บทที่ 8
คีลเปิดประตูลงจากรถพร้อมกับก้าวเท้าผ่านทีมเก็บภาพถ่ายและหลักฐานในที่เกิดเหตุที่เดินมาถึงก่อนหน้าพวกเขา เอลเลียตที่ก้าวเท้าลงมาทีหลังลัดเลาะผ่านเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ แถมยังทะเล้นพอที่จะหันหน้าไปโบกมือทักทายสาวสวยหน้าตาจิ้มลิ้มที่มองอย่างทึ่งๆ ตอนเห็นคีลเดินผ่านไป แล้วก็ดูเหมือนจะยังทึ่งไม่หายตอนที่เห็นชายหนุ่มผมน้ำตาลไม่มีออร่าหรือท่าทางของคนเป็นตำรวจเลยแม้แต่นิดเดียวตามมาติดๆ
เอลเลียตรู้ว่าสาวน้อยคิดอะไรอยู่ในใจ คงจะกำลังคิดว่า ‘โอ้ พระเจ้า ฉันนี่โชคดีจริงๆ ที่ได้เจอหนุ่มหล่อตั้งสองคนแบบนี้’
แต่เสียใจด้วยนะแม่สาวน้อย เพราะคนแรกน่ะเป็นของเขา ส่วนตัวเขา… อยากมองเท่าไรก็มองไปเถอะ ไม่หวง แต่อย่ามองสายสืบวิลล์นานเกินความจำเป็นนักแล้วกัน เพราะเขาต้องไม่ชอบใจแน่
“สวัสดีครับ คุณสายสืบ ผมกำลังรอคุณอยู่เลย” เสียงของชายหนุ่มคนหนึ่งพูดกับผู้คุมจำเป็นของเขาดังขึ้นตอนที่เอลเลียตก้าวเท้าเข้าไปในตัวบ้านเดี่ยวสองชั้นซึ่งตั้งอยู่ในย่านชนชั้นกลาง ไม่รวยไม่จน ข้างในบ้านก็บ่งบอกเรื่องนั้นเหมือนกันเมื่อกวาดตาดูสิ่งของภายใน
“คีล วิลล์ครับ ดีใจที่ได้เจอคุณตัวเป็นๆ สักที ส่วนนี่… เอลเลียต เทย์เลอร์ ตามที่ผมเคยเล่าให้ฟัง”
“ไซม่อน แมคแนร์ครับ ยินดีที่ได้รู้จัก” พูดพร้อมกับเขย่ามือกับทั้งสองคน เอลเลียตรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นเจ้าหน้าที่เอฟบีไอที่คอยประสานงานกับทีมของคีลมาตลอด เพียงแต่ผ่านทางแฟ้มคดี โทรศัพท์มือถือ แล้วก็อินเทอร์เน็ตเท่านั้น เพิ่งจะได้มาเจอกันแบบตัวต่อตัวครั้งแรกเพราะแมคแนร์ค้นพบอะไรที่สำคัญกับรูปคดีที่เขาอยู่อย่างมาก
หนึ่งในผู้ต้องสงสัยคนหนึ่งที่คาดว่าอยู่ในกลุ่มปล้นธนาคารถูกฆ่าตาย
แล้วว่ากันตามตรง เอลเลียตเกลียดเลือดและศพคนตายมาก แต่ที่เขายังทำระรื่นอยู่เพราะต้องการกลบเกลื่อนความรู้สึกหวั่นๆ ที่อยู่ในอกนี่ต่างหาก
ความเป็นจริงก็คือ เขาไม่อยากมาเลย แต่คีลก็ยังดึงดันว่าเขาต้องมาเพราะนี่เป็นคดีของเขาเหมือนกัน และที่เขาได้ออกมาลั้ลลาอยู่ข้างนอกได้ก็เพราะคดีพวกนี้ เอลเลียตเองก็รู้ตัวว่าต่อให้ไม่อยากเผชิญหน้ากับคนตายแค่ไหน แต่ยังไงเขาก็ต้องมา
เอลเลียตไม่สนใจสิ่งที่แมคแนร์กับแฟนหนุ่มเขาพูดคุยกันเรื่องภูมิหลังของผู้ตาย เขาก้าวเข้าไปมองร่างที่ยังนอนคว่ำกับพื้นโดยมีเลือดจำนวนหนึ่งแข็งตัวอยู่บนพรม มีเจ้าหน้าที่อีกคนกำลังถ่ายรูปศพ ดูเหมือนว่าผู้ตายจะเสียชีวิตจากการโดนไม้กอล์ฟฟาดเข้าที่ท้ายทอย กลิ่นของร่างที่ไร้วิญญาณนั่นทำเอาเอลเลียตอยากจะอาเจียนออกมา และไม่ต้องเสียเวลาคิดหรือลังเลเลย ทันทีที่เขาได้เห็นร่างที่ตายไปแล้วเพียงเสี้ยววินาที เขาก็รู้ว่าผู้ชายคนนี้คือเจคอบ โอคอนเนล อดีตหนึ่งในทีมของเขาตอนที่ลงมือปล้นครั้งที่สองไม่ผิดแน่
แล้วหมอนี่… ก็ตายแล้ว
ไอ้ฉิบหายเอ๊ย
“ผู้ตายคือเจมส์ สมิธทำอาชีพเป็นพนักงานบริษัททางด้านการมาร์เกตติ้ง การโฆษณา ผู้พบศพคือแม่บ้านที่เข้ามาทำความสะอาดที่เจ้าตัวได้จ้างเอาไว้ให้มาทุกสัปดาห์”
เสียงนั้นแว่วมาให้ได้ยินทำให้เอลเลียตรู้ว่าอีกฝ่ายปกปิดชื่อจริงเอาไว้ในฉากหน้า หรือไม่งั้นนี่ก็คือชื่อจริงของเจ้าตัว แล้วชื่อเจคอบเป็นชื่อหน้าฉากของโลกอีกฝั่ง ไม่ว่าอันไหนจะเป็นชื่อจริงก็ไม่สำคัญหรอก
เอลเลียตยกมือกัดเล็บอย่างเผลอตัวขณะคิดถึงความเป็นไปได้ว่าใครเป็นคนฆ่าเจคอบ เขาไม่ได้รู้จักผู้ชายคนนี้เป็นการส่วนตัว แม้แต่ตอนลงมือก่ออาชญากรรมด้วยกันก็อยู่กันละทีม ไม่ได้ติดต่อกันโดยตรง แต่ถ้าฟังจากข้อมูลที่เอฟบีไอว่าหมอนี่เป็นผู้ต้องสงสัยคนสำคัญของคดีปล้นธนาคารมากกว่าสามครั้ง
โดนสั่งเก็บงั้นเหรอ… คนคนนั้นสั่งเก็บหมอนี้งั้นเหรอ
ไม่หรอก ถ้าเป็นคนคนนั้น เขาจะไม่น่าจะใช้วิธีเอาไม้กอล์ฟฟาดหัว มันยุ่งยากวุ่นวายเกินความจำเป็น และนักฆ่าที่ที่คนคนนั้นใช้คงไม่ใช้วิธีการนี้
แปลว่าฆาตกรเป็นคนอื่น… ถ้าหมอนี่เพิ่งทำงานใหญ่มาและมีเงินก้อนก็คงหนีไม่พ้นเรื่องผลประโยชน์ ก่อนอื่นก็ต้องหาเงินให้เจอ ฆาตกรอาจจะเอาไปแล้ว หรือไม่ก็ยังก็ได้
“ดูเหมือนหมอนี่น่าจะขัดแย้งเรื่องเงินกับคนในทีมนะ”
คำพูดที่เหมือนได้ยินเสียงในหัวทำให้เอลเลียตหันกลับไปมองต้นเสียงด้วยความตกใจ คนพูดเป็นชายหนุ่มที่มากับเจ้าหน้าที่แมคแนร์แต่ไม่มีลักษณะเหมือนเจ้าหน้าที่หรือตำรวจคนอื่นๆ เลย เหมือนเขาเป็นคนนอกมากกว่า เขามีเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนดูยุ่งเหยิงบนหัว นัยน์ตาสีฟ้าพราวระยับที่เหมือนเห็นขันกับทุกสรรพสิ่งรอบตัวแม้ว่าจะเป็นบ้านที่มีเพิ่งมีคนตายก็ตาม
“ทำไมนายถึงคิดแบบนั้น” แมคแนร์ถามกลับอย่างฉงน ก่อนจะรีบแนะนำตัวชายคนนี้กับคีลอย่างนึกขึ้นได้ “เอ่อ ขอโทษที่เสียมารยาทครับ หมอนี่ชื่อเฟรดเดอริค คัลเลน เป็นนักจิตวิทยาของทีมผมเอง เหมือนผู้ช่วยน่ะ”
เอลเลียตได้ยินคีลตอบรับและจับมือทำความรู้จักกับชายผมน้ำตาลคนนั้น และตอนนี้คัลเลนก็กำลังชี้ไม้ชี้มือไปที่แก้วไวน์สองใบซึ่งตั้งอยู่บนโต๊ะของห้องรับแขกพร้อมกับอธิบายข้อสันนิษฐานของตัวเองว่าผู้ตายจะต้องนั่งดื่มกับฆาตกรก่อนที่จะโดนไม้กอล์ฟฟาดหัวแน่ และเจมส์ สมิธคงไม่นั่งดื่มกับคนที่ไม่รู้จัก
เอลเลียตไม่คิดจะฟังอะไรต่อจากนั้น ข้อเท็จจริงที่ว่าอดีตเพื่อนร่วมทีมตายไปแล้วทำให้เขารู้สึกคลื่นไส้ และเขาก็เกลียดเลือดกับร่างที่ไร้วิญญาณยิ่งกว่าอะไร แม้ว่าก่อนจะก้าวเข้ามาทำงานสายนี้เขาจะเตรียมใจไว้แล้วว่าตัวเองอาจจะมีจุดจบแบบนั้นด้วยซ้ำ แต่ถึงยังไงก็ยังรู้สึกรับไม่ได้อยู่ดี
ชายหนุ่มก้าวออกมาที่นอกตัวบ้าน สูดลมหายใจของอากาศบริสุทธิ์ภายนอกเข้าไปเต็มปอด ค่อยดีขึ้นหน่อย อยู่ในนั้นรู้สึกเวียนหัวเหมือนจะอาเจียนออกมาได้ตลอดเวลา
“คุณครับ”
เสียงเรียกของชายหนุ่มในเครื่องแบบเจ้าหน้าที่ตำรวจทำให้เอลเลียตไหวตัวเล็กน้อยอย่างตกใจ ปกตินอกจากคนในทีมของคีลแล้วก็ไม่ค่อยมีใครมาทักเขาหรอก
“อะไรเหรอครับ?” ชายหนุ่มถามกลับ สะดุ้งตัวนิดหนึ่งมือหนาของเจ้าหน้าที่ร่างท้วมตะปบลงมาบนบ่า จากนั้นก็พูดเสียงเบาข้างหูเขา
“อดัมส์ฝากให้ติดต่อกลับ”
คนผมน้ำตาลหน้าซีดเผือดลงอย่างรวดเร็วราวกับว่าอีกฝ่ายเพิ่งประทุษร้ายร่างกายเขา เจ้าหน้าที่ปริศนาคนนั้นยังทำท่าทีเฉยเมยราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น จากนั้นก็เดินกลับเข้าไปด้านในรวมกับเจ้าหน้าที่สืบสวนคนอื่นๆ
อดัมส์ฝากให้ติดต่อกลับ
เขาปล่อยให้เวลาผ่านมาเกินไปแล้วสินะ มาคิดดูอีกที นี่ก็เกือบสองอาทิตย์ตามที่ลีโอบอกเขาเรื่องจัดหาพาสปอร์ตให้แล้ว บางทีหมอนั่นอาจจะจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย และถึงเวลาที่เขาต้องไปแล้ว
แต่ถึงขั้นเอาคนในมากระซิบบอกเขาแบบนี้…
เอลเลียตสังหรณ์ใจไม่ดีเลย เหมือนกับอีกฝ่ายกำลังร้อนรนอะไรบางอย่าง และมันชักทำให้เขาร้อนรนตามขึ้นมาแล้ว
แล้วยิ่งต้องมาในวันที่เจคอบถูกพบว่าเป็นศพแบบนี้อีก
ต้องมีเรื่องไม่ดีอะไรแน่ๆ
คีลให้โจนาธาน หนึ่งในเพื่อนร่วมทีมของเขาคราวนี้ขับรถไปส่งเอลเลียตที่อพาร์ทเม้นต์ก่อนเพราะตัวเองติดพันกับการสืบสวนกับเจ้าหน้าที่เอฟบีไอพวกนั้น
อันที่จริงเอลเลียตควรจะต้องตามไปด้วยตามเงื่อนไขที่คีลเคยอ้าง แต่รอบนี้คีลบอกว่าเขากับแมคแนร์จะมุ่งเน้นไปทางคดีฆาตกรรมมากกว่า ประกอบกับการที่เอลเลียตอ้างว่ารู้สึกปวดหัวและอยากนอนพักสักหน่อย ทุกอย่างจึงประจวบเหมาะให้อาชญากรหนุ่มผู้พ้นโทษชั่วคราวกลับมาที่ห้องพักย่านชานเมืองในเวลาราวๆ ทุ่มเศษ
“ทุกอย่างเรียบร้อยดีนะ? เทย์เลอร์” โจนาธานว่าหลังจากที่พาตัวชายหนุ่มมาส่งถึงในห้องตามการไหว้วานของเพื่อน “ที่ว่าปวดหัวอาการดีขึ้นรึยัง ให้ผมลงไปซื้อยามาให้ดีกว่าไหม”
เอลเลียตวางถุงกับข้าวที่เขาขอให้โจนาธานแวะซื้อที่ร้านอาหารจีนแห่งหนึ่งซึ่งเป็นทางผ่านลงบนโต๊ะ เขาซื้อกล่องหนึ่งมาเผื่อคีลด้วย ถึงไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะกินก่อนกลับมารึเปล่าก็ตาม แต่ถ้าหมอนั่นไม่ได้กินแล้วกลับมาไม่มีอะไรคงน่าสงสารน่าดู จากนั้นเจ้าตัวก็โบกมือขึ้นในอากาศเป็นเชิงปฏิเสธ
“ไม่ต้องหรอกครับ เดี๋ยวกินข้าวแล้วเข้านอนเลยก็คงหาย”
“งั้นพักเยอะๆ นะครับ ผมขอตัวกลับไปเคลียร์งานก่อน”
เอลเลียตบอกลาคนตรงหน้า และเมื่อเจ้าตัวเดินออกจากห้องไปชายหนุ่มก็เดินไปแกะกล่องอาหารใส่จานด้วยท่าทีสบายๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขารอจนกระทั่งแน่ใจว่าโจนาธานจากไปแล้วจริงๆ และไม่มีใครคอยจับตาดูการเคลื่อนไหวของเขาแบบประชิดตัวแล้วตอนนี้ เอลเลียตก็พุ่งพรวดไปที่ห้องนอนของตัวเองแล้วคว้าเอาโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์ของลีโอทันที
นัยน์ตาสีฟ้าทอดมองออกไปนอกหน้าต่างที่ตอนนี้ถูกย้อมด้วยสีดำของยามค่ำคืน เสียงการจราจรจากเบื้องล่างลอยมาให้ได้ยินเป็นระยะๆ บ่งบอกให้รู้ว่าเมืองที่เขาอยู่นั้นไม่เงียบเหงา
ชายหนุ่มรู้สึกว่าอุ้งมือชื้นเหงื่อขึ้นด้วยลางสังหรณ์ในเชิงลบที่เขารู้สึกมาตั้งแต่เมื่อตอนกลางวัน
“สวัสดีครับ” ปลายสายกรอกเสียงลงมาหลังจากที่กริ่งดังเป็นครั้งที่สี่ เอลเลียตรีบเรียชื่ออีกฝ่ายทันทีด้วยความร้อนรน
“ลีโอ”
“ฉันบอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าเรียกชื่อฉัน”
“นายให้ตำรวจคนนั้นมาหาฉัน”
“ใช่สิ ก็นายแม่งหายหัวไปไหนไม่รู้ ช่องทางติดต่ออะไรก็ไม่บอก”
“มันไม่เสี่ยงไปหน่อยหรือไง”
“เหอะ” ปลายสายกระแทกเสียง และมันทำให้เอลเลียตเริ่มกลัวจริงๆ ในหัวคิดเร็วจี๋ว่าเขาทำอะไรพลาดไปตรงไหนรึเปล่า “นายแม่งไม่ได้รู้ตัวอะไรเลยว่าตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากขนาดไหน เอล”
“อ้าว เราพูดชื่อกันได้แล้วเหรอ” ถึงจะใจแกว่งก็ยังมิวายจะกวนประสาท
“นายบอกว่านายจะทิ้งแจ็ค พอร์เตอร์” อีกฝ่ายพูดเสียงเครียด “แต่ไม่ได้บอกว่าจะทิ้งเอเลน่า เคอร์ติสด้วย”
“ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทิ้งเอเลน่า” เอลเลียตพยายามอธิบาย อยู่ๆ เขาก็เริ่มปะติดปะต่อได้ในหัวว่าอีกฝ่ายร้อนรนเรื่องอะไร “แต่ไอ้โง่แจ็คมันพาฉันไปถึงถิ่นมันเองตอนที่ฉันพยายามล่อมัน”
“คนปกติที่ไหนเขาจะทำแบบนั้นกัน ยิ่งอาชีพอย่างพวกเราด้วยแล้ว” ลีโอพูดอย่างไม่เชื่อถือ “นายไปพูดอะไรกับมัน”
“ก็หลอกล่อปกติ… อ้อ มันพยายามจะปล้ำฉัน”
“ว่าไงนะ” เสียงไม่เชื่อหูทีเดียวก่อนจะนิ่งไปนิดแล้วว่าต่อ “อ้อ… ก็ว่า ตอนที่เราคบกันมันถึงได้มองนายตาเป็นมันนัก”
“ทำไงได้คนมันหน้าตาดี”
“ก้นก็สวยด้วย ลีลาก็เด็ด”
“อยากระลึกความหลังไหมล่ะ ที่รัก นี่เรากลับมาพูดเรื่องเดิมกันได้รึยัง”
“ฉันนึกว่านายรู้เรื่องนี้อยู่แล้วซะอีก ไอเดน” ลีโอกลับมาพูดเสียงเครียดต่อ “ไม่รู้เลยเหรอว่าตัวเองตกที่นั่งลำบากแค่ไหนแล้วตอนนี้”
เอลเลียตกลืนน้ำลายลงคออึกหนึ่ง
“แค่ไหนล่ะ”
“นายรู้รึเปล่าว่าเอเลน่ามีความสัมพันธ์ยังไงกับคนคนนั้น”
“ไอ้เฒ่าหัวงูนั่น” คนผมน้ำตาลกัดฟันกรอด รู้สึกขยะแขยงขึ้นมาทันที “ก็เคยเห็นสองคนนั่นอยู่ด้วยกันแวบๆ หรอกนะ แต่ไม่คิดว่าจะ…”
“ขอโทษเถอะ” ลีโอพูดขัดเสียงเฉียบ “นายกำลังพูดถึงพ่อฉัน”
“ขอโทษ แต่นายดูพ่อนายเอากับผู้หญิงที่อ่อนกว่านายโดยไม่รู้สึกอะไรเลยงั้นเหรอ”
“ไม่ใช่เรื่องของฉันนี่”
“ลูกบังเกิดเกล้าแท้ๆ”
“เฮ้ ฟังนะ ไอเดน ฉันเห็นพ่อฉันนอนกับผู้หญิงคนนั้นคนนี้ไปเรื่อยก็จริง แต่เขาจริงจังกับหล่อน”
“นายหมายถึงเอเลน่างั้นเหรอ”
“ฉันหมายถึงแม่ฉันเองมั้ง” เอลเลียตนึกภาพออกเลยว่าคนพูดกำลังทำหน้าตายขาดไหน “ก็ต้องหมายถึงเอเลน่า เคอร์ติสสิ เอาเป็นว่าฉันบอกนายได้เลยว่าตอนนี้เขาหัวเสียมาก ทั้งๆ ที่เขาพยายามงัดนายออกมาจากที่นั่นเพื่อให้นายไปให้พ้นหูพ้นตาแล้วแท้ๆ แต่นายดันมาโยนไพ่ทิ้งอีกตั้งหลายใบ ไอ้ใบอื่นน่ะเขาไม่สนหรอก แต่เอเลน่าน่ะเป็นอีหนูของเขา นายพลาดแล้ว เอลเลียต นายทิ้งไพ่ผิดใบแล้ว”
“เดี๋ยวก่อนนะ” คนผมน้ำตาลเดินวนเป็นวงกลมไปมาอย่างอยู่ไม่สุขแล้วตอนนี้ “นายจะบอกว่าจูเลียนเป็นคนหาทางเอาฉันออกมาจาก--”
“บอกว่าอย่าเรียกชื่อ!”
แต่มันสายไปแล้ว
“ได้! งั้นแปลว่าทั้งหมดนี่เป็นแผนของพ่อนายที่จะช่วยฉันหนี”
“นายเองก็รู้เรื่องนั้นอยู่แล้ว เอล อย่ามาทำโง่หรือแกล้งทำไขสือหน่อยเลย” น้ำเสียงจากปลายสายเหยียดหยันอย่างชัดเจน “คิดจริงๆ เหรอว่าถ้าไม่มีใครคอยหนุนหลังนายอยู่นายจะออกมาจากคุกชั่วคราวแบบนี้ได้น่ะ สำคัญตัวเองผิดไปรึเปล่า”
แม่งเอ๊ย เมื่อก่อนเขาเคยนอนกับคนอย่างหมอนี่เข้าไปได้ไงวะ
“เขาคาดโทษฉันยังไง”
“อ้อ ฉันคิดว่าเขาน่าจะสั่งเก็บนายนะ” ลีโอพูดออกมาง่ายๆ เหมือนกำลังพูดเรื่องดินฟ้าอากาศ และมันยิ่งทำให้เอลเลียตรู้สึกเดือดขึ้นไปอีก
“แล้วนายก็จะให้เขาเก็บฉัน!?”
“นี่มันเกินความสามารถของฉันแล้ว ที่รัก ต่อให้นายเป็นคนโปรดของฉัน ฉันก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอก”
“นายบอกจู-- นายบอกพ่อนายหรือเปล่าว่าฉันอยู่ที่ไหน”
“ฉันยังไม่โหดร้ายขนาดนั้น แต่ฉันก็ไม่รู้อยู่ดีแหละว่านายอยู่ที่ไหนน่ะนะ แต่อีกไม่นานเขาจะรู้แน่ เอล เอาล่ะ ฟังนะ นายไม่มีอะไรต้องเสียแล้ว หนีไปซะ บอกฉันว่าเราจะเจอกันได้ที่ไหน แล้วฉันจะจัดการเรื่องแถบที่ข้อเท้านายให้”
“แล้วเรื่องเงินล่ะ”
“เงินจะตามไปทีหลัง ฉันเสี่ยงถือเงินไปมากขนาดนั้นไม่ได้ พาสปอร์ตด้วย จะใส่ไปให้ด้วยกันนั่นแหละ เร็วเถอะ ไอเดน นายเองก็รอเวลานี้มานานแล้วไม่ใช่เหรอ ถึงเงินมันจะน้อยไปหน่อย แต่ฉันว่านายไม่มีทางเลือกมากแล้วล่ะ”
ฉันไม่ได้ห่วงเรื่องเงิน
เอลเลียตอยากจะพูดแบบนั้นแต่ก็พูดไม่ออก เขายกมือขึ้นกุมขมับ ยกมันเสยผมขึ้นไปก่อนจะครางออกมาแผ่วเบาอย่างเหนื่อยอ่อน
เขาอยากอยู่กับคีล
ข้อเท็จจริงนั่นมันรุนแรงขนาดที่ตัวเขาเองยังตกใจ เขาไม่อยากไปจากชายหนุ่มคนนั้นเลย เขาอยากจะทำตามคำขอร้องที่อีกฝ่ายเคยพูดก่อนหน้านี้ ในอ้อมกอดที่แข็งแกร่ง อบอุ่น และเต็มไปด้วยความจริงใจนั่น
เขาอยากตอบแทนความรักและความไว้ใจที่คีลมอบให้
แต่เขาสงสัยเหลือเกินว่านั่นเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดจริงๆ หรือไม่ บางทีการทำแบบนั้นมันอาจยิ่งทำให้คีลต้องมาพัวพันกับความยุ่งเหยิงในชีวิตเขาและอาจจะกลายเป็นอันตรายต่อเจ้าตัวเองด้วยซ้ำ
เขาต้องหนี
เขาต้องหนีจริงๆ ไม่มีทางไหนที่ดีไปกว่านี้แล้ว
เสียงของเอลเลียตอ่อนระโหยทีเดียวเมื่อกรอกลงในโทรศัพท์ต่อ
“นายรู้แล้วใช่ไหมว่าเจคอบ โอคอนเนลตายแล้ว”
“อะไรนะ” น้ำเสียงนั่นตกใจจริง บ่งบอกว่าเจ้าตัวยังไม่รู้เรื่องนี้
“นายไม่รู้เหรอ ก็นายบอกให้เจ้าหน้าที่คนหนึ่งมาหาฉันตอนที่กำลังตรวจศพโอคอนเนลอยู่เลยด้วยซ้ำ”
“ฉันไม่รู้หรอก ไอเดน” น้ำเสียงอีกฝ่ายยังดูตกใจไม่สร่าง “แต่… ได้ไง ก็วันก่อน…”
เอลเลียตรู้สึกสะดุดหู “วันก่อนอะไร”
“ฉันเพิ่งคุยกับหมอนั่นเรื่องเงิน”
“เงินที่ปล้นมาน่ะนะ”
“ใช่” ลีโอว่า ความเป็นจริงก็คือ ถ้าคนที่ถามไม่ใช่เอลเลียตแต่เป็นคนอื่น เขาจะไม่มีวันพูดเรื่องแบบนี้ออกมาหรอก เรื่องที่ว่าเอลเลียตเป็นคนโปรดของเขาไม่ใช่เรื่องโกหกเสียทีเดียว ถึงจะมีอะไรหลายอย่างกระทบกระทั่งกัน แต่ความรู้สึกดีๆ ที่มีให้อีกฝ่ายก็ยังมากมายอยู่
“คุยว่าอะไร”
“หมอนั่นปรึกษาฉันเรื่องที่ซ่อนเงิน”
ถึงตรงนี้เอลเลียตรู้สึกว่าใจเต้นรัวขึ้นนิดหนึ่ง ถึงเขาจะคิดว่าตัวเองไม่ได้ต้องการเงินมากขนาดนั้น แต่พอเห็นโอกาสเล็กๆ น้อย ๆ ที่เขาอาจจะได้มันมา สัญชาตญาณภายในก็ตื่นตัวขึ้นมาจนได้
แต่ก่อนจะเข้าเรื่องนั้น…
“นายคิดว่าใครฆ่าโอคอนเนล”
ลีโอเงียบไปครู่ใหญ่ เสียงนิ้วเคาะแป้นพิมพ์ดังมาให้ได้ยิน “ถ้านายกำลังสงสัยพ่อฉันอยู่นะ เอล เปล่า ฉันไม่คิดว่าเขาสั่งเก็บโอคอนเนลหรอก ไม่มีเหตุผลอะไรให้ทำแบบนั้น หมอนั่นไม่ได้เบี้ยวเรื่องจ่ายเงินแล้วก็ไม่ได้ทำตัวน่าถูกเก็บแบบนาย”
“ขอบคุณมากเลยนะที่ช่วยย้ำให้ฟัง”
“นายบอกว่านายได้ไปที่เกิดเหตุมานี่ หมอนั่นตายยังไง”
“ถูกไม้กอล์ฟฟาดที่ท้ายทอย”
“งั้นก็ไม่ใช่ฝีมือพ่อฉันอยู่แล้ว เราไม่สนใจค้นบ้านหมอนั่นเพื่อไม้กอล์ฟหรอก”
“วกกลับมาที่เรื่องเงิน หมอนั่นซ่อนไว้ที่ไหน”
“ว่าแล้วนายต้องสนใจเรื่องนี้มากกว่า” เสียงกลั้วหัวเราะทีเดียว “จริงๆ หมอนั่นกำลังคิดจะฮุบเงินก้อนโตกว่าที่ให้คนอื่นๆ ที่ไม่ได้เกี่ยวกับคนคนนั้น”
“เพราะงั้นก็เลยโดนคนในทีมฆ่าเอาน่ะสิ” เอลเลียตสรุปอย่างรวดเร็ว เรื่องเงินๆ ทองๆ เป็นเรื่องละเอียดอ่อนเสมอล่ะ “แล้วไอ้คนที่ฆ่าโอคอนเนลได้เงินไปหรือยัง”
“ฉันไม่รู้เรื่องนั้นหรอกที่รัก ถ้าคนคนนั้นยังไม่ได้เงินไป ฉันก็รู้ว่าเงินอยู่ที่ไหน”
“เลิกโยกโย้แล้วบอกฉันมาสักที”
“สัญญากับฉันก่อนสิ ไม่ว่านายจะได้เงินก้อนนั้นหรือไม่ก็ตาม นายต้องไปจากที่นี่ภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงนี้”
เอลเลียตเงียบ เขาได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นรัวขึ้น และนั่นทำให้ลีโอย้ำขึ้นมาเสียงหงุดหงิด
“เอล อย่างี่เง่าได้ไหม นี่ฉันพยายามช่วยนายอยู่นะ ถึงฉันจะโปรดนายขนาดไหนแต่อีกฝั่งก็พ่อฉัน นายเข้าใจที่ฉันพูดรึเปล่า”
“เข้าใจแล้วล่ะน่า” เอลเลียตว่าอย่างยอมแพ้ “ตกลง ฉันสัญญา”
“เงินอยู่ในล็อกเกอร์ของสถานีรถไฟใต้ดิน” เจ้าตัวบอกชื่อสถานีพร้อมกับที่ตั้งของล็อกเกอร์ที่ว่า เอลเลียตแทบจะครางอย่างคาดไม่ถึงที่ลีโอไปบอกอีกฝ่ายให้ซ่อนเงินในที่แบบนั้น ทั้งพวกตำรวจแล้วก็ไอ้คนที่ฆ่าโอคอนเนลเองคงหัวปั่นน่าดูในการหาเงินก้อนนี้
“ทำไมนายถึงบอกให้โอคอนเนลไปซ่อนเงินที่นั่นล่ะ”
“มันงานฉันอยู่แล้วที่ต้องให้คำปรึกษาด้านนี้” ปลายสายตอบอย่างไม่ทุกข์ร้อน “ฉันคือเทลออฟอดัมส์นะ”
“ต่อให้นายรู้ว่าหมอนั่นกำลังจะงุบงิบจากทีมของตัวเองเนี่ยนะ?”
“ไม่ใช่ปัญหาของฉันสักหน่อย”
สมเป็นหมอนี่จริงๆ
“เอาล่ะ งั้นก็เตรียมมาเจอกันได้แล้ว ไอเดน อย่าทำตัวมีพิรุธล่ะ นายผละออกจากตำรวจคนนั้นสักครึ่งชั่วโมงได้ใช่ไหม”
“ได้” ชายหนุ่มว่าพร้อมกับมองตัวห้องที่ว่างเปล่า นอกจากเขาแล้วก็ไม่มีใครอีก “ฉันจะบอกสถานที่แล้ว นายเตรียมจดนะ”
“ตกลง”
เอลเลียตรู้สึกเหมือนหัวใจของตัวเองค่อยๆ ถูกแกะออกมาจากอกอย่างช้าๆ ระหว่างที่พูดที่อยู่ที่ว่าออกไป
ผมขอโทษ คีล
เขาลอบคิดในหัว ฝากมันไปสายลม แต่ก็หวังว่าสายสืบหนุ่มคนนั้นจะไม่รู้ถึงมัน
มันคงจะดีกว่าถ้าพวกเขาทั้งคู่แค่ลืมกันไปเลย
ผมขอโทษจริงๆ
-----------------------------------------------------------
Tip2 เรื่องที่เกี่ยวกับนิยายเรื่องนี้ที่ไม่ต้องรู้ก็ได้: จริงๆ แล้วคีลอายุน้อยกว่าเอลเลียตอีกค่ะ น้อยกว่าลีโอด้วย สรุปคือนางเด็กสุดแต่ขรึมสุดนั่นเอง (อี๊ อีขี้เก๊---//โดดนฟาดด้วยด้ามปืน)