4
“กินเสร็จแล้วไปเดินดูของกันไหมพวกเรา” ณาชวนเพื่อน มือก็เทผักเทเนื้อลงหม้อที่น้ำซุปกำลังเดือดพล่าน
“......” แต่ไม่มีใครตอบคำถามนั้นสักคน เพราะกำลังเคี้ยวอาหารกันตุ้ยๆ ได้แต่พากันพยักหน้าแทน เป็นอันตกลงว่าไม่มีใครปฏิเสธ
*
*
“ คนที่มึงแอบมองน่ะ พี่เกียร์เหรอวะอิง?”
“ ตุบ...”
หนังสือเล่มหนาที่อยู่ในมือ ร่วงหล่นลงทันที
“ทำไม?...มึงรู้?”
ก็เมื่อเช้าเพิ่งบอกเขาว่ายังไม่รู้ว่าเป็นใครไม่ใช่เหรอ
สายฟ้าก้มลงหยิบหนังสือเกี่ยวกับภาษา ที่อีกคนทำตกยื่นให้คนที่ยังนิ่งค้าง
เขามองสบตากับอชิรวิชณ์นิ่ง
“ นี่เป็นครั้งที่3แล้วอิง ที่มึงเผลอทำอะไร ที่ไม่ใช่ตัวมึง กูกับมึงคบกันมากี่ปีวะอิง ”
ครั้งแรก อิงมันไม่เคยก้มหน้ากับโทรศัพท์เกิน3นาที
ครั้งที่2 มันไม่เคยทำลายข้าวของ แต่เมนูที่ร้านอาหารกลับแทบยับคามือ ทั้งที่ปกติขนาดแค่เพื่อนทำหยดน้ำที่เกาะรอบแก้วหยดลงเมนู มันยังเอาทิชชู่เช็ดออกให้ด้วยซ้ำ
ครั้งสุดท้ายหมาดๆเลย อิงมันโคตรถนอมข้าวของ หนังสือที่ร่วงจากมือยืนยันได้เป็นอย่างดี เพราะถ้าปกติมันไม่มีทางเป็นอย่างนั้น
“ อืม..คนนั้นแหละ”
เผลอจนเพื่อนจับได้ แต่ก็แค่นั้นแหละ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ไม่ได้ต้องการปกปิดคนตรงหน้านี้ แต่แค่ยังไม่พร้อมที่จะบอกเท่านั้นเอง
อิงหยิบหนังสือคืนชั้นวาง หลังเปิดดูคร่าวๆบ้างแล้ว และเห็นว่ามันไม่น่าสนใจพอที่จะซื้อ
“มึงไม่ลองบอกพี่เขาดูวะ? พี่เขื่อนมันก็พอจะสนิทกับกลุ่มนั้นอยู่เหมือนกัน เคยได้ยินมันว่าพี่เกียร์ไม่เคยคบใครจริงจัง เพราะว่าไม่ใช่คนที่ใช่เท่านั้นเอง แต่เรื่องจริงๆกูไม่รู้หรอกว่าจริงไม่จริงยังไง”
อิงมันใช่คนขี้เหร่เสียเมื่อไหร่ นิสัยก็ดีมากด้วย เขาเชื่อว่าเพื่อนเขามีเปอเซนต์สูง ที่อีกคนอาจพอใจอยู่บ้างก็ได้
“ มึงก็เห็นอยู่เต็มตา ว่าเขาควงแต่ผู้หญิง ทั้งตุ๊ดทั้งเกย์โดนตะเพิดไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ ” สายฟ้าถอนหายใจ เมื่อได้ฟังอย่างนั้น
สองมือล้วงกระเป๋ากางเกงแล้วหรี่ตามองเพื่อน เขารู้ว่ามันไม่ได้มีแค่ที่เพื่อนว่ามา
มันยังมีเหตุผลมากกว่านั้น
“ กูรู้ว่ามึงเข็ดกับเรื่องพวกนี้ แต่...อิง พี่เกียร์กับพี่ทักมันคนละคนกันนะเว้ย คนมาจีบมึงเป็นกระบุง แล้วมึงชอบสักคนไหม..ก็ไม่” คนพูดกรีดนิ้วไล่ไปตามสันหนังสือที่วางเรียงรายกันบนชั้นวางในร้านหนังสือ
พวกเขาพากันแวะเขามาดูหลังจากทานอาหารกันอิ่มเรียบร้อยแล้ว อิงอยู่มุมนี้เพราะสนใจหนังสือแนวนี้
แต่สายฟ้าอยู่ เพราะต้องการพูดกับเพื่อนเพียงลำพังเท่านั้น ซึ่งมุมนี้ในตอนนี้ก็ไม่มีใครอื่นอีกด้วย
“ มึงรู้อยู่แก่ใจอิง ว่าคนที่ใช่ ไม่ใช่ว่าจะเจอกันง่ายๆ คนเรานะอิง มันก็เหี้ยเหมือนกันหมด ขึ้นอยู่ว่าจะเหี้ยมากเหี้ยน้อยเท่านั้นเองไม่ใช่เหรอวะ?”
“แต่มึงเคยบอกไม่ใช่เหรอ ว่าอีกไม่นานพี่เขาก็จบ เทอมหน้าปีสุดท้ายลุยงานเต็มตัวไม่ต้องเข้าม.แล้ว ต่อให้คบกันแล้วยังไง คนเรามันเปลี่ยนกันได้อยู่ดี ถ้าห่างกัน...”
“ แล้วมึงจะมานั่งนึกเสียใจทีหลังหรือเปล่า ว่าตอนนั้นน่าจะทำอย่างนั้น น่าจะกล้าอย่างนี้ คนเรามันเปลี่ยนกันได้อย่างที่มึงว่านั่นล่ะ บางทีพี่เกียร์อาจจะเปลี่ยนมาชอบผู้ชายอย่างมึงก็ได้ ใครจะไปรู้ คิดเอาแล้วกัน”
มึงก็รู้ว่ากูรักมึงแค่ไหน เรื่องที่น่าจะทำให้มึงเสียใจมีหรือกูจะทำ
คราวนั้นที่มึงเสียใจกูก็อยากกระทืบไอ้เหี้ยพี่ทักนั่นให้จมตีน ถ้าไม่ติดว่าเฮียเอิร์ธจัดไปแล้วโดยไม่ต้องถึงมือถึงตีนกู
สายฟ้ารู้ว่าเพื่อนเข้าใจสิ่งที่เขาไม่ได้เอ่ยพูดออกไป แม้แค่มองตากันก็ตาม ไม่มีทางที่พวกเขาจะไม่หวังดีต่อกัน
แล้วโอกาสน่ะนะ จะมัวแต่รอให้มันเกิดขึ้นเองทำไม สร้างมันขึ้นมา ขโมยมันมาสิ
คนเรามันต้องรู้จักกล้าได้กล้าเสียบ้าง เสียครั้งเดียวก็ใช่ว่าจะเสียไปทุกครั้งสักหน่อย
ล้มแล้ว..ก็ลุกขึ้นมาใหม่ก็เท่านั้น แม้แผลจะเต็มตัวก็ตาม
... คนอื่นมันทำเราเจ็บได้ไม่เท่าเราทำตัวเองหรอก...
“ อืม...จะลองคิดดู”
มันต้องอย่างนั้น สายฟ้ายิ้มร้าย.... สายตานั่นบ่งบอกว่าตัดสินใจแล้วไม่ใช่เหรอ...อชิรวิชณ์
... เพื่อนกันมันไม่ต่างกันนักหรอก...
“ เลือกได้หรือยัง ปันมันชวนไปเดินจตุจักรใต้ดิน ไปไหม?” น้ำฝนเดินเข้ามาหาพวกเขาทั้งคู่ ในมือเธอมีหนังสือ2-3เล่ม
“ อือ...ไปๆ” สายฟ้าตอบเพื่อนสาว ก่อนจะกอดคอเพื่อนรักเดินตามไป
*
*
“ เอาป่ะน้อง เดี๋ยวพี่ลดให้ ”
อิงเงยหน้ามองเจ้าของร้านมาดเซอ ที่เพิ่งลุกมาจากเก้าอี้หลังร้านกิ๊ฟช็อปแบบแผงลอย
“ มันอยู่มานานละ ไม่มีใครซื้อมันไปสักที เพราะมันหน้าบึ้งงี้ไง”
อดที่จะนึกขำเจ้าของร้านไม่ได้ นี่เป็นการเชียร์ขายของๆพ่อค้าเหรอ?
“พี่แถมไอ้ตัวจิ๋วน้องมันให้อีกตัวก็ได้ ” ลดแลกแจกแถมกันเลยทีเดียว ทั้งที่ยังไม่ได้พูดอะไรสักคำ
ก้มมองตุ๊กตาหมีขนนุ่มสีน้ำตาลอ่อนในมืออีกครั้ง ปากที่คว่ำกับหางคิ้วเข้มที่กำลังชี้ขึ้น
ดวงตาหรี่ลงคล้ายกำลังโมโหอยู่ จนเรียกได้ว่าบึ้งตึงอย่างที่เจ้าของร้านว่ามาจริงๆนั่นล่ะ
แค่มองแป็บเดียวก็ทำให้นึกถึงใบหน้าคมเข้มของคนที่คอยวนเวียนอยู่ในห้วงคำนึง ที่เพิ่งทำให้หัวใจปวดแปลบเมื่อไม่กี่ชม.ก่อนนี่เอง
...ไม่หลาบจำเลยนะใจเขานี่
เจ้าหมีหน้าบึ้งสวมเพียงเสื้อยืดสีขาวอย่างน่ารักเพียงตัวเดียว
ส่วนอีกตัวที่มีขนาดเล็กกว่า ขนาดเท่าพวงกุญแจที่มีห่วงร้อยให้เรียบร้อย หน้าตาถอดแบบเจ้าตัวใหญ่มาเด๊ะๆ
ต่างกันแค่สวมเสื้อยืดสีดำเท่านั้น
ยิ่งตอกย้ำว่าเหมือนคนๆนั้นทีชอบสวมเสื้อยืดเพียงสองสีนี้แล้วทับด้วยช็อปของคณะอีกที ขาดเสื้อช็อปสินะ
“ใช่สิ!”
เหมือนนึกบางอย่างขึ้นมาได้ เลยตกลงซื้อเจ้าตัวใหญ่ที่ขนาดความสูงเท่าหมอนหนุนแล้วได้แถมเจ้าตัวจิ๋วที่ขนาดใหญ่กว่ากำปั้นมา
... ด้วยราคาที่เจ้าของร้านลดให้ครึ่งต่อครึ่งทั้งที่ไม่ได้เอ่ยปากต่อเลยสักคำ...
*
*
*
กลับมาบ้านเพราะเป็นวันสุดท้ายของสัปดาห์พอดี อิงถามหาหนังสือการตัดเย็บเสื้อผ้ากับแม่
เลยได้แพทเทิร์นช็อปมา หลังจากที่เข้าไปนั่งรื้อค้นหนังสืออยู่ในห้องเก็บของอยู่เป็นนานสองนาน
เขาได้ผ้ามาจากร้านขายผ้าระหว่างทางกลับบ้าน แวะทันร้านที่กำลังจะปิดอยู่พอดี
ฝีมือการตัดเย็บของเขาไม่ได้ดีเด่อะไร เลยต้องคอยถามผู้เชี่ยวชาญอย่างแม่เขาที่ตัดได้แม้กระทั่งสูท ทักสิโด้ ชุดราตรี ยันชุดแต่งงาน
*
*
*
ตลอดวันหยุดทั้ง2วันอิงไม่ได้ออกไปไหน ค่อยๆตัดเย็บเสื้อช็อปสำหรับเจ้าหมีดุทั้งสองตัวอย่างใจเย็น
ผู้เป็นแม่คอยบอกและแนะนำอยู่ตลอดว่าต้องทำอย่างไร ทุกขั้นตอนถูกทำออกมาอย่างประณีตและตั้งใจ
เก็บทุกรายละเอียดราวกับทำให้คนสำคัญสวมใส่ ดวงใจทั้งดวงถูกทุ่มเทให้กับสิ่งที่ทำ
แม่มองลูกชายที่ยิ้มอย่างดีใจและมีความสุข เมื่อความตั้งใจของคนทำประสบผลสำเร็จในที่สุดตอนเย็นของวันอาทิตย์
.... นั่นทำให้คนเป็นแม่มีความสุขตามไปด้วย
“ครืด...ตึ๊ง..ดึง..” หยิบสมาร์ทโฟนมาเลื่อนดูข้อความทางไลน์
“(ทำอะไรอยู่ครับ คุยได้?)” จากเทนรุ่นพี่ที่คณะ
“(กำลังจะกลับหอครับ)”
“(อยู่ไหน?...บ้าน?)”
“(ครับ)”
“(พี่ไปรับไหม? ผ่านพอดี)” อืม อิงชั่งใจอยู่ชั่วครู่
“(อิง?)”
เขาคงคิดนานไปคนที่กำลังคุยด้วยเลย เช็คมาว่าอยู่ไหม
“(รบกวนด้วยครับ)”
“(พี่อยู่ไม่ไกล มารอหน้าบ้านเลย)”
“(รับทราบครับ)” ส่งพร้อมตัวการ์ตูนตะเบ๊ะท่าของทหารแนบไปด้วย เลยได้ตัวดุ๊กดิ๊กส่ายหน้าตอบกลับมาจากอีกคน
เข้าไปลาพ่อแม่แล้วหิ้วกระเป๋าใบใหญ่ที่มีพวกหมีดุอยู่ข้างใน แถมด้วยเสื้อช็อปกับเสื้อนักศึกษาชาย
เพราะบังเอิญมีเศษผ้าเนื้อดีที่เหลือจากการตัดเย็บเสื้อให้พ่อเขาแม่เลยเอามาให้เขา
แล้วยังมีเนคไทนักศึกษาฝีมือคุณแม่ให้ด้วยอีกตัวละเส้น ออกมายืนรอรถรุ่นพี่เพราะเป็นทางผ่านพอดี
อีกอย่างกระเป๋าใบค่อนข้างใหญ่ด้วย คงไม่สะดวกหากต้องขึ้นบีทีเอส แต่ถ้านั่งแท็กซี่ไปม.คงจ่ายไม่ไหว
ส่วนอุเทนนั้นที่นั่งรอเวลาอยู่ในร้านกาแฟ ไม่ไกลจากบ้านรุ่นน้องมากนัก เพราะคำนวณเวลาไว้แล้ว
ว่าอิงมักจะกลับหอเวลานี้ทุกวันอาทิตย์
มันเป็นทางผ่านบ้านเขาก็จริง แต่เรื่องเวลาไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างที่อิงเข้าใจ
*
*
*
*
*
ทุกเย็นหลังเลิกเรียน ถ้าไม่ได้ไปไหน อิงจะมีความสุขเล็กๆกับการปักเสื้อช็อปของพวกเจ้าหมีดุต่างไซร์
เดี๋ยวปักเดี๋ยวรื้อ
กว่าจะได้แต่ละตัวอักษรก็งมอยู่เป็นชั่วโมง อย่างที่บอกอิงไม่ค่อยมีฝีมือมากนักในการตัดเย็บ นั่นรวมไปถึงการปักด้วยเช่นกัน
แต่เพราะความอดทนมุมานะที่จะทำ ความทุ่มเทที่ทุ่มลงไปทั้งหัวใจ จึงเกิดเป็นความภาคภูมิใจเมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นอย่างสมบูรณ์
หากจะมีใครสักคนสังเกตนิ้วมือที่ขาวและเรียวยาวดุจลำเทียน โดยเฉพาะส่วนปลายด้านในด้วยแล้วล่ะก็
คงเห็นแต่ร่องรอยของปลายเข็มที่ถูกทิ่มตำจนนับครั้งไม่ถ้วน
เจ้าตัวใหญ่ได้ตำแหน่งประจำคือข้างหมอนที่นอนหนุนทุกวัน มันจึงได้คำทักทายทุกเช้ากับคำบอกราตรีสวัสดิ์ก่อนนอนทุกค่ำคืน
ส่วนเจ้าตัวเล็กนั่งหน้าบึ้งไม่แพ้เจ้าตัวโต บนเก้าอี้วางโทรศัพท์ดีไซน์เก๋ที่ไม่ได้ใช้แล้ว ตรงมุมคีย์บอร์ดหน้าคอม
คอยรับฟังเวลาร่างโปร่งบางเครียดตอนทำการบ้าน เป็นที่ระบายเมื่อตัดพ้อกับอีกคนที่เจ้าตัวคงไม่รู้เรื่อง
..... ถึงตำแหน่งของทั้งคู่จะไม่เหมือนกันแต่อิงก็รักพวกมันทั้งคู่ไม่ต่างกัน .....