี่นพนะ ตอนแรกแกก็ไม่ยอมเล่าให้ผมฟังว่าจะพาไปพักที่ไหน บอกว่าเป็นเซอร์ไพรส์ พอเห็นโรงแรมตอนแรกผมก็ดี๊ด๊าว่าโรงแรมสวย แต่พอกูเกิลดูเรื่องโรงแรมนี้ปุ๊บผมซีดเลย”

สำหรับคนที่กลัวสิ่งที่มองไม่เห็นอย่างเจ การมานอนในที่ๆ เคยเป็นคุกเก่านั้นไม่ใช่เรื่องน่าสนุกเลย


(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)


ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1


---- Destinations and Destiny Pt.1 (ต่อ) ----




“คุณเอ๊ย ยิ่งพอเข้าห้องไปนะ คุณจะเห็นร่องรอยที่บอกว่านี่เคยเป็นคุกมาก่อน อย่างพวกผนังห้องนี่หนาอึ้กเลย ตรงส่วนห้องน้ำ ส่วนชักโครกนี่แยกออกจากส่วนซิงค์ มันอยู่ในซอกเล็กๆ ที่มีกำแพงหนาซักเกือบคืบได้ ผมนะ นั่งส้วมไปผวาไป”

เจพูดเสียงอ่อยๆ เขาบอกว่าต่อให้เตียงนอนของที่นั่นจะนุ่มนอนสบายแค่ไหน เขาก็นอนกระสับกระส่ายพลิกไปพลิกมา จนสุดท้ายเขาลุกขึ้นไปหยิบสร้อยพระที่แม่บังคับให้พกติดตัวตลอดเวลาเดินทางมาสวมและทำการสวดมนต์ก่อนนอนก่อนถึงจะพอข่มตาลงนอนได้

“หัวเราะอะไรล่ะ คุณอ่ะ”

เจแว๊ดใส่คนรักที่หัวเราะก๊ากออกมาเมื่อนึกภาพตามคำบอกเล่าของเขา

“นายนี่กลัวผีเอามากๆ เลยนะเจ ถามหน่อยเถอะ เคยเจอสักครั้งแล้วเหรอ?”

“ก็...ยังอ่ะ”

เจยิ้มเขินๆ ฆาเบียร์อดหัวเราะออกมาอีกไม่ได้ เขาโอบรั้งร่างเจนยุทธเข้ามาและหอมฟอดใหญ่อย่างมันเขี้ยว

“อยู่กับฉันไม่ต้องกลัวนะ เจ ฉันจะคอยกอดนายไว้เอง จะกอดแน่นๆ ให้ผีอายไม่กล้าโผล่ออกมาเลย”

คนตัวโตกระซิบและหอมเรือนผมคนรักอีกครั้งด้วยความเอ็นดู เจบ่นอุบอิบว่าต่อให้ฆาบี้กอดเขาแน่นแค่ไหน กลัวก็คือกลัวอยู่ดี


“คืนนั้นนะ ผมอุตส่าห์ว่าผมหลับลงได้แล้ว ก็ดั๊นปวดฉี่ตื่นขึ้นมากลางดึกอีก จะไปเข้าห้องน้ำเองก็กลัว สุดท้ายก็ต้องปลุกพี่นพให้ไปยืนเฝ้า”

“เฮ้ย อันนี้ฉันไม่โอเคนะเจ นายให้นพไปยืนดูนายฉี่เนี่ยนะ?”

ฆาเบียร์ทำหน้าตึงขึ้นมาทันที เจกระพริบตาปริบๆ

“เห้ยๆ ยืนเฝ้าแบบหันหลังให้ ไม่ใช่ไปยืนจ้อง วู้ คุณนี่ คิดอะไรมากมาย มันก็ผู้ชายเหมือนกันน่า”

“ก็ฉันไม่อยากให้คนอื่นได้เห็น dxxk ของนาย…โอ๊ย!”

คนตัวโตร้องลั่นเมื่อถูกคนรักเตะหน้าแข้งเข้าเมื่อถูกเอ่ยถึงส่วนสงวนของตัวเอง

“ใจร้ายจริงนะเจ ช้ำหรือเปล่าก็ไม่รู้”

ฆาเบียร์ทำท่าสำออยและลูบหน้าแข้งตัวเองเบาๆ แต่คนตัวเล็กก็ไม่ใส่ใจ

“จะดูต่อไหม?”

เจส่ายหัวอย่างระอา ฆาเบียร์คลิกดูรูปถัดไปเรื่อยๆ จนจบอัลบั้ม



“ฉันชอบสระในห้อง pool suite ของโรงแรมนี้นะ มันดูเป็นสระที่ว่ายได้จริงๆ ไม่ใช่แค่เล็กๆ แคบๆ แบบ dipping pool ที่มีไว้แค่ลงไปแช่ตัว”

ฆาเบียร์ออกความเห็น เจนยุทธพยักหน้า

“ครับ ผมก็ชอบ มันว่ายถนัดดี อีกโรงแรมที่ผมชอบสระเขาคือที่ Kajane Mua บาหลีอ่ะ สระที่นั่นสวยที่สุดเท่าที่ผมเคยไปพักมาละ ถ้าไม่นับเรสิเดนซ์โฟร์ซีซันส์ที่อาปาพักตอนปีใหม่นะ”

เจคลิกเปิดอัลบั้มบาหลีขึ้นมา เขาเลือกโฟลเดอร์ปี 2014 ขึ้นมาเปิด

“โรงแรมนี้อยู่แถวป่าลิงครับ อยู่ตรงข้ามบาร์ดังอย่าง Laughing Buddha กับคาเฟ่อย่าง Cafe Wayan"

เจพูดถึงย่าน Monkey Forest นอกตัวเมืองอูบุดมาเล็กน้อย ตัวป่าขนาดไม่ใหญ่นักแห่งนี้เป็นเขตสงวนซึ่งประกอบไปด้วยป่าที่มีต้นไม้ 115 ชนิดและโบราณสถานทางศาสนา 3 แห่ง ในป่าแห่งนี้ยังเป็นที่อาศัยของลิงแสมหางยาวบาหลีจำนวนกว่า 600 ตัว นับเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังของบาหลี

“อ๋อ ถ้าโซนนั้นฉันคุ้นอยู่ ฉันเคยไปนอนที่โรงแรม Komaneka ที่อยู่แถวๆ นั้น แต่ฉันไม่เคยเห็นโรงแรมนี้นะ”

“ทางเข้ามันเล็กๆ ครับ ดูไม่ได้ใหญ่อะไรมาก แต่ห้องสวย แล้วก็ไม่แพงมากด้วย คุณรู้ไหม พวกเราจองที่นี่นอนพูลวิลล่าใหญ่โตสวยงาม ให้ทายว่าคืนละเท่าไหร่?”

ฆาเบียร์ดูรูปบนจอ ห้องพักนั้นโอ่โถงหากตกแต่งอย่างเรียบๆ เตียงที่วางกลางห้องเป็นเตียงไม้ขนาดใหญ่ ด้านบนนั้นมีมุ้งที่แขวนห้อยลงมาดูสวยงาม เพดานของห้องนั้นทำจากฟางหรือหญ้าแห้งแบบพื้นถิ่น ฆาเบียร์คลิกดูรูปไปเรื่อยๆ เขาเห็นภาพห้องแต่งตัวกว้างขวาง ส้วมและส่วนอาบน้ำแบบฝักบัวถูกแยกเป็นสัดส่วนและกั้นด้วยประตูไม้กระจก มีอ่างอาบน้ำหินขนาดใหญ่ตั้งอยู่ที่ชานระเบียงหลังห้อง หากเป็นส่วนตัวด้วยมีกำแพงและต้นไม้กันจากสายตาคนนอก แม้ห้องจะไม่ได้ตกแต่งสวยเท่าห้องที่พวกเขาพักที่สมุย แต่ก็นับว่ากว้างขวางและสะดวกสบาย เขานั่งคิดคำนวนราคาของมันอยู่ในใจ เจนยุทธบรรยายต่อ



“...ที่ผมชอบที่สุดคือสระว่ายน้ำครับ ใหญ่มากจนไม่นึกว่าเป็นสระของพูลวิลล่า ส่วนพี่นพชอบเพราะว่ามันกว้างพอจนทำบันไดหินกว้างๆ ให้เดินลงไปได้ง่ายๆ ไม่ใช่ต้องทุลักทุเลปีนขึ้นลงบันไดเหล็กแบบที่อื่นๆ แล้วด้วยความที่แถวนี้มันเป็นป่าเขา ช่วงกลางวันจะมีนกกระจิบมาเล่นน้ำทั้งวันเลย น่ารักมาก เอ้า ทายได้ยังว่าคืนเท่าไหร่?”

“เอ ไม่รู้สิ ฉันว่าน่าจะประมาณสองร้อยปลายๆ ไม่เกินสามร้อยห้าสิบยูเอสดอลลาร์มั้ง? แต่อาจจะต่ำกว่านี้ก็ได้ อยู่ที่ว่าเจจองช่วงไหน แล้วจองช่องทางไหน รูปนี้จากปีไหนนะ?”

คนที่ทำงานสายนี้โดยตรงลองทายดู เจหัวเราะหึๆ

“ปี 2014 ครับ แล้วคุณทายได้ใกล้เคียงสุดเลย ผมเอาให้ใครดู เขาก็ทายคืนละหมื่นห้าอะไรงี้ทั้งนั้น ผมจองได้คืนละแปดพันนิดๆ อย่างถูกเลย น่าจะเพราะช่วงที่ไปเป็นช่วงโลว์ แถมยังได้ดีลจากทางเว็บอีก”

ฆาเบียร์พ่นลมหายใจออกจมูกดังๆ อย่างไม่สบอารมณ์

“หึ จองจากเว็บอื่นอีกใช่ไหม? ฉันไม่ยอมจริงๆ ด้วยนะเจ”

เจนยุทธเกาหัวแกร่กๆ ตอนนั้นเขายังไม่รู้จักพ่อเจ้าประคุณด้วยซ้ำ สุดท้ายเจก็ทำเมินคนที่แกล้งทำหน้างอและพูดต่อ







“แต่โรงแรมนี้ก็ยังมีข้อเสียอยู่บ้างครับ อย่างแรกคือมันห่างตัวเมือง ต้องอาศัยรถชัตเติลฟรีจากทางโรงแรม ไม่งั้นก็ต้องขี่จักรยาน ส่วนขากลับไปโรงแรมนี่ ถ้าอยู่ในเขตอูบุดนี่เราโทรเรียกให้รถโรงแรมมารับได้ เขาก็จะรีบออกมารับเลยถ้ารถว่าง”

“ก็สะดวกดีนะ ถึงจะไม่ได้ออกไปเดินง่ายๆ เหมือนอยู่กลางเมืองก็เถอะ แล้วข้อเสียอื่นๆ ล่ะ?”

“ข้อเสียอีกอย่างคือกว่าจะไปถึงห้อง ต้องเดินขึ้นลงบันไดบ้างครับ คือต้องเดินผ่านล็อบบี้ ก็ต้องยกกระเป๋าขึ้นบันได แล้วก็ยกลง วุ่นวายอยู่บ้างครับ ส่วนข้อสุดท้ายนี่ สำหรับผมไม่เป็นปัญหา แต่อาจเป็นข้อที่ทำให้คุณไม่ไปนอนที่นั่นแน่ๆ...”

เจนยุทธยิ้มกริ่มมองหน้าคนรัก ฆาเบียร์ทำหน้างง ข้อเสียอะไรที่จะแย่ขนาดที่ทำให้เขาไม่ยอมไปนอนที่โรงแรมแสนสวยแห่งนี้

“โรงแรมนี้ตุ๊กแกเยอะครับ ตอนผมไปนอนแช่น้ำในสวน มันก็มาร้องให้ได้ยินใกล้ๆ อยู่ในห้องนอนก็ได้ยินเสียง แต่ไม่เห็นตัว ผมก็พยายามมองหาอยู่ว่ามันอยู่ไหน...”

เจหัวเราะคิกออกมาเมื่อเห็นใบหน้าตระหนกของคนรัก คนตัวโตไม่ชอบไอ้เจ้าสัตว์เลื้อยคลานพวกนี้เท่าไหร่ กับจิ้งจกเขายังพอชินบ้างแล้ว แต่กับตุ๊กแกนั้น ครั้งแรกที่ฆาเบียร์เห็นมันเกาะอยู่บนชายคาของเรือนพักเขาที่บ้านแม่แตง พ่อเจ้าประคุณถึงขั้นไม่ยอมเดินไปใกล้ เขามายืนหลบอยู่หลังเจนยุทธและไม่ยอมเข้าบ้าน จนเจต้องให้คนงานมาไล่มันไปไกลๆ ก่อนเขาถึงจะยอมเดินเข้าไป



“ที่พีคสุดคือ ค่ำนึง พวกเรากลับเข้าห้องมาแล้วก็เจอขี้ตุ๊กแกใหม่ๆ สดๆ กองแหมะอยู่กลางเตียงเลยครับ พวกผมงี้มองหากันใหญ่เลยว่าตัวมันอยู่ในห้องหรือเปล่า แต่ก็ไม่เจอ”

ฆาเบียร์หน้าซีดเผือดลงทันที

“เจ ไม่ไหวนะ อยู่ข้างนอกห้องยังพอไหว แต่อยู่ในห้องเลยนี่ ฉันไม่ยอมนอนที่นี่เด็ดๆ แล้ว…แล้วมันเข้ามาได้ยังไง?”

คนตัวโตพูดเสียงสั่น เจหัวเราะเบาๆ แล้วบอกว่าเพดานและหลังคาของที่นี่เป็นแบบพื้นถิ่นคือปูด้วยหญ้าหรือฟางแห้งและอาจมีช่องว่างบ้าง ถ้าเจ้าตุ๊กแกมันจะเล็ดลอดเข้ามาได้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

“แต่ตลอดเวลาที่อยู่ผมก็ไม่เจอตัวมันนะ ได้ยินแค่เสียง ไม่ไปนอนที่นี่จริงๆ อ่ะ? สวยนะ”

เมียตัวโตของเจส่ายหน้าระรัว ต่อให้สวยแค่ไหนแต่ถ้ามาพร้อมของแถมแบบนี้เขาก็ขอบาย

“ตัวออกจะโต มากลัวตุ๊กแกได้ไง มันตัวนิดเดียวเองน่า หน้าตามันออกจะน่ารัก ดูสิ”

เจเปิดรูปตุ๊กแกจากในเน็ตให้ฆาบี้ดู เมียตัวโตของเจหลับตาปี๋แล้วทำท่าขนลุกขนพอง

“น่ารักตรงไหนกัน เจดูมันสิ ผิวมันน่าเกลียดจะตาย ตะปุ่มตะป่ำเป็นจุดๆ สีฟ้าๆ เขียวๆ แดงๆ ตามันอีกยังกับตาปีศาจ แล้วเวลามันขู่แล้วอ้าปากให้เห็นลิ้นแดงๆ นะ โอย ฉันขนลุก ไม่พูดถึงแล้วได้ไหม?”

คนตัวโตทำท่าขยักขย้อน เจนยุทธหัวเราะท่าทางของเมียตัวโตของเขาจนน้ำตาเล็ด

“โอย คุณนี่นะ ทำผมหัวเราะจนปวดท้องแล้ว"

คนตัวเล็กหัวเราะคิกคัก ฆาเบียร์ทำหน้ายักษ์ใส่คนรักขี้แกล้งของเขา เจยิ้มหวานและลูบแข้งลูบขาคนรักเบาๆ อย่างเอาใจ



"...โอเคๆ ผมเปลี่ยนเรื่องก็ได้ ไหนๆ ก็ไหนๆ ละ ดูอัลบั้มบาหลีต่อเลยแล้วกัน ที่ไปนอน Kajane Mua นี่ก็เป็นรอบสุดท้ายที่พวกผมไปกัน ก็ปี 2014 พวกผมนอนอูบุดสามคืน แถวหาดอีกสองคืน”

เจนยุทธเปิดภาพตอนที่พวกเขาไปเที่ยวให้ฆาเบียร์ดู

“ไปบาหลีนี่สะดวกดีครับ พวกผมใช้วิธีเช่ารถพร้อมคนขับ มันไม่ได้แพงอะไรเลย ราคาพอๆ กับบ้านเรานี่แหละ วันละประมาณพันต้นๆ หรือพันกลางๆ บวกค่าน้ำมัน ซึ่งน้ำมันที่อินโดถูกกว่าบ้านเรามาก เติมเต็มถังก็ยังเป็นหลักร้อย มันสะดวกกว่าไปขี่รถมอเตอไซค์หรือรถประจำทางมาก แค่ยอมให้เขาพาไปดูพวกร้านผ้าบาติกหรือสวนกาแฟหน่อย ไมไ่ด้เสียเวลาอะไรมากนัก แล้วเราไม่ได้เช่ารถทุกวัน เช่าแค่วันที่คิดว่าจะออกเที่ยวเท่านั้น อย่างพวกผมนอนอูบุดสามคืน ก็ให้รถโรงแรมมารับจากสนามบิน เสียค่ารถประมาณพันนึงเพราะถ้าเรียกแท็กซี่ก็ไม่ถูกกว่ากันมากครับ จากนั้นสองวันแรกเราก็ใช้รถฟรีของโรงแรม เที่ยวกันแต่ในตัวเมืองอูบุด ให้รถโรงแรมไปส่งกลางเมือง เดินเที่ยว ชิลๆ ไป...”

เจร่ายยาว ในตัวเมืองอูบุดซึ่งเป็นเมืองวัฒนธรรมของบาหลีนั้น เจบอกว่าพวกเขาใช้เวลาไปกับการเดินเล่นในเมือง ดูชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน เขาชอบความร่มรื่นและมีชีวิตชีวาแต่ในขณะเดียวกันก็แฝงไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์และเคร่งขรึมของเมืองน้อยๆ นี้ พวกเขายังได้ไปเดินเล่นในตลาดอูบุด ซึ่งเป็นแหล่งรวมสินค้าหัตถกรรมและงานฝีมือ เจได้ผ้าบาติกไปฝากแม่จากที่นั่นหลายผืน พวกเขายังไปนั่งเล่นตามคาเฟ่ต่างๆ อย่าง Wayan Cafe ที่อยู่ข้างโรงแรม รวมถึงคาเฟ่โลตัสอันโด่งดังในบรรดานักเดินทางชาวตะวันตก พวกเขายังได้กลับมากินข้าวเย็นที่นี่ในค่ำวันที่สองของการเดินทางอีกด้วย เจเปิดรูปให้คนตัวโตดู






“ตอนแรกผมก็ว่าจะไม่นั่งกินหรอก แค่แวะสตาร์บัคส์ที่อยู่ใกล้ๆ แล้วก็เดินต่อครับ แต่ว่าพอออกสตาร์บัคส์ปุ๊บ ฝนก็เทปั๊บ จะกลับเข้าไปใหม่ ก็มีคนมานั่งจนเต็มแล้ว ก็เลยต้องไปนั่งที่คาเฟ่โลตัสที่ไม่มีแอร์แทน”

เจนยุทธทำหน้าเซ็ง พอฝนหยุดตก เขาตั้งใจจะเดินไปถ่ายรูปวัดฮินดู Pura Saraswati ซึ่งอยู่ด้านหลังของคาเฟ่ ด้านหน้าของวัดคือบ่อบัวใหญ่ โดยปกติแล้วในบ่อจะเต็มไปด้วยดอกบัวที่บานสะพรั่ง มันคือที่มาของชื่อ Cafe Lotus ที่ตั้งอยู่ด้านหน้าในจุดที่มองเห็นทิวทัศน์อันงดงามนี้ได้ชัด

“ผมอุตส่าห์เดินออกไปถ่ายรูปดอกบัว ปรากฏว่าโดนฝนกระหน่ำจนสลบหมด เหลืออยู่ดอกเดียว เซ็งจริงๆ”

เจส่ายหัว ตอนเดินออกไปถ่ายรูป ฝนก็ยังตกอยู่ปรอยๆ พวกเขาก็เลยตัดสินใจกินมื้อเย็นที่นั่นมันไปเลย เจนยุทธเปิดรูปอาหารให้ฆาเบียร์ดู

"ก็กินง่ายๆ อ่ะคุณ Nasi Goreng ใส่มาในสัปปะรดซะ แล้วก็คาปาชโช่ปลาทูน่าอินโด ส่วนนี่..."

เจเปิดต่อไปยังภาพอาหารประเภทเนื้อปั้นก้อนเสียบไม้

"เอ๊ะ ใช่สะเต๊ะลิลิทหรือเปล่า"

คนตัวโตทำเสียงตื่นเต้น เจหัวเราะเบาๆ สะเต๊ะลิลิทที่ฆาเบียร์พูดถึงคือเนื้อบดที่นำมาคลุกเคล้ากับกะทิ มะพร้าวขูด เครื่องเทศและสมุนใพร จากนั้นนำไปพอกบนก้านที่ทำจากไม้ไผ่หรือก้านตะไคร้ ถือเป็นอาหารชื่อดังชนิดหนึ่งของบาหลี ส่วนคาปาชโช่ที่เจว่าก็คือเนื้อทูน่าดิบหั่นเป็นชิ้นบางๆ แล้วราดด้วยน้ำมันมะกอกและน้ำส้มไวน์แดง ปรุงด้วยเกลือและพริกไท​ย

"เอ ผมว่าไม่น่าใช่นะ เดี๋ยวก่อนนะ ขอดูบิลก่อน..."

เจเปิดๆ ไปอีกสองสามภาพเพื่อดูภาพบิลที่เขาถ่ายไว้​

"มูซาก้าแกะครับ รสชาติมาตรฐาน ร้านนี้อาหารรสชาติกลางๆ แต่เน้นวิว อ้อ ร้านนี้ไม่มีเนื้อวัวขายนะครับ เพราะว่าตั้งอยู่ในวัดฮินดู เก๋เนาะ"

เจพูดยิ้มๆ





(รูปอาหารนี่ ในปัจจุบันไปเปิดดูเพจร้านแล้วเหมือนเค้าจะเปลี่ยนเมนูไปเยอะค่ะ ถ้าไปอาจไม่เจอแบบที่คนเขียนกินแล้ว)​



"พูดถึงสะเต๊ะลิลิทแล้วฉันก็อยากกินขึ้นมาเลยนะ มันเป็นของโปรดฉันตอนไปเที่ยวที่บาหลีเลย ฉันว่ามันหอมอร่อยกว่าสะเต๊ะของไทย พวกสะเต๊ะธรรมดาเขาก็อร่อยนะ"

"ผมก็ว่างั้นครับ กลิ่นรสของเครื่องมันถึงกว่าและรสชาติก็จัดกว่า แล้วที่ผมชอบที่สุดคือสะเต๊ะปลาอาฮิทูน่า ที่อินโดนี่หาทูน่ากินได้ง่ายๆ เลยเพราะจับได้จากทะเลที่นั่น คนที่ขับรถให้ผมเคยจอดแวะซื้อสะเต๊ะที่แผงข้างทางให้ผมกับพี่นพกิน มีไอ้เจ้าทูน่าด้วย โคตรอร่อยเลยคุณเอ๊ย ผมว่าอร่อยกว่าที่ขายตามร้านอีก ที่ผมเคยซื้อกินที่ตลาดสุขะวาตีก็อร่อย"

"ตลาด Sukawati เหรอ? ฉันคุ้นๆ ชื่ออยู่นะ มันอยู่ที่ไหนกัน?"

คนตัวโตทำท่าสงสัย เขาเคยแวะไปแค่ที่ตลาดอูบุดเท่านั้น

"อ้าว คุณไม่เคยไปเหรอ? มันก็เป็นพวกตลาดขายของนักท่องเที่ยวเหมือนที่ตลาดอูบุดแหละครับ อยู่ห่างอูบุดไปซักครึ่งชั่วโมงได้ ผมแวะไปตอนที่ออกจากอูบุดและจะย้ายไปนอนแถวชายหาด มันแบ่งเป็นฟากของฝากกับของสด ฟากของฝากนี่เหมือนไนท์บาร์ซาร์เชียงใหม่เด๊ะเลย ทั้งลักษณะตึก ทั้งของที่ขาย มันก็มีพวกรูปภาพ ผ้าบาติก ไม้แกะสลักอะไรงี้เหมือนๆ ในอูบุด ผมก็ไปได้ภาพวาดแบบบาหลีมาหลายใบ แต่สุดท้ายก็ม้วนๆ กองไว้ไม่ได้เอามาแขวน..."

เจหัวเราะ ที่เขาไม่ได้เอามาแขวนเพราะแม่ของเขาบ่นว่าพวกรูปวาดสไตล์บาหลี โดยเฉพาะรูปพวกตัวหนังหรือตัวละครในนิยายของบาหลีมันดูน่ากลัว เขาเลยไม่เอามาแขวนไว้แม้กระทั่งในคอนโดของเข

"ไว้ผมจะเอาให้คุณดูนะ เผื่อคุณจะอยากเอาไปติดห้องหรือที่ทำงานคุณแทน แต่มันไม่ใช่ของเกรดดีอะไรนะครับ รูปถูกๆ"

ฆาเบียร์รับคำและถามต่อ



"แล้วตลาดส่วนของสดล่ะ มีอะไรขายมั่งเจ เหมือนที่หลวงพระบางหรือเปล่า? ถ้าเหมือนก็ไม่ต้องเปิดรูปให้ฉันดูหรอกนะ"

คนที่กลัวจะได้เห็นภาพสยดสยองอีกพูดปรามไว้ก่อน เจยิ้มกริ่มและเปิดภาพให้คนรักดู

"ไม่มีครับ ไม่มี ที่นี่มันก็ตลาดสดธรรมดานั่นแหละ มีของกินของใช้ขาย แต่ของหลายๆ ก็คล้ายของไทยเลย ดูสิ นี่ก็ขนมลอดช่อง นี่ก็เหมือนพวกข้าวต้มมัดเลย ขนมดอกจอกก็มี ข้าวแต๋นก็ยังมีเลย"

ข้าวแต๋นที่เจว่าก็คือขนมนางเล็ดหรือข้าวตังของทางภาคกลาง มันทำจากข้าวที่นำมาแผ่เป็นแผ่นกลมแล้วนำไปทอด ขนมของบาหลีที่เจเห็นที่ตลาดนั้นคล้ายคลึงกันกับของไทยมาก หากเจสังเกตเห็นว่าบางแผ่นนั้นตัวข้าวจะถูกตำให้ละเอียดกว่า ไม่ได้เหลือทิ้งไว้เป็นเม็ดแบบของไทย

"แล้วเจได้ซื้ออะไรชิมไหม?"

เจนยุทธส่ายหัว ถึงจะช่างกิน แต่อะไรที่เขาไม่ชัวร์ เจก็ไม่ค่อยอยากแตะ เขาบอกว่าเขาซื้อแค่สะเต๊ะที่แสนจะหอมยั่วใจเท่านั้น และมันก็อร่อยสมกับที่เสี่ยงกิน ฆาเบียร์เปิดรูปต่อไป





(ในรูปจะเอาตลาดส่วนของสดมาลงนะคะ ส่วนของฝากคืออาคารขาวๆ รูปแรกค่ะ)​



(คำเกินจนได้ ฮือออออ ต่อคอมเมนท์หน้านะคะ)

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- Destinations and Destiny Pt.1 (ต่อ) ----





"พวกกลีบดอกไม้พวกนี้คือที่เอาใส่ในกระทงที่เขาเอาไว้บูชาใช่ไหม?"

ฆาเบียร์ชี้ที่ภาพคนขายซึ่งมีกระบุงใส่กลีบดอกไม้สีสดใสอยู่เต็มวางอยู่ตรงหน้า ที่บาหลี อีกสิ่งหนึ่งที่เจคิดว่าคล้ายกับธรรมเนียมทางเหนือของไทยคือการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้วยกระทงทำจากกาบกล้วย สำหรับทางเหนือของไทยนั้น กระทงกาบกล้วยรูปสี่เหลี่ยมที่เรียกว่าสะตวงคือภาชนะใส่เครื่องเซ่นซึ่งใช้ในพิธีกรรมต่างๆ สิ่งของที่ใส่ในสะตวงนั้นอาจเป็นข้าวปลาอาหาร หมากพลูหรือสิ่งของที่ใช้ในพิธีกรรมชนิดอื่นๆ และจะวางในที่ๆ ทำพิธีกรรมหรือต้องการเซ่นไหว้เท่านั้น

ส่วนของบาหลีนั้น จะมีการวางกระทงกาบกล้วยที่เรียกว่า Sari Canag ซึ่งบรรจุกลีบดอกไม้ ข้าวเหนียวปั้นก้อนหรือขนมและธูปดอกหนึ่งไว้ตามที่ต่างๆ โดยจะทำทุกวันในตอนเช้า ตอนบ่าย และตอนเย็น โดยจะวางไว้ทุกหนแห่ง แม้แต่บนทางเท้าและทางเดินก็ตาม

"ตอนผมไปเที่ยวบาหลี ผมงี้โคตรระวัง ไม่กล้าเหยียบพวกกระทงที่เขาวางไว้บนพื้น คือถ้าเป็นของทางเหนือนี่เราจะห้ามไปยุ่งกับสะตวงพวกนี้เลยไง แต่ของบาหลีนี่ดูคนเขาไม่ค่อยแคร์เท่าไหร่แฮะ"

"ฉันก็เดินเลี่ยงๆ เหมือนกัน แต่ไม่ใช่อะไรนะ กลัวรองเท้าจะเปื้อนน่ะ"

หนุ่มละตินเจ้าสำอางพูดยิ้มๆ เขาเปิดๆ ดูรูปต่อไป ส่วนใหญ่จะเป็นรูปที่เจนยุทธถ่ายตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ในบาหลี เขามองภาพหนึ่งซึ่งมีภาพเจนยุทธยืนยิ้มแป้นอยู่ที่หน้าวัดแห่งหนึ่ง ในภาพชุดเที่ยวบาหลีนั้นเจแทบไม่ถ่ายภาพของตัวเอง และนี่เป็นหนึ่งในไม่กี่ภาพที่เขาได้เห็นเจนยุทธ เจในวัยเกือบ 25 ปีใส่เสื้อยืดและนุ่งโสร่งแบบบาหลีทับกางเกงยีนส์ เขาสวมหมวกแก๊ปแต่ก็ยังเห็นผมสีชมพูแปร๋นลอดออกมาจากใต้หมวกใบนั้น ฆาเบียร์ขมวดคิ้วมองภาพนั้นพร้อมกับครุ่นคิดอะไรบางอย่างชั่วครู่ก่อนจะสะบัดศีรษะเบาๆ เพื่อลบความคิดนั้นออกไป



"เป็นอะไรครับ? อ๋อ ฮ่าๆๆ คุณคงว่าสีผมของผมทุเรศล่ะสิ ผมก็ว่างั้นอ่ะ"

เจชะโงกดูรูปแล้วหัวเราะคิกคัก หลังเรียนจบและแน่ใจว่าตัวเองจะไม่เข้าไปทำงานสายโรงแรมแน่นอนแล้ว เจก็เปลี่ยนสีผมตามใจตัวเองเรื่อยๆ อยู่สองสามปีก่อนจะปล่อยผมให้ดำเป็นธรรมชาติเหมือนในปัจจุบัน

"ไม่หรอกเจ มันเห็นไม่ค่อยชัด เท่าที่ดูก็ไม่ได้แย่นะ"

ฆาเบียร์เปิดผ่านไปรูปถัดไปและปล่อยให้สิ่งที่ติดใจเขาผ่านไปพร้อมกับรูปนั้น เจชี้ๆ รูปนพที่ยืนเป็นแบบคู่กับปากถ้ำแห่งหนึ่ง หินผาที่หน้าปากถ้ำนั้นถูกสลักเป็นรูปหน้ายักษ์ขนาดใหญ่ซึ่งมีเขี้ยวโง้ง ส่วนปากของยักษ์นั้นคือปากทางเข้าถ้ำนั่นเอง

"ช่วงสองวันแรกพวกผมก็ทำประมาณนี้ครับ นั่งๆ นอนๆ เดินเที่ยวในเมือง วันที่สาม พวกผมเช่ารถ แล้วก็ไปเที่ยวแถวรอบๆ อูบุด คราวนี้พวกผมไม่ได้ไปวิหารน้ำ Tirta Empul ที่คนเขาลงไปแช่น้ำขอพรในบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์กัน แต่ไปถ้ำช้าง Goa Gajah ที่ปากถ้ำสลักลายยักษ์ไว้ สวยเหมือนกันครับ ในถ้ำมีของบูชาทางศาสนาฮินดูเพียบเลยทั้งโยนี ศิวลึงค์ แล้วก็ภาพของพระพิฆเนศ แต่จากที่ผมอ่านเจอ เขาก็ว่าเจอหลักฐานว่ามีสิ่งก่อสร้างทางพุทธศาสนาอยู่ในบริเวณถ้ำช้างนี่ด้วยเหมือนกัน"

เจเล่าว่าโบราณสถานอันเก่าแก่แห่งนี้ยังมีบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ให้อาบไม่ต่างกับที่วิหารแห่งน้ำ​







"ผมว่าศาสนาฮินดูแบบบาหลีนี้คงให้ความสำคัญกับน้ำมากเลย อย่างที่ Goa Gajah นี่ก็มีบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ให้คนลงอาบเหมือนกับที่ Tirta Empul ครับ"

เจนยุทธเปิดภาพที่แสดงให้เห็นถึงชาวบาหลีที่ลงไปแช่อยู่ในบ่อศักดิ์สิทธิ์นั้นแทบจะทั้งตัว เจเล่าอีกว่าจากการสำรวจ นักวิชาการเชื่อว่าถ้ำแห่งนี้มีอายุกว่าพันปีเลยทีเดียว นักประวัติศาสตร์และนักโบราณคดีกล่าวไว้ว่า​ศาสนาฮินดูได้แพร่หลายเข้ามายังหมู่เกาะอินโดนีเซียตั้งแต่ศตวรรษที่หนึ่ง บ้างก็ว่ามีการค้นพบหลักฐานซึ่งสืบไปได้ถึงห้าร้อยปีก่อนคริสตกาล ภายหลังศาสนาพุทธเริ่มแพร่หลายเข้ามาในภูมิภาคนี้และค่อยๆ แทนที่ศาสนาฮินดูในเกาะอื่นๆ เช่นชวาและสุมาตรา เมื่อเวลาผ่านไปจนล่วงเข้าสู่ศตวรรษที่ 14 ศาสนาอิสลามได้เข้ามาและกลายเป็นศาสนาหลักของประเทศหมู่เกาะแห่งนี้ หากผู้คนในเกาะบาหลียังคงนับถือศาสนาฮินดูอย่างเหนียวแน่น ​

เจเปิดภาพทั้ง Goa Gajah และภาพจากการไปเยี่ยมวิหารแห่งน้ำ Tirta Empul จากครั้งก่อนให้คนรักดู

"ว้าว น่าสนใจเหมือนกันนะ ฉันยังไม่เคยไปดูทั้งสองที่อย่างจริงจังเลย"

ฆาเบียร์ดูภาพอย่างสนใจ เมื่อมาบาหลี ถ้าไม่ใช่เพื่อทำงาน เขาก็จะขลุกอยู่ในรีสอร์ทที่อูบุดหรือไม่ก็ตามริมหาดเพื่อโต้คลื่นและออกไปดำน้ำบ้าง เขาไปเยือนเหล่าโบราณสถานเหล่านี้แค่ครั้งหรือสองครั้งตอนที่มาทำงานเท่านั้นและไม่ได้ลงไปดูอย่างจริงจังอะไรนัก

"จากวิหารช้าง พวกผมก็ไปที่วัด Besakih ต่อครับ ที่นี่ถูกเรียกว่าเป็นวัดหลวงแห่งบาหลีเลย เพราะเป็นโบราณสถานทางศาสนาฮินดูที่มีขนาดใหญ่ที่สุด แถมยังตั้งอยู่ใต้เงื้อมเงาของภูเขาไฟอากุงซึ่งใหญ่ที่สุดในบาหลีอีกด้วย"

เจเปิดภาพทางขึ้นวัดซึ่งมีผู้คนในชุดขาวยืนแออัดกันเต็มบันไดหินอันเก่าแก่ ทางเข้าของวัดหลวงแห่งนี้ไม่ต่างจากทางเข้าวัดฮินดูอื่นๆ ที่เป็นประตูผ่าซีกอันมีรูปร่างละม้ายคล้ายฝ่ามือสองข้างขนาบข้างทางเดินตรงกลาง

"น่าจะเป็นวันงานอะไรสักอย่างครับ คนเยอะมาก"

เจชี้ให้ดูรูปฝูงชนในชุดพิธีการที่เดินรายล้อมพวกเขา หลายคนเทินสิ่งของไว้บนหัวและเดินตัวปลิวเหมือนปกติ ฆาเบียร์ดูอย่างสนใจ

"ไหนๆ ฉันขอดูรูปข้างในวัดหน่อยซิ เห็นว่ามันกว้างใหญ่มากและมีวัดเล็กวัดน้อยข้างในอีกตั้งยี่สิบกว่าที่ "

เจหัวเราะหึๆ

"ไม่มีรูปครับ"

"อ้าว ไหงงั้นล่ะเจ? เขาห้ามถ่ายรูปข้างในเหรอ?"

"ไม่ได้ห้ามหรอกครับ แต่เจอฝนกระหน่ำครับคุณ หลังจากถ่ายรูปนี้เสร็จฝนก็ตกยังกับฟ้ารั่ว ผมกับพี่นพมองหน้ากันแล้วก็ล้มเลิกความคิดที่จะเดินขึ้นไปดูข้างบนเพราะว่าเรายังต้องไปต่ออีกหลายที่ ก็อดดูไป ผมเคยคุยกับพี่นพว่าจะไปซ้ำ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้กลับไปบาหลีอีก"

"งั้นไว้เราค่อยไปด้วยกันคราวหน้าถ้ามีโอกาสแล้วกันนะ"

เจพยักหน้า เขาบอกว่าหลังจากนั้นพวกเขานั่งรถต่อไปยังคินตามณี หมู่บ้านบนเขาเพื่อดู Gunung Batur หนึ่งในภูเขาไฟที่ยังไม่สงบของบาหลี





(รูปคนชุดขาวคือขบวนแห่ของชาวบ้านที่เจอระหว่างทางค่ะ ที่บาหลีเวลามีงานเทศกาลทีเขาก็จะพากันแห่แหนไปวัดแบบนี้ โดยสาวๆ จะเทินเครื่องบูชาไว้บนหัวกัน ทำรถติดพอสมควรค่ะ)



"หลังจากไปดูวัด Pura Ulan Danu Batur ซึ่งเป็นวัดสำคัญอันดับสองของเกาะแล้ว พวกผมก็เลือกไปนั่งที่ร้านอาหารชมวิวครับ คุณเคยไปที่คินตามณีมะ? "

ฆาเบียร์พยักหน้า ถ้ามองภาพถ่ายจากทางอากาศจะเห็นได้ว่าพื้นที่แถบนี้เป็นปากปล่องภูเขาไฟเก่าที่ยุบตัวและหลงเหลือไว้เพียงกำแพงขนาดยักษ์ กำแพงนี้ล้อมรอบพื้นที่ราบซึ่งมีปล่องภูเขาไฟเกิดใหม่อยู่ตรงกลางและเคียงข้างด้วยทะเลสาบที่มีน้ำสีฟ้าใส ภูเขาไฟใหม่ที่ว่านั้นคือภูเขาไฟบาตูร์นั่นเอง คินตามณีที่เจพูดถึงก็คือหมู่บ้านซึ่งตั้งอยู่บนปากปล่องชั้นนอกของภูเขาไฟบาตูร์เช่นเดียวกับวัด Pura Ulan Danu Batur​ ชาวบ้านในย่านนี้ก็ได้ใช้ประโยชน์จากภูมิประเทศที่งดงามนี้ด้วยการตั้งร้านอาหารและคาเฟ่เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่มาชมภูเขาไฟขนาดยักษ์ที่ยังไม่ดับแห่งนี้

"ฉันน่าจะเคยไปดื่มกาแฟหรืออะไรประมาณนี้ในร้านแถบนี้เหมือนกัน จำได้แค่ว่าราคาสูงอยู่เหมือนกัน แต่ก็คุ้มกับวิวนะ"

"ผมไปกินข้าวเลยแหละคุณ...อารมณ์เดียวกับกินบุฟเฟต์มังสวิรัติที่หลวงพระบางเลย กินกันตาย"

เจหัวเราะหึๆ ร้านแถวนั้นมักนำเสนออาหารแบบบุฟเฟต์แบบไม่อั้นในราคาหัวละสามถึงสี่ร้อยบาท อาหารก็ไม่มีอะไรมาก เป็นพวกข้าวผัด มาม่าผัด ผัดผัก ซุปใส อาหารบาหลีอย่างแกงต่างๆ สะเต๊ะ และพวกของทอดอย่างข้าวเกรียบ ถั่วและปอเปี๊ยะทอด

"แต่ก็ นะ ผมก็ว่าพวกผมกินคุ้มอยู่ กินสะเต๊ะกันก็คนละยี่สิบสามสิบไม้แล้วมั้ง"

ฆาเบียร์โคลงหัว เขาชักรู้สึกสงสารเจ้าของร้านที่ว่าขึ้นมาตะหงิดๆ เสียแล้ว

"เอ๊ะ นี่คือ Salak ใช่ไหม?"

ฆาเบียร์ชี้ที่ผลไม้ลูกกลมเปลือกสีน้ำตาลอมแดง เจพยักหน้า

"ใช่ครับ มันคือสละอินโด ผมชอบมากเลยนะ เนื้อกรอบ หวานหอม และที่ชอบที่สุดคือหนามมันหลุดง่าย"

"เอ๋ มันมีหนามด้วยเหรอ? ฉันเคยกินในโรงแรมที่เขามีมาให้ในห้อง ไม่เห็นมันจะมีหนามตรงไหนเลย?"

เจหัวเราะคิก

"คุณอ่ะ ไม่เคยซื้อกินจากตลาดล่ะสิ สละจะมีหนามเล็กๆ รอบผลครับ ตำมือดีทีเดียว แต่เวลาเอาขึ้นโต๊ะเสิร์ฟหรือในไลน์บุฟเฟต์ เขาจะจัดการเอาหนามมันออกก่อน เห็นว่าเอาใส่รวมๆ กันในตะกร้าแล้วเขย่าๆ หนามมันก็จะหลุดออกเอง ไม่ก็ใช้ผ้าถูแรงๆ แต่เวลาที่ผมไปซื้อจากในตลาด โดยมากก็ยังมีหนามอยู่นะ แม่ผมชอบไอ้เจ้าสละอินโดมาก แม่เคยพูดเลยว่าถ้าไปบาหลีอีก ไม่ต้องซื้อผ้าหรืออะไรมาฝากหรอก เอามาแค่สละก็พอ"

เจพูดยิ้มๆ

"งั้นคราวหน้าถ้าเราได้ไปบาหลีด้วยกัน เราซื้อสละมาฝากแม่เยอะๆ เลยดีไหมจ๊ะ?"

คนตัวโตพูด เขายังจำความอร่อยของผลไม้ชนิดนี้ได้

"ครับ ปกติผมจะไม่ค่อยชอบผลไม้ที่ปลูกในบาหลีเท่าไหร่ ผมว่ามันจืด อาจจะเพราะฝนตกเยอะ แต่ไอ้เจ้าสละเนี่ยเป็นอย่างนึงที่ผมชอบมากกว่าของไทยครับ"

เจตอบ เขาเริ่มรู้สึกอยากกลับไปเที่ยวเกาะแห่งเทพเจ้าแห่งนี้อีกครั้งแล้ว







-----------------------------------------

มาแล้วค่า ช้านิดนึงเพราะรายละเอียดเยอะเหลือเกิน ที่จริงเขียนไว้ยาวกว่านี้แต่ตัดสินใจว่างั้นตัดเป็นสองตอนแล้วกัน อีกตอนจะตามมาในอีกสองสามวันนะคะ ตอนนี้ไม่ค่อยมีสวีทวี้ดวิ้ว มีแต่พาเที่ยวแล้วกันเนาะ ไปสองเมือง หลวงพระบางกับบาหลี รูปเยอะนิดนึงนะคะ ที่ช้านี่ก็เพราะมัวแต่นั่งทำรูปนี่แหละค่ะ แต่ต้องขอออกตัวก่อนว่ารูปเป็นรูปเก่า ไม่ได้ไปทั้งสองที่นี้มานานเกินห้าปีแล้วค่ะ แต่เนื่องจากเป็นเมืองมรดกโลก คิดว่าอะไรๆ ในเมืองก็คงไม่ต่างไปมากนัก ลองค้นๆ หาข้อมูลล่าสุดดูก็...ไม่ได้เปลี่ยนไปเยอะค่ะ

หลวงพระบางก่อนนะคะ ออกตัวก่อนว่าในเรื่องเป็นความเห็นของคนเขียนซึ่งเป็นเด็กเมืองเล็กล้วนๆ ค่ะ ไปแล้วรู้สึกเหมือนไปปายหรือว่าเชียงใหม่สมัยก่อน เลยไม่ค่อยอินเท่าไหร่ แต่ถ้าคิดว่าไปชิลๆ ก็ได้อยู่ค่ะ คนเขียนไม่ได้ไปน้ำตกตาดกวางสีที่นอกเมือง แต่เห็นว่าสวยอยู่ ถ้ามีโอกาสก็ลองไปกันดูนะคะ แต่เท่าที่รู้สึกได้อย่างหนึ่งคือหลวงพระบางเป็นเมืองแพงค่ะ ตกใจกับค่ากินอยู่เหมือนกัน อย่างข้าวเปียกเส้นถ้วยละ 40 บาท หรืออาหารฝรั่งราคาหลักพัน ถ้าเทียบกับรายได้คนแล้วคิดว่าแพง แต่ที่ได้ยินมา ส่วนหนึ่งก็เพราะคนลาวไม่นิยมกินอาหารนอกบ้านค่ะ ส่วนมากจะทำกินเอง เที่ยงก็กลับไปกินข้าวบ้านหรือห่ออาหารมา ฉะนั้นอาหารหรือคาเฟ่ในเมืองนั้นมีไว้สำหรับนักท่องเที่ยวหรือชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ที่หลวงพระบางเสียมากกว่าค่ะ

แจกลิงค์นะคะ​

การเดินทางไปหลวงพระบางง่ายที่สุดก็ทางเครื่องบินค่ะ สำหรับเชียงใหม่เรามีแค่ลาวแอร์ไลน์เท่านั้นที่บินตรง แต่สำหรับกทม. มีทางเลือกอื่นอย่างแอร์เอเชียซึ่งประหยัดไปเยอะค่ะ แต่ยังมีตัวเลือกอื่นด้วย ตามลิงค์นี้ไปเลยค่ะ

การเดินทางไปหลวงพระบาง http://bit.ly/2v2CXtQ

ที่พัก คนเขียนพักที่โรงแรมรามายะณะค่ะ โลเคชั่นดี ราคาใช้ได้ แต่ห้องหลอนหน่อย ส่วนอีกที่คือ Hotel de la Paix ซึ่งในปัจจุบันเปลี่ยนเป็น Sofitel แล้วนะคะ ไม่ได้ลงรูปเพราะมันมีการเปลี่ยนแปลงไปเยอะเหมือนกัน ตามไปดูที่นี่ได้ค่ะ

โรงแรมรามายณะ หลวงพระบาง http://bit.ly/2mBlbu1

Sofitel Luang Prabang http://bit.ly/2uJY84M

เรื่องอาหารการกิน คนเขียนไปกินแล้วเฟล ตามมือโปรไปแทนแล้วกันนะคะ มีต่อๆ กันหลายตอน ตามลิงค์จากในนั้นไปอีกทอดได้ค่ะ http://bit.ly/2Od7370

ส่วนร้านนี้ ถ้ากินแต่อาหารฝรั่ง ไม่มีเฟลค่ะ http://elephant-restau.com/

รีวิวนี้ดี๊ดีค่ะ ไปอ่านกันนะคะ ครบทั้งที่เที่ยวที่กินพร้อมพิกัดเสร็จสรรพ https://th.readme.me/p/15023

บาหลี ไปอยู่ติดๆ กันสามปีก่อนจะเบนเข็มมามาเก๊าแทน เหตุผลเพราะเรื่องอาหารล้วนๆ ค่ะ โดยตัวเมืองแล้วชอบบาหลีเพราะความขัดแย้งระหว่างเมืองวัฒนธรรมกับความวุ่นวายแบบเมืองชายหาด คือสามารถหาทั้งสองแบบได้ในเวลาชั่วโมงเดียว แต่อาหารไม่ค่อยถูกปาก แอลกอฮอล์แพง และตอนหลังมาแอร์เอเชียไม่ค่อยมีโปรถูกๆ แล้วเลยหันไปซบมาเก๊าที่บินตรงจากเชียงใหม่ได้แทนค่ะ ข้อมูลและลิงค์ของบาหลีจะรวบไปลงท้ายตอนหน้านะคะ





ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
ชอบเจเที่ยว ดูมีข้อมูลดี

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- Destinations and Destiny Pt.2 ----




"โดยรวมๆ แล้วนายชอบบาหลีไหม?"

"อืมม์ ถ้าเทียบกับหลวงพระบางแล้ว ผมว่าผมชอบบาหลีมากกว่านะ ต่อให้ผมคิดว่ามันก็ยังคล้ายบ้านเราอยู่บ้าง แต่มันก็มีเสน่ห์ในด้านความขัดแย้งในตัว ให้ฟีลคล้ายๆ เขตเมืองเก่าของเชียงใหม่อ่ะครับ เราจะเห็นศาสนสถานและรูปเคารพอยู่ทุกที่ มีรูปปั้น รูปสลักหินสวยๆ ที่มีมอสขึ้นเต็ม ตามบ้านคนก็จะมีแท่นบูชาสักอย่างที่คล้ายๆ ศาลพระภูมิ แต่ในขณะเดียวกันก็มีสตาร์บัคส์ มีคาเฟ่และร้านอาหารเก๋ๆ มีร้านหนังสือสวย แล้วก็มีดงเกสต์เฮาส์กับรีสอร์ท ส่วนทางชายหาดก็มีที่ช็อปปิ้ง มีคลับเปิดเพลงตื๊ดๆ เป็นฝรั่งจ๋าเลยอะไรพวกนี้..."

ฆาเบียร์พยักหน้าเห็นด้วย เมืองอูบุดและเกาะบาหลีเองก็เป็นหนึ่งในสถานที่ซึ่งชาวตะวันตกหลงเสน่ห์และมาใช้ชีวิตหลังเกษียณมากที่สุดแห่งหนึ่ง ส่วนหนึ่งก็เพราะธรรมชาติที่สวยงามของป่าดิบชื้นแบบอินโดนีเซีย คนบาหลีที่สุภาพและเป็นกันเองมากกว่าคนจากเกาะอื่นๆ และความขัดแย้งที่ลงตัวของความทันสมัยและวัฒนธรรมเก่าแก่อันงดงาม

"ผมว่าอย่างหนึ่งที่บาหลีชนะบ้านเราคือชายหาดและภูเขาของที่นี่อยู่ห่างกันแค่ชั่วโมงเดียวนี่แหละครับ..."

ที่บาหลี ในหนึ่งวันนั้นนักท่องเที่ยวสามารถเยี่ยมชมแหล่งวัฒนธรรมที่แสนสงบเงียบอย่างอูบุด ดูการแสดงนาฏศิลป์บาหลีอันน่าตื่นใจ หรืออาจออกไปเที่ยวชมวัดวาอารามแบบฮินดู อาจไปนั่งจิบชาและรื่นรมย์ไปกับความเขียวขจีของนาแบบขั้นบันได จากนั้นห่างไปเพียงชั่วโมงเดียวทางใต้ พวกเขาก็สามารถไปโต้คลื่นที่หาดอันแสนคึกคักซึ่งละม้ายคล้ายคลึงกับพัทยาหรือหาดป่าตอง หรือจะไปนั่งกินอาหารทะเลชมพระอาทิตย์ตกดินบนพื้นทรายขาวของหาดจิมบารัน จากนั้นก็พากันไปเต้นในคลับดังระดับโลกที่มีดีเจชื่อดังหมุนเวียนกันมาเปิดแผ่นจนถึงดึกดื่นก็ยังได้

"ที่ไทย ถ้าอยากทำแบบนั้น คุณก็คงต้องนั่งเครื่องบินหลายต่อหน่อย"

เจพูดยิ้มๆ



"แล้วนอกจากแถวอูบุดกับแถวคินตามณีแล้ว พวกนายยังไปไหนอีกมั่ง? ไปที่ซ้ำๆ มั่งหรือเปล่า?"

"อืมม์...พวกผมน่ะไปบาหลีมาสามรอบแล้ว ก็พอจะรู้บ้างว่าไปไหนได้บ้าง รอบหลังเนี่ย ผมตัดที่ไกลๆ อย่างวัดในทะเลสาบ Bratan ออก เพราะมันไกลมาก อิครั้งแรกที่ผมไปน่ะ นั่งรถไปตั้งสองชั่วโมงกว่าจากแถวชายหาด พอไปถึงแล้วก็...เอ๊อ เนี่ยนะ?"

ฆาเบียร์หัวเราะหึๆ เพราะตัวเองก็มีประสบการณ์เดียวกัน

"มันเล็กกว่าที่คาดเยอะใช่ไหมเจ"

เจพยักหน้า วัด Pura Ulan Danu Beratan หรือวัดกลางน้ำที่มีหลังคาทำจากหญ้าแห้งสีดำซ้อนกันขึ้นไปนับสิบชั้นนั้นเป็นหนึ่งในภาพโปรโมทเกาะบาหลีซึ่งผู้คนคุ้นตา จากในภาพนั้น ตัวเจดีย์กลางทะเลสาบบราตันแห่งนี้ช่างดูสูงสง่าคู่กับเขาสูงที่ตระหง่านเงื้อมเป็นฉากหลัง แต่ในความเป็นจริงนั้นมันไม่ได้ใหญ่โตอะไรเลย โดยรวมแล้วมันสูงราวตึกสามสี่ชั้นเท่านั้น

"ผมก็เลยไม่ได้ไปซ้ำ ที่ตัดออกอีกที่คือนาขั้นบันได Tegalalang เพราะมันเป็นของโชว์นักท่องเที่ยวครับ คนขับรถของผมบอกว่าถ้าอยากเห็นนาขั้นบันไดแบบสุดลูกหูลูกตาจริงๆ ให้หาโอกาสไปที่บาหลีตะวันตก ที่นั่นถึงจะเป็นแหล่งปลูกข้าวแบบขั้นบันไดจริงๆ..."

"ฉันก็เคยไป ไอ้เจ้าเทกาละลังนั่นน่ะ ไปถึงก็ เออ นี่มันของโชว์ชัดๆ คือมันก็ใหญ่นะ แต่ก็ดูประดิษฐ์พอสมควร มีซุ้มให้นั่งดูด้วยแถมเก็บตังค์ค่าดูอีกต่างหาก"

คนตัวโตหัวเราะหึๆ ค่าเข้าไปดูนาขั้นบันไดนั้นคือ 10,000 รูเปียะหรือประมาณหนึ่งดอลลาร์ในขณะนั้น มันไม่ใช่เงินมากมายอะไรเมื่อแลกกับกับการได้เข้าไปนั่งชิลชมนาข้าวแทนที่จะต้องยืนดูร้อนๆ จากริมถนน







"แต่มีที่หนึ่งที่ผมไปแล้วไปอีก ก็คือทานาล็อตครับ"

Pura Tanah Lot คือวัดกลางน้ำอีกแห่งหนึ่งซึ่งเป็นภาพโปรโมทของเกาะเทพเจ้าแห่งนี้เช่นกัน ถ้าหากวิหาร Pura Ulan Danu Bratan ที่เจกล่าวถึงในทีแรกเป็นวัดกลางทะเลสาบ ทานาล็อตนั้นก็คือวัดกลางทะเล ตัววัดถูกสร้างขึ้นบนโขดหินใหญ่ที่อยู่ห่างชายฝั่งออกไป ยามน้ำลงในช่วงเย็น ผู้คนจะสามารถเดินบนพื้นหินแคบๆ ไปเพื่อสักการะวิหารซึ่งเชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์นักแห่งนี้ได้ หากในยามเช้าเมื่อน้ำเริ่มขึ้น กระแสน้ำจะค่อยๆ ท่วมตัดทางเดินนั้นและทำให้มันกลายเป็นวิหารกลางทะเลไป

"ผมชอบไปนั่งดูพระอาทิตย์ตกดินที่นั่นนะ แต่รอบสุดท้ายที่ไปนั้นไม่ได้ไปช่วงเย็น แวะไปกลางวันแทนครับ เอารูปครั้งแรกที่ไปไปดูก่อนแล้วกัน"

เจเปิดภาพพระอาทิตย์สีแดงฉานที่กำลังตกลับขอบฟ้าโดยมีภาพเงาของวิหารกลางน้ำเป็นฉากหน้า

"ฝีมือถ่ายรูปพี่นพ...ถ่ายเป็นสิบรูปกว่าจะได้มารูปนึง"

เจหัวเราะเบาๆ รูปที่เหลือนั้น เอียงบ้าง เบลอบ้างตามประสาคนที่กดอย่างเดียว

"ฉันก็ชอบทานาล็อตนะ ไปทุกครั้งที่มาบาหลีเหมือนกัน"

คนตัวโตที่แวะเวียนมาที่เกาะแห่งเทพเจ้าแห่งนี้ถึงห้าครั้งแล้วพูด







"ฉันชอบยังชอบไปดูพระอาทิตย์ตกที่ Uluwatu ด้วย"

ฆาเบียร์พูดถึงหน้าผาสูงชันที่ปลายด้านตะวันตกเฉียงใต้ของแหลมบูกิต มันเป็นที่ตั้งของวิหารศักดิ์สิทธิ์ Pura Luhur Uluwatu ซึ่งสร้างอุทิศแด่เทพเจ้าแห่งท้องทะเล และผืนน้ำเบื้องล่างของหน้าผานี้ยังเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางอันเป็นยอดปรารถนาของนักเซิร์ฟทั่วโลก

"ครั้งสุดท้ายที่ไปบาหลีนี่ ผมก็ไปที่นั่นมาเหมือนกันครับ แต่ไม่ได้ไปที่วัดนะ ผมไปดูการแสดง Kecak สนุกมากๆ เลย"

เจรีบค้นหารูปการแสดงที่ทำให้เขาประทับใจสุดแสนให้ฆาเบียร์ดู

ระบำเคจักหรือระบำลิงเป็นการแสดงที่ยกเอาเรื่องราวส่วนหนึ่งของวรรณกรรมที่มีอิทธิพลไปทั่วเอเชียอย่างรามายณะมา การแสดงเริ่มขึ้นโดยกลุ่มชายฉกรรจ์ที่ใส่ผ้านุ่งลายตาหมากรุกสีดำขาวลงนั่งล้อมรอบกองไฟ พวกเขาจะเริ่มส่งเสียงร้องว่า "จักๆๆ" ต่อเนื่องกันไปไม่หยุดจนกระทั่งการแสดงจบ คำว่า "จักๆ" นี้ถ้าเป็นภาษาไทยก็คงเป็นเหมือนเสียงร้อง "เจี๊ยกๆ " ของลิง พร้อมๆ กับการร้อง พวกเขายังทำท่าทางร่ายรำ กวัดแกว่งมือไม้ไปมาเพื่อประกอบจังหวะ ในขณะเดียวกันก็จะมีกลุ่มนักแสดงซึ่งรับบทบาทเป็นตัวละครเด่นจากเรื่องรามายณะออกมาร่ายรำแสดงท่วงท่าต่างๆ ตามบทละครท่ามกลางฝูง "ลิง" หรือชายฉกรรจ์เหล่านั้น

"ตอนที่ผมไปดู ก็น่าจะเป็นตอนที่ทศกัณฐ์ลักพาตัวนางสีดาไป แล้วพระรามส่งหนุมานเข้าไปในเมืองลงกา จากนั้นหนุมานก็เผาเมือง"

เจพูดยิ้มๆ การมีเสียง "จักๆๆ " ที่แสนเร่งเร้าอยู่เป็นแบ็คกราวด์ทำให้การแสดงที่ไร้เสียงดนตรีนั้นมีรสชาติน่าตื่นเต้นมากขึ้น เจลุ้นสุดตัวเมื่อหนุมานเตะลูกไฟที่วางไว้เป็นที่ๆ ปลิวว่อน เขาลุกขึ้นตบมือดังลั่นเมื่อการแสดงจบลง

"ฉันก็เคยไปดูการแสดงที่อูลูวาตูนี้เหมือนกัน จริงๆ มีการแสดงระบำลิงแบบนี้หลายที่นะ แต่ที่ได้บรรยากาศที่สุดก็ต้องที่อูลูวาตูนี้จริงๆ "

อะไรจะดีไปกว่าได้นั่งดูการแสดงอันน่าตื่นตาตื่นใจบนยอดผาสูงที่มีลมพัดหวีดหวิว แถมยังได้ชมพระอาทิตย์อัสดงที่เรียกได้ว่างามที่สุดแห่งหนึ่งในบาหลีไปพร้อมๆ กันด้วย







"เจได้ดูการแสดงอย่างอื่นนอกจากเคจักแล้วใช่ไหม?"

"ครับ อย่างที่บอก ผมได้ดูการแสดงที่วังหลวงเก่าในอูบุดด้วย ได้ดูทั้งบารอง เลกองแล้วก็เรื่องรามายณะ"

ศาสนาฮินดูแบบบาหลีนั้นแตกต่างจากที่อินเดียตรงที่ยังโอบรับและบูชาเหล่าเทพเจ้าดั้งเดิมของชนพื้นเมือง และมีการสอดแทรกตำนานและเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับเทพเจ้าเหล่านี้ไว้ในรูปของการแสดงอย่างระบำบารอง ระบำนี้เป็นการถ่ายทอดตำนานความเชื่อเกี่ยวกับความดีและความชั่วของชาวบาหลีออกมา มันเป็นเรื่องราวการต่อสู้ของบารอง สัตว์ประหลาดศักดิ์สิทธิ์รูปร่างคล้ายสิงโตซึ่งเป็นเจ้าแห่งวิญญาณทั้งมวลและเป็นตัวแทนแห่งความดี กับ รังดา ราชินีแห่งความชั่วร้าย

ส่วนเลกองหรือที่เรียกว่าระบำบาหลีนั้นอาจเรียกได้ว่าเป็นการร่ายรำที่เป็นสัญลักษณ์ของนาฏศิลป์แบบอินโดนีเซียไปแล้ว นักแสดงสาวรุ่นขยับแขนขาของตนตามจังหวะดนตรีของวงกาเมลันในแบบที่เจคิดว่าช่างผิดธรรมชาติและยังมีการกรอกตาและขยับคอไปมาตลอดเวลา บางครั้งเขาก็รู้สึกว่ามันดูน่ากลัวมากกว่าสวยงาม

"ฉันจำได้ว่าที่วังอูบุดนั้นมีการแสดงทุกเย็นเลยใช่ไหม? แต่จะเป็นการแสดงอะไรนั้นก็ต้องตามดูตารางอีกที ตอนฉันไปก็เป็นบารอง แต่ก็มีเลกองกับการแสดงอื่นๆ แทรกมาในโชว์ด้วย"

"ผมว่าสมัยนี้ก็คงต้องปนๆ กันไปหมดล่ะครับ เหมือนโชว์ขันโตกที่เชียงใหม่ ตอนที่ผมไปรอบสุดท้ายกับพี่นพนี่ ไม่เจอบารองแต่เจอละครรำรามายณะแทน ก็เลยเหมือนได้ดูรามายณะสองรอบ รอบสวยงามเน้นร่ายรำที่อูบุด กับรอบเน้นความตื่นเต้น ฉากบู๊อย่างระบำเคจักที่อูลูวาตู"

เจพูดยิ้มๆ เขาบอกฆาเบียร์ว่าเขาสนุกกับบาหลีมาก ทั้งเรื่องที่ท่องเที่ยวและการแสดงต่างๆ แม้จะต้องจ่ายค่าเข้าชมการแสดงครั้งละประมาณ 3-400 บาท สำหรับการแสดงยาวประมาณหนึ่งชั่วโมงกว่าๆ แต่มันก็คุ้มแสนคุ้ม







"โดยรวมๆ แล้ว ผมชอบนะ ทั้งอูบุด ทั้งแถวชายหาด แต่ที่ผมไม่แฮ้ปปี้อย่างหนึ่งกับบาหลีก็คือไอ้พวกลิงที่มียั้วเยี้ยเต็มไปหมดนั่นแหละครับ"

เจหน้าตูมเมื่อพูดถึงเจ้าสัตว์ที่ถือว่าเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของบาหลี

"ที่อูลูวาตู ไอ้ลิงบ้าพวกนี้มันลงมาคว้าแว่นดำของพี่นพไปต่อหน้าต่อตาเลย"

"เฮ้ย โดนเหมือนกันเหรอ?"

ฆาเบียร์อุทานออกมา

"อ้าว คุณก็เคยโดนเหรอ?"

"เล่ามาก่อนสิ เจ แล้วฉันจะบอกว่าเหมือนกันไหม"

เจพยักหน้าและเล่าต่อ

"พวกผมกำลังยืนถ่ายรูปเพลินๆ กันตรงลานก่อนที่จะเข้าไปที่แสดงระบำเคจัก อยู่ๆ ก็มีลิงตัวนึงโดดมาเกาะไหล่พี่นพจากข้างหลังแล้วดึงแว่นออกจากหน้าแกไปเลยครับ แล้วมันก็วิ่งหนีไปอยู่หลังกำแพงที่กั้นขอบหน้าผา..."

เจเล่าว่าหลังจากนั้นก็มีคนแถวๆ นั้นทำท่าทำทางจะช่วยไปเอาของคืนมาจากลิงให้ ชายคนนั้นปีนออกกำแพงไปแล้วตะโกนเรียกลิง เจ้าลิงเวรตัวนั้นเดินเข้ามาหาชายคนนั้นและทิ้งแว่นไว้ให้อย่างง่ายดาย

"...จากนั้นเขาก็เอาแว่นมาคืนให้พี่นพ เราก็ให้ค่าเหนื่อยเขาไปพอเป็นพิธี คือจำไม่ได้ว่าให้ไปห้าพันหรือหมื่นรูเปียะนี่แหละ ก็ประมาณสิบห้าถึงสามสิบบาท ทีนี้พี่แกมีท่าทางอิดออดเว้ย เหมือนจะบอกว่ายากงั้นงี้ พวกผมเดินหนีเลย"

ฆาเบียร์หัวเราะหึๆ เหตุการณ์มันไม่ต่างกับที่เขาเจอแม้แต่น้อย



"ฉันก็เจอเหมือนกันจ้ะ แต่ของฉัน ตอนนั้นเราขึ้นไปถ่ายทำโฆษณาของเว็บเรา ทีมงานเราก็มากันเยอะ ก็ถ่ายทำไปไม่ได้ระวัง ปรากฏว่าโดนกันไปหลายสิ่งอย่าง ทั้งหมวก แว่นตา ของฉันร้ายสุด โดนมันคว้ามือถือไป"

คนตัวโตส่ายหัว เขามัวแต่ใช้มือถือถ่ายภาพแล้วก็โดนเจ้าลิงเข้ามาทางด้านหลังและดึงเอามือถือของเขาไป และเช่นเดียวกันกับเจ กลุ่มชาวบ้านผู้หวังดีก็ได้เข้ามาช่วยเหลืออย่างทันควัน

"พวกฉันรีบเดินตามไปดู ทีนี้ก็เห็นชัดๆ เลยว่าคนพวกนั้นมีผลไม้ชิ้นเล็กๆ ติดมือมาด้วย พวกเขายื่นมันให้ลิงแลกกับของที่โดนขโมย"

พอชาวบ้านพวกนั้นทำท่าจะขอเงินเป็นค่าช่วยเหลือ เจ้าหน้าที่ชาวอินโดที่มาประสานงานกับกองถ่ายของฆาเบียร์ก็ด่าสวนกลับไปทันที เขายังบลัฟฟ์คนพวกนั้นไปอีกว่าเมื่อสักครู่ทางทีมงานได้ถ่ายภาพตอนชาวบ้านแอบเอาผลไม้ให้ลิงเมื่อครู่ไว้เรียบร้อยแล้ว ถ้าขืนจะมาเรียกร้องเงินอีก เขาจะเอาคลิปภาพนั้นไปให้ทางการ พวกนั้นจึงยอมคืนของและล่าถอยไป

"มิน่าล่ะ ลิงพวกนั้นถึงได้เชี่ยวชาญกันมากนัก ไม่น่าให้ตังค์ไปเลยจริงๆ "

เจนยุทธพูดอย่างเจ็บใจ

"ไม่ใช่แค่ที่อูลูวาตูเท่านั้นนะเจ ที่ป่าลิงเองก็พวกเราก็ต้องระวัง คือต่อให้ไม่มีคนสอน ลิงพวกนี้มันก็มีนิสัยชอบหยิบฉวยของคนอยู่แล้ว และที่ต้องระวังที่สุดคือพวกผู้หญิงที่ใส่ต่างหูใหญ่ๆ บางคนโดนลิงมันกระชากออกจากหู หูฉีกเลยก็มีนะ"

เจหลับตาด้วยความสยองใจเมื่อนึกภาพตาม เขาบอกว่าเขาเคยพักโรงแรมในอูบุดที่ติดกับป่า ในตอนที่พวกเขามานั่งกินอาหารเช้าที่ลานกลางแจ้ง ก็มีฝูงลิงมาป้วนเปี้ยนตามโต๊ะด้วย บางตัวที่กล้าๆ หน่อยก็ถึงขั้นกระโดดขึ้นโต๊ะมาคว้าอาหารไปด้วยซ้ำ พวกเขาเองก็ต้องระวังทรัพย์สินของตัวเองและไม่วางอะไรทิ้งไว้บนโต๊ะให้มันมาหยิบฉวยไปได้



"จริงๆ น้า ถ้าไม่มีเรื่องนี้ กับเรื่องอาหารที่ไม่ค่อยถูกปากนัก ผมจะถือว่าบาหลีเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ผมชอบที่สุดที่หนึ่งเลยทีเดียว"

เจนยุทธบ่นออกมาเบาๆ เขาเปิดภาพพระอาทิตย์ที่กำลังตกลับลงทะเลขึ้นมาดู

"ผมนะ ชอบพระอาทิตย์ตกที่บาหลีมากเลย ผมไปดูมาจากหลายๆ ที่ละ ทั้งที่ทานาล็อต ที่อูลูวาตู ที่ชายหาดจิมบารันที่เขาว่ามีวิวพระอาทิตย์ตกสวยที่สุด ผมก็ไปมาแล้ว ไปกินกุ้งมังกรกับซีฟู้ดเผาบนชายหาดน่ะครับ อาหารน่ะเฉยๆ มาก แต่พระอาทิตย์ตกสวยจริงๆ "

เจทำหน้าเคลิ้มเมื่อนึกถึงขอบฟ้าสีส้มทองที่ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน ตามด้วยสีชมพูและม่วงก่อนที่ฟ้าจะมืดมิดลง

"อีกที่ๆ พระอาทิตย์ตกซ้วยสวย บรรยากาศดี๊ดี แต่อาหารไม่เอาอ่าวเลยก็ที่ๆ ผมเคยบอกคุณอ่ะ..."

ฆาเบียร์ทำหน้างง

"อ่ะ ทำลืม ที่ Ku De Ta ไง คุณบอกผมว่าคุณก็เคยไปไม่ใช่เหรอ?"

คนตัวโตทำท่านึกได้

"อ๋อ บีชคลับดังที่อยู่ติดหาดใช่ไหม? ใช่ ฉันเคยไปซักสองครั้งได้มั้ง อาหารมันไม่ค่อยอร่อยจริงๆ ไหน ขอดูรูปหน่อยซิ นายกับนพนี่ชอบไปแต่ที่โรแมนติกๆ ทั้่งนั้น นี่ก็ไปดินเนอร์ใต้แสงเทียนกันอีก ฉันชักหึงแล้วนะ"

คนตัวโตบ่นกะปอดกะแปด เขาเปิดๆ ดูรูปที่เจถ่ายมา ทั้งสองคนแวะไปที่คลับนั้นในคืนสุดท้ายก่อนกลับไทย ตัวร้าน Ku De Ta นั้นไม่ได้สวยเป็นพิเศษอะไรมาก เป็นห้องกระจกที่โอบล้อมสนามหญ้าและลานขนาดไม่ใหญ่นักไว้เป็นรูปตัวยู หากจุดที่บรรยากาศดีที่สุดคือบริเวณหน้าหาดซึ่งมีโซฟาและเก้าอี้ชายหาดเรียงรายให้บรรดาหนุ่มสาวได้นั่งรื่นรมย์กับลมทะเลและพระอาทิตย์ที่กำลังจะตกลับฟ้า จุดเด่นที่สุดของบีชคลับชื่อก้องแห่งนี้นอกจากบรรยากาศแล้วคือดนตรีที่ได้ดีเจชื่อดังจากหลากหลายชาติหมุนเวียนกันมาสร้างความบันเทิงให้กับนักท่องราตรี ดนตรีของที่นี่ไล่เรียงไปตั้งแต่แนวชิลเอาท์ เลาจ์ บอสซ่า แจ๊ซ ไปจนถึงจังหวะสนุกๆ อย่างโมเดิร์นดิสโก้และละตินแดนซ์ที่ทำให้คนขยับร่างกายโดยไม่รู้ตัว

"พวกผมจองไปแบบไปกินข้าว เลยไม่ได้นั่งริมหาด ถ้ารู้ว่าอาหารมันจะเฉยๆ พวกผมก็คงกินที่อื่นมาก่อนแล้วค่อยมานั่งดื่มเฉยๆ เพราะค้อกเทลเขาอร่อยอยู่ครับ แต่ผมก็ไม่ได้ไปนานแล้ว ตอนนี้อาหารเขาอาจจะดีแล้วก็ได้"







ในตอนที่เจนยุทธไปใช้บริการที่นั่น อาหารของร้านนี้ดูสวยงามแต่รสชาติไม่ได้ตราตรึงใจอะไรมากนัก เจเปิดรูปอาหารให้คนรักดูและบรรยายเป็นอย่างๆ

"อืมม์ ฉันก็ว่าสเต๊กนี่มันดูแห้งไปจริงๆ นะ ไม่ได้ดูชุ่มฉ่ำเลย"

คนตัวโตเพ่งมองเนื้อสเต๊กในรูป เจพยักหน้าแล้วก็บ่นอาหารไปตามเรื่อง ฆาเบียร์เปิดรูปถัดไปดูเรื่อยๆ เขาขมวดคิ้วเมื่อเห็นรูปหนึ่ง เจมองตามคนรักแล้วก็ต้องยิ้มเขินๆ ออกมา ในภาพนั้นเจถ่ายภาพกลุ่มคนที่นั่งชิลอยู่ที่โซฟาบนชายหาด หากเขาซูมภาพเข้าจนเห็นเป็นภาพของคนสองคนกำลังจูบกันอย่างดูดดื่มอยู่ที่กลางภาพ ถึงภาพคนทั้งสองจะไม่ชัดนักเพราะแสงน้อยและการซูม แต่ก็เห็นได้ชัดว่าทั้งสองคนนั้นเป็นผู้ชาย

"แหม ก็ผมเพิ่งเคยเห็นผู้ชายจูบกันในที่สาธารณะชัดๆ ต่อหน้าต่อตานี่คุณ อย่างพี่นพกับพี่วัฒน์น่ะ ไม่นับ เพราะพวกพี่เขาจูบกันอยู่ในที่รโหฐาน แต่ผมอ่ะดันไปเห็นเอง"

คนตัวเล็กหัวเราะแหะๆ เมื่อเห็นใบหน้าพิพักพิพ่วนของฆาเบียร์ เขายิ้มและทำหน้าบ้องแบ๊วให้คนรักเพราะคิดว่าฆาเบียร์คงไม่ค่อยพอใจนักที่เขาไปแอบถ่ายคนแปลกหน้า เจบอกว่าในตอนนั้นเขายกกล้องขึ้นถ่ายรูปคนทั้งสองโดยไม่รู้ตัว เขาบอกว่าตอนแรกเขาแค่กะถ่ายรูปมาดูชัดๆ ว่าหนึ่งในนั้นคือคนที่เขาคิดว่าใช่หรือเปล่าแล้วค่อยลบแต่ก็ลืมไปเสียสนิท

"เนี่ยๆ ผู้ชายคนนี้นะ ผมย้อมทองๆ เนี่ย ที่ผมถ่ายมาเพราะตอนแรกผมคุ้นๆ ว่าเขาเป็นดารา มาแน่ใจเอาตอนเจอเขาแบบเห็นหน้าชัดๆ ในห้องน้ำทีหลัง ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นนักร้องเกาหลีสักวง ตอนนั้นถือเป็นวงดาวรุ่ง แต่ตอนนี้ไม่ค่อยดังละ ที่ผมพอจำได้เพราะพี่อิ่มเขาชอบคนนี้ ชอบแบบเอาไปจิ้นจับคู่กับคนอื่นในวง อะไรงี้ แต่ผมก็ไม่นึกว่าเขาจะเป็นเกย์จริงๆ"

เจหัวเราะเบาๆ ฆาเบียร์เกาหัวแล้วทำหน้ายุ่ง



(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)




ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- Destinations and Destiny Pt.2 (ต่อ) ----




"แล้วเจจำได้ไหมว่าคนที่จูบกับนักร้องคนที่นายว่านั่นเป็นใคร"

"เอ ผมจำไม่ได้อ่ะ ผมสนใจแต่นักร้องคนนั้น แต่เหมือนว่าจะเป็นฝรั่งนะ ไหนขอดูหน่อยซิ คุณคุ้นหน้าเหรอ? เป็นคนดังหรือเปล่าหว่า?"

คนตัวโตขยับจอคอมให้ตรงกับเจนยุทธแถมยังซูมภาพเข้าให้เจดูภาพหนุ่มชาวตะวันตกที่โผล่มาให้เห็นแค่เสี้ยวหน้าได้ชัดๆ

"เอ้า ดูซิ แล้วบอกฉันทีว่านายคุ้นหน้าไหม"

เจเพ่งภาพนั้นดูอีกครั้ง

"เชี่-!!!!"

คนตัวเล็กอุทานออกมาลั่นห้องพร้อมกับหันไปทุบไหล่คนรักดังพลั่ก

"ฆาบี้ คุณนี่มัน...!"

ชายตะวันตกร่างใหญ่ที่กำลังแลกลิ้นกับนักร้องหนุ่มในภาพนั้นไม่ใช่ใคร หากเป็นเมียตัวโตของเจนั่นเอง

"โอ๊ย อะไรวะ อะไรมันจะจุดใต้ตำตอขนาดนั้น!"

เจร้องลั่นเป็นภาษาไทยอย่างลืมตัว ก่อนหน้านี้เขาจำหน้าคนๆ นั้นไม่ได้ด้วยซ้ำ รู้แค่ว่าเป็นหนุ่มฝรั่งร่างใหญ่กำยำ แต่งตัวดีและมัดผมรวบตึง ฆาเบียร์ก็โคลงหัวและสุดท้ายก็ต้องหัวเราะเบาๆ ออกมาอย่างจนใจ เขาก็เพิ่งรู้ว่าตัวเองถูกแอบถ่ายเข้าให้แล้ว



"นายนี่ก็เหลือเกินนะ เจนยุทธ ทำตัวเป็นปาปารัซซี่เหรอ?"

ฆาเบียร์ดึงแก้มแดงระเรื่อของคนรักอย่างมันเขี้ยว เจหัวเราะแหะๆ และอิงแอบร่างเข้ากับคนรักอย่างเอาอกเอาใจ คนตัวโตโคลงหัวและบ่นพึมพำต่ออีกเล็กน้อย

“ขอโทษครับ ฆาบี้ที่ผมไปแอบถ่ายคุณ อย่าโกรธผมนะ”

เจพูดเสียงอ่อยๆ คนตัวโตส่ายหน้า

“ไม่โกรธหรอก เจ ฉันเองก็ทำอะไรประเจิดประเจ้อไปบ้างด้วย แต่ก็อย่าไปถ่ายคนอื่นอีกแล้วกัน มันไม่ดีนักหรอกที่เที่ยวไปถ่ายรูปคนนู้นคนนี้โดยที่เจ้าตัวเขาไม่ได้อนุญาต”

คนตัวเล็กพยักหน้ารับคำด้วยใบหน้าเจื่อนจ๋อย หากฆาเบียร์เองก็มีใบหน้ากระอักกระอ่วนเช่นกัน

“ว่าแต่เจเถอะ เห็นแบบนี้แล้วโกรธฉันหรือเปล่า”

คนตัวโตที่อดีตเคยเสเพลถามเสียงเบาหวิวขึ้นบ้าง เจส่ายหน้าทันควัน

“ต้องโกรธทำไมล่ะคุณ? ก็รู้ๆ อยู่ว่าทั้งผมและคุณสมัยก่อนมันก็แร่ดพอๆ กันนั่นแหละ…”

คนตัวโตอดหัวเราะไม่ได้เมื่อได้ยินเจพูดคำไทยที่คุ้นหูคำนั้นออกมา

“…แต่มันก็คือในอดีตใช่ไหมล่ะ ถ้าตอนนี้เรามั่นคงในตัวกันและกัน ก็ไม่มีเหตุให้ต้องไปวิตกหรือโกรธในเรื่องพวกนั้นอีก แต่…”

ฆาเบียร์กลั้นใจฟังเมื่อคนรักของเขาหยุดทิ้งจังหวะยาว เจพยายามปั้นหน้าให้เคร่งขรึมที่สุด

“…แต่ถ้ารูปนี้เป็นรูปปัจจุบัน ผมสาบานเลยว่าคุณจะไม่มีวันได้ใช้ไอ้นั่นของคุณกับคนอื่นอีกจนตลอดชีวิตแน่ๆ นะครับ ที่รัก”

เจส่งยิ้มหวานจ๋อยให้คนรักยามพูดจบ แต่คนตัวโตยิ้มไม่ออกและกลับรู้สึกหนาวเยือกขึ้นมาแทน เขาโอบกระชับไหล่คนรักพร้อมให้คำมั่นสัญญาว่าเขาจะไม่มีวันทำแบบนี้กับใครอื่นอีกเป็นอันขาด



"สรุปว่าคุณไปบาหลีช่วงเดียวกับที่ผมไปเหรอ ฆาบี้?"

เจถามขึ้น

"ใช่ เดือนมกราคม ปี 2014"

คนตัวโตหัวเราะหึๆ ใครจะไปนึกว่าเส้นทางของเขากับเจนยุทธจะเคยตัดกันมาก่อน

"เจบอกว่าเจอนักร้องคนนั้นในห้องน้ำ ก็ต้องเจอฉันด้วยสิ"

เจตีหน้ายักษ์ให้กับคนรัก ในตอนนี้เขานึกเหตุการณ์ในวันนั้นออกแล้ว หลังกินข้าวเสร็จ เจนยุทธก็เดินไปห้องน้ำ พอเข้าไปถึงเขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยจากส้วมห้องในสุด มันเป็นเสียงคนดูดปากกันดังลั่นอีกทั้งยังมีเสียงครางเบาๆ จากลำคออย่างเคลิบเคลิ้ม เจส่งเสียงกระแอมเบาๆ ออกมาเพื่อให้คนหื่นทั้งสองรู้ว่ามีคนอื่นอยู่ในห้องน้ำด้วย ส่วนตัวเขาเองก็จัดแจงรีบทำธุระจนเสร็จ หากก่อนที่เขาจะทันไปล้างมือ ประตูห้องน้ำก็เปิดออกพร้อมกับมีชายสองคนที่เขาเห็นจูบกันอย่างดูดดื่มบนโซฟาริมหาดเดินออกมา เจเหลือบมองแว่บหนึ่งพอให้รู้แน่ว่าหนุ่มเอเชียที่เดินหน้างอออกมาคือนักร้องเกาหลีหน้าหวานที่พี่อิ่มชื่นชอบ เขาไม่ทันมองหน้าชายตะวันตกร่างใหญ่ที่เดินตามมาได้ถนัดนัก เจเบือนหน้าหนีเมื่อทั้งสองเดินผ่านเขาไปและพยายามไม่ใส่ใจอีก

เมื่อล้างมือเสร็จ เจนยุทธก้มหน้าก้มตาเดินเฉียดผ่านคนทั้งสองเพื่อออกห้องน้ำ หากเขาต้องช้อนตาขึ้นมองอย่างเคืองๆ เมื่อถูกหนุ่มเกาหลีซึ่งตัวสูงกว่าเขาไม่มากนักกระแทกไหล่ใส่อย่างจงใจ ทางฝ่ายนั้นก็จ้องหน้าเขากลับมาเหมือนจะหาเรื่องแต่ก็ถูกหนุ่มฝรั่งตัวสูงใหญ่ที่อยู่ด้านหลังดึงและโอบไหล่เอาไว้ เจได้ยินเสียงทุ้มแหบจากร่างใหญ่กำยำนั้นพึมพำขอโทษเขาเบาๆ หากเขาทำเป็นไม่สนใจและเดินเชิดหน้าผ่านทั้งสองออกห้องน้ำมา เขากลับมาบ่นเรื่องที่เจอในห้องน้ำให้นพฟังอยู่ครู่ใหญ่ จากนั้นก็ลืมมันไปเสียหมดและไม่ได้คิดถึงมันอีกเลยจนกระทั่งวันนี้

"คุณนี่มันร้ายจริงๆ นะ ฆาบี้ แล้วตอนเจอกันที่กรุงเทพฯ คุณจำผมได้ไหมน่ะ?"

"โธ่ เจ จะไปจำได้ไง ตอนนั้นฉันได้เห็นนายแค่แว่บเดียวในห้องน้ำเองนะ เจอกันอีกทีก็ผ่านไปตั้งกี่ปีแล้วล่ะ "

คนตัวโตโอดครวญ แต่จะบอกว่าเขาจำไม่ได้ก็ไม่เชิง ตลอดมาเขายังจำถึงเหตุการณ์ในวันนั้นได้ แต่ที่เขาจำได้ก็แค่ดวงตากลมใสเจือแววขุ่นเคืองที่มองสบแว่บมาและผมสีสตรอเบอรี่ของคนที่เดินหัวเฉียดคางสวนเขาออกไป หากในวันนี้หลังจากได้คิดทบทวนถึงเรื่องที่เกิดขึ้น สิ่งที่เขาจำได้เพิ่มคือในวันนั้นเขารู้สึกติดใจชายหนุ่มร่างเพรียวที่ได้สบตากันแว่บเดียวคนนั้นอย่างประหลาด แม้เขาจะพยายามไม่มองหน้าอีกฝ่าย เขาก็ทันเห็นว่าถึงใบหน้านั้นจะไม่ได้สวยหวานเท่าไอดอลหนุ่มที่อยู่ในอ้อมอกเขา แต่เขาก็จำได้ลางๆ ว่ามันเป็นแบบที่เขาชอบ ตัวเขายังรู้สึกได้ถึงแรงดึงดูดที่ทำให้เขาอยากเข้าไปทำความรู้จักกับคนๆ นั้น หากเมื่อเขาเดินตามหนุ่มน้อยหัวสีแดงอมชมพูแปร๊ดคนนั้นออกห้องน้ำมา เขาก็เห็นร่างเพรียวนั้นเดินตรงเข้าไปหาชายอีกคนซึ่งนั่งหันหลังให้ เมื่อดูจากบรรยากาศของโต๊ะที่นั่งซึ่งดูเหมือนเป็นการดินเนอร์ใต้แสงเทียนแล้ว ฆาเบียร์ก็คิดได้แค่ว่าหนุ่มคนนั้นคงมากับคู่ของเขาและล้มเลิกความตั้งใจที่จะเข้าไปทักทาย

 

"ฆาบี้...ฆาเบียร์ครับ"

เจดีดนิ้วเบาๆ ตรงหน้าของคนที่นั่งเหม่อมองภาพของตัวเองที่กำลังดูดปากนักร้องหนุ่มบนจอคอมพิวเตอร์

"หือ? จ๊ะ?"

"เหม่ออะไรของคุณน่ะ ผมถามไงว่าในตอนนั้นคุณจำพี่นพไม่ได้เหรอ?"

ฆาเบียร์ส่ายหัวแล้วบอกว่าถ้าจำไม่ผิด นพจะนั่งหันหลังให้เขา และตัวเขาเองก็ไม่กล้ามองไปทางโต๊ะของทั้งสองคนมากนัก อีกทั้งยังต้องคอยเอาใจพ่อไอดอลหนุ่มที่อยู่ในอ้อมอก ฆาเบียร์ไม่กล้าบอกเจว่าหนุ่มเกาหลีคนนั้นรบเร้าให้เขาเช็คบิลทันทีที่กลับมาถึงโต๊ะและรีบกลับโรงแรมไปสานต่อสิ่งที่ทำค้างไว้ในห้องน้ำ

"แล้วนี่ไปทำอิท่าไหนถึงไปคว้านักร้องเกาหลีมาได้ล่ะ หือ?"

เจกระเซ้าคนรัก ฆาเบียร์หน้าแดงก่ำ

"เอ่อ ตอนนั้นเราให้วงนี้ซึ่งกำลังเป็นดาวรุ่งมาเป็นพรีเซนเตอร์ให้เว็บของเราในแถบเอเชียน่ะ แล้วมันต้องมีการถ่ายทำโฆษณา ก็ที่บอกเจน่ะ ว่ามีกองถ่ายมาด้วย แล้วฉันตอนนั้นก็มาในฐานะคนทำงานด้านประชาสัมพันธ์และการโฆษณา ก็ต้องมาคอยประสานงานและคุมการถ่ายทำด้วย แล้วพอเจอหน้ากันพวกเราก็เกิดถูกใจกันขึ้นมาน่ะ วันนั้นเราก็ปลีกตัวมาดื่มกันสองคน"

คนตัวโตสารภาพเสียงอ่อยๆ เขาเปิดประตูห้องให้ไอดอลหนุ่มคนนั้นมานอนร่วมเตียงตั้งแต่คืนแรกที่พบหน้ากันเมื่อสามวันที่แล้ว และคั่วกันต่อจนกระทั่งงานจบในอีกสัปดาห์ถัดมา หากหลังจากนั้นพวกเขาก็แยกย้ายทางใครทางมันเพราะที่พวกเขาทั้งคู่ต้องการคือแค่เซ็กส์ร้อนๆ ชั่วคราวเท่านั้น



"น่าเสียดายนะฆาบี้ ถ้าวันนั้นคุณสังเกตสักหน่อย คุณก็จะได้เจอพี่นพที่คุณอยากพบนักหนาแล้ว"

เจพูดด้วยเสียงแผ่วเบา คนตัวโตอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา

"ไม่รู้สินะ เจ ฉันกลับคิดว่าอะไรต่างๆ มันเกิดขึ้นโดยมีเหตุผลของมันเอง บางทีมันอาจจะเป็นโชคชะตาที่ทำให้พวกเราคลาดกันในวันนั้น ถ้าฉันเจอนพในวันนั้น เราทั้งสองคนก็อาจจะไม่ได้คบหากันแบบนี้”

เจกัดริมฝีปากน้อยๆ สิ่งที่ฆาเบียร์พูดนั้นจริงแท้แน่นอน จังหวะและเวลาที่ลงตัวทำให้เขาทั้งสองได้มาผูกพันกันเฉกเช่นทุกวันนี้

“ถูกของคุณ ฆาบี้ เมื่อสี่ปีที่แลัวคุณยังไม่ได้กลับมาคุยกับพี่นพใช่ไหม? ฉะนั้นผมว่าถ้าคุณกับพี่เขาจู่ๆ มาเจอหน้ากันมันต้องกระอักกระอ่วนแน่ๆ “

เจนยุทธครุ่นคิด ฆาเบียร์ผงกหัว ถูกแล้ว ถ้าเขาเจอหน้านพน้อยของเขาในวันนั้น ความรู้สึกผิด ความคนึงหาและทุกสิ่งที่มันอัดอั้นในใจเขามานานเกือบยี่สิบปีก็คงจะระเบิดออกมา มันคงทำให้เขาไม่คิดมองคนที่ยืนอยู่ข้างนพในวันนั้น ตัวนพเองก็อาจจะตกใจที่ได้เจอเขาและอาจจะหนีเขาไปอีกครั้ง หากเวลาที่ผันผ่านไปทำให้จังหวะชีวิตและความคิดของพวกเขาเปลี่ยนไป นพเองเมื่อผ่านการสูญเสียทั้งพ่อและคนที่เป็นเสี้ยวหนึ่งของใจเขาไปอย่างกะทันหันในอีกไม่กี่เดือนหลังกลับจากบาหลีก็หันมามองเห็นค่าของการใส่ใจผู้คนรอบตัว มันนำไปสู่การที่เขาให้อภัยและตอบรับ friend request ในเฟซบุ้คที่ฆาเบียร์ส่งให้ในปีถัดมา

หลังจากนพและเขากลับมาคุยกันฉันท์เพื่อน ฆาเบียร์เองก็เริ่มรับรู้ได้แล้วถึงความเปลี่ยนแปลงในตัวของคนที่เขาเคยรัก ตัวเขาเองก็ยังเริ่มเข้าใจความคิดและความรู้สึกของตัวเองมากขึ้นว่าที่ผ่านมานั้น ความติดยึดในตัวนพของเขาเกิดจากความรู้สึกผิดเสียส่วนใหญ่ เขาเริ่มรู้สึกว่าในตอนนี้เขาอาจรักนพในฐานะเพื่อนมากกว่าที่จะอยากครอบครองในฐานะคนรัก ฆาเบียร์ต้องการค้นหาว่าที่สุดแล้วเขายังรู้สึกกับนพเหมือนตอนสมัยเรียนหรือไม่ และการจะทำเช่นนั้นเขาต้องได้พบกับนพตัวเป็นๆ นั่นคือสาเหตุที่ทำให้เขานัดเจออดีตรูมเมทของเขาที่กรุงเทพฯ ในที่สุด



เจเอื้อมมือไปกุมมือคนรักที่นั่งนิ่งอยู่

"คุณไม่นึกเสียใจจริงๆ นะ ฆาเบียร์ ที่เป็นผม ไม่ใช่พี่นพ"

เสียงของเจแผ่วเบาจนแทบเป็นเสียงกระซิบ ฆาเบียร์ถอนหายใจยาวและดึงร่างเพรียวเข้ามากอด

"เจจ๊ะ ได้เห็นแบบนี้ทำให้ฉันยิ่งแน่ใจว่าการพบกันของเราที่กรุงเทพฯ คือสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าตระเตรียมไว้ให้ฉันแล้ว ถ้าเราพบกันในที่อื่น โอกาสอื่น สถานการณ์อื่น เราก็จะไม่มีทางได้มาคบหากันแบบนี้แน่ๆ อย่างที่ฉันบอกนะเจนยุทธ ฉันไม่เคยเสียใจเลยที่เราได้พบกันในวันนั้น ไม่ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นในตอนแรกก็ตาม เข้าใจไหม?"

ฆาเบียร์แนบหน้าผากเขาเข้ากับหน้าผากนวลเนียนของคนรัก เจจุ๊บเบาๆ ที่ริมฝีปากบางเฉียบคู่นั้น

"ก็จริงนะ ถ้าคุณตามมาเจอพี่นพที่ Ku De Ta ในวันนั้น ผมอาจจะทำท่าทางเป็นแฟนพี่นพและพยายามไล่คุณไปไกลๆ ไม่ก็อาจจะด่าคุณแรงๆ เสียๆ หายๆ คือต้องเกลียดขี้หน้ากันแน่ๆ ครับ ยิ่งผมไปเห็นคุณจูบนักร้องนั่นจ้วบๆ ก่อนแล้วด้วยนะ"

เจพูดด้วยใบหน้าเคร่งเครียด ฆาเบียร์โคลงหัว มันเป็นเวลาและสถานที่ๆ แย่ที่สุดในการที่จะเข้าไปพยายามรื้อฟื้นความสัมพันธ์กับอดีตคนในดวงใจของเขา



"As I've told you before, Jayneyuth. It's really the destiny that brought us together in the right place at the right time."

เจดึงมือคนรักขึ้นมาจูบเบาๆ

"พรหมลิขิต ครับ ภาษาไทยเรียกว่า พรหมลิขิต"

คนตัวโตพูดทวนคำๆ นั้นช้าๆ

"...มันคล้ายๆ กับคำว่า god's will หรือ god's plan นั่นแหละครับ ความหมายตรงตัวของมันคือ Brahma's script หรือ written by Brahma นั่นแหละ"

เจอธิบายต่อว่ามันคือคติความเชื่อของคนไทยซึ่งหลายอย่างอิงตามความเชื่อแบบพราหมณ์-ฮินดูซึ่งมีพระพรหมเป็นเทพสูงสุด

"คนไทยเราที่นับถือพุทธแบบปนความเชื่อศาสนาอื่นๆ ด้วยเชื่อว่าชีวิตคนเราถูกพระพรหมลิขิตหรือเขียนเส้นทางให้มาตั้งแต่เกิดแล้วครับ แต่คนที่เป็นพุทธแท้ๆ ก็น่าจะเรียกว่ากรรมลิขิตมากกว่า เชื่อว่าเรามาเจอกันเพราะการกระทำของเราที่เคยเกี่ยวข้องผูกพันกันในอดีต"

เจหัวเราะเบาๆ เขาไม่เคยเชื่อในพรหมลิขิต หากเมื่อมานึกๆ ดูแล้ว การพบกันครั้งแรกของเขาและฆาเบียร์เกิดขึ้นบนเกาะแห่งเทพเจ้าซึ่งผู้คนเคารพศาสนาฮินดูและบูชาพระพรหม นี่ก็อาจจะเป็นสิ่งที่องค์พรหมได้ขีดเส้นไว้ให้เขาแล้วกระมัง

"Promlikhit..."

ฆาเบียร์ทวนคำที่เขาคิดว่าเสียงของมันฟังดูเพราะพริ้งเหลือเกินคำนั้นเบาๆ เขายิ้มกว้างออกมา

"ไม่ว่ามันจะเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดมาโดยพระเจ้าของฉันหรือพระพรหมของนาย หรือจะเป็นเพราะ karma ตามความเชื่อศาสนาพุทธ ฉันก็ไม่ขัด ฉันอยากให้นายรู้ว่าทุกวันนี้ฉันมีความสุขเหลือเกิน และใช่ ฉันเชื่อเหลือเกินเจ ว่านายคือพรหมลิขิตของฉัน"

ฆาเบียร์จุมพิตเบาๆ บนริมฝีปากที่เผยอรอเขาอยู่แล้ว เจจูบตอบ เขากระซิบแผ่วๆ ที่ข้างหูฆาเบียร์

"And you also are my destiny"

ฆาเบียร์โอบรัดร่างคนรักไว้แน่น เขาเลาะเล็มลิ้มรสหวานจากริมฝีปากแดงระเรื่อที่ตอบสนองเขาอย่างไม่รู้หน่าย เจสะท้านไปกับรสจูบอันดูดดื่มของคนตัวโต



"คุณครับ ไม่ดูรูปต่อแล้วเหรอ?"

เจพยายามดันตัวออกจากอ้อมกอดของฆาเบียร์ คนรักของเขาเริ่มซุกซนอีกแล้ว มือร้อนๆ ของคนตัวโตเริ่มเปะป่ายเข้ารุกรานใต้เสื้อของเขา และตอนนี้ฆาเบียร์กำลังพยายามดึงมือเขาให้ไปสัมผัสใต้กางเกงของพ่อเจ้าประคุณอีก

"เจจ๋า ฉันไล่ดูมาครบแล้วน่า ตอนนี้ฉันอยากดูอย่างอื่นมากกว่า"

เจย่นจมูกให้คนรักแล้วยกนาฬิกาให้ดู

"สี่โมงกว่าแล้วครับ เดี๋ยวห้าโมงครึ่งเราก็ต้องออกบ้านแล้ว เก็บมันลงไปก่อนน่า..."

เจตบเบาๆ ไปยังส่วนที่เริ่มจะชูคอขึ้นมาให้เห็นเป็นลำใต้กางเกงจ๊อกเกอร์ของคนรัก ฆาเบียร์สะดุ้งโหยงและบ่นพึมพำออกมาเป็นภาษาแม่ของเขา

"จะไม่ดูก็ได้นะ อยากทำอย่างอื่นก็ได้ แต่ถ้าทำตอนนี้คืนนี้ก็อดนะครับคุณ"

เจซ่อนยิ้มและพูดอย่างขึงขัง ฆาเบียร์ส่งสายตาอ้อนวอนคนรักแต่ก็ต้องจ๋อยเมื่อคนตัวเล็กไม่ยอมใจอ่อน



"ดูต่อก็ได้ มะ ไหน เจจะให้ฉันดูอะไรอีก?"

"คุณอยากดูอะไรล่ะ? หยุด ไม่ต้องบอกว่าอยากดูผม..."

เจยกมือเบรคคนตัวโตที่ทำท่าจะบอกว่าเขาอยากดูเจแก้ผ้ามากกว่า เจนยุทธส่ายหัวเบาๆ เขาเปิดภาพขึ้นมาอีกชุด

"นี่ผมแยกพวกอาหารการกินไว้อัลบั้มนี้ อย่างที่บอก ผมไม่ค่อยถูกปากอาหารที่นี่เท่าไหร่ ที่กินๆ กันถ้าไม่ใช่ว่าเป็นอาหารฝรั่งฟิวชั่นไปเลยซึ่งมักจะเจอร้านเฟลมากกว่าร้านดีๆ ก็เป็นพวกอาหารบาหลีที่พวกผมไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ ผมว่าบางทีมันเป็นเพราะผมสั่งไม่เป็นด้วยมั้งเลยไม่ค่อยถูกปาก ก็มีแต่พวกสะเต๊ะกับอาหารที่ทำจากปลาทูน่านั่นแหละที่ผมชอบที่สุด"

เจเปิดรูปจากร้านหลายๆ ร้านที่เขาไปกินให้ฆาเบียร์ดู

"นี่ที่พวกผมกินคืนแรก Kafe ARMA ที่อูบุด มันอยู่ในโรงแรมและพิพิธภัณฑ์ชื่อเดียวกัน ร้านนี้น่าจะที่โรงแรม Kajane Mua แนะนำ อาหารก็ใช้ได้ครับ แพงหน่อย ผมสั่งไอ้เจ้า bebek goreng หรือเป็ดกรอบแบบบาหลีน่ะครับ เขาทำใช้ได้นะ..."

เจเปิดภาพเป็ดครึ่งตัวที่ถูกนำไปทอดจนหนังกรอบให้ฆาเบียร์ดู

"หน้าตาดูดีนี่ อร่อยไหม?"

"ผมก็จำไม่ได้แล้วคุณ น่าจะอร่อยอยู่นะ แต่เจ้านี่น่ะ อร่อยแน่"

เจเปิดรูปข้าวกับสะเต๊ะหลากหลายชนิดขึ้นมา เขาทำท่าปาดน้ำลาย

"น่าจะมีสะเต๊ะไก่ เนื้อ ทูน่าแล้วก็สะเต๊ะลิลิทครับ"

"โอย เห็นรูปแบบนี้แล้วฉันจะไปหากินได้ที่ไหนล่ะเจ? "

คนตัวโตที่ชื่นชอบสะเต๊ะแบบอินโดนีเซียบ่นออกมาดังๆ เจอดหัวเราะไม่ได้ หลังๆ มานี่ฆาบี้เริ่มบ่นเรื่องอยากกินอาหารนั่นนี่บ่อยขึ้น คนที่เผลอตัวไปหน้าแดงซ่าน เจทำให้เขากลายเป็นคนตะกละไปเสียแล้ว







"ส่วนจานนี้น่าจะเป็น Nasi Campur แบบบาหลีครับ รสชาติดีเลยทีเดียว..."

อาหารประจำชาติอินโดนีเซียอย่างนาซิจัมปูร์คืออาหารประเภทข้าวที่มีเครื่องเคียงต่างๆ แตกต่างกันไปตามวัตถุดิบแต่ละท้องถิ่น สูตรบาหลีนั้นเด่นด้วยเครื่องเทศสูตรพิเศษแบบบาหลี เครื่องเคียงนั้นมักประกอบด้วยปลาทูน่าย่าง แตงกวา เต้าหู้ทอด แผ่นข้าวเกรียบใส่เท็มเปะห์หรือถั่วเหลืองหมัก ไข่ต้ม แกงเนื้อสัตว์ และอื่นๆ Nasi Campur ของร้าน Kafe ARMA นี้ก็ให้เครื่องมาอย่างจุใจ

"...มีทูน่าย่างชิ้นเบ้อเริ่มมาด้วย มีแกงไก่ ข้าวเกรียบ สะเต๊ะสองไม้ แล้วก็น่าจะผักผัดใส่ซอสถั่วลิสง แต่ผมกินนิดเดียวนะ เพราะใส่ถั่วงอกมาเพียบเลยอ่ะ"

ถึงจะบ่นเรื่องถั่วงอก แต่เจก็บอกว่าเขาติดใจทูน่าย่างของที่บาหลีมาก

"ที่นี่ใช้ทูน่ากันไม่กั๊กจริงๆ ครับ ผมกินหลายร้านแล้วที่เขาใส่ทูน่าชิ้นใหญ่ๆ แบบนี้ แถมย่างดี ไม่สุกสนิทจนเกินไป อร่อยจริงๆ ครับ"

เจบรรยายไปปาดน้ำลายไป ฆาเบียร์อดไม่ได้ต้องยกมือขึ้นขยี้ผมดำขลับของคนรักจนยุ่งเหยิงเมื่อเห็นเจทำท่าหิวอีกครั้งทั้งๆ ที่เพิ่งกินอาหารกลางวันไปได้ไม่ถึงสามชั่วโมง



(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-07-2018 21:53:59 โดย La Vida Sin Tu Amor »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1




---- Destinations and Destiny Pt.2 (ค่อ) ----




"แกล้งกันจริง ตาลุงนี่"

เจบ่นอุบอิบเป็นภาษาไทยพร้อมกับยกมือขึ้นจัดแต่งทรงผมตัวเอง

"What is Talung?"

คนตัวโตทำท่าอยากรู้อยากเห็นเมื่อได้ยินคำภาษาไทยที่คุ้นหู เจมักใช้คำนี้เวลาที่บ่นเขาเป็นภาษาไทย เจทำท่าอึกอักไม่ยอมตอบ ฆาเบียร์คว้าโทรศัพท์ขึ้นมากดแล้วทำท่าจะโทรออก

"โอ๊ย โอเคๆ ตอบก็ได้ ไม่ต้องไปถามคนอื่นแล้ว ความหมายมันก็แบบเดียวกับ Tio ในภาษาสเปนนั่นแหละ"

เจนยุทธทำหน้าง้ำ หากฆาเบียร์ทำตาโต

"นายนี่ร้ายจริงๆ เจ หาว่าฉันแก่อีกแล้วเหรอ?"

คนตัวโตว๊ากเบาๆ เจส่ายหัว

"ไม่ใช่ๆ ผมหมายถึงว่า การใช้ของมันก็เหมือนคำว่า Tio ในภาษาสเปนแหละ นอกจากแปลว่า uncle แล้ว คุณใช้มันเรียกเพื่อนด้วยใช่ไหมล่ะ?"

"อ๋อ ใช่ๆ ใช้เรียกเพื่อน หรือบางทีก็หมายถึงบุคคลที่สามที่ไม่สนิทหรือไม่รู้จักกันก็ได้ แต่โดยมากก็ใช้เวลานินทาคน นายนี่รู้มากจริงนะ เจนยุทธ"

คนตัวโตพูดกลั้วหัวเราะ เขาไม่นึกว่าเจจะรู้ไปถึงคำสแลงในภาษาแม่ของเขา

"นั่นแหละ คุณน่าจะเคยได้ยินผมใช้เรียกพี่นพ อะไรงี้ "

"อ๋อ แบบนั้นเอง งั้นฉันก็เรียกนายแบบนั้นได้เหมือนกันใช่ไหม Talung เจ"

"เห้ย ไม่ได้สิ! ผมยังไม่แก่ซักหน่อย"

คนตัวเล็กหลุดปากออกไปแล้วก็รีบตะครุบปากตัวเอง ฆาเบียร์เกาหัว



"ตกลงว่าที่นายเรียกฉันแบบนี้เพราะฉันแก่จริงๆ เหรอ เจนยุทธ?"

คนที่อายุมากกว่าเกือบรอบพูดเบาๆ เจหน้าเสีย เขารีบเข้าไปกอดแขนคนรักและซบหน้าลงกับไหล่

"ผมไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น...เฮ้อ"

เจถอนหายใจออกอย่างอัดอั้น

"คือคำนี้เขาไม่ใช้เรียกคนอายุน้อยกว่าหรือเท่าๆ กันนักหรอกครับ แต่อาจจะใช้เรียกเพื่อนที่อายุมากกว่า ไม่ก็พวกคนที่เราหมั่นไส้ ไรงิไง คุณอย่าโกรธผมนะ"

เจเสียงสั่น เขาไม่รู้ว่าคนรักจะเกิดคิดมากอะไรขึ้นมาอีกหรือเปล่า ฆาเบียร์นิ่งไปพักหนึ่งแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

"ฉันรู้ตัวดีว่าฉันแก่กว่านายมากนะ เจ..."

เจทำหน้าจ๋อย เขาทำท่าจะพูดอะไรแต่ฆาเบียร์ยกนิ้วแตะริมฝีปากเจนยุทธเบาๆ

"...ฟังก่อน ฉันรู้ว่าฉันแก่กว่านายมาก ฉันถึงต้องพยายามรักษาสุขภาพและฟิตตัว เพื่อที่จะได้อยู่ปรนเปรอนายทั้งคืนไปได้อีกนานๆ ไงล่ะ เจอยากเรียกฉัน uncle ก็เรียกไป แต่จำไว้ว่าฉันน่ะเป็น one hot uncle นะจ๊ะ mi alma อยากให้ฉันสาธิตให้ดูไหม?"

 คนตัวโตพูดยิ้มๆ พร้อมกับทำท่าจะสาธิตให้คนรักดูถึงความฟิตของตัวเอง เจหน้าแดงก่ำและพยายามดิ้นออกจากอ้อมแขนที่รัดแน่นของตาลุงสุดแซ่บของเขา

"ไม่เอาๆ ถ้าอยากสาธิต รอไว้คืนนี้ดีกว่าครับ เวลาแค่นี้ ไม่พอหรอก"

เจอ้อมแอ้มพูด

"งั้นฉันขอมัดจำไว้ก่อนนะ"

ฆาเบียร์หอมแก้มคนรักฟอดใหญ่โดยไม่รอฟังคำตอบ เจจุ๊บเบาๆ ที่ปากฆาเบียร์เบาๆ เป็นการรับคำ หากในใจเขาคิดว่าคืนนี้เขาต้องพยายามจับเมียตัวโตของเขากดให้ได้เพื่อที่พ่อเจ้าประคุณจะได้ไม่ได้ใจเกินไป



“เอ้า ไหนๆ จะให้ฉันดูอะไรอีก”

คนตัวโตยิ้มระรื่นเมื่อได้คำสัญญาจากเจนยุทธ เขาทำท่าเปิดๆ ดูรูปต่อ

“เออ เมื่อกี้เจเปิดรูปเป็ดกรอบให้ฉันดู นายได้ไปแวะไปกินที่ร้าน Bebek Bengil ไหม?”

ร้าน Bebek Bengil หรือ "The Dirty Duck" ในภาษาอังกฤษนั้นเป็นผู้จุดกระแสความคลั่งไคล้ในอาหารที่เรียกว่า Bebek Goreng หรือที่ร้านนี้เรียกว่า Bebek Bengil นี้ มันกลายเป็นอาหารที่เป็นที่นิยมที่สุดชนิดหนึ่งสำหรับนักท่องเที่ยวในอูบุดและบาหลี ฆาเบียร์บอกว่ามันเป็นร้านที่เขาแวะเวียนไปทุกครั้งที่ไปยังเกาะแห่งเทพเจ้าแห่งนี้

“ไปสิคุณ มันไม่ไกลโรงแรมเท่าไหร่ ให้รถเขาไปส่ง ผมไปกินเป็นครั้งแรกแต่ก็แอบผิดหวังอ่ะ”

เจพูดเซ็งๆ พร้อมกับเปิดรูปให้ฆาเบียร์ดู



“เห้ย ทำไมเป็ดของเจมันน่าเกลียดงี้ล่ะ?”

ฆาบี้หัวเราะออกมาเมื่อเห็นเปิดกรอบหน้าตาทุเรศทุรังบนหน้าจอ

"เออ สิ เอาให้ใครดูก็มีแต่คนบอกว่าน่าเกลียด ดูสิคุณ เนื้อหลุดล่อนเห็นกระดูกยังกะซอมบี้เป็ด แถมก้านขนยังติดอยู่เพียบเลย เซ็งจริงๆ ผมแอบชะโงกดูของโต๊ะอื่นก็ไม่เห็นมีใครได้เป็ดหน้าตาอัปลักษณ์เท่าของผม"

เจนยุทธบ่นอุบอิบ ต่อให้เนื้อเป็ดทอดกรอบของร้านนี้จะหมักมาอร่อยเลิศเพียงใด แต่หน้าตาของมันทำให้เจนยุทธผิดหวังเป็นอย่างมาก

"เทียบกับของร้าน ARMA แล้ว ที่นั่นยังทำสวยกว่าอีกครับ แต่ถ้าเทียบรสชาติแล้วของอิร้านเป็ดมอมแมมนี่ดีกว่านะ ก็เรียกว่าสมแล้วที่เป็นผู้นำตลาด..."

เจเปิดรูปต่อ

"นอกจากอิเป็ดอุบาทว์นี้แล้ว พี่นพยังเฟลกับนาซิโกเร็งของร้านนี้อีกครับ..."

เจยิ้มเมื่อนึกถึงข้าวผัดสไตล์อินโดของร้านนี้ แม้เครื่องเคียงที่มาพร้อมข้าวผัดอย่างสะเต๊ะสองไม้ที่ราดน้ำจิ้มถั่วข้นมันจะอร่อยเพียงใด แต่มันก็กลบความจืดชืดไร้รสชาติของตัวข้าวผัดไม่ได้

"นอกจากนี้พวกผมยังสั่งสะเต๊ะรวมมาด้วย"

"เห้ย พวกนายยังกินไหวอยู่เหรอ? สะเต๊ะรวมที่นี่มันเสิร์ฟพร้อมข้าวกับผัดผักด้วยนะ"

คนตัวโตซึ่งสั่งสะเต๊ะรวมทุกครั้งเผลอท้วงออกมา เจหัวเราะแหะๆ

"แหม ฆาบี้ครับ คุณลืมนึกถึงกระเพาะน้อยๆ ของผมกับพี่นพไปแล้วเหรอครับ"

ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ เขาลืมไปเสียสนิทว่าทั้งคนรักและอดีตรูมเมทของเขานั้นท้องยุ้งพุงกระสอบกันแค่ไหน

"นั่นสินะ จริงๆ ฉันต้องถามว่านายสั่งกันแค่นี้จะพออิ่มกันเหรอมากกว่าใช่ไหม?"

ฆาเบียร์กระเซ้าคนรักของเขา หากเจนยุทธตอบอย่างจริงจัง

"ก็ไม่พออิ่มสิครับ พวกผมเลยสั่งซี่โครงหมูมาด้วยอีกแผงหนึ่ง"

เจเปิดภาพซี่โครงหมูบาร์บีคิวแผงใหญ่ให้คนตัวโตดู ฆาเบียร์ทำตาเหลือกเมื่อเห็นขนาดของมัน







"นอกจากร้านนี้ ผมก็ยังกินร้านนั้นร้านนี้ไปเรื่อยเปื่อยครับ ไม่ได้มีอะไรให้จดจำมาก แต่ที่ผมติดใจสุดๆ และไปกินทุกครั้งที่ไปก็คือร้านนี้ครับ ผมว่าคุณต้องไม่เคยกินแน่นอน"

เจนยุทธเปิดรูปร้านอาหารร้านเด็ดที่เขาชื่นชอบให้คนตัวโตดู

"Ibu Oka อย่างนั้นเหรอ? ฉันว่าฉันเคยได้ยินชื่ออยู่นะ ขายอะไรน่ะ?"

ฆาเบียร์เลื่อนๆ ดูภาพจากในจอ

"ขาย babi guling หมูหันแบบบาหลีครับ"

เจพูดยิ้มๆ

"เหรอ? น่าสนใจนะ ปกติที่อินโดนีเซียนี้จะหาหมูกินลำบากเพราะเป็นประเทศมุสลิม แต่ที่บาหลีนี่เป็นเกาะที่นับถือฮินดูก็คงไม่แปลกที่จะมีหมูกินสินะ แล้วมันแตกต่างจากหมูหันของชาติอื่นตรงไหนล่ะ?"

ฆาเบียร์ถามขึ้นอย่างสนใจ เขาเลื่อนๆ ภาพดู เจบอกว่าร้านนี้มีหลายสาขา แต่สาขาที่เขาไปกินในตอนนั้นคือสาขาดั้งเดิมซึ่งอยู่ในซอยข้างพระราชวังอูบุด



"ร้านนั่งพื้นเหรอเจ?"

"ครับ รูปนี้ถ่ายจากรอบแรกที่ผมไปบาหลีตอนปี 2012 ตอนที่ผมไปนี่ ร้านเขาเป็นแบบบ้านๆ นั่งพื้นและมีโต๊ะเตี้ยๆ ตั้งเรียงกัน เห็นแบบนี้นี่ ฝรั่งเพียบนะครับ แต่ตอนหลังมาเขาทำร้านใหม่และเปลี่ยนไปเป็นโต๊ะเก้าอี้แบบสมัยใหม่ หมดความคลาสสิคไปเยอะเลยอ่ะ"

เจนยุทธบ่นเสียดาย เขาชอบบรรยากาศแบบบ้านๆ ของร้านเดิมมากกว่า เขาเปิดภาพต่อไป

"นี่ครับ อาหารของเขา เมนูไม่ซับซ้อน มีแค่อาหารที่ทำจากหมูหันเท่านั้น จะสั่งแยกเป็นอย่างๆ ก็ได้ เช่นส่วนเนื้อ ส่วนหนัง หมูแดดเดียวทอด ไส้กรอกเลือดทอด อะไรแบบนี้ มีแคบหมูขายด้วยนะครับ แต่พวกผมน่ะสั่งเป็นเซ็ต..."

เจบอกคนตัวโตว่าอาหารของที่นี่เสิร์ฟมาในตะกร้าหวายสานแบนๆ มีกระดาษไขรองก้น พวกเขาทั้งสองตัดสินใจสั่งแบบเซ็ตซึ่งมีให้เลือกสองแบบ

"เซ็ตแรกมันจะเป็นข้าวโปะหน้าด้วยเนื้อหมู หนังหมูกรอบ หมูแดดเดียวและไส้กรอกเลือดอย่างละหน่อย มีผัดผักที่เป็นเครื่องเคียงมาตรฐานของที่บาหลีนี้มาให้ด้วย ผมก็จำราคาไม่ได้แล้ว ส่วนที่พวกผมสั่งจะเป็นเซ็ตใหญ่สุด คือแยกข้าวมาตะกร้าหนึ่ง ส่วนอีกตะกร้าเป็นพวกเนื้อกับผักเหมือนที่โปะหน้าเซ็ตแรก แต่มีปริมาณมากกว่านิดหน่อยครับ ที่มีเพิ่มมาอีกอย่างคือซุปหมู ผมชอบมากเลยเพราะว่าใส่หอมแดงเจียวด้วย ซดคล่องคอดีจริงๆ ครับ"



"แล้วมันอร่อยไหม?"

เจพยักหน้าตอบ

"อร่อยครับ เนื้อหมูนุ่มมาก ปรุงรสมาดีมากด้วย หอมทั้งเครื่องเทศและสมุนไพร รู้เลยว่าหมักไว้นานและหมักอย่างดี บนเนื้อหมูนี่จะราดซอสพริกแบบบาหลีมาด้วย เพิ่มรสชาติอีกหน่อย แต่หนังหมูยังจะติดเหนียวไปนิดเมื่อเทียบกับหมูหันแบบจีนครับ ไส้กรอกเลือดก็อร่อย แต่ผมคิดว่าคุณไม่น่าชอบ แต่ที่ไม่อร่อยคือไอ้เจ้าหมูแดดเดียวนี่ครับ ทั้งเหนียวทั้งแข็ง พวกผมเหลือทิ้งไว้ชิ้นสองชิ้นด้วยครับ"

"อื้อหือ ถึงขั้นพวกนายกินไม่หมดนี่คงไม่อร่อยจริงๆ "

ฆาเบียร์พูดยิ้มๆ เจย่นจมูกให้คนรัก

"แหม คุณก็เห็นผมเป็นพวกกินไม่เลือกไปได้น่า"

เจบ่นเบาๆ เขาบอกฆาเบียร์ว่าถ้าเขาได้มีโอกาสไปกินที่นี่อีกครั้งเขาคงจะสั่งแบบแยกเป็นอย่างมากกว่า เขายังอยากกินเนื้อและหนังหมูแสนอร่อยมากกว่านี้

"ไม่งั้นก็สั่งเซ็ตนี้คนละเซ็ต แล้วก็สั่งเนื้อหมูกับหนังหมูมาเพิ่มอีกอย่างละจานครับ"

เจพูดยิ้มๆ ฆาเบียร์โคลงหัวน้อยๆ สำหรับเขาปริมาณอาหารเท่าที่เขาเห็นในตะกร้านี้ก็มากพอดูแล้ว







"นี่ฉันยอมแพ้พวกนายจริงๆ ไม่เข้าใจเลย นายกินแล้วเอาไปเก็บไว้ที่ไหนหมด ฮึ? ฉันนี่อิจฉานายจริงๆ นะเจ"

คนตัวโตยกมือขึ้นลูบหน้าท้องแบนราบซึ่งมีกล้ามน้อยๆ ของเจ คนตัวเล็กหัวเราะเบาๆ เขาเอนกายเข้าหาคนรักและกระซิบแผ่วๆ ที่ข้างหู

"ก็เก็บไว้ในตัวคุณหมดน่ะสิครับ ฆาบี้..."

เจนยุทธจูบแผ่วๆ ที่ต้นคอของคนรักและไล้มือไปตามแผงอกกว้างของคนรัก

"...ที่ผมกินๆ เข้าไป มันแปลงกลายเป็นความรักที่ส่งผ่านให้คุณหมดแล้ว ถ้าไม่เชื่อ คืนนี้ผมก็จะจัดการส่งความรักเข้าตัวคุณอีกเยอะๆ เลย ดีไหมครับ เมีย?"

ฆาเบียร์พูดไม่ออกกับหลักอนาโตมั่วของเจ ดูท่าทางคืนนี้เจจะไม่ยอมเป็นฝ่ายถูกเขากอดเหมือนเมื่อสองคืนที่ผ่านมาแน่ๆ

"แต่นายสัญญากับฉันแล้วนะเจนยุทธ..."

คนตัวโตประท้วงออกมา หากเจยกนิ้วขึ้นแตะริมฝีปากคนรักและเกลี่ยไล้เบาๆ คนตัวโตพยายามงับตาม

"คุณครับ ผมบอกว่าจะให้โอกาสคุณแสดง "ความฟิต" แต่ผมไม่ได้บอกนะว่าจะให้แสดงออกแบบไหน"

เจพูดยิ้มๆ ถึงคำว่า "fit" ที่เขาเพิ่งพูดไปจะมีความหมายในภาษาอังกฤษ​ว่า "พอดี" มากกว่าคำว่า "คับแน่น" ในภาษาไทยตามที่เขาต้องการจะสื่อ แต่เขาก็รู้ว่าเมียตัวโตที่นั่งหน้าแดงก่ำอยู่ตรงหน้าเข้าใจความหมายมันได้จากน้ำเสียงและท่าทางของเขา เจไล้มือไปตามท่อนขาแข็งแรงของคนรักและรุกรานสูงขึ้นทุกที ฆาเบียร์รีบตะปบคว้าข้อมือเรียวที่ทำท่าจะแตะต้องของสงวนของเขา



"เจ เมื่อกี้นายบอกเองนะว่าเวลาไม่พอ"

เจยักไหล่ เขาดึงมือกลับและแลบลิ้นน้อยๆ ให้คนรัก ฆาเบียร์ย่นจมูกกลับให้

"แล้วนายจะไม่ยอมให้ฉันกอดจริงๆ เหรอ เจนยุทธ? คิดว่าฉันจะยอมนายง่ายๆ อย่างนั้นเหรอ?"

คนตัวโตพูดด้วยท่าทางขึงขัง เจทำท่าไม่ยอมแพ้

"ผมก็ไม่ยอมคุณง่ายๆ เหมือนกันน่า"

"ถ้างั้น คืนนี้เรามาลองดูกันว่าใครจะเป็นฝ่ายยอมก่อน"

ฆาเบียร์ท้าคนรักของเขา เจยิ้มยั่ว เขามั่นใจว่าตัวเองไม่แพ้แน่นอน ใจจริงเขาอยากจะจับฆาเบียร์พิสูจน์ความฟิตเสียตั้งแต่ตอนนี้ แต่เมื่อเหลือบดูนาฬิกาแล้วเจก็ต้องปล่อยผ่านไปก่อน

"ห้าโมงแล้ว งั้นเราไปอาบน้ำแต่งตัวกันให้เรียบร้อยดีกว่าครับ ถึงวันนี้จะเป็นวันอาทิตย์แต่แถวๆ ห้างรถคงเยอะ"

ฆาเบียร์รับคำ เจปิดคอมแล้วจัดการเก็บเข้ากระเป๋าเรียบร้อย

"คุณอาบก่อนก็ได้นะครับ ฆาบี้ เดี๋ยวผมค่อยอาบทีหลัง"

ฆาเบียร์ที่เดินนำคนรักเข้าไปในห้องน้ำชะงัก เขาหันกลับมาหาเจนยุทธแล้วค่อยๆ ถอดเสื้อยืดอยู่บ้านของเขาออก

"จะไม่มาอาบกับฉันจริงๆ เหรอเจ?"

คนตัวโตถามพลางไล้มือไปกับแผงอกกว้างของตัวเอง เขาใช้นิ้วคลึงวนเขี่ยไล้ที่ตุ่มไตสีแทนของตัวเองจนชูชัน ฆาบี้หลับตาแล้วซี้ดปากเบาๆ เจนยุทธกัดริมฝีปากน้อยๆ ก่อนจะจ้ำพรวดเข้าไปหาคนรักที่หัวเราะกระหึ่มและอ้าแขนรอรับตัวเขาด้วยความยินดี



----------------------------------------------


ตัดจบตอนไปนิดนะคะ สารภาพว่าที่จริงเขียนจบตอนตั้งแต่เมื่อคืนวานแล้ว แต่พอดีว่าเกิดผิดพลาดทางเทคนิค คนเขียนเขียนทั้งในไอแพดและในคอม แล้วเมื่อเช้าแก้ไขนั่นนี่นิดหน่อยในไอแพดแล้วลืมดูว่ายังไม่ได้เรียกเวอร์ชั่นล่าสุดจากในคอมมาไว้ แก้คำนิดหน่อยเสร็จแล้วดันกดเซฟเลย ไอ้ที่เขียนไว้เมื่อคืนหายไปสามสี่หน้า จำไม่ได้แล้วด้วย ฮือ ก็เลยเขียนเท่าที่จำได้ค่ะ หวังว่าจะโอเค

จริงๆ คนเขียนค่อนข้างชอบบาหลีเลยทีเดียวด้วยเหตุผลที่เขียนลงไปในเรื่อง คือเป็นสถานที่ๆ เที่ยวได้หลากหลาย อยากจะเที่ยวเชิงวัฒนธรรมก็ได้ ถึงบางอย่างจะคล้ายบ้านเราแต่ก็ไม่เหมือนเสียทีเดียว ไฮไลท์ด้านวัฒนธรรมก็คงเป็นสิ่งก่อสร้างและวิถีชีวิตแบบชาวฮินดูซึ่งทำให้ที่นี่แตกต่างจากส่วนอื่นของอินโดนีเซีย โดยเฉพาะช่วงเทศกาลต่างๆ ที่เราจะเห็นศรัทธาของคนบาหลีได้อย่างชัดเจน

นอกจากนั้นแล้วถ้าอยากเที่ยวเชิงธรรมชาติก็ทำได้ ที่บาหลีมีทั้งภูเขาไฟ น้ำตก ป่าเขา และทะเลให้เลือกไปดูชม ที่นี่เป็นแหล่งดำน้ำทั้งน้ำลึกน้ำตื้น สำหรับนักโต้คลื่น คลื่นของบาหลีก็นับว่าดีอันดับต้นๆ ของโลก หาดทรายดำของโลวิน่าซึ่งอยู่ทางเหนือก็เป็นอีกหนึ่งที่ๆ น่าไปดู แต่คนเขียนยังไม่มีโอกาสได้ไปค่ะ เช่นเดียวกับนาขั้นบันไดของแท้ทางบาหลีตะวันตก นี่ก็เป็นอีกหนึ่งในสิ่งที่อยากดู สำหรับคนที่ชอบการผจญภัยและท้าทาย กิจกรรมอย่างเดินป่า ขี่จักรยานในป่า ก็เป็นกิจกรรมยอดนิยม และที่เป็นสุดยอดของการผจญภัยก็คือการเดินขึ้นเขาไปดูพระอาทิตย์ขึ้นบนยอดภูเขาไฟบาตูร์ที่ยังไม่ดับสนิท

สำหรับคนที่ชอบแสงสี แถบชายหาดของบาหลีนั้นไม่ต่างอะไรจากภูเก็ตหรือพัทยา มีร้านรวงทันสมัยสารพัดเปิดให้บริการ มีคาเฟ่เก๋ๆ สไตล์ฝรั่ง อีกทั้งร้านอาหารตะวันตกดีๆ เนื่องจากที่บาหลีนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมสำหรับชาวตะวันตก อีกทั้งมีชาวตะวันตกที่เกษียณแล้วอยู่อาศัยเป็นจำนวนมาก ที่บาหลีนี้ยังมีคลับและบาร์ดีๆ อีกมากมาย เช่น Ku De Ta หรือร็อคบาร์ในโรงแรม Ayana ซึ่งยื่นออกไปในทะเล หรือถ้าชอบขยับร่างกายไปกับจังหวะมันๆ ที่บาหลีก็มีคลับที่มีดีเจเปิดเพลงแนวตื๊ดๆ อีกมากมายหลายแห่ง เรียกได้ว่าครบเครื่องค่ะ

แต่สำหรับคนที่เอากระเพาะตัวเองว่าอย่างคนเขียนแล้ว บาหลียังเร้าใจน้อยไปนิดเมื่อเทียบกับฮ่องกงและมาเก๊า ยิ่งค่าตั๋วเครื่องบินของแอร์เอเชียแพงขึ้นๆ แถมต้องต่อเครื่องที่กทม. อีก ก็ยิ่งไม่ได้ไปกันใหญ่ค่ะ



สรุป บาหลีเป็นเมืองเที่ยวง่ายเพราะสามารถเช่ารถพร้อมคนขับได้ในราคาที่ไม่โหดร้ายนัก เส้นทางเที่ยวตามที่เขียนไว้ในเรื่องก็มีดังนี้ค่ะ

ถ้าพักในอูบุด ก็แวะไปดูแหล่งท่องเที่ยวใกล้ๆ อย่างป่าลิง เดินเล่นในเมือง ดูวัง วัด ดูการแสดงบารอง เลกอง ค่าชมประมาณแปดหมื่นถึงแสนรูเปียะ (ไม่เกินห้าร้อยบาท) ออกมาอีกนิดก็ไปตลาดสุขะวาตี ไปเมืองใกล้ๆ ชมหมู่บ้านหัตถกรรม แวะวัด Tirta Empul และถ้ำ Goa Gajah พวกนี้ค่ะ

อีกเส้นทางที่รวบเที่ยวด้วยกันได้ แต่ต้องนั่งรถไกลหน่อยคือ หมู่บ้าน Kintamani ซึ่งมีภูเขาไฟบาตูร์ วัด Ulan Danu Batur และวัดหลวง Besakih ค่ะ ถ้าย้ายไปนอนฝั่งชายหาดในวันนั้น ก็ออกจากอูบุดเร็วหน่อย เที่ยวให้เสร็จ จากนั้นไปจบที่ Uluwatu ตอนเย็นก็น่าจะพอไหวค่ะ แต่สุดท้ายก็คงต้องแล้วแต่คนขับว่าไหวไหม เพราะเส้นทางไปคินตามณีกับเบซากีห์ค่อนข้างลำบาก

อีกโซนที่รวบเข้าด้วยกันได้คือวัด Ulan Danu Beratan วัดในทะเลสาบ วัด Taman Ayun อดีตวัดหลวงแห่งอาณาจักรเม็งวีที่นี่ก็ชอบมาก แต่ไม่ได้เขียนลงไปในเรื่องเพราะไม่มีที่จะยัดลงแล้วค่ะ และจบด้วยการดูพระอาทิตย์ตกดินที่ Tanah Lot







เรื่องอาหารการกิน ถ้าคนกินยากอาจจะไม่ถูกปากอาหารบาหลีเท่าไหร่ แต่แถวนี้มีอาหารฝรั่งเยอะค่ะ ไม่น่าห่วง หรือไม่ก็กิน bakso หรือก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นของที่นี่ซึ่งหาได้ทั่วไปได้ค่ะ ร้านดังๆ (สำหรับนักท่องเที่ยว) ก็ตามนั้นค่ะ Bebek Bengil Ibu Oka คาเฟ่โลตัส แต่ถ้าอยากกินแบบชาวบ้านกิน ก็หาพวกร้านข้าวท้องถิ่นได้ไม่ยาก อีกหนึ่งที่ซึ่งสองจิตสองใจว่าจะแนะนำดีไหมคือซีฟู้ดริมทะเลที่หาดจิมบารัน ไฮไลท์ของมันคือเป็นการกินข้าวบนหาดพร้อมดูพระอาทิตย์ตกที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของบาหลีไปด้วย แต่อาหารที่นั่นก็แพงและไม่ค่อยอร่อยค่ะ มันจะมีร้านเรียงๆ กันให้เลือกหลายร้าน แต่ละร้านมีอ่างปลา กุ้ง กุ้งมังกรและอื่นๆ ให้ชี้ๆ เลือกๆ หน้าร้าน แต่สำหรับคนเขียนจะเลือกกุ้งมังกรที่ตายแล้วเพราะถูกกว่า ครั้งแรกที่ไปถ้าจำไม่ผิดจะขายกิโลละ 1,100 ซึ่งถูกกว่าที่เชียงใหม่แน่นอน แต่คราวหลังเหมือนราคาจะแพงขึ้น ทางที่ดีเราควรรู้ราคาของที่ไทยก่อนค่ะ ซีฟู้ดโดยมากก็นำไปย่าง นึ่ง ผัดพริก ตามเรื่องและจะเสิร์ฟมาพร้อมกับซัมบัล หรือน้ำพริกอินโด ซึ่งออกเผ็ดเค็ม สู้น้ำจิ้มซีฟู้ดบ้านเราไม่ได้อยู่แล้ว และจะมาพร้อมกับผัดผักบุ้งหนึ่งจานและข้าวเปล่าโถหนึ่งค่ะ รสชาติอาหารของร้านแถวนี้ยังห่างชั้นกับร้านริมทะเลบ้านเรามากค่ะ จะว่าไปก็เหมือนหลอกขายนักท่องเที่ยวมากกว่า แต่ถ้าคิดว่าอยากไปแค่กินบรรยากาศกับกุ้งมังกร ก็ลองได้ค่ะ







แจกลิงค์นะคะ

ถ้าลองค้นๆ หารีวิวเกาะบาหลีจากในเว็บอย่างพันทิปจะเจอเยอะมากค่ะ นี่ก็เป็นอีกหนึ่งรีวิวสั้นๆ ที่ครบเครื่องและอ่านสนุกค่ะ https://pantip.com/topic/36576689

รีวิวแบบยาวๆ บ้าง https://pantip.com/topic/34083017

ส่วนรีิวิวนี้มีเจ้าถิ่นพาเที่ยว มีมุมที่นักท่องเที่ยวอย่างเราๆ ไม่ได้พบเจอเยอะค่ะ https://pantip.com/topic/30982670

เพจการท่องเที่ยวบาหลี ดูไม่ค่อยมีอะไรค่ะ http://bit.ly/2AfyVnZ

ตอนคนเขียนไปเช่ารถกับเจ้านี้ค่ะ โดยรวมๆ ก็โอเคดีไม่มีปัญหา แต่มันก็หลายปีดีดักแล้วนะคะ http://www.balicarrent.com/

ตารางการแสดงที่อูบุดค่ะ http://bit.ly/2LDExN9

ว่าด้วยการแสดงและอื่นๆ ของบาหลี http://bit.ly/2vcwT2i


ร้านอาหารนะคะ

ร้านเป็ดมอมแมม Bebek Bengil http://bit.ly/2NOknh7

ร้านหมูหัน Babi Guling Ibu Oka http://bit.ly/2mNf0TU

Café Lotus ริมวัดพระสุรัสวดีค่ะ http://www.cafelotusubud.com/

ส่วน Kafe ARMA นี่หารีวิวไม่ได้เลย คงมีคนเขียนหลงไปกินคนเดียวค่ะ ฮ่าๆๆ แต่ก็ใช้ได้อยู่นะคะ

Kafe ARMA http://bit.ly/2NNoDNz

ร้าน Ku De Ta สามารถคลิกไปลองฟังเพลงที่ได้นะคะ https://www.kudeta.com/music.html




ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- Salad Day(s) ----




"ที่รักครับ เราสายแล้วนะ อ๊ะ"

เจนยุทธอุทานเสียงสั่น เล็บของเขาจิกแน่นบนบ่าของฆาเบียร์อย่างลืมตัว  หากคนตัวโตไม่ใส่ใจ เขาตั้งหน้าตั้งตาใช้ปากปรนเปรอคนรักของเขาอย่างเต็มที่ เจที่เสียวจนตัวเกร็งอดรนทนไม่ได้ต้องโยกสะโพกใส่ริมฝีปากคู่บางที่กลืนกินส่วนแข็งเกร็งของเขาไปจนมิด เสืออย่างฆาเบียร์ช่ำชองด้านนี้กว่าสาวคนไหนๆ ที่เจนยุทธเคยผ่านมา โพรงปากอันแสนอบอุ่นของเมียตัวโตของเขาทำให้เขารู้สึกดีจนแทบหมดสติได้ทุกครั้ง

"ซี้ด จวนแล้วครับ ฆาบี้ โอ๊ย คุณครับ ลึกๆ "

เจเสือกแก่นกายเข้าปากของคนรักหนักๆ อีกครั้งก่อนที่จะรีบดึงออกมาใช้มือกำรูดอีกสองสามครั้ง เขาคำรามหนักๆ และปลดปล่อยออกมาเต็มอกของฆาเบียร์ คนตัวโตที่คุกเข่าอยู่บนพื้นห้องน้ำหัวเราะเบาๆ แล้วยันตัวขึ้นยืน เจเปิดน้ำชำระคราบรักของเขาบนอกของฆาบี้

"จริงๆ ปล่อยในปากฉันเลยก็ได้นะ เจนยุทธ"

ฆาเบียร์พูดยิ้มๆ เจหัวเราะแหะๆ แล้วทำตัวอ่อนซบไปกับกายคนรัก เขาจูบแผ่วๆ ที่ตำแหน่งของหัวใจของฆาบี้และทิ้งรอยสีกุหลาบเด่นชัดไว้

"แบบนี้ก็โอเคแล้วครับ ผมกลัวคุณสำลักอีกอ่ะ"

เจเขย่งกายขึ้นจูบริมฝีปากที่เพิ่งให้ความสุขสุดยอดแก่เขาเบาๆ หากคนตัวโตไม่ยอมปล่อยคนรักไปง่ายๆ เขารั้งร่างเพรียวเข้าชิดอกและจูบตอบอย่างร้อนแรง เจหลับตาพริ้มและเผยอปากรับเรียวลิ้นที่แทรกสอดเข้ามา ฆาบี้สะดุ้งเมื่อมือนิ่มๆ ของเจคว้าหมับเข้าที่ส่วนสำคัญของเขาที่ผงาดง้ำขึ้นค้ำหน้าท้องของคนตัวเล็ก



“เมื่อกี้ออกไปแล้ว ยังไม่พออีกเหรอครับ?”

เจถามยิ้มๆ เจจับคนรักรีดพิษไปครั้งหนึ่งแล้วก่อนหน้าที่ฆาเบียร์จะปรนเปรอเขาจนถึงสวรรค์บ้าง ฆาเบียร์ยักไหล่น้อยๆ อย่างจนปัญญา แค่ได้ยินเสียงเจครางเมื่อสักครู่ ไอ้เจ้าลูกชายของเขาก็อดมีปฏิกิริยาขึ้นมาอีกไม่ได้ เจจูบพรมตามแผงอกและลำคอของคนรักพร้อมกับขยับมือของเขาไปด้วย ฆาเบียร์ก็เริ่มสัมผัสกายคนรักเช่นกัน เจหอบหายใจหนักขึ้นเมื่อคนตัวโตเร่งเร้า ฆาบี้ใช้มือข้างที่ว่างประคองหลังหัวของเจและบดจูบหนักแน่นลงไปบนริมฝีปากรูปกระจับที่แดงก่ำด้วยเลือดฝาด เจนยุทธจูบตอบอย่างหนักหน่วงพอกัน ไม่นานพวกเขาก็สะท้านกายเฮือกขึ้นพร้อมๆ กัน

“ยืนไหวไหม เจ?”

คนตัวโตประคองร่างเพรียวที่ทำท่าจะขาอ่อนแปะลง เจหอบกระเส่า เขาบ่นเบาๆ

“โอย ไม่ไหวอ่ะ เสียวเกิ๊น คุณนี่ร้ายจริงๆ ฆาบี้”

ฆาเบียร์ยิ้มกริ่มและจุ๊บเบาๆ ที่ปากน้อยๆ นั้นอีกครั้ง เจรีบดันตัวออกจากอ้อมกอดของคนรักก่อนที่พ่อเจ้าประคุณจะเครื่องติดอีกครั้ง

“พอแล้วๆ คุณ ไปๆ ล้างตัวเร็วๆ ช้าแล้ว”

เจเปิดน้ำอุ่นจากแผงเรนชาวเวอร์ให้รดราดตัวของเขาทั้งสองเพื่อชำระคราบกิจกรรมออก ฆาเบียร์ตระกองกอดร่างคนรักและแนบแก้มของเขากับแก้มใสของเจนยุทธ เขาฮัมเพลงเบาๆ แล้วพาคนรักขยับกายตามทำนองราวกับเต้นรำ เจหัวเราะเบาๆ เมียตัวโตของเขาดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษ เขาปล่อยฆาเบียร์พาเขาเต้นรำตามใจครู่หนึ่งแล้วจึงจับคนตัวโตอาบน้ำอาบท่าให้เรียบร้อย



“ตายๆๆ สายแล้วๆ ผมให้เวลาคุณอีกห้านาทีนะ”

เจบ่นลั่น พวกเขาออกบ้านสายกว่ากำหนดแล้ว แต่พ่อนกหงส์หยกของเขาก็ยังแต่งตัวไม่เสร็จ ฆาเบียร์ส่องกระจกและรวบผมยาวปรกคอของตนเป็นจุกเล็กๆ เขาเอียงซ้ายเอียงขวาเพื่อเช็คผมเผ้าและเสื้อผ้าของตนเอง เจนย่นจมูกให้อย่างหมั่นไส้ วันนี้พ่อเจ้าประคุณของเขาอยู่ในลุคสบายๆ หนวดที่เริ่มขึ้นครึ้มกับผมสีน้ำตาลที่มัดเป็นจุกน้อยๆ ทำให้ฆาเบียร์ดูเป็นหนุ่มฮิปสเตอร์สุดคูล

“โอ๊ย โคตรไม่แฟร์ แต่งตัวเหมือนกัน ทำไมดูต่างกันงี้วะ?”

เจยืนเทียบกับคนรัก วันนี้พวกเขาตัดสินใจแต่งตัวเหมือนกันคือเสื้อสีขาวและกางเกงยีนส์ เจใส่เสื้อยืดโอเวอร์ไซส์สีขาวกับยีนส์สกินนี่สีเข้ม แต่คนรักของเขาใส่กางเกงยีนส์เข้ารูปสีซีดของแบรนด์ดังสักแบรนด์ซึ่งมีรอยขาดเป็นที่ๆ กับเสื้อยืดขาวเนื้อบางที่ดูธรรมดาแถมติดจะดูย้วยๆ ด้วยซ้ำ หากเนื้อผ้าบางๆ นั้นทำให้แผงอกและไหล่กว้างใต้เสื้อยืดโทรมๆ นั้นดูเด่นชัดขึ้น แถมพี่แกยังม้วนแขนเสื้อขึ้นเล็กน้อยให้เห็นกล้ามแขนเป็นลูกๆ

“เปลี่ยนก็ได้วะ”

เจทำหน้าง้ำ เขาถอดเสื้อยืดตัวโคร่งและกางเกงยีนส์ของตัวเองออกแล้วเปลี่ยนใส่เสื้อเชิร์ตสีขาวแทน เขายัดชายเสื้อใส่ในกางเกงชิโน่สีน้ำเงินและคุ้ยๆ เอาเข็มขัดยี่ห้อดังที่ฆาเบียร์ซื้อให้มาใส่ เขาหันมาแว๊ดใส่คนรักที่ทำท่าจะเปลี่ยนตาม ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นเจจัดแต่งทรงผมตัวเองให้ดูเนี้ยบขึ้นกว่าปกติ

“เปลี่ยนทำไมล่ะ? เมื่อกี้ก็ดูน่ารักดีอยู่แล้วนี่”

คนตัวเล็กหันมาแยกเขี้ยวให้กับคำว่าน่ารักของคนรัก

"ก็วันนี้คุณอยากเล่นบทหนุ่มเซอร์นี่ ผมก็ขอแต่งตัวเนี้ยบหน่อยแล้วกันจะได้ไม่ต้องโดนเอาไปเปรียบเทียบ"

เจบ่นอุบอิบ รูปร่างเขาไม่ได้ดีเหมือนฆาเบียร์ ขืนแต่งตัวคล้ายกันก็คงโดนเมียตัวโตของเขาข่มแน่ๆ

"...แต่งตัวเหมือนกัน คนก็มองแต่คุณดิ ชิ"

ฆาเบียร์ส่ายหัวให้กับความเรื่องมากของคนรัก



"เจจ๊ะ มีฉันมองนายคนเดียวยังไม่พออีกเหรอ? สำหรับฉัน ต่อให้นายใส่ถุงดำหรือใส่กระสอบป่าน ฉันก็ยังชอบที่สุดอยู่ดีนะ"

คนตัวโตโอบไหล่สุดที่รักของเขาและหอมแก้มเบาๆ เขายิ้มออกมาเมื่อได้กลิ่นน้ำหอม Tobacco Oud กลิ่นโปรดของเขาจากตัวเจนยุทธ เจทำหน้าตูม

"แหม ผมก็อยากหล่อบ้างอะไรบ้าง"

คนตัวเล็กบ่นพึมพำ ฆาเบียร์ไม่พูดอะไรอีกแต่จับมือพาคนรักเดินออกไปจากห้องนอน เขาดันเจนยุทธให้นั่งลงบนโซฟาแล้วเดินไปหยิบรองเท้า sneaker สีขาวแบบเดียวกันออกมาสองคู่

“อย่างน้อยก็ใส่รองเท้าเหมือนกันก็แล้วกันนะ”

คนตัวโตพูดยิ้มๆ พลางสวมรองเท้าคู่ที่เล็กกว่าให้เจนยุทธ เขาดึงเชือกให้รองเท้ากระชับกับเท้าของคนรักและมัดจนเรียบร้อย เจปล่อยให้คนตัวโตทำตามใจตัวเองไป แม้จะยังขัดเขินและเกรงใจคนรักที่อายุมากกว่าอยู่บ้าง แต่เขาก็รู้ว่านี่คือการแสดงความรักอย่างหนึ่งของฆาเบียร์

“ขอบคุณครับ ฆาบี้”

เจนยุทธจุมพิตลงบนเรือนผมของคนที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้า ฆาเบียร์ซบหน้านิ่งลงบนตักของร่างเพรียว ความรู้สึกหดหู่ท่วมท้นขึ้นมาในใจเขาอย่างกลั้นไม่ได้ เจซึ่งลูบผมคนรักเบาๆ ตระหนกเมื่อเห็นไหล่ที่สั่นสะท้านของฆาบี้

“ฆาเบียร์ครับ นี่คุณร้องไห้เหรอ โธ่…”

เจดึงร่างคนรักให้ขึ้นมานั่งเสมอกันบนโซฟา เขาโอบรัดร่างใหญ่กำยำนั้นไว้ในอ้อมอก

“ฉันยังไม่อยากกลับเลย ยังไม่อยากไปเลย”

คนตัวโตฟูมฟาย เจนยุทธลอบถอนหายใจ พวกเขาเหลือเวลาด้วยกันอีกเพียงคืนเดียวก่อนที่ฆาเบียร์จะต้องจากไปอีกครั้ง คราวนี้อาจนานถึงเดือนครึ่ง คนตัวโตพึมพำออกมาอีกหลายอย่าง ทั้งเรื่องความเหงาและเปล่าเปลี่ยวที่ต้องอยู่ลำพัง เรื่องงาน และอื่นๆ เจปล่อยให้ฆาเบียร์ระบายความในใจออกมาจนพอใจ ที่เขาทำคือลูบหลังคนรักเบาๆ และคอยจูบซับน้ำตาให้



“ไปล้างหน้าล้างตาหน่อยนะครับ คนดี”

เจดึงฆาเบียร์ที่สงบลงแล้วให้ลุกขึ้น เขาพาคนตัวโตเดินไปที่ซิงค์น้ำและให้ฆาบี้วักน้ำล้างคราบน้ำตาออก เจนยุทธใช้ผ้าเช็ดมือผืนใหม่ค่อยๆ ซับคราบน้ำบนใบหน้าให้เมียรักของเขา

“ฉันทำนายสายจนได้นะเจ”

ฆาเบียร์ถอนหายใจเบาๆ และยกนาฬิกาขึ้นดู ตอนนี้เป็นเวลาเกือบหกโมงเย็นแล้ว

“ไม่เป็นไรครับ ผมโทรไปบอกพี่บูมตั้งแต่หลังอาบน้ำเสร็จแล้วว่าพวกเราจะไปสายนิดหนึ่งและให้พี่ๆ เขาสั่งอาหารกันไปก่อนได้เลย”

“นายคงหิวแย่แล้วสิ”

คนตัวโตบ่นออกมาเบาๆ อีก เจส่ายหัว

“ยังพอไหวครับ ว่าแต่คุณเถอะ กินข้าวไหวไหม? ถ้าอาการไม่ดี ผมโทรไปแคนเซิลนัดพี่เขาได้นะ ไว้เราค่อยชวนเขาไปดื่มตอนดึกกว่านี้ก็ได้”

เจถามคนรักด้วยความเป็นห่วง หากคนตัวโตบอกว่าเขายังไหว

“ฉันเริ่มหิวแล้วด้วยน่ะ”

ฆาเบียร์ยิ้มอายๆ เจยิ้มหวานให้เมียตัวโตของเขาและยื่นมือให้ฆาบี้เกาะกุม ทั้งคู่พากันเดินออกห้องลงไปที่รถของเจนยุทธ



“เออ เจจ๊ะ เมื่อกี้ฉันก็ว่าจะถามนายหน่อย”

ฆาเบียร์นึกบางอย่างขึ้นมาได้และถามคนรักซึ่งกำลังขับรถพาเขาไปยังร้านโอ้กะจู๋สาขานิ่มซิตี้

“เรื่องอะไรเหรอครับ?”

“เมื่อกี้ตอนดูรูปที่นายไปเที่ยวน่ะ ฉันเห็นโรงแรมที่นายพักที่บาหลี ที่เป็นโรงแรมริมหาดน่ะ ฉันว่าหน้าตาคุ้นๆ โรงแรมอินเตอร์คอนติเน็นทอลหรือเปล่า?”

“อ๋อ ใช่ครับ พวกผมพักรอบสุดท้ายที่ไปนั่นแหละ พี่นพแกใช้สิทธิ์หนึ่งแถมหนึ่งช่วงวีคเอนด์ของบัตร IHG Ambassador เหมือนทุกครั้ง ทำไมเหรอครับ? อย่าบอกนะว่ารอบนั้นคุณก็พักที่นั่นเหมือนกัน?”

ฆาเบียร์ยิ้มน้อยๆ แล้วพยักหน้า ในปี 2014 ที่เขาไปถ่ายโฆษณาของเว็บนั้น เขาเข้าพักในโรงแรมริมหาดนี้ตั้งแต่วันแรกที่มาถึงเกาะบาหลี

“โอ๊ย อะไรวะ นี่เราเฉียดกันไปเฉียดกันมาอีกแล้วนะ”

เจนยุทธร้องลั่นรถ ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ และถามต่อ

“แล้วนายชอบที่นั่นไหม? ฉันว่ามันโอเคเลยนะ ที่ตั้งก็ดี อยู่บนหาดจิมบารันที่ทรายขาวสวย ไม่อึกทึกพลุกพล่านเหมือนหาด Kuta กับ Sanur เดินทางไปอูลูวาตูก็ง่าย ไปสนามบินก็ใกล้”

“อืมม์ ผมชอบนะ โรงแรมสวย สระว่ายน้ำมีตั้งสี่ห้าสระมั้ง บาร์ริมหาดก็ดี ค้อกเทลอร่อย ร้านอาหารอิตาเลียนในนั้นก็เวิร์ค เสียแค่โรงแรมกว้างมากๆ ครับ พวกผมเดินจากห้องไปล็อบบี้กับห้องอาหารเช้าก็จะเป็นสิบนาทีแล้วมั้ง ถ้ารีบๆ แบบ เอ่อ แบบปวดเข้าห้องน้ำนี่ลำบากมากเลย”

เจหัวเราะคิกออกมาเมื่อนึกถึงตอนพวกเขารีบจ้ำอ้าวกลับห้องเพื่อแย่งกันเข้าห้องน้ำตอนกลับมาจากไปเที่ยว

“แสดงว่าพวกนายได้พักตึกเก่าใช่ไหม? ของฉันพักตึกใหม่ซึ่งอยู่ใกล้ล็อบบี้กว่า มิน่าเราถึงไม่เจอกัน”

ฆาเบียร์รำพึงออกมาเบาๆ เขาต้องจำได้แน่ๆ ถ้ามีโอกาสได้เจอหนุ่มน้อยหัวสีสตรอเบอรี่คนนั้นอีกครั้ง

“ครับ พวกผมพักตึกเก่า แต่ก็นับว่าเป็นโชคดีของพวกผมมากเลยนะ ตอนแรกผมจองห้องดีลักซ์ไว้ ซึ่งตามสิทธิ์ของบัตรที่พี่นพถือแล้วต้องถูกอัพเกรดไปขั้นหนึ่งเป็นห้อง Singharaja ที่เป็นห้องบนตึกใหม่ที่หรูกว่า แต่พอไปถึงโรงแรมเขาบอกว่าห้องสิงหราชานั้นถูกกรุ๊ปจองเต็มเลยทำการอัพเกรดข้ามขั้นขึ้นไปอีกให้เป็นห้อง junior suite แต่อัพให้แค่ห้องนะใช้สิทธิ์ในคลับเลาจ์ไม่ได้ โหย แค่นี้พวกผมก็เปรมแล้วคุณ ห้องโคตรใหญ่ กว้างเกือบๆ เท่าห้องคอนโดเรามั้ง...”

เจบรรยายถึงห้องชุดสุดหรูที่พวกเขาได้เข้าพักให้ฆาบี้ฟัง



“...ก็ตามนั้นแหละครับ เสียดายที่ห้องมันดูเก่าไปหน่อย แต่ทุกอย่างก็โอเคนะ มีชุดนอนให้ด้วย แต่เป็นเหมือนชุดนอนคนแก่ฝรั่งอ่ะ ที่เป็นเหมือนกระโปรงนอนของผู้หญิง แถมเป็นลายทางอีก พี่นพใส่แล้วตลกมากเลยคุณ ผมยังแซวเลยว่าแกเหมือนไอ้เจ้ากล้วยหอม B1 B2 แบบไม่ใส่กางเกงอ่ะ”

เจพูดถึงการ์ตูนเรื่อง Banana in Pajamas หรือกล้วยหอมจอมซน ฆาเบียร์หัวเราะหึๆ เมื่อได้ยินในสิ่งที่เจเล่า สุดท้ายเขาก็อดไม่ได้ต้องหัวเราะออกมาดังๆ

“คุณอ่ะ หัวเราะขนาดนั้นสงสารพี่นพแย่”

เจพูดยิ้มๆ ตาเขาจ้องมองรถด้านหน้า ต่อให้เป็นวันอาทิตย์ การจราจรบริเวณใกล้ห้างแอร์พอร์ตพลาซ่าก็ยังคงติดขัดเช่นเดิม เขาเปิดไฟเลี้ยวชิดซ้ายและเลี้ยวเข้ายังโครงการนิ่มซิตี้เดลี่

“ฉันไม่ได้หัวเราะเพราะขำนพหรอกนะเจ...”

ฆาเบียร์หัวเราะหึๆ อีก

“ฉันขำในโชคชะตาของเราสองคนต่างหาก...”

เจหันมาเลิกคิ้วให้คนรักด้วยความสงสัย

“ทางโรงแรมบอกนายว่าห้องสิงหราชาบนตึกใหม่ถูกกรุ๊ปจองเต็มใช่ไหม?...”

เจพยักหน้ารับคำ เขาทำท่านึกอะไรสักอย่างขึ้นมาได้

“เอ๊ะ อย่าบอกนะว่ามันคือกรุ๊ปของคุณ โหย โคตรบังเอิญอีกแล้ว”

“ใช่ คณะทำงานของฉันจองห้องในตึกนั้นไว้ แต่สำหรับฉัน ทางโรงแรมได้จัดการอัพเกรดให้เป็นห้องประจำที่ฉันพักทุกที่ซึ่งก็คือ Junior Suite”

“เฮ้ย!...”

เจอุทานลั่น ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ แล้วเล่าต่อ

“แต่ฉันก็บอกที่ฟรอนท์เขาไปว่าไม่ต้องอัพเกรดให้ฉันก็ได้เพราะว่าฉันอยากอยู่ใกล้ๆ ทีมทำงาน จะได้คุยงานกันสะดวก...”

“เหอะ จริงๆ อยากอยู่ใกล้หนุ่มนักร้องคนนั้นมากกว่าล่ะสิ”

เจนยุทธซึ่งจัดการจอดรถในลานจอดของโครงการเรียบร้อยหันกลับมาแลบลิ้นให้คนรัก ฆาเบียร์หัวเราะเขินๆ

“เกลียดคนรู้ทันจริงๆ ใช่จ้ะ อย่างที่บอก ฉันกับเขาดูกันออกและเริ่มเฟลิร์ตกันตั้งแต่แรกเจอกันที่สนามบินแล้ว ฉันก็เลยอยากพักใกล้ๆ ห้องพวกศิลปินหน่อยเผื่อ เอ่อ เผื่อว่า...”

คนตัวโตหน้าแดงก่ำเมื่อพูดถึงอดีตที่เขาไม่ค่อยภูมิใจกับมันนัก เจยิ้มและตบเบาๆ ที่หลังมือของคนรักเป็นเชิงบอกว่าเขาไมได้ถือสาอะไร ฆาเบียร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่



“...เฮ้อ ก็ ตามที่นายคิดนั่นแหละ ฉันเลยบอกเขาว่าไม่ต้องอัพเกรดให้ก็ได้ แต่ทางฟรอนท์ก็ดูลำบากใจแล้วบอกว่าไม่มีห้องในโซนเดียวกันเหลือแล้ว คือในช่วงวันสองวันแรกน่ะมีห้อง แต่ในช่วงวีคเอนด์นี้เขามีบุ๊คกิ้งเข้ามาแล้ว...”

เจทำตาโต เขาพอจะเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น

“คุณก็เลยแลกให้แขกที่เข้าพักช่วงวีคเอนด์มาใช้ห้องที่จองไว้ให้คุณแทนใช่ไหม?”

ฆาเบียร์พยักหน้าน้อยๆ

“พวกผมก็เลยได้อยู่ห้องสุดหรูแทนคุณซะงั้น ให้มันได้งี้สิ!”

เจนยุทธตบเข่าฉาด

“ฉันก็เลยไม่ได้เจอนายเลย”

คนตัวโตโคลงหัว ถ้าเขาไม่ได้แลกห้องพักไป เขาอาจได้มีโอกาสได้เจอเจนยุทธกับนพในตึกที่ทีมงานของเขาพักอยู่ก็ได้ แต่เมื่อจัดการแลกห้องไปแบบนี้แล้วก็เท่ากับว่าเส้นทางของพวกเขาแทบไม่ได้ทับกันเลยเพราะความกว้างขวางของรีสอร์ทหรูแห่งนี้

“นั่นสิ เอ แต่พวกผมก็ไปกินมื้อเช้าที่ห้องอาหารกลางนะ ทำไมไม่เจอกันหว่า?”

ฆาเบียร์หัวเราะหึๆ เขาปิดประตูรถและส่งมือให้เจนยุทธเกาะกุม

“พวกฉันออกโรงแรมแต่เช้าทุกวันน่ะ ไปกินข้าวเช้ากันก็หกโมง หกโมงครึ่ง ฉันเดาว่านายกับนพน่าจะมาเอาก็ตอนแปดเก้าโมงแล้วมั้ง”

เจหัวเราะเขินๆ พวกเขาซึ่งมาเพื่อพักผ่อนลงมากินข้าวเช้ากันตอนไลน์อาหารแทบปิดแล้ว

“พรหมลิขิตจริงๆ นะ เจ”

คนตัวโตเปรยขึ้น เจนยุทธยิ้มให้เมียตัวโตของเขาและบีบกระชับมือใหญ่ที่เกาะกุมมือของเขาไว้แน่น แม้จะคลาดกันไปมาในอดีต แต่ในตอนนี้มือใหญ่นี้เป็นของเขาแล้ว และเขารู้ดีว่าเขาไม่มีทางจะปล่อยมันไปแน่นอน



“ไง เจ มาได้ซะทีนะเรา สวัสดีครับ คุณมาร์ติเนซ”

บูมส่งเสียงทักน้องชายและคนรัก เจยกมือไหว้ญาติผู้พี่ของเขาและหันไปยกมือทักทายหนุ่มใหญ่เชื้อสายจีนวัยเดียวกับฆาเบียร์ซึ่งนั่งอยู่ด้านข้างของบูม

“ไง แพทริค อลัน มานานหรือยัง?”

ฆาเบียร์ทักทายคู่รักซึ่งทำงานให้กับอาปาของเขา

“มานานแล้วครับ คุณมาร์ติเนซ พวกผมก็รออยู่ว่าคุณจะมาเมื่อไหร่”

อลัน วู ที่ปรึกษาทางกฎหมายหนุ่มใหญ่ซึ่งฆาเบียร์นับเป็นเพื่อนคนแรกของเขาที่ฮ่องกงทักตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แม้จะสนิทสนมกัน แต่อลันก็ยังชินเรียกนามสกุลของหนุ่มละตินร่างกำยำคนนี้มากกว่าเรียกชื่อต้น ฆาเบียร์และเจนั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามของคู่รักคู่นี้ เจหัวเราะแหะๆ ให้กับพี่ชายของเขา

“ขอโทษนะครับพี่บูม พวกผมอาบน้ำแต่งตัวกันช้าไปหน่อย มัวแต่ดูนั่นนี่เพลิน พวกพี่สั่งอะไรหรือยังครับ?”

“สั่งไปบ้างแล้วล่ะ เห็นคนเริ่มทยอยมาเยอะ พี่ก็เลยสั่งไปบ้างแล้ว สาขานี้ใช้ได้เลยนะ สะดวกดี ไม่ต้องไปไกลถึงทางแม่โจ้ จอดรถก็ง่าย แต่คนเยอะจริงๆ นะเนี่ย ถ้าไม่ได้จองมาก่อนพี่ว่าเราไม่ได้ที่นั่งแน่ๆ “

ฆาเบียร์มองตามสายตาของทนายหนุ่มไปยังหน้าร้านซึ่งจัดที่นั่งไว้ให้คนที่รอคิวอยู่ได้นั่งรอในร่ม แม้จะมีเก้าอี้นับสิบตัว แต่คิวในช่วงสุดสัปดาห์ของเทศกาลตรุษจีนนั้นก็ยาวล้นออกไปจนถึงนอกร้าน

“ถ้าผมมากินกับเพื่อนแบบไม่ได้จอง ผมจะเลี่ยงมื้ออาหารครับพี่บูม อย่างมาตอนห้าโมง อะไรงี้ ไม่งั้นไม่เคยได้นั่งเลย ถ้ามาหลังหกโมงนี่หมดสิทธิ์ ไงๆ ก็เต็ม”

เจบ่นเบาๆ นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เขาเลี่ยงการมาใช้บริการยังร้านนี้



“เอ้า สั่งอาหารกันก่อนดีกว่านะครับ ฆาบี้ คุณจะกินอะไร?”

เจรับเมนูมาจากพนักงานที่มายืนรอบริการอยู่แล้ว เขาส่งเมนูให้คนตัวโตซึ่งรับมาดูอย่างสนใจ

“ว้าว ดูดีนี่เจนยุทธ มีพวกสลัดเยอะแยะไปหมด แบบให้เลือกตามใจชอบก็มี ไม่แพงด้วยนะ”

มนุษย์กินผักอย่างฆาเบียร์ทำตาโตเมื่อเห็นสารพัดอาหารจานผักในเมนู ราคาอาหารของร้านนี้เริ่มตั้งแต่ไม่ถึงร้อยบาทไปจนถึงสามร้อยปลายๆ

“เราสั่งสลัดมาซักสองสามอย่างก็ได้นะเจ ฉันกินหมดอยู่แล้ว”

คนตัวโตรำพึงออกมาเมื่อเขาเลือกไม่ถูกว่าอยากกินอะไร เขาชะงักเมื่อเงยหน้าขึ้นไปเห็นแววขบขันในตาของคนที่นั่งฝั่งตรงข้าม ฆาเบียร์ว๊ากเบาๆ ใส่อลันเป็นภาษากวางตุ้ง ทนายหนุ่มใหญ่หัวเราะเบาๆ และตอบกลับมาเป็นภาษาอังกฤษ

“ผมไม่ได้มีปัญหาอะไรหรอกครับ คุณมาร์ติเนซ ผมแค่คิดว่าคุณเปลี่ยนไปเยอะจริงๆ “

อลัน วูยิ้มกริ่ม ลูกบุญธรรมของลูกความเขาที่เขาเคยรู้จักไม่เคยมีทีท่าเจริญอาหารแบบนี้มาก่อน ทุกครั้งที่ไปกินข้าวด้วยกัน ไม่ว่าจะไปร่วมโต๊ะอาหารกับคริสเพื่อคุยเรื่องงานหรือว่าไปเติมพลังก่อนออกท่องราตรีกับเขา ฆาเบียร์มักสั่งอาหารเพื่อแค่ให้อิ่มท้อง และไม่ได้มีทีท่ามีความสุขมากมายกับสิ่งที่ได้กินเข้าไป

เช่นเดียวกับการใช้ชีวิตด้านอื่น นอกเวลางาน แม้ฆาเบียร์จะดูสนุกไปกับการออกท่องราตรีกับเขา แต่เมื่อยามเผลอ เขาก็สังเกตเห็นสีหน้าอมทุกข์หรือสีหน้าเบื่อหน่ายกับสิ่งต่างๆ รอบข้างจากลูกชายของลูกความของเขา มันเหมือนกับว่าฆาเบียร์ใช้การออกเที่ยวและเซ็กส์เพื่อให้ลืมความเปลี่ยวเหงาหรือเพื่อฆ่าเวลาเท่านั้น หากช่วงหลังมานี้เขาสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของหนุ่มละตินร่างใหญ่คนนี้ แม้จะไม่ได้เจอกันบ่อยเท่ากับสองสามปีก่อน แต่ทุกครั้งที่พบหน้ากัน เขาสังเกตเห็นได้ว่าฆาเบียร์ดูสดใสและมีชีวิตชีวาขึ้นโดยที่ไม่ต้องออกไปปาร์ตี้หนักหรือใช้แอลกอฮอล์ช่วยเหมือนสมัยก่อน และเขายิ่งเห็นท่าทางเปี่ยมสุขนั้นได้ชัดเจนเมื่อฆาเบียร์มีลูกพี่ลูกน้องของคนรักเขาอยู่ข้างกายเช่นในวันนี้

"แซวไปเถอะ อลัน นายเองก็เปลี่ยนไปเยอะ อย่าให้ฉันต้องขุดเรื่องเก่าๆ มาแฉนะ"

คนตัวโตหัวเราะอย่างอารมณ์ดี แล้วหันไปพยักเพยิดกับบูม แต่คนที่ทำตาโตและมีทีท่าอยากรู้อยากเห็นที่สุดได้แก่เจนยุทธ เขาทำท่ากะลิ้มกะเหลี่ยอยากฟังเรื่องของทนายหนุ่มซึ่งเคยเป็นเพลย์บอยตัวพ่อ แต่ก็ถูกเบรคว่าให้สั่งอาหารให้เรียบร้อยก่อน



"ฮืมม์ กินอะไรดีน้า..."

เจรำพึงพร้อมกับเปิดเมนูขนาดใหญ่นั้นดู อาหารของที่นี่นอกจากบรรดาสลัดแล้ว ยังมีอาหารประเภทเนื้อสัตว์ย่างเสิร์ฟพร้อมกับสลัดจานใหญ่ เจนยุทธเทียบอาหารร้านนี้กับร้านแฟรนไชส์ดังอย่างซิสเลอร์ หากที่ต่างออกไปคือมีสลัดมาในจานแทนที่จะให้ลุกไปตัก

"พวกพี่สั่งอะไรไปแล้วมั่งครับ?"

เจเงยหน้าจากเมนูมาถามสองหนุ่ม

"อืมม์ ของพี่สั่งสเต๊กหมูเมืองเชียงใหม่ไป ที่มันราดซอสพริกลาบน่ะ ส่วนอลันเค้าสั่งพอร์คช็อพเมเปิลซอสมั้ง แล้วเราก็สั่ง Cobb Salad มาลงตรงกลาง"

เจพยักหน้าหงึกหงัก เขาหันไปถามคนรักว่าสนใจอยากกินอะไร ฆาเบียร์ขมวดคิ้ว มันดูน่าลิ้มลองไปหมดจนเขาเลือกไม่ถูก เขาปรึกษากับเจนยุทธเบาๆ จนได้ข้อสรุปแล้วจึงเรียกพนักงานมาสั่ง

"โอเคครับ ผมขอสเต๊กหมูเมืองเชียงใหม่เพิ่มอีกที่นึงนะครับ แล้วก็เอาหมูทีโบนกับไส้กรอกโฮมเม้ดอีกที่ สลัดผักย่างลูกแพร์ร็อคเก็ต แล้วก็ลาบอีสานวุ้นเส้นผักคอส แค่นี้ก่อนแล้วกันครับ"

เจนยุทธยิ้มกว้างให้พนักงานเสิร์ฟพร้อมกับส่งเมนูคืน อีกสามคนที่เหลืออ้าปากค้าง

"เดี๋ยวๆๆ เจ นายบอกว่าอาหารที่นี่จานใหญ่ไม่ใช่เหรอ? แล้วสั่งมาอะไรเยอะแยะ"

คนตัวโตระล่ำระลักถาม บูมก็ส่งเสียงท้วงมาเช่นกัน

"นั่นสิ เจ ตัดออกสักอย่างก็ได้ สเต๊กหมูเชียงใหม่นี่มาแบ่งของพี่ไปเถอะ มันเยอะพี่กินไม่หมดอยู่แล้ว"

เจขมวดคิ้วครุ่นคิดนิดหนึ่งก่อนที่จะบอกพนักงานที่ยังยืนรออยู่ว่าเขาขอแคนเซิลสเต๊กหมูที่ว่า

"...ผมขอเปลี่ยนเป็นสปาเก็ตตี้ครีมไส้อั่วแทนแล้วกันครับ"

เจพูดยิ้มๆ ฆาเบียร์โคลงหัวอย่างจนปัญญา

"ถ้ากินไม่หมด ฉันไม่ช่วยนายกินนะ เจนยุทธ"

"หมดจ้า หมด ไม่ต้องห่วงนะครับ เมีย อุ๊บส์"

เจตะครุบปากตัวเองแล้วหันซ้ายหันขวา เขาทำท่าโล่งอกเมื่อเห็นว่าบูมกำลังคุยกระหนุงกระหนิงอยู่กับอลันและไม่ได้มีทีท่าจะได้ยินสิ่งที่เขาหลุดปากพูดออกมา เขาหันไปหัวเราะแหะๆ และทำท่าขอโทษขอโพยเมียตัวโตของเขาซึ่งได้แต่โคลงหัวให้กับความทะเล้นของคนรัก



"เจ โอ้โห อาหารที่นี่จานใหญ่จริงๆ กินไหวเหรอ?"

ฆาเบียร์ทำตาโตเมื่ออาหารชุดแรกที่อลันและบูมสั่งมาเสิร์ฟ เพียงสามจานแรกนั้นก็แทบจะเต็มโต๊ะแล้ว เขาทำท่าถูกอกถูกใจผักสลัดกองใหญ่ที่เสิร์ฟมาพร้อมกับอาหารจานเนื้อพวกนั้น อลันเองก็ดูตื่นเต้นกับหน้าตาอาหาร

"นี่ ที่รัก พอร์คช็อพของฉันมันแค่สองร้อยกว่าบาทเองจริงๆ เหรอ? "

อลันถาม ลูกพี่ลูกน้องของเจหันไปพยักหน้าให้คนรักของเขา

"ครับ ได้เยอะแถมถูกด้วย ผมถึงชอบมากินร้านนี้ที่เชียงใหม่ แต่ปกติผมจะไปสาขาแรกเพราะไม่รู้ว่ามีสาขาในเมืองด้วย"

"สาขาที่กรุงเทพฯ ก็มีแล้วนะครับ พี่บูม มีที่สยามสแควร์วัน ในสยามสแควร์ แล้วก็ที่เดอะ เซอร์เคิลราชพฤกษ์ แต่ผมคิดว่ามันน่าจะแพงกว่าที่เชียงใหม่"

เจซึ่งแอบอมยิ้มเมื่อได้ยินอลันเรียกพี่ชายของเขาว่าที่รักรีบเสริมขึ้น บูมยิ้มให้น้องชายและบอกว่าเขารู้แล้ว

"ไม่ใช่แค่แพงกว่าหรอกเจ คิวยาวกว่ามากด้วยนะ พี่เคยไปตอนสาขาสยามสแควร์เปิดใหม่ๆ รอคิวไปสองชั่วโมง แถมของที่อยากกินก็ไม่มีอีก"

เจทำหน้างงๆ

"คืออาหารที่สาขาในกรุงเทพกับเชียงใหม่ไม่เหมือนกันน่ะ บางอย่างมีแค่ที่กรุงเทพฯ ส่วนบางเมนูอย่างไอ้เจ้าสเต๊กหมูเมืองเชียงใหม่ที่พี่ชอบเนี่ยน่าจะมีเฉพาะที่เชียงใหม่ พี่เข้าใจว่าคงเป็นที่วัตถุดิบ เอ้า นี่ แบ่งไปซะ"

บูมจัดการตัดสเต๊กหมูซึ่งราดหน้ามาด้วยซอสซึ่งได้แก่ผงพริกลาบผสมกับเครื่องปรุงให้เจครึ่งหนึ่ง



"พี่บูม ไม่ต้องเอาไส้อั่วค้อกเทลมาให้ผมก็ได้อ่ะ ยิ่งมีน้อยๆ ชิ้นอยู่"

เจยกมือห้ามบูมที่กำลังจะตักไส้อั่วแท่งน้อยไซส์เท่าไส้กรอกค้อกเทลที่โปะหน้าสเต๊กหมูให้เขา แต่ญาติผู้พี่ของเขาก็ส่งมาให้อยู่ดี

"กินไปเถอะ พี่รู้ว่าเรากินเยอะ"

ทนายหนุ่มหัวเราะเบาๆ ลูกพี่ลูกน้องของเขาคนนี้กินจุมาตั้งแต่เล็กแล้ว เขายังตักสลัดผักในจานพร้อมทั้งแคบหมูที่ใส่มาในสลัดด้วยให้เจอีกกองใหญ่

"ถ้านายไม่กินไส้อั่วนี่ ฉันขอก็ได้นะ"

ฆาเบียร์ทำท่าจะใช้ส้อมจิ้มไส้อั่วน้อยนั้น เจนยุทธร้องลั่นและรีบยกจานหลบอย่างรวดเร็ว ท่าทางของเขาเรียกเสียงหัวเราะจากทั้งโต๊ะ เจย่นจมูกให้คนรัก เขาจัดการหั่นสเต๊กหมูชิ้นนั้นออกเป็นชิ้นน้อยแล้วจิ้มเข้าปาก

"หูย เผ็ดอ่ะ พี่บูม พี่กินได้เหรอ?"

เจบ่นอุบอิบ สเต๊กหมูเมืองเชียงใหม่จานนี้มีรสชาติออกเผ็ดเค็มอย่างชัดเจน ซอสพริกลาบที่ราดบนตัวสเต๊กนั้นเผ็ดจัดจนเจต้องกินน้ำเข้าไปอึกใหญ่ เขาจิ้มผักสลัดที่ราดน้ำสลัดรสเบาๆ เข้าปากเพื่อดับเผ็ดด้วย

"เผ็ดแต่กินไหวน่ะ มากินที่ร้านโอ้กะจู๋กี่ทีๆ พี่ก็กินเจ้านี่ตลอด ถึงเสียดายไงว่าที่สาขากรุงเทพฯ ไม่มีขาย พี่ชอบเจ้าไส้อั่วค้อกเทลนี่ด้วย รสชาติดีทีเดียว"

บูมหัวเราะเบาๆ เขาเป็นคนชอบกินอาหารเผ็ดจัดอยู่แล้วจึงไม่มีปัญหากับอาหารจานนี้ เจนยุทธตัดไส้อั่วแท่งน้อยแบ่งให้ฆาเบียร์ครึ่งหนึ่ง คน ตัวโตรับไปชิมแล้วทำท่าครุ่นคิด


(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)



ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1




---- Salad Day(s) (ต่อ)----



"เจ ฉันว่ารสชาติมันคุ้นๆ นะ"

คนตัวโตเปรย เจหันไปยิ้มให้

"ก็แหงสิ มันก็คือไอ้ไส้อั่วค้อกเทลของวนัสนันท์ของโปรดของคุณไง ฆาบี้ ที่ผมซื้อติดช่องฟรีซไว้แล้วคุณชอบแอบมาอุ่นกินตอนดึกๆ น่ะ"

เจพูดยิ้มๆ เขาหันไปพูดกับพี่ชายของเขา

"ถ้าพี่บูมชอบ ผมพาพี่ไปซื้อที่กาดหลวงหรือที่ร้านวนัสนันท์ได้นะ ที่สนามบินก็น่าจะมี เขามีขายเป็นแพ็คซีลสุญญากาศอย่างดี พี่เอาใส่ช่องฟรีซไว้แล้วเวลากินก็เอามาอุ่นไมโครเวฟไม่ก็เอามาทอดใหม่ก็ได้ รับรอง อร่อย..."

เจป้องปากและเปลี่ยนไปพูดภาษาไทยในตอนท้าย

"...ขนาดตาลุงนี่ยังติดใจ อร่อยแค่ไหนคิดดู๊"

"เฮ้ๆ คำว่า Talung เนี่ยฉันเข้าใจนะเจ เม้าอะไรกัน?"

คนตัวโตตีหน้ายักษ์ใส่คนรัก เจหัวเราะคิกคัก บูมโคลงหัวให้กับความทะเล้นของน้องชาย เขาหันไปอธิบายให้อลันฟังเบาๆ

"ไม่มีอะไร ผมแค่บอกว่าคุณติดใจมันแค่ไหน แค่นั้นเอง อย่างอนนะครับ"

เจหันไปทำท่าเอาใจฆาเบียร์ด้วยการตัก Cobb Salad ใส่จานให้คนรักกองโต



"เจ เราบอกว่าไส้อั่วของที่นี่ใช้ของวนัสนันท์ ต้นทุนมันก็สูงแย่สิ แล้วมันจะคุ้มเขาเหรอ?"

บูมจิ้มไส้อั่วค้อกเทลในจานขึ้นดูและถามน้องชาย

"โหย พี่บูม พี่ไม่รู้อะไร เจ้าของคนหนึ่งของร้านนี้ก็คือลูกชายของร้านวนัสนันท์นะ อาหารของร้านนี้เขาถึงใช้อาหารเมืองเหนือเป็นส่วนประกอบ อย่างพวกน้ำพริกหนุ่ม แคบหมู ไส้อั่ว แกงฮังเลที่ใช้ในร้านนี้ผมเดาว่าก็คงเป็นผลิตภัณฑ์ของวนัสนันท์นั่นแหละ"

ร้านวนัสนันท์ที่เจพูดถึงนั้นคือร้านขายของฝากชื่อดังอันดับหนึ่งของจังหวัดเชียงใหม่ เดิมทีร้านนี้ขายอยู่ในตลาดวโรรสโดยเน้นขายผลิตภัณฑ์พวกผักและผลไม้ดอง หากเจ้าของรุ่นต่อมาได้ปรับโฉมและเริ่มขายสินค้าประเภทของฝากของกินชนิดอื่น อีกทั้งมีการสร้างโรงงานผลิตใหญ่โตและมีทีมพัฒนาผลิตภัณฑ์ ทำให้สินค้าประเภทอาหารพื้นเมืองในทุกวันนี้ของวนัสนันท์บรรจุอยู่ในหีบห่อที่สวยงามและเก็บไว้ได้นาน

เจเล่าให้ผู้ร่วมโต๊ะฟังว่าในปัจจุบันร้านวนัสนันท์ยังมีการต่อยอดสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ จากอาหารพื้นเมืองดั้งเดิม อย่างเช่น Kappy แคบหมูกึ่งสำเร็จรูปซึ่งใส่ในซองคล้ายป็อบคอร์นไมโครเวฟ เมื่อนำใส่ไมโครเวฟแคบหมูนั้นก็จะสุกและพองตัวกลายเป็นแคบหมูกรอบๆ ไส้อั่วค้อกเทลที่พวกเขากำลังกินอยู่ในขณะนี้ก็เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ของวนัสนันท์

"ผมเคยเห็นข้าวซอยกึ่งสำเร็จรูปด้วยนะพี่บูม เหมือนพวกมาม่าคัพอ่ะแต่เป็นข้าวซอย เขายังมีพวกน้ำพริกลาบ น้ำพริกข้าวซอย หรือกระทั่งน้ำข้าวซอยสำเร็จรูปใส่ซองฟอยล์อย่างดีขายด้วยนะ หรือพวกอาหารสำเร็จรูปอย่างลาบ แกงฮังเล น้ำพริกหนุ่มใส่ซองแบบที่ว่าก็มี ถ้าพี่สนใจ ผมพาไปซื้อได้นะ จะได้เอากลับไปกินที่ฮ่องกงด้วย"

บูมหันไปคุยกับอลันแล้วหันกลับมาบอกเจว่าเขาแพ็คกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว ไว้โอกาสหน้าดีกว่าหรือไม่เขาอาจจะไปสนามบินเร็วหน่อยแล้วแวะดูที่สาขาสนามบินก็ได้

"ก็ดีครับ ซื้อแล้วหิ้วขึ้นเครื่องเลย แต่มันอยู่ที่ฝั่ง domestic นะครับ ที่หน้าทางเข้าเกทเลย ซื้อแล้วพี่ก็เดินย้อนกลับมาที่ฝั่งอินเตอร์ก็ได้ แล้วคุณล่ะ ฆาบี้ อยากได้อะไรกลับไปฮ่องกงไหม?"

"ยังดีกว่าเจ ฉันคิดว่าน่าจะไม่มีเวลาได้กิน กลับไปคราวนี้ฉันต้องไปสหรัฐฯ ต่ออีกอย่างน้อยสองสัปดาห์ แล้วอาจจะต้องไปที่อื่นอีก คงไม่ได้ว่างทำแน่ๆ "

ฆาเบียร์ถอนหายใจเบาๆ เจนยุทธได้แต่บีบมือใหญ่ของคนรักเพื่อให้กำลังใจ



"เอ่อ ไหน แพทริค ฉันขอชิมสเต๊กหมูเมืองเชียงใหม่ของนายหน่อยซิ"

อลันพูดขึ้นเพื่อทำลายความเงียบที่เริ่มก่อตัวขึ้น เขาตัดสเต๊กหมูซอสเมเปิลมัสตาร์ดของเขาใส่จานเล็กและส่งให้คนรัก บูมตัดหมูในจานของเขาส่งให้คนรักโดยจัดการเขี่ยๆ ซอสลาบเผ็ดๆ ออกให้ก่อน เจก็ทำเช่นเดียวกันกับหมูในจานของเขา เขาจิ้มชิ้นหมูนั้นส่งให้ฆาเบียร์ที่อ้าปากรอรับอยู่แล้ว ส่วนอลันก็รับส้อมจากบูมมาส่งเข้าปาก ทั้งคู่ทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกเมื่อได้ลิ้มรสชาติเผ็ดร้อน หนุ่มไทยทั้งสองอดหัวเราะคิกออกมาไม่ได้เมื่อเห็นคนรักชาวต่างชาติของพวกตนหน้าแดงก่ำเพราะความเผ็ด

"โอย เผ็ดจริงๆ ด้วยเจ ไม่ไหว ถ้าให้กินทั้งชิ้นฉันกินไม่หมดแน่"

ฆาเบียร์บ่นลั่น เขากินน้ำตามเข้าไปอึกใหญ่ ต่อให้เขาเริ่มกินเผ็ดได้มากแล้ว แต่ความเผ็ดระดับนี้ก็เกินอร่อยไปสำหรับเขา อลันเองก็ไอค่อกแค่กและกินน้ำเข้าไปมากเช่นกัน

"คุณกินผักสลัดไปเยอะๆ เลยจะได้หายเผ็ด"

เจพูดพลางเทน้ำใส่แก้วเพิ่มให้ฆาบี้ คนตัวโตตักสลัดค็อบในจานขึ้นกินคำใหญ่และชมออกมาอย่างถูกใจ

"อ๊ะ ไอ้เจ้าสลัดค็อบของที่นี่ใช้ได้เหมือนกันนี่ เครื่องเยอะทีเดียว ถึงรสชาติจะไม่เหมือนที่ฉันเคยกินเป๊ะ แต่ก็นับว่าอร่อยเลยนะ ลองไหมเจ?"

ฆาเบียร์หันไปถามคนรัก เจเมียงๆ มองๆ เจ้าสลัดหลากสีที่อยู่ในจาน มันประกอบด้วยผักและพวกโปรตีนอื่นๆ หั่นเป็นชิ้นลูกเต๋าขนาดพอดีคำ เท่าที่เขาเห็นในจานนี้ก็มีผักสลัดหลากชนิด หอมใหญ่สีแดง มะเขือเทศ เม็ดข้าวโพด ถั่วขาว อกไก่ต้ม ไข่ต้มแข็งและของโปรดของฆาบี้อย่างเบค่อนกรอบ



"ผมไม่เคยกินสลัดชนิดนี้เลยนะ ไม่แน่ใจว่าเคยเห็นร้านอื่นขายด้วยหรือเปล่า"

เจตักสลัดนั้นใส่จานและตักขึ้นชิม เขาพยักหน้าหงึกหงักด้วยความถูกใจในรสชาติ บูมเองก็ตักสลัดใส่จานกองใหญ่ เขาชื่นชอบสลัดชนิดนี้ตั้งแต่ตอนยังเรียนอยู่ที่สหรัฐฯ

"พี่ว่ามันไม่ค่อยมีใครทำเพราะว่ามันยุ่งยากนี่แหละเจ คือต้องมาหั่นทุกอย่างเป็นชิ้นลูกเต๋าหมด เครื่องก็เยอะ ต้องเตรียมหลายอย่างแทนที่จะแค่เด็ดๆ ผักแล้วโยนลงถ้วย"

"เออ นั่นสิ พี่บูม จะทำสลัดทีต้องมานั่งเตรียมเครื่องตั้งหลายอย่าง ไหนจะทอดเบค่อน ต้มไก่ ต้มไข่ ยุ่งจะตายเนาะ คุณว่ามะ ฆาบี้?"

เจหันไปพยักเพยิดกับคนรัก คนตัวโตหัวเราะเบาๆ

"มันมีเหตุที่ใส่ของพวกนั้นลงในสลัดชนิดนี้นะ..."

คนตัวโตซึ่งรอบรู้เรื่องอาหารการกินยิ้มบางๆ และเล่าต่อ

"...ว่ากันว่า สลัดชนิดนี้เกิดขึ้นจากการนำอาหารเหลือในครัวมาทำนะ"

เจทำหน้างง

"เอ๋ ของเหลือเหรอครับ?"

"ใช่จ้ะ มีเรื่องเล่าว่าไว้ว่าสลัดชนิดนี้เกิดขึ้นในร้านอาหารดังร้านหนึ่งในฮอลลีวู้ดช่วงปี 1937 เพราะเจ้าของร้านที่ชื่อคุณ Robert H. Cobb เกิดหิวขึ้นมาตอนใกล้เที่ยงคืน แกเลยเดินเข้าไปในครัวแล้วค้นๆ ของที่อยู่ในตู้เย็นมา ซึ่งก็ได้พวกผักสลัดมาสี่อย่างได้แก่โรเมน เอ่อ หรือที่พวกนายเรียกผักคอสอ่ะนะ ผักสลัดไอซ์เบิร์ก ผัก endive แล้วก็ watercress เขาหั่นผักพวกนี้เป็นชิ้นเล็กๆ แล้วเอาใส่ชามไว้ จากนั้นก็หั่นเครื่องอื่นๆ อย่างมะเขือเทศ ไข่ต้ม ไก่ฉีกอะไรพวกนี้เท่าที่หาได้ในตู้เย็นแถมด้วยเบค่อนที่จิ๊กมาจากคนครัวมา จากนั้นเอามาเรียงเป็นแถวบนผักสลัดแล้วราดด้วยน้ำสลัดแบบเฟรนช์..."

คุณค็อบยกสลัดของเขาออกไปกินที่เคาเตอร์บาร์ในตัวร้าน มันดูน่าอร่อยจนดาราหรือคนดังสักคนที่นั่งอยู่แถวนั้นด้วยขอชิม คนๆ นั้นติดใจจนกลับมาสั่งเจ้า "Cobb Salad" นี้อีกครั้งในวันถัดไปที่มาที่ร้าน คุณค็อบจึงตัดสินใจทำสลัดชนิดนี้ขายทันที มันกลายเป็นที่นิยมอย่างรวดเร็วและถูกทำเลียนและกลายเป็นที่แพร่หลายมาจนถึงปัจจุบัน



"มันเป็นสลัดที่หาได้ทั่วไปในสหรัฐฯ เลยนะเจ โดยเฉพาะที่แคลิฟอร์เนีย พี่เคยกินครั้งแรกก็ตอนไปเรียนนี่แหละ"

บูมเสริมขึ้น อลันพยักหน้าและบอกว่าเขาก็ได้ชิมสลัดชนิดนี้ที่แคลิฟอร์เนียเช่นกัน แม้จะเรียนห่างกันหลายปี ทั้งบูมและอลันต่างก็จบปริญญาโทด้านกฎหมายจากม. S ซึ่งถือว่ามี law school ที่ดีที่สุดในสหรัฐฯ เป็นอันดับสองรองจากมหาวิทยาลัย Yale ความเชื่อมโยงนี้คือสิ่งหนึ่งที่ทำให้พวกเขาทั้งสองคนพูดคุยกันรู้เรื่องจนทำให้สานต่อความสัมพันธ์กันในที่สุด

"ผมจำได้แม่นว่าเวอร์ชั่นที่ผมได้กินที่สหรัฐฯ จะต้องใส่อโวคาโดด้วยครับ คุณเจ และบางครั้งก็มีชีสร็อคเกอฟอร์ท ซึ่งเป็นบลูชีสชนิดหนึ่ง น้ำสลัดนั้นมักเป็นน้ำสลัดน้ำส้มสายชูไวน์แดงแทนที่จะเป็นน้ำสลัดแบบเฟรนช์ตามสูตรแรกที่ทำขึ้น..."

อลันบอกว่าสลัดค็อบเป็นหนึ่งในอาหารโปรดของเขาเพราะมันมีเพียบพร้อมทั้งผักและโปรตีน เขามักกินมันเวลาที่อยากกินอะไรเบาๆ ที่ให้ความรู้สึกสดชื่นแต่ก็ทำให้อยู่ท้องด้วย เขาเขี่ยๆ สลัดค็อบแบบของร้านโอ้กะจู๋แล้วหัวเราะเบาๆ

"...ส่วนที่ใส่ข้าวโพด ถั่วขาวกับหอมใหญ่แดงนี่ผมก็เพิ่งเจอที่นี่แหละครับ คงเพราะสีมันสวยดีมั้ง แต่ก็อร่อยดีครับ"

อลันตักสลัดที่เหลืออยู่ไม่มากแจกจ่ายจนหมดเมื่อเห็นว่าอาหารชุดใหม่กำลังเริ่มทะยอยมา







"มาซะทีๆ "

เจยิ้มกริ่มมองอาหารที่กำลังทยอยลง อาหารของที่นี่อาจจะช้าไปบ้าง แต่ก็ยังนับว่าอยู่ในระดับพอรับได้เมื่อเทียบกับปริมาณลูกค้าที่แน่นร้าน เจยกมือถือขึ้นถ่ายรูปอาหารทั้งหมดอย่างรวดเร็ว ก่อนจะคว้าส้อมจ้วงจานโปรดของเขา

"โอย ลาบวุ้นเส้นอร่อยสุดๆ "

เจทำหน้าฟินเมื่อได้ลิ้มรสลาบอีสานวุ้นเส้นผักคอสของโปรดของเขา ลาบวุ้นเส้นรสชาติจัดจ้านโรยหน้ามาด้วยไข่กุ้งปริมาณจุใจ มันเสิร์ฟมาพร้อมกับสลัดผักคอสกองโตซึี่งโรยแคบหมูกรอบๆ มาด้วย อีกสามคนตักวุ้นเส้นในจานขึ้นชิมตาม ฆาเบียร์และบูมชมรสชาติที่จี๊ดจ๊าดของลาบวุ้นเส้น ส่วนคนไม่กินเผ็ดอย่างอลันก็ชิมไปอีกแค่สองสามคำแล้วก็ไม่แตะอีก หากเขาหันมาตักสลัดผักคอสไปแทน

"แฮ้ปปี้แล้วล่ะสิ"

เจกระเซ้าคนรักที่ดูมีความสุขกับสารพัดสลัดบนโต๊ะ ฆาเบียร์พยักหน้า เขาพยักเพยิดให้เจดูสเต๊กหมูทีโบนซึ่งเสิร์ฟมาพร้อมสลัดกองโตและมันบดซึ่งเขาเลือกมาเพราะเจนยุทธร่ำร้องอยากกิน

"ไอ้เจ้าหมูทีโบนของฉันนี่รสชาติโอเคเหมือนกันนะเจ ย่างแห้งไปนิดแต่ก็โอเคถ้าเทียบกับราคา ส่วนไอ้เจ้าไส้กรอกโฮมเม้ดนี่ฉันไม่ค่อยชอบเท่าไหร่"

ฆาเบียร์ใช้มีดตัดเลาะกระดูกรูปตัว T ออกและตัดแบ่งชิ้นหมูกับไส้กรอกส่งใส่จานให้เจนยุทธ เจตัดแบ่งส่งต่อให้พี่ชายของเขา

"เออ อร่อยดีนะเจ น้ำยำที่ราดข้างหน้านี่ให้รสชาติเหมือนลาบอีสานเลยนะ"

บูมพูดอย่างถูกใจ น้ำยำสะระแหน่ตามที่เรียกในเมนูนั้นให้รสชาติเผ็ดเปรี้ยวแถมยังมีข้าวคั่วโรยมาอีกด้วย

"ผมก็ว่าอร่อยดีครับ ผมชอบมากกว่าสเต๊กหมูเชียงใหม่ของพี่อ่ะ"

เจนยุทธหัวเราะแหะๆ บูมบอกว่าเขาชอบทั้งสองแบบและคราวหน้าเขาอาจจะลองสั่งเมนูนี้บ้าง เขาเขี่ยๆ เครื่องของน้ำยำออกแล้วตัดหมูและไส้กรอกส่งให้อลันซึ่งชิมแล้วบอกว่าเขาเองก็ชอบแบบนี้มากกว่าเจ้าสเต๊กหมูรสเผ็ดจัดของบูม

"แต่เสียดายอ่ะ มันบดไม่อร่อยเท่าไหร่ ขอโทษนะครับฆาบี้ ผมน่าจะให้คุณสั่งข้าวไรซ์เบอรี่อบขมิ้นแทน"

เจหันไปทำท่าขอโทษขอโพยคนรัก

"ไม่เป็นไรหรอกเจ ฉันก็เลือกไม่ถูกอยู่แล้วว่าจะกินอะไร"

คนตัวโตยกมือขึ้นขยี้ผมเจนยุทธเบาๆ เจหน้าแดงด้วยความเขินพี่ชายที่นั่งอมยิ้มมองพวกเขาอยู่



"ไหน เอาสปาเก็ตตี้ของเรามาให้พี่ชิมหน่อยซิ มันคืออะไรนะ?"

บูมทำท่าทางสนใจสปาเก็ตตี้ซอสครีมข้นหน้าตาคล้ายคาโบนาร่าของเจ เจนยุทธยื่นจานให้พี่ชายของเขาอย่างเต็มใจ

"สปาเก็ตตี้ครีมไส้อั่วครับ ผมลองกินเป็นครั้งแรก อร่อยดีเหมือนกันนะ ได้รสชาติของไส้อั่วบ้าง แต่ก็แอบเลี่ยนไปนิด กินไปกินมาผมว่ามันรสคล้ายแพนงหน่อยๆ แฮะ คุณชิมไหม ฆาบี้?"

บูมม้วนเส้นในจานไปเล็กน้อย เจคะยั้นคะยอให้พี่ชายจิ้มเนื้อไส้อั่วในจานกับแคบหมูที่โรยมาไปด้วย ทนายหนุ่มส่งเส้นเข้าปากแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างพอใจ เจนยุทธส่งจานต่อให้ฆาเบียร์และอลัน ทั้งคู่ตักไปเพียงเล็กน้อยเพื่อชิมและต่างก็ชมเปาะในรสชาติเข้มข้นของมัน เจบอกว่าตอนแรกเขาลังเลว่าจะสั่งจานนี้มาลองดีไหม เพราะรู้สึกว่ามันแพงไปบ้างเมื่อเทียบกับอาหารจานเนื้อ

"มัน 165 บาท ก็ได้แค่เส้นกับเนื้อนิดหน่อย แต่อย่างของฆาบี้ ได้ทั้งหมู ไส้กรอก สลัดแล้วก็มันบดในราคาแค่ 275 บาท แต่พอคิดไปคิดมา สปาเก็ตตี้ในร้านทั่วไปตอนนี้ก็ร้อยกว่าทั้งนั้น ถ้าร้านอิตาเลียนก็สองสามร้อยเข้าไปแล้วอ่ะ ก็เลย เอาวะ สั่งก็สั่ง ดีนะที่มันออกมาอร่อยครับ"

เจยิ้มกว้าง เขาใช้ส้อมม้วนเส้นสปาเก็ตตี้คำโตเข้าปาก

"เจจ๊ะ ติดปากน่ะ"

ฆาเบียร์ยกกระดาษขึ้นซับคราบซอสที่ข้างปากรูปกระจับอย่างอ่อนโยน บูมและอลันหันไปยิ้มให้กันเมื่อเห็นภาพอันละมุนละไมเบื้องหน้า เจหน้าแดงอีกครั้ง เขาบ่นอุบอิบแล้วรีบคว้ากระดาษมาเช็ดเอง

"ถ้าไม่เกรงใจพี่นาย ฉันจะใช้ปากซับให้แล้วนะ"

คนตัวโตกระซิบเบาๆ ที่หูของคนรัก เจยิ่งหน้าแดงก่ำ เขาก้มหน้าก้มตากินต่ออย่างรวดเร็วจนหมดจาน



“ฆาบี้ สลัดลูกแพร์ของคุณเป็นไงมั่งอ่ะ?”

เจที่กินสปาเก็ตตี้หมดจานแล้วถามคนรักถึงสลัดหน้าตาดูดีในจานข้างหน้า สลัดร็อคเก็ตลูกแพร์ย่างที่ฆาเบียร์สนใจสั่งมานั้นมีผักร็อคเก็ตจำนวนมากโปะทับด้วยลูกแพร์หั่นเต๋าใหญ่กองโต แถมยังมีอัลมอนด์และวอลนัทโรยหน้ามาอีก เจจิ้มผักและลูกแพร์เข้าปากแล้วทำตาโต

“เอ๊ะ มันเป็นลูกแพร์จริงๆ ด้วย ตอนแรกผมนึกว่าเขาจะใช้ของถูกอย่างสาลี่ซะอีก”

“ไหนๆ พี่ขอชิมหน่อย…”

เจเลื่อนจานสลัดให้พี่ชาย บูมจิ้มเข้าปากแล้วก็ชมเบาๆ

“…ร้านนี้ใช้ของดีจริงๆ ด้วย แต่เสียดายเราไม่น่าพลาดใส่น้ำสลัดผิดเลย”

เจพยักหน้า เขาบอกว่าเขาขอเปลี่ยนน้ำสลัดเป็นน้ำบลูชีสที่น่าจะเข้ากันดีกับสลัดชนิดนี้แทนน้ำสลัดบัลซามิคตามสูตร แต่ในครัวจัดผิดโดยเอาน้ำสลัดเต้าหู้มาให้แทน พวกเจมารู้เอาตอนเทราดลงไปเรียบร้อยแล้วและขี้เกียจที่จะขอเปลี่ยนเลยต้องปล่อยเลยตามเลยไป

"น้ำสลัดร้านนี้มีเยอะเกิน เลือกยากจริงๆ เนาะพี่บูม"

เจบ่นเบาๆ ร้านโอ้กะจู๋นี้มีน้ำสลัดให้เลือกกว่ายี่สิบแบบทั้งแบบน้ำใสและน้ำข้น

“อืมม์ แต่พี่ก็ชอบร้านนี้ตรงเขามีน้ำสลัดหลายแบบ สลัดในจานของพี่ พี่เลือกเป็นน้ำแบบน้ำสลัดปูอัดวาซาบิ รสวาซาบิมันอ่อนไปนิดนึง แต่ก็ใช้ได้ ส่วนของอลันเขาเลือกเป็นน้ำสลัดเต้าหู้ คุณชอบใช่ไหมครับ?"

ทนายหนุ่มให้ไปถามคนรักซึ่งพยักหน้าตอบรับมา



"...แล้วคุณล่ะครับ คุณมาร์ติเนซ เอ๊ย คุณฆาเบียร์ เลือกน้ำอะไร?”

ฆาเบียร์เขี่ยๆ น้ำสลัดในจานของเขาแล้วบอกว่าเขาเลือกแบบแรนช์ แต่รสชาติมันยังไม่ถูกใจเขาเท่าไหร่

“น้ำสลัดที่นี่มีให้เลือกเยอะก็จริง แต่ฉันก็ยังถูกใจน้ำสลัดเต้าหู้ของร้านสลัดคอนเส็ปต์แถวๆ คอนโดเราที่สุดนะเจ”

คนตัวโตหันไปคุยกับเจนยุทธ

“…แต่ถ้าเทียบเรื่องผักแล้ว ที่นี่ชนะเลิศเลย เขาให้ผักมาเยอะจริงๆ มันเป็นผักออร์แกนิคจริงๆ เหรอ เจนยุทธ ทำไมถึงขายได้ถูกนักล่ะ? อย่างสลัดในจานฉันนี่ให้มาเยอะมากเลยนะ”

“ก็เพราะที่นี่เขามีไร่ผักเป็นของตัวเองน่ะสิครับ ร้านสาขาแรกที่พี่บูมเคยไปกินก็ตั้งอยู่ที่ไร่ผักของเขาเลยแหละ เห็นว่าเดิมทีเขาเริ่มจากการปลูกผักไว้ให้แม่กินก่อน”

บูมพยักหน้า

“ผมได้มากินร้านนี้ก็เพราะสโลแกนของร้านนี้ที่ว่า 'ปลูกผักเพราะรักแม่' นี่แหละครับ แม่ของผมได้ยินเรื่องร้านนี้จากเพื่อนแล้วก็ชวนผมยิกๆ ว่าถ้ามาเชียงใหม่ให้พาไปกินด้วย”



'ถ้ารักแม่ก็ต้องพาไปกินสิ'


นี่คือคำที่แม่เขาใช้กดดัน บูมบอกว่าในตอนแรกเขาไม่ได้คาดหวังอะไรจากร้านนี้มากนักและพาแม่ไปเพื่อให้แม่พอใจแค่นั้น แต่กลับกลายเป็นว่าอาหารของที่นีี่ถูกใจเขาและครอบครัวจนต้องกลับมาแทบทุกครั้งที่แวะมาที่เชียงใหม่

“วันหลังพี่บูมก็พาอาพิมมาสาขานี้สิ จะได้ไม่ต้องขับไปไกลถึงแม่โจ้”

บูมส่ายหน้า

“ถ้าแม่มาด้วยพี่ก็คงต้องพาไปสาขานู้นอยู่ดี แม่เค้าชอบบรรยากาศบ้านไร่ของที่นู่นมากกว่าน่ะ”

เจพยักหน้าหงึกหงัก เขาตักสลัดและลาบวุ้นเส้นใส่จานเพิ่ม แถมยังแอบจิ้มหมูและไส้กรอกที่ฆาเบียร์หั่นทิ้งไว้ในจานมาอีก ฆาบี้ยิ้มน้อยๆ และไม่ว่าอะไร ที่เขาตัดเนื้อเป็นชิ้นเล็กๆ ไว้ก็เพราะรู้นิสัยชอบจิ๊กของในจานของเจนยุทธดี

“พูดถึงอาพิม พวกอาๆ เขากลับกันไปแล้วเหรอพี่บูม?”

ญาติผู้พี่ของเจพยักหน้า

“ใช่ พี่เพิ่งไปส่งแม่กับพ่อขึ้นเครื่องเมื่อช่วงบ่ายนี้แหละ ตอนขามาแม่เหมารถตู้มาเพราะจะได้หอบพวกของฝากมาให้ญาติๆ ส่วนขากลับก็บินกลับ”

“เอ่อ ถ้าพี่บูมได้คุยกับอาพิม ฝากบอกว่าผมขอบคุณเรื่องปลาทูแม่กลองกับน้ำพริกกะปิด้วย อร่อยมากครับ”

เจกระมิดกระเมี้ยนพูด ถึงจะไม่ถูกกับแม่ของพี่ชาย แต่เมื่อได้ของอร่อยมาเขาก็ต้องขอบคุณ แถมจากเหตุการณ์และเรื่องราวที่ได้รับรู้เมื่อสองวันก่อนก็ทำให้เขาเริ่มเห็นใจอาพิมขึ้นมาบ้าง เขาจึงคิดว่าจะพยายามญาติดีกับอาสะใภ้คนนี้สักนิด

“ได้สิ เจ เดี๋ยวพี่จะไลน์บอกแม่ให้”

บูมยิ้มกว้าง เขาหวังว่าสถานการณ์ระหว่างแม่ของเขากับเจจะคลี่คลายความตึงเครียดลงเสียที เจยิ้มหวานให้พี่ชาย เขาจิ้มนั่นนี่บนโต๊ะกินต่อ ทั้งสี่คนกินไปคุยกันไปเรื่อยๆ อย่างสนุกสนาน






“ไม่น่าเชื่อเลยเนาะว่าโลกจะกลมขนาดนี้”

เจพูดขึ้นเมื่อบูมเล่าให้อลันฟังถึงเหตุการณ์ตอนที่เขาเจอฆาเบียร์ที่บ้านวัดเกตุ

“นั่นสิครับ คุณเจ ผมก็นึกไม่ถึงว่าคุณจะเป็นญาติกับแพทริคเขา ผมก็ว่านามสกุลคุณคุ้นๆ แต่ก็ไม่นึกว่าจะเกี่ยวข้องกันกับแพทริคเขา”

อลันยังคงเรียกคนรักด้วยชื่อภาษาอังกฤษตามความเคยชิน เจหัวเราะเบาๆ เขากับบูมนั้นถึงจะเป็นญาติกัน แต่โดยหน้าตาแล้วพวกเขาแทบไม่มีความละม้ายคล้ายคลึงกันเลย เจนั้นรูปร่างสันทัดและเพรียวเหมือนนักวิ่ง เขามีผิวขาวแบบคนเหนือปนเชื้อจีนและมีใบหน้ารูปไข่แลดูน่ารัก หากบูมนั้นสูงกว่าเจพอสมควรและมีรูปร่างแบบคนออกกำลังกายเป็นประจำ เขามีใบหน้าออกยาวและมีโหนกแก้มสูงกว่า เมื่อบวกกับผิวพรรณที่ออกไปในทางคนภาคกลางทำให้หน้าตาของทนายหนุ่มแลดูคมเข้มกว่าลูกพี่ลูกน้องของเขา

"จริงๆ พวกเราก็มีอะไรร่วมกันหลายเรื่องจริงๆ นะอลัน นายกับแพทริคก็เรียนที่ม. S ส่วนฉันก็อยู่ที่พาโล อัลโตมาเกือบตลอดชีวิต จริงๆ เราอาจจะเคยเดินสวนกันไปสวนกันมาก็ได้นะ"

ฆาเบียร์พูดยิ้มๆ เขานึกถึงเรื่องพรหมลิขิตที่เจว่า สุดท้ายแล้วโชคชะตามักมีหนทางของมันเองเสมอ

"ตอนนั้นผมไม่ค่อยได้ทำอะไรมากหรอกครับ ส่วนมากจะอยู่แต่ในแคมปัสแล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาเรียนอย่างเดียว แต่ก็มีออกเที่ยวบ้างตามประสา แพทริคเองก็น่าจะเหมือนกัน ใช่ไหมจ๊ะ ที่รัก?"

อลันยิ้มเมื่อนึกถึงชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย เขาหันไปถามลูกพี่ลูกน้องของเจซึ่งตอบรับว่าเขาใช้เวลาส่วนใหญ่ในห้องสมุด แต่ก็มีเที่ยวและกินอาหารข้างนอกกับเพื่อนๆ บ้างตามประสาหนุ่มรุ่น พวกเขาคุยกับฆาเบียร์ซึี่งอาศัยอยู่ในพาโล อัลโตซึ่งเป็นที่ตั้งของม. S เช่นกันถึงร้านอาหารที่เขาเคยกินตอนเป็นนักศึกษาโดยมีบูมคอยเสริม พวกเขาคุยกันยาวไปถึงเรื่องอื่นๆ อีกด้วย



เจนยุทธนั่งฟังทั้งสามคนพูดคุยถึงชีวิตเมื่อครั้งยังเยาว์ที่เปี่ยมไปด้วยพลัง ความสดใสและความไร้เดียงสา เขาแอบยิ้มเมื่อนึกถึงว่ากวีชื่อก้องโลกอย่างเชคสเปียร์สได้เปรียบวัยนั้นว่าเป็น 'salad days' เพราะความสดใสที่เปรียบได้เหมือนผักสด แล้วในตอนนี้พวกลุงๆ และพี่บูมของเขาก็มานั่งคุยเรื่องในวัยเยาว์กันในร้านสลัดแบบนี้ ถึงเขาจะไม่ได้รู้เรื่องที่คนทั้งสามคุยทั้งหมด แต่ฆาเบียร์ก็คอยหันมาเสริมให้จนเจไม่ได้รู้สึกว่ากลายเป็นคนนอกแต่อย่างใด เจจิ้มอาหารที่ยังเหลืออยู่บนโต๊ะไปพลางฟังและคอยสอดแทรกเป็นระยะๆ สำหรับเขาแล้วบทสนทนาดีๆ บนโต๊ะอาหารแบบนี้คือสิ่งที่ช่วยชูรสอาหารได้มากที่สุด เขาอดนึกถึงคำพูดที่ฆาเบียร์เคยบอกเขาในไม่กี่วันแรกที่พวกเขาอยู่ร่วมกันขึ้นมาไม่ได้

"...แต่ที่อร่อยที่สุด ก็เพราะมีคนนั่งกินด้วยกันนี่แหละ"

คำพูดที่ภายหลังคริสบอกเขาว่ามันคือคำพูดติดปากของคาตาลิน่าผู้เป็นแม่ของฆาเบียร์นั้นติดตรึงอยู่ในใจของเจนยุทธมาตลอด ถึงเจจะรักการกินแค่ไหน แต่ความอร่อยของอาหารขึ้นอยู่กับผู้ร่วมโต๊ะด้วยเช่นกัน แม้อาหารมื้อนั้นจะรสเลิศเพียงใด หากต้องร่วมโต๊ะกับคนที่ทำให้เขาอึดอัดหรือต้องนั่งกินเพียงลำพัง อาหารมื้อนั้นก็กลายเป็นจืดชืดไร้รสชาติ แต่ถ้ามีผู้ร่วมโต๊ะที่คุยกันถูกคอ หรือเป็นคนที่เขารักแล้ว มื้อที่มีเพียงอาหารพื้นๆ ก็กลับกลายเป็นมีรสมีชาติขึ้นมาได้

เจลอบมองคนรักที่หัวเราะออกมาลั่นเมื่อพี่ชายของเขาเล่าถึงเรื่องเปิ่นๆ ที่เขาเคยทำตอนเป็นนักศึกษา เจอดใจหายไม่ได้เมื่อคิดถึงว่าเขาจะต้องอยู่ห่างจากภาพนี้ไปอีกกว่าหนึ่งเดือน เขาอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นเกาะกุมมือใหญ่ของคนรักและบีบกระชับแน่น ฆาเบียร์หันมามองแล้วก็ต้องสะท้อนใจเมื่อเห็นแววเศร้าหมองแว่บหนึ่งในดวงตาของคนรักก่อนที่เจจะรีบทำสีหน้าร่าเริง คนตัวโตบีบมือเรียวนั้นตอบโดยไม่พูดอะไร เจยิ้มให้คนรักและได้รับรอยยิ้มกว้างกลับคืนมา เขาสูดลมหายใจลึกๆ แล้วหันกลับไปพูดคุยกับคนอื่นๆ ต่ออีกครั้ง

"โอเค เดี๋ยวต่อของหวานกันดีไหมครับ?"



-------------------------------------------

ตอนนี้กินอย่างเดียวนะคะ มาแนะนำร้านที่ลังเลว่าจะเขียนถึงดีหรือเปล่า เพราะก็ค่อนข้างเป็นที่นิยมพอสมควรแล้วอย่างร้าน "โอ้กะจู๋" โดยส่วนตัวแล้วไม่ค่อยได้ไปร้านนี้เท่าไหร่ด้วยเหตุผลที่ว่ามันคิวยาวนี่แหละค่ะ อีกสาเหตุหนึ่งคือเคยไปแล้วเจออาหารไม่ค่อยเวิร์ค แต่สองครั้งหลังที่ไปและถ่ายรูปมาลงในเรื่องนี้ก็ถือว่าใช้ได้อยู่นะคะ ถึงจะยังเห็นว่าไม่ถึงขั้นให้ต้องไปต่อคิวยาวๆ เพื่อกินก็ตาม ในความเห็นส่วนตัวแล้ว เป็นร้านที่กินแล้วคุ้มค่า อาหารที่ได้มาค่อนข้างสมกับราคา รสชาติดีเป็นบางอย่าง แต่หลายอย่างก็ไม่ค่อยเวิร์ค อย่างสเต๊กหมูเมืองเชียงใหม่ซึ่งค่อนข้างเผ็ดมากจนแทบกินไม่หมดค่ะ ต้องเขี่ยพริกลาบออกทิ้งหมด ส่วนที่ชอบที่สุดคือลาบวุ้นเส้นผักคอสค่ะ อย่างอื่นก็ตามในเรื่องค่ะ เดี๋ยวตอนหน้าอาจจะมีคอมเมนท์ต่ออีกนิดค่ะ

สรุป ถ้าอยากกินผักเยอะๆ อาหารจานใหญ่ คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป ก็ต้องร้านนี้ค่ะ แต่แนะนำว่าต้องจองก่อนถ้าจะมาตรงมื้ออาหาร ส่วนคนเขียนเข้าไปตอนห้าโมง ยังพอวอล์คอินได้ค่ะ แต่สักห้าโมงครึ่ง หกโมงนี้คนเริ่มทยอยมาแล้วค่ะ ถ้าทุ่มนี่ก็เลิกคิดได้เลยค่ะ คิวยาวล้นที่นั่งรอไปจนถึงหน้าร้านแล้ว

แจกลิงค์นะคะ

รีวิวพร้อมเมนูร้านโอ้กะจู๋ค่ะ  http://bit.ly/2OCt8vV

เมนูจากเฟซบุ๊คร้านค่ะ ละเอียดกว่าในรีวิวด้านบน แต่ไม่มีราคานะคะ http://bit.ly/2n31Phy

เว็บร้านวนัสนันท์และสินค้าที่มีค่ะ https://www.vanusnun.com/th/product.php

ว่าด้วย Cobb Salad http://bit.ly/2vtP1EK

สูตร Cobb Salad ค่ะ อกไก่ในสูตรนี่จะนำไปต้ม นึ่ง ย่างหรืออบก็ได้ แต่ห้ามทอดค่ะ สำหรับคนเขียนคงซื้อกินเอาดีกว่าเพราะขี้เกียจมานั่งหั่นทุกอย่างเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยค่ะ  http://bit.ly/2n2XYkB




ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1




---- “แน่ใจแล้วใช่ไหม?” ----




“โอเค เดี๋ยวต่อของหวานกันดีไหมครับ?”

สิ้นเสียงเจนยุทธก็ตามมาด้วยเสียงโวยวายและปฏิเสธของคนอื่นๆ

“เจ พี่กินไม่ไหวแล้วนะ!”

“นั่นสิครับ ผมอิ่มแทบคลานแล้วครับ”

ทั้งบูมและอลันต่างปฏิเสธลั่น ส่วนฆาเบียร์ดึงเมนูที่เจไปหยิบมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ออกจากมือคนตัวเล็กทันที

“พอเลย เจ นายกินเยอะเกินไปแล้ว”

คนตัวโตทำเสียงดุใส่เจ้าตัวเล็กที่เหมือนมีหลุมดำในกระเพาะ

“กินนิดเดียวเอง นะครับ คุณ ไม่งั้นผมขอแค่พ็อคเก็ตชีสโทสต์ของร้านข้างๆ ก็ได้ นะๆๆ ผมกินคนเดียวก็ได้”

เจกันมาส่งสายตาละห้อยให้คนตัวโต ฆาเบียร์ครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วก็พยักหน้าตกลง พ็อคเก็ตชีสโทสต์ที่เจพูดถึงเป็นขนมเด่นของร้าน Volcano ซึ่งเป็นร้านดังอีกร้านหนึ่งของจังหวัดเชียงใหม่ มันคือขนมปังปิ้งสอดไส้ชีสยืดๆ ที่บรรจุในกล่องกระดาษถือกินได้สะดวก เจเคยซื้อมันให้เขาชิมจากร้านสาขาในเซ็นทรัลเฟสติวัล ถึงมันจะคล้าย Grilled cheese หรือแซนวิชสอดไส้ชีสย่าง ของโปรดเขาสมัยเป็นนักศึกษาและมีรสชาติอร่อยอย่างร้ายกาจ แต่ฆาเบียร์ก็พยายามเลี่ยงไม่ยอมกินมันทั้งชิ้นด้วยความกลัวไขมันที่จะตามมาพอกพูนบนร่างที่เขาอุตส่าห์ดูแลมาอย่างดี แต่สำหรับเจนยุทธแล้ว คำว่ากลัวอ้วนเหมือนจะไม่อยู่ในพจนานุกรมของเขาเลย



“Please!!!”

เจถามซ้ำพร้อมส่งสายตาอ้อนวอนให้คนรัก บูมซ่อนยิ้มเมื่อเห็นสายตาหมาน้อยของน้องชาย เขาเชื่อว่าที่สุดแล้วฆาเบียร์ต้องยอมตกลง เมื่อยังเด็กตัวเขาเองก็เคยยอมส่งขนมในมือให้เจ้าเด็กตัวกลมคนนี้ที่มายืนทำน้ำลายยืดพร้อมส่งสายตาแบบนี้ให้เขาหลายต่อหลายครั้ง แล้วก็จริงดั่งที่ทนายหนุ่มคาด หลังจากทัดทานเสียงแข็งได้ครู่ใหญ่ สุดท้ายหนุ่มละตินร่างใหญ่ก็ต้องยอมแพ้

“แค่ชิ้นเดียวนะเจ ห้ามกินมากกว่านั้น”

“Aye, aye Captain!”

เจนยุทธตอบรับด้วยคำเลียนแบบทหารเรือที่ตอบรับคำสั่งผู้บังคับบัญชาพร้อมตะเบ๊ะให้คนรักอย่างขึงขัง ฆาเบียร์อดไม่ได้ต้องหัวเราะให้กับความทะเล้นของเจ้าตัวแสบของเขา

“นายนี่มันเหลือเกินจริงๆ นะ เจ”

คนตัวโตโอบไหล่คนรักเข้าแล้วดึงร่าวเพรียวมาแนบกายพร้อมหอมฟอดใหญ่ที่แก้มอย่างมันเขี้ยว เจนยุทธพยายามดิ้นขลุกขลักออกจากอ้อมแขนที่รัดแน่นนั้น เขาแอบทุบหน้าขาของคนที่ลวนลามเขาแบบไม่ดูที่ทางด้วยความเขินพี่ชาย ฆาเบียร์เองก็เหมือนเพิ่งนึกได้ว่าพวกเขาไม่ได้อยู่กันแค่สองคน เขารีบปล่อยและหันไปหัวเราะแก้เก้อกับคู่รักที่นั่งยิ้มมองพวกเขาอยู่

“บิลมาแล้วครับ พนักงานเค้าก็เขินเดินไปนู่นแล้ว”

อลัน วูแซวเพื่อนเที่ยวของเขา ฆาเบียร์รีบดึงบิลในมือของทนายหนุ่มใหญ่มาเพื่อส่งให้เจเช็ครายการ เมื่อรับบิลคืนมาเขาหันไปสบตากับเจเป็นเชิงถาม ซึ่งคนตัวเล็กก็ผงกหัวให้เขาเป็นเชิงอนุญาต คนตัวโตยิ้มกว้างออกมาและหันไปบอกทนายของอาปาของเขา

“ในฐานะเจ้าบ้าน มื้อนี้ฉันขอจ่ายนะ”

ทนายทั้งสองทำท่าจะท้วงแต่ก็ได้เจพูดขอไว้ ฆาเบียร์เองก็รีบหยิบบัตรเครดิตของเขามาส่งให้พนักงานก่อนที่จะมีใครเปลี่ยนใจ



“ขอบใจนะ ที่ให้ฉันเป็นคนจ่ายในมื้อนี้”

ฆาเบียร์กระซิบเบาๆ กับคนรักยามที่พวกเขาเดินออกร้าน เจบีบมือคนรักเบาๆ ถึงเขาจะบอกว่าเขาจะเป็นคนรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทุกอย่างตอนอยู่ไทย แต่ในมื้อแบบนี้ เขาก็ต้องไว้หน้าให้ฆาเบียร์เป็นคนจัดการ

“เดี๋ยวคุณจะเลี้ยงขนมผมด้วยใช่มะ?”

เจพูดดังๆ พอให้พวกพี่ชายที่เดินอยู่ด้านหน้าได้ยิน ฆาเบียร์โคลงหัวให้เจ้าเด็กเห็นแก่กิน

“จ้ะๆ เลี้ยง ไปๆ รีบๆ ไปก่อนที่ฉันจะเปลี่ยนใจนะ”

เจหันมายิ้มหวานจ๋อยให้คนตัวโตที่ใช้ไหล่เขาเป็นที่วางแขนก่อนจะพาเดินเข้าร้าน Volcano ซึ่งอยู่ข้างๆ กับร้านโอ้กะจู๋

“เจ ไหนว่าจะซื้อชีสโทสต์แค่อันเดียว เราไม่ต้องนั่งก็ได้นี่? สั่งแล้วเอาไปกินในรถก็ได้”

ฆาเบียร์ขมวดคิ้วเมื่อเห็นเจจัดแจงนั่งลงที่โต๊ะไม้ในร้านและกวักมือให้คนอื่นลงนั่งด้วย

“ไม่ได้ๆ ที่ผมจะสั่งน่ะ กินในรถไม่ได้ เหม็นตายเลย พี่บูมพี่เอาไรป่าว?”

เจโบกไม้โบกมือปฏิเสธแล้วหันไปถามพี่ชาย บูมมองเมนูอย่างสนใจ ถึงเขาจะคิดว่าขนมส่วนใหญ่ของร้านนี้ซึ่งเน้นหนักไปทางขนมปังปิ้งหนักเนยนมเหมือนร้านชื่อดังที่กรุงเทพฯ อย่าง After You ซึ่งอาจจะหนักไปสำหรับในตอนนี้ แต่เขาก็สนใจพวกเครื่องดื่มหลากหลายชนิดที่มีในร้าน

“พี่ขอบัตเตอร์เบียร์ก็ได้ ดูน่ากินดี”

บูมพูดยิ้มๆ เขาสั่งเครื่องดื่มซึ่งเลียนแบบมาจากเครื่องดื่มดังจากนิยายเรื่องแฮรี่ พอตเตอร์ ส่วนอลันและฆาเบียร์ขอผ่านพวกของหนักๆ และสั่งชาร้อนกาหนึ่งมาแบ่งกันแทน เจจัดการเช็ครายการอาหารที่ต้องการสั่งลงบนใบเมนูน้อยที่วางไว้บนโต๊ะและจัดการสั่งพ็อคเก็ตชีสโทสต์ของตัวเองมาเสร็จสรรพ เขาเดินเอาใบรายการไปส่งให้พนักงานแล้วเดินยิ้มกริ่มกลับมาที่โต๊ะ

“วันนี้สั่งชีสโทสต์รสอะไรเหรอ เจ? รสชีสล้วนเหมือนทุกทีหรือว่าใส่ไส้อะไร?”

ฆาเบียร์ถาม เขาชอบรสชาติของชีสโทสต์ของร้านนี้ แม้ด้านนอกของตัวขนมปังจะมีรสหวานของน้ำตาลบ้างซึ่งไม่ค่อยเข้ากับความเค็มของชีส แต่มันก็ชวนให้กินได้เรื่อยๆ นี่เป็นเหตุที่ทำให้เขาไม่อยากแวะเวียนมาร้านนี้นักเพราะกลัวจะอดใจไม่ไหว

“ม่ายบอก รอดูเองแล้วกันครับ”

ฆาเบียร์ขมวดคิ้ว คนตัวเล็กทำท่าทางแบบนี้ มันต้องไม่ใช่ของธรรมดาๆ แน่นอน



บัตเตอร์เบียร์ค่ะ

พนักงานสาววางเครื่องดื่มสีน้ำตาลที่มีโฟมเนียนนุ่มสีขาวลงบนโต๊ะ บูมชิมแล้วบอกว่ารสชาติมันจะคล้ายๆ กับรูทเบียร์แต่นุ่มนวลกว่า หากเขาคิดว่าของที่นี่ยังรสอ่อนไปหน่อยแต่ก็ไม่ถึงขั้นกินไม่ได้

“มาแล้วๆ “

เจทำท่าตื่นเต้นเมื่อพนักงานสาวอีกคนหนึ่งนำกล่องกระดาษสีน้ำตาลแบนๆ มาเสิร์ฟให้

“ชีสโทสต์ทุเรียนค่ะ”

“เจนยุทธ!”

ฆาเบียร์ทำเสียงเขียวใส่เจ้าตัวดีของเขาทันทีที่ได้ยินชื่อผลไม้ของแสลงของเขา เจรับกล่องกระดาษที่ยังร้อนอยู่นั้นมาแล้วหันมาหัวเราะแหะๆ กับคนรักที่ทำหน้าตูมใส่

“กลับบ้านไปนายกรุณาแปรงฟันบ้วนปากให้หมดกลิ่นด้วย เข้าใจไหม?”

“รับทราบครับผม!”

เจนยุทธรับคำแข็งขัน เขาจำได้ว่าคนรักของเขานั้นไม่ชอบกลิ่นกำมะถันของทุเรียนเป็นอย่างยิ่ง



“กินแล้วนะครับ...”

เจเปิดฝาด้านบนของกล่องกระดาษแบนๆ ที่ดูเหมือนซองกระดาษนั้นออกและทำท่าจะกัดขนมปังปอนด์ที่อบมาจนเป็นสีเหลืองทองนั้นเข้าปาก หากเขาชะงักและหันไปถามญาติผู้พี่ของเขา

“พี่บูมจะลองชิมไหมครับ? อร่อยนะพี่”

บูมครุ่นคิดแล้วพยักหน้า เจยิ้มน้อยๆ เขารู้ดีว่าพี่ชายของเขานั้นติดของหวานใช้ได้เลยทีเดียว เจส่งเจ้าพ็อคเก็ตโทสต์นั้นให้บูมซึ่งรับมากัดคำไม่ใหญ่นัก

“อื๊อ?”

ทนายหนุ่มทำตาโต เขากัดขนมปังแล้วขยับจะดึงชิ้นขนมปังคำที่กัดไว้ออก หากชีสที่อยู่ด้านในไม่ขาดง่ายๆ แถมยังยืดยาวตามมือที่ขยับดึงซองขนมปังออกไป เจหัวเราะคิกคักอย่างถูกใจ นี่คือสิ่งที่เป็นเสน่ห์และลักษณะเฉพาะตัวของขนมปังพ็อคเก็ตชีสโทสต์ของร้าน Volcano นี้

“โอ๊ย กว่าจะขาด พี่ดึงไส้ไปเยอะเลยนะเจ”

บูมบ่นเบาๆ พร้อมกับขอโทษขอโพยน้องชาย เขารีบส่งชีสโทสต์กล่องนั้นคืนให้เจทันที

“ไม่เป็นไรครับพี่ ว่าแต่อร่อยป่าว ผมงี้ชอบมากๆ เลยนะ”

บูมพยักหน้า

“อร่อยมากเลยเจ พี่ไม่นึกเลยว่าเขาจะบี้เนื้อทุเรียนปนลงไปในเนื้อชีสด้วย ทั้งหอมทั้งมัน แถมก็ได้รสทุเรียนชัดมาก เราเอามาแบ่งกันสักอันดีไหมครับ อลัน?”

ญาติผู้พี่ของเจหันไปขอความเห็นจากคนรัก ทนายหนุ่มใหญ่พยักหน้า ทุเรียนเป็นของโปรดของเขาเช่นเดียวกับคนฮ่องกงส่วนใหญ่ และถ้ามันเป็นสิ่งที่บูมต้องการเขาก็พร้อมทำตามอยู่แล้ว บูมเรียกพนักงานเสิร์ฟมาเพื่อสั่งชีสโทสต์ทุเรียนเพิ่มอีกชิ้น



“ผมนึกแล้วว่าพี่ต้องชอบ ผมนะอยากกินซักสามอัน แต่วันนี้คงไม่ไหวแล้ว”

เจพูดเสร็จก็กัดขนมปังเข้าไปคำใหญ่ เขายืดชีสเหนียวๆ นั้นออกเป็นสายยาวแล้วใช้มือถือถ่ายเซลฟี่ตัวเองไว้ ฆาเบียร์มองภาพเส้นชีสสีขาวครีมที่ยืดออกจากปากน้อยๆ ที่แดงระเรื่อแล้วก็อดหน้าร้อนวาบไม่ได้ มันอดทำให้เขานึกถึงคราบเหนียวสีขาวอย่างอื่นที่เปรอะปากของเจเมื่อคืนก่อนไม่ได้ คนตัวเล็กกัดชีสจนขาดแล้วหันไปทำตาปริบๆ ให้ฆาเบียร์ทีี่นั่งจ้องมองเขาปานจะกลืนกิน

“คิดอะไรทะลึ่งๆ อยู่ใช่ไหมคุณ? “

เจตีหน้ายักษ์ใส่คนตัวโต เขาสังเกตเห็นแววซุกซนได้จากนัยน์ตาคมวาวคู่นั้น

“เปล๊า ฉันไม่ได้คิดอะไรสักหน่อย ฉันแค่ดูว่าชีสมันยืดได้ยาวดีจริงๆ “

เจเม้มปากและหรี่ตามองหน้าคนรัก แต่ก็เลือกที่จะเลิกซักและหันมาสนใจกับชีสโทสต์ในมือแทน เขากินมันหมดก่อนที่ชิ้นของบูมและอลันจะมาเสิร์ฟเสียอีก



“เจจ๊ะ นอกจากไส้ทุเรียนกับไส้ชีสล้วนที่เราเคยกินแล้วมันมีไส้อื่นอีกไหม? “

“อืมม์ มีไส้สังขยาครับ เอ่อ คัสตาร์ดเหลวๆ ที่ทางสิงคโปร์ มาเลเซียเรียกว่า Kaya น่ะ คุณเคยกินไหม?”

ฆาเบียร์พยักหน้า เจบรรยายต่อ

“ไส้ผลไม้สดก็มีครับ แต่มันจะไม่ใช่ชีสเต็มทั้งแผ่นแบบนี้ เขาจะรองครึ่งแผ่นล่างด้วยชีส ส่วนด้านบนจะเป็นผลไม้สดกับแยมหรือน้ำราด แต่ผมชอบแบบที่เป็นเนื้อชีสเต็มๆ แบบนี้มากกว่า สนใจสักแผ่นไหมคุณ? “

“ถ้าฉันเอาไส้ชีสล้วนมา เจจะแบ่งกินกับฉันไหม?”

เจนยุทธหัวเราะเบาๆ

“นี่ คุณ อารมณ์ไหนอยากจะกินของอ้วนๆ ไหนเมื่อกี้บอกว่าอิ่มๆ ไง”

“ก็อิ่มหรอก mi vida แต่ฉันอยากทำแบบนั้นบ้าง”

คนตัวโตพยักเพยิดให้เจดูคู่รักฝั่งตรงข้ามที่ดูเหมือนจะอยู่ในโลกส่วนตัวแล้ว ทั้งสองคนนั่งกระหนุงกระหนิงกินขนมปังชิ้นเดียวกัน ทั้งคู่ต่างกัดขนมปังคนละด้านกันและดึงชีสจนยืดยาว จากนั้นค่อยๆ ใช้ลิ้นตวัดม้วนชีสเข้าปากจนกระทั่งริมฝีปากทั้งคู่มาบรรจบกันที่แผ่นขนมปังอีกครัั้ง อลันจุ๊บเบาๆ ที่ริมฝีปากคนรัก ญาติผู้พี่ของเจก็จุ๊บกลับ เมื่อนึกได้ว่ามีพ่อน้องชายตัวดีจ้องเป๋งอยู่ บูมก็หน้าแดงก่ำ แล้วรีบยัดซองขนมปังคืนใส่มือคนรักทันที

“ตามสบายพี่บูม ไม่ต้องอายผม”

เจพูดพลางหัวเราะฮิฮะ เขาไม่นึกว่าพี่ชายของเขาที่ปกติท่าทางเรียบร้อยจะกล้าแสดงออกถึงเพียงนี้ บูมหันไปบ่นอลันเบาๆ เพื่อแก้เขิน ที่ฮ่องกงยามอยู่ด้วยกันสองต่อสองนอกเวลางานพวกเขาทั้งคู่มักจะจู๋จี๋กันแบบนี้เป็นประจำเพื่อชดเชยช่วงเวลาที่ต้องอยู่ห่างกัน เจหันไปดุคนรักที่สะกิดเขายิกๆ ว่าอยากจะกินแบบนั้นบ้าง

“ไม่เอา ถ้าคุณไม่ได้อยากกินจริงๆ แต่แค่อยากจะเอามาเล่นก็ไม่ต้องเอามา โอเค๊? ไว้คราวหน้าถ้าคุณมาเชียงใหม่ไว้เราค่อยมาซื้อกัน”

“งั้นคราวหน้าเราซื้อแล้วเอากลับไปอุ่นกินที่บ้านแล้วกันนะ “

ฆาเบียร์ทำท่ากรุ้มกริ่ม เจโคลงหัว ถ้ากลับไปกินที่บ้าน พ่อเจ้าประคุณคงจะไม่แค่เล่นจุ๊บปากกับเขาแน่นอน ทนายหนุ่มทั้งสองแอบสบตากันและอดยิ้มออกมาไม่ได้เมื่อเห็นท่าทางขี้เล่นและสายตาเจ้าชู้เหมือนหนุ่มรุ่นของฆาเบียร์ บูมเองอดนึกประหลาดใจในท่าทีของนักธุรกิจหนุ่มใหญ่ที่ปกติเขาเคยเห็นแต่ด้านที่เคร่งขรึมเป็นการเป็นงานคนนี้ไม่ได้ ฆาเบียร์คนที่อยู่ที่เชียงใหม่นั้นแทบจะเรียกว่าเป็นคนละคนกับคุณมาร์ติเนซที่เขาเคยรู้จักที่ฮ่องกงเลยทีเดียว



“เดี๋ยวพวกพี่จะไปไหนกันต่อครับ?”

เจถามญาติผู้พี่ของเขาระหว่างที่เดินมายังลานจอดรถ บูมกับอลันมองหน้ากัน

“อืมม์ ก็ยังไม่มีแพลนอะไรนะ พี่กำลังคิดว่าจะกลับไปนั่งจิบค้อกเทลที่โรงแรมดี หรือว่าไปหาร้านนั่งดื่มที่มีดนตรีฟังดี”

“พวกพี่พักที่อนันตราใช่ไหมครับ? บาร์ที่นั่นก็เริ่ดอยู่ ผมชอบนะ”

เจพูดถึงบาร์และร้านอาหาร The Service 1921 อันเลื่องชื่อว่ามีค้อกเทลอร่อยที่สุดแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ บาร์นี้ตั้งอยู่ในอาคารเก่าแบบโคโลเนียลซึ่งเคยเป็นสถานกงสุลอังกฤษเก่า อาคารครึ่งปูนครึ่งไม้หลังงามที่มีอายุเกือบร้อยปีนี้ถือเป็นจุดศูนย์กลางของโรงแรมห้าดาวริมฝั่งแม่น้ำปิงแห่งนี้

“พี่น่ะ ยังไงก็ได้ ที่จริงจะกลับไปนอนเลยก็ได้ แต่รายนั้น เค้าบอกว่าอยากเห็นว่าคนเชียงใหม่เขาเที่ยวกลางคืนกันแบบไหน “

บูมพูดยิ้มๆ และโบ้ยไปทางอลันซึ่งกำลังคุยอย่างออกรสออกชาติกับฆาเบียร์ด้วยภาษากวางตุ้ง

“งั้น พวกพี่ไปกับผมไหม? คืนนี้ผมนัดเพื่อนๆ ไปเที่ยวที่ผับ XXXX กัน พี่จำได้ไหม? ที่อยู่ใกล้ๆ คอนโดผมที่นิมมานฯ อ่ะครับ”

“อ๋อ จำได้ๆ พี่เคยไปอยู่สองสามครั้ง อืมม์ ไปที่นั่นก็ได้…”

บูมยกนาฬิกาขึ้นดู

“…ตอนนี้ก็เกือบๆ สามทุ่มแล้ว เจนัดเพื่อนไว้กี่โมงล่ะ?”

เจบอกญาติผู้พี่ว่าเขานัดเพื่อนไว้ราวๆ สี่ทุ่ม เพราะตอนแรกไม่แน่ใจว่าจะอยู่กับพวกบูมจนถึงกี่โมง พวกเขาตัดสินใจว่าจะไปนั่งรอที่ห้องเจจนกว่าจะถึงเวลา



“เข้ามากันได้เลยครับ ไม่ต้องเกรงใจ ตามสบายเลยนะครับ อยากดูทีวี เข้าห้องน้ำอะไร เชิญได้เลย”

เจเปิดประตูให้แขกทั้งสองที่ขับรถตามๆ เขามาจนถึงคอนโดเข้ามาในห้อง เขาชี้ทางไปห้องน้ำเล็กให้คนทั้งสองดูและไปยกน้ำท่ามาเสิร์ฟเสร็จสรรพ ตอนแรกคนตัวโตก็ทำท่าจะไปช่วยเจ แต่คนตัวเล็กบอกให้เขากลับไปนั่งคุยกับแขกเสีย

"พี่บูมครับ นี่เอกสารที่พี่ให้ผมเตรียมนะ"

เจหยิบซองเอกสารที่ทางสำนักงานทนายความที่พี่ชายทำงานอยู่ต้องการสำหรับการโอนหุ้น เขาลืมเอามันออกบ้านไปด้วยเพราะความเร่งรีบและคิดว่าอาจจะต้องให้ฆาเบียร์นำติดตัวไปฮ่องกงด้วย แต่เมื่อญาติผู้พี่ของเขาแวะมาที่ห้องเขาจึงถือโอกาสส่งมอบมันให้เสร็จสรรพ บูมและอลันตรวจดูความเรียบร้อยถูกต้องของเอกสารและเก็บมันกลับลงซองเอกสารเหมือนเดิม

"ขอบใจนะ เจ เดี๋ยวกลับไปแล้วพี่จะรีบจัดการเดินเรื่องให้เรียบร้อย ครับ ไม่น่าใช้เวลานานมากครับคุณฆาเบียร์"

เจบอกน้องชายและหันไปตอบคำถามของฆาเบียร์

“พวกพี่กลับไปนี่ต้องเริ่มทำงานเลยเหรอครับ?”

เจถามแขกทั้งสอง บูมถอนหายใจเฮือกใหญ่

“ทำงานเลยสิ หยุดไปตั้งหลายวันนี่งานกองสุมรอพี่อยู่กองเบ้อเริ่ม นายพี่ก็โหด ใช้งานเยี่ยงทาสจริงๆ “

ทนายหนุ่มปรายตามอง “เจ้านายใจโฉด” ที่นั่งทำหน้าเจื่อนอยู่ด้านข้าง

“โธ่ ที่รัก งานของฉันก็กองใหญ่ไม่แพ้กันนะ”

ทนายหนุ่มใหญ่โอดครวญพร้อมกับโอบไหล่บูมเข้าแนบกาย ญาติผู้พี่ของเจหัวเราะเบาๆ แล้วซบหน้าลงกับไหล่ของคนรัก เจยิ้มกริ่มมองพี่ชายที่หายขัดเขินและเริ่มแสดงความรักกับแฟนต่อหน้าเขา



“เจจ๊ะ มานี่หน่อยสิ”

คนตัวโตสะกิดคนรักและลุกขึ้นเดินหายเข้าไปในห้องนอน เจทำท่างงๆ เขาขอตัวและเดินตามฆาเบียร์เข้าไปในห้อง

“มีอะไรเหรอครับคุณ อื้อ อย่า...”

เจอุทานเบาๆ เมื่อคนตัวโตดึงร่างเขาเข้าไปกอดแนบอกและกดจูบลงอย่างหนักหน่วงลงบนริมฝีปากของเขา เจพยายามปิดปากแต่ก็ต้านทานลิ้นร้อนๆ ที่เลียไล้และพยายามสอดแทรกผ่านริมฝีปากที่ปิดสนิทของเขา หากสุดท้ายเจก็ต้องใจอ่อนและปล่อยให้คนตัวโตดูดดึงริมฝีปากและเรียวลิ้นของเขาอย่างกระหาย

“เห้อ ชื่นใจ ฉันอยากจูบเจมาตั้งแต่อยู่ที่ร้านขนมแล้ว แต่ก็เกรงใจพี่นาย”

ฆาเบียร์กระซิบแผ่วๆ ที่ข้างใบหูของคนรักพร้อมกับจูบคลึงเบาๆ ที่แก้มของเจ

“แล้วไม่เหม็นทุเรียนแล้วเหรอ หือ?”

เจแว๊ดเบาๆ และพยายามดันตัวออกจากวงแขนของคนที่ลวนลามเขา

“ไม่เหม็นเลยสักนิด หอม หอมไปหมดทั้งตัวเลยจ้ะ”

ฆาเบียร์จูบแผ่วๆ ที่ต้นคอขาวนวล กลิ่นน้ำหอมโปรดของเขายังคงอวลอยู่ตามจุดที่เจฉีดพรม ภาพริมฝีปากน้อยๆ ที่เปรอะชีสเมื่อครู่กระตุ้นอารมณ์เขาให้พลุ่งพล่านอย่างอดไม่ได้ ฆาบี้บดจูบที่ริมฝีปากคนรักอีกครั้ง แม้กลิ่นทุเรียนจะยังอวลอยู่ในโพรงปากของเจ แต่มันก็ไม่ได้ดับไฟในกายของเขา มัันกลับทำให้เขาฉกลิ้นเข้าไปพัวพันกับลิ้นของเจนยุทธ เจเหมือนจะขัดขืนในทีแรกแต่ในที่สุดก็โอนอ่อนผ่อนตาม เขาโอบแขนรอบคอคนรัก ฆาเบียร์รั้งร่างเพรียวเข้าใกล้จนได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นระรัว



“ฆาบี้ครับ ไม่ได้นะ มากกว่านี้ไม่ได้”

เจหอบกระเส่าและคว้ามือคนรักที่กำลังจะรูดซิปกางเกงของเขาลง เสื้อเชิร์ตของเขาถูกคนตัวโตแกะกระดุมออกจนหมดแล้วและเผยให้เห็นแผงอกเนียนที่ตอนนี้เปรอะไปด้วยรอยสีกุหลาบ คนตัวโตส่งสายตาเว้าวอนให้คนที่นั่งคร่อมอยู่บนตัก แต่เจส่ายหัวท่าเดียว ฆาเบียร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วดันเจให้ลุกขึ้นและตัวเองก็ลุกขึ้นจากเตียง

“งั้น เดี๋ยวฉันไปจัดการตัวเองแป๊บนึงนะ เจไปอยู่กับแพทริคเถอะ”

คนตัวโตเดินคอตกเข้าไปในห้องน้ำ เจเม้มปากและครุ่นคิดนิดหนึ่ง เขาเดินไปที่ประตูแล้วแง้มออกเล็กน้อย

“พี่บูมครับ งั้นเดี๋ยวผมขออาบน้ำแป๊บนึงนะ เชิญพวกพี่ตามสบายนะ”

บูมที่นั่งดูทีวีอยู่กับคนรักตอบรับกลับมาว่าโอเค เจงับประตูปิดแล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อหันมาเจอคนตัวโตยืนยิ้มเผล่อยู่ด้านหลัง เขาอุทานออกมาเบาๆ เมื่อถูกตาลุงหื่นของเขารวบเอวยกขึ้นจนตัวลอยและพาเดินเข้าห้องน้ำไป



“ที่รักของฉันใจดีจริงๆ “

ฆาเบียร์กระซิบเสียงกระเส่าที่ข้างหูของคนรัก เจเองก็หอบหายใจหนักๆ เนื่องด้วยเวลาจำกัด พวกเขาจึงใช้แค่มือให้ความสุขกับอีกฝ่ายอย่างเร็วๆ

“ไปหื่นมาจากไหนกันคุณ เมื่อกี้ก่อนออกห้องก็เพิ่งทำไป ไม่พออีกเหรอ อย่าฝืนสังขารนักสิครับ”

ฆาเบียร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงต้องการเจนยุทธตลอดเวลาแบบนี้ จริงอยู่ว่าเขามีอารมณ์และพลังทางเพศสูง แต่เขาก็ไม่เคยเจอใครที่ดึงดูดและกระตุ้นเร้าเขาได้ตลอดเวลาได้เหมือนเจ ตัวเจเองก็เหมือนจะตอบสนองกับอารมณ์ของเขาได้ไวและถูกเขากระตุ้นเร้าได้ง่ายเช่นกัน บางครั้งแค่การคิดถึงสัมผัสอันอ่อนโยนของอีกฝ่ายหรือได้สัมผัสเนื้อตัวกันเล็กๆ น้อยๆ หรือแค่จ้องตากันก็ทำให้พวกเขา “เครื่องติด” ได้แล้ว มันอาจเป็นเพราะความรู้สึกคะนึงหาที่พวกเขามีในระหว่างที่ต้องอยู่ห่างกัน ฆาเบียร์สะท้านใจเมื่อนึกถึงว่าพวกเขาจะต้องจากกันอีกครั้งในอีกไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงข้างหน้า



“…ผมรู้ว่าคุณน่ะฟิต ยังเตะปี๊บดัง แต่บางทีก็อดกลั้นไว้บ้างเถอะ ผมกลัวคุณจะน้ำหมดตัวตายก่อน อ๊ะ”

เจที่ยังบ่นไม่เลิกอุทานออกมาเบาๆ เมื่อถูกคนรักรวบตัวเข้าไปกอดแน่น เขากอดร่างใหญ่กำยำของคนรักไว้แน่นเช่นกันเมื่อสัมผัสได้ถึงอารมณ์อื่นที่กำลังก่อตัวขึ้นในใจของคนรัก พวกเขากอดกันนิ่งๆ อย่างนั้นครู่ใหญ่โดยไม่ต้องมีคำปลอบโยนใด เจลูบแผ่นหลังกว้างที่สะท้านน้อยๆ จนกระทั่งสงบลง

“เดี๋ยวผมจะบอกพี่บูมว่าคุณรู้สึกไม่ค่อยสบายแล้วคงไปกับพี่เขาไม่ได้แล้วดีไหม?”

เจถามคนรัก ฆาเบียร์เช็ดคราบน้ำตาบนหน้าแล้วส่ายหัวปฏิเสธ

“ไม่เป็นไรจ้ะ ฉันโอเคแล้ว”

“แต่ไหนๆ มันก็เป็นคืนสุดท้ายของคุณที่เชียงใหม่ คุณอยากอยู่ที่ห้องมากกว่าหรือเปล่า?”

เจพูดเบาๆ อย่างรู้สึกผิด เขาเองก็ลืมคิดไปว่าคนตัวโตอาจจะอยากใช้เวลากับเขาสองต่อสองมากกว่า

“ถ้าได้อยู่กับเจจะอยู่ที่ไหนก็เหมือนกันแหละ จะมีคนอื่นอยู่ด้วยก็ไม่เป็นไร”

เจพยักหน้ารับคำและไม่ซักถามต่ออีก คนตัวโตเอื้อมมือไปเปิดน้ำเพื่อชำระกายพวกเขา



(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-08-2018 12:47:15 โดย La Vida Sin Tu Amor »

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- "แน่ใจแล้วใช่ไหม?" (ต่อ) ----





“หายไปนานเลยนะครับ คุณมาร์ติเนซ ตัวเบาแล้วล่ะสิ”


อลัน วูแซวอดีตเพื่อนท่องราตรีของเขาอย่างรู้ทันด้วยภาษากวางตุ้ง ฆาเบียร์ด่ากลับเบาๆ ด้วยภาษาเดียวกัน ทนายหนุ่มใหญ่หัวเราะออกมาเมื่อเห็นใบหน้าแดงก่ำที่ฉาบไปด้วยแววเขินอายของคนตัวโต

“แล้วทำไมแต่งตัวแบบนี้ล่ะครับ ไหนคุณเจว่าจะพาเราไปเที่ยวคลับ ทำไมแต่งตัวจืดชืดแบบนี้ล่ะครับ คุณมาร์ติเนซ?”

คนรักของบูมขมวดคิ้วมองลูกชายของลูกความเขา ปกติเมื่อพวกเขาออกท่องราตรีด้วยกัน ฆาเบียร์มักมาในลุคนักธุรกิจสุดเนี้ยบ ไม่ก็ออกแนวแฟชั่นจ๋าโฉบเฉี่ยวไปทั้งตัว แต่วันนี้หนุ่มละตินร่างใหญ่กลับใส่เสื้อยืดเรียบๆ สีเขียวขี้ม้าที่มีลายการ์ตูนเล็กน้อยและสวมทับด้วยเสื้อเชิร์ตผ้าเนื้อบางแขนยาวลายตารางสีฟ้าปนแดงที่พับแขนขึ้นถึงข้อศอก ท่อนล่างเขาเป็นกางเกงชิโน่ขายาวสีเบจ ฆาเบียร์ถอนหายใจอย่างจนปัญญาแล้วบ่นขึ้นมาดังๆ

“จะทำไงได้ล่ะ อลัน ก็เจเขาจับฉันแต่งตัวแบบนี้”

“บ่นอะไรล่ะคุณ ก็เราตกลงกันไว้แล้ว คุณอยากให้ผมแต่งตัวตามใจคุณ คุณก็ต้องตามใจผมมั่งสิ อย่าลืมมัดผมกับใส่แว่นด้วย”

เจส่งเสียงออกมาจากในห้องนอน ฆาเบียร์ถอนหายใจอีกเฮือกใหญ่ เขารวบผมยาวสลวยปรกคอของเขาไว้หลวมๆ และหยิบแว่นสายตากรอบดำที่ปกติเขาใส่อ่านหนังสือหรือทำงานกับคอมพิวเตอร์ขึ้นมาสวม บูมและอลันมองหน้ากันแล้วก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ ฆาเบียร์ในวันนี้ดูเป็นหนุ่มเนิร์ดคงแก่เรียนไปแล้ว



“จะว่าไป แต่งตัวแบบนี้มันเหมือนยุคที่พวกเราเป็นนักศึกษาเหมือนกันนะครับ คุณมาร์ติเนซ”

“นายจะว่าฉันแต่งตัวเชยงั้นสิ อลัน”

ฆาเบียร์หัวเราะหึๆ เจบอกเขาว่าเขาอยากเห็นฆาบี้แต่งตัวเหมือนช่วงที่เขายังทำตัวเป็นโปรแกรมเมอร์สมัยเรียนจบใหม่ๆ เมื่อช่วงต้นสหัสวรรษ อลัน วูไม่ตอบและได้แต่หัวเราะ ฆาเบียร์โคลงหัวน้อยๆ แล้วหันกลับไปเรียกเจนยุทธ

“เอ้า นายก็ออกมาได้แล้ว เจ อย่าปล่อยให้ฉันเก้อล่ะ”

“เดี๋ยวน่า อย่าเร่งสิคุณ เฮ้ย ไม่เอา พี่บูม!”

เจโวยลั่นเมื่อพี่ชายเปิดประตูเข้ามาดันหลังเขาที่ทำท่าอิดออดไม่ยอมออกห้องให้ออกมา

“โอ๊ย เจ น่ารักอ่ะ”

บูมร้องออกมาเบาๆ เมื่อเห็นการแต่งตัวของน้องชาย เจยืนหน้าแดงเมื่อรู้สึกถึงสายตาที่จ้องมองมาของทั้งสามคน

“จะจ้องอะไรกันนักหนาอ่ะ”

เจเอ็ดเสียงดังเพื่อแก้เขิน ฆาเบียร์จับเขาแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่คล้ายกับในรูปที่ซันซันส่งให้เขาดูที่มาเก๊า เขาให้เจสวมเสื้อยืดแขนยาวคอปาดสีขาวตัวโคร่งของเขา มันเผยให้เห็นแนวไหปลาร้าที่มีรอยสีกุหลาบจางๆ ประทับไว้หลายรอย ส่วนท่อนล่างนั้น คนตัวโตไปรื้อหากางเกงยีนส์ขาสั้นทรงเบอร์มิวด้าตัวที่สั้นที่สุดของเจมา มันยาวพ้นชายเสื้อที่ยาวคลุมสะโพกลงมาอีกเพียงคืบเศษและเผยให้เห็นท่อนขาขาวเนียนแต่ก็มีกล้ามเนื้อแบบนักวิ่งของเจนยุทธ เจยัดชายเสื้อด้านหน้าใส่ในกางเกงและปล่อยชายด้านหลังให้ยาวออกมา มันทำให้เขาดูเหมือนเด็กน้อยก็ไม่ปาน ฆาเบียร์ยังให้เจใส่แว่นสายตาที่เจใส่เวลาทำงาน แถมยังจัดแต่งทรงผมของเจ้าตัวดีที่เริ่มยาวแล้วให้ลงมาปรกหน้าผากอีกด้วย



“อืมม์ พี่ว่ามันยังขาดอะไรไปนะ”

บูมยืนเอียงคอมองพ่อน้องชายที่โดนจับแต่งตัวจนดูเหมือนหนุ่มน้อย เขาดึงน้องชายให้ไปนั่งที่เคาเตอร์ครัวพร้อมกับเปิดโคมไฟด้านบนให้สว่าง บูมเปิดกระเป๋าแบบ clutch ยี่ห้อดังของเขาแล้วหยิบของบางอย่างออกมา เจตาค้างเมื่อเห็นตลับแป้ง อายไลน์เนอร์แบบดินสอและลิปแท่งน้อยในมือพี่ชาย

“เฮ้ย พี่บูม พี่พกของแบบนี้ด้วยเหรอ? พี่ เอ่อ พี่...”

เจทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก เขาหันซ้ายหันขวาแล้วกระซิบกระซาบกับพี่ชาย

“พี่แต่งหญิงด้วยเหรอ?”

“บ้า ไม่ใช่แบบนั้น เจ”

บูมหน้าแดงก่ำ เจ้าน้องชายตัวดีของเขาเข้าใจอะไรผิดไปใหญ่โตแล้ว

“แป้งนี่่ เขาทำมาเพื่อผิวผู้ชาย เป็นแป้งเนื้อ translucent ไม่มีสีและไม่ผสมรองพื้น อย่างถ้าไปเที่ยวกลางคืนพี่ก็จะทาบ้างให้หน้าดูผ่อง แถมมันยังช่วยคุมมันได้ดีด้วย ส่วนลิปนี่ก็เป็นลิปมัน”

บูมอธิบายไปพร้อมกับพลิกหน้าญาติผู้น้องซ้ายๆ ขวาๆ เพื่อดูผิว

“อืมม์ ผิวเราโอเคอยู่แล้ว รูขุมขนก็เล็ก แค่ลงแป้งก็โอเค เมื่อกี้เราทามอยซ์เจอไรเซอร์มาบ้างแล้วใช่ไหม?”

เจพยักหน้า ก่อนรู้จักฆาเบียร์เขาดูแลผิวหน้าตัวเองตามที่ผู้ชายทั่วไปทำกันคือใช้โฟมล้างหน้าและทาแค่มอยซ์เจอไรเซอร์ หากลืมทาก็ช่างมันไป นอกจากนั้นก็อาจจะมีแค่อาฟเตอร์เชฟหลังโกนหนวดและครีมทาตัวเมื่อรู้สึกว่าผิวแห้งในช่วงฤดูหนาว แต่หลังจากเมียตัวโตของเขามาอยู่ที่ห้องของเขาเป็นประจำแล้ว พ่อเจ้าประคุณก็ขยันขนสารพัดเครื่องประทินผิวมาทิ้งไว้ที่ห้อง แถมยังบังคับเขาให้ใช้ด้วยเช่นกันจนเจเริ่มติดเป็นนิสัย ที่ฆาเบียร์บังคับให้เขาใช้เพิ่มขึ้นทุกวันคืออายครีมและกันแดด ส่วนขั้นตอนอื่นนั้นเขาจะทำก็ต่อเมื่อพ่อเจ้าประคุณอยู่บ้านแล้วจับเขาทาไปพร้อมๆ กับตัวเองเท่านั้น ผลลัพธ์ที่ได้คือผิวหน้าของเขาดีขึ้นกว่าเดิมจนรู้สึกได้ชัด



"คนเหนือแท้ๆ นี่ผิวดีจริงๆ"

บูมพูดอย่างอิจฉาเล็กๆ ตัวทนายหนุ่มเองถึงจะมีพ่อเป็นคนเชียงใหม่เชื้อสายจีน แต่ผิวของเขาออกไปทางแม่ซึ่งเป็นคนภาคตะวันออกเสียมากกว่า​ เขาถอดแว่นของเจออกและตบแป้งเบาๆ ให้ทั่วหน้าของเจจนใบหน้าที่ดูสดใสอยู่แล้วของเจยิ่งดูกระจ่างใสขึ้นไปอีก เขาปัดๆ แป้งส่วนเกินออกแล้วยิ้มอย่างพอใจ มอยซ์เจอไรเซอร์ที่เจเพิ่งลงไปเมื่อหลังอาบน้ำเสร็จทำให้แป้งฝุ่นเนื้อบางเบาติดได้ดีพอสมควร

“นี่ถ้าได้ลงพวกบีบีครีมกับคอนซีลเลอร์อะไรปิดรอยใต้ตาก็จะยิ่งดูหน้าใสขึ้นไปอีกนะ แต่พี่ไม่ได้พกมาด้วย ก็แค่นี้ก่อนแล้วกัน เอ้าทีนี้ หลับตา”

บูมสั่ง เจหันหน้าไปหาสองหนุ่มต่างชาติและส่งสายตาเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ทั้งสองก็ทำเมิน

“แพทริค จัดการเต็มที่เลยนะ ฉันอนุญาต”

ฆาเบียร์ส่งเสียงตอบกลับมาอย่างอารมณ์ดี เจจำใจต้องหลับตาให้พี่ชายใช้อายไลเนอร์แบบแท่งขีดๆ เขียนๆ ที่ตา

“พี่บูม ปกติไปเที่ยวพี่ต้องเขียนตาด้วยเหรออ่ะ? มันจะไม่ดูสาวเหรอพี่”

เจส่งเสียงถามอ่อยๆ บูมหัวเราะเบาๆ แล้วบอกว่าเขาจะเขียนขอบตาบ้างในวันที่แต่งตัวมาเที่ยวแนวร็อคหน่อยๆ หรือวันที่รู้สึกว่าอยากให้ตาดูกลมโตและสดใสขึ้น

“พี่แต่งให้มันออกแนวเกาหลีๆ หน่อย ไม่ได้เขียนหนามากเป็นสโม้กกี้อายอะไรแบบนั้นหรอก แค่เน้นลากตรงหางตาให้ยาวออกมานิดนึงเหมือนมีขนตายาวๆ แค่นี้ก็ทำให้ดูตาโตขึ้นแล้ว เอ้า อ้าปาก”

เจทำตามโดยดีด้วยรู้ว่าขัดขืนอย่างไรก็คงไม่เป็นผล เขาอ้าปากกว้างจนบูมขำและต้องหัวเราะออกมา

“ไม่ใช่ให้อ้ากว้างขนาดนั้น เผยอปากน้อยๆ พอ เร็ว อย่าชักช้า สี่ทุ่มแล้วนะ”

เจหุบปากลงและปล่อยให้บูมใช้ลิปมันที่มีสีน้อยๆ ทาที่ปากของเขา เจเลียปากแผล่บๆ เมื่อรับรู้ถึงรสผลไม้ในลิปมันจนบูมต้องดุเขาเบาๆ เจหัวเราะแหะๆ และปล่อยให้พี่ชายทาลิปใหม่ให้อีกรอบ



"เสร็จแล้ว ลองดูกระจกซิ”

บูมส่งตลับแป้งของเขาให้เจส่องดูหน้าตัวเอง

“เออ มันก็ดูโอเคแฮะ ตอนนั้นที่พวกสาวๆ จับผมส่งเข้าประกวด ผมก็โดนจับแต่งหน้างี้ แต่มันออกมาดูขาวเกินแล้วก็ซ้าวสาวกว่านี้อีกเยอะเลยอ่ะ”

เจเมียงมองดูตัวเองในกระจก เขาไม่ได้ดูหน้าเด้ง ตาเข้ม ปากมันวาวเหมือนคราวที่โดนจับขึ้นเวทีคราวนั้น หน้าตาของเขาวันนี้แม้ดูจะผ่านการแต่งเติมมา แต่ก็ยังอยู่ในระดับที่เป็นการแต่งเพื่อเสริมบุคลิกเท่านั้น

“สาวๆ เขาคงแต่งจัดตามความเคยชินของเค้าน่ะ ว่าแต่ประกวดอะไรเหรอ?”

ญาติผู้พี่ของเจถามพลางเก็บของลงกระเป๋า เจอ้ำๆ อึ้งๆ แต่สุดท้ายก็ยอมเล่าให้บูมฟัง หากเขาไม่ได้เล่าไปจนถึงเหตุการณ์วุ่นๆ ที่เกิดขึ้นภายหลัง

“อ๋อ คุณฆาเบียร์เขาเลยอยากเห็นเราแต่งตัวแบบนั้น เข้าใจละ”

ทนายหนุ่มหัวเราะเบาๆ เขาดึงมือน้องชายเดินกลับไปที่โซฟา

“พาเด็กกลับมาส่งแล้วครับ คุณฆาเบียร์”

ฆาเบียร์ลุกขึ้นยืนและรับมือเรียวของเจมาเกาะกุมไว้ เขามองใบหน้าที่ผ่านการแต่งเติมของคนรักอย่างหลงใหล และดึงแว่นของเจออก

“แบบนี้เห็นตาสวยๆ ของนายชัดกว่านะ”

ฆาเบียร์พูดยิ้มๆ เขาจ้องลึกเข้าไปในดวงตากลมโตของคนรักที่วันนี้ยิ่งดูหวานซึ้งขึ้นไปอีกเมื่อผ่านการแต่งแต้ม

“ไม่เอาๆ เดี๋ยวลิปหาย”

เจร้องลั่นและรีบดันตัวคนรักซึ่งขยับใบหน้าเข้าใกล้เขาออก

“ตามสบายครับ คุณฆาเบียร์ เดี๋ยวผมเอาลิปมันแท่งนั้นทิ้งไว้ให้”

เจยิ่งหน้าแดงก่ำเมื่อได้ยินเสียงกระเซ้าของพี่ชาย ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ อย่างถูกใจ หากเขาก็ไม่ได้รุกเร้าคนรักต่อ และทำเพียงแค่ใช้ริมฝีปากสัมผัสกลีบปากนุ่มคู่นั้นเบาๆ เท่านั้น

“อืมม์ รสเชอรี่สินะ ไว้ฉันจะขอมาชิมต่อตอนดึกนะ”

ฆาเบียร์กระซิบข้างหูเจก่อนจะเดินยิ้มกริ่มกลับไปหาคู่รักที่ทำคอยืดคอยาวคอยดูพวกเขาทั้งสอง เจเดินตุปัดตุป่องกลับมาหาญาติผู้พี่ของเขา แต่ก่อนที่เขาจะทันบ่นอะไรเสียงเรียกเข้าจากมือถือของเขาก็ดังขึ้น



“ไอ้เจ สี่ทุ่มกว่าแล้ว มึงกับป๋าจะมาอยู่ป่าววะ?”

เสียงห้าวๆ ของปรินซ์ดังลอดออกมาจากโทรศัพท์ เจใจหายแว๊บและก้มดูนาฬิกา

“ตายห่าน เลทขนาดนี้แล้ว? พวกกูกำลังแต่งตัวว่ะ เดี๋ยวจะเข้าไปแล้ว”

เพื่อนของเขาบ่นมาอีกยืดยาวและเร่งให้เจนยุทธรีบมา เจรับคำแล้ววางสาย เขาบอกคนอื่นว่าเพื่อนของเขาโทรมาเร่งแล้ว

“งั้น พวกเราไปกันเลยไหม?”

เจถามสมาชิกที่เหลือ อลันหันไปคุยกับบูมเบาๆ เป็นภาษากวางตุ้ง บูมตอบกลับมาและหันไปถามบางอย่างฆาเบียร์ด้วยภาษาเดียวกัน เจทำตาปริบๆ เขาไม่เคยรูัว่าพี่ชายพูดภาษานี้ได้ ฆาเบียร์เองก็มีทีท่างงเช่นกันเพราะโดยปกติแล้วถ้าเจอแพทริค เขาจะใช้แค่ภาษาอังกฤษด้วยเท่านั้น เขาหันไปพยักหน้าและตอบคำถามของบูมด้วยภาษาเดียวกัน

"พี่คุยกับอลันน่ะ ว่าเดี๋ยวจะขอเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องเจก่อน ไหนๆ พวกนายก็แต่งตัวเตรียมไปสนุกกันเต็มที่แล้ว พี่ก็ว่าจะเปลี่ยนชุดไปด้วยเลย ขอเวลาไม่เกินสิบห้านาที"

บูมหันมาบอกน้องชายซึ่งเป็นคนเดียวที่ไม่เข้าใจในสิ่งที่พวกเขาคุยกัน​ เขาบอกเจว่าเขาเตรียมเสื้อผ้าชุดเที่ยวกลางคืนติดมาด้วยเผื่อว่าจะได้ออกไปไหนต่อ



"งั้น เดี๋ยวผมไปหาพวกเพื่อนๆ ผมก่อน ไม่งั้นให้มันรอนานแล้วจะโดนมันบ่นเอา ฆาบี้ คุณอยู่รอกับพวกพี่ๆ เขาก่อน จะได้ไปหาผมถูกที่ ผมจะนั่งอยู่โต๊ะเดิมหน้าห้องแดนซ์นะ"

เจใส่รองเท้าผ้าใบสีขาวของเขาแล้วเปิดประตูหน้าห้อง ฆาเบียร์ก้าวพรวดเข้ามาจับแขนคนรักไว้

"เดี๋ยวก่อน เจ"

คนตัวโตทำหน้าจริงจัง

"นายระวังตัวด้วย อย่าพึ่งเข้าไปโซนเต้น ต้องรอฉันก่อนนะ"

เจยิ้มหวานให้คนรักของเขา เขารู้ว่าฆาเบียร์คงอดนึกถึงเหตุการณ์ที่เคยเกิดกับเขาเมื่อหลายปีทีแล้วไม่ได้

"ไม่เป็นไรน่า ผมจะไม่รับอะไรจากคนแปลกหน้า โอเคนะครับ? ผมไปก่อนนะ"

"เดี๋ยว รอแป๊บนึงนะ"

คนตัวโตรีบเดินกลับเข้าไปในห้องและกลับออกมาพร้อมต่างหูของแม่เขาในมือ หลังจากเจรู้มูลค่าที่แท้จริงของมัน เขาก็เอามันเก็บเข้าตู้เซฟตู้ใหม่ที่ใหญ่และแน่นหนากว่าเดิม เขาจะหยิบมันออกมาใส่ยามคิดถึงคนรักและเมื่อฆาเบียร์กลับมาที่เชียงใหม่เท่านั้น หากเมื่อสักครู่เขาง่วนอยู่กับการจับฆาเบียร์แต่งตัวจนลืมใส่มันไปเสียสนิท

"อย่าลืมสิจ๊ะ"

คนตัวโตบ่นเบาๆ และใส่ต่างหูเพชรสีน้ำเงินเข้มนั้นให้คนรัก เจยิ้มน้อยๆ แล้วเขย่งตัวขึ้นจุ๊บปากเมียตัวโตเขาเบาๆ ก่อนที่จะเดินออกห้องไป



"อื้อหือ ไอ้เจ อะไรสิงมึงให้แต่งตัวแบบนี้มาวะ แล้วนี่มึงเขียนตาทาลิปด้วยเหรอ? ชิบแล้ว เพื่อนกรูแตกสาวซะแล้วเว้ย"

ซันซันแซวเพื่อนที่แต่งตัวน่ารักน่าเอ็นดูตามประสาผู้ชายปากเปราะ เจยกมะเหงกขึ้นเขกกบาลเพื่อนตัวดีดังโป๊ก

"นี่แน่ะ ไม่ต้องมาแซวเลย ไอ้ซัน มึงนั่นแหละ ตัวดี เสือกส่งรูปไปให้ฆาบี้ดู ซวยกูเลย"

เจกระแทกกายลงนั่งพร้อมทำหน้าคว่ำ

"รูปอะไรวะ? อ๋อ! "

ซันซันทำท่านึกขึ้นมาได้แล้วหัวเราะออกมาดังลั่น ปรินซ์ซึ่งไม่ได้รู้เรื่องราวด้วยก็ถามซันซันด้วยท่าทางงงๆ เขาหัวเราะออกมาดังลั่นเช่นกันเมื่อเพื่อนตี๋อ้วนเล่าให้เขาฟัง

"ป๋าบังคับให้มึงแต่งตัวเหมือนวันนั้นเหรอวะ? ฮ่าๆๆ กูว่ามันก็เหมาะกับมึงดีนะจ๊ะ น้องเจ หรือจะให้กูเรียกว่าน้องเจนี่ดี คืนนี้กลับบ้านกับพี่ไหมจ๊ะน้องเจนี่ สวยๆ แบบนี้ถึงมีงูพี่ก็ไม่ขัด"

ปรินซ์พูดกลั้วหัวเราะ เขาแซวเพื่อนรักแบบไม่ได้คิดอะไร หากเจชักสีหน้าทันที

"เฮ้ย ไม่ขำเว้ย ห่านนี่ ลองมึงเรียกกูน้องเจนี่อีกทีกูต่อยมึงปากแตกแน่ ปรินซ์"

เจทำเสียงแข็งใส่เพื่อนตัวล่ำของเขา ปรินซ์ชะงักเมื่อได้ยินน้ำเสียงจริงจังจากปากของเพื่อนสนิท

"เฮ้ย ล้อเล่นนิดเดียว อย่าโกรธสิ"

หนุ่มลูกร้านทองหน้าเจื่อน นานๆ ทีเขาจะได้ยินเจทำเสียงเข้มใส่แบบนี้หน เจซ่อนยิ้ม อันที่จริงเขาไม่ได้เคืองอะไร แต่เขาอยากให้เพื่อนได้รู้ว่าการล้อเล่นแบบนี้มันไม่ใช่สิ่งดีนัก



"มึงต้องระวังปากมั่งนะ ไอ้ปรินซ์ ยิ่งถ้าฆาบี้อยู่ด้วย จะมาแซวเรื่องพวกนี้มากเหมือนสมัยก่อนไม่ได้แล้ว เมื่อก่อนกูก็พูดเล่นไปทั่ว แซวไอ้ตั้ม แซวพวกเจ๊ๆ ที่คณะ แต่พอตัวเองมาอยู่ทางนี้บ้าง โดนคำพูดพวกนี้เข้ากับตัว มันทำให้รู้ว่าไอ้ที่เราเคยมองว่าขำๆ น่ะ มันไม่ขำว่ะ..."

เจถอนหายใจเฮือกใหญ่และทำหน้าสลด ปรินซ์ยิ่งหน้าจ๋อย

"เฮ้ย กูขอโทษจริงๆ ว่ะ กูจะไม่เล่นแบบนี้อีกแล้ว"

"มึงก็ปากหมาจริง ไอ้ปรินซ์ สงสารไอ้เจมันมั่ง"

ซันซันที่นั่งฟังอยู่หันไปตบไหล่เพื่อนสมัยเด็กของเขาป้าบใหญ่ ปรินซ์คลำไหล่ตัวเองป้อยๆ เขาอยากบ่นว่าซันซันเองก็แซวเจในตอนแรกเหมือนกัน แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรมากเพราะรู้ว่าตัวเองผิด

"เจมึงจะดื่มอะไร เดี๋ยวไปกับกูนิ ปรินซ์มึงอยู่เฝ้าโต๊ะไป"

ซันลุกขึ้นยืนและชวนเพื่อนของเขา แต่เจปฏิเสธแล้วบอกว่าเขาจะอยู่รอฆาเบียร์ก่อน

"มึงไปก่อนแล้วกัน ซันซัน กูฝากซื้อเบียร์ขวดนึงเหมือนทุกที เครนะ?”

เจฝากเงินไปกับซัน และหันกลับมาหาเพื่อนตัวล่ำของเขา



"เจ อย่าโกรธกูนะ กูขอโทษจริงๆ"

ปรินซ์ยกมือขอโทษเพื่อนเขาเป็นรอบที่สาม เจยิ้มบางๆ ให้เพื่อนตัวล่ำของเขา

"กูก็ไม่ได้โกรธอะไรหรอก แค่อยากให้มึงรู้ว่าพูดแบบนี้มันไม่ดี..."

เขายิ้มกริ่มก่อนจะพูดประโยคถัดไป

"...แล้วไหนๆ อีกไม่นานมึงเองก็จะมาเป็นคนทางนี้ด้วยแล้ว ยิ่งไม่ควรพูดแบบนี้ใหญ่ ใช่ไหมเพื่อน?"

เจตบไหล่หนุ่มลูกร้านทองที่นั่งตะลึงอยู่เบาๆ ปรินซ์หน้าแดงก่ำขึ้นมาทันทีเมื่อเข้าใจความนัยของเจนยุทธ เขาหันซ้ายหันขวาดูไปรอบๆ ตัวอย่างกังวล

"ไอ้ซันมันยังไม่มาหรอก คืนนี้ข้างในคนเยอะ คงอีกสักพัก ไหน มาคุยกันหน่อยซิ เรื่องมึงกับไอ้ซันซัน ตกลงมันอะไรยังไง?"

ปรินซ์ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ตั้งแต่ช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา เจก็เริ่มส่งสัญญาณแล้วว่าเริ่มระแคะระคายความรู้สึกของเขาที่มีต่อเพื่อนในวัยเด็กคนนี้



"ก็อย่างที่มึงเข้าใจน่ะ ไอ้เจ เมื่อก่อนกูยังไม่ค่อยแน่ใจ แต่ในวันนี้กูมั่นใจแล้ว แต่ก็แค่...แค่..."

หนุ่มลูกร้านทองถอนหายใจออกมาอีกครั้ง เจตบไหล่เพื่อนเบาๆ ด้วยความเข้าใจ

"มึงนี่น้า ทีกับพวกดอกไม้ริมทางล่ะพูดหวานด้วยได้เต็มที่ ไอ้คำว่ารักอย่างนั้น ชอบอย่างนี้ พูดออกมาได้ง่ายๆ แต่ทีกับตัวจริงล่ะกลับไม่กล้า"

เจบ่นเบาๆ ในอดีตปรินซ์เองก็คบสาวๆ มาไม่ซ้ำหน้าเหมือนกับเขา แต่ที่ต่างจากเจคือเขาพร้อมบอกรักกับทุกคนเพื่อแลกกับความสัมพันธ์

"มันพูดง่ายทำยากว่ะ ทุกวันนี้กูก็พยายามแสดงให้มันเห็นแล้ว แต่ไม่รู้มันจะซื่อบื้ออะไรได้ขนาดนั้น"

เจยิ้มออกมาเมื่อเห็นใบหน้าสุดเซ็งของเพื่อนหนุ่ม เขาอดนึกถึงเรื่องดอกกุหลาบที่นพเล่าให้เขาฟังไม่ได้ เจพยายามกลั้นหัวเราะแต่ในที่สุดก็ทนไม่ได้

"เออๆ หัวเราะเข้าไป พี่นพเล่าให้มึงฟังแล้วสิ"

ปรินซ์พูดอย่างระอาเมื่อเห็นเพื่อนรักหัวเราะจนตัวงอไปงอมา



"กูขอโทษจริงๆ ว่ะ ปรินซ์ ฮ่าๆๆ กูอดไม่ได้จริงๆ อะไรมันจะซื่อบื้อขนาดนั้น"

เจเช็ดน้ำตาป้อยๆ

"เออ สิ มันยังมีหน้าเอาเบอร์สาวมาให้กูอีก แล้วยังมาถามยิกๆ ด้วยนะ ว่าโทรไปไหม? ได้กินไหม? คิดว่ากูจะโทรไปเหรอ? เหอะๆ"

ตี๋หนุ่มแค่นหัวเราะออกมาอย่างเซ็งอารมณ์ เจตบไหล่เพื่อนอีกครั้งเพื่อปลอบใจ

"เอาน่ะ คราวหน้ามึงค่อยหาโอกาสเหมาะๆ ใหม่ แต่ว่าก็ว่าเถอะ ถ้ามึงยังกั๊กๆ ไม่แสดงทีท่าให้ชัดเจนออกไป อย่างไอ้ซันมันคงไม่รู้ตัวหรอก ที่มึงมาคอยหยอด คอยแหย่มันอย่างที่ทำทุกวันนี้น่ะ มันไม่เก็ตหรอก เชื่อกูเหอะ"

ปรินซ์นั่งคอตก ทำไมเขาจะไม่รู้ แต่เขาก็ยังกลัวว่าหากเขาพูดออกไปแล้วซันซันไม่ได้คิดตรงกันกับเขา ความสัมพันธ์เกือบสามสิบปีของพวกเขาก็อาจจะต้องขาดสะบั้นลงก็ได้ เจลอบถอนหายใจ เขาดูออกว่าเพื่อนของเขาคิดอะไรอยู่

"...แต่ถ้ามึงยังมีความสุขที่จะแค่ได้อยู่ข้างมันแบบนี้ไปเรื่อยๆ มึงก็ไม่ต้องบอกหรอก แต่มันก็ต้องแลกกับเรื่องแบบห้าปีที่แล้วนะ"

เจพูดถึงเหตุการณ์ที่ทำให้ชีวิตของเพื่อนหนุ่มตัวล่ำของเขาต้องผิดเพี้ยนไปพักหนึ่ง หนุ่มลูกร้านทองขบกราม นั่นคือสิ่งที่ทำให้เขายังคิดไม่ตก แต่ก่อนที่เขาจะทันพูดตอบอะไรออกไป เจก็เอานิ้วแตะที่ริมฝีปากตัวเองเป็นเชิงบอกให้เขาเงียบไว้ก่อน



(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-08-2018 12:47:51 โดย La Vida Sin Tu Amor »

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- "แน่ใจแล้วใช่ไหม?" (ต่อ) ----




"เอ้า ไอ้เจ นี่เบียร์มึง เอาไป"

เสียงสดใสของตี๋อ้วนลูกร้านเพชรดังขึ้นทางด้านหลัง เขายื่นขวดเบียร์ที่ถือไว้ในมือให้เจนยุทธ ปรินซ์สะดุ้งโหยงเมื่อรู้สึกเย็นวาบที่ต้นคอ เขารีบหันหลังกลับไปหาเพื่อนวัยเด็กที่ยืนทำหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้งอยู่เบื้องหลัง

"ทำสะดุ้งไปได้ เอ้า นี่ ของมึง กูอุตส่าห์ใจดีเลี้ยงนะ"

ซันซันยื่นเบียร์ในมืออีกขวดส่งให้เพื่อนรักของเขาและลงนั่งเคียงข้าง ทั้งสามคนยกขวดเบียร์ในมือชนกันเบาๆ ก่อนยกขึ้นดื่ม

“ฮ้า ชื่นใจ..."

เจทำท่าฟิน เบียร์เย็นเฉียบก็ทำให้เขารู้สึกสดชื่นได้เสมอ แม้อากาศจะยังเย็นๆ อยู่อย่างในคืนวันนี้ เขาทำท่านึกอะไรขึ้นมาได้

"เออ วันนี้พวกมึงก็อย่าเมาเรื้อนกันมากนักนะ พี่บูมญาติกูกับแฟนเขาจะมาด้วย ทำตัวเรียบร้อยกันหน่อยนะ"

“พี่บูม? คนไหนนะ? ลูกอาพิมปากม้าอ่ะเหรอ?”

ซันซันถามขึ้น เจสะดุ้งและดุเพื่อนเบาๆ

“เฮ้ยๆๆ มึงนี่ ชู่ว์…”

เจนยุทธโคลงหัวน้อยๆ แล้วรีบมองซ้ายมองขวาดูเพื่อให้แน่ใจว่าพี่ชายของเขายังมาไม่ถึง​

“…ตอนนี้กูกับอาพิมสงบศึกกันแล้ว ฉะนั้นก็อย่าไปพูดถึงแกเสียๆ หายๆ เลยว่ะ”

“เห้ย ได้ไงอ่ะ? ดูทีท่าแกออกจะไม่ยอมเลิกง่ายๆ ”

ปรินซ์ถามอย่างสงสัย พวกเขาได้รับฟังเรื่องนี้จากเจมาหลายปีดีดักแล้ว

“เดี๋ยวพวกมึงเห็นก็จะรู้เองน่า พอๆ รูดซิปปากกันได้แล้ว มากันนู่นแล้ว”



เจนยุทธชี้มือไปที่คนกลุ่มหนึ่งซึ่งกำลังเดินขึ้นบันไดหน้าร้านเข้ามา

"เฮ้ย ทำไมวันนี้ป๋ากูมาลุ้คนี้วะ?"

เพื่อนตัวล่ำของเจขมวดคิ้ว สำหรับเขาแล้ว ฆาเบียร์แต่งตัวเหมือนหลุดมาจากหนังวัยรุ่นยุคต้นศตวรรษ เจหัวเราะหึๆ

"ก็อยากจับกูแต่งตัวแบบนี้นัก ก็ต้องแลกกันหน่อยล่ะวะ"

เจโบกไม้โบกมือให้พี่ชาย เขาแอบกวาดสายตาดูพี่ชายและคนรักที่จัดการแต่งองค์ทรงเครื่องเสียใหม่ สำหรับอลันแล้ว ด้วยวัยและความเคยชิน เขาจึงแค่สวมเสื้อเบลเซอร์เนื้อบางสีน้ำตาลทับเสื้อเชิร์ตคอวีสีครีมและกางเกงยีนส์ทรงสวยที่ใส่มาในตอนแรก แต่สำหรับพี่ชายของเขานั้น การแต่งกายของบูมทำให้เจถึงกับอ้าปากค้าง ทนายหนุ่มแต่งตัวด้วยลุ้คที่เขาแต่งเป็นประจำยามออกท่องราตรีที่กรุงเทพฯ เขายังใส่ยีนส์สกินนี่สีเทาตัวเดิมจากเมื่อตอนไปกินข้าว หากท่อนบนนั้นเขาเปลี่ยนไปใส่เสื้อยืดสีดำกับเสื้อหนังแบบไบเกอร์สีเดียวกันที่เจรู้สึกว่าดูคุ้นตา หากสิ่งที่ทำให้ทนายหนุ่มดูเปลี่ยนไปจากเมื่อตอนเย็นโดยสิ้นเชิงคือใบหน้าของเขา

"หูย พี่บูม เฟี้ยวสุดๆ ปกติพี่แต่งแบบนี้ไปเที่ยวเหรอ?"

เจร้องออกมา นอกจากเสื้อผ้าที่ดูโฉบเฉี่ยวและทรงผมที่จัดแต่งให้ชี้ตั้งขึ้นแล้ว พี่ชายของเขายังได้จัดการแต่งแต้มใบหน้าของตนด้วยเครื่องสำอางจนใบหน้าดูผ่องใส หากส่วนที่โดดเด่นที่สุดบนใบหน้าคือดวงตา บูมใช้อายไลเนอร์เขียนขอบตาทั้งบนและล่างจนเด่นชัด ญาติผู้พี่ของเจในคืนนี้ดูเหมือนดาราร็อคสักคนเลยก็ไม่ปาน

"อย่าจ้องสิ พี่เขินนะเจ"

ทนายหนุ่มยิ้มเขินๆ ขัดกับลุคแสนโฉบเฉี่ยวของเขา เจมองสำรวจพี่ชายของเขาขึ้นๆ ลงๆ ถึงเสื้อผ้าของบูมจะแลดูดุดัน แต่เขากลับรู้สึกว่าพี่ชายของเขานั้นดู "เปรี้ยว" เหลือเกิน



"จะตะลึงอะไรนักหนา หือ? ให้สองคนนี้นั่งก่อนแล้วนายค่อยจ้องต่อก็ได้นะ"

ฆาเบียร์ซึ่งทักทายเพื่อนๆ ของเจเสร็จสะกิดคนรักของเขา เจนยุทธหันไปหัวเราะแหะๆ ให้ฆาบี้แล้วจัดการขยับขยายหาที่นั่งให้พี่ชายของเขาและคนรัก

"เอ่อ คุณวู พี่บูมครับ นี่ปรินซ์กับซันซันเพื่อนของผมครับ"

บูมรับไหว้เพื่อนทั้งสองของเจ ส่วนอลันก็ทำตามคนรักของเขา เจหันไปแนะนำคนทั้งสองให้เพื่อนของเขาต่อ

"...นี่พี่บูม ลูกพี่ลูกน้องกู ตอนนี้พี่บูมทำงานอยู่ที่ฮ่องกง แล้วนี่คุณวู เอ่อ คุณอลัน วู เป็นคนฮ่องกงแล้วก็เป็น เอ่อ..."

เจอ้ำๆ อึ้งๆ เขาดันหลุดปากบอกเพื่อนของเขาไปเสียแล้วว่าพี่ชายจะมาพร้อมกับแฟน แต่ตอนนี้เขาไม่แน่ใจว่าพี่ชายจะยอมให้แนะนำอลันในฐานะอะไร ในที่สุดเขาตัดสินใจเลือกหนทางที่เซฟกว่า

"...เป็นเจ้านายของพี่บูมที่ฮ่องกงน่ะ แล้วพวกมึงรู้อะไรไหม? คุณวูเค้ายังเป็นทนายให้กับบริษัทอาปาของฆาบี้ด้วยนะ โลกกลมจริงๆ เลย"

เจหันเหความสนใจของเพื่อนทั้งสองไปที่เรื่องอื่นแทน สองหนุ่มก็พยักหน้าหงึกหงักรับคำและจับมือทักทายกับผู้มาเยือนทั้งสอง เจเปิดเหล้ามาขวดหนึ่งเพื่อเลี้ยงพี่ชายของเขาและสมาชิกคนอื่นๆ การสนทนาในวงสุราเป็นไปอย่างสนุกสนานโดยมีฆาเบียร์และเจเป็นตัวประสาน​



"มึงๆ ไหนว่าแฟนพี่บูมมาด้วยไง กูอยากคุยกับสาวๆ มั่งอ่ะ ทั้งวงมีแต่ผู้ชายนี่มันแห้งเหี่ยวหัวใจพิกล"

ซันซันโอดครวญขึ้นเป็นภาษาไทยด้วยความลืมตัว เขาลืมไปว่าญาติผู้พี่ของเจซึ่งพูดคุยกับทุกคนเป็นภาษาอังกฤษนั้นก็เป็นคนไทยคนหนึ่งเช่นกัน ปรินซ์รีบใช้ศอกกระทุ้งสีข้างเพื่อนแต่ก็ไม่ทัน เจทำตาโตเท่าไข่ห่าน เขาหน้าซีดและรีบหันไปดูปฏิกิริยาของพี่ชาย แต่ก็ต้องโล่งใจเมื่อเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของบูมที่เริ่มแดงระเรื่อน้อยๆ เพราะฤทธิ์เหล้า

"พี่นึกว่าเจบอกเพื่อนแล้วซะอีก"

บูมพูดยิ้มๆ เจทำหน้าจ๋อยและรีบขอโทษขอโพยพี่ชาย ซันซันเองก็ทำหน้าแหยๆ และยกมือไหว้ขอโทษบูมด้วย ทนายหนุ่มหันไปเล่าเบาๆ ให้ฆาเบียร์กับอลันซึ่งถามว่าเกิดอะไรขึ้น เจนยุทธยิ่งหน้าซีดเข้าไปใหญ่เมื่อคนรักของเขาส่งสายตาคาดโทษมาให้

"ไม่เป็นไรหรอกน่า พี่ก็ไม่ได้คิดจะปิดอะไรอยู่แล้ว..."

ญาติผู้พี่ของเจยกมือขยี้ผมน้องชายเบาๆ​ แล้วหันไปยิ้มให้กับเพื่อนน้องชายที่ยังทำท่างงๆ อยู่

"...ดีซะอีก พี่จะได้ไม่ต้องมานั่งแอ๊บท่าอะไรมาก ใช่ไหมครับ ที่รัก?"

บูมหันไปถามคนรักของเขา อลันยิ้มกว้างและโอบไหล่แข็งแรงของบูมและดึงเข้ามาอิงแอบแนบตัวแทนคำตอบ เพื่อนของเจทั้งสองทำตาปริบๆ พวกเขาหันไปมองหน้าเจซึ่งได้แต่หัวเราะแหะๆ

"พี่บูมกับคุณอลันเค้าเป็นแฟนกันน่ะ คบกันมาหลายปีละ แต่พี่บูมเพิ่งย้ายไปอยู่ฮ่องกงเมื่อปลายปีที่แล้ว และพี่บูมก็รู้จักฆาบี้อยู่แล้วเพราะอยู่ในทีมเดียวกับคุณวูที่ดูแลบริษัทของอาปาคริส แต่แค่ไม่รู้ว่าฆาบี้เป็นแฟนกู จุดไต้ตำตอดีไหมล่ะมึง?"

เจสรุปรวบเรื่องราวทั้งหมดให้เพื่อนฟัง สองหนุ่มมองหน้ากัน พวกเขาเข้าใจที่เจบอกว่าเขาสงบศึกกับอาพิมแล้ว มันคงมีสาเหตุมาจากการที่บูมรู้จักกับคนรักของเพื่อนเขาเป็นแน่แท้



"พวกเราเข้าไปเสียเหงื่อกันหน่อยดีไหม เสียงเพลงมันเร้าใจเหลือเกิน ฉันอยากขยับหน่อย"

ฆาเบียร์เอ่ยปากชวนคนอื่นๆ เขาไม่ได้ท่องราตรีแบบนี้มาสักพักแล้ว เสียงเพลงในชั่วโมงสุดท้ายก่อนผับเลิกช่างเร่งเร้าชวนให้เขาขยับร่างกายเหลือเกิน อลันลุกขึ้นยืนทันทีที่หนุ่มละตินร่างใหญ่ชวน ถึงอายุจะล่วงเข้ากลางสี่สิบ แต่ทนายหนุ่มใหญ่คนนี้ก็ยังเป็นหนุ่มเท้าไฟคนหนึ่ง เจหันไปชวนเพื่อนทั้งสองแต่ปรินซ์ปฏิเสธเพราะจะอยู่เฝ้าซันซันซึ่งเริ่มเมามากจนแทบฟุบแล้ว บูมถอดแจ็คเก็ตหนังตัวงามที่เขาใส่อยู่และส่งให้เจเพื่อคืนให้ฆาเบียร์

"ข้างในคนมันเยอะ พี่ไม่กล้าใส่เสื้อตัวละเกือบสองแสนไปเบียดกับคนน่ะ ฝากคืนคุณเขาด้วย"

เจหัวเราะเบาๆ เขาก็ว่าเสื้อตัวนี้มันดูคุ้นตาพิกล มันคือเสื้อหนัง Saint Laurent ตัวที่ฆาเบียร์ใส่มาในวันที่เล่นสวมบทบาทเป็นคนแปลกหน้ากับเขาที่ผับแห่งนี้เมื่อหลายเดือนมาแล้ว เมียตัวโตของเขาคงให้บูมที่มีความสูงไล่เลี่ยกันยืมใส่เพื่อสร้างลุคร็อคสตาร์แบบในคืนนี้

"เอ้า คุณ เอาคืนไปซะ เอ๊ะ เดี๋ยวๆๆ"

เจนยุทธรีบดึงเสื้อคืนจากคนตัวโตที่ทำท่ากระดี๊กระด๊าและเตรียมจะถอดเสื้อลายตารางที่เขาเห็นว่าแสนเชยออกเพื่อใส่เสื้อหนังแทน

"...ไม่เอา ห้ามเปลี่ยนเสื้อ ถ้าคุณถอด ผมถอดบ้าง โอเคไหม?"

เจทำท่าทีขึงขังและดึงชายเสื้อของตัวเองขึ้น ฆาเบียร์รีบตะครุบมือคนรักทันที

"จ้ะๆ ไม่เปลี่ยนก็ไม่เปลี่ยน ไปๆ เข้าไปข้างในกันดีกว่า"

ฆาเบียร์พูดเสียงอ่อยๆ เจใส่เสื้อยืดเนื้อบางตัวโคร่งของตัวเขาเพียงชั้นเดียวเท่านั้น ถ้าถอดออกก็แปลว่าเจนยุทธต้องเปลือยท่อนบนโชว์ผิวขาวผ่องของเขาให้คนทั้งร้านได้ดู ซึ่งเขายอมไม่ได้แน่นอน ฆาเบียร์จัดการฝากเสื้อหนังของเขาไว้กับปรินซ์ จากนั้นดึงร่างคนรักให้ลุกขึ้นและเดินนำแขกของพวกเขาเข้าไปด้านในห้องที่เต็มไปด้วยแสงสีและเสียงเพลง



"โอย เหนื่อยมากเลย พี่ไม่ได้ออกแรงเต้นสนุกๆ แบบนี้มาพักใหญ่แล้วนะเนี่ย"

บูมยิ้มร่าพร้อมปาดเหงื่อที่โทรมเต็มหน้า เขาและเจมานั่งพักที่บาร์ในห้องเต้นและปล่อยให้สองหนุ่มใหญ่เท้าไฟเต้นต่อ ทนายหนุ่มยกขวดเบียร์ในมือขึ้นดื่มอั่กๆ และบ่นว่าทั้งเขาและอลันยุ่งกับงานเอกสารกองโตมาตั้งแต่ต้นปีจนกระทั่งไม่มีเวลาออกตระเวนราตรีกันเลย

"จริงๆ นะ บางทีพี่ก็โคตรเบื่อเลย อยากหนีกลับไทยให้รู้แล้วรู้รอด แต่พอนึกไปนึกมา อยู่บ้านเรางานก็เยอะไม่ต่างกัน อยู่นู่นอย่างน้อยก็ยังมีอลันคอยอยู่ด้วยแถมเงินก็ดีกว่า"

บูมยกขวดในมือขึ้นกระดกอีก เจยิ้มแห้งๆ พี่ชายของเขาดูเหมือนเป็นคนละคนกับพี่บูมสุดเรียบร้อยเมื่ออยู่ต่อหน้าอาพิม เมื่อครู่ทนายหนุ่มซึ่งอยู่ในเสื้อกล้ามสีดำที่แนบไปกับรูปร่างแบบคนออกกำลังกายเป็นประจำของเขานั้นเต้นอย่างสุดเหวี่ยง แถมยังส่งเสียงร้องเพลงดังๆ ไปด้วย เขายังไม่อายที่จะแสดงความรักกับอลันแม้จะมีผู้คนจำนวนมากห้อมล้อม ทั้งคู่ยืนจูบกันอย่างดูดดื่มในมุมมืดของห้องไม่ต่างจากหนุ่มสาวอีกหลายคู่ที่อารมณ์เคลิบเคลิ้มไปเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์และเสียงเพลงที่เร้าใจ

"เอ่อ พอก่อนดีไหมพี่ คุณวูสั่งผมไว้ว่าอย่าให้พี่ดื่มเกินห้าแก้วน่ะ ถ้ารวมเบียร์ขวดนี้ก็ห้าแล้วนา"

เจห้ามพี่ชายเสียงอ่อยๆ เมื่อเห็นเขายกเมนูค้อกเทลที่วางบนบาร์ขึ้นดู บูมทำหน้าไม่สบอารมณ์ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสีหน้าที่เจไม่ค่อยได้เห็นนัก

"โอ๊ย ห้าแก้วเองน่า เจ นิดๆ หน่อยๆ เดี๋ยวคืนนี้พี่จะให้อลันขับรถกลับให้ ขอพี่อีกแก้วเถอะน่า เดี๋ยวกลับไปพี่ก็ไม่มีโอกาสได้สนุกแบบนี้อีกพักใหญ่เลยนะ"

ญาติผู้พี่ของเจโอดครวญอย่างน่าสงสาร

"แก้วเดียวจริงๆ นะ? อย่าเกินนะพี่"

"อือ แก้วเดียว โอเค๊?"

เจถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนที่จะมองหาน้องรหัสของเขา ตั้มรีบวิ่งมาหาพี่รหัสของเขาทันทีที่เจกวักมือเรียกพร้อมกับรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า

"ขอโทษจริงๆ ครับพี่เจ วันนี้ยุ่งมากเลย คนขาดด้วย เหลือที่บาร์แค่สองคน ผมเลยไม่ได้มาทักทายพี่เลย"

บาร์เทนเดอร์หนุ่มยิ้มละไมให้พี่รหัสของเขา

"วันนี้พี่มาคนเดียวเหรอ? แล้วแฟนพี่ล่ะ?"

ตั้มถามขึ้นด้วยใจหวัง เขาภาวนาให้เจตอบว่าเขาไม่ได้คบหาอยู่กับหนุ่มตะวันตกร่างใหญ่คนนั้นแล้ว

"เปล่าๆ ไม่ได้มาคนเดียว พี่..."



"เจ เราจะไม่แนะนำเพื่อนให้พี่รู้จักหน่อยเหรอ?"

บูมพูดแทรกน้องชายพร้อมกับมองตั้มอย่างสนใจ เขาพอจะดูออกว่าบาร์เทนเดอร์หน้าตาหล่อเหลาคนนี้ก็เป็นเกย์เหมือนกันกับเขา เจทำท่างงๆ แต่ก็แนะนำน้องรหัสให้พี่ชายได้รู้จัก

"เอ่อ พี่บูมครับ นี่ตั้มนะ มันเป็นน้องรหัสของเจตอนเรียนการโรงแรม มันชงเหล้าอร่อยนะ เคยไปประกวดได้รางวัลนั่นนี่มาเยอะแยะตั้งแต่ยังเรียนไม่จบด้วยนะ พี่อยากดื่มอะไรก็สั่งกับมันได้เลย..."

เจอวดน้องรหัสของตน บาร์เทนเดอร์หนุ่มหัวใจพองโตเมื่อได้รับคำชมจากคนที่ตนเองหมายปอง เขาลอบมองใบหน้าน้อยๆ ของเจที่วันนี้ดูผุดผ่องกว่าทุกครั้ง ไหนจะดวงตาที่ถูกแต่งแต้มน้อยๆ จนดูหวานซึ้งกว่าเดิม มันทำให้เขายิ่งนึกปรารถนาในตัวพี่ชายคนนี้ บาร์เทนเดอร์หนุ่มกวาดตาดูเสื้อผ้าที่เจใส่ในวันนี้แล้วก็อดใจเต้นไม่ได้ พี่รหัสของเขาช่างดูน่ารักไปทั้งตัวจนเขาอดยิ้มไม่ได้ เขายิ้มพลางฟังเสียงเจแนะนำชายหนุ่มหน้าตาดีแต่งตัวจัดที่ยืนเคียงข้าง

"...ตั้ม แล้วนี่พี่บูมนะ พี่เขาเป็น..."

"พี่เป็นแฟนเจครับ"

บูมพูดโพล่งออกมาหน้าตาเฉย ตั้มยิ้มค้าง ส่วนเจก็อ้าปากค้างเช่นกัน

"เฮ้ย พี่บูม เล่นอะไรอ่ะบ้าๆ อ่ะ เดี๋ยวไอ้ตั้มมันเอาไปฟ้องฆาบี้ว่าผมมากับหนุ่มอื่นล่ะผมซวยเลยนะ"

เจลืมตัวซัดผั่วะเข้าที่ต้นแขนของพี่ชาย เขาหันไประล่ำระลักพูดแก้ต่างกับน้องรหัสลั่น

"ไอ้ตั้ม พี่บูมเขาเป็นลูกพี่ลูกน้องกับกู ไม่ใช่ฟงแฟนอะไร กูกับฆาบี้ยังรักกันดีอยู่ โอเค๊? พี่บูม พี่นี่เมาแล้วรั่วเหรอ?"

เจหันไปบ่นพี่ชายของเขาอีก บูมซ่อนยิ้ม แม้เขาจะเริ่มเมากรึ่มๆ แล้วแต่ก็ไม่ได้รั่วอย่างที่เจคิด เขายังสังเกตแววตาของบาร์เทนเดอร์หนุ่มคนนั้นออก เขาเห็นสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความหวังเมื่อถามถึงคนรักของเจ สายตาแฝงแววปรารถนาที่โลมเลียไปทั่วร่างของญาติผู้น้องความรู้สึกช้าของเขา และสายตาผิดหวังและตกใจเมื่อเขาประกาศตัวว่าตัวเองเป็นแฟนของเจ และเหนือสิ่งใดคือสายตาที่แฝงแววเจ็บใจเมื่อได้ยินเจบอกว่าเขายังรักกันดีกับฆาเบียร์ จากสายตาเหล่านั้น เขาประมวลผลได้ว่าน้องรหัสของญาติผู้น้องเขาคนนี้คงไม่ได้คิดกับเจแค่เป็นพี่เป็นน้องกันแน่นอน



"แหมๆ พี่แกล้งหยอกเล่นนิดเดียวเองน่าไอ้ตัวดี ก็เห็นเราไม่ยอมตอบซักทีตอนน้องสุดหล่อเขาถามถึงคุณฆาเบียร์เขาน่ะ"

บูมพูดกลั้วหัวเราะเมื่อถูกเจนยุทธคาดโทษมาอีกครั้ง เจบ่นอุบอิบว่าเขากำลังจะตอบอยู่แล้วแต่โดนบูมขัดขึ้นก่อน บูมหัวเราะเบาๆ

"โอ๊ย แต่จริงๆ ต่อให้เจมันไม่ตอบ น้อง เอ่อ น้องตั้มใช่ไหม?..."

ทนายหนุ่มชะม้ายตามองบาร์เทนเดอร์หนุ่ม ตั้มพยักหน้ารับคำด้วยใจที่ห่อเหี่ยว หูเขาแทบไม่อยากฟังสิ่งที่หนุ่มหน้าคมเข้มคนนั้นพูดต่อแล้ว

"...พี่ว่าต่อให้เจไม่ตอบ น้องก็เห็นได้จากไอ้รอยพวกนี้แล้วว่าเจเขายังเลิฟๆ กับแฟนดีอยู่ ใช่ไหม? "

บูมยิ้มกริ่มพร้อมกับจิ้มๆ ไปที่เนื้อขาวๆ ที่โผล่พ้นคอเสื้อย้วยๆ ของญาติหนุ่ม เจมองตามนิ้วของพี่ชายแล้วก็ต้องหน้าแดงก่ำ พี่ของเขาหมายถึงรอยรักที่ฆาเบียร์ฝากไว้เต็มแผงอกของเขา

"พี่บูมอ่ะ อย่าแซวสิ ผมก็เขินเป็นนะเฟร้ย"

เจนั่งบิดไปบิดมาด้วยความเขินอาย บูมหัวเราะลั่นและแซวว่าเขาเบื่อพวกชอบโชว์อย่างเจและฆาเบียร์เต็มแก่แล้ว



"เอ่อ งั้นพวกพี่จะรับอะไรเพิ่มไหมครับ เดี๋ยวอีกประมาณครึ่งชั่วโมงบาร์จะปิดแล้ว"

บูมแอบยิ้มในใจเมื่อได้ยินน้ำเสียงซังกะตายของหนุ่มบาร์เทนเดอร์ เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมฆาเบียร์ถึงได้กระซิบให้เขามานั่งเป็นเพื่อนกับเจที่เคาเตอร์บาร์

"กูเอาเบียร์เหมือนเดิม ส่วนพี่บูม...?"

เจหันไปถามพี่ชาย

"พี่ขอแบล็ครัสเชี่ยนแล้วกันครับ"

เจทำตาปริบๆ ไอ้แก้วเดียวของพี่ชายเขานั้นคือค้อกเทลที่ใส่เพียงแค่ว้อดก้ากับคาห์ลัวเท่านั้นโดยไม่มีมิกเซอร์อื่นใด

"พี่บูมค้าบ พี่ไม่เมาแอ๋แน่นะ ถ้าเมาคุณวูเขาจะเคืองผมหรือเปล่าเหอะ?"

เจถามเสียงอ่อยๆ ทนายหนุ่มหัวเราะเบาๆ และไม่ตอบอะไร เขายกเบียร์ที่ยังเหลือติดก้นขวดเล็กน้อยขึ้นกระดกจนหมดและรอเครื่องดื่มแก้วต่อไป เจกระเดือกน้ำลายลงคอ คืนนี้เขาได้เห็นอีกโฉมหน้าหนึ่งของพี่ชายที่ไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นมาก่อน



"นี่ เจ พี่ขอถามอะไรหน่อยได้ไหม?"

แม้จะดูว่ามีอาการเมามาย หากญาติผู้พี่ของเจก็ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง

"เอ่อ ถามอะไรเหรอ พี่บูม?"

เจถามด้วยใจตุ้มๆ ต่อมๆ เขาไม่รู้ว่าบูมจะถามอะไรเขา เมื่อครู่เจทิ้งบูมที่ยังดื่มเครื่องดื่มไม่หมดไว้ที่บาร์เพื่อไปเดินไปตามหาฆาเบียร์และอลัน เขาพบว่าทั้งสองกลับไปนั่งที่โต๊ะแล้ว เจจึงเดินกลับมาที่บาร์เพื่อพาบูมที่เริ่มเมามากแล้วกลับไปที่โต๊ะ เมื่อมาถึง เขาก็พบว่าบูมได้สั่งเครื่องดื่มแรงๆ แก้วใหม่อย่าง Long Island Iced Tea มาอีกแก้วและดื่มไปกว่าครึ่งแล้ว เขาพยายามชวนบูมกลับไปที่โต๊ะ แต่บูมฉุดให้เขาลงนั่งและบอกว่าอยากคุยกับเขาเป็นการส่วนตัว

"พี่แค่อยากรู้ว่า เจแน่ใจแล้วใช่ไหม?"

เจเกาหัวแกร่กๆ

"เอ่อ แน่ใจเรื่องอะไรเหรอ พี่?"

"เรื่องที่เจจะเลิกชอบผู้หญิงแล้วหันมาเอาผู้ชายแทนน่ะ ในฐานะญาติ ในฐานะพี่ชาย พี่อยากรู้ว่าเจแน่ใจแน่แล้วใช่ไหม?"

เจถอนหายใจเฮือกใหญ่ นี่คือคำถามที่เขาก็ถามตัวเองอยู่เช่นกัน

"ถ้านั่นคือคำถาม คำตอบผมก็คือ ไม่ครับ พี่บูม ผมยังไม่แน่ใจ ไม่เลยสักนิด"




----------------------------------------------


เหมือนจะยิ่งเขียนยิ่งยาวไปอีกแล้ว ตัดชึ้บไปก่อนนะคะ คนเขียนยังไม่ได้ทำรูปของร้าน The Volcano เลย ก็ดูจากเพจร้านไปก่อนนะคะ ร้านนี้เป็นอีกหนึ่งร้านที่ขอแนะนำสำหรับคนที่มาเที่ยวเชียงใหม่ อยากให้ได้มากินชีสโทสต์ทุเรียนด้วยกัน มันเริ่ดมาก อร่อยมาก อ้วนมาาาากกกกกกกกค่ะ และในตอนนี้เขามีสินค้าใหม่ คือหมอนทองชีสโทสต์ คือเอาทุเรียนหมอนทองอย่างดีครึ่งพูใส่ลงไปเป็นไส้ขนมปังปิ้ง ราดด้วยน้ำกะทิ มีทั้งแบบใส่ชีสและไม่ใส่ชีส แต่โดยส่วนตัวแล้วชอบแบบทุเรียนโทสต์เฉยๆ มากกว่าเพราะว่าเขาบี้เนื้อทุเรียนใส่ลงไปในชีสด้วยเลย มันจะเข้ากันได้ดีกว่าค่ะ

FB ร้าน The Volcano นะคะ https://www.facebook.com/theVOLCANOtoast

ว่ากันด้วยเรื่องการแต่งหน้าของผู้ชาย ต้องออกตัวก่อนว่าคนเขียนเองขนาดเป็นผู้หญิงยังแทบไม่แต่งหน้าเลย และรู้สึกอะเมซซิ่งมากเมื่อเห็นหนุ่มๆ ลุกขึ้นมาแต่งหน้า กระแสนี้น่าจะเริ่มมาจากทางเกาหลีก่อนเนาะ ตอนนี้ลามไปถึงฝั่งยุโรปแล้วด้วย อันนี้หมายถึงแต่งในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่แบบดาราไปออกงานอะไรงี้นะคะ เมื่อลองหาๆ คลิปดูก็สรุปได้ว่าการแต่งหน้าของผู้ชายนั้นเน้นหนักไปที่การเตรียมผิวหน้าให้ดูใสกระจ่าง พรางรอยสิว จุดด่างดำและความไม่เรียบเนียนต่างๆ อาจมีการไฮไลท์ เฉดดิ้ง สร้างมิติเพิ่มด้วย คล้ายๆ กับการแต่งหน้าของสาวๆ แบบที่แต่งให้หน้าใสเหมือนไม่ได้แต่งนั่นแหละค่ะ ก็ยกตัวอย่างมาดังต่อไปนี้ค่ะ


คลิปนี้เคยเห็นนานมากแล้ว อัศจรรย์ใจมากค่ะ https://www.youtube.com/watch?v=bKzr2xtgBvw


จากพันทิปค่ะ นี่ก็แต่งออกมาดูดี คลิปทำเข้าใจง่ายดีด้วย https://pantip.com/topic/31029922

ตัวอย่างผลิตภัณฑ์แต่งหน้า ค่ายตะวันตก แต่ก็เคยได้ยินมาเหมือนกันว่าถ้าใช้ผลิตภัณฑ์แบรนด์ทางเอเชียจะเข้ากับผิวคนบ้านเราได้ดีกว่าค่ะ http://bit.ly/2MtoPBw


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-08-2018 12:48:23 โดย La Vida Sin Tu Amor »

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1




--- Another Night... ----




“ถ้านั่นคือคำถาม คำตอบของผมก็คือ ไม่ครับ พี่บูม ผมยังไม่แน่ใจ ไม่เลยสักนิด”




บูมอึ้งเมื่อได้ยินคำตอบจากปากของน้องชาย เขาขมวดคิ้วด้วยความกังวล

“เจ แล้วนี่...”

“ฟังก่อนครับ พี่...”

เจขัดขึ้น

“ถ้าคำถามของพี่คือ ผมแน่ใจที่จะตกลงปลงใจเลือกผู้ชายมากกว่าผู้หญิงหรือไม่ คำตอบของผมคือผมยังไม่แน่ใจ แต่ถ้าคำถามของพี่คือ ผมแน่ใจที่จะเลือกฆาเบียร์มากกว่าผู้หญิงหรือไม่ คำตอบของผมคือแน่ใจครับ แน่ใจอย่างไม่ต้องสงสัยเลย...”

เจยิ้มกว้างให้พี่ชายของเขา

“ผมรักตาลุงนี่ครับพี่ รักแบบที่ไม่เคยรักใครมาก่อน รักที่เนื้อแทั ที่ตัวตนของเขาจนผมมองข้ามเพศของเขาไปนานแล้ว แต่ถ้าสักวันหนึ่งเราเกิดต้องคลาดคลากันไปแล้วจะให้ผมไปคบหากับผู้ชายคนอื่น ผมก็ไม่แน่ใจว่าผมจะทำได้ เว้นแต่ผมจะเจอคนที่ทำให้ผมรู้สึกรักได้ขนาดนี้อีกซึ่งผมก็ไม่แน่ใจว่าจะหาได้ที่ไหนอีกไหม”

บูมพยักหน้า เขาเข้าใจสิ่งที่เจต้องการจะสื่อ เจยิ้มกว้างให้ญาติผู้พี่ของเขา

“ผมก็เลยบอกพี่ว่า ผมยังไม่แน่ใจเรื่องคบผู้ชายอ่ะแหละ เพราะ ณ ตอนนี้ ฆาบี้คือผู้ชายเพียงคนเดียวในโลกที่ผมต้องการ แต่จะให้ผมมาแปะป้ายติดตัวเลยว่าผมเป็นเกย์ เป็นไบ หรือเป็นอะไร ผมก็บอกไม่ได้ เพราะผมยังไม่เคยมีความรู้สึกพิศวาสผู้ชายคนอื่นที่ไหนอีก ยิ่งในเชิงทางเพศด้วยแล้วนะครับ"

เจหัวเราะหึๆ ถ้าจะให้พูดตามตรง ในตอนนี้ถ้าให้เขาต้องเลือกนอนกับผู้หญิงสักคนหรือนอนกับชายอื่นที่ไม่ใช่ฆาเบียร์ เขาย่อมเลือกผู้หญิงอย่างแน่นอน



"ถ้าอย่างนั้น พี่ขอถามต่ออีกข้อนะ..."

บูมที่มีท่าทางมึนเมาพอสมควรแล้วถามต่อด้วยน้ำเสียงที่อ้อแอ้น้อยๆ

"ครับ พี่บูม ถามมาได้เลย"

เจนั่งตัวตรงและจ้องเข้าไปในดวงตาที่ฉ่ำเยิ้มเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ของพี่ชาย

"พี่อยากรู้ว่า เจพร้อมหรือยังในการที่จะมาเดินทางนี้ร่วมกับคุณฆาเบียร์เขา จริงอยู่ที่เจอาจจะยังไม่คิดจะ label ตัวเองว่าเจเป็นอะไร แต่เมื่อเริ่มคบกับคุณฆาเบียร์ สังคมก็จะตัดสินเรียบร้อยแล้วว่าเจเป็นเกย์เป็นตุ๊ดเป็นแต๋ว เจพร้อมแล้วเหรอที่จะอยู่ในสังคมโดยที่คนรอบข้างมองว่าเป็นคนรักร่วมเพศ? เพราะพี่บอกได้เลยนะเจ ว่ามันไม่ง่าย ไม่ง่ายเลยสักนิดเดียว ..."

เจนยุทธอึ้งไปเมื่อรับฟังสิ่งที่พรั่งพรูออกจากปากพี่ชายจนจบ บูมยิ้มเศร้าๆ เขาค้นพบตัวเองมาตั้งแต่อยู่มัธยมและสิ่งต่างๆ มันก็ไม่ได้ง่ายเลย โดยเฉพาะเมื่อเขาต้องเก็บเป็นความลับไม่ให้ครอบครัวได้รู้

"...จริงอยู่ที่สังคมไทยเราดูภายนอกแล้วค่อนข้างเปิดกว้างรับเรื่องคนรักร่วมเพศได้ พวกเราที่อยู่ในสังคมไทยไม่ได้ถูกตราหน้าว่าเป็นคนบาปด้วยเหตุผลทางศาสนาเหมือนอย่างในหลายๆ สังคม แต่เราก็ยังไม่ได้รับความเท่าเทียมในหลายๆ ด้าน แล้วไหนจะเรื่องมุมมองหลายๆ อย่างที่เป็นการมองคนในกลุ่ม LGBT แบบเหมารวมไปหมด เจเข้าใจที่พี่ต้องการจะสื่อใช่ไหม?"

เสียงอ้อแอ้ของทนายหนุ่มเริ่มสั่นเครือ สำหรับบูมแล้วนอกจากเรื่องที่ต้องปิดบังรสนิยมทางเพศของตัวเองจากที่บ้านซึ่งเขาทำจนเคยชินแล้ว เขาถือว่าตัวเองยังโชคดีที่สังคมอื่นของเขาอย่างในสถานศึกษาและในที่ทำงานนั้นค่อนข้างเปิดกว้างและปฏิบัติต่อคนทุกเพศอย่างเท่าเทียมทำให้เขาสามารถเป็นตัวของตัวเองได้ในระดับที่พอเหมาะพอควร แต่ภายนอกสังคมเหล่านั้น ในสังคมเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพฯ เขาก็ยังรู้สึกได้ถึงการดูถูก การเข้าใจผิดและการเหยียดเพศทั้งที่ตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ ถึงกาลเวลาจะทำให้ตัวเขานั้นชินกับมันแล้ว แต่ในตอนนี้เขาก็ห่วงเจ้าน้องน้อยของเขาคนนี้ว่าจะรับมือกับมันได้หรือไม่



"พี่บูม ผมเข้าใจสิ เข้าใจดีเลยแหละ..."

เจถอนหายใจเฮือกใหญ่และบีบมือที่กำแน่นของพี่ชายเบาๆ ทำไมเขาจะไม่เข้าใจสิ่งที่บูมถาม ในอดีตเขาก็เป็นคนหนึ่งที่อาจจะเคยเหยียดเพศโดยไม่ได้ตั้งใจ เขามักพูดแซวหรือล้อเลียนบรรดาเจ๊ๆ ในคณะหรือกระทั่งเจ้าน้องรหัสสุดหล่อของเขาโดยที่ไม่ได้คิดอะไร แต่เจเพิ่งมาสำเหนียกเอาว่าไอ้เจ้าความคิดแบบ "แค่ล้อเล่นเอง" หรือ "แค่แซวเล่นขำๆ " ของเขานั้นมันอาจทำร้ายจิตใจคนอื่นได้มากกว่าที่เขาคิด ในฐานะอดีตเด็กอ้วนที่เคยต้องเจ็บช้ำน้ำใจกับลมปากคน เจมองว่าสิ่งที่บูมกำลังเตือนเขานั้นก็คงใกล้เคียงกับสิ่งที่เขาเคยผ่านมาในอดีต

"ผมรู้ว่าสังคมบ้านเรามันก็ไม่ได้เอื้อให้กับคนที่แตกต่างออกไปจากคนหมู่มากนักหรอกครับ ไม่ว่าจะเป็นคนที่แตกต่างด้วยสภาพร่างกาย ด้านความคิดความอ่านหรือด้านพฤติกรรม คนบ้านเรา อืมม์ หรือจะบอกว่ามนุษย์เราน่ะชอบตีตราและวิจารณ์คนที่รูปลักษณ์ภายนอกหรือพฤติกรรมต่างไปจากคนอื่นๆ แล้วก็มักคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติที่พูดได้โดยไม่ได้คิดถึงใจคนที่โดนวิจารณ์  ตัวผมเองก็เคยเป็นคนกลุ่มน้อยที่ผ่านการถูก bully มาก่อน พี่บูมจำได้ไหม? "



บูมหลบตาสดใสที่จ้องมองมาของน้องชาย ใช่สินะ เขาจะลืมช่วงเวลาที่เจต้องทรมานกับการถูกมองว่าเป็นคนที่แตกต่างไปได้อย่างไร โดยเฉพาะเมื่อคนหนึ่งที่คอยตอกย้ำปมด้อยของเจในอดีตก็คือแม่ของบูมเอง และในปัจจุบันแม่ของเขาก็ยังได้หยิบยกเรื่องชีวิตรักของญาติผู้น้องของเขามาเป็นประเด็นอีก

"เจ เรื่องนั้น พี่...พี่ต้องขอโทษจริงๆ นะ..."

บูมพูดด้วยเสียงแผ่วเบา เจถอนหายใจ เขาสังเกตได้จากสีหน้าละอายของพี่ชายได้ว่าเขาคงคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสองวันที่แล้ว

"พี่บูมครับ พี่ไม่ต้องขอโทษผมหรอก เรื่องอาพิมน่ะ ให้มันจบไปเถอะ ผมไม่เป็นหรอก..."

เจยิ้มกว้างเพื่อให้ญาติผู้พี่คนโปรดของเขาสบายใจ ต่อให้เขาพูดไม่ได้เต็มปากว่าเขาไม่ได้คิดมาก แต่เขาอยากให้บูมได้รู้ว่าเขาเข้มแข็งกว่าที่บูมคิด



"ส่วนเรื่องที่พี่เป็นห่วง ผมทำใจกับเรื่องนี้มาตั้งแต่ผมเริ่มคบกับฆาบี้แล้วพี่ ถึงผมจะยังไม่รู้แน่ว่าผมจะต้องเจอกับอะไรบ้าง แต่มันก็คงไม่เหลือบ่ากว่าแรงไปกว่าหลายๆ อย่างที่ผมเคยเจอมาหรอก"

เจซึ่งผ่านมาแล้วทั้งการถูกล้อเลียนเรื่องรูปร่างในวัยเด็กและการถูกมองว่าเป็นเพลย์บอย หรือกระทั่งการถูกเอาไปพูดเสียๆ หายๆ ว่าเป็นเด็กขายหรือเด็กเลี้ยงของบรรดาสาวๆ รุ่นพี่ที่เขาเคยควงพูดอย่างมั่นใจ

"สำหรับผมในตอนนี้นะ ถ้าแม่รับได้ พี่อิ่มพี่จืดรับได้ พวกเพื่อนๆ ผมรับได้ ผมก็ไม่สนคนอื่นแล้วครับ"

ส่วนหนึ่งที่ทำให้เจนยุทธยังเย็นใจได้คือเขาทำงานเป็นฟรีแลนซ์ เขาจึงไม่ต้องมานั่งห่วงสายตาของคนในสังคมที่ใหญ่ขึ้นอย่างสังคมออฟฟิศหรือคนที่ต้องทำงานร่วมด้วย เขามีเพียงครอบครัวและเพื่อนเป็นสังคมเล็กๆ ที่ต้องให้ความใส่ใจที่สุด และถ้าคนในสังคมเล็กๆ นี้รับในสิ่งที่เขาเลือกได้ เขาก็ไม่ต้องห่วงอะไรอีกแล้ว ส่วนสายตาและคำพูดจากคนในสังคมรอบข้างก็เป็นแค่สิ่งกวนใจที่เขาต้องก้าวผ่านไปให้ได้

"ฉะนั้นพี่บูมไม่ต้องห่วงผมเรื่องนี้นะ น้องพี่คนนี้สตรองอยู่แล้ว"

เจทำท่าเบ่งกล้ามโชว์ บูมอดไม่ได้ต้องหัวเราะคิกออกมาและตบแก้มป่องๆ ของเจ้าน้องชายหน้าทะเล้นของเขาด้วยความเอ็นดู



"คุยอะไรกันอยู่จ๊ะ ดูสนุกกันใหญ่เลยนะ"

เจรู้สึกอุ่นวาบที่แก้ม เขาหันไปหาคนตัวโตที่ขโมยจูบเขาและส่ายหัวอย่างระอา เขารู้ว่าฆาเบียร์จูบแก้มเขาเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของต่อหน้าบาร์เทนเดอร์หนุ่มน้องรหัสของเขาที่ยืนเก็บข้าวของอยู่ที่หลังบาร์

"คุณนี่มันเหลือเกินจริงๆ นะ ฆาบี้ พอใจหรือยังครับ?"

เจกระซิบหลังจากจุ๊บเบาๆ ที่ริมฝีปากของคนตัวโตที่ยืนค้ำหัวเขาอยู่ ฆาเบียร์หน้าบานเมื่อเจยอมแสดงความรักกับเขาต่อหน้าไอ้เด็กที่เขาไม่ถูกชะตาด้วยคนนั้น

"อลันล่ะครับ คุณมาร์ติเนซ?"

บูมถามพร้อมกับลุกขึ้นยืน เขาเซน้อยๆ จนเจต้องรีบลุกไปประคองแขนพี่ชาย ดูท่าทางบูมจะเมามากกว่าที่เขาคิด

"มาแล้วจ้ะที่รัก เมื่อกี้ฉันไปห้องน้ำมา"

ทนายหนุ่มใหญ่รีบเข้าไปประคองร่างคนรักแทนที่เจ บูมหันไปยิ้มและทำตาเยิ้มให้คนรักของเขา

"มาซะทีนะครับ ผมก็รอตั้งนานว่าคุณจะมาตามผมเมื่อไหร่"

อลันยิ้มแหยๆ ให้กับบูมและบอกว่าเขามัวแต่คุยเรื่องงานกับเรื่องหุ้นกับฆาเบียร์และปรินซ์เพลินจนลืมดูเวลา เขามารู้ตัวว่าเจกับบูมหายไปนานมากแล้วก็เมื่อเด็กเสิร์ฟเริ่มเดินเอาบิลมาวางให้ตามโต๊ะ

"ยุ่งเรื่องงานจนลืมผมอีกแล้วนะครับ แบบนี้ต้องถูกทำโทษ!"

บูมที่กรึ่มมากแล้วแสดงอาการกระเง้ากระงอดกับคนรักโดยไม่สนใจสายตาญาติผู้น้อง เขางับเบาๆ ที่ปลายจมูกของทนายหนุ่มใหญ่ อลันลูบหัวคนรักเบาๆ

"จ้ะๆ ถ้ากลับห้องแล้วจะทำโทษฉันยังไงก็ได้ตามใจเลย แต่ตอนนี้เรากลับไปที่โต๊ะก่อนนะ"

อลันที่ตัวเตี้ยและผอมบางกว่าบูมเล็กน้อยโอบเอวคนรักและพยายามพาเดินฝ่าผู้คนกลับไปที่โต๊ะ เจสะกิดฆาเบียร์ให้เข้าไปช่วยประคองบูม

"เจกลับโต๊ะไปก่อนก็ได้นะ ฉันกับอลันจะพาแพทริคไปล้างหน้าล้างตาก่อน เดี๋ยวตามไปจ้ะ"

เจมองพี่ชายอย่างเป็นห่วง เมื่อตอนคุยกับเขาบูมยังดูไม่ได้เมามากเท่าตอนนี้ แต่ว้อดกาช็อตสุดท้ายที่บูมสั่งมาเพิ่มและกระดกรวดเดียวจนหมดตอนก่อนที่อลันจะมาตามคงเริ่มออกฤทธิ์แล้ว



"ไงมึง หายไปซะนานเลยนะ"

ปรินซ์ถามเพื่อนของเขา

"ขอโทษทีว่ะ พอดีว่าพี่บูมเขาชวนคุยก็เลยคุยยาว"

"ไม่เป็นไรๆ กูก็ได้ป๋ากับพี่อลันเขามานั่งคุยด้วยนี่แหละ เลยได้โอกาสถามเรื่องพวกหุ้นที่น่าสนใจกับทิศทางตลาดอะไรพวกนี้ด้วย ได้ความรู้เยอะดี"

ปรินซ์ยิ้มกริ่ม นอกจากร้านทองของที่บ้านแล้วเขายังเล่นหุ้นไปด้วยเพื่อหารายได้เสริม ทุกวันนี้เขาได้ความรู้และข่าวสารที่น่าสนใจมากมายจากการคุยกับคนรักของเพื่อนคนนี้

"ไอ้ซันหลับปุ๋ยอีกตามเคยล่ะสิ"

เจชะโงกหน้าไปมองหนุ่มลูกร้านทองที่นอนยาวบนโซฟาโดยมีตักของปรินซ์เป็นหมอน ปรินซ์หัวเราะเบาๆ พร้อมกับลูบผมของเพื่อนในวัยเด็กของเขาเล่นด้วยความเอ็นดู

"อืมม์ หลับเหมือนทุกทีแหละ ปล่อยมันนอนแบบนี้ไปก่อน เดี๋ยวถ้าพวกป๋ามากูคงต้องขอตัวพามันกลับบ้านก่อนนะ"

"ได้ๆ แต่มันเมาหลับแบบนี้ก็คงต้องค้างบ้านมึงก่อนใช่ไหม ขืนกลับบ้านไปสภาพนี้อีกรอบ อาม่าได้ด่ามันหูตูบแน่"

เจพูดยิ้มๆ ปรินซ์พยักหน้าเบาๆ ด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ

"หลังๆ มานี่มันนอนบ้านมึงบ่อยพอๆ กับนอนบ้านตัวเองแล้วมั้งเนี่ย? "

เจกระเซ้าเพื่อนของเขาซึ่งยิ่งหน้าแดงขึ้นไปใหญ่ แต่ก่อนที่เขาจะทันแซวอะไรต่อ ฆาเบียร์และอลันก็พาบูมที่ยังดูมึนๆ กลับมาที่โต๊ะ ปรินซ์พูดคุยกับหนุ่มต่างชาติทั้งสองอีกครู่หนึ่งแล้วจึงลากลับโดยมีเจช่วยประคองซันซันที่ยังงัวเงียไปส่งที่รถ



"เจ มามะ ชนแก้วกันหน่อย"

บูมที่ยังคงกรึ่มๆ คว้าแก้วเหล้าของอลันขึ้นมาขอชนแก้วกับน้องชาย พวกเขายังคงนั่งดื่มกันต่อแม้จะเช็คบิลไปแล้ว เหล้าที่ฆาเบียร์เปิดเพิ่มมาอีกขวดเมื่อตอนที่เขายังนั่งคุยกับปรินซ์และอลันนั้นเหลืออีกไม่ถึงหนึ่งในสาม พวกเขาจึงตัดสินใจอยู่ดื่มต่อให้หมด

"ที่รักจ๊ะ พอแล้วๆ ดื่มเยอะไปแล้วนะเรา"

อลันคว้าแก้วออกจากมือคนรักทันที บูมทำท่าไม่สบอารมณ์อีกจนอลันกระซิบบางอย่างที่หูของเขา ญาติผู้พี่ของเจจึงมีท่าทีแช่มชื่นขึ้น เขาหอมแก้มคนรักฟอดใหญ่และหันมายิ้มหวานให้เจและฆาเบียร์

"คืนนี้พี่สนุกมากเลยนะเจ ขอบใจนะ ขอบคุณคุณด้วยนะครับคุณมาร์ติเนซ ผมดีใจจริงๆ ที่คุณกับน้องของผมได้มาคบหากัน ผมไม่เคยเห็นเจมีความสุขกับใครแบบนี้มาก่อน ผมดีใจจริงๆ "

บูมเริ่มพูดวกไปวนมาอีกครั้ง เขายิ้มกริ่มและเอนกายไปหาน้องชายและกระซิบกระซาบเป็นภาษาไทย

"นี่ เจ เรารู้ใช่ไหมว่าเราปรึกษาพี่ได้ทุกเรื่องนะ สงสัยอะไร อยากรู้อะไร ถามได้หมดเลย อยากให้พี่สอนอะไรก็บอกมาเลย เทคหน่งเทคนิคอะไรน่ะ ถามมาเลยนะ"

เจอ้าปากค้าง

"เอ่อ อะไรยังไงนะพี่บูม?"

เจนยุทธถามอย่างไม่แน่ใจในสิ่งที่พี่ชายพูด บูมทำหน้าจริงจัง

"เรื่องบนเตียงไง เรื่องเซ็กส์น่ะ พี่รู้ว่ากับผู้หญิงน่ะเราเชี่ยว แต่กับทางนี้เราคงยังไม่ค่อยชินใช่ไหมล่ะ จะต้องเตรียมตัวยังไง อะไรแบบนี้ แล้วพี่จะช่วยสอนเทคนิคมัดใจแฟนให้ รับรองว่าคุณเค้าติดใจแน่นอน แล้วก็พวกวิธีทำให้ไม่เจ็บตัวมาก เพราะอย่างคุณมาร์ติเนซน่ะ ดูปราดเดียวก็รู้แล้วว่า หึๆ  His is probably that big..."

เจแทบสำลักเหล้าเมื่อพี่ชายทำหน้ามีเลศนัยและหลุดคำภาษาอังกฤษออกมา เขายังยกมือทั้งสองข้างขึ้นทำท่าเหมือนจะเทียบขนาดของอะไรบางสิ่ง เจรีบตะครุบมือบูมไว้และหันไปมองคนรักของพวกเขาทั้งสอง ดีที่สองหนุ่มนั้นคุยกันเพลินและไม่ได้สนใจ บูมหัวเราะร่วนอย่างถูกใจเมื่อเห็นใบหน้าที่แดงก่ำของน้องชาย เจปาดเหงื่อแล้วหันไปโบกไม้โบกมือให้อลัน ทนายหนุ่มใหญ่รีบขยับเข้ามาหาคนรักของเขา ทั้งคู่คุยกันเบาๆ เป็นภาษากวางตุ้งก่อนที่อลันจะหันกลับมาพูดกับเจ

"คุณเจครับ งั้นเดี๋ยวผมขอตัวก่อนนะครับ"

อลันบอกว่าเขาจะพาบูมกลับไปนอนที่รถก่อนเพื่อให้สร่างพอที่จะเดินเองได้ ตัวเขาเองซึ่งดื่มไปพอสมควรเช่นกันก็จะรอให้สร่างกว่านี้อีกนิดแล้วจึงค่อยขับรถกลับ ฆาเบียร์ช่วยอลันประคองบูมที่เดินเองไม่ค่อยไหวแล้วเพราะความง่วงกลับไปที่รถ



"โอย ไม่ไหวๆ พี่บูมนี่เมาแล้วโคตรรั่ว"

เจบ่นกับคนรักเบาๆ ที่ผับตอนนี้เปิดไฟสว่างแล้ว แต่เขายังเหลือเหล้าติดก้นขวดอยู่อีกประมาณแก้วหนึ่ง เจจึงตัดสินใจดื่มต่อให้หมด ส่วนฆาเบียร์นั้นหยุดดื่มแล้ว

"เมื่อกี้พวกนายคุยเรื่องอะไรกัน ฉันได้ยินนะว่ามีชื่อฉันด้วยแล้วยังได้ยินอะไร big สักอย่าง นินทาอะไร 'ของ' ฉันเหรอ หืมม์? "

คนตัวโตทำหน้ากรุ้มกริ่มใส่คนรัก เจหน้าแดงก่ำ เขาไม่นึกว่าคนรักของเขาจะทันได้ยินสิ่งที่บูมพูด เขาอ้ำๆ อึ้งๆ ก่อนจะเล่าข้อเสนอของบูมให้คนรักฟัง ฆาเบียร์ทำตาโต เขาไม่นึกว่าแพทริคที่ปกติท่าทางดูเรียบร้อยจะเปิดเผยเรื่องเซ็กส์ขนาดนี้ มันทำให้เขาอดนึกถึงสิ่งที่อลันเคยเล่าให้เขาฟังไม่ได้

"รู้ไหม เจ อลันเขาเคยเปรยกับฉันว่าแพทริคเหมือนมีชีวิตสองด้าน ด้านหนึ่งคือเป็นเด็กดี คงแก่เรียน เรียบร้อย ตั้งใจทำงานและเนี้ยบทุกกระเบียดนิ้ว แต่อีกด้านหนึ่งของเขาก็เป็นแบบที่เราได้เห็นในคืนนี้แหละ คือดื้อเงียบ เอาแต่ใจ เปิดเผยและโลดโผน มันจะเป็นด้านที่เขาแสดงออกเวลาออกเที่ยวแบบนี้"

"ผมไม่แปลกใจหรอกอ่ะคุณ มันคงเป็นเพราะอาพิมอ่ะ อาเขาน่าจะคาดหวังอะไรกับพี่บูมไว้เยอะ และอาจจะทำให้พี่เขาเก็บกด แล้วไหนจะยิ่งเรื่องที่ต้องปิดบังตัวตนของตัวเองไว้อีก..."

เจถอนหายใจเบาๆ ญาติผู้พี่ของเขาคงต้องผ่านอะไรมาหลายๆ อย่างเลยทีเดียว

"เจรู้ไหมว่าสองคนนั้นเขามาชอบพอกันได้ยังไง?"

ฆาเบียร์พูดแทรกขึ้น เขาคันปากอยากเล่าเรื่องนี้เต็มทีแล้ว เจนยุทธส่ายหัว

"อลันเคยเล่าให้ฉันฟังสักพักแล้วล่ะ คือเรื่องมันเป็นแบบนี้..."



เมื่อราวสี่ปีก่อน อลัน ทนายหนุ่มใหญ่วัยสี่สิบปีถูกส่งตัวมาทำงานที่สาขากรุงเทพฯ เป็นเวลาหนึ่งเดือนเพื่อทำเคสใหญ่เคสหนึ่ง เขาและทีมต้องทำงานร่วมกับทีมจากสำนักงานที่กรุงเทพฯ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือแพทริค ภัทรปรีดาทนายหนุ่มไฟแรงซึ่งอายุยังไม่ถึงสามสิบ แพทริคช่วยงานทีมของเขาอย่างขยันขันแข็งจนอลัน วูรู้สึกสะดุดตาในความสามารถของทนายหนุ่มหน้าตาดีที่มีท่าทางเรียบร้อยคนนี้ แต่เขาก็ยุ่งกับงานเกินไปจนไม่ได้มีเวลาใส่ใจที่จะทำความรู้จักกับอีกฝ่ายเพิ่มเติมนอกเวลางาน ตลอดเกือบสี่สัปดาห์ที่เขาอยู่กรุงเทพฯ เขารู้เพียงแค่ว่าทนายหนุ่มคนนี้เป็นคนมีความสามารถสูงและทำงานของตัวเองได้อย่างไม่มีที่ติ* *

สัปดาห์สุดท้ายของการทำงาน หลังจากงานใหญ่เสร็จสิ้นลง เพื่อนสนิทคนหนึ่งของอลันที่สาขากรุงเทพฯ ซึ่งก็เป็นเกย์เช่นเดียวกันได้ชวนเขาให้ไปฉลองที่ร้านแห่งหนึ่งย่านสีลมซอยสอง หลังจากกินดื่มและเต้นอย่างสนุกสนานพักใหญ่ เขาก็ได้เจอคนถูกใจซึ่งดูเหมือนจะเป็นคนรู้จักของเพื่อนเขา ชายหนุ่มคนนั้นซึ่งมากับเพื่อนกลุ่มใหญ่เข้ามาทักทายเพื่อนทนายของอลันอย่างสนิทสนม อลันซึ่งดื่มไปพอสมควรแล้วรู้สึกว่าหนุ่มตัวสูงรูปร่างดีที่ใส่เสื้อกล้ามสีขาวและกางเกงยีนส์ขาดเป็นริ้วๆ คนนั้นช่างดูคุ้นตาแต่ก็จำไม่ได้ว่าเคยเจอกันที่ไหน หลังจากเมียงมองอยู่นาน ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจเข้าไปทักทายชายหนุ่มคนนั้นซึ่งภายหลังปลีกตัวจากกลุ่มเพื่อนมานั่งดื่มอยู่คนเดียวที่บาร์




"สวัสดีครับ ผมชื่ออลัน คุณชื่ออะไร?"

อลันป้องปากถามเสียงดังเพื่อแข่งกับเสียงเพลงในร้าน ถึงในร้านจะค่อนข้างมืด แต่อลันสังเกตเห็นได้ว่าชายหนุ่มคนนั้นมีท่าทีงุนงงที่เขาเข้ามาทักทาย เขาถามย้ำไปอีกครั้ง

"เอ่อ ผมชื่ออลัน ผมอยากรู้จักคุณ คุณพูดภาษาอังกฤษได้หรือเปล่า?"

"ครับ พูดได้ ยินดีที่ได้รู้จักครับ อลัน ผมชื่อบูมครับ"

ชายหนุ่มคนนั้นพูดตอบกลับมาด้วยสำเนียงอเมริกันชัดเปรี๊ยะ อลันยิ้มกว้าง เขาลงนั่งเคียงข้างและขอเลี้ยงเหล้าชายหนุ่มคนนั้น พวกเขาคุยกันเรื่องสัพเพเหระและเริ่มรู้สึกได้ถึงเคมีที่เข้ากันได้ดีของพวกเขา




(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)



ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1




---- Another Night... (ต่อ) ----




"เฮ้ อลัน เดี๋ยวฉันกลับก่อนนะ อ้าว นี่พวกนายเจอกันแล้วเหรอ?"

เพื่อนทนายของเขาที่เริ่มพูดอ้อแอ้แล้วเดินมาหาเขาทั้งสอง เขาทำท่าจะพูดอะไรออกมาอีก แต่ชายหนุ่มหน้าคมเข้มพูดแทรกขึ้นมาเป็นภาษาไทยและเพื่อนของเขาก็พยักหน้ารับคำก่อนที่จะจากไปพร้อมเด็กหนุ่มที่เป็นคู่ควงของเขา

"เต้นกันไหม?"

หนุ่มหน้าตาดีคนนั้นชวนหนุ่มฮ่องกงให้ออกไปวาดลวดลายบนฟลอร์ พวกเขาทั้งสองเต้นไปตามจังหวะเสียงเพลง ชายหนุ่มคนนั้นปล่อยอารมณ์เต็มที่ไปกับเสียงเพลงที่เร่งเร้า อลันอดยิ้มไปกับภาพนั้นไม่ได้ หนุ่มหน้าเข้มทั้งร้องทั้งเต้นอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเหมือนเขายังเป็นหนุ่มรุ่น

ยิ่งดึก ย่านนี้ยิ่งคึกคัก จำนวนคนที่มากขึ้นทำให้ร่างกายของพวกเขาทั้งสองต้องบดเบียดกันแนบแน่นอย่างเลี่ยงไม่ได้ อลันมองใบหน้าที่อยู่ใกล้เขาแค่เอื้อม ริมฝีปากที่แย้มยิ้มและหัวเราะร่าคู่นั้นช่างดูเย้ายวนจนเขาอดประทับจูบลงไปไม่ได้ ชายหนุ่มคนนั้นชะงักและดูพยายามจะขืนกายออกจากอ้อมแขนเขาในทีแรก แต่ในที่สุดเขาก็ยอมโอนอ่อนผ่อนตาม จูบนั้นช่างหวานนักและเริ่มกลายเป็นความเร่าร้อน ณ ตอนนั้นพวกเขาทั้งคู่รู้แล้วว่าพวกเขาต้องออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด

"ไปห้องผมแล้วกัน คอนโดผมอยู่ที่สาทร"

บูมบอกสั้นๆ พวกเขาเรียกแท็กซี่ให้ไปส่งที่คอนโดหรูริมถนนสาทร ไม่นานนักพวกเขาก็เปลือยกายโรมรันกันอย่างเผ็ดร้อนอยู่บนเตียงนุ่ม อลันแทบดิ้นตายลงไปเพราะความสุขสม เขาสัมผัสได้ว่าชายหนุ่มคนนี้ก็ช่ำชองและโลดโผนเรื่องบนเตียงไปไม่น้อยกว่าเขา ชายหนุ่มหน้าเข้มปรนเปรอทนายหนุ่มใหญ่ด้วยมือและปากอย่างเต็มที่ก่อนที่จะปล่อยให้อลันได้ชำแรกกายเข้าในช่องทางอันอ่อนนุ่มแต่ยังรัดรึง มันเป็นเซ็กส์ที่ตราตรึงใจที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตของทนายหนุ่มใหญ่คนนี้ พวกเขาเสพสุขกันแทบทั้งคืนจนกระทั่งผลอยหลับไป



"อลัน อลันครับ คุณวู..."

อลันที่ยังปวดหัวตุบๆ จากฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ดื่มไปพอสมควรเมื่อคืนค่อยๆ หรี่ตาตื่นขึ้น เขาขมวดคิ้วน้อยๆ เขาจำไม่ได้ว่าได้บอกบูมว่าเขานามสกุลวู เขารู้สึกถึงแรงเขย่าปลุก ถ้าเขาไม่ลุกขึ้นก็คงถูกเขย่าตัวไปเรื่อยๆ แบบนี้แน่แท้ ทนายหนุ่มใหญ่ค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นและบิดขี้เกียจ เขาลืมตาขึ้นแล้วก็ต้องตะลึงกับภาพที่ได้เห็นตรงหน้า

"นาย…แพ...แพทริค..."

เมื่อลบเครื่องสำอางที่แต่งแต้มดวงตาจนดำเข้มเหมือนพวกดาราแกลมร็อคและล้างเจลที่จัดแต่งผมจนเรียบแปล้จากเมื่อคืนก่อนออก ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขานั้นคือทนายหนุ่มหน้าตาดีที่ร่วมงานกับเขามาตลอดสี่สัปดาห์ บูม แพทริคหรือไม่ว่าเขาจะชื่ออะไรก็ตามที่อยู่ตรงหน้าของเขานี้แต่งกายในชุดสูทสุดเนี้ยบเหมือนกับทุกครั้งที่พบกันในที่ทำงาน

"ประหลาดใจอะไรล่ะคุณ นี่อย่าบอกนะว่าเมื่อคืนคุณจำผมไม่ได้จริงๆ..."

เจ้าของเสียงภาษาอังกฤษสำเนียงแคลิฟอร์เนียที่อลันนึกอยู่ค่อนคืนว่าฟังดูคุ้นหูนั้นพูดกลั้วหัวเราะเมื่อเห็นสีหน้างงงวยของทนายหนุ่มใหญ่ชาวฮ่องกง



"ตายล่ะ! คุณจำผมไม่ได้จริงๆ เหรอ ผมก็นึกว่าคุณแค่อยากเล่นโรลเพลย์"

ใบหน้าหล่อเหลาไร้เม้คอัพที่มักดูเคร่งขรึมในเวลางานนั้นแย้มยิ้มให้เขาด้วยรอยยิ้มของหนุ่มคนที่เพิ่งมีเซ็กส์อย่างเร่าร้อนกับเขาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา

"อ๊ะ นี่ผมสายแล้ว เดี๋ยวมีประชุมกับลูกความในตอนเช้า แต่วันนี้วันเสาร์ คุณไม่ต้องเข้าออฟฟิศแล้วใช่ไหมครับ? ก็นอนพักผ่อนให้เต็มที่ไปก่อนแล้วกัน ใช้ห้องน้ำอาบน้ำอาบท่าได้ตามสบายเลยนะครับ ถ้าจะกลับก็กลับได้เลย ประตูห้องมันเป็นออโต้ล็อคอยู่แล้ว แต่ถ้าวันนี้คุณยังไม่มีแพลนอะไรก็อยู่รอหน่อย ช่วงบ่ายผมว่าง แล้วผมจะมารับคุณไปกินมื้อเที่ยงนะครับ"

บูมก้มลงจุ๊บเบาๆ ที่ริมฝีปากของอลันที่ยังนั่งตะลึงอยู่ก่อนที่จะรีบออกห้องไป เมื่อกลับห้องมายามบ่าย บูมก็ต้องยิ้มกว้างออกมาเมื่อพบว่าอลันยังคงรออยู่ที่ห้องของเขา ทั้งคู่กินมื้อเที่ยงด้วยกัน ต่อด้วยกาแฟ แล้วก็ลามไปถึงมื้อเย็น พวกเขาใช้เวลาส่วนใหญ่พูดคุยเพื่อทำความรู้จักกันและพบว่าพวกเขาเข้ากันได้แทบทุกเรื่อง จากนั้นพวกเขาก็ได้ค้างคืนด้วยกันต่ออีกคืนหนึ่ง วันรุ่งขึ้นอลันก็ลากกระเป๋าออกจากเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ที่เขาเช่าไว้พักอาศัยกับลูกทีมของเขาและย้ายเข้ามาอยู่ที่ห้องของบูมจนกระทั่งถึงกำหนดกลับฮ่องกงในอีกสามวันให้หลัง



"หลังจากกลับฮ่องกงอลันกับบูมก็ยังติดต่อกันตลอด ตอนแรกพวกเขาคิดว่ามันเป็นแค่เรื่องเซ็กส์กับเคมีที่เข้ากันได้เฉยๆ และตั้งใจจะคบหากันในฐานะเซ็กส์เฟรนด์เพราะทั้งคู่ก็ต่างไม่เคยคิดลงหลักปักฐานกับใคร แต่กลายเป็นว่ายิ่งนานพวกเขายิ่งคุยกันเข้าใจ สุดท้ายก็กลายมาเป็นแบบที่พวกเราเห็นกันนี่แหละ"

"โหยๆ สุดๆ ยังกับการ์ตูนหรือละครน้ำเน่าหลังข่าวเลยอ่ะ"

เจครางออกมาเบาๆ ฆาเบียร์พยักหน้าและหัวเราะหึๆ

"ใช่ พล็อตนิยายชัดๆ เลยล่ะ"

คนตัวโตพูดยิ้มๆ เจยกแก้วในมือขึ้นดื่มของเหลวสีอำพันที่ติดก้นแก้วจนหมด

"ป่ะ คุณ เรากลับกันเถอะ ดึกแล้ว เดี๋ยวจะไม่มีเวลา..."

เจพูดทิ้งค้างไว้พร้อมส่งสายตาหวานเยิ้มให้คนรัก ฆาเบียร์ร้อนวาบไปทั้งตัว เขาหยิบเสื้อหนังตัวงามของเขาแล้วรีบเด้งกายลุกขึ้นจากเก้าอี้และเดินโอบเอวคนรักออกร้านไป



"เอ๊ะ คุณ นั่นรถพวกพี่บูมหรือเปล่า?"

เจส่งเสียงถามคนรักของเขาเมื่อเห็นรถญี่ปุ่นคันหนึ่งซึ่งจอดอยู่ในมุมมืดห่างจากร้านไปประมาณห้าสิบเมตร

"เอ น่าจะใช่นะ เมื่อกี้ฉันก็ช่วยประคองบูมมาส่งที่นี่แหละ เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่านะ ทำไมยังไม่กลับกันอีก หรือว่าจะเผลอหลับอยู่ในรถกันทั้งคู่?"

คนตัวโตพูดขึ้นอย่างร้อนใจ พวกเขารีบสาวเท้าเข้าไปใกล้รถคันนั้นหากก็ต้องหยุดเมื่อได้ยินเสียงครางกระเส่าลอดออกมาจากกระจกที่แง้มอยู่น้อยๆ พร้อมกับเห็นการสั่นไหวของตัวรถ เจหน้าแดงก่ำ เสียงครางด้วยความเสียวซ่านของพี่ชายของเขานั้นได้ยินชัดเจนในความเงียบสงัดของยามดึก พวกเขายังได้ยินเสียงแหบพร่าของอลันที่ร้องขอให้คนรักกระแทกกายลงบนแก่นกายของเขาหนักๆ มันทำให้คนทั้งสองที่ยืนฟังอยู่อดหน้าร้อนผ่าวไม่ได้ พวกเขาทั้งคู่ตัดสินใจเฝ้ารออยู่ใกล้ๆ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครอื่นเดินเข้าใกล้รถคันนี้

"ฆาบี้ เรา เอ่อ เราไปกันเถอะ พวกพี่เขาน่าจะเรียบร้อยกันแล้ว"

เสียงและการสั่นของรถหยุดลงไม่นานหลังจากที่พวกเขาทั้งคู่มายืนเฝ้า เจดึงมือคนรักให้รีบเดินกลับไปที่คอนโด หากฆาเบียร์ยกมือขอเวลา เขาเดินตรงเข้าไปยังรถเช่าคันนั้นและเคาะกระจกเบาๆ พร้อมร้องเรียกคนทั้งสอง เจแทบกลั้นหัวเราะไม่อยู่เมื่อได้ยินเสียงอุทานอย่างตกใจของบูมและเสียงโวยวายของของอลัน ฆาเบียร์เองก็หัวเราะลั่น เขาสนทนากับทั้งคู่อีกสองสามประโยคเป็นภาษากวางตุ้งก่อนจะโบกมือลาและเดินกลับมาหาเจนยุทธ

"คุณพูดกับพวกพี่เขาว่าอะไรอ่ะ?"

ฆาเบียร์ยิ้มกริ่มแต่ไม่ยอมบอกว่าพวกเขาคุยอะไรกัน เจบ่นอุบอิบและคิดในใจว่าเขาต้องหาทางเรียนภาษากวางตุ้งให้ได้



"ฆาบี้ อย่าพึ่งซนสิ"

เจสะดุ้งโหยงเมื่อฝ่ามือใหญ่ของฆาเบียร์ที่ยืนอยู่เคียงข้างเขาในลิฟท์ค่อยๆ ลากเลื้อยลงเกาะกุมบั้นท้ายหนั่นแน่นของเขา ฆาเบียร์ค่อยๆ บีบคลึงก้อนเนื้อแน่นหยุ่นในมือ มันช่างเพลินมือดีจริงๆ เจขบริมฝีปากเบาๆ แม้สัมผัสนั้นจะยั่วใจ แต่ในคืนนี้เขาจะไม่ยอมเป็นฝ่ายถูกฆาเบียร์กกกอดอีกแน่นอน เขาดึงมือคนรักให้มากอดเอวเขาแทน ทันทีที่กลับถึงห้อง พวกเขาทั้งคู่ต่างก็ป้อนจูบให้กันอย่างดูดดื่ม พวกเขานัวเนียกันที่หน้าประตูอยู่พักใหญ่และลงเอยด้วยการนอนพลอดรักกันบนโซฟา

"อาบน้ำกันก่อนไหมครับ ตัวคุณร้อนมากเลย ฆาบี้"

เจบ่นเจ้าของแผงอกกว้างที่เขานอนหนุนแทนหมอน ฆาเบียร์ขยับกายลุกขึ้นนั่งตามคนรักอย่างว่าง่าย เจยื่นมือไปช่วยฉุดคนรักให้ลุกขึ้นจากโซฟาแต่ก็ถูกฆาเบียร์รั้งตัวให้ลงนั่งคร่อมตักของเขา คนตัวโตดอมดมตามร่างที่ถูกเขาดึงถอดเสื้อผ้าออกไปจนเกือบเปลือย เจสะดุ้งเฮือกเมื่อเรียวลิ้นของคนรักเริ่มรุกล้ำเขี่ยดุนเม็ดทับทิมบนอกของเขาอีกครั้ง

"ฆาบี้ครับ อืมม์ ไม่เอา อาบน้ำกันก่อนดีกว่า นะๆ"

เจดันกายของคนรักออกห่าง คนตัวโตถอนหายใจเบาๆ เขาลุกขึ้นยืนตามเจนยุทธ

"อาบก็อาบ แต่อาบเสร็จแล้วฉันไม่ปล่อยนายให้หนีแล้วนะ เตรียมตัวไว้ให้ดีแล้วกัน"

เจยิ้มหวานให้คนรักและนึกในใจว่าคืนนี้เขาไม่มีทางเสียท่าให้คนตัวโตอีกเป็นแน่แท้



"ผมคุณนิ่มดีจังฆาบี้ ผมชอบมากเลย ห้ามตัดเลยนะ"

เจใช้นิ้วสางผมยาวสลวยของคนรักและเป่าผมของฆาเบียร์ให้จนแห้งสนิท เจวางไดร์เป่าผมลงที่โต๊ะข้างเตียงและก้มตัวลงกอดร่างหนั่นแน่นของเมียตัวโตของเขาที่นั่งหันหลังให้ เจจูบและฝังใบหน้าลงกับเรือนผมหอมนุ่มของฆาบี้

"Baby, what's wrong?"

ฆาเบียร์ถามขึ้นอย่างเป็นห่วงเมื่อสัมผัสได้ถึงอารมณ์ของเจ เขาหันกลับมาและดึงร่างคนรักให้ลงนั่งเคียงข้างกันบนเตียง

"เจ เป็นอะไร หืมม์?"

คนตัวโตเชยคางคนรักที่ก้มหน้างุดให้เงยหน้าขึ้นมามองเขา เขาลอบถอนหายใจเมื่อเห็นแววตาโศกของเจนยุทธ

"เดือนครึ่งเลยเหรอ ฆาบี้..."

เจพูดเสียงแผ่วเบา ฆาเบียร์กลั้นใจพยักหน้า เขาไม่กล้าบอกคนตัวเล็กว่าหากธุระที่เขาต้องกลับไปจัดการคราวนี้ยืดเยื้อ มันก็อาจจะกินเวลายาวนานกว่านั้น เขาเล่าให้เจฟังเพียงคร่าวๆ ว่าบริษัทของเขาที่สหรัฐฯ นอกจากจะลงทุนในด้านเว็บไซต์ท่องเที่ยวที่เป็นธุรกิจหลักแล้ว พวกเขายังหาทางลงทุนกับพวกบริษัท Start-ups ด้านไอทีและเทคโนโลยีหรือไปซื้อกิจการบริษัทเล็กๆ ที่มั่นคงแล้วและดูมีศักยภาพ นั่นคือสิ่งที่อาปาและพ่อของเขาทำควบคู่มากับการพัฒนาเว็บไซต์ตั้งแต่เริ่มต้น บางบริษัทที่พวกเขาซื้อไว้หรือลงทุนไว้ก็ได้เติบโตและโดดเด่นจนมีเหล่าบริษัทยักษ์ใหญ่มาขอซื้อต่อ มันคือแหล่งรายได้อีกทางที่ทำให้บริษัทของเขาที่พาโล อัลโตเติบโตอย่างต่อเนื่อง ในคราวนี้ ที่เขาต้องกลับสหรัฐฯ ก็เพราะต้องกลับไปเจรจาเรื่องการซื้อขายบริษัทหนึ่งซึ่งเขาได้ร่วมลงทุนไว้ตั้งแต่เริ่มแรก มันคงเป็นการเจรจาที่ไม่ง่ายนักเพราะอีกฝ่ายเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีเขี้ยวลากดิน

"ก็ตามนี้แหละจ้ะ ฉันคงต้องอยู่สหรัฐฯ นานหลายสัปดาห์อยู่ แต่ไปคราวนี้ฉันพาแค่ริคกี้ไปนะ จะได้ให้ไปจัดการเรื่องเรียนต่อด้วย ส่วนยัยเมลิน่ายังอยู่ที่ฮ่องกง ถ้าเจมีอะไร ต้องการอะไรก็เรียกใช้ยัยนั่นได้เลยนะ ไม่ต้องลังเล"

ฆาเบียร์บอกเจนยุทธเหมือนกับที่เขาบอกทุกครั้งก่อนจากกัน เขาให้สิทธิ์เจใช้งานคนของเขาได้เต็มที่และเมลิน่าเองก็ยินยอมพร้อมใจที่จะให้บริการคนรักคนนี้ของเจ้านาย หากเจนยุทธก็ปฏิเสธเหมือนทุกครั้งที่บอก เจไม่เคยใช้สิทธิ์นั้นเลยสักครั้งถ้ามันไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับฆาเบียร์โดยตรง



"เฮ้อ ก็ดีเหมือนกันนะ ฆาบี้ อย่างน้อยคุณก็ไม่ต้องอยู่เชียงใหม่ช่วงที่เริ่มเข้าฤดูเผา"

เจพยายามทำเสียงร่าเริง เขาลงนอนหนุนตักของคนตัวโตและใช้นิ้วเขี่ยไล้ที่กล้ามท้องเป็นลอนของคนรักเล่น

"ฤดูเผา? มันคืออะไรเหรอเจ?"

ฆาเบียร์ถาม เจบอกว่าช่วงหน้าแล้งของไทยซึ่งเริ่มตั้งแต่เดือนมีนาคมไปจนถึงเดือนพฤษภาคมมักเป็นช่วงที่เกิดไฟป่าบ่อย มันทำให้อากาศในช่วงนั้นเต็มไปด้วยหมอกควันไฟ ในอดีตมันมักเกิดจากสาเหตุธรรมชาติและการเผาเพื่อถางที่ทำไร่เลื่อนลอยหรือหาของป่าอย่างผักหวานและเห็ดถอบ

"แต่ช่วงหลายปีหลังนี่ สถานการณ์มันแย่ลงมากครับ ตอนผมยังเด็กผมไม่เคยเจอนะไอ้แบบที่อากาศนอกบ้านมันมีควันหนาจนมองไปที่ไกลๆ ไม่เห็น หรือควันทึบจนมองดอยสุเทพไม่เห็นน่ะ อาจจะมีแค่ไม่กี่วันในหนึ่งปี แต่ช่วงหลายปีหลังมานี้ ดอยสุเทพหายทีเป็นเดือนๆ เลยนะคุณ ถ้าอยู่นอกบ้านนานๆ ก็แสบจมูกแสบคอไปหมดจนต้องใส่หน้ากากกันฝุ่นควัน ใช้แบบธรรมดาไม่ได้ด้วยนะ ต้องใส่แบบกันฝุ่นละเอียด"

เจเปิดภาพหน้ากากกันฝุ่นแบบ N95 ของ 3M ซึ่งกันฝุ่นละเอียดถึง 2.5 ไมครอนได้ให้คนรักของเขาดู



"ผมซื้อไว้ให้แม่สองโหลแล้วและพี่จืดก็เพิ่งซื้อเครื่องฟอกอากาศใหม่ให้แม่ด้วย เขาบอกว่าปีนี้มันอาจจะแย่กว่าปีที่แล้วอีกนะ"

"แล้วทำไมมันถึงแย่ลงมากล่ะเจ? คนเผาเพื่อทำไร่เลื่อนลอยหรือหาของป่ามากขึ้นขนาดนั้นเชียวเหรอ?"

เจนยุทธส่ายหัว

"คุณรู้ไหม เมื่อก่อนผมเคยคิดงั้นนะ คิดว่าคนมันจะต้องอยากกินผักหวานหรือเห็ดถอบอะไรขนาดนั้น เล่นเผากันจนหมอกควันเต็มเมืองไปหมด แต่เมื่อสองสามปีที่แล้วผมไปอ่านเจอบทความนึงอ่ะ เขาบอกว่าที่เผาๆ กันทุกวันนี้ มันเป็นเพราะข้าวโพดอาหารสัตว์"

ฆาเบียร์อุทานออกมาเบาๆ เขาเหมือนจะเคยผ่านตาเรื่องนี้มาเหมือนกัน มันไม่ใช่ปัญหาที่มีเฉพาะแต่ในไทย แต่ยังเป็นปัญหาของประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคแถบนี้อีกด้วย

"พอบริษัทการเกษตรยักษ์ใหญ่พวกนี้มาสนับสนุนให้ชาวบ้านปลูกข้าวโพด พวกชาวไร่เขาก็ต้องเร่งปลูกเพื่อให้เก็บเกี่ยวได้เร็วก่อนสินค้าจะล้นตลาดและราคาตก ทางภาคเหนือเรา พื้นที่เพาะปลูกมันก็เป็นตามไหล่เขา จะเอารถแทร็คเตอร์ไปไถกลบตอซังข้าวโพดมันก็ทำไม่ได้ วิธีที่ง่ายที่สุดก็คือเผาครับ ทีนี้ก็เผากันจนหมดดอยไปเป็นลูกๆ สิ แล้วเหมือนระยะเวลาที่เกิดปัญหามันจะยาวขึ้นเรื่อยๆ ด้วยนะ สมัยก่อนหมอกควันมันจะมาเยอะเอาตอนปลายมีนา ต้นเมษา แต่ตอนนี้เหรอ สักปลายกุมภาฯ คุณจะเริ่มได้กลิ่นควันไฟแล้ว มันจะมาเริ่มจางหายไปเอาตอนช่วงปลายพฤษภาที่ฝนเริ่มมา"



เจถอนหายใจเฮือกใหญ่ ต่อให้ทางรัฐพยายามแก้ด้วยการออกกฎเรื่องงดเผาช่วงกลางฤดูแล้ง แต่มันก็กันได้เฉพาะชาวไร่ของไทยบางส่วน หากประเทศรอบข้างอย่างพม่าซึ่งก็ส่งเสริมการปลูกข้าวโพดอาหารสัตว์ด้วยเช่นกันก็ยังเผาอยู่ดี และลมก็ได้หอบหมอกควันเหล่านั้นเข้ามาที่ภาคเหนือของไทยในที่สุด

"ฉะนั้นถ้าคุณเลี่ยงไม่มาในช่วงเดือนมีนาได้ก็ดี แต่พวกผมก็ต้องอยู่เป็นเนื้อรมควันกันต่อ ก็ต้องระวังกันไปครับเพราะในช่วงนั้นคนจะเป็นโรคปอดกับโรคทางเดินหายกันเยอะ"

เจหัวเราะหึๆ เขาไม่ค่อยห่วงตัวเองเท่าไหร่ แต่ที่เขาห่วงที่สุดก็คือแม่ของเขาซึ่งอยู่ในวัยเกือบเจ็ดสิบแล้ว ในปีก่อนๆ พวกพี่ๆ ของเขามักกำชับให้แม่อยู่ในห้องแอร์และให้เปิดเครื่องฟอกอากาศไว้ตลอดเวลา

"ที่สหรัฐฯ เองก็มีปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการปลูกข้าวโพดนะ"

ฆาเบียร์เล่าให้คนรักของเขาฟัง สหรัฐฯ นั้นเป็นผู้ปลูกข้าวโพดอาหารสัตว์อันดับหนึ่งของโลกและก็มีปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

"ปัญหาที่มีหลักๆ เลยก็จะเป็นด้านน้ำเสียเพราะพวกปุ๋ยที่ลงไปปะปนในแหล่งน้ำ ปัญหาเรื่องดินเสื่อมโทรมเพราะข้าวโพดนี่เป็นพืชที่ทำลายดิน แถมยังสิ้นเปลืองน้ำเพราะต้องใช้น้ำมารดปริมาณมาก ไหนจะยาฆ่าแมลงซึ่งพอพ่นทีมันก็กระจายไปในอากาศ แถมยังละลายปนลงไปในแหล่งน้ำอีก ปัญหาเยอะมากนะ"



(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)




ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1




---- Another Night... (ต่อ) ----





"คนเรานี่สร้างปัญหาให้โลกเยอะเนาะ"

เจเปรยออกมา ฆาเบียร์ไม่ตอบและลูบผมดำขลับของคนรักเล่น เจตีมือที่เริ่มเลาะเลื้อยลงมาเรื่อยๆ

"นี่ คนกำลังซีเรียสอยู่ ทะลึ่งจริงคุณ"

เจนยุทธบ่นเบาๆ

"คราวนี้คุณได้กลับบ้านที่พาโล อัลโตตั้งหลายสัปดาห์ งั้นก็ได้เอาน้องดอว์นของผมไปซิ่งแล้วสิ"

ฆาเบียร์หัวเราะคนที่ตีขลุมเรียกรถโรลส์รอยส์คันงามของเขาว่าเป็นของตัวเองเรียบร้อย

"ใช่จ้ะ ฉันคิดถึงมันจริงๆ ไว้ถ้าเจได้มีโอกาสไปเที่ยวบ้านฉันที่นู่น ฉันจะพานายนั่งไปกินลมชมวิวเล่นแน่นอน"

ฆาเบียร์ยิ้มกริ่ม แน่นอนว่าเขาจะไม่พลาดการขับพาเจขึ้นไปยังจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกดินที่โปรดของเขาบน Hawk Hill ที่ Sausalito ที่นั่นพวกเขาจะได้เห็นอาทิตย์อัสดงที่มีสะพานโกลเดนเกทเป็นฉากหน้า

"เจรู้ไหมว่า เบาะหลังรถของฉันมันนิ่มมากเลยนะ"

คนตัวโตทำตากรุ้มกริ่มใส่คนรักของเขา เจหน้าแดงซ่านเมื่อได้ยินคำพูดที่ส่อแววเชิญชวนนั้น

"นั่นสินะครับ ผมอยากลองนอนที่เบาะหลังรถคุณดูสักครั้งเหมือนกัน ว่าแต่คุณเถอะ ตอนคุณขยับขึ้นลงหัวจะกระแทกหลังคาผ้าใบหรือเปล่า? "

คราวนี้คนตัวโตเป็นฝ่ายหน้าร้อนผ่าวแทน ฟังจากคำพูดของเจนยุทธแล้ว เจ้าตัวเล็กคงอยากให้เขาอยู่  on top คนละแบบกับที่เขาคิดไว้ในหัวเป็นแน่แท้ เขารีบเปลี่ยนเรื่องพูดทันที



"พูดถึงเรื่องรถ...เจจ๊ะ ที่รถเมื่อกี้ พี่บูมของนายนี่เสียงสุดยอดเลยนะ ฉันงี้แทบแข็งเลยนะ"

คนตัวโตยักคิ้วให้ เจอุทานลั่น เขาซัดเบาๆ เข้าที่กล้ามท้องของคนรัก ฆาเบียร์ร้องลั่นแต่ก็โดนเจนยุทธซัดเข้าอีกรอบเพราะรู้ว่าพ่อเจ้าประคุณของเขาเพียงแค่ทำสำออยเท่านั้น

"คุณนี่ ห้ามเม้าพี่บูมนะ นิสัยไม่ดีนี่..."

เจพยายามปั้นหน้าให้เคร่งเครียดแต่ก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้เมื่อนึกถึงเหตุการณ์นั้น

"แต่ก็จริงอย่างที่คุณว่าอ่ะ เสียงพี่บูมโคตรเอ๊กซ์เลย ยังกับหลุดออกมาจากเอวีเกย์เลยคุณเอ๊ย"

ฆาเบียร์พยักหน้า เสียงครางกระเส่าของบูมนั้นแม้จะไม่ได้กระตุ้นเร้าอารมณ์ของเขาเท่ากับเสียงของเจนยุทธ แต่มันก็พอทำให้คนที่ได้ฟังเลือดลมพลุ่งพล่านได้

"ทำเป็นพูดดีไป เจนยุทธ นายเคยดู gay porn แล้วเหรอ? "

ฆาเบียร์ใช้คำว่า gay porn ที่เขาติดปากกว่าเรียกหนังประเภทที่ค่ายหนังญี่ปุ่นเรียกว่า GV

"ก็มีบ้าง ผมก็ต้องศึกษาไว้หน่อยอ่ะ"

เจพูดอ้อมแอ้ม ฆาเบียร์ทำหน้าตึง

"ทุกวันนี้นาย learn from the best อยู่แล้วนะ mi alma ไม่เห็นต้องไปหาศึกษาจากที่อื่นเลย"

เจแลบลิ้นให้คนที่อวดอ้างตัวเองเป็นสุดยอดแม้เขาจะแอบยอมรับนิดๆ ก็ตามว่าลีลาของเมียตัวโตของเขานั้นนับว่าเด็ดกว่าในหนังบางเรื่องที่เขาเคยดูมาเสียอีก



"แล้วเป็นไงบ้าง หนังแบบชายชาย ดูแล้วมีอารมณ์ไหม?"

"อืมม์...ไม่ค่อยอ่ะ เว้นแต่ถ้าคนในหนังนั้นคล้ายคุณ"

เจสารภาพ ยามเกิดอารมณ์อยากปลดปล่อย ถ้าเขาไม่ได้ต่อสายไปหาคนรัก เขาก็จะเลือกเปิดหนังเอวีแบบทั่วๆ ไปดูมากกว่าที่จะเป็นหนังแบบชายชาย

"งั้น เรามาลองหาหนังดูกันสักเรื่องไหม? ดูซิว่านายจะมีอารมณ์ไหม "

ฆาเบียร์ถามยิ้มๆ เขาลุกไปหยิบแท็บเล็ตของตนมา เขาเปิดโฟลเดอร์ที่ตั้งชื่อเป็นเรื่องงานไว้ หากภายในนั้นบรรจุคลิปหนังไว้สองสามเรื่อง เจทำตาโต พ่อเจ้าประคุณของเขาก็มีมุมแบบนี้ด้วยเหมือนกัน

"เอาเรื่องนี้แล้วกันนะ"

ฆาเบียร์ยิ้มเขินๆ ในตัวแสดงในคลิปนั้นเป็นชายเชื้อสายละตินร่างใหญ่กับหนุ่มเอเชียร่างเพรียว หลังๆ มาฆาเบียร์มักเลือกหาหนังที่มีตัวเอกที่มีลักษณะคล้ายเขากับเจนยุทธมาเก็บไว้ แต่เขาก็แทบไม่ได้ดูมันเพราะเมื่อดูแล้วเขาก็อดเอาตัวเอกที่เป็นเอเชียไปเทียบกับเจไม่ได้และก็มักจะหมดอารมณ์ไปก่อนเสียทุกครั้ง เจลากโต๊ะที่เขาใช้วางมือถือยามคุยกับคนรักทุกครั้งมาเพื่อวางไอแพดจากนั้นก็ซุกตัวเข้าไปนั่งอิงแอบแนบอกของคนรักซึ่งกึ่งนั่งกึ่งนอนพิงหัวเตียงอยู่ ภาพบนหน้าจอนั้นเป็นชายหนุ่มสองคนที่กำลังเริ่มทำความรู้จักกัน พวกนักแสดงเริ่มกอดจูบและปลดเปลื้องเสื้อผ้าของกันและกันออกจนเกือบหมดตัว และย้ายขึ้นไปนั่งเล้าโลมกันต่อบนโซฟา



ฆาเบียร์ที่หน้าเริ่มขึ้นสีน้อยๆ กระชับวงแขนเพื่อโอบไหล่คนรักให้แน่นขึ้น เขาลูบต้นแขนของเจเบาๆ  ด้วยความพิศวาส เขาเหลือบมองปฏิกิริยาของคนรัก แต่ก็พบว่าเจนยุทธยังดูไม่ได้มีอารมณ์ร่วมกับภาพที่เห็นในหน้าจอมากนัก เมื่อเทียบกับเขาที่แกนกายเริ่มตื่นน้อยๆ เพราะความตื่นเต้นแล้ว ส่วนสงวนของเจยังดูไร้ปฏิกิริยาตอบสนองต่อภาพที่เขาได้ดู ฆาเบียร์ตัดสินใจเลียนแบบสิ่งที่ปรากฎบนหน้าจอ เขาหอมแก้มใสๆ ของคนรักเบาๆ เจหันหน้ามาหาเขาแล้วเริ่มตอบสนองด้วยจูบแบบเดียวกับในจอ คนตัวโตยิ้มบางๆ เจนยุทธช่างเท่าทันเขาจริงๆ

ฆาบี้เอื้อมมือลงไปเคล้นคลึงส่วนสงวนของเจนยุทธซึ่งในตอนนี้เริ่มโป่งพองดันกางเกงในขึ้นหลังจากถูกเขาเริ่มโลมเล้า เขาใช้มือลูบไล้และบีบนวดมันด้วยจังหวะเดียวกับที่ตัวเอกในหนังทำ ลมหายใจของเจเริ่มหอบถี่ขึ้น เขาเหลือบตามองภาพในจอไปพร้อมๆ กับมองมือของคนรัก เจเริ่มทำตามที่ตัวเอกอีกคนทำ เขาเองก็ใช้มือรูดไล้ส่วนแข็งเกร็งของฆาเบียร์ที่ผงาดเงื้อมและโผล่พ้นขอบกางเกงชั้นในแบบบรีฟออกมา ฆาเบียร์ซี้ดปากเมื่อเจคลึงย้ำๆ ที่ส่วนปลาย มือนิ่มๆ ของเจทำให้อารมณ์ของเขาเตลิดไปไกลแล้ว

ในจอ หนุ่มเอเชียร่างเพรียวเริ่มขยับกายลงต่ำ เขาเริ่มจากการจูบและเลียไล้ยอดอกของหนุ่มละติน เจนยุทธทำตามสิ่งที่เขาเห็นทุกประการ เขาดูดดึงยอดอกสีแทนของฆาเบียร์ที่เริ่มชูชันขึ้น ฆาบี้กัดปากเบาๆ ด้วยความเสียวซ่าน เจจูบไล่ลงมาตามกล้ามท้องของคนตัวโตก่อนที่จะลงมาถึงแก่นกายแข็งแกร่งของฆาเบียร์



"อืมม์ ถ้าเทียบกันแล้วคุณชนะเลิศนะ ฆาบี้"

เจเหลือบตาดูที่หน้าจอแล้วหันกลับมามองสิ่งที่อยู่ตรงหน้า เขาดึงกางเกงผ้ายืดตัวน้อยของคนรักออกและค่อยๆ จูบแผ่วๆ ตามรอบบริเวณอย่างต้นขาที่แข็งแรงของฆาเบียร์ ตามด้วยท้องน้อยซึ่งเขาทิ้งรอยจูบสีกุหลาบไว้หลายรอย และสุดท้ายเขาได้จูบเน้นย้ำที่ใต้ฐานตรงรอยต่อกับถุงเนื้อที่ห้อยย้อย ฆาเบียร์แทบดิ้นตายไปเพราะความตื่นเต้น เจค่อยๆ รุกคืบเข้าใกล้ส่วนสงวนของคนรักทีละน้อย เขาเริ่มด้วยการจูบไล่ตามลำแท่งแข็งแกร่งและไล่เรื่อยขึ้นไปด้านบน เจเลียไล้ที่รอยหยักใต้ส่วนปลายอันแดงก่ำ แต่เขายังไม่ยอมแตะต้องส่วนที่ไวต่อสัมผัสที่สุด

"แกล้งกันนักนะ"

ฆาเบียร์คำรามเบาๆ เขาดึงมือเจนยุทธให้ไปเกาะกุมส่วนปลายอันไวสัมผัส เจยิ้มกริ่มและค่อยๆ ขยับมือนวดเฟ้นเบาๆ ก่อนจะใช้ริมฝีปากนิ่มครอบลงไปตามภาพในจอ ฆาเบียร์ซี้ดปากและขยับสะโพกดันแท่งลำแกร่งของเขาเข้าปากน้อยๆ นั้นอย่างลืมตัว เจเหลือบตามองต้นแบบในจอแท็บเล็ตของฆาเบียร์และพยายามเลียนแบบการขยับของนักแสดงหนุ่มในจอ

"อูย แบบนั้นแหละ เจ ดีมากจ้ะ"

คนตัวโตครางเบาๆ เรียวลิ้นของเจพลิกพริ้วไปมาตามส่วนสงวนของเขาโดยเฉพาะตรงจุดอ่อนไหว โพรงปากที่ทั้งอุ่นและชุ่มชื้นของเจโอบรับแก่นกายที่ร้อนผ่าวแทบระเบิดของเขาไว้อย่างแนบแน่น ฆาเบียร์หลับตาและปล่อยใจให้เพริดไป แรงดูดหนักสลับเบากระตุ้นให้อารมณ์ของเขาพลุ่งพล่านจนระงับแทบไม่ไหวแล้ว



"เฮ้ๆ อย่านอกบทสิ mi amor"

คนตัวโตสะดุ้งเฮือกและโวยเบาๆ เมื่อรู้สึกได้ถึงการรุกรานที่ช่องทางด้านหลัง หากคนตัวเล็กยิ้มกริ่มและไม่ยอมหยุดมือ ฆาเบียร์ผวากายขึ้นเมื่อรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนที่รอบช่องทางแคบเล็กของเขา เจแอบหยิบเอาของเล่นชิ้นที่เคยทำให้เขาเสียวจนแทบหมดสติออกมาจากถุงอุปกรณ์ของพวกเขาและกำลังใช้มันสร้างความเสียวซ่านให้ฆาเบียร์อีกครั้ง

"อา ดี ซี้ด มันเสียวมากเลยเจ"

ฆาเบียร์ร้องลั่น เขาทำท่าขัดขืนในทีแรก แต่ความหฤหรรษ์ที่ได้รับทั้งจากริมฝีปากของคนรักและจากทางช่องทางด้านหลังทำให้เขาหมดปัญญาขัดขืน เขาบิดกายเร่าๆ เมื่อเจค่อยๆ ดันของเล่นที่มีสองแง่งนั้นเข้าในกายของเขา ไม่นานนัก แรงนวดเฟ้นทั้งจากภายนอกบริเวณใต้ถุงเนื้อและภายในที่บริเวณจุดเสียวทำให้ฆาบี้ปลดปล่อยออกมาเต็มโพรงปากของเจนยุทธ

เจดึงอุปกรณ์เสริมออกจากช่องทางที่เต้นตุบๆ ของคนรัก เขาใช้เรียวลิ้นเลียไล้และค่อยชำแรกมันเข้าในกายของฆาเบียร์ คนตัวโตซี้ดปาก ที่รักของเขาเก่งขึ้นทุกวันๆ และมันทำให้เขาขัดขืนเจได้ยากขึ้นทุกที



"อื้อหือ ตอดใหญ่เลยนะฆาบี้"

เจสูดปาก เมื่อรู้สึกถึงแรงตอดรัดที่แก่นกาย เขาค่อยๆ ดันสะโพกส่งส่วนแข็งเกร็งของเขาเข้าช่องทางที่ฉ่ำเยิ้มไปด้วยเจล ฆาเบียร์ซึ่งคุกเข่าโก้งโค้งให้คนรักก็ค่อยๆ ดันสะโพกมาด้านหลังจนรู้สึกได้ถึงหน้าขาของเจที่แนบชิดกับบั้นท้ายของเขา เจเริ่มขยับกายช้าๆ เขาค่อยๆ เหนี่ยวเอวของเมียตัวโตของเขาเข้าเป็นจังหวะ ฆาเบียร์หอบหายใจหนักๆ เขาใช้มือรูดไล้แก่นกายของตนไปตามจังหวะกระแทกกระทั้นของเจ เสียงครางจากในคลิปยังคงดังเป็นระยะๆ แต่คนทั้งสองไม่สนใจดูมันอีกแล้ว เจตบเบาๆ ที่ก้อนเนื้อหนั่นแน่นของคนรัก

"Harder, baby...Oh yes! That's it...right there!"

ฆาเบียร์ร้องลั่นด้วยความเมามันในอารมณ์เมื่อแท่งลำของเจกระแทกย้ำๆ เข้าที่ต่อมเสียวของเขา เขาดันกายมาด้านหลังสวนกับการกระแทกเข้าของคนรักอย่างไม่กลัวเจ็บ เจขบกรามแน่น เขาพยายามจะนุ่มนวลกับคนรักแต่ดูเหมือนมันจะไม่ใช่สิ่งที่ฆาเบียร์ต้องการ เขาทั้งตบทั้งขยำขยี้บั้นท้ายหนานั้นหนักขึ้นจนก้อนเนื้อหนั่นแน่นที่โค้งงอนได้รูปจากการออกกำลังกายนั้นแดงก่ำ มันยิ่งทำให้ฆาเบียร์อารมณ์เตลิดและครวญครางหนักขึ้น

ฆาเบียร์สะบัดหน้าไปมาเพราะความเสียวซ่าน เขาเอนกายมาด้านหลัง เจนยุทธก็ตอบรับด้วยการค่อยๆ ขยับลงนอนทั้งๆ ที่กายของพวกเขายังเชื่อมต่อกัน ฆาเบียร์ขึ้นนั่งยองๆ คร่อมร่างคนรัก เขากระแทกกายลงอย่างคุ้นชินในทิศทางต่างๆ เจเด้งเอวรับการขยับของฆาบี้ เจอดยิ้มออกมาไม่ได้ เมียตัวโตของเขาดูจะเริ่มชินและสนุกกับการเป็นฝ่ายรองรับขึ้นทุกวัน ฆาเบียร์รู้ดีว่าต้องทำอย่างไรเพื่อที่ตนเองรู้สึกหฤหรรษ์ที่สุด และเจก็พร้อมที่จะสนองคนรักของเขาอย่างเต็มที่



"เจ เจจ๊ะ ฉันจวนแล้ว จวนอีกแล้วที่รัก"

คนตัวโตแผดเสียงลั่น เจซึ่งรวบขาแข็งแรงของฆาเบียร์ไว้เม้มปากแน่น เขาเองก็จวนถึงจุดแล้วเช่นกัน เขากลั้นใจส่งแก่นกายเข้าช่องทางแดงก่ำที่ตอดรัดไม่หยุดนั้นอีกไม่กี่ครั้งฆาเบียร์ก็แผดเสียงคำรามดังลั่นออกมา เจเองก็กายสั่นเทิ้มและฟุบตัวไปบนร่างของคนรัก คนตัวโตหอบหายใจถี่เร็วและปล่อยมือออกจากแก่นกายที่อ่อนตัวลงของตน เขาถึงจุดหลายครั้งจนรอบนี้แทบไม่มีอะไรเหลือออกมาอีกแล้ว เขาจูบเรือนผมของคนตัวเล็กที่นอนหอบกระเส่าอยู่บนอกและโอบรัดร่างเพรียวที่สั่นน้อยๆ นั้นไว้แน่น เจจูบเบาๆ ที่อกด้านซ้ายของคนรัก เขาอดเขินไม่ได้เมื่อเห็นว่าแผงอกกว้างของฆาเบียร์นั้นเต็มไปด้วยรอยสีกุหลาบที่เขาทำไว้อย่างลืมตัว ฆาเบียร์ก้มลงมองตามสายตาของคนรักและจุ๊ปากออกมา

"รุนแรงจริงนะ เจนยุทธ"

ฆาเบียร์ขมวดคิ้ว เขารู้สึกได้ว่าที่แผ่นหลังและต้นคอของเขาคงมีรอยแบบเดียวกันอยู่เปรอะไปหมดแน่นอน เจหัวเราะแหะๆ และยอมรับผิดโดยดุษฎี โดยปกติเขาไม่ใช่คนที่ชอบทิ้งรอยและไม่ชอบให้ใครทิ้งรอยไว้บนตัว แต่ฆาเบียร์เหมือนจะเป็นข้อยกเว้นของเขา เจขยับกายขึ้นไปจุ๊บเบาๆ ที่ริมฝีปากของคนรัก

"รักนะครับ คนดีของผม"

เจกระซิบคำรักแผ่วๆ เขาซบหน้าลงกับแผงอกกว้างที่เขาจะไม่ได้หนุนนอนไปอีกกว่าเดือนครึ่ง

"รักเหมือนกันจ้ะ"

ฆาเบียร์จูบเรือนผมดำขลับที่เปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ เขาลูบแผ่นหลังแข็งแรงของเจเบาๆ พวกเขานอนนิ่งๆ แบบนั้นอีกครู่ใหญ่โดยไร้บทสนทนา ทั้งคู่เหมือนจะจมอยู่ในห้วงความคิดของตน



"โอเค ไปล้างตัวกันเถอะครับ ฆาบี้..."

เจพูดทำลายความเงียบ เขาแอบยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่หยาดหยดลงมาน้อยๆ จากนั้นยกนาฬิกาขึ้นดู

"...ตายล่ะ นี่เกือบตีห้าแล้ว เราควรนอนกันได้แล้วนะครับ ไฟลท์คุณออกบ่ายสามกว่า เราออกที่นี่ซักก่อนบ่ายโมงหน่อยก็น่าจะเหลือๆ ก็ตื่นกันซักสิบโมงแล้วกันเนาะ เผื่อจัดกระเป๋าอีก"

เจนับนิ้ว ถ้านอนสักตีห้า พวกเขาก็น่าจะมีเวลานอนสักห้าชั่วโมงสบายๆ เขาทำท่าจะลุกขึ้นแต่ถูกคนรักฉุดรั้งตัวไว้

"ลุกไหวไหม ฆาบี้ ให้ผมช่วยประคองไหม?"

เจนยุทธขมวดคิ้ว ฆาเบียร์ส่ายหัวและปฏิเสธว่าไม่ใช่เรื่องนั้น

"นายเพิ่งเสร็จไปทีเดียวเองนะ เจ นายพอใจแล้วเหรอ?"

เจผงกหัวและยิ้มหวานให้เมียตัวโตของเขา

"พอใจแล้วครับ คนดีของผม"

"แน่ใจนะเจ เราจะไม่ได้เจอกันอีกเดือนครึ่งเลยนะ"

ฆาเบียร์ขมวดคิ้วและถามขึ้นเบาๆ เจหัวเราะเบาๆ

"ไม่ต้องห่วงผมหรอกครับ ผมน่ะยังไงก็ได้ แค่ได้เห็นคุณมีความสุขเต็มอิ่มผมก็พอใจแล้วครับ​"

เจจูบหนักๆ ที่แก้มซึ่งเริ่มมีหนวดเคราขึ้นเขียวของคนรัก​

"แต่ฉันยังไม่อิ่มเลยนะ"

คนตัวโตพูดด้วยใบหน้าแดงซ่าน เจเลิกคิ้วเมื่อฆาเบียร์เลื่อนมือใหญ่มาเกาะกุมแก่นกายของเขาและเริ่มนวดเฟ้นมันอีกครั้ง



"ไหวแน่นะครับ ฆาบี้?"

เจถาม ฆาเบียร์พยักหน้า เขายังต้องการความรักจากเจนยุทธเพื่อเติมเต็มช่วงเวลาที่จะต้องอยู่ห่างกัน เจขมวดคิ้วและแอบเหลือบดูนาฬิกา ตัวเขานั้นยังมีพลังเหลือเฟือ หากเขาแค่เป็นห่วงคนที่ต้องเดินทางกลับฮ่องกงเท่านั้น

"Just a quick one, OK?"

ฆาเบียร์พยักหน้ารับคำ

"เดี๋ยวพอเสร็จแล้วเราก็จัดกระเป๋าแล้วก็อาบน้ำไว้เลยก็ได้นะเจ พรุ่งนี้จะได้ไม่ต้องพะวงมาก ตื่นสายหน่อยได้ แค่ล้างตัวลวกๆ แปรงฟันก็ออกบ้านได้แล้ว"

คนตัวโตพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เขาดึงร่างคนรักให้ขึ้นมานอนเคียงข้างและเริ่มป้อนจูบอันดูดดื่มให้ เจขยับกายขึ้นทาบทับร่างกำยำของเมียตัวโตของเขาและเริ่มบรรเลงเพลงรักอีกครั้ง




--------------------------------------

ก่อนอื่นก็ต้องขอสุขสันต์วันแม่แด่คุณแม่ทุกท่านนะคะ :-)

วันนี้คนเขียนขอเอารูปที่ติดไว้จากตอนที่แล้วมาฝากค่ะ รูปจากร้าน The Volcano เพิ่งไปกินมาเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน ในเรื่องเขียนถึงแค่พ็อคเก็ตชีสโทสต์ทุเรียน แต่ว่าคนเขียนหารูปไม่เจอ เอารูปผลิตภัณฑ์ใหม่ไปดูก่อนนะคะมีทั้งบ้านขนมปังและของใหม่ตามฤดูกาลที่เพิ่งวางขายเมื่อประมาณสองสามเดือนที่ผ่านมาคือ หมอนทองชีสโทสต์ค่ะ







ตามที่เห็นในรูปแทนที่จะบดเนื้อทุเรียนใส่ไปกับชีส เขาเอาทุเรียนหมอนทองสดๆ ครึ่งพูใส่ลงไปในขนมปังแทนโดยราดน้ำกะทิไว้ด้านบน จะสั่งเป็นแบบมีชีสหรือไม่มีชีสก็ได้ แต่โดยส่วนตัวแล้วชอบแบบที่บดเนื้อใส่ไปกับชีสมากกว่าค่ะ


ส่วนเรื่องปัญหาหมอกควันในภาคเหนือ เรื่องนี้ปัญหาใหญ่ค่ะ เมื่อก่อนเคยโทษพวกหาของป่า แต่หลังๆ มาก็เริ่มชัดขึ้นว่าต้นเหตุคืออย่างอื่นค่ะ


ข้าวโพดและปัญหาหมอกควัน  http://bit.ly/2B3gjIf


ถัดไปเป็นข่าวใหญ่(ของวงการอาหาร)อีกข่าวที่ตอนแรกกะจะเขียนถึงตั้งแต่ท้ายตอนที่แล้วแต่ก็ลืมคือเรื่องการจากไปของเชฟ Joël Robuchon​ ในวันที่ 6 สิงหาคมที่ผ่านมาด้วยวัย 73 ปีค่ะ แม้ตัวเชฟเองจะไม่ได้ลงครัวอย่างเต็มตัวมาตั้งแต่อายุ 50 และทำหน้าที่เพียงเป็นคนรังสรรค์เมนูและกำกับดูแลเหล่าร้านอาหารทั่วโลกเท่านั้น แต่เขาก็ยังได้ชื่อว่าเป็นเชฟผู้เคยครองดาวมิเชแลงมากที่สุดในโลก (32 ดวงจากกว่าร้านอาหารกว่า 20 แห่งทั่วโลก) ต่อไปนี้ก็คงต้องรอดูต่อไปค่ะว่าทิศทางของร้านจะไปทางไหนต่อ ใครจะเป็นคนขึ้นมากุมบังเหียนกลุ่มร้านอาหารชื่อดังนี้ต่อและคนจะเชื่อมือเขาเท่าเชฟโจเอล โรบุชงเองไหม ก็ต้องคอยดูกันต่อไปค่ะ


เชฟโจเอล โรบุชง http://bit.ly/2OZ9WIO



ขออำลาตอนนี้ไปด้วยภาพ(เก่า) จากร้าน Robuchon au Dome ที่มาเก๊าค่ะ











 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด