---- Boys' Night Out ----
"มานี่ เจ ฉันจัดการให้"
เจนยุทธที่กำลังรบรากับเนคไทอยู่หันกลับไปหาฆาเบียร์ ตั้งแต่จบมหาวิทยาลัยมาเขาก็ไม่ค่อยได้ผูกเนคไทเองเท่าไหร่ ฆาบี้จัดแจงผูกปมเนคไทให้คนรัก เขาสำรวจร่างเพรียวที่อยู่ตรงหน้าและยิ้มอย่างพึงใจ เจในชุดสูทสีน้ำตาลช็อคโกแลตแบบเข้ารูปช่างดูเป็นการเป็นงานแต่ในขณะเดียวกันก็ดูโฉบเฉี่ยวทันสมัยด้วยทรงของสูท อีกทั้งทรงผมที่เจจัดให้มันดูไม่เนี้ยบจนเกินไปทำให้เขาดูเหมือนหนุ่มทายาทนักธุรกิจใหญ่สักคน
ฆาเบียร์ดึงเจมายืนเคียงข้างเขาที่หน้ากระจกบานใหญ่แล้วถอนหายใจ
"เป็นอะไรเหรอ ฆาเบียร์"
"ดูสิ นายแต่งตัวแบบนี้ พอยืนคู่กัน ฉันดูแก่งั่กไปเลย"
เจนยุทธหัวเราะคิกคัก ฆาบี้ของเขาแต่งตัวตามสไตล์นักธุรกิจใหญ่ตามเคย สูทสามชิ้นสีน้ำเงินกรมท่าลายทางของเขาเนี้ยบก็จริงแต่ด้วยทรงสูทที่เป็นแบบอังกฤษนั้นเน้นความภูมิฐาน แม้ช่วงเอวจะเข้ารูปไม่ปล่อยย้วยเหมือนทรงอเมริกัน แต่ช่วงไหล่ที่เสริมจนหนาและเนื้อผ้าที่ดูหนักทำให้เขาดูมีอายุกว่าที่เป็น ส่วนสูทของเจซึ่งเป็นทรงอิตาเลียนที่เข้ารูปและใช้ผ้าที่เนื้อบางเบากว่านั้นได้ช่วยขับเน้นให้รูปร่างของเขาดูเพรียวบางเหมือนหนุ่มน้อย
"งั้น พ่อครับ วันนี้หลังงานเลิกผมขอไปเที่ยวได้ไหมครับ?"
เจพูดกลั้วหัวเราะ
"เดี๋ยวเถอะ เจ!"
ฆาเบียร์คำรามเสียงดุๆ ใส่คนรักที่มาเรียกเขาว่าพ่อ เขาบ่นพึมพำเล็กน้อยว่าที่จริงเขาอยากแต่งตัวสีโทนเดียวกับเจ
"แหม เนคไทก็สีเดียวกันแล้วไง นี่ก็ใส่เหมือนกัน คุณกลัวใครเขาจะไม่รู้เหรอว่าผมมากับคุณ"
เจชี้ไปที่ต่างหูสีน้ำเงินของคาตาลิน่า ฆาเบียร์ยิ้มบางๆ และจูบลงเบาๆ ที่ต่างหูของแม่เขาบนหูของคนรัก
"เวลาที่ไม่ได้อยู่กับฉัน นายใส่มันติดหูตลอดใช่ไหม?"
เจยิ้มเจื่อนๆ และสารภาพว่าบางทีเขาก็ไม่ได้ใส่ โดยเฉพาะเวลาที่ต้องขี่รถเวสป้าไปไหนมาไหน
"ผมไม่รู้หรอกนะว่าจริงๆ มันราคาเท่าไหร่ แต่ก็พอรู้อยู่ว่ามันแพงเลยไม่ค่อยกล้าใส่เท่าไหร่ ผมกลัวเอาไปทำตกหายที่ไหนอ่ะ"
"ใส่ๆ ไปเถอะน่า เจ ไม่ต้องคิดมาก อย่างที่ฉันเคยบอก มันเป็นเพชรเก่า ค่าของมันไม่ได้เยอะมากมายเหมือนอย่างที่ซันซันบอกหรอก"
ฆาเบียร์พูดยิ้มๆ เขาไม่กล้าบอกเจหรอกว่าเขาเคยเอาต่างหูของแม่ไปตีราคาเพื่อทำประกัน ฆาเบียร์ต้องสะดุ้งเมื่อรู้ว่าสองข้างรวมกันนั้นมีมูลค่ากว่าครึ่งล้านเหรียญสหรัฐฯ จริงอยู่ที่มันถูกเจียระไนด้วยเหลี่ยมโบราณอย่างเหลี่ยมกุหลาบซึ่งทำให้เพชรเปล่งประกายออกมาได้น้อย ในสมัยนี้มักนิยมใช้เจียระไนเพชรที่น้ำไม่งามนักและใช้ใส่กับตัวเรือนแบบโบราณ แต่สำหรับเพชรสีน้ำเงินคู่นี้ของแม่เขานั้นเป็นเพชรน้ำงามที่มีสีเข้มจนเหมือนแซฟไฟร์ อีกทั้งขนาดและสีของมันยังเท่ากันทั้งสองข้าง ราคาจึงไม่ต่ำไปจากเพชรสีน้ำเงินเข้มสมัยใหม่มากนัก ร้านที่เขานำไปตีราคาถึงกับถามว่าเขามีแบบนี้อีกไหมเพราะทางร้านเชื่อว่าทั้งสองเม็ดต้องถูกตัดออกมาจากเพชรดิบก้อนใหญ่ก้อนเดียวกันอย่างแน่นอน แต่เขาก็ไม่เคยได้ถามยายที่ไม่ค่อยได้คุยกันของเขาถึงเรื่องนี้ อีกทั้งตัวเขาเองก็ไม่ได้สนใจมันไปมากกว่าคุณค่าในด้านเป็นของต่างหน้าของแม่
"แต่มันก็เป็นของดูต่างหน้าแม่ของคุณนะ ใส่บ่อยๆ ผมก็กลัวมันจะหมอง"
"ของมันมีไว้ให้ใส่ก็ใส่เถอะเจ ดีกว่าเอาทิ้งไว้เฉยๆ ฉันว่าแม่ของฉันก็คงดีใจที่ได้รู้ว่าคนที่ใส่มันคือคนที่ฉันรักจริงๆ"
"...อย่าไปคิดถึงคุณค่ามันในด้านตัวเงินเลยนะ คนดีของฉัน คิดเสียว่ามันคือของแทนใจของฉันที่มีให้กับคนที่เป็นอีกครึ่งหนึ่งของชีวิตฉันเถอะนะ"
เจหน้าแดงระเรื่อ คนตัวโตทำให้เขาคิดไปไกลอีกแล้ว จนกระทั่งตอนนี้ เขาก็ยังคิดว่าความรักของเขากับฆาเบียร์เหมือนอยู่ในความฝัน เขาเผื่อใจไว้ตลอดเวลาเผื่อสักวันฟองสบู่ที่ห่อหุ้มตัวเขาจะแตกและตัวเขาจะตกสู่โลกของความเป็นจริง แต่คำพูดและการแสดงออกของฆาเบียร์ทำให้ตัวเขาลอยฟ่องอยู่เหนือก้อนเมฆสูงขึ้นไปทุกที
เจหลับตาและดึงคนตัวโตของเขาเข้ามากอดและป้อนจูบอันอ่อนหวานให้ ณ เวลานี้ เขาไม่กลัวที่จะเจ็บตัวอีกแล้ว เขาขอเพียงแค่ได้ดื่มด่ำอยู่ในห้วงฝันรักของพ่อกุหลาบงามดอกนี้ให้นานต่อไปอีกหน่อย แค่นี้เขาก็พอใจแล้ว
"เจจ๋า...สูทยับแล้วนะ"
ฆาเบียร์หอบและกระซิบเบาๆ ข้างหูของคนรักที่ซบหน้ากับอกของเขา เจรีบดันตัวออกและต้องหัวเราะเมื่อเห็นผมของเขาทั้งคู่ยุ่งเหยิงเพราะมือของอีกฝ่ายตอนที่กำลังเคลิบเคลิ้มกับรสจูบอันดื่มด่ำ
"มา เดี๋ยวผมหวีแล้วจัดทรงให้ใหม่"
เจให้ฆาเบียร์นั่งลงที่หน้ากระจกจากนั้นเขาจัดการหวีและจัดแต่งทรงผมของคนรักด้วยมูส มารอบนี้ ฆาเบียร์ตัดผมออกเล็กน้อย แต่ก็ยังยาวปรกคอแบบที่เจบอกว่าชอบ แต่แทนที่เขาจะเสยผมเปิดหน้าผากแบบที่ฆาเบียร์ชอบทำตอนที่ต้องออกงาน เขากลับแสกข้างและตลบผมให้มันปกหน้าผากข้างหนึ่งเล็กน้อย ฆาเบียร์ยิ้มปล่อยให้คนตัวเล็กเล่นหัวเขาจนพอใจ
"ไม่รำคาญใช่ไหมอ่ะ? ดูไม่เป็นทางการไปหรือเปล่า?"
ฆาเบียร์บอกว่าไม่เป็นไร เขาก็เบื่อลุคเดิมตัวเองเหมือนกัน อีกอย่างทรงที่เจจัดให้ก็คล้ายๆ กับทรงที่เขาทำประจำอยู่แล้ว
"ถ้าเจทำผมให้ฉันแบบนี้ทุกวันได้ก็ดีสินะ"
ฆาเบียร์เปรยขึ้น เจลอบถอนหายใจและไม่ตอบอะไร เขาก้มลงจูบเรือนผมหอมกรุ่นของฆาบี้เบาๆ ก่อนจะไล่เมียตัวโตของเขาให้ลุกขึ้นและลงนั่งจัดทรงผมของตัวเอง
"ตายล่ะ นี่ได้เวลาแล้วนี่ ฆาเบียร์ ผมมัวแต่เล่นผมคุณ ขอโทษที"
"ไม่เป็นไรหรอก เจ งานอยู่ตึกนี้อยู่แล้ว เราไม่ช้ามากนักหรอก..."
"...แล้วถึงช้าก็คุ้มค่านะ เจ"
ฆาเบียร์พูดยิ้มๆ เจหน้าร้อนผะผ่าว เขารู้ว่าฆาบี้หมายถึงตอนที่พวกเขาใช้เวลาให้ความสุขกันและกันในห้องน้ำ ต่อให้ไม่ได้ทำถึงขั้นสุดมันก็ยังเสียเวลาไปบ้างอยู่ดี
"ไปๆ ฆาบี้ เราไปกันได้แล้วน่า"
เจดึงมือฆาเบียร์และเปิดประตูห้องพักผ่อนออกไป เขาต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อเห็นคริสนั่งอ่านนิตยสารรอพวกเขาอยู่ที่โซฟาห้องทำงานของฆาเบียร์ คริสที่ได้ยินเสียงประตูเปิดหันมาหาทั้งสองคนและยิ้มกว้างให้ เจรีบเดินเข้าไปยกมือไหว้ตามความเคยชิน คริสดึงคนรักของลูกบุญธรรมเข้าไปกอดทักทาย ฆาบี้มองภาพครอบครัวเล็กๆ ของเขาด้วยความสุขใจ
"อาปามานานแล้วเหรอครับ พวกผมกำลังจะลงไปที่งาน"
ฆาบี้ถามขึ้น คริสยิ้มละไมให้ลูกชาย
"ก็พักใหญ่แล้วล่ะ ตอนนี้ยังไม่มีพิธีอะไร เจ้าสาวก็กำลังไปเปลี่ยนชุด อาปาก็เลยว่าจะลงมานั่งคุยกับพวกเราก่อน แต่เข้ามาแล้วไม่เจอใครเลยนั่งรอ"
ทั้งสองหนุ่มขอโทษขอโพยคริสที่พวกเขาแต่งตัวนานไปหน่อย
"ไม่เป็นไรๆ อาปารู้ว่าพวกเราน่ะอาบน้ำแต่งตัวกันนาน..."
คริสยิ้ม เขารู้ดีว่าพ่อลูกชายของเขานั้นใช้เวลาแต่งองค์ทรงเครื่องนานเสมอ
"...ว่าแต่ อาปาว่าลูกน่าจะต้องปรับปรุงห้องน้ำข้างล่างนี่ใหม่นะ มันไม่ค่อยเก็บเสียงเท่าไหร่เลย"
คริสกระเซ้าทั้งสองที่ยืนหน้าแดงอยู่ ตอนเขาเข้าห้องมาเขาเดินผ่านผนังส่วนที่ติดกับห้องน้ำ ถึงเสียงน้ำจะดังแต่เสียงฆาเบียร์นั้นดังกว่า ถึงจะเป็นช่วงสั้นๆ แต่ก็รู้ได้ว่าคนข้างในนั้นกำลังทำกิจกรรมแบบไหนอยู่ ฆาเบียร์ได้แต่พึมพำว่าเขาจะรีบจัดการให้เร็วที่สุด ส่วนเจนั้นหนีไปยืนก้มหน้าก้มตากดมือถืออยู่มุมห้อง ส่วนคริสนั้นหัวเราะอย่างอารมณ์ดี เขายังทันได้ยินบทสนทนางุ๊งงิ๊งของทั้งสองคนตอนแต่งตัวด้วย เขาอดยิ้มออกมาไม่ได้เมื่อได้ยินลูกชายที่เคยไร้รักของเขาเรียกเจเป็นอีกครึ่งหนึ่งของชีวิต
"งั้น เราลงไปกันเลยดีไหม? งานน่าจะใกล้เริ่มแล้ว"
ฆาเบียร์บอกว่าเขาจะเอากระเป๋าเสื้อผ้าของเจขึ้นไปเก็บที่ห้องโรงแรมก่อน แล้วจะลงไปพบกับทั้งสองคนที่หน้าห้อง Diamond Ballroom ของโรงแรมริทซ์ คาร์ลตันซึ่งอยู่บริเวณชั้น 3 ของตึก ICC เลย พวกเขาแยกกันที่หน้าลิฟท์ เจติดตามคริสลงไปที่ห้องบอลรูมอันเป็นสถานที่จัดงานแต่ง เขามีทีท่าตื่นเต้นเมื่อเห็นความโอ่โถงของมัน เจเดินตามคริสไปยังส่วนรับแขกที่อยู่ด้านนอกห้องบอลรูม มันเห็นวิวอ่าววิคตอเรียอย่างชัดเจน ที่นั่นเหล่าแขกที่แต่งกายอย่างหรูหราสวยงามต่างยืนสังสรรค์สนทนากันอยู่
"มาสิ เดี๋ยวอาปาจะพาไปแนะนำตัวกับพ่อเจ้าบ่าว"
คริสหันมาบอกเจนยุทธและดึงมือเขาให้เดินขึ้นไปหาเพื่อนของเขา หลังจากทักทายเพื่อนแล้วเขาก็หันมาแนะนำเจซึ่งยืนสงบเสงี่ยมรออยู่ด้านหลัง
"วิคเตอร์ นี่ลูกชายคนใหม่ของฉัน เจ เจนยุทธ ภัทรปรีดา..."
คริสพยายามออกเสียงนามสกุลของเจให้ถูกต้องที่สุด เจหน้าแดงระเรื่อเมื่อคริสเรียกเขาเป็นลูกชายคนใหม่
"เจ นี่คือพ่อเจ้าบ่าว คุณวิคเตอร์ ลี เขาเป็นเพื่อนสนิทของอาปาตั้งแต่ประถม ตอนนี้นั่งตำแหน่งบริหารในบริษัทของตระกูลอาปาอยู่"
เจก้าวเข้ามายืนต่อหน้าคุณลีและยื่นมือออกไปให้อีกฝ่ายจับ
"สวัสดีครับ มิสเตอร์ลี เป็นเกียรติที่ได้พบครับ ผมต้องขอแสดงความยินดีกับท่านและครอบครัวด้วยครับ"
เขาส่งยิ้มและมองตาอีกฝ่ายตามที่เคยได้เรียนมา คริสยิ้มบางๆ เมื่อเห็นท่าทางที่ดูเป็นทางการของเจ วิคเตอร์ ลี หัวเราะเบาๆ
"ไม่ต้องเป็นทางการนักหรอก เจนยุทธ เอ่อ ฉันเรียกเธอว่าเจได้ใช่ไหม?..."
เจตอบว่าได้
"...เธอเรียกฉันว่าอังเคิลลีตามฆาบี้เขาก็ได้นะ"
เจยิ้มอย่างเขินๆ การที่คุณลีพูดแบบนี้แสดงว่ารู้เรื่องความสัมพันธ์ของเขากับฆาเบียร์ดี วิคเตอร์ ลีหันไปคุยกับคริสเป็นภาษากวางตุ้ง พวกเขาหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน เจหน้าร้อนผ่าวๆ เมื่อเห็นสายตาของคุณลีที่กวาดขึ้นลงสำรวจดูเขา คริสเองก็ยิ้มร่าอย่างถูกใจในคำพูดของเพื่อน
"อังเคิลลีอย่าแกล้งเจสิครับ"
เสียงทุ้มแหบดังขึ้นพร้อมแขนแข็งแรงที่โอบหมับเข้าที่เอวของเจนยุทธ เจหันไปยิ้มให้คนตัวโตของเขา ถึงปากจะบ่นแต่ใบหน้าของฆาเบียร์นั้นเปื้อนยิ้ม ฆาเบียร์มาทันเห็นเจแนะนำตัวกับเพื่อนของพ่อบุญธรรมซึ่งก็เป็นนักธุรกิจโปรไฟล์สูงเช่นกัน และเขาก็เห็นเพื่อนของคริสแสดงความเอ็นดูคนของเขาอย่างเห็นได้ชัด ส่วนตอนที่ทั้งวิคเตอร์และคริสคุยกันเป็นภาษากวางตุ้งนั้น เป็นวิคเตอร์กระเซ้าคริสว่า "เขย" คนนี้ของคริสดูเข้าที คริสเองก็ยิ้มร่าและไม่ได้ปฏิเสธคำเรียกหานั้นแต่อย่างใด
ฆาเบียร์แสดงความยินดีกับวิคเตอร์เป็นภาษากวางตุ้งก่อนที่ทุกคนจะเปลี่ยนใช้ภาษาอังกฤษเหมือนเดิมเพื่อให้เจเข้าใจด้วย พวกเขาสนทนากันอยู่พักหนึ่งจนแขกเหรื่อเริ่มทะยอยกันมา ฆาเบียร์ คริสและเจจึงขอตัวเข้าไปในห้องบอลรูม เท่าที่เจสังเกตดู มันไม่ต่างจากงานแต่งงานของไทยมากนัก มีการเขียนอวยพรบ่าวสาวที่หน้าห้อง มีภาพพรีเว็ดดิ้งของทั้งสองประดับอยู่ มีแบ็คดร็อปที่ประดับดอกไม้อย่างสวยงามอลังการพร้อมชื่อย่อของทั้งสองฝ่ายที่หน้าห้องให้แขกได้ถ่ายรูป แต่ไม่มีบ่าวสาวมายืนรอถ่ายรูปด้วยเหมือนที่ไทย
สิ่งที่ทำให้เจตะลึงอยู่ภายในห้องบอลรูม เมื่อเข้าไปในส่วนจัดเลี้ยง เขาต้องทึ่งกับความงดงามของมวลดอกไม้ที่ถูกขนมาประดับตกแต่ง ตัวห้อง diamond ballroom ของริทซ์ คาร์ลตันเองก็ถือว่างามเลิศที่สุดแห่งหนึ่งในฮ่องกง โคมไฟระย้ารูปทรงแปลกตาเหมือนเกลียวคลื่นที่ทำจากคริสตัลห้อยย้อยลงมาจากเพดานแข่งกับมวลดอกกล้วยไม้สีขาวและชมพูที่นำมาร้อยเป็นสายห้อยลงมาจากเพดาน ตามโต๊ะ บนเวที และตามทางเดินก็ประดับด้วยดอกไม้สีพาสเทลทั้งกุหลาบ ทิวลิป ลิลลี่ พีโอนี ไฮเดรนเยีย และอีกหลายชนิดที่เจไม่รู้จักชื่อ เฉพาะงานดอกไม้ก็คงมูลค่ามากโขแล้ว ในงานมีสาวสวยในชุดยาวกรุยกรายบรรเลงฮาร์พหรือพิณฝรั่งอย่างไพเราะเพราะพริ้ง
"คุณ ให้ผมนั่งตรงนี้ด้วยจะดีเหรอ? ผมไปนั่งกับเมลิน่าหรือกับคนอื่นที่ออฟฟิศได้ไหมอ่ะ?"
เจกระซิบกับฆาเบียร์ เขาถูกจัดให้นั่งตรงกลางระหว่างฆาเบียร์และคริสที่โต๊ะประธานของงาน ด้านข้างคริสเป็นครอบครัวของเจ้าบ่าวและเจ้าสาว
"ไม่ได้นะ เจ เขาจัดที่ไว้ให้แล้ว นายต้องอยู่กับฉันตรงนี้ ห้ามไปไหน!"
ฆาเบียร์ทำเสียงดุและชี้ให้ดูป้ายชื่อของเจนยุทธที่วางไว้หน้าจานอาหาร เจจนปัญญาต้องนั่งหน้าเจื่อนๆ อยู่ท่ามกลางแขกผู้ใหญ่ เขามองแก้วคริสตัลหลายขนาดที่เรียงรายด้านหน้าเขา เขาไม่เคยรู้สึกดีใจที่เคยเรียนการโรงแรมมาเท่ากับวันนี้ มันทำให้เขาสามารถแบ่งแยกการใช้สอยแก้ว ช้อนส้อม จานชามบนโต๊ะอาหารได้อย่างถูกต้อง แต่ดูจากตะเกียบปลายเงินที่จัดวางมาข้างจานแล้ว อาหารในวันนี้คงเป็นแบบโต๊ะจีน
"นี่ๆ คุณ..."
เจสะกิดฆาเบียร์เบาๆ และโบ้ยปากไปทางมุมหนึ่งของห้องบอลรูมที่มีกลุ่มคนสูงอายุนั่งรวมตัวกันล้อมโต๊ะสี่เหลี่ยมนับสิบโต๊ะ
“พวกเขาทำอะไรกันน่ะ น่าสนุกจัง”
“อ๋อ เล่นไพ่นกกระจอกน่ะเจ มันเป็นเรื่องปกติของงานแต่งงานที่ต้องจัดโต๊ะไพ่นกกระจอกให้พวกผู้ใหญ่เขาได้สังสรรค์กันแถมยังต้องมีเสิร์ฟน้ำชาด้วย”
ฆาเบียร์บอกว่าเขาเคยเห็นโบรชัวร์งานแต่งของหลายๆ โรงแรม ทุกที่ล้วนรวมโต๊ะไพ่นกกระจอกและน้ำชาเข้าไปในแพ็คเกจด้วยทั้งนั้น
“อยากลองเล่นดูไหม?”
คริสส่งเสียงถามมา เจนยุทธส่ายหัวและตอบปฏิเสธ เขาบอกว่าเขาเล่นไม่เป็น ไปนั่งก็รังแต่จะเบียดบังที่คนอื่นเสียเปล่าๆ เขาขอตัวเดินไปดูอย่างสนใจครู่หนึ่งก่อนจะทำหน้าเบ้กลับมาแล้วบอกว่าเข้าใจยาก คริสหัวเราะบอกว่าเขาเองซึ่งไปใช้ชีวิตอยู่สหรัฐฯ นานก็ยังเล่นไม่ค่อยเป็นเหมือนกัน
"ก่อนเข้าห้องผมเห็นมีโต๊ะขนมด้วย มันคืออะไรครับ?"
เจกระซิบถามคริสถึงหมู่โต๊ะที่อยู่ตรงทางเข้าฮอลล์ มันถูกตกแต่งด้วยดอกไม้อย่างสวยงาม บนนั้นเต็มไปด้วยขนมหวานชิ้นเล็กชิ้นน้อยอย่างคุกกี้เคลือบน้ำตาลไอซิ่ง มาการอง คัพเค้ก ลูกกวาด เยลลี่ และอื่นๆ ทั้งหมดตกแต่งด้วยธีมสีของงาน บางชิ้นมีซองพลาสติกห่อหุ้มไว้
"อ๋อ มันเป็นธรรมเนียมของทางนี้เหมือนกันน่ะ เจ..."
คริสตอบ
"...แขกตักมันกลับบ้านได้เหมือนเป็นของชำร่วยอย่างหนึ่งน่ะ"
เจตอบรับ วันนี้เขาได้เรียนรู้ธรรมเนียมใหม่ๆ ของฮ่องกงเพิ่มขึ้นอีกหลายอย่าง
เหล่าแขกเหรื่อเริ่มทะยอยมากันจนเต็มฮอลล์ ทุกคนล้วนแต่งกายจัดเต็ม เหล่าเพื่อนของบ่าวสาวก็แต่งตัวตามธีมสีพาสเทลและทองของงาน เจประมาณด้วยสายตาแล้วแขกในงานวันนี้ไม่น่าต่ำกว่า 500 คน งานในช่วงกลางคืนนี้ไม่ต่างจากของไทยมากนัก มีการแนะนำบ่าวสาว เปิดวีดีโองานในช่วงเช้าซึ่งได้แก่ตอนที่เจ้าบ่าวมารับเจ้าสาวและต้องมีการเล่นเกมหลายอย่างกว่าจะได้เจอหน้าเจ้าสาว เจบอกคริสว่าส่วนนี้คล้ายกับการแห่ขันหมากของไทย จากนั้นยังมีภาพจากพิธียกน้ำชา งานแต่งแบบคริสต์และการจดทะเบียนสมรส
"ที่ฮ่องกงนี้ ถ้าแต่งงานแล้วต้องจดทะเบียนทันทีน่ะ เจ"
ฆาเบียร์กระซิบบอกเมื่อเจถามว่าทำไมถึงต้องมีการจดทะเบียนกันตอนแต่งงานด้วย เจดูจากวีดีโอ คริสคงสนิทกับพ่อเจ้าบ่าวจริงๆ เพราะมีรูปเขาเข้าร่วมงานตั้งแต่งานยกน้ำชาไปจนถึงพิธีแบบคริสต์ เขาเห็นริคกี้และคนอื่นๆ ในทีมเลขาฯ ซึ่งเป็นผู้ร่วมงานของเจ้าสาวในงานแบบคริสต์ด้วย ส่วนเมลิน่านั้นอยู่ด้วยช่วงเจ้าบ่าวมารับ จากนั้นแว่บมารับและคุยกับเจเรื่องงาน ก่อนจะกลับไปเป็นเพื่อนเจ้าสาวในพิธีแบบคริสต์และช่วงจดทะเบียนในตอนบ่าย
"ฆาเบียร์ นี่ผมทำให้คุณไม่ได้ไปร่วมงานตอนเช้าหรือเปล่า?"
เจนยุทธถามเสียงอ่อยๆ เขาไม่รู้ว่าจริงๆ ฆาบี้ต้องไปงานเช้าในฐานะนายของเจ้าสาวหรือไม่ แต่เพราะเจ้าตัวมารับเขาที่สนามบินทำให้พลาดงานช่วงนั้นไป ฆาเบียร์กุมมือคนรักและบีบเบาๆ
"ไม่หรอก เจ ฉันถามเจ้าสาวแล้ว เธอเป็นคนไล่ฉันให้ไปรับนายเอง"
"...อีกอย่าง ฉันแวะไปทันช่วงจดทะเบียนหลังกลับมาจากทำธุระช่วงบ่าย ก็ตอนที่ฉันปล่อยให้เจหลับนั่นแหละ และไม่ต้องห่วง ต่อให้ฉันไม่ได้ไปร่วมพิธีครบ แต่ฉันก็มีของขวัญชิ้นใหญ่ให้แทนแล้ว"
ฆาเบียร์พูดยิ้มๆ เขาใส่ซองไปหนักพอดูแถมด้วยแพคเกจโรงแรมสุดหรูที่มัลดีฟส์สำหรับคู่บ่าวสาว
กิจกรรมบนเวทีดำเนินต่อไป อาหารก็เริ่มเสิร์ฟ โต๊ะของเจและโต๊ะของญาติผู้ใหญ่รวมถึงโต๊ะของแขกวีไอพีอีก 10 โต๊ะเป็นอาหารพิเศษจากเชฟสองดาวมิเชแลงอย่าง Paul Lau จากห้องอาหาร Tin Lung Heen ของทางโรงแรมพร้อมทั้งแชมเปญคริสตาลหนึ่งขวดสำหรับทั้ง 10 โต๊ะ ฆาเบียร์แอบกระซิบกับเจว่าถ้าจำไม่ผิดแพ็คเกจคริสตาลนี้มีสนนราคาถึงกว่า 4,000 เหรียญฮ่องกงต่อหัวเลยทีเดียว อาหารในแพ็คเกจนี้มีตั้งแต่หมูหัน หมูอิเบริโกอบน้ำผึ้ง หอยเชลล์ซอสทรัฟเฟิล หอยเป๋าฮื้อทั้งตัวและฟัวกราส์ในน้ำมันหอย กระเพาะปลาตุ๋นใส่ล็อบสเตอร์ รังนกตุ๋นปลาเก๋าใส่คาร์เวียร์ และอื่นๆ ฆาเบียร์คอยคีบอาหารส่งให้เจเพราะเขารู้ว่าเจ้าตัวคงเหนียมไม่กล้ากินเยอะแน่ๆ
ส่วนอีก 40 กว่าโต๊ะที่เหลือซึ่งเป็นเพื่อนของบ่าวสาวและแขกทั่วไป อาหารที่เสิร์ฟเป็นอาหารจีนชุดจัดเลี้ยงมาตรฐานของทางโรงแรมซึ่งก็มีทั้งหมูหัน หอยเป๋าฮื้อ ปลาเก๋าและอื่นๆ เช่นกัน แต่ไม่มีแชมเปญให้ที่โต๊ะ ฆาบี้บอกเจว่าพวกนั้นราคาจะคิดเป็นต่อโต๊ะซึ่งก็เหยียบ 20,000 เหรียญต่อโต๊ะ ไม่รวมค่าเครื่องดื่ม ซึ่งจัดเป็นแพ็คเกจมาเช่นกัน เจคิดสะระตะดูแล้วแทบเป็นลมเมื่อรู้ว่างานเลี้ยงงานนี้ราคาน่าจะเกิน 1.5 ล้านเหรียญฮ่องกง นี่ยังไม่รวมพิธีเช้า พิธีแบบคริสต์ งานดอกไม้ และค่าจ้างออกาไนเซอร์
คู่บ่าวสาวขึ้นมากล่าวขอบคุณแขก มีการตัดเค้ก เล่นเกมต่างๆ เพื่อแจกรางวัล มีตั้งแต่ของขวัญเล็กๆ ไปจนถึงสร้อยทองและเวาเชอร์เข้าพักโรงแรมชั้นนำเพื่อให้สมกับที่เจ้าสาวทำงานกับเว็บท่องเที่ยวชื่อดัง มีการเชิญผู้หลักผู้ใหญ่ขึ้นไปมอบของขวัญและกล่าวอวยพรสั้นๆ รวมถึงฆาเบียร์ด้วย เขาดึงเจนยุทธขึ้นไปด้วยเพื่อถ่ายรูปคู่กับบ่าวสาวบนเวที เจประหม่าเมื่อเห็นกล้องจำนวนมาก ถ้าไม่นับตอนงานเปิดตัวบริษัทเป็นครั้งแรกที่เขาได้ออกสื่อคู่กับฆาเบียร์ เขาเคยมางานกับฆาบี้ที่กรุงเทพฯ และฮ่องกงอย่างละครั้ง ทั้งสองครั้งเขามักเลี่ยงกล้องและยืนอยู่ห่างๆ ยามที่ต้องมีการถ่ายรูป
"ฆาบี้ ทำไมงานนี้มีพวกนักข่าวมาทำข่าวด้วยล่ะ?"
เจกระซิบถาม เขาสังเกตเห็นได้จากกล้องและไมโครโฟนที่ติดชื่อสำนักข่าว
"อ๋อ ลุงวิคเตอร์แกเป็นคนดังในวงธุรกิจน่ะ แม่ของลุงเค้าเป็นลูกสาวสายตรงของตระกูลซึ่งเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของฮ่องกง ส่วนภรรยาของลุงเค้าก็เป็นอดีตดาราดัง..."
เจมองแม่เจ้าบ่าวที่กำลังขึ้นไปกล่าวอวยพรบนเวที เธอยังสวยสมกับที่เคยเป็นดาราแม้วัยน่าจะล่วงเข้า 60 ปีแล้ว ฆาเบียร์เล่าต่อว่าตัวเจ้าบ่าวเองก็เคยเป็นอดีตไอดอลในช่วงวัยรุ่นก่อนที่จะไปเรียนต่อด้านฟิล์มและมีเดียที่ UC Berkeley ทำให้เขาได้พบกับเจ้าสาวซึ่งเรียนด้านธุรกิจที่นั่น ในตอนนี้เจ้าบ่าวยังคงทำงานในวงการแต่เป็นในฐานะโปรดิวเซอร์ ส่วนเจ้าสาวนั้นเข้าทำงานในบริษัทเขาตั้งแต่ที่สหรัฐฯ และย้ายกลับมาทำที่สาขาฮ่องกงเพราะมีแผนจะแต่งงาน
"บอสคะ ขอชนแก้วหน่อยค่ะ"
เสียงใสๆ ของเจ้าสาวดังขึ้น ทั้งเจ คริสและฆาเบียร์ยกแก้วแชมเปญของตนขึ้นชนแก้วกับบ่าวสาว ที่ฮ่องกงเจ้าบ่าวเจ้าสาวจะไม่ได้ลงมาเดินถ่ายรูปร่วมกับแขกที่โต๊ะเฉยๆ แต่จะเป็นการลงมาเพื่อชนแก้วกับทุกคน บรรยากาศของงานจะสนุกสนานเฮฮากว่า ดนตรีในช่วงนี้เป็นการเปิดแผ่นของดีเจ ก่อนหน้านี้ก็มีการแสดงทำเซอร์ไพรส์ของทั้งเจ้าบ่าวและเจ้าสาว เจ้าบ่าวนั้นขุดเพลงของตัวเองสมัยเป็นไอดอลขึ้นมาร้องและเต้นอย่างสุดเหวี่ยงเพื่อเจ้าสาวที่เคยเป็นแฟนตัวยงของเขาสมัยยังหนุ่ม ส่วนเจ้าสาวและเพื่อนเจ้าสาวซึ่งเมลิน่าเป็นหนึ่งในนั้นก็เปลี่ยนใส่ชุดสุดเซ็กซี่มาเต้นเพลงดังประจำปีอย่าง Despacito ฆาเบียร์ถึงขั้นกุมขมับเมื่อเห็นเจ้าสาวทำท่าเกือบเหมือนนักเต้น lap dance หรือเต้นระบำบนตักเจ้าบ่าวอยู่แล้ว เขาเดาว่าคนสอนเต้นไม่น่าจะเป็นใครไปได้นอกจากหัวหน้าแผนกเลขาฯ ตัวแสบของเขานั่นเอง เจเองก็อ้าปากค้างทำตาโตดูสาวๆ วาดลีลาสุดเซ็กซี่จนฆาเบียร์ต้องแอบตีขาคนรักเบาๆ
"แหะๆ มันเผลอไปหน่อยครับ ขออภัยๆ"
เจนยุทธหันไปหัวเราะแหะๆ ให้เมียตัวโตของเขา ฆาเบียร์ถอนหายใจเบาๆ เขาอดน้อยใจเล็กๆ ไม่ได้ แต่ความน้อยใจนั้นหายไปเมื่อเจใช้จังหวะที่ไฟในฮอลล์ยังมืดอยู่จูบเบาๆ เข้าที่แก้มของเขา
"ผมอาจว่อกแว่กบ้าง แต่ตัวจริงของผมยังไงก็ยังเป็นคุณวันยังค่ำนะ ฆาบี้"
เจกระซิบไม่ค่อยเบานักที่ข้างหูคนตัวโตที่นั่งยิ้มหน้าบาน
"เออ ผมว่าจะถาม เจ้าสาวเต้นสะบัดขนาดนี้พวกผู้ใหญ่เขาไม่ว่าเอาเหรอ คุณ"
เจถามงงๆ เขาไม่เห็นปฏิกิริยาผู้สูงวัยคนอื่น แต่ทางครอบครัวเจ้าบ่าวดูจะไม่ได้ว่าอะไร แถมยังมีทีท่าชอบใจและเชียร์เจ้าสาวอีกต่างหาก ฆาเบียร์บอกว่าเขาก็ไม่รู้เหมือนกัน
"ฉันรู้แค่ว่า ถ้าเจทำแบบนี้ให้ฉัน ฉันคงจะมีความสุขมากๆ แน่ๆ เลย"
เจนยุทธหน้าร้อนผ่าว กลางโต๊ะอาหารที่มีแต่ผู้หลักผู้ใหญ่ เมียตัวโตของเขายังกล้าพูดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาได้อีก เขากัดริมฝีปากเบาๆ ก่อนจะกระซิบกลับไป
"งั้นคืนนี้เรามาแข่งกันหน่อยดีไหม? ฆาบี้ หลังเลิกงานเราแยกกันสักพักและนัดเจอกันอีกทีที่ร้านอะไรก็ได้สักร้าน ผมจะเข้าหาคุณในฐานะคนอื่น แต่คุณก็ต้องปฏิเสธผมให้ได้ ถ้าคุณใจแข็งทนได้ไปจนถึงร้านปิดก็ถือว่าคุณชนะ แต่ถ้าคุณทนไม่ได้และหิ้วผมกลับห้อง ถือว่าผมชนะ"
"แล้วคนชนะจะได้อะไรล่ะ เจ?"
"อะไรก็ได้ตามใจเลย..."
"...ถ้าคุณชนะ ผมแถมแล็ปแดนซ์แบบเจ้าสาวให้ด้วยเลยเอ้า แต่ถ้าผมชนะ นอกเหนือจากขออะไรก็ได้แล้ว ผมขอมื้อเย็นสุดหรูที่มาเก๊าอีกมื้อนึง โอเค๊?"
ฆาเบียร์ตาลุกวาว ของรางวัลล่อใจแบบนี้เขาไม่ยอมแพ้เจโดยเด็ดขาด
"โอเคเลย เจนยุทธ นายหาเรื่องใส่ตัวเองนะ"
คนตัวโตหัวเราะหึๆ เจจะยั่วเขาได้แค่ไหนกันเชียวและเขามั่นใจว่าเขาทนได้แน่นอน
งานเลี้ยงดำเนินต่อไป หลังจากบ่าวสาวเต้นรำคู่กัน แขกผู้ใหญ่ก็ทะยอยกันกลับรวมถึงคริสด้วย ฆาเบียร์และเจก็ลุกออกมาด้วย พวกเขาออกมาถ่ายรูปกับบ่าวสาวอีกครั้งที่แบ็คดร็อปหน้างาน ก่อนที่จะมายืนคุยกับคริสระหว่างที่ยืนรอรถของเขามารับ
"พรุ่งนี้ยังอยู่ฮ่องกงอีกวันใช่ไหมเจ?"
คริสถาม เจนยุทธตอบรับ เขาบอกว่าเขายังค้างฮ่องกงต่ออีกคืนและจะข้ามไปฝั่งมาเก๊าในวันอังคาร
"ดีเลย งั้นพรุ่งนี้เที่ยงกินข้าวด้วยกันแล้วกลางคืนมาค้างบ้านอาปาด้วยดีไหม?"
เจตอบตกลงโดยไม่หันไปถามคนตัวโตที่ยืนทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก เวลาอันมีค่ากับเจเสียไปอีกคืนหนึ่งแล้ว
"แล้วจะไปที่นั่นยังไงล่ะ ฆาบี้ให้เมลิน่าจองเฮลิคอปเตอร์ไว้แล้วใช่ไหม?"
คริสหันไปถามลูกชายของเขา เฮลิคอปเตอร์จากฮ่องกงไปมาเก๊าใช้เวลาประมาณ 15 นาที และมีค่าใช้จ่ายขาละ 4,300++ ดอลล่าร์ฮ่องกงต่อเที่ยวต่อคน บางครั้งคริสจะใช้บริการนี้เมื่อมีเวลาน้อยและไม่อยากเมาเรือ
"ไม่ครับ พวกผมจะไปมาเก๊าทางเรือกัน"
เจตอบทันควัน เขาบอกคริสว่าพวกเขาคุยกันแล้วว่าจะไปทางเรือ ตอนแรกฆาเบียร์ก็เสนอให้พวกเขาเดินทางด้วยเฮลิคอปเตอร์ แต่เจปฏิเสธหัวชนฝา และบอกว่าเขาโอเคกับเรือเฟอรี่มากกว่าเฮลิคอปเตอร์ เขาบอกว่าคริสว่าพวกเขามีเวลาเยอะและไม่จำเป็นต้องไปเสียตังค์เดินทางแบบเร่งด่วนขนาดนั้น ฆาเบียร์มองหน้าคนรักที่หันมายิ้มหวานให้เขาและยิ้มตอบกลับให้ด้วยความรู้สึกตื้นตัน เจดึงดันเป็นคนออกค่าใช้จ่ายส่วนการเดินทางให้เขา เจ้าตัวจ่ายค่าเรือไปกลับโดยเหมาเคบิน วีไอพีแบบนั่งได้ 4 คนในเรือ Premier Jetfoil ของบริษัท TurboJet ซึ่งราคาสูงถึง 2,300 ดอลล่าร์ฮ่องกงต่อเคบินต่อขา ฆาเบียร์บ่นว่าเจไม่จำเป็นต้องจ่ายแพงขนาดนี้ แต่คนตัวเล็กของเขาอ้างว่าเขาอยากมีพื้นที่ส่วนตัวไว้เอนหลังสบายๆ จะได้ไม่ต้องเมาเรือมาก
"งั้นอาปาไปก่อนนะ พรุ่งนี้เจอกันนะทั้งสองคน"
ทั้งสองลาคริสที่ขึ้นนั่งบนรถเบนท์ลีย์คันงามของเขาและโบกมือให้จนรถเคลื่อนออกไป ฆาเบียร์หันมายิ้มให้คนรัก
"ขอบใจนะเจ"
"หือ มาขอบคุณผมเรื่องอะไร? เฮ้ย แล้วยีหัวผมอีกทำไมล่ะเนี่ย"
เจนยุทธบ่นกะปอดกะแปดเมื่อโดนคนตัวโตยีหัวจนยุ่งอีกแล้ว ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ เขารู้ดีว่าเจเมาเรือง่ายแค่ไหน ตอนไปสมุย ช่วงที่ออกเรือไปเที่ยวเกาะแตน เจต้องกินยาแก้เมาเรือก่อนแถมต้องมียาดมและถุงพลาสติกติดมือไว้ตลอดเวลาอีกด้วย ฆาบี้รู้ทันว่าที่เจยอมนั่งเรือนั้นก็เพราะไม่อยากให้เขาที่มีแผลใจกับอากาศยานขนาดเล็กต้องมาทนนั่งเฮลิคอปเตอร์แม้จะแค่ 15 นาทีก็ตาม
(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)