คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต
บทที่ 19
ร่วมเตียง
--------
‘ต่อให้ไม่มีความสัมพันธ์สามีภรรยา แต่เจ้าก็เป็นภรรยาของข้า ความสุขของเจ้า ย่อมเป็นสามีเช่นข้าที่ต้องรับผิดชอบ’
แม้จะเพิ่งรู้จักตรัสไม่นาน แต่รติก็พอประเมินได้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนตรงไปตรงมาและยึดถือธรรมเนียมปฏิบัติมากเพียงใด เมื่อรับรติเข้ามาเป็นภรรยา ต่อให้จะไม่พึงใจ แต่ก็ไม่เคยกระทำการหยามหมิ่นแต่ประการใด ยกเว้นคืนแรก...
แต่คืนนั้นก็มิได้มีสิ่งใดเกินเลย เรื่องที่เกิดก็เกิดเพราะรติปากดีด้วย
กระนั้น แม้จะรู้ว่าต่างคนต่างมิได้มีใจให้กันในเชิงสามีภรรยาโดยแท้ แต่รติก็...
...ไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกเช่นไรดี...
ความสัมพันธ์ของพวกเขาในเวลานี้ไม่จัดว่าแย่ แต่ที่แย่คือรติไม่รู้ว่าควรจะจัดการความรู้สึกให้เป็นไปในทิศทางใด และไม่รู้ว่าความรู้สึกที่ตนมีต่อตรัส...เป็นเช่นไร
เกลียดขี้หน้าหรือ...มิใช่
รู้สึกดีหรือ...เรื่องนี้ใช่
แต่ก็ต้องถามต่อว่ารู้สึกดีในด้านใด ซึ่งคำตอบนั้น รติหาไม่ได้
คนที่มักร่าเริงอยู่เสมอเอาแต่ถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า ก็พาเอาคนที่เฝ้าสังเกตอย่างเงียบๆมาตลอดนึกสงสัย
ตอนพักกลางวัน พวกเขาเดินกลับไปรับประทานอาหารที่เรือน รติก็ยังเอาแต่เดินก้มหน้าเงียบ ทั้งที่ทุกทีมักจะสนอกสนใจข้าวของที่วางขาย ทิวทัศน์ หรือผู้คน
ตอนรับประทานอาหารด้วยกัน รติตักข้าวคำหนึ่งแล้วก็เคี้ยวอยู่นาน กับข้าวก็ตักเฉพาะจานที่อยู่ตรงหน้า มิได้รื่นรมย์กับอาหารอีกสามอย่างที่วางถัดไป
ตรัสตัดสินใจเอื้อมมือไปตักปลานึ่งมาให้ ทำเอาทั้งโต๊ะหันมองเขาเป็นตาเดียว
“ปลาเนื้อหวาน...” เขาเปรยเหมือนบอกข้อดีให้รู้
รติหลากใจ แต่ก็มิได้พูดคำใด จากนั้นในจานของเขาก็มีกับข้าวอย่างอื่นมาวางให้อยู่เนืองๆ จบมื้อกลางวัน สองสามีภรรยาต้องออกไปเปิดร้านยาอีกครั้ง
จู่ๆ ตอนที่เดินผ่านร้านขายผลไม้ ตรัสก็เรียกคนข้างกายเอาไว้
“ซื้อผลไม้ไปกินที่ร้านหน่อยไหม”
“หืม? ท่านอยากหรือ”
“เจ้าต่างหาก เมื่อครู่เห็นกินข้าวไม่หมดชาม” สายตาของตรัสนั้นห่วงใยชัดแจ้ง ไม่แน่ใจนักว่าตั้งแต่เมื่อไรกันที่เขามองภรรยาด้วยสายตาเช่นนี้
รตินิ่งงัน ไม่กล้าบอกว่าเพราะเขามัวแต่คิดเรื่องสถานะ ความสัมพันธ์ และความรู้สึกต่างหาก จึงไม่มีสติจะทำอย่างอื่น ฝ่ายสามีเห็นภรรยาไม่คัดค้าน จึงหันไปเลือกผลไม้สีเหลืองสดผลใหญ่มาสองผลแล้วจ่ายเงิน ก่อนจะหันกลับมาหาคนข้างกายอีกครั้ง
“ผลไม้รสเปรี้ยวทำให้สดชื่น ไปถึงร้านแล้ว ข้าจะให้คนปอกให้ แล้ววันนี้ก็ไม่ต้องออกไปขายของที่หน้าร้าน ข้าจะให้คนอื่นทำแทน”
“แต่ข้าไม่เป็นไร...”
“ไม่เป็นอะไรก็ดี ถือว่าพักสักครึ่งวัน” ตรัสพูดเพียงเท่านั้นก็ก้าวเดินต่อ
ช่วงบ่าย บ่าวในร้านคนหนึ่งถูกสั่งให้ไปขายผงสมุนไพรที่หน้าร้านแทน ในขณะที่รติถูกสั่งให้จัดยาอยู่ภายในร้านเพียงอย่างเดียว และต้องรับประทานผลไม้ที่ตรัสซื้อมาให้หมด
วันนี้ร้านยาอหัสกรค่อนข้างเงียบ เพราะคนที่ร่าเริงอยู่เสมอถูกสั่งให้พัก แต่กระนั้นก็ไม่ใช่ความเงียบที่เย็นชาเลยสักนิด เพราะตรัสคอยเวียนออกมาถามไถ่อยู่บ่อยครั้งว่ารติเป็นเช่นไรบ้าง
เย็นนั้น ร้านยาอหัสกรปิดเร็วกว่าเดิมเล็กน้อย สาเหตุตรงไปตรงมาของตรัสคือวันนี้อากาศเย็น ควรถึงเรือนโดยไว รติจะได้พักผ่อน
“ข้าพักมากพอแล้ว” คนถูกสั่งให้พักบ่นอุบ เพราะตลอดช่วงบ่ายทำได้เพียงมองบ่าวขายของ ในขณะที่ตนเองนั่งแกร่ว
“ถ้าเย็นนี้ข้าวของเจ้าหมดถ้วย จะให้ทำผงสมุนไพร” เพียงเท่านั้นดวงตาของรติก็วาววับ
แน่นอนว่าเย็นนั้น รติรับประทานอาหารเย็นจนหมด
ตกค่ำเป็นเวลาเตรียมสมุนไพรสำหรับขายวันพรุ่งนี้ เงื่อนไขคือรติจะทำกี่ห่อก็ได้ แต่เมื่อตรัสเข้านอน รติก็ต้องเข้าด้วย ตรัสเคร่งครัดทุกเรื่อง เรื่องเวลานอนก็เช่นกัน
ตอนที่เดินเคียงกันกลับไปยังเรือนนอนนั้นก็ยังเป็นการเดินอย่างเงียบๆ ทว่าเมื่อเข้าไปในเรือนแล้ว รติปรายสายตาไปเห็นตั่งยาวในห้องทำงาน ก็พลันนึกถึงความหนาวเหน็บของอากาศและความเย็นชืดเพราะปราศจากฟูกยามที่เขาได้ลิ้มรสเมื่อคืนก่อน
ตรัสนอนที่นั่นนับแต่แต่งงาน ไม่เคยปริปากบ่นเรื่องความไม่สบายหรือหนาวเย็นแต่อย่างใด ในขณะที่เตียงในห้องพักผ่อนถูกรติยึดไป
ทั้งๆที่อากาศหนาวเช่นนี้
ทั้งๆที่เราต่างทำงานหนักกันทั้งคู่เช่นนี้
แต่กลับมีรติคนเดียวได้พักผ่อนสบาย ในขณะที่ตรัส...ต้องนอนบนตั่งที่ทั้งเย็นทั้งแข็ง
หากเป็นความสัมพันธ์ก่อนหน้านี้ที่ทั้งเมินทั้งตึง รติคงไม่สนใจจะคิดเรื่องเหล่านี้ แต่เพราะเวลานี้ความสัมพันธ์ของพวกเขาเปลี่ยนไปในทางที่ดี ตรัสมิได้เพิกเฉยต่อเขา ตัวเขาเองก็ไม่ได้หาเรื่องยียวนเช่นเก่า
คนที่ปรารถนาดีต่อกันอย่างนี้ หากจะสนใจความเป็นอยู่รวมถึงการหลับนอนของอีกฝ่าย...ก็เป็นเรื่องธรรมดา
ใช่...ออกจะเป็นเรื่องธรรมดา หากรติจะเอ่ย
“ท่าน...จะเข้าไปนอนในห้องก็ได้”
ตรัสที่กำลังลงกลอนบานประตูหันมอง รติมีท่าทีเก้อเล็กน้อย เอาแต่ตาตกมองพื้น แต่กระนั้นก็พูดต่อ
“ตั่งมันหนาว...ถ้าท่านอยาก...เอ่อ...อยากนอนบนฟูกก็...เข้าไปนอนกับข้าก็ได้”
เดิมทีก็เคยเอ่ยปากว่าชายด้วยกัน นอนร่วมเตียงย่อมเป็นเรื่องธรรมดา แต่เพราะตรัสพูดเรื่องความเป็นสามีภรรยาขึ้นมา แม้พวกเขาจะไม่มีความสัมพันธ์กันในทิศทางนั้นเลยสักนิด แต่มันก็ชวนให้เขินซ่านขึ้นมาในอกไม่ได้
รติไม่กล้าสบตา เมื่อเอ่ยปากแล้วก็ไม่รอฟังคำตอบรับหรือปฏิเสธ หมุนตัวเดินเข้าห้องพักผ่อนด้านในไป
ชายหนุ่มได้แต่มองตาม ก่อนจะหันไปมองตั่งที่อาศัยหลับนอนมานาน
เพราะเกิดและเติบโตที่นี่ อากาศหนาวเย็นเช่นนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องทรมานสำหรับเขา แต่ถ้าเทียบระหว่างตั่งไม้เย็นเฉียบกับเตียงที่มีฟูกอุ่นให้หลับสบายนั้น เตียงย่อมดีกว่าเป็นไหนๆ
แต่...รติก็นอนบนเตียงมิใช่หรือ
ทั้งๆที่ตั้งคำถามเช่นนั้น แต่อะไรบางอย่างกลับทำให้ตรัสสืบเท้าเข้าไปในห้องพักผ่อนด้านใน
ภายในห้องยังคงสว่างไสวด้วยตะเกียงที่วางตามจุดต่างๆ ทำให้มองเห็นเตียงกว้างริมห้องที่ถูกจับจองโดยรติ...แต่ก็เพียงแค่ฝั่งหนึ่งเท่านั้น
รตินอนชิดด้านในติดกับผนัง เหลือพื้นที่อีกครึ่งหนึ่งของเตียงว่างเอาไว้
หัวใจของตรัสสั่นไหวน้อยๆ เขาไม่รู้ว่าความรู้สึกของตนเองในเวลานี้เป็นเช่นไร แต่ก็ตัดสินด้วยหัวใจไปแล้ว
ชายหนุ่มดับไฟที่ตะเกียงแต่ละจุดรอบห้อง จนเหลือเพียงไฟดวงน้อยที่ตะเกียงข้างเตียง เขานั่งลงบนเตียงอย่างแผ่วเบา แล้วสอดกายเข้าไปใต้ผ้าห่ม จากนั้นจึงเอนร่างลงนอนเคียงข้างภรรยา ก่อนจะกระซิบเบากับคนที่นอนตะแคงหันหน้าเข้าหาผนัง หันหลังให้กับเขา
“ถ้าเช่นนั้น ขอข้านอนด้วยคน...”
ราวกับเป็นคำบอกกล่าว ไม่แน่ใจนักว่ารติรับรู้หรือไม่ แต่ตอนที่ตรัสใกล้จะหลับ เขารับรู้ถึงการขยับเล็กน้อยจากคนข้างกาย พอพลิกตัวเข้าหา ปรือตาขึ้นข้างหนึ่งก็เห็นรติกำลังมองอยู่ ความง่วงทำให้เขาไม่ทันระมัดระวังกิริยาและคำพูด
“หลับได้แล้ว...” เขาพึมพำเสียงเบา ขยับแขนขึ้นวางพาดบนกายอีกฝ่าย ก่อนจะหลับตาลง
รติมองเจ้าของแขนที่พาดบนเอวของเขา ความอบอุ่นซาบซ่านอยู่ในอกจนอดยิ้มไม่ได้ เขาตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงอันเบาไม่ต่างกัน
“ราตรีสวัสดิ์”
บนเตียงนั้นทั้งอุ่นและนุ่มสบาย ไม่แปลกใจเลยสักนิดที่สองสามีภรรยาจะพากันหลับใหลเข้าสู่นิทราอันแสนสุข
แล้วนับตั้งแต่คืนนั้น...ตรัสกับรติก็ร่วมเตียงกันเสมอมา
---------
#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต
ธ ม น
THAMON926
---------
รติก็ใช่ย่อยนะคะ ยังไม่รู้ว่าจะจัดการความรู้สึกของตัวเองยังไงดี ก็ชวนเขามานอนเตียงเดียวกันแล้ว
ผู้ชายเหมือนกันเนอะ นอนเตียงเดียวกันได้ ไม่มีปัญหา (รติเคยบอก ฮ่าฮ่า)
ขอบคุณสำหรับทุกการอ่านนะคะ