Jewelry Design
#อัญมณีที่รัก
ผมออกแบบแหวนแต่งงานให้คนอื่นมามากมาย
คงมีแค่คนเดียวที่ผมจะไม่ได้ออกแบบแหวนแต่งงานให้
คนๆ นั้นก็คือตัวผมเอง…
- นพจินดา วรโชติเมธี –
CH. 15
Diamond
“ไงเรา ผ่านด่านภาคินหรือยัง”
คุณย่าเฟื่องฟ้าหัวเราะพร้อมกับลูบหลังเจ้าหลานชายที่ทำตัวเป็นเด็กสามขวบล้มตัวนอนตัก ไม่ยอมลุกไปไหน ท่าทางเหมือนไปทำสงครามมาทำให้เธอเองก็พอเดาได้ว่าน่าจะยังไม่ผ่านเพราะเจ้าหลายชายตัวโตเบะปากทำท่าทางเหมือนเด็กที่ไม่ได้กินขนม
“ภาคินไม่ใจอ่อนสักนิดเลยสินะ”
“มีให้ผมฟังเสียงทับทิมได้วันละสองนาที”
“ตายละ ได้ตั้งสองนาที”
“ย่าครับ”
พอเห็นคุณย่าสุดที่รักไม่ยอมเข้าข้างแบบนี้ พอร์ชเลยทำหน้างอนหนักเข้าไปใหญ่ คุณย่าเฟื่องฟ้าเลยต้องยกมือกอดเจ้าหลานไว้ ตอนนี้คงต้องให้กำลังใจกันอย่างหนัก วันนี้พอรู้ว่าหลานแวะมาหาป้าพรก็จัดอาหารจานโปรดชุดใหญ่นี่ก็เตรียมอาหารมาตั้งแต่บ่ายยังไม่ยอมออกมาจากครัวสักที
“ไหวไหมเรา ย่ายังไม่เห็นเรายอมใครขนาดนี้มาก่อน”
“ผมไม่ได้ไม่เต็มใจนะครับย่า ที่ผมทำผมอยากให้คุณคินเห็นว่าผมรักทับทิมจริงๆ”
“ที่งี้มาพูดคำว่ารักได้เต็มปากเต็มคำ”
“อยากพูดให้เขาฟังจะแย่อยู่แล้วครับ”
“เจ้าพวกสามทหารเสือเขาก็ดูแลประคบประหงมของเขามา”
“ต่อจากนี้จะมีผมดูแลทับทิมอีกคน”
“เราน่ะยังดูแลตัวเองได้ไม่ดีเลยบ้างานก็ที่หนึ่ง ให้เพื่อนเขาใจอ่อนก่อนเถอะแล้วไม่เรียกทิมว่าพี่เลยหรือไงเขาแก่กว่านะ”
“ใครเขาเรียกแฟนตัวเองว่าพี่กันครับย่า”
“หมั่นไส้เราจริงๆ ย่าขอให้ภาคินเล่นงานเราหนักๆ”
คุณย่าเฟื่องฟ้าเลยดันตัวให้เจ้าหลานชายลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปในครัว เพื่อดูอาหารที่เตรียมไว้ พอร์ชเองเลยได้แต่นอนเล่นโทรศัพท์รอ ทุกวันนี้เขาได้เห็นหน้าคุณทิมน้อยมากแต่ละครั้งก็ยังไม่ถึงสิบนาทีเลยด้วยซ้ำ และใช่ว่าคุณทิมยอมให้เขาเจอง่ายๆ ทุกครั้งคือเขาเองที่แอบหนีคุณคินไปหาทั้งที่โดนสั่งห้ามเด็ดขาดแล้วก็ตาม คุณทิมก็ยังเป็นคุณทิมที่ใจแข็งไม่ยอมอ่อนให้ ทุกครั้งที่เราเจอกันพอร์ชไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะรู้ตัวหรือเปล่า แต่ก็ไม่เห็นจะมีทีท่าอะไรหน้าตาเรียบเฉยจนเขาเองก็ไม่รู้ว่าคุณทิมคิดอะไรอยู่
พอร์ชไม่อยากให้เราสองคนเหมือนคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จักกันแบบนี้
และเขาเองก็ไม่รู้เลยว่าอีกนานเท่าไหร่เราสองคนถึงจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมสักที
Jewelry Design
“ไม่ได้ขับมานานมาก”
“เบนจามินสิงห์นักบิดในตำนานตายไปแล้วเหรอวะ”
“หยามกูมากแล้ววันนี้มึงจะลงเองป่ะวะ”
“คอยดู”
คินมองไปยังสนามแข่งรถที่เขาเองก็ไม่ได้มานานมากแล้วเหมือนกันตั้งแต่เรียนจบปริญญาตั เมื่อก่อนกิจกรรมขับรถแข่งก็เป็นหนึ่งในกิจกรรมสุดโปรดของแก๊งลูกเพื่อนแม่ แต่สมัยนั้นพวกเราทั้งสี่คนยังเป็นวัยรุ่นเลือดร้อนกันหมด เบนจามินคือคนที่เคยได้ที่หนึ่งในการแข่ง ส่วนพวกเขาที่เหลือก็แค่ขับแข่งกันสนุกๆ ไม่ได้จริงจังอะไร วันนี้วันอาทิตย์พอดีคินเลยนึกถึงขึ้นมาอีกอย่างเขาก็แค่อยากทดสอบบางอย่าง ถึงได้เรียกพอร์ชมาด้วย
“ผมอยากลองขับบ้าง พี่เบนผมขับได้ไหม”
“ทำไมเราถึงอยากลองนู่นลองนี่ทุกอย่างเลยนะอยู่เชียร์พี่เฉยๆ เลย เราน่ะคีตา”
“พี่เบนยังขับไหวเหรอ ทุกวันนี้เดินขึ้นบันไดยังบ่นว่าเหนื่อยเลย”
“มาแข่งโชว์ให้เด็กมันดูหน่อย มิลมาแข่งกับกู”
ต้นไม้พอรู้เรื่องกิจกรรมของแก๊งลูกเพื่อนแม่มาบ้างแต่ก็ไม่เคยได้เห็นกับตาแบบนี้ รามิลอยู่ในชุดแข่งรถเต็มยศจนต้นไม้เองก็อดที่จะใจเต้นไม่ได้พอเห็นแฟนตัวเองหน้าแดงก็เลยโดนแซวชุดใหญ่ โดยมีเบนที่บ่นเบาๆ ว่าเจ้าหนูคีตาของเขาไม่เห็นจะตื่นเต้นอะไรเลยเวลาที่เห็นแฟนแต่งตัวหล่อๆ เอาแต่ร้องงอแงว่าอยากขับรถแข่งบ้าง
พอร์ชที่นั่งอยู่ด้วยได้แต่นั่งมองแก๊งลูกเพื่อนแม่สวีตกับแฟน จะว่าไปเขาก็ยังไม่เห็นคุณทิมเลยตั้งแต่โดนคุณคินเรียกตัวมาที่นี่ ยังไม่ทันขาดคำคนที่เขานึกถึงก็เดินเข้ามา ท่าทางคุณทิมจะไม่ได้ขับรถเหมือนคนอื่นเพราะเห็นยังแต่งตัวด้วยชุดเสื้อยืดกาง
เกงยีนส์เหมือนเดิม ทันทีที่อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาสบตาพอร์ชก็ยิ้มให้แต่สิ่งที่ได้กลับมาก็คือใบหน้าที่นิ่งสนิทไม่มีแม้แต่รอยยิ้มน่ารักๆ ส่งกลับมา
“มึงขับเป็นอยู่แล้วใช่ไหม”
“เป็นครับ”
“แข่งกับกู”
คินยื่นมือมาข้างหน้าเหมือนเป็นคำท้า ซึ่งพอร์ชก็รู้ดีว่าเขาเองไม่มีทางจะปฏิเสธได้อยู่แล้ว สายตาของคุณทิมที่กำลังมองมาทางนี้ทำให้พอร์ชต้องลุกขึ้นยืนพร้อมกับจับมือของคุณคินไว้แน่นซึ่งแปลว่าเขารับคำท้า จังหวะที่กำลังจะดึงมือออก คุณคินก็ก้มลงมาหาแล้วกระซิบเบาๆ
“มึงต้องชนะเท่านั้นถ้าแพ้แต้มบุญความดีที่สะสมมาจะติดลบทันที”พอร์ชเหลือบตามองก่อนจะพยักหน้ารับ เขาไม่รู้ว่ามันหมายความว่ายังไง ถ้าเขาชนะครั้งนี้คุณคินจะยอมให้เขาได้ผ่านด่านได้หรือเปล่าเขาเองก็ไม่รู้ ที่ผ่านมาคุณคินไม่เคยใช้ความรุนแรงเลยสักครั้ง แต่ทุกอย่างเหมือนฝึกให้เขาใช้ความอดทนซะมากกว่าเหมือนรู้ว่าเขาเป็นคนใจร้อนในบางเรื่องและอยากให้เขาปรับตัวเหมือนผู้ใหญ่สอนเด็ก
ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือเปล่า?
พอร์ชเดินออกไปลองรถที่จะใช้แข่งที่สนาม ถึงเขาจะรู้ตัวว่าคุณทิมคงไม่มีคำพูดอวยพรให้เขาได้ยินเผลอๆ อาจจะเชียร์คุณคินซะมากกว่าด้วยซ้ำ แต่พอหันไปมองคุณทิมเองก็ยังคงมองเขาอยู่เหมือนกัน ตั้งแต่ที่ลานจอดรถวันนั้นเขายังไม่มีโอกาสได้คุยกับคุณทิมอีกยิ่งอยู่ใกล้ๆ แบบนี้เขายิ่งอยากกอดคุณทิมไว้ให้แน่นๆ
แต่สุดท้ายก็ทำได้แต่มองเท่านั้น
ฝีมือคุณคินไม่ใช่เล่นๆ
พอร์ชกอดอกมองคนที่ลองรถอยู่ในสนาม นี่ขนาดเจ้าตัวบอกเองว่าไม่ได้ลงสนามมานานมากแล้วแต่ทั้งความเร็วและทักษะเรียกได้เลยว่านี่ใกล้เคียงกับคำว่ามืออาชีพ พอร์ชเช็คร่างกายและรถของตัวเองเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะหันมองคนที่ยืนดูการแข่งครั้งนี้อยู่บนสแตน ยังไงเขาก็อยากเห็นหน้าคุณทิมก่อนจะลงสนาม
แต่ไม่รู้ว่าคุณทิมหายไปไหน?
รอบแรกพอร์ชรู้สึกว่าคุณคินอ่อนข้อให้เพราะเวลาของเราสองคนไม่ได้ต่างกันมากสักเท่าไหร่ แต่พอรอบสองก็เริ่มเร่งเครื่องแสดงฝีมือบ้างแล้วถึงได้ทิ้งให้เขาให้ตามหลังขนาดนี้ พอร์ชมองตามท้ายรถที่อยู่ด้านหน้าแล้วขมวดคิ้วก่อนจะใส่เกียร์แล้วเร่งเครื่องตาม พอร์ชไม่ได้แซงนำขึ้นไปทั้งๆ ที่มีจังหวะแต่พยายามสังเกตทุกอย่างที่อยู่ในสายตา
เขารู้แล้ว..
อยู่ดีๆ พอร์ชก็เร่งเครื่องแล้วตีขนาบข้างแต่ไม่ยอมแซงขึ้นไปทั้งๆ ที่มีโอกาส ตอนนี้รามิลกับเบนได้แต่ยืนมองรถแข่งสองคันที่วิ่งเบียดกันอยู่ในสนาม ทั้งสองคนขมวดคิ้วไม่เข้าใจเหตุการณ์ตรงหน้าทั้งๆ ที่รู้ว่าตอนนี้พอร์ชสามารถแซงเข้าเส้นชัยได้แล้วแต่พอร์ชเลือกที่จะรักษาระดับความเร็วไว้แค่นั้น อีกแค่ไม่กี่นาทีรถแข่งทั้งสองคันกำลังจะเข้าเส้นชัย แต่เพียงเสี้ยวนาทีพอร์ชกลับปล่อยคันเร่งแล้วให้รถอีกคนเข้าเส้นชัยคว้าชัยชนะไปต่อหน้าต่อตา
รถแข่งทั้งสองคันยังคงจอดนิ่งๆ อยู่อย่างนั้นโดยที่ไม่มีใครยอมลงมาจากรถ เสียงประกาศว่าใครที่เป็นผู้ชนะทำให้พอร์ชเปิดประตูรถลงมาพร้อมกับถอดหมวกกันน็อคออก แล้วเดินมายังรถแข่งที่ยังจอดนิ่งสนิทคนในรถไม่แม้แต่จะขยับตัวเลยสักนิด พอร์ชเลยตัดสินใจเปิดประตูเองแล้วก้มลงมาหา
“ผมแพ้”
“………………………..”
“ผมแพ้ให้คุณคนเดียวเท่านั้นนะทับทิม”
“………………………..”
คนที่นั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นค่อยๆ ถอดหมวกที่ใส่อยู่ออกและเป็นพอร์ชเองที่เดาไว้ไม่มีผิดคนที่เขาแข่งด้วยไม่ใช่คุณภาคิน แต่เป็นทับทิม เขาขับรถแข่งมาหลายปีถึงจะไม่ได้จริงจังถึงขนาดลงแข่งสนามไหนก็ตาม แต่การที่ต้องสังเกตการเล่นของคนที่เขาต้องแข่งด้วยพอร์ชทำมันประจำอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นตอนรอบซ้อมเขาถึงได้ตั้งใจดูว่าคุณคินมีการทักษะการขับแบบไหน แต่พอลงสนามจริงพอร์ชถึงรู้สึกแปลกใจที่มันไม่เหมือนรอบซ้อมเลยสักนิด
ที่จริงเขาสงสัยตั้งแต่คุณทิมหายไปแล้ว
“เคยบอกแล้วว่าให้สู้ซึ่งๆ หน้าไม่ชอบให้แกล้งแพ้”
“เราไม่ได้เล่นเกมกันแล้วทับทิม ไม่ว่าคุณจะทำอะไรผมก็แพ้คุณอยู่ดีนั่นแหละ”
“เลี่ยน”
“หวั่นไหวบ้างไหมครับ”
“จะอ้วกมากกว่า”
“ผมแพ้แบบนี้ผมจะผ่านด่านคุณคินได้ยังไง ผมคงต้องกลับไปเริ่มใหม่อีกแล้ว”
ทับทิมหันมามองหน้าพอร์ชเต็มๆ ตา เขาพอรู้ว่าคินสั่งให้พอร์ชทำอะไรบ้าง มันอาจจะไม่ใช่เรื่องลำบากอะไรมากมายแต่สำหรับพอร์ช พชร ทายาทไฮโซที่เติบโตมาพร้อมทุกๆ อย่างจะต้องมาโดนใช้ให้ทำอะไรมากมาย ทั้งๆ ที่ในแต่ละวันปกติเวลาว่างแทบจะไม่มีอยู่แล้ว มันก็เรียกว่าหนักหนาพอสมควร คุณชายของเจริญกิจธาราที่ยอมให้คินโขกสับโดยที่ไม่มีปริปากบ่นก็เรียกว่าอดทนได้มากกว่าที่คิด
กลับมาที่สนามแข่งรถ ทั้งสองคนไม่มีการสัมผัสแตะเนื้อต้องตัวกันเลยสักนิดทั้งๆ ที่พอร์ชเองอยากจะลูบแก้มแดงๆ ที่อยู่ตรงหน้าใจจะขาด เขารู้ว่าคุณทิมเองก็คงเหนื่อยอยู่เหมือนกันน่าจะไม่ได้ลงขับมานาน แต่พอร์ชรู้ดีว่ามันคงไม่เหมาะเลยได้แต่มองหน้ากันอยู่เงียบๆ ทิมหันไปมองบนสแตนเห็นว่ามีคินกำลังยืนกอดอกมองอยู่ ตอนที่คินมาบอกให้เขาเป็นคนแข่งกับพอร์ชเองก็แปลกใจอยู่เหมือนกันแต่ก็คิดไว้แล้วว่าคินน่าจะมีแผนอยู่ในใจ
“คนอย่างพอร์ชฉลาดเป็นกรดต้องรู้อยู่แล้วว่าไม่ใช่กูที่แข่งด้วย”
“แล้วยังไง”
“ก็อยากรู้ว่าพอร์ชคนที่รักการแข่งขันขนาดนั้นอยากจะชนะหรือยอมแพ้แล้วต้องกลับไปเริ่มต้นใหม่”จริงอย่างที่คินว่าตั้งแต่ทิมรู้จักพอร์ชมาก็นับว่าเป็นผู้ชายที่รักศักดิ์ศรีพอสมควรจะไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ ไม่งั้นคงไม่ยอมเล่นเกมกับเขาตั้งแต่แรกหรอก ยอมรับเลยว่าทิมเองก็ไม่คิดว่าพอร์ชจะยอมไม่เข้าเส้นชัยทั้งๆ ที่ชัยชนะอยู่ตรงหน้าแท้ๆ และก็โดนคินขู่ไว้ซะขนาดนั้น ว่าถ้าพอร์ชแพ้จะต้องกลับไปเริ่มใหม่
บางทีคินก็คิดไว้อยู่แล้วว่าผลการแข่งมันจะออกมาเป็นแบบไหน
Jewelry Design
“ไม่เล่นงานต่อแล้วเหรอวะคิน”
“ตอนนี้ก็ดูโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเยอะ ตอนที่มันเล่นเกมกับทิมแม่งเหมือนเด็กไม่รู้จักโตเอาแต่เล่นไปวันๆ ไม่แยกแยะอะไรเลย อะไรนิดหน่อยก็ไม่อดทน เอาแต่อารมณ์ตัวเองเป็นใหญ่ เอะอะๆ อยากจะชนะอย่างเดียว”
“ตรงไหนที่มึงคิดว่าพอร์ชมันควรจะผ่านมาถึงกูได้แล้ว”
“ตรงที่กูสั่งห้ามไม่ให้มันไปเจอทิมแต่มันก็สรรหาวิธีไปเจอหน้าไอ้ทิมได้ทุกครั้ง เห็นหน้าแค่ไม่ถึงวิมันก็ยังจะไป ถ้าไม่ติดว่าบ้านกูอยู่ติดบ้านทิมมันคงจะปีนหน้าต่างบ้านไอ้ทิมไปแล้ว”
“บ้าดีเหมือนกันนี่หว่า”
“เออ ถ้าสั่งห้ามแล้วมันทำตามที่กูสั่งทุกคำกูจะแกล้งมันไปแบบนี้แหละ จะถือว่ามีกฎไว้ไม่รู้จักแหก รักเขาก็ต้องอยากเจอหน้าเขาสิวะ จะทนได้ยังไง”
“กูก็คิดไม่ถึงเหมือนกันนะว่ามันจะเป็นได้ถึงขนาดนี้”
“เวลาโง่ก็โง่เหลือเกินเวลารักก็รักฉิบหาย อีกอย่าง..”
ภาคินกับเบนจามินมองไปที่สนามแข่งรถ ทิมกับพอร์ชเดินแยกกันไปคนละทางแต่แค่เพียงไม่นานพอร์ชก็หันมามองตามหลังทิมก่อนจะหันกลับไปตามเดิม ทิมยังคงเดินตามปกติไม่ได้หันกลับไปมองอีกฝ่ายแต่ถ้าสังเกตดีๆ บนใบหน้าน่ารักนั่นมันมีรอยยิ้มเพิ่มขึ้นมาทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้มันยังคงนิ่งสนิทไร้อารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น คินยิ้มออกมาก่อนจะบอก
“เพื่อนเรา…ก็รักเขามากเลยว่ะ”ผ่านด่านคุณภาคินมาแบบ งงๆ หลังจากวันที่แข่งรถ ทั้งๆ ที่เขาเองก็แพ้
และตอนนี้กำลังยืนอยู่ตรงประตูคอนโดตรงหน้ามีแมวสีขาวหน้าตาไม่รับแขกอยู่หนึ่งตัวกำลังนั่งจ้องหน้าเขาอยู่
“ตรงเวลาดีนะ”
คนที่ทักคือคุณเบนที่เดินออกมาจากครัวทั้งผ้ากันเปื้อนในมือถือตะหลิวเหมือนกำลังทอดอะไรสักอย่างอยู่ ตั้งแต่ตอนเช้าที่คุณคินบอกว่าวันนี้ไม่ต้องมาหาที่ร้านแล้วเบื่อขี้หน้า แล้วก็ส่งโลเคชั่นที่นี่มาให้แทนเพิ่งรู้ว่ามันคือคอนโดของคุณเบนจามินกับคีตา แต่คิดว่าเจ้าของห้องตัวจริงคือเจ้าแมวหน้าหยิ่งนี่มากกว่าเพราะไม่ยอมปล่อยให้เขาเข้าห้องสักที พอร์ชเองก็อยากจะเข้าห้องใจจะขาดแต่ไม่ว่าเขาจะก้าวขาไปทางไหนน้องแมวนี่ก็ดักทางขวางหน้าเขาตลอด
“อันนา มาหาคีย์เร็ว”
ในที่สุดก็มีคนมาช่วยเขาสักที คีตาแฟนคุณเบนเดินออกมาจากห้องทั้งชุดนอนพยายามเรียกเจ้าแมวให้เดินไปหา น้องแมวหน้าไม่รับแขกมีอาการลังเลเล็กน้อยแต่พอคีตาเรียกครั้งที่สองก็รีบเดินเข้าไปพร้อมกับทำท่าทางออดอ้อนน่ารัก แต่ยิ่งกว่าแมวคือการที่คุณเบนเดินเข้ามาหาแฟนแล้วจัดการหอมแก้มป่องๆ นั่นจนบุ๋มลงไป
“คุณพอร์ชอยู่”
“ดี ให้มันขาดใจตายไปเลยชาตินี้ไม่รู้ว่ามันจะได้หอมแก้มทิมอีกหรือเปล่า”
เจ็บมาก..สรุปพอร์ชเองก็ไม่รู้ว่าคุณเบนเรียกเขามาที่นี่เพื่ออะไรเพราะตอนนี้หลังจากฉากหวานแหววเมื่อกี้นี้ทั้งสองคนก็เดินหายเข้าไปในห้องครัว ทิ้งเขาไว้กับน้องแมวอันนา (รู้ชื่อแล้ว) ที่ยังคงนั่งจ้องหน้าเขาไม่เลิกลองโบกมือทักทายก็แล้วลองเล่นด้วยก็แล้วอันนาก็ยังไม่เห็นจะมีปฏิกิริยาอะไรนอกจากนั่งจ้องหน้าเขานิ่งๆ เหมือนเดิม
เสียงหยอกล้อในห้องครัวทำให้พอร์ชตัดสินใจเดินเข้าไปดูใกล้ๆ ภาพที่คุณเบนป้อนอาหารที่ทำอยู่ให้กับคีตามีการแกล้งทำซอสเลอะแก้มแล้วหัวเราะกันอยู่สองคนมันเป็นภาพที่น่ารักดี เพิ่งรู้สึกตัวว่าเขาไม่เคยมีช่วงเวลานี้กับคุณทิมเลยเขาทำงานหนักเวลาที่เลิกงานก็ดึกมากแล้วและไม่เคยได้ตื่นมากินอาหารเช้าเลยด้วยซ้ำ
เท่ากับว่า 90% ในชีวิตของเขาคืองานอย่างเดียว
“วันนี้มึงว่างไหม”
เริ่มคำถามเหมือนกันเด๊ะๆ แก๊งลูกเพื่อนแม่
และแน่นอนว่าคำตอบเขา
“ว่างครับ”
“เคยเลี้ยงสัตว์หรือเปล่า”
“ไม่เคยมีสัตว์เลี้ยงครับแต่เคยเลี้ยงรูบี้ของคุณทิม”
“มึงเลี้ยงไอ้หนูผีนั้นได้น้องอันนานี่มึงก็น่าจะเลี้ยงได้”
พอจะเดาได้ละว่าเรียกเขามาทำไมคีตาจับเอาเจ้าน้องแมวอันนาใส่โบว์หูกระต่ายน่ารักแม้จะไม่ค่อยเข้ากับหน้าเท่าไหร่ แล้วก็ยื่นกระเป๋าใส่แมวมาให้ พอร์ชรับมาถือไว้ก่อนจะเงยหน้ามองคุณเบนที่ยิ้มให้ตาตี่ๆ นั่นไม่ได้ทำให้เขาสบายใจเลยสักนิด
“จัดการตามตารางนี่ทั้งหมดแล้วไปเจอกูที่ร้านอาหารนี่ตอนหกโมง”
รูบี้น่ารักกว่าน้องอันนาเยอะพอร์ชไม่ได้ลำเอียง
อย่างน้อยรูบี้ก็ยังยอมให้เขาจับเล่นลูบขนไปมาแล้วดูเจ้าแมวอันนานี่
“ไปอาบน้ำไงจะได้สวยๆ ไม่ชอบอาบน้ำเหรอ”
เงียบ“อาบน้ำแล้วจะให้กินขนม”
เงียบ“ได้ไปเที่ยวนะออกไปข้างนอก”
เงียบนั่งเล่นเกมจ้องหน้าแมวมาเกือบชั่วโมงน้องอันนาก็ยังไม่ยอมขยับไปไหน จนปัญญาของสถาปนิกอยากบอกอันนาว่าถ้าทำตัวดีๆ จะออกแบบคอนโดแมวให้ฟรี เอาแบบหรูหราหมาเห่าแบบแมวตัวอื่นเทียบไม่ได้แต่ก็ไม่รู้ว่าอันนาจะเข้าใจหรือเปล่า พอร์ชเองล้มตัวลงนอนอย่างหมดแรงเพราะไม่รู้จะทำยังไง แต่อยู่ดีๆ น้องอันนาก็เดินเข้ากระเป๋าหน้าตาเฉยพอร์ชเลยเด้งตัวขึ้นมาเตรียมตัวพร้อมพาแมวหน้าหยิ่งไปทำสวยสักที
ร้านนี้เขาเคยมาแล้ว
คุณทิมเองก็เคยพารูบี้มาที่นี่น่าจะเป็นร้านประจำของแก๊งลูกเพื่อนแม่
“ว๊าววันนี้น้องอันนาควงหนุ่มหล่อ เปลี่ยนคนพามาซะด้วยคุณคีตาไม่ว่างเหรอคะ”
พอร์ชเลยต้องพยักหน้ารับก่อนจะส่งน้องแมวอันนาให้ช่างท่าทางสนิทกันดีอันนานอนนิ่งในอ้อมกอดไม่ดิ้นหนีเหมือนตอนที่เขาพยายามจับตัวเลยสักนิด นัดเวลามารับเสร็จสรรพพอร์ชเลยจะออกไปรอข้างนอกเสียงพูดคุยที่ดังขึ้นจากห้องข้างๆ ทำให้พอร์ชต้องเดินไปดูเพราะรู้สึกคุ้นกับเสียงที่ได้ยิน
“รูบี้ยังซนเหมือนเดิมเลยค่ะแรงดีไม่มีตก”
ว่าแล้ว..รูบี้ที่คุณทิมอุ้มอยู่ตัวอ้วนกลมเหมือนเดิมเขาคิดถึงเวลาที่ได้ลูบขนขาวๆ นุ่มๆ คิดถึงเจ้าของที่ยิ้มน่ารักเวลาที่เจ้ารูบี้วิ่งซนไปมาไม่ยอมเชื่อฟังคำสั่ง พอร์ชตั้งใจจะเดินเข้าไปหาแต่ก็ต้องหยุดชะงัก
“ทับทิ..”“พี่ว่ามันอ้วนไปแล้วนะทิมให้รูบี้กินกินเยอะไปหรือเปล่า”
“ทิมให้กินปกติเลยนะพี่ธีร์”
“จากชิลชิล่าจะกลายร่างเป็นหมู”
คุณทิมไม่ได้อยู่คนเดียวและข้างๆ คือผู้ชายตัวสูงใหญ่หน้าตาดีเรียกว่าดีมากเลย เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายก็ดูดีมีระดับ ทั้งน้ำเสียงท่าทางที่ยกมือลูบผมของทิมทำให้พอร์ชได้แต่ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น รอยยิ้มของคุณทิมที่เขาอยากเห็นนักหนาแต่ตอนนี้เขากลับไม่ใช่คนที่ได้รับ ตอนนี้รู้สึกว่าตัวชาขึ้นมาทันที
“ต้องการอะไรหรือเปล่าคะ”
เสียงพนักงานที่ทักขึ้นมาคงเห็นว่าเขายืนอยู่ตรงนี้นานแล้ว เสียงเรียกของพนักงานทำให้ทั้งสองคนที่ยืนอุ้มรูบี้อยู่หันมามองและก็เป็นอย่างที่เขาคิดคุณทิมพอหันมาเห็นเขาก็กลับมาหน้านิ่งตามเดิม ไม่ได้มีคำทักทายหรือการแนะนำตัวให้คนข้างๆ รู้จักจนสุดท้ายพอร์ชก็ต้องเป็นฝ่ายยอมแพ้แล้วเดินหันหลังออกไปเอง
ตั้งใจจะว่าหลบไปพักก่อนแต่คุณเบนก็โทรมาตามให้มาที่ร้านอาหาร
และแน่นอนว่าเขาต้องเจอทั้งคุณทิมและคนๆ เดิมนั่งอยู่ที่โต๊ะด้วย
“พี่ธีร์กลับมาจากอังกฤษปุ๊บก็เอาตัวเพื่อนผมไปเลยนะ ไม่ทำงานทำการเหรอพี่”
“คนบ้าอะไรจะทำงานยี่สิบสี่ชั่วโมงประสาทแดกตายกันพอดี”
“ถูกครับพี่ธีร์มันต้องหกโมงปุ๊บเด้งปั๊บเอาเวลาไปอยู่กับแฟน”
“กูว่าต้นไม้น่าจะรำคาญมึงมากกว่ารามิล”
“โห..ตัวเองตามติดไอ้ทิมตั้งแต่เช้ายันเย็น”
“อ้าว ก็เห็นทิมต้องพารูบี้ไปหาหมอนู่นนี่นั่นเลยมาช่วย เสาร์อาทิตย์สำหรับกูคือวันพักผ่อนเดย์จะปล่อยให้ไปคนเดียวได้ไง”
พอร์ชได้แตนั่งเขี่ยข้าวในจานไปมาบทสทนาที่เขาฟังอยู่ทำให้เขาไม่กล้าที่จะพูดอะไรออกไป เขารู้แค่ว่าคนที่นั่งอยู่ข้างๆ คุณทิมคือรุ่นพี่ที่สนิทกับแก๊งลูกเพื่อนแม่ในระดับหนึ่งไม่งั้นคงไม่ได้มานั่งอยู่กับคุณทิมแบบนี้หรอก แต่กับคุณทิมคุณธีร์อาจจะไม่ใช่แค่รุ่นพี่เพราะท่าทางและคำพูดคำจาเกินกว่ารุ่นพี่ไปมาก พอร์ชเงยหน้าขึ้นมามองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามคุณทิมเวลาที่คุณธีร์พูดอะไรก็ยิ้มตามไปซะหมดแต่พอหันมามองหน้าเขาก็หุบยิ้มตามเดิม
ทันทีที่พนักงานเอาอาหารมาเสิร์ฟมันคือทอดมันของโปรดของคุณทิม พอร์ชยิ้มก่อนจะตักทอดมันใส่จานคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามและมันก็เป็นจังหวะเดียวที่ธีร์เองก็ตักให้เช่นกัน ทั้งโต๊ะเงียบกริบเมื่อทั้งสองคนต่างหันมามองหน้ากัน
“ผมตักให้ทิมแล้วไม่เป็นไรมั้งครับ”
“ผมก็ตั้งใจจะตักให้ทับทิมเหมือนกันครับ”
“ทับทิม?”
“ครับ ทับทิม”
ทอดมันสองชิ้นวางลงบนจานตรงหน้าทั้งโต๊ะเหมือนให้ทิมตัดสินใจ ในที่สุดธีร์ก็หัวเราะออกมาเมื่อทิมดันทอดมันที่พอร์ชตักให้ไปไว้ตรงขอบจาน พอร์ชวางช้อนในมือลงเขารู้ว่าตอนนี้เขาเองกำลังหวงคุณทิมโคตรๆ และมันยากมากที่จะไม่ให้แสดงออกตอนนี้ พอร์ชเงยหน้ามองคุณคินที่มองเขาอยู่เหมือนกันคำพูดของคุณคินที่เคยบอกวนซ้ำกลับมาเหมือนให้เขารู้สึกตัว
“ใจร้อนไม่ใช่เรื่องดี ใช้กำลังตัดสินก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร คำพูดแรงๆ ก็ไม่ได้ทำให้มึงดูเท่ มึงโตแล้วนะพอร์ชถ้าควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ มึงก็ไม่เหมาะที่จะดูแลเพื่อนกูหรอก”พอร์ชยิ้มออกมาก่อนจะหันไปตักอย่างอื่นใส่จานทิมอีกครั้ง
“ลองทานอันนี้ก็ได้ครับอร่อยเหมือนกัน”
คุณทิมน่ะยังคงหน้านิ่งไม่มีรอยยิ้มให้เขาเหมือนเดิม
แต่คนที่หัวเราะดังลั่นคือคุณภาคินมีการยักคิ้วให้อีกต่างหาก
น้องอันนาขนฟูสวยเชียวแต่หน้าตาก็ยังไม่รับแขกเหมือนเดิม
เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเราเคยเจอกันแล้วตอนที่เขาไปขายต้นไม้แต่เขาเองนั่นแหละที่จำไม่ได้
พอร์ชมารับน้องอันนาตามเวลาที่นัดไว้แน่นอนว่าเขาต้องเจอกับคุณทิมและคุณธีร์ที่มารับรูบี้เหมือนกัน รูบี้ใส่หูกระต่ายอันจิ๋วเหมือนของอันนาคิดว่าคีตาน่าจะเป็นคนซื้อให้ พอร์ชถือกระเป๋าของน้องอันนามานั่งพักตรงที่นั่งด้านหน้า แค่เพียงไม่นานเขาเห็นคุณธีร์เดินออกมาจากห้องก่อนน่าจะไปเอารถ ตามด้วยคุณทิมที่อุ้มรูบี้ออกมาพอร์ชเลยลุกขึ้นแล้วเดินเข้ามาหา ทิมเลยต้องหยุดเดิน
“รูบี้เป็นไงบ้างครับ”
“สบายดี”
“ไม่บอกผมล่ะถ้าจะพารูบี้มาหาหมอ”
“ไม่ทำงานเหรอไงปกติเสาร์อาทิตย์เห็นทำงานตลอด”
“ทับทิม”
“เรื่องชื่อนี่บอกหลายรอบแล้วนะ”
“ยิ้มให้ผมบ้างได้ไหม แค่ยิ้ม”“………………………………………”
ทิมเงยหน้าขึ้นมามองเมื่อจบประโยคน้ำเสียงและท่าทางของพอร์ชมันดูเหนื่อยล้ามากกว่าทุกครั้งที่เจอ ต่างคนต่างเงียบอยู่อย่างนั้นและทิมก็ไม่ได้ทำตามในสิ่งที่พอร์ชขอ ไม่มีคำพูดใดๆ อีกนอกจากความเงียบเท่านั้นหน้าจอโทรศัพท์ของคุณทิมขึ้นโชว์ข้อความว่ารออยู่ที่รถและพอร์ชเองก็รู้ดีว่าใครที่ส่งมา
“ไม่เป็นไร กลับเถอะครับเย็นมากแล้ว”
พอร์ชพยายามฝืนยิ้มแกล้งทำเป็นก้มลงไปทักทายรูบี้ที่อยู่ในกระเป๋า ก่อนที่ทิมจะตัดสินใจเดินไปข้างหน้าแล้วขึ้นรถที่จอดรออยู่แล้ว พอร์ชได้แต่มองตามหลังรถที่ขับออกไปแล้วก่อนจะนั่งลงตามเดิม พอร์ชเพิ่งรู้ตัวอีกเรื่องว่าทุกวันนี้เขาทำงานหนักจนไม่รู้วันเสาร์อาทิตย์ด้วยซ้ำ จริงๆ แล้ววันๆ หนึ่งเขามีเวลาอยู่กับคุณทิมแค่ไหนกันนะ
“ทำงานหนักไปหรือเปล่าวะ”
“…………………………………………………….”
“เวลาตื่น เวลานอนวันทำงานวันหยุดตีกันมั่วไปหมด”
“…………………………………………………….”
“ไม่ได้นึกถึงเลยว่ายังมีคนที่เขาพร้อมจะดูแลทับทิมเหมือนกัน แถมยังดีกว่าทุกอย่างเลยด้วย”
“…………………………………………………….”
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่น้องอันนาดันฝากระเป๋าที่พอร์ชปิดไม่สนิทแล้วเดินออกมานั่งข้างๆ ถ้าใครมาเห็นมันคงตลกดีผู้ชายหน้าตาดีที่นั่งนิ่งๆ กับแมวหน้าตาไม่รับแขกหนึ่งตัว พอร์ชหันมามองเจ้าแมวหน้าหยิ่งก่อนจะลองยกมือลูบไปมาอันนาไม่ได้ดิ้นหนีเหมือนเมื่อเช้าแถมยังเอียงหน้ามาอ้อนอีกด้วยไม่รู้ว่านี่เรียกว่าการปลอบใจหรือเปล่าที่เห็นเขาทำท่าทางหมดแรงแบบนี้
“เดี๋ยวออกแบบคอนโดให้นะเอาสักสิบชั้นไปเลยแล้วกัน”..............................
..................................................................