【 Love after school 】ติวรัก...หลังเลิกเรียน : บทส่งท้าย (25/08/18)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: 【 Love after school 】ติวรัก...หลังเลิกเรียน : บทส่งท้าย (25/08/18)  (อ่าน 16759 ครั้ง)

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ยังไงๆ.......
มินท์มาขอโฟล์คคบใช่ไหม  เลยคบกัน:hao3:
แต่โฟล์ค กลับมาชอบภูมิ......
โฟล์ค รีบเคลียร์เลยถ้าไม่ได้ชอบมินท์
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ CT.hamonigar

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0




Chapter 10 : ทะเลเฮฮา



“ไอ้ซัน ขอน้ำหน่อย”



“เอ้า เอาไป”



ภูมิหันไปรับขวดน้ำจากซันที่นั่งเบาะหลังแล้วเอามาดื่มอึกใหญ่ เมื่อพอใจแล้วจึงส่งคืนให้เจ้าของตามเดิม



บรรยากาศการเดินทางเที่ยวทะเลเป็นไปอย่างง่ายๆ สบายๆ  โดยมีไอ้ซันเจ้าของทริปนั่งอยู่เบาะหลังกับพี่ภาคย์ ส่วนตัวเขานั่งข้างคนขับคู่กับพี่โฟล์คที่เป็นเจ้าของรถ ความจริงตอนแรกเขาจะนั่งหลังกับไอ้ซัน แต่ดันลืมไปว่าตัวเองเป็นพวกเมารถง่ายโดยเฉพาะตอนเดินทางไกลๆ  พอรถออกมาได้ครึ่งชั่วโมงก็ต้องเปลี่ยนที่นั่งกับพี่ภาคย์แทบไม่ทัน



“หายเมารถหรือยังครับ” พี่โฟล์คหันมาถาม ซึ่งภูมิก็พยักหน้ารับตามจริง



“ก็ดีขึ้นแล้วแหละ แต่ยังมึนๆ นิดหน่อย”



“ถ้าไม่ไหวก็บอกนะ” โฟล์คสำทับด้วยความเป็นห่วง ก่อนช้อนสายตาขึ้นมองกระจกหลังแล้วพูดกับคนร่วมทางอีกสองคน “ข้างหน้ามีปั๊ม ใครอยากแวะเข้าห้องน้ำหรือซื้อของไหม”



“กูจะเข้าห้องน้ำ” ภาคย์ตอบกลับมาทันที โฟล์คจึงเลี้ยวรถเข้าจอดในปั๊ม พอรถจอดสนิทภาคย์ก็แทบติดเกียร์วิ่งไปทางห้องน้ำชาย



“แล้วภูมิกับซันจะลงไหม เดี๋ยวพี่เฝ้ารถให้” เจ้าของรถหันไปถาม



ภูมิกับซันมองหน้ากันเล็กน้อย ก่อนที่ภูมิจะเป็นฝ่ายตอบ “งั้นเดี๋ยวผมลงไปเซเว่นละกัน พี่โฟล์คจะเอาอะไรปะ”



โฟล์คส่ายหน้าเป็นคำตอบ











 

“ยินดีต้อนรับค่า”



เสียงพนักงานสาวกล่าวต้อนรับ ซันปรี่เข้าไปที่โซนขายแว่นกันแดดกับหมวกทันที ปากก็ร้องแบบไม่อายสายตาคนอื่น “ไอ้ภูมิๆ กูอยากได้ว่ะ!”



“มึงจะเอาไปทำไม” ภูมิได้แต่มองเพื่อนแล้วส่ายหัวอย่างระอา ยิ่งพอได้รับคำตอบว่า ‘ก็มันเท่ดี’ เขาก็ละความสนใจจากเพื่อนคนนี้โดยสิ้นเชิง ก่อนเดินหนีไปโซนขายขนมขบเคี้ยว



ถึงไอ้ซันจะบอกว่าฟรีตลอดงานก็เถอะ แต่เขาก็รู้ว่าต้องมีค่าใช้จ่ายจิปาถะส่วนตัวเลยเตรียมเงินเก็บมาพอสมควร ภูมิหยิบขนมสองสามห่อจากชั้นวางลงตะกร้า ก่อนเดินต่อไปที่ตู้เครื่องดื่ม เลือกน้ำอัดลมที่ไอ้ซันชอบไปด้วย แต่พอจะเดินไปจ่ายเงินเขาก็ดันคิดถึงคนที่รออยู่ในรถขึ้นมา



...ถึงพี่โฟล์คจะบอกว่าไม่เอาก็เถอะ แต่ขับรถมาตั้งนานน่าจะหิว



คิดได้ดังนั้นจึงวกกลับไปที่ชั้นวางขนมอีกครั้ง เค้นสมองคิดแทบตายว่าควรซื้ออะไรไปดี แต่สุดท้ายก็หยิบแซนวิชห่อหนึ่งลงตะกร้ากับกาแฟอีกหนึ่งกระป๋อง



“ไอ้ภูมิ แล้วพี่ภาคย์จะเอาอะไรปะ” ซันโผล่หน้ามาถามโดยที่ในมือมีหมวกสกรีนคำว่า ‘เที่ยวทะเล...เฮฮา’ กับแว่นกันแดดหนึ่งอัน



“ไม่รู้สิ” ภูมิตอบกลับไป “มึงจะเอาอะไรอีกไหม กูหยิบโค้กมาให้แล้ว ขนมก็ซื้อมาตั้งเยอะ”



“งั้นไม่เอาแล้ว ไปจ่ายตังค์กัน”



ภูมิพยักหน้ารับ แล้วจึงเดินไปที่เคาน์เตอร์ชำระเงิน คิวยาวพอสมควรเพราะถนนเส้นที่ออกต่างจังหวัดเส้นนี้มีปั๊มน้ำมันใหญ่แค่แห่งเดียว เมื่อจ่ายเงินเสร็จทั้งสองคนก็เดินไปที่รถ พบว่าพี่ภาคย์กับพี่โฟล์คนั่งรอในรถอยู่แล้ว



ฟึ่บ



แซนวิชกับกาแฟกระป๋องถูกยื่นไปตรงหน้าคนที่กำลังจะออกรถ ร่างสูงหันมามองคนตัวเล็กข้างกาย ก่อนจะถามด้วยความสงสัย “ของพี่?”



“อือ ซื้อมาให้ กลัวขับรถนานๆ แล้วง่วง พวกผมจะซวยเอา” ภูมิตอบแบบหลบสายตา แต่พอเหลือบไปเห็นว่าอีกฝ่ายทำท่าจะควักกระเป๋าสตางค์เขาก็รีบร้องห้าม “เฮ้ย! ไม่ต้องๆ  พี่เลี้ยงผมมาเยอะแล้วนะ ไม่ต้องจ่ายคืนเลย”



โฟล์คชะงักไป ตั้งใจจะร้องท้วงในทีแรก ทว่าเมื่อเห็นสีหน้าของเด็กหนุ่มที่พยายามปั้นให้ดูจริงจังเขาก็หลุดยิ้ม เก็บกระเป๋าสตางค์คืนที่เดิม “โอเคครับ ครั้งนี้ภูมิเลี้ยงพี่นะ”



ภูมิทำเป็นพยักหน้าแบบไม่สนใจอะไร ทั้งที่ในใจมีอาการแปลกๆ มากมาย ทั้งความตื่นเต้นที่มีตั้งแต่ตอนเลือกซื้อขนม ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะตื่นเต้นทำบ้าอะไร แถมพอยื่นถุงขนมให้ก็ใจหวิวๆ กลัวว่าพี่โฟล์คจะไม่รับ แต่พอพี่โฟล์ครับไปเขากลับรู้สึกภูมิใจอย่างบอกไม่ถูก



ทว่าภูมิก็กลบเกลื่อนอาการทั้งหมดนั้นด้วยการยื่นถุงขนมไปให้อีกสองคนที่นั่งด้านหลังพร้อมทั้งบอก “อ้ะ เอาไป”



ซันคว้าหมับไปทันที เลือกหยิบขนมของโปรดขึ้นมา แต่พอจะหยิบโค้กของโปรดก็ดันได้ยินเสียงคนที่นั่งข้างๆ ถามขึ้น



“มีโค้กไหมวะ”



“มีครับ” ซันตอบทันที มือก็หยิบขวดโค้กขึ้นมาส่งให้ ภาคย์จึงหรี่ตาลงแล้วถามกลับ



“มีขวดเดียวเหรอ ซันเอาไปก็ได้”



“ไม่เอาพี่ ผมไม่กิน”



ประโยคปฏิเสธของซันทำให้ภูมิหันขวับไปมองด้วยความสงสัยทันที



ไอ้ซันเนี่ยนะไม่กินโค้ก กูเห็นว่ามึงแดกน้ำเป็นอยู่ชนิดเดียวบนโลกเนี่ย



ซันไม่สนใจเพื่อนตัวเองแม้แต่น้อย เขายังคะยั้นคะยอให้พี่ภาคย์รับขวดน้ำอัดลมจากมือ ภาคย์เห็นดังนั้นจึงรับมาแบบไม่คิดอะไร ก่อนเปิดฝาขวดแล้วดื่มเข้าไปอึกใหญ่ เสร็จแล้วก็ส่งคืนให้พร้อมทั้งบอก “จะกินก็กินไปเหอะ คนกันเอง”



“อ่า...ครับพี่”



ซันรับมาอย่างเก้ๆ กังๆ  ก่อนจะหันหน้าหนีไปทางอื่น ...ไม่อย่างนั้นคนที่นั่งข้างๆ ต้องรู้แน่ๆ ว่าเขากลั้นยิ้มไว้ขนาดไหน



แต่กิริยาทั้งหมดของซันกลับไม่สามารถรอดพ้นสายตาของเพื่อนสนิทที่นั่งด้านหน้าได้ ภูมิขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนหันหน้ากลับไปตามเดิมโดยไม่พูดอะไร



ผ่านไปราวสามชั่วโมง เบื้องหน้าของทั้งสี่คนก็ปรากฏแผ่นป้ายขนาดยักษ์ มีตัวอักษรเขียนอย่างประณีตว่า ‘ลมอัปสรารีสอร์ท’ ตกแต่งจนคล้ายแผ่นไม้ของจริงโดยมีเถาวัลย์พันให้ดูสวยงาม โฟล์คเห็นดังนั้นจึงหมุนพวงมาลัยเพื่อเลี้ยวรถเข้ารีสอร์ท



ชายหนุ่มขับพารถเบนซ์คันสีดำไปตามถนนเส้นเล็กๆ ที่รายล้อมด้วยต้นไม้มากมาย เหมือนทางรีสอร์ทจงใจให้ลูกค้าได้สัมผัสบรรยากาศที่ใกล้เคียงกับธรรมชาติมากที่สุด ขับไปสักครู่จึงมองเห็นสิ่งก่อสร้างลักษณะคล้ายบังกะโล แต่จากความใหญ่และปริมาณรถที่จอดโดยรอบ เดาได้ไม่ยากว่าคงเป็นสำนักงานของรีสอร์ทสำหรับลูกค้าที่มาติดต่อนั่นเอง



หลังจากหาที่จอดรถได้ ทั้งสี่คนก็พากันเดินเข้าไปในสำนักงานโดยแบกกระเป๋าเดินทางมาคนละใบ พนักงานสาวที่เฝ้าหน้าประตูเอ่ยต้อนรับอย่างรู้งาน ก่อนจะเดินนำกลุ่มลูกค้าไปยังเคาน์เตอร์



ระหว่างที่ไอ้ซันกำลังจัดการเรื่องห้องพักและบัตรฟรีที่ได้รับมา ภูมิก็ถือโอกาสมองสำรวจภายในบังกะโลซึ่งถูกออกแบบด้วยบรรยากาศสบายๆ  ไม่ได้หรูหราใหญ่โตแต่ก็ไม่ได้เล็กจนน่าเกลียด มีโต๊ะและโซฟาสำหรับรองรับแขกอยู่สามสี่ชุด ตรงมุมด้านในของบังกะโลมีน้ำตกจำลองขนาดเล็ก ทั้งหมดมีรูปแบบเหมือนกันคือเน้นความเป็นธรรมชาติ



ถ้าไม่นับกลุ่มของภูมิ ในบังกะโลหลังนี้ก็มีกลุ่มลูกค้าอีกเพียงสองกลุ่ม กลุ่มแรกมากันเป็นครอบครัวใหญ่ซึ่งมีสมาชิกพร้อมหน้าพร้อมตา ภูมิได้แต่มองยิ้มๆ ...เขาคิดถึงความรู้สึกนี้จนน่าใจหายเลยล่ะ



ส่วนอีกกลุ่มเป็นกลุ่มผู้ชายสามคน ดูจากอายุคงเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยปีท้ายๆ หรือไม่ก็เพิ่งเริ่มต้นทำงาน ซึ่งถ้าภูมิไม่คิดไปเอง เขาแอบเห็นว่าคนในกลุ่มค่อนข้างเพ่งความสนใจมาที่กลุ่มเขาด้วย



“เฮ้ยไอ้ภูมิ ไปได้แล้ว”



เสียงพี่ภาคย์เรียกความสนใจให้เขาหันกลับมา พบว่าไอ้ซันจัดการเรื่องห้องพักเรียบร้อยและกำลังจะเดินตามพนักงานผู้ชายคนหนึ่งไปที่บังกะโล ภูมิจึงกระชับกระเป๋าเดินทางในมือแล้วพยักหน้าให้เพื่อบอกว่าเขาพร้อมแล้ว



เดินเท้ากันไปไม่ไกลนักก็ถึงบังกะโลที่จองเอาไว้ ไอ้ซันถึงกับอุทานออกมา “...แจ่มว่ะ”



ภูมิพยักหน้าเห็นด้วยในทันที เพราะบังกะโลของพวกเขาดีกว่าที่คิดไว้มาก หรือถ้าพูดอีกอย่างคือภูมิไม่เคยเห็นห้องพักแบบบังกะโลธรรมชาติสักครั้ง และเมื่อได้เห็นก็ไม่ผิดหวังเลย



ภายในบังกะโลมีสองห้องนอน และมีห้องนั่งเล่นรวมตรงกลาง ซันวางกระเป๋าลงกับพื้นก่อนจะเดินไปเปิดผ้าม่าน แล้วก็อุทานออกมา “เฮ้ยดูดิ เห็นทะเลด้วยว่ะ”



“ไหนๆ” พี่ภาคย์เดินเข้ามาสมทบ พอเห็นภาพตรงหน้าก็ทำตาโต “จริงด้วย! โคตรเจ๋งเลยว่ะ กูอยากเล่นน้ำทะเลแล้วเนี่ย”



ภูมิกับโฟล์คมองภาพนั้นอย่างขำๆ  เมื่อจู่ๆ ทั้งเพื่อนร่วมทางทั้งสองคนดันกลายเป็นเด็กแปดขวบที่ดูตื่นเต้นกับทะเลเสียอย่างนั้น แล้วโฟล์คก็เอ่ยแบบขอความคิดเห็น “เอางี้ไหม เข้าไปเปลี่ยนชุดกันแล้วก็ไปเล่นน้ำ เสร็จแล้วค่อยไปหาอะไรกิน”



“โอเคเลยพี่!”



ไอ้ซันขานรับด้วยน้ำเสียงโคตรดี๊ด๊า จนภูมิอดไม่ได้ที่จะแหย่ด้วยความหมั่นไส้ “เก็บอาการหน่อยมึง”



“โห่ อะไรว้า” ไอ้ซันหันขวับมาทันที “มึงก็ตื่นเต้นเหมือนกูนั่นแหละ ทำเป็นเก๊กนิ่ง”



“กูเปล่าสักหน่อย” ภูมิปฏิเสธ แต่เหมือนทุกคนจะรู้กันว่าคำพูดนี้ไม่น่าเชื่อถือเลยสักนิด



สุดท้ายทุกคนก็พากันแยกย้ายเข้าห้อง พอไอ้ซันเห็นเตียงขนาดคิงไซส์ก็กระโดดขึ้นนอนแผ่ทันที ทั้งยังตะโกนแสดงความเป็นเจ้าของ “กูนอนริมหน้าต่างนะมึง!”



“ไอ้ขี้โกง”



ภูมิแหวใส่เพื่อนสนิททันที แต่ก็ยอมวางกระเป๋าตัวเองลงบนอีกฝั่งของเตียง เรียกให้อีกคนที่นอนอยู่หันมายิ้มเผล่ รู้อยู่แล้วว่าเพื่อนเขาต้องยอมเพราะขี้เกียจทะเลาะ



“เปลี่ยนชุดได้แล้วมึง จะไปเล่นทะเลไม่ใช่เหรอ”



“อือ ขอพักอีกแป๊บนึง กูเหนื่อย”



“ขอโทษนะครับไอ้คุณซัน มึงเหนื่อยอะไรวะ คนขับรถก็ไม่ใช่” ภูมิขัดขึ้นทันใดเมื่อได้ฟังเหตุผลที่ไม่ค่อยเข้าท่านัก



ถ้าพี่โฟล์คบ่นว่าเหนื่อยสิน่าเห็นใจ แต่รู้สึกไอ้นี่จะนั่งกินแรงมาตลอดทางเลยไม่ใช่หรือไงวะ แถมยังขโมยขนมกูอีก



“เออ อากาศมันร้อน กูเลยเหนื่อย” ซันยังเถียงต่อ



“ตามใจมึง กูเปลี่ยนชุดละ”



แล้วภูมิก็ปล่อยให้คนที่นอนแผ่หลาอยู่บนเตียงได้ทำตามใจชอบต่อไป โดยที่เขาเองก็รื้อกางเกงว่ายน้ำจากกระเป๋าขึ้นมาเปลี่ยน ใช้เวลาไม่นานก็อยู่ในชุดเตรียมพร้อมเล่นน้ำทะเล แตกต่างจากไอ้เพื่อนสนิทที่ยังนอนอย่างสบายอารมณ์ลิบลับ



“ไอ้ซัน...”



เขาตั้งท่าจะบังคับให้ไอ้ซันเปลี่ยนชุดอีกรอบ แต่จู่ๆ ก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้



...ท่าทางของไอ้ซันตอนอยู่ในรถกับพี่ภาคย์ยังทำให้เขารู้สึกตงิดใจ...มีอย่างที่ไหนหันไปยิ้มกับตัวเองเหมือนคนบ้าแค่เพราะอีกฝ่ายแบ่งน้ำโค้กให้ แถมถ้าสังเกตดีๆ เขาก็เพิ่งรู้สึกได้ว่าไอ้ซันมันสนใจพี่ภาคย์มากกว่าที่ควรจะเป็น ...สนใจมากกว่าตัวเขาที่เป็นน้องชายเสียอีก



คิดได้ดังนั้นภูมิจึงกระแอมไอเบาๆ ทีหนึ่ง ก่อนพูดลอยๆ เป็นการหยั่งเชิง “ไอ้ซัน กูว่าพี่ภาคย์...”



ขวับ



“พี่ภาคย์ทำไมวะ”



การหันที่รวดเร็วของอีกฝ่ายทำเอาภูมิถึงกับชะงัก พยายามกลั้นยิ้มหน่อยๆ แล้วพูดต่อด้วยเสียงราบเรียบ



“เปล่า กูแค่จะบอกว่าป่านนี้พี่ภาคย์คงเสร็จแล้วมั้ง อยากเล่นน้ำพอๆ กับมึงเลยนี่”



“เออว่ะ กูลืม” ไอ้ซันเกาหัวตัวเองแกรกๆ  ก่อนลุกขึ้นมาแล้วรื้อกางเกงว่ายน้ำจากกระเป๋าเดินทางขึ้นมาเปลี่ยนทันใด ไม่ถึงนาทีก็หันมาหาภูมิที่จ้องตาค้าง “กูพร้อมละ ไปยัง”



“อะ...ไอ้”



กูเรียกตั้งนานไม่สนใจ แต่พออ้างพี่ภาคย์หน่อยเดียวนี่ตื่นตัวเชียวนะมึง



ไม่รู้จะสบถด่าเพื่อนตัวเองเป็นภาษาอะไรดี จึงได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ บ่นลอยๆ ด้วยน้ำเสียงที่ใส่ความน้อยใจเข้าไปเต็มที่ “เออ จำไว้เลย คราวหน้าไปนอนกับพี่ภาคย์นู่น ไม่ต้องมานอนกับกูแล้ว”



ว่าแล้วก็ทำทีเป็นเมินไปทางอื่น แต่ตาแอบเหล่กลับมาทางไอ้ซันที่ดูท่าจะชะงักไป ก่อนที่หูของจะแดงขึ้นมาหน่อยๆ แบบที่ไอ้ภูมิโคตรมั่นใจว่าไม่ใช่เป็นเพราะแสงแน่ๆ



อื้อหือ ซัมติงรองชัวร์!



“โอ๋เอ๋ๆ  งอนกูเหรอคร้าบคุณเพื่อน” แล้วคนที่หูแดงเมื่อครู่ก็รีบเปลี่ยนท่าทีกลับมาเป็นปกติ ก่อนจะส่งเสียงทะเล้นตามแบบฉบับของตัวเอง "กูก็เสร็จแล้วนี่ไง ถ้าไม่ได้มึงคงแย่แน่ๆ เลย เพราะมึงนะเนี่ยกูถึงเปลี่ยนชุดได้เร็วขนาดนี้ ออกไปได้แล้วน่า“



โอ้โห เด็กอนุบาลยังดูออกเลยว่าความจริงใจของมึงติดลบ



“อ้อเหรอ” ภูมิส่งรอยยิ้มเหี้ยม กระนั้นก็ไม่ได้ซักไซ้อะไรต่อ











 

ซ่า!



“น้ำกระเด็นโว้ยไอ้ภาคย์”

         

          คนที่นิ่งมาตลอดทางอย่างโฟล์คเป็นอันต้องตะโกนใส่เพื่อนเสียงดัง เมื่อจู่ๆ ก็มีน้ำสาดมาโดนหน้าเขาเต็มๆ จนต้องยกมือขึ้นลูบหน้า แล้วเสียงกวนส้นเท้าของไอ้ภาคย์ก็ดังตามมา



            “กระเด็นที่ไหนล่ะ กูจงใจสาดใส่มึงต่างหาก” ไม่ว่าเปล่า สองมือของคนแกล้งยังวักน้ำขึ้นใส่จนเขาต้องส่ายหัวอย่างระอา หันไปมองคนที่ยังพูดต่อด้วยน้ำเสียงร่าเริง “สนุกหน่อยดิวะมึง มาเที่ยวทะเลทั้งที ขนาดไอ้ภูมิยังเล่นเพลินเลย”



            โฟล์คมองตามสายตาของเพื่อน เห็นว่าลูกศิษย์ของเขากำลังแกล้งล็อกคอคนที่ชื่อซันแล้วจับกดหัวลงน้ำ พอทำสำเร็จก็หัวเราะร่า ไม่ทันระวังจึงถูกอีกฝ่ายตลบหลังด้วยการขัดขาใต้น้ำ คนตัวเล็กถึงกับร้องลั่น ส่วนซันก็แสดงสีหน้าสะใจสุดขีดที่เอาคืนได้



            เป็นการเล่นที่ถึงแม้จะมีเสียงสบถด่าตลอดเวลา แต่ก็ดูออกว่าคนเล่นกำลังสนุกแค่ไหน



            ซ่า!



            “ถ้าเหม่ออีกรอบกูจับมึงกดน้ำแน่!”



            คำขู่ที่มาพร้อมน้ำทะเลเค็มๆ อีกฉาดใหญ่ เรียกให้ร่างสูงละสายตาจากคนตัวเล็กที่เล่นน้ำห่างออกไป แล้วหันมาสนใจเจ้าของคำพูดที่ทำท่าตั้งรับการเอาคืนของเขาเต็มที่



            โฟล์คเห็นดังนั้นก็เผยรอยยิ้มแบบนึกสนุก ว่าด้วยน้ำเสียงกวนๆ “มึงท้ากูเหรอไอ้ภาคย์”



            “เออ กล้าแข่งกับกูปะล่ะ”



            “คิดว่ากูจะกลัวมึงหรือไง แต่ถ้าแข่งสาดน้ำแบบเด็กๆ นี่ขอบายว่ะ”



            “งั้นแข่งว่ายน้ำก็ได้ พอใจยัง” ภาคย์ยื่นข้อเสนอที่ทำให้คนฟังคิ้วกระตุก



            “มึงลืมหรือเปล่าว่ากูเคยได้เหรียญทองแข่งว่ายน้ำตอนมอปลาย”



            “กูก็เคยได้ที่หนึ่งตอนอนุบาลเว้ย!”



            เมื่ออีกฝ่ายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงมั่นใจเต็มร้อย โฟล์คก็ได้แต่ยักไหล่โดยไม่ค้านอะไร ก่อนจะชี้ไปที่ทุ่นลอยน้ำซึ่งอยู่ห่างออกไปเกือบสามสิบเมตร “งั้นนับหนึ่งถึงสาม ใครแตะทุ่นนั่นก่อนชนะ”



            “จัดไป!” เมื่อสรุปกติกาการแข่งขันได้ ภาคย์ก็หันไปโบกไม้โบกมือให้อีกสองคนที่เล่นน้ำอยู่ “ไอ้ภูมิกับไอ้ซันโว้ย! ถอยไปหน่อยดิ จะใช้พื้นที่”



            แม้คนถูกเรียกจะดูงงๆ นิดหน่อย แต่ก็ยอมหลีกทางให้แต่โดยดี ภาคย์กับโฟล์คจึงหันมาสบตากัน ก่อนที่โฟล์คจะเป็นฝ่ายยกนิ้วให้สัญญาณ พอนิ้วสุดท้ายหุบลง ทั้งสองคนก็พร้อมใจกันพุ่งตัวออกไปทันที โดยมีสายตาของคนอื่นที่เล่นน้ำอยู่มองมาด้วยความสนใจ



            สำหรับนักว่ายน้ำอย่างโฟล์ค ระยะทางเกือบสามสิบเมตรไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขาเลยสักนิด แตกต่างจากภาคย์ซึ่งแม้จะเป็นที่หนึ่งในการแข่งว่ายน้ำ(ตอนอนุบาล) แต่พอมาเจอน้ำทะเลเค็มๆ แถมยังไม่มีแว่นตากันน้ำ ว่ายไปได้สิบเมตรแรงก็เริ่มถอย



            เป็นการแข่งขันที่คนมองอย่างภูมิกับซันถึงขั้นส่ายหัวอย่างระอา โดยเฉพาะภูมิที่คิดไม่ออกว่าพี่ชายของตัวเองเอาความมั่นใจจากไหนมาท้าสู้



            แล้วผลลัพธ์ของการแข่งก็เห็นโคตรชัดเจน เมื่อโฟล์คเอื้อมมือไปแตะทุ่นลอยน้ำได้ แล้วจึงยกมือขึ้นลูบใบหน้าที่มีหยดน้ำเกาะพราว สายตาก็มองเพื่อนอีกคนที่กำลังว่ายเข้ามาใกล้



            “กูชนะว่ะ” โฟล์คว่าพลางยักคิ้วให้อย่างเหนือกว่า จนคนแพ้ต้องขมวดคิ้วมุ่น ปากก็บ่นขมุบขมิบอย่างไม่ชอบใจ



            “ได้ไงวะ มึงโกงแน่ๆ  กูจะแพ้มึงได้ไง”



            “กูต้องเป็นฝ่ายถามมึงนะว่ามึงจะเอาอะไรมาชนะกู”



            ภาคย์ได้ยินดังนั้นก็สบถพรืด แม้จะไม่อยากยอมรับ แต่เพราะน้ำใจนักกีฬาที่มีเต็มเปี่ยมทำให้ต้องพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแข็งๆ “เออๆ กูยอมก็ได้ เคยได้ยินปะ แพ้เป็นพระชนะเป็นมารเว้ย”



            “ปัญญาอ่อน”



            คนชนะจิกเพื่อนตัวเองไปดอกหนึ่งกับคำเถียงข้างๆ คูๆ  และสงครามระหว่างสองคนนี้ก็คงดำเนินต่อไป ถ้าหากไม่มีเสียงจากริมฝั่งดังขึ้นมาเสียก่อน



            “พี่ภาคย์! พี่โฟล์ค! พวกผมไปซื้อน้ำก่อนนะ”



            พอโฟล์คหันไปมองก็เห็นร่างเล็กของภูมิโบกมือให้จากหาดทราย อีกทั้งยังตะโกนเสียงดังเพื่อให้เขาได้ยิน ชายหนุ่มจึงพยักหน้าตอบกลับไป ในขณะที่เพื่อนข้างตัวก็ตะโกนตอบ “เออ!”



            แล้วร่างสองร่างก็เดินหายไปจากหาดทราย











 

            เวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง อาจไม่ใช่เวลาที่นานเท่าไหร่ แต่สำหรับการเดินไปซื้อน้ำที่ห้องอาหารซึ่งอยู่ไม่ไกลจากชายหาดมากนัก...โฟล์คว่ามันนานเกินไปหน่อย



            ร่างสูงดำผุดดำว่ายอยู่อย่างนั้นโดยที่สายตาเหลือบมองชายหาดเป็นระยะ ด้วยหวังว่าร่างของคนที่หายไปเมื่อครู่จะโผล่มาสักที แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีวี่แวว กลายเป็นตัวเขาเองนั่นแหละที่เริ่มอยู่ไม่สุขจนคนที่อยู่ข้างๆ ต้องหันมาถาม



            “เป็นอะไรของมึงวะไอ้โฟล์ค”



            “กูว่าภูมิกับซันซื้อน้ำนานเกินไปแล้ว” เขาตอบกลับทันควัน ทั้งยังแสดงท่าทีกระวนกระวายมากขึ้น จนภาคย์ถึงกับขมวดคิ้วกับปฏิกิริยาของเพื่อน



            “แล้วไงวะ สองคนนั้นไม่ใช่เด็กๆ นะเว้ย อาจจะเดินเล่นเพลินอยู่ที่ไหนก็ได้”



            “...ก็จริงของมึง”



โฟล์คดูสงบลงหน่อยเมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดอย่างนั้น แต่พอผ่านไปราวห้านาที เขาก็มีอาการเหลือบมองชายหาดบ่อยมากขึ้น อีกทั้งปริมาณคนที่ดูหนาตาขึ้นกว่าเดิมเพราะเป็นช่วงบ่ายก็ทำให้ความกังวลใจกลับมาอีกระลอก



“ไอ้ภาคย์ เดี๋ยวกูมานะ”



ในที่สุดโฟล์คก็ตัดสินใจหันไปบอกเพื่อน พอได้รับคำตอบเป็นการพยักหน้าแบบไม่ใส่ใจนัก เขาก็ว่ายน้ำเข้าฝั่งทันที ก่อนจะเดินตรงไปทางห้องอาหารของรีสอร์ท ไม่สนใจสายตาของผู้คนมากมายเต็มชายหาดที่เหลียวมองมาทางเขา โดยเฉพาะสาวๆ ที่จ้องตาเป็นมันเมื่อเห็นหุ่นนักกีฬาในชุดกางเกงว่ายน้ำตัวเดียวของร่างสูง



โฟล์คก้าวเข้ามาในห้องอาหารทั้งที่เนื้อตัวยังเปียกโชก แต่เพราะห้องอาหารของที่นี่เป็นแบบเปิดโล่ง ทั้งยังมีคนที่อยู่ในสภาพเดียวกับเขาอีกหลายคน พนักงานจึงไม่ว่าอะไรกับสภาพเปียกปอนของลูกค้าที่เดินเข้ามาใหม่



เคาน์เตอร์ขายเครื่องดื่มว่างเปล่า นั่นทำให้โฟล์คขมวดคิ้ว ตัดสินใจมองไปรอบๆ ห้อง ก่อนสายตาจะหยุดชะงักที่โต๊ะด้านในสุดของห้องอาหารซึ่งมีร่างของคนที่เขากำลังตามหานั่งอยู่ ...แต่ไม่ได้อยู่กันแค่สองคน



ภูมิกับซันกำลังนั่งร่วมโต๊ะกับกลุ่มผู้ชายแปลกหน้าอีกสามคน อายุน่าจะมากกว่าเขาไม่กี่ปี แต่ที่ทำให้ร่างสูงรู้สึกตงิดใจคือท่าทางที่ดูสนิทสนมกันเกินเหตุ ...โดยเฉพาะผู้ชายผิวสีแทนที่กำลังยีหัวลูกศิษย์ของเขา แถมคนโดนยีหัวยังหัวเราะร่าราวกับชอบใจเสียด้วย ยังไม่พอ...ผู้ชายคนนั้นยังวางมือลงบนไหล่เล็กๆ เหมือนจะดึงเข้าไปโอบอีก



แล้วทำไมเขาถึงรู้สึกแปลกๆ เหมือนไอ้ก้อนเนื้อในอกกำลังเต้นตุบๆ ด้วยล่ะ



โฟล์คได้แต่ขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจ ...ไม่รู้ตัวเลยว่าเผลอกำหมัดแน่นขนาดไหน



--------------------- TBC --------------------



พักดราม่า แล้วมาเที่ยวกันค่า

วันนี้มาอัพช้าเลย เพิ่งกลับจากข้างนอกเมื่อกี้นี้ รีบมาอัพให้ก่อนกลัวเลยวันอังคาร แฮ่

ออกนอกสถานที่ทั้งที จะเป็นจุดเปลี่ยนของอะไรหลายๆอย่างนะคะ แต่จะดีหรือร้ายก็...ไม่รู้นา^^

เจอกันวันพฤหัสค่า



CT.hamonigar

ออฟไลน์ goosongta

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1521
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +94/-6
ไม่เอาร้ายขอดีๆ รักกันๆๆๆๆ

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ CT.hamonigar

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0




Chapter 11 : คำสารภาพในคืนค้างแรม                                                   



จากเดิมที่ตั้งใจจะมาซื้อน้ำกับไอ้ซัน กลายเป็นว่าภูมิมานั่งร่วมโต๊ะกับผู้ชายร่างโตอีกสามคนได้อย่างไรก็ไม่ทราบ รู้แต่ว่าคนกลุ่มนี้เป็นฝ่ายเข้ามาทัก แถมยังชวนไปนั่งที่โต๊ะด้วยกัน เขาไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไรจึงได้แต่เลยตามเลย รู้ตัวอีกทีทั้งเขาทั้งไอ้ซันก็ถูกชวนคุยไม่หยุด



แต่แล้วภูมิก็เหลือบมองนาฬิกาที่ติดอยู่ในห้องอาหาร พอเห็นว่าผ่านมากี่นาทีเท่านั้นแหละ เขาก็หน้าซีด นึกได้ว่าตัวเองมาซื้อน้ำนานเกินไปแล้ว



“อ่า...คือ...”



            “ทำไมมานั่งตรงนี้ครับภูมิ”



            “...!”



            ยังไม่ทันที่ภูมิจะเอ่ยขอตัว เสียงทุ้มคุ้นหูก็ดังขึ้นใกล้ๆ จนต้องเงยหน้ามอง เบิกตากว้างเมื่อเห็นร่างสูงส่งสายตาเรียบนิ่งมาให้



            “พี่โฟล์ค...”



            “อ้อ นี่มาด้วยกันเหรอ” ชายตัวโตที่นั่งข้างภูมิพูดขึ้นมา ฉีกยิ้มกว้างให้ผู้มาใหม่ “สวัสดี คุณเป็นพี่ชายของน้องภูมิเหรอครับ”



“เปล่า” โฟล์คเผลอกระชากเสียงโดยไม่รู้ตัว สายตามองมือของอีกฝ่ายที่ยังพาดไหล่ลูกศิษย์เขาอยู่



“หืม แล้วเป็นอะไรกันล่ะ” เจ้าของผิวสีแทนยังถามต่อด้วยรอยยิ้ม ภูมิเห็นอาการของร่างสูงที่นิ่งไปก็รู้สึกไม่สบายใจ จึงเป็นฝ่ายเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงสุภาพ



“พี่โฟล์คเป็นเพื่อนของพี่ชายผมครับ”



“อ้อ อย่างนี้นี่เอง” พอได้รับคำตอบ ชายตัวโตก็หันมาทางโฟล์คอีกครั้งแล้วส่งยิ้มให้ “ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ”



โฟล์คพยักหน้ารับแบบแกนๆ  ก่อนเบนสายตาไปหาร่างเล็กที่กำลังจ้องเขาอยู่พร้อมทั้งเอ่ย “ไปได้แล้วครับ ไอ้ภาคย์เป็นห่วงแล้ว”



แน่อนว่าไอ้ประโยคหลังน่ะ...อ้างชัดๆ



ภูมิแทบไม่เชื่อหูเพราะรู้นิสัยพี่ชายตัวเองดี แต่พอเห็นสายตาที่ดูจริงจังผิดปกติของพี่โฟล์ค เขาก็พยักหน้าลงน้อยๆ  หันไปบอกกลุ่มเจ้าของโต๊ะทั้งสามคนที่นั่งอยู่ด้วยกัน



“งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ ไปกันไอ้ซัน”



หมับ



“เดี๋ยวสิครับน้องภูมิ”



จู่ๆ มือที่พาดไหล่เมื่อครู่ก็เปลี่ยนมาคว้าเข้าที่ข้อมือเล็ก จนคนโดนคว้าข้อมือต้องหันมามองด้วยความงุนงง ทั้งยังเอ่ยถามไปอย่างไม่แน่ใจนัก “เอ่อ...มีอะไรเหรอครับ”



“พี่รู้สึกว่าคุยกับน้องภูมิแล้วสนุกมากเลย ถ้ายังไงพี่ขอเบอร์เราได้ไหม”



ภูมินิ่งค้างไปอย่างคาดไม่ถึง ไม่ต่างจากโฟล์คที่ชะงักไปเช่นกัน



“นะครับ” คนขอยังรบเร้าต่อ ไม่ได้สังเกตเห็นสายตาของร่างสูงผู้มาใหม่ที่เข้มขึ้นจนน่ากลัว แบบที่เจ้าของสายตายังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ



ร่างเล็กได้แต่มองซ้ายขวาอย่างเลิ่กลั่ก รู้สึกไม่ดีกับฝ่ามือหนาที่พันธนาการข้อมือของเขาไว้แน่น ยิ่งพอเงยหน้าขึ้นสบตากับเจ้าของมือก็รู้สึกกลัวอย่างบอกไม่ถูก จึงก้มหน้าลงแล้วบอกเสียงอ้อมแอ้ม “คือ...ผมว่า...”



“โอ๊ย! เพื่อนผมมันจำเบอร์ตัวเองไม่ได้หรอก ไม่ได้พกมือถือลงมาด้วย ใช่ปะไอ้ภูมิ”



เหมือนมีเสียงสวรรค์มาโปรด เมื่อจู่ๆ ไอ้ซันที่นั่งเงียบมาตลอดงานก็เอ่ยแทรกขึ้นมา แถมยังส่งสายตาให้เพื่อนตัวเองแบบรู้กันสองคน ภูมิไม่รู้จะทำยังไงจึงพยักหน้ารับตามคำบอก หันไปพูดเสียงอ่อย



“ใช่ครับพี่ ขอโทษด้วยนะ”



“ว้า เสียดายจัง” ท่าทางของคนพูดบ่งบอกว่าเสียดายจริงๆ  แต่ก็พยักหน้ารับอย่างไม่คิดอะไร “ไม่เป็นไรครับ ไว้คุยกันโอกาสหน้าก็ได้ หวังว่าคราวหน้าน้องภูมิจะพกมือถือมานะ”



ภูมิยิ้มรับแห้งๆ  ก่อนจะลุกขึ้นทันทีเมื่ออีกฝ่ายปล่อยมือให้เป็นอิสระ จากนั้นจึงหันไปหาคนข้างตัวที่ยืนนิ่ง เอ่ยเบาๆ ด้วยน้ำเสียงสำนึกผิด “ขอโทษที่ออกมานานนะพี่โฟล์ค...”



หมับ



“ไปกันเถอะครับ”



แรงจับเบาๆ ที่ข้อมือกับเสียงทุ้มนุ่มที่เอ่ยอย่างอ่อนโยนตามปกติ ทำให้ภูมิได้แต่พยักหน้าหงึกหงัก ก้าวตามร่างสูงโดยไม่พูดอะไร



ทิ้งให้เพื่อนอีกคนยืนมองภาพนั้นด้วยสายตาใคร่รู้ ปากก็บ่นพึมพำกับตัวเอง “โดนทิ้งซะงั้นกู...แต่ช่างเถอะ”



ความจริงเขาไม่ได้ตั้งใจจะขัดขวางการขอเบอร์ของพี่ผู้ชายตัวโตคนนี้หรอก แต่เพราะดันเหลือบไปเห็นแววตาเหมือนจะฆ่าใครสักคนของพี่โฟล์คน่ะสิ ก็เลย...จะเรียกว่ายังไงดีล่ะ สัญชาตญาณบอกให้เขาช่วยโกหกล่ะมั้ง เด็กมอห้าคนไหนจะจำเบอร์โทรศัพท์ตัวเองไม่ได้กัน



ซันผุดรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ มองตามเพื่อนสนิทที่โดนครูสอนพิเศษลากไป พร้อมกับความคิดบางอย่างที่แวบเข้ามาในหัว



...เหมือนคู่นี้จะมีอะไรแปลกๆ แฮะ...











 

“พี่โฟล์ค...เป็นอะไรหรือเปล่า”



ภูมิตัดสินใจเอ่ยถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ  เพราะตั้งแต่ออกจากห้องอาหารมา คนตัวสูงก็เดินดุ่มๆ โดยไม่พูดไม่จา ทั้งยังคว้าข้อมือเขาไว้แน่นแบบที่คนโดนคว้าไม่กล้าประท้วง ได้แต่มองตามแผ่นหลังที่เดินนำหน้าอย่างไม่เข้าใจ



เมื่อได้ยินคำถามนั้นโฟล์คก็หยุดเดิน ยอมปล่อยมือจากข้อมือเล็ก แล้วหันมาเผชิญหน้าตรงๆ ก่อนเสียงทุ้มจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังกว่าปกติ



“คราวหลังอย่าไปนั่งกับคนแปลกหน้าสิครับ มันอันตราย เขาเป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้ ถ้าภูมิโดนหลอกจะทำยังไง”



คำพูดแฝงการตำหนิทำให้ภูมิหน้าหงอย แต่ในขณะเดียวกันก็สัมผัสได้ว่าคนพูดกำลัง...เป็นห่วง



เพราะไอ้เหตุผลข้อหลังที่เขาคิดเอาเองนั่นแหละ...ภูมิถึงรู้สึกหน้าร้อนขึ้นมา



“ขอโทษครับ” เขาพูดเสียงเบา แต่อดไม่ได้ที่จะแก้ตัวแทนคนที่เขาไปนั่งด้วย “แต่พี่บอสไม่ได้คิดร้ายหรอก แค่ชวนคุยเท่านั้นเอง ไอ้ซันก็คุยเพลินเลย”



“เฮ้อ”



โฟล์คถอนหายใจยาว หันหน้าไปทางอื่นเพื่อซ่อนสายตาไม่พอใจ โดยเฉพาะเมื่อได้ยินคนตัวเล็กเรียกชื่ออีกฝ่ายแบบสนิทสนม ...เห็นๆ อยู่ว่าผู้ชายคนนั้นพยายามจะแตะเนื้อต้องตัวลูกศิษย์เขาขนาดไหน แต่ในเมื่อเจ้าตัวไม่รู้สึกอะไรก็คงต้องปล่อยเลยตามเลย



แม้จะคิดได้อย่างนั้น แต่ก็ไม่วายพูดตำหนิด้วยน้ำเสียงแข็งๆ อีกรอบ “คราวหลังระวังตัวให้มากกว่านี้นะครับ”



“เอ่อ...พี่โฟล์ค...คือพี่...แบบว่าพี่...”



ประโยคอ้ำๆ อึ้งๆ แสดงถึงความไม่มั่นใจทำให้โฟล์คต้องก้มหน้ามองคนพูด เห็นร่างเล็กหลุบตาลงต่ำ ก่อนจะค่อยๆ เงยหน้าขึ้นสบตาเขา...ด้วยสายตาที่ทำให้คนมองหัวใจเต้นผิดจังหวะไปวูบหนึ่ง



“พี่โฟล์ค...เป็นห่วงผมเหรอ”



โฟล์คเงียบไปทันใด แววตาของร่างสูงเรียบนิ่งจนคนถามรู้สึกใจเสีย



ภูมิแทบอยากกัดลิ้นตัวเองที่เผลอถามออกไปแบบไม่คิด ก่อนจะพยายามพูดเปลี่ยนเรื่อง “เอ้อ...ผมว่าเรากลับไปที่ทะเล...”



“แน่นอนอยู่แล้วครับ”



แต่แล้วเสียงทุ้มที่แทรกขึ้นมาก็ทำให้คนพยายามเปลี่ยนเรื่องถึงกับชะงัก หันกลับมามองเจ้าของประโยคเมื่อครู่อย่างไม่เชื่อหู



โฟล์คเหมือนเพิ่งรู้สึกตัว รีบเอ่ยอย่างตะกุกตะกักผิดกับประโยคก่อนหน้านี้ลิบลับ “ก็ภูมิเป็นน้องไอ้ภาคย์ แถมเป็นลูกศิษย์พี่ด้วย ...จะไม่ให้ห่วงได้ยังไงครับ ถามแปลกๆ นะ”



ทั้งที่ภูมิไม่น่าจะรู้สึกยินดีกับคำแก้ตัวตอนท้ายของอีกฝ่าย แต่เขากลับเผลอขยับรอยยิ้ม ความรู้สึกบางอย่างเอ่อล้นขึ้นมาจนใจเต้นแรง



ภูมิไม่ได้สนใจว่าพี่โฟล์คห่วงเขาในสถานะอะไร แต่แค่บอกว่าห่วง...แค่นั้นก็เพียงพอที่จะทำให้ร่างเล็กรู้สึกดีแบบที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน



“ขอบคุณ...แล้วก็ขอโทษอีกครั้งนะพี่โฟล์ค” ภูมิพยายามส่งยิ้มให้เป็นธรรมชาติที่สุด ก่อนเอื้อมมือไปจับข้อมือหนาเบาๆ  กระตุกเล็กน้อยให้ร่างสูงรู้สึกตัว “กลับไปหาพี่ภาคย์กัน ป่านนี้จีบสาวไปทั้งหาดแล้วมั้ง”



โฟล์คหลุดหัวเราะออกมา ยกมือขึ้นยีหัวคนข้างกายเบาๆ ด้วยความเอ็นดู “นั่นสินะ กลับกันดีกว่า”



น่าแปลกที่ความหงุดหงิดเมื่อครู่หายเป็นปลิดทิ้ง ราวกับเพิ่งระลึกได้ว่าการกระทำของตัวเองไร้สาระเหมือนเด็กๆ ไม่มีผิด หากเป็นเพื่อนคนอื่นหายไปเขาคงไม่คิดจะมาตามหา ที่สำคัญ...เขาคงไม่เป็นห่วงจนถึงขั้นกระวนกระวายเหมือนเมื่อครู่



แต่ทำไมเขาถึงได้มีอาการแบบนี้กับคนที่อยู่ในฐานะลูกศิษย์ แถมยังเป็นน้องชายของเพื่อน ...โฟล์คก็ตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกัน











 

ท้องฟ้าด้านนอกเปลี่ยนเป็นสีดำมืด ชายหาดที่เคยคึกคักเมื่อตอนกลางวันดูเงียบลงถนัดตาเมื่อมองจากหน้าต่างห้องพักของบังกะโล ซันเดินไปปิดม่าน ก่อนกลับมานั่งแหมะบนเตียง จ้องเพื่อนตัวเองที่เพิ่งออกจากห้องน้ำไม่วางตาจนคนถูกมองขมวดคิ้ว ถามกลับเสียงห้วน



“มองอะไรวะ”



“จะว่าไปมึงก็ขาวดีเนอะ”



พรวด!



สาบานได้ว่าถ้าตอนนี้ไอ้ภูมิอมน้ำอยู่ในปาก มันคงบ้วนใส่เขาไปแล้ว แต่โชคดีที่มันแค่เบิกตากว้างยิ่งกว่าไข่ห่าน แล้วพูดเสียงสยองเหมือนเขาเป็นตัวประหลาดอย่างไรอย่างนั้น “นะ...นี่มึง...มึง...!”



“อืม ไม่ค่อยแปลกใจแฮะว่าทำไมทั้งไอ้พี่บอสกับพี่โฟล์คถึงสนใจมึง ตอนมึงใส่กางเกงว่ายน้ำตัวเดียวคงสยิวน่าดู”



“อะ...ไอ้เหี้ย! มึงอย่าอยู่เลย!” พูดจบก็คว้าผ้าขนหนูบนบ่าเขวี้ยงใส่คนที่นั่งบนเตียงทันที แต่คนโดนประทุษร้ายขยับหลบได้ทัน แถมยังหัวเราะร่า



“ฮ่าๆ กูล้อเล่นเว้ย! เออ...แต่ก็พูดจริงอยู่แหละ”



อะไรของมันวะ



ภูมิบ่นในใจอย่างไม่สบอารมณ์ เดินดุ่มๆ ไปหยิบผ้าขนหนูที่เพิ่งจะขว้างไปกลับมาเช็ดหัวต่อ ก่อนจะกระแทกตัวลงนั่งบนเตียงอีกฝั่งแบบที่จงใจเว้นระยะห่างจากอีกคนมากโข สายตาก็มองด้วยความไม่ไว้ใจ



...มีที่ไหนวะ เป็นเพื่อนกันมาห้าปี จู่ๆ มาชมว่าขาว ขนลุกเว้ย!



แต่แล้วไอ้ซันก็เขยิบตัวมานั่งใกล้ๆ จนเขาเกือบถอยหนี ถ้าไม่ติดว่าสีหน้าของมันดูจริงจังขึ้น แถมยังพูดเสียงเบาเหมือนไม่อยากให้คนอื่นได้ยิน



“ถามจริง มึงกับพี่โฟล์คเป็นอะไรกันวะ”



ภูมิเลิกคิ้ว ตอบกลับแบบงงๆ “พี่โฟล์คเขามาสอนพิเศษกูไง บอกไปแล้วนี่” ...ถึงแม้ว่าช่วงหลังๆ จะไม่ได้สอนพิเศษเหมือนปกติแล้วก็เถอะ



“แต่กูว่ามันไม่ใช่แค่นั้นนะเว้ย กูว่าเขา...แปลกๆ”



“แปลกยังไงวะ”



“ก็แบบว่า...โอ๊ย! เขาดูคิดอะไรกับมึงอะ!”



โครม!



สิ้นประโยคนั้น ภูมิก็ยกขาถีบเพื่อนตัวเองสุดแรงจนมันกลิ้งไปนอนกับพื้น



“เพ้อเจ้ออะไรของมึงวะ”



“กูพูดจริงเหอะ อูย...เจ็บๆ” คนถูกยันโครมได้แต่ลูบเอวตัวเองป้อยๆ  หันมาบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง “มึงลองดูวันนี้สิ กูนิยามให้สามคำ หวง ห่วง หึง!”



ไอ้คำกลางน่ะไม่เท่าไหร่เพราะเขารู้อยู่แล้ว แต่คำแรกกับคำสุดท้ายนี่สิ ทำเอาคนฟังหน้าร้อนขึ้นมานิดๆ



“ไร้สาระ เอาอะไรมาพูด”



“ไม่ใช่แค่พี่โฟล์คนะเว้ย มึงก็เหมือนกัน”



ภูมิตวัดสายตาตื่นๆ กลับมามองเพื่อนข้างตัวทันที “กู...กูทำอะไร”



“มึงเขินพี่โฟล์ค”



           “มะ...มึงเอาเหี้ยอะไรมาพูด!” คนโดนกล่าวหาหน้าร้อนวูบ ก่อนสบถคำด่าเพื่อกลบเกลื่อนอาการแบบสุดๆ  แต่ดูเหมือนว่าไอ้ซันจะไม่เล่นด้วย เพราะมันไม่พูดอะไรต่อสักนิดนอกจากนั่งนิ่งๆ บนเตียง แถมยังจ้องเขาด้วยสายตาจริงจัง



            ภูมิลอบกลืนน้ำลาย จำต้องเบนหน้าหนีไปทางอื่นราวกับทำตัวไม่ถูก ...ปล่อยให้ความเงียบเข้ากลืนกินเป็นเวลาหลายสิบวินาที



            จนกระทั่งภูมิค่อยๆ หันหน้ากลับมามองเพื่อนสนิทตัวเอง ...สบกับดวงตาที่เขารู้จักมาห้าปีและแน่ใจว่าเจ้าของดวงตานี้คือคนที่ไว้ใจได้ ...จึงค่อยๆ เปิดปากพูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆ “มึงก็รู้...กูกับพี่โฟล์คเป็นผู้ชายทั้งคู่”



            “แล้วไงวะ” ซันตอบกลับทันที ไม่มีแม้แต่ความลังเลในน้ำเสียง



            “...มันไม่แปลกเหรอ” ภูมิกลั้นใจถามต่อ รู้สึกได้ถึงการเต้นของก้อนเนื้อในอกที่ถี่รัวขึ้น



            ซันถอนหายใจยาว



            “มึงจะบอกว่ามึงชอบพี่โฟล์ค?”



            “กูไม่แน่ใจ...” เป็นอีกครั้งที่ภูมิรู้สึกเหมือนตัวลีบลง คิ้วขมวดน้อยๆ ขณะพยายามอธิบายสิ่งที่อยู่ในใจ “แต่กูว่ากูรู้สึกดีเวลาอยู่กับเขา กูรู้สึกปลอดภัย...เหมือนเขาจะดูแลกูได้ และ...และกูก็อยากเจอเขาบ่อยๆ ...มึงว่ากูบ้าหรือเปล่าวะ”



            “งั้นถามใหม่ มึงมีอาการใจเต้นแรง หรือหน้าแดงอะไรแบบนี้ตอนเจอพี่โฟล์คไหม”



            คนฟังนิ่งคิดไปนิด ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ



            “มึงไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใคร” ซันยังถามต่อ



            ภูมิพยักหน้าช้าๆ อีกครั้ง เอ่ยเสียงเบา “เออ”



            เพียงเท่านั้นซันก็ฉีกยิ้มกว้าง ก่อนกระโดดมาล็อกคอคนที่นั่งหน้าหงอยบนเตียงแบบไม่ให้ตั้งตัว แล้วตะโกนก้องด้วยท่าทางที่แตกต่างเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง “เพื่อนกูโตเป็นหนุ่มแล้วโว้ย!”



            “อะ...ไอ้เหี้ย! เบาๆ ดิวะ” ภูมิถึงกับเหวอ พยายามสลัดแขนของอีกฝ่ายออกด้วยสีหน้าตื่นๆ  แต่แน่นอนว่าไม่สำเร็จ แถมนอกจากล็อกคอแล้วยังถูกโยกหัวไปมาเหมือนของเล่นอีก



            “ฮ่าๆ กูรอวันนี้มานานแล้วเว้ย ในที่สุดมึงก็มีความรัก!”



            “ไอ้ห่า! ยังไม่ถึงขั้นนั้น” เถียงไปก็อดหน้าแดงไปไม่ได้ ...เหมือนกับยอมรับไปแล้วกรายๆ ว่าเขาแอบรู้สึกดีกับครูสอนพิเศษตัวเอง



            “ได้แค่นี้ก็อะเมซิ่งแล้วเว้ย! นึกว่าจะได้เป็นที่ปรึกษามึงตอนจบมหา’ลัยซะอีก อย่างน้อยก็ไวกว่าที่คิดล่ะวะ”



            ภูมิได้แต่ส่ายหัวอย่างปลงตกกับคำพูดของเพื่อนสนิท แต่แล้วเขาก็นึกอะไรขึ้นได้ เหลือบมองคนที่ทำหน้ายินดีปรีตาด้วยสายตาลังเล ก่อนเอ่ยอย่างไม่แน่ใจนัก “ไอ้ซัน กูถามอะไรมึงอย่างได้ปะ”



            “หืม ว่ามาดิ”



            “มึง...คิดอะไรกับพี่ภาคย์หรือเปล่าวะ”



            กึก



            สาบานได้ว่าไอ้ซันชะงักกึก มือที่ล็อกคอเขาอยู่ปล่อยแทบจะในทันที นั่นทำให้คนถามเริ่มแน่ใจในสิ่งที่สงสัยมากขึ้น



            “มึงมีอะไรอยากบอกกูไหม” ภูมิพูดต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบ  แต่แววตาจริงจังยิ่งกว่าเมื่อครู่ แน่นอนว่าส่วนหนึ่งก็เพื่อข่มอาการเขินของตัวเอง



            แล้วคำตอบที่ได้รับก็คือการถอนหายใจเบาๆ ของไอ้ซัน ตามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงจากเดิม “มึงรู้ได้ไง”



            ...เป็นอันว่ายอมรับ...



            ภูมิลอบยิ้ม ก่อนจะตอบคำถามนั้น



            “กูเห็นหลายรอบแล้ว คิดว่ากูจะจับไต๋มึงไม่ได้หรือไง” พูดไปทั้งๆ ที่ค้านกับตัวเองในใจ ...ก็เพิ่งจะจับไต๋ได้วันนี้เนี่ยแหละ



          “ก็กูปิดความรู้สึกไม่เป็นนี่หว่า” ซันพูดพลางยกมือลูบท้ายทอยแก้เก้อ “มึงรู้แล้วก็ดี เก็บไว้คนเดียวก็อึดอัดเหมือนกัน ...แต่ห้ามบอกใครนะเว้ย”



            “เออ” ภูมิว่าด้วยน้ำเสียงติดจะรำคาญหน่อยๆ  เพราะมันคือสิ่งที่เขาทั้งสองคนรู้ดี ...การที่เพื่อนยอมพูดในสิ่งที่ไม่เคยบอกใครที่ไหนมาก่อน คือการสร้างสัญญาใจว่าเรื่องนั้นๆ จะถูกเก็บเป็นความลับ ไม่มีทางแพร่งพราย “แล้ว...ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ”



            “กูก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน คงจะราวๆ สามปีได้”



            “สามปี?” ภูมิทวนคำ แทบไม่เชื่อหูตัวเอง “แล้วมึงไม่อึดอัดเหรอ นานขนาดนั้น...”



            “แรกๆ ก็โคตรทรมานเลยเว้ย ไหนจะต้องซ่อนอาการไม่ให้มึงรู้อีก ตอนนั้นกูเหมือนเด็กที่อยากได้ของเล่นว่ะ อยากครอบครอง อยากได้เป็นของตัวเอง มึงอาจจะไม่ได้สังเกตนะเว้ย แต่ตอนมอต้นกูแสดงออกกับพี่ภาคย์ชัดเจนมาก มากจนกูคิดว่าพี่ภาคย์รู้แล้วซะอีก”



            “แล้วยังไงวะ...”



            “แต่พี่ภาคย์เขาไม่รู้ไงมึง...หมายความว่าพี่เขาไม่ได้คิดอะไรกับกูนอกจากเพื่อนของน้องชายเลย กูก็เฟลไปพักใหญ่ๆ  ...แต่หลังจากนั้นความคิดกูก็เปลี่ยน”



            ภูมิกระพริบตาปริบๆ  มองคนที่นั่งเล่าด้วยน้ำเสียงสบายๆ แถมสีหน้าของคนเล่ายังดูชินชาจนเขาอดแปลกใจไม่ได้ ...ปกติคนที่ไม่สมหวังในความรักต้องดูเศร้ากว่านี้ไม่ใช่หรือ...



            “ความรู้สึกของกูมันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ให้ตายยังไงก็ลดลงไม่ได้ จนถึงจุดจุดหนึ่งกูก็รู้ว่าที่ผ่านมากูไร้สาระมาก ...ความอยากครอบครองของกูมันเป็นแค่ความหลง เหมือนเด็กเห่อของเล่นใหม่ๆ”



            “...”



            “จนถึงตอนนี้กูก็ยังชอบพี่ภาคย์อยู่ แต่กูมีความสุขกับสถานะของกูตอนนี้ กูยอมเป็นแค่คนรู้จักที่นานๆ ทีจะได้เจอกันสักครั้ง แต่กูก็ยังชอบ...ยังเป็นห่วง...ยังอยากดูแล... มันเป็นความรู้สึกที่กูไม่คิดว่ามันจะเปลี่ยน และกูก็จะไม่เรียกร้องอะไรอีก”



            “ไอ้ซัน...”



            “หยุด ไม่ต้องมาทำหน้าเหลือเชื่อ” ซันตวัดสายตามองคนที่นั่งข้างๆ ทันใด เมื่อสัมผัสได้ว่าน้ำเสียงที่เรียกชื่อเขามันแปร่งๆ ผิดปกติ เหมือนคนพูดจะอึ้งจนคิดคำพูดไม่ออก “นี่แหละเรื่องที่กูเก็บมาตลอดสามปี จะเล่าให้มึงฟังครั้งเดียวจบ ไม่มีเทคสอง โอเคนะ”



            “อ้าวเฮ้ย” ภูมิเหมือนโดนตัดอารมณ์กะทันหัน มองค้อนเล็กๆ ก่อนจะเบ้ปาก “เมื่อกี้อุตส่าห์เคลิ้ม โธ่”



            “เคลิ้มห่าอะไร กูไม่ใช่พี่โฟล์คนะเว้ย” ซันไม่วายเปิดปากแซวอีกรอบ ก่อนจะรีบเอี้ยวตัวหลบหมอนใบใหญ่ที่ถูกขว้างมาเต็มแรง แถมด้วยน้ำเสียงตื่นๆ และหน้าแดงแปร๊ดของคนถูกแซว



            “หยุดเลย! กูขอสั่งไม่ให้มึงพูดเรื่องนี้อีก!”



            “มึงสั่งกูไม่ได้หรอก บังเอิญว่ากูเป็นเพื่อน ไม่ใช่คนใช้” ซันยังลอยหน้าลอยตาพูดต่อ แต่แล้วก็เปลี่ยนน้ำเสียงเข้าโหมดจริงจัง “แต่กูอยากเตือนมึงไว้อย่าง ไม่ว่าตอนนี้มึงจะรู้สึกอะไร...ยังไง...กับใคร... มึงไม่ต้องพยายามไปสร้างข้อจำกัด ปล่อยให้มันเป็นไปตามความรู้สึกของมึงแค่นั้นแหละ”



            ภูมินิ่งไป ก่อนจะพยักหน้าลงช้าๆ พยายามทำความเข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายพูด



            ...ปล่อยให้เป็นไปตามความรู้สึก...แค่นั้นสินะ











 

            แม้จะมีเสียงเอะอะโวยวายดังเข้าหูเป็นระยะ แต่เพราะห้องนอนอยู่คนละฝั่งของบังกะโล ทำให้ทั้งโฟล์คและภาคย์ไม่ได้ยินเรื่องที่อีกฝั่งคุยกัน โฟล์คไม่ได้คิดอะไร แต่คนคิดคือไอ้ภาคย์ที่นอนเอาหมอนปิดหูด้วยสีหน้ารำคาญใจสุดๆ ก่อนจะโพล่งออกมา



            “ห้องนู้นจะคุยอะไรกันนักหนาวะ หนวกหูโว้ย!”



            “เอาน่า ก็คุยกันตามประสาเด็กๆ นั่นแหละ” โฟล์คละสายตาจากหนังสือในมือแล้วเงยหน้าขึ้นบอก หวังจะให้อีกฝ่ายอารมณ์เย็นลง ซึ่งคนฟังก็ได้แต่ทำเสียงจิ๊จ๊ะอย่างไม่ชอบใจ แต่ก็ยอมล้มตัวลงนอนตามเดิม



            ชายหนุ่มกลับมาสนใจเนื้อหาในหนังสืออีกรอบ ทว่าเมื่ออ่านไปได้ไม่กี่บรรทัด สายตาก็เผลอเหลือบมองเพื่อนสนิทที่นอนซุกผ้าห่มอยู่ โฟล์คตั้งท่าจะพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้วก็เงียบไป สั่งตัวเองให้ก้มอ่านหนังสือตามเดิม ...แต่ไม่ถึงนาทีก็เงยหน้าขึ้นมาใหม่ กัดปากชั่งใจอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะก้มหน้าลงตามเดิม ...ทำอย่างนี้ราวๆ สี่ห้าครั้ง



จนกระทั่งร่างสูงตัดสินใจปิดหนังสือในมือลง แล้วเอ่ยเรียกคนที่นอนอยู่ด้วยน้ำเสียงจริงจัง



“ไอ้ภาคย์”



คนถูกเรียกหันมามอง เลิกคิ้วขึ้นสูง ปิดปากหาวหน่อยๆ “อะไรของมึงวะ...กูเกือบหลับแล้วเนี่ย ฮ้าว...”



“กูมีเรื่องอยากถามมึง”



“เหรอ...อืม...” ภาคย์แสดงท่าทีเหมือนไม่สนใจ แต่ก็ยอมยกมือขึ้นขยี้ตาเพื่อไล่ความง่วงแล้วเอ่ยถาม “มีอะไรล่ะ”



“มึงคิดยังไงกับการที่... เอ่อ... การที่ผู้ชายคนนึงไปชอบอีกคน แต่แบบ...ทั้งสองคนบังเอิญเป็นผู้ชายทั้งคู่ ...มึงคิดยังไงวะ”



โฟล์คถามแบบติดๆ ขัดๆ  นึกในใจว่าคนฟังคงจะทำหน้างงๆ ตอบกลับมา แต่ก็ต้องผิดคาดเมื่อน้ำเสียงของอีกฝ่ายต่างจากที่คิดไว้มาก



“เหอะ อะไรของมึงเนี่ย”



ภาคย์แค่นหัวเราะเบาๆ ราวกับคำถามที่ได้รับไม่ใช่เรื่องใหญ่โต ก่อนเอ่ยตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ



“ก็ต้องแปลกอยู่แล้วดิวะถามได้”



“แปลก...งั้นเหรอ” โฟล์ครู้สึกเหมือนใจร่วงวูบไปอยู่ที่ตาตุ่ม ยิ่งเมื่อสบกับดวงตาของเพื่อนสนิทที่ฉายแววหน่ายใจเหมือนคำถามของเขาเป็นเรื่องน่าขบขันเสียเต็มประดา ...ก็ยิ่งรู้สึกหน่วงๆ กลางอก แต่ยังกลั้นใจถามต่อ “...แปลกยังไงวะ”



“เอ้า ธรรมชาติเขาสร้างให้ผู้ชายคู่กับผู้หญิงเว้ย สืบพันธุ์ไงมึง แล้วจู่ๆ จะให้ผู้ชายมาอะไรกันเองเนี่ยนะ หูย...สยองว่ะ” ภาคย์เบ้ปากแสดงความรู้สึกตามที่พูดจริงๆ  โดยไม่ได้สังเกตว่าคนฟังนิ่งไปทันใด “แล้วมึงถามทำไมวะ หรือว่า...มึงมีคนรู้จักที่เป็นเกย์”



คนฟังชะงัก รู้สึกกระอักกระอ่วนใจเหมือนมีก้อนบางอย่างจุกอยุ่ในลำคอ



...จะให้เขาพูดได้ยังไง...ไม่ใช่แค่คนรู้จักหรอก ตัวเขาเองนั่นแหละที่ดูเหมือนจะเป็น...



แต่คนที่ยังอยู่ในท่านอนกลับตีความหมายของความเงียบไปอีกทาง จึงพูดเหมือนปัดความรำคาญ “ปล่อยๆ ไปเถอะ ให้ตายยังไงกูก็ไม่เข้าใจความคิดของคนพวกนี้จริงๆ ว่ะ ถ้ามึงจะมาปรึกษากูเรื่องนี้นะ...กูไม่ขอยุ่ง”



“...ขนาดนั้นเลยเหรอวะ” โฟล์คกลั้นใจถามอีกครั้งหลังจากเรียกเสียงตัวเองคืนมาได้ ซึ่งก็ได้รับคำตอบกลับมาทันใด



“เออสิ! โชคดีนะเว้ยที่กูไม่รู้จักคนแบบนั้น ไม่งั้นคงได้แตกหักกันไปข้างนึงล่ะ”



ด้วยความที่รู้จักกันมาหลายปี โฟล์คแน่ใจว่าเพื่อนของเขาคนนี้เป็นคนที่มั่นใจในความคิดของตัวเองมาก เรียกได้ว่าพูดอะไรออกไปแล้วจะไม่มีทางคืนคำ ...และนั่นทำให้ครั้งนี้เขาเจอปัญหาหนักอกที่สุดในรอบปี



คนที่เขากำลังรู้สึกดีด้วย...คือน้องชายของเพื่อนสนิทที่ดัน ‘เกลียดคนแบบเขาเข้าไส้’ เนี่ยนะ...



------------------- TBC -----------------



มาดึกอีกแล้ว แฮ่

เป็นหนึ่งในตอนที่เราชอบที่สุดเลยค่ะ ความรู้สึกของคนสองคนที่ค่อยๆเดินมาพร้อมกัน แต่เมื่อเจอจุดเปลี่ยนที่ต่างกัน คนหนึ่งถูกผลักให้เดินหน้า แต่อีกคนถูกรั้งให้ถอยหลัง แล้วเส้นทางข้างหน้าจะเป็นยังไงต่อล่ะ

อยากบอกเหมือนนะว่าเรื่องนี้ไม่ดราม่า แต่ เอ...จริงๆก็มีนี่นา ฮา แต่ไม่เยอะนะคะ คิดว่าน้า ฟีลกู้ดค่ะเรื่องนี้ อยากให้อ่านแล้วได้รอยยิ้มกลับไป แค่นี้ก็พอแล้วค่ะ :)

เจอกันวันเสาร์ค่า <3



CT.hamonigar


ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :L2: :L1: :pig4:

เริ่มเครียด

ออฟไลน์ CT.hamonigar

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0



Chapter 12 : การกระทำที่สวนทาง



ไม่รู้ว่าเมื่อคืนโฟล์คคิดถูกหรือคิดผิดที่ถามคำถามนั้นกับเพื่อนตัวเอง เพราะเช้านี้...เขาไม่กล้าแม้แต่จะสบตากับภูมิตรงๆ  แม้จะสังเกตเห็นว่าคนตัวเล็กมองเขาบ่อยขึ้น แถมยังเป็นฝ่ายเอ่ยทักก่อนตอนเจอกันที่ห้องนั่งเล่น แต่เขาก็ทำได้เพียงตอบรับเบาๆ ก่อนเดินหนีไปอีกทาง



นั่นทำให้บรรยากาศของมื้อเช้าที่ห้องอาหารรีสอร์ทเป็นไปอย่างไม่สู้ดีนัก



“ไอ้ภูมิ ทำไมกินแค่นั้นวะ” ซันถามเมื่อเห็นว่าในจานของคนข้างตัวมีขนมปังเพียงแผ่นเดียว ทั้งที่ยังมีอาหารให้เลือกตักอีกมาก ซึ่งภูมิก็ตอบกลับง่ายๆ



“กูไม่รู้จะกินอะไร” เขาว่าพลางใช้มีดในมือเขี่ยขนมปังไปมา ก่อนจะค่อยๆ เหลือบมองร่างสูงที่นั่งตรงข้ามกัน...ซึ่งไม่ยอมสบตาเขาเลยตั้งแต่เช้า



...ดูก็รู้ว่าผิดปกติ แล้วยังท่าทางที่ดูสนใจอาหารตรงหน้าจนเกินเหตุอีก



“แกพลาดแล้วไอ้ภูมิ อาหารโคตรอร่อย เอาให้คุ้มก่อนกลับบ้านสิวะ” ภาคย์พูดขึ้นมา “ดูอย่างไอ้โฟล์ค นั่งกินเงียบๆ ไม่พูดไม่จาเลย”



ร่างสูงที่ถูกกล่าวถึงชะงักมือไปนิด เงยหน้าขึ้นมองเพื่อนร่วมโต๊ะทั้งสามคน แล้วก็นิ่งไปเมื่อได้สบกับสายตาที่เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถามของร่างเล็กที่นั่งตรงข้าม



“...เดี๋ยวมา” โฟล์คเบนหน้าไปทางอื่นแล้วเอ่ยขึ้นเรียบๆ ก่อนลุกออกไปพร้อมจานในมือ



ภาคย์ยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ ทว่าเด็กหนุ่มสองคนกลับมองตามร่างนั้นด้วยสายตาที่แตกต่างกัน คนหนึ่งมองด้วยความฉงน ส่วนอีกคน...มองด้วยความหงุดหงิด อึดอัด ไม่ชอบใจ และไม่เข้าใจเลยจริงๆ



“งั้นผมจะไปตักอาหารเพิ่มตามที่พี่ภาคย์บอกแล้วกัน”



ภูมิพูดเสียงเบาคล้ายจะพึมพำกับตัวเอง จากนั้นจึงลุกออกไปอีกคน











 

โฟล์คยืนนิ่งอยู่หน้าเครื่องปิ้งขนมปังเป็นเวลาหลายนาที จนผู้คนที่เดินผ่านไปมาต้องหันมามองด้วยความสงสัย เพราะตรงหน้าของชายหนุ่มมีขนมปังที่เด้งออกจากเครื่องปิ้งเรียบร้อยแล้ว แต่เจ้าของใบหน้าที่ดึงดูดสายตาสาวๆ เกือบทั้งห้องอาหารกลับไม่มีทีท่าว่าจะขยับตัว



...เพราะในหัวของเขามีแต่ประโยคที่ได้คุยกับเพื่อนสนิทเมื่อคืน



‘มึงจำไอ้เอ็มได้ปะ ที่มันมีแฟนเป็นผู้ชายไง สุดท้ายแม่งก็แค่อยากลองของแปลก คบได้แป๊บๆ ก็กลับไปซบอกผู้หญิงเหมือนเดิม บอกว่าทางนั้นไม่ใช่สำหรับมัน แล้วก็ไอ้เบิ้มหลีดคณะไงมึง มันแอบกิ๊กกับพี่ปีสามที่ฮอตสุดๆ คนนึงเว้ย แรกๆ ก็โอเคอยู่หรอก แต่ไปๆ มาๆ แม่งทนแรงกดดันจากพวกผู้ใหญ่ไม่ไหว กลับไปขอคืนดีกับแฟนเก่าที่เป็นผู้หญิงซะงั้น แล้วมันบอกว่าไงรู้ปะ...มันแค่หลงผิดเว้ย ยังไงผู้หญิงกับผู้ชายก็ต้องคู่กันอยู่ดี ไม่งั้นมึงจะสร้างครอบครัวยังไง มึงจะเอาหลานให้พ่อแม่อุ้มยังไง คนปกติก็ต้องคิดได้ปะวะ’



ไอ้ภาคย์พูดยาวเหยียดด้วยท่าทางสบายๆ เหมือนกำลังคุยเรื่องลมฟ้าอากาศ แต่สายตาบ่งบอกได้ว่าระอาเต็มทน แล้วยังเสริมอีกว่ามันไม่มีทางรับความผิดปกติแบบนี้ได้แน่



...นี่อาจเป็นครั้งแรกที่โฟล์ครู้สึกสับสนขนาดนี้ ...สับสนจนทำตัวไม่ถูก



เขาส่ายหัวกับตัวเอง ตั้งท่าจะหยิบขนมปังปิ้งมาใส่จาน เป็นจังหวะเดียวกับที่เสียงเล็กๆ ดังขึ้นข้างตัว



“พี่โฟล์ค” 



กึก



โฟล์คชะงัก ก่อนจะค่อยๆ หันไปทางร่างเล็กที่กำลังยืนจ้องเขานิ่งๆ ดวงตาที่ค่อนข้างตี่เพราะเชื้อสายจีนหรี่ลงเล็กน้อย จนเขาต้องเอ่ยตอบอย่างเสียไม่ได้



“ครับภูมิ” ชายหนุ่มว่า แล้วจึงเบนสายตาไปทางเครื่องปิ้งขนมปัง “มาเอาขนมปังอีกแผ่นเหรอ”



“เปล่า ผมแค่อยากถามว่าพี่หลบหน้าผมทำไม”



ยิ่งพูดภูมิก็ยิ่งหงุดหงิดมากขึ้น ทั้งที่ตอนแรกตั้งใจจะคุมอารมณ์ให้ดีกว่านี้ แต่พอเห็นอีกฝ่ายพยายามหลบสายตาอีกครั้ง ความอดทนก็ลดฮวบลงทันที น้ำเสียงที่ออกมาจึงติดจะแข็งนิดๆ แบบที่คนฟังต้องขมวดคิ้ว



...เขาน่ะหรือ...หลบหน้าภูมิ...



รู้อยู่หรอกว่าเขาเผลอหลบตาคนตัวเล็กแทบทุกครั้งที่มอง แต่ไม่คิดว่าจะดูออกชัดเจน...แถมอีกฝ่ายยังคิดมากขนาดนี้



โฟล์คจึงขยับรอยยิ้มให้ แล้วพูดอย่างเป็นธรรมชาติ “เปล่านี่ครับ”



“...ตอบไม่จริงใจนี่หว่า” คนตัวเล็กบ่นขมุบขมิบกับตัวเอง แต่ก็ดังพอที่ชายหนุ่มจะได้ยิน “พี่โฟล์คไม่เคยเป็นแบบนี้นี่...ผมทำตัวไม่ถูกนะ”



ในทีแรกโฟล์คมีสายตาอ่อนลง ตั้งใจจะเอื้อมมือไปยีหัวคนตรงหน้าแล้วบอกว่า ‘พี่ไม่เป็นอะไร’ แต่ก็ชะงักเมื่อเผลอเหลือบไปมองโต๊ะของเขาที่มีเพื่อนสนิทนั่งอยู่ ความทรงจำเมื่อคืนไหลย้อนมาจนร่างสูงต้องชักมือกลับ



ภูมิเห็นว่าอีกฝ่ายนิ่งไปอย่างนั้นจึงได้แต่ถอนหายใจพรืด ความน้อยใจแบบเด็กๆ ทำให้ร่างเล็กตัดสินใจหมุนตัวกลับ แล้วก็ปะทะกับร่างของผู้ชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ พอเงยหน้าขึ้นมองก็พบเจ้าของผิวสีแทนที่เพิ่งรู้จักกันเมื่อวาน ซึ่งฉีกยิ้มกว้างมาให้พร้อมทั้งพูด



“เจอกันอีกแล้วนะครับน้องภูมิ”



“อ้าว...พี่บอส...” ภูมิใช้เวลาสามวินาทีในการนึกชื่อคู่สนทนา ก่อนเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม “สวัสดีครับพี่”



โฟล์คชะงักไป จำต้องหันหน้าไปมองด้วยอารมณ์คุกรุ่น แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร



“จำชื่อพี่ได้ด้วยเหรอ ดีจังเลย” คนตัวโตหัวเราะอย่างชอบใจ ซึ่งภูมิก็ได้แต่ยิ้มรับแห้งๆ ...ไม่กล้าบอกว่าเกือบลืมไปเหมือนกัน



“แล้วพี่บอสมีธุระอะไรกับผมเหรอครับ”



“เฮ้ ใจร้ายจัง ต้องมีธุระงั้นเหรอถึงจะชวนคุยได้” ชายหนุ่มพูดราวกับเป็นเรื่องตลกขบขัน แต่แววตาแอบแฝงอะไรบางอย่างยามเมื่อจ้องมองร่างเล็กที่ทำหน้างุนงง ซึ่งคนถูกมองไม่เข้าใจอะไรหรอก แต่คนเข้าใจคือร่างสูงที่อยู่นอกวงสนทนาต่างหาก



โฟล์คกำหมัดแน่น รู้สึกหงุดหงิดจนอยากดึงคนตัวเล็กกลับไปนั่งที่โต๊ะ แต่ยามนี้เขาเหมือนเจอกำแพงมหึมาขวางหน้า ...กำแพงที่เขาสร้างขึ้นมาเอง



ภูมิแอบเหลือบไปมองร่างสูงข้างกาย นึกขึ้นได้ว่าเมื่อวานโดนตำหนิเพราะเรื่องคุยกับคนแปลกหน้า แต่เมื่อเห็นเจ้าของร่างยืนเฉยด้วยท่าทีไม่สนใจ ความน้อยใจก็ตีตื้นขึ้นมาอีกครั้ง แต่ก็ต้องข่มเอาไว้ก่อนหันกลับมาคุยกับคนตัวโตต่อ “ผมไม่ได้หมายความว่างั้นนะครับ” ...และอะไรบางอย่างก็ทำให้เขาตัดสินใจพูดประโยคต่อมา “เออใช่ ตอนนี้ผมมีมือถือนะ พี่จะเอาเบอร์ผมไหม”



คู่สนทนาชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มออกมา “ได้สิ งั้นเอามือถือของภูมิมาเลย เดี๋ยวพี่จะกดเบอร์แล้วโทรเข้าเครื่องพี่...”



หมับ



แต่ยังไม่ทันที่ภูมิจะล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง คนที่เงียบมาตลอดก็คว้าข้อมือของเขาเอาไว้ ก่อนเสียงทุ้มจะเอ่ยราบเรียบตามปกติ แต่ภูมิกลับสัมผัสได้ว่ามันเย็นชากว่าเดิม



“กลับโต๊ะได้แล้วครับ เดี๋ยวจะต้องเช็คเอาท์แล้ว”



...อีกแล้ว...เขาไม่เข้าใจการกระทำของคนตรงหน้าจริงๆ



“อ้าว นี่จะกลับกันแล้วเหรอครับ” คนที่ชื่อบอสส่งเสียงแทรกขึ้นมา “มาแค่สองวันไม่น้อยไปเหรอครับ อยู่ต่ออีกหน่อยไหม พี่รู้จักเจ้าของรีสอร์ทนะ เดี๋ยวคุยให้ก็ได้”



“ไม่ล่ะ พรุ่งนี้วันจันทร์ พวกเรามีเรียน” โฟล์คตอบเสียงเรียบ “คุณเรียนจบแล้วงั้นเหรอ”



“อ้อ ผมทำงานแล้ว ช่วงนี้พักร้อนครับ” บอสยิ้มรับ แม้จะไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายถามแบบนั้นทำไม ...ทว่าคำตอบก็เป็นที่กระจ่างชัดเมื่อได้ยินประโยคถัดมา



“งั้นทำงานของคุณไปเถอะ มัวแต่เที่ยวเล่นไร้สาระมันไม่ดีหรอก”



โฟล์คว่าจบก็ดึงแขนคนตัวเล็กให้เดินออกไปทันที แบบที่คนถูกลากก็ไม่เข้าใจความหมายแฝงของบทสนทนาระหว่างคนสองคนเมื่อครู่ และแม้จะไม่อยากเดินตาม แต่ฝ่ามือใหญ่ที่กระชับข้อมือเขาไว้แน่น...แถมยังติดจะสั่นน้อยๆ  ทำให้ภูมิตัดสินใจที่จะไม่ขัดขืน



เหลือเพียงร่างโตของคนผิวสีแทน ที่ได้แต่กระพริบตาปริบๆ มองตามหลังทั้งสองคนไป แต่เพราะผ่านประสบการณ์ด้านนี้มามากจึงสามารถทำความเข้าใจได้ทีละน้อย ในที่สุดเขาก็ขยับรอยยิ้ม เอ่ยเบาๆ กับตัวเอง



“เฮ้อ...มีเจ้าของแล้วก็บอกกันดีๆ สิ”



แม้จะรู้สึกเสียดายความน่ารักของร่างเล็กที่เพิ่งรู้จักกัน แต่เขาก็ไม่อยากแย่งของของใครหรอกนะ











 

บรรยากาศบนโต๊ะอาหารยังเป็นเหมือนเดิมไม่ผิดเพี้ยน ราวกับมีคนคุยเล่นกันแค่สองคนคือซันและภาคย์ ส่วนอีกสองคนที่เหลือนั่งก้มหน้านิ่ง มองแต่อาหารบนจานตัวเองซึ่งไม่มีอะไรน่าสนใจสักนิด



จนกระทั่งทุกคนแยกย้ายเข้าไปจัดกระเป๋าในห้องพักของตัวเอง ทันทีที่ไอ้ซันปิดประตู ภูมิก็ทรุดตัวลงบนเตียงเต็มแรง สบถเบาๆ อย่างไม่ชอบใจ “เหี้ยเอ๊ย...พี่โฟล์คเป็นอะไรวะ”



“เออ กูว่าจะถามพอดี ทำไมบรรยากาศมันแปลกๆ งี้วะ มึงทะเลาะอะไรกันหรือเปล่า”



“ไม่รู้ว่ะ เมื่อวานยังปกติอยู่เลย”



ใช่ หรือถ้าพูดอีกอย่างก็คือดีจนผิดปกติ ไม่ใช่แย่จนผิดปกติอย่างวันนี้



“จู่ๆ พี่โฟล์คไม่น่าเปลี่ยนไปอย่างนี้นะเว้ย” ซันลูบคางอย่างใช้ความคิด “ลองนึกดูดีๆ สิว่ามีปัญหาอะไรกัน”



แน่นอนว่าภูมิไม่มีทางนึกออก ในเมื่อคนมีปัญหาไม่ใช่เขา แต่ดันเป็นพี่ชายของเขาที่เชื่อมั่นในความคิดของตัวเองจนสุดเกินไปต่างหาก



หลังเก็บของเสร็จ ทั้งสี่คนก็ไปจัดการเรื่องเช็คเอาท์ ก่อนจะพากันขนกระเป๋าขึ้นรถเพื่อเตรียมเดินทางกลับ ทว่าขณะที่ภาคย์กำลังจะเปิดประตูรถ คนเป็นน้องชายก็เรียกเอาไว้



“พี่ภาคย์ สลับที่กัน”



“สลับที่ทำไมวะ” คนถูกเรียกหันกลับมา เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ซึ่งภูมิก็ตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว



“ผมอยากนั่งหลัง”



“จะนั่งได้ไง เดี๋ยวก็เมารถจนอ้วกหรอก” ภาคย์พูดแล้วส่ายหัว ภูมิได้ยินดังนั้นก็เม้มปากแน่น หันไปสบตากับร่างสูงของเจ้าของรถที่มองมานิ่งๆ แวบหนึ่ง ก่อนจะหันกลับมาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง



“ผมไม่เมาหรอกน่า แค่อยากนั่งกับไอ้ซันเฉยๆ” ...เปล่าหรอก ความจริงคือไม่อยากนั่งกับเจ้าของรถ ส่วนไอ้ซันเป็นแค่ข้ออ้าง



โฟล์คจ้องร่างเล็กเขม็ง รู้ดีว่านั่นไม่ใช่เหตุผลจริงๆ



“เออๆ ตามใจ” แล้วภาคย์ก็ตอบรับอย่างไม่คิดอะไรมาก ก่อนจะเปิดประตูฝั่งข้างคนขับแล้วขึ้นไปนั่ง



ซันมองเพื่อนตัวเองสลับกับชายหนุ่มร่างสูง แล้วจึงเลือกที่จะเปิดประตูรถขึ้นนั่งตามพี่ภาคย์ เหลือเพียงบรรยากาศมาคุระหว่างคนสองคนที่ไม่ยอมสบตากัน



โฟล์คขยับปากเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ร่างเล็กกลับเมินหน้าหนีไปทางอื่น แล้วเปิดประตูหลังขึ้นรถไป











 

“เฮ้ยไอ้ภูมิ ไหวเปล่าเนี่ย”



หลังจากขับรถออกมาได้สักพัก ซันก็สังเกตเห็นเพื่อนตัวเองหน้าซีดลง แถมยังกุมขมับแน่นราวกับปวดหัว ส่วนพี่ภาคย์ก็ตบเข่าฉาดใหญ่เพราะเดาได้อยู่แล้วว่าน้องชายตัวเองต้องเมารถ โชคดีที่มียาดมจึงประคองอาการไว้ได้



“เออ...กูไม่เป็นไร”



ภูมิว่าจบก็สูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย



“แน่ใจนะเว้ย” ซันถามย้ำ



“เป็นไง บอกให้นั่งหน้าก็ไม่เชื่อ สลับที่กับพี่ไหมล่ะ” ภาคย์บ่นออกมา ทว่าภูมิกลับส่ายหัว



“ไม่ล่ะ...ผมไหว”



พูดจบก็เอนหัวไปพิงกระจกรถ หลับตาลงทั้งยังขมวดคิ้วแน่น แบบที่ใครเห็นก็รู้ว่าอาการหนักชัวร์ๆ  ซันถอนหายใจยาว แอบเหลือบมองคนที่นั่งขับรถโดยไม่พูดไม่จาตั้งแต่ออกจากรีสอร์ท ด้วยความไม่เข้าใจว่าทำไมชายหนุ่มถึงยังอยู่เฉยได้ทั้งที่อาการของเพื่อนเขาเป็นหนักขนาดนี้



แล้วเมื่อวานหมาตัวไหนทำท่าเป็นเจ้าของไอ้ภูมิขนาดนั้นวะ



ไม่ได้อยากจะหยาบคายใส่คนที่เพิ่งเจอกันแค่สองวันหรอก แต่เขารู้สึกเหลืออดเต็มทน แบบนี้มันโคตรของโคตรจงใจเมินชัดๆ



“อ้าว มึงจะเข้าเลนซ้ายทำไมวะไอ้โฟล์ค” ภาคย์ร้องทักขึ้นมาเมื่อเห็นคนข้างตัวเปิดไฟเลี้ยว แถมยังเบี่ยงพวงมาลัยแทรกรถคันอื่นเพื่อเข้าเลนซ้ายสุด



“กูจะแวะร้านขายยาข้างหน้า” โฟล์คตอบเรียบๆ  ก่อนจะจอดรถริมฟุตบาทซึ่งอยู่ไม่ไกลจากร้านขายยา ทว่าก่อนจะลงจากรถ เขาก็หันไปหาคนที่นั่งเบาะหลัง “ภูมิครับ สลับที่กับไอ้ภาคย์ด้วย”



ไม่รอให้อีกฝ่ายตอบรับหรือปฏิเสธ คนพูดก็ลงจากรถทันที ภูมิพยายามลืมตามองตามแผ่นหลังของร่างสูงด้วยความไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่สามารถแย้งอะไรได้ เพราะทั้งพี่ภาคย์กับไอ้ซันช่วยกันพาเขาย้ายที่นั่งไปข้างหน้าเรียบร้อย



รอไม่นานเจ้าของรถก็กลับมาพร้อมถุงยาในมือ แววตาอ่อนลงเล็กน้อยตอนยื่นยาให้คนป่วย ก่อนจะหันไปหาอีกสองคนที่นั่งเบาะหลังแล้วบอกเสียงเรียบ “ซันขยับมานั่งด้านหลังพี่ ส่วนไอ้ภาคย์ขยับไปนั่งติดกับซัน จะได้ให้ภูมินอนเอนไปด้านหลัง”



“เออๆ” ภาคย์ตอบง่ายๆ  แล้วขยับไปจนชิดกับร่างของรุ่นน้องที่นั่งริมขวา โฟล์คจึงโน้มตัวคร่อมร่างคนป่วยเล็กน้อยเพื่อปรับเบาะให้เอนลง ...แม้คนตัวเล็กจะมีท่าทีขัดขืนอย่างเห็นได้ชัดก็ตาม



ในจังหวะที่ใบหน้าอยู่ใกล้กันจนภูมิรู้สึกถึงลมหายใจร้อนๆ ที่รวยริน เสียงทุ้มก็ดังขึ้นคล้ายกระซิบให้ได้ยินแค่สองคน



“อย่าทำร้ายตัวเองสิครับภูมิ”



...เป็นน้ำเสียงที่ทั้งดุดันและอ่อนโยนในเวลาเดียวกัน...



สิ้นคำนั้น โฟล์คก็ขยับตัวกลับมานั่งที่เดิมราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น



ภูมิเบนหน้าหนีไปทางอื่นราวกับไม่ได้ยินที่อีกฝ่ายพูด ทั้งที่หัวใจเต้นแรงกับประโยคสั้นๆ ที่แม้จะเบาแค่ไหน แต่กลับได้ยินชัดเต็มสองหู ยิ่งกว่านั้นคือเขาสัมผัสได้ถึงความห่วงใยที่มากับน้ำเสียงเรียบนิ่ง ...จนความตั้งใจเดิมที่จะทำใจแข็งมลายหายไปเกือบครึ่ง



ภูมิเม้มปากแน่น ไม่อยากยอมรับความหวั่นไหวที่เกิดขึ้นในใจอีกครั้ง



...ผมเปล่าทำร้ายตัวเองนะเว้ย พี่นั่นแหละ...ทำอะไรกับผมวะ











 

หลังจากส่งภูมิกับภาคย์ที่บ้าน ในรถของโฟล์คก็เหลือผู้โดยสารเพียงคนเดียว คือซันที่เป็นเพื่อนสนิทของลูกศิษย์เขา ซึ่งบัดนี้กำลังนั่งนิ่ง ใช้สายตาเรียบๆ มองเขาผ่านกระจกมองหลัง



โฟล์คตัดสินใจเอ่ยทำลายความเงียบ “หอของซันอยู่ข้างโรงเรียนใช่ไหมครับ”



“อืม ซอยที่มีร้านกาแฟน่ะ”



“อ้อ ร้านนั้นใช่ไหม พี่ก็เคยแวะบ่อยๆ ตอนยังเรียนมัธยม” เขาว่าขณะหมุนพวงมาลัยรถ “อยู่คนเดียวเหรอครับ”



“อืม” ซันตอบรับในลำคอเบาๆ  ก่อนจะเอ่ยขึ้นลอยๆ “...ไม่รู้ป่านนี้ไอ้ภูมิจะเป็นยังไงบ้างเนอะ”



เห็นได้ชัดว่าร่างสูงชะงักไปทันที ซันขมวดคิ้ว จ้องกิริยานั้นเขม็ง สักพักก็ได้ยินเสียงตอบกลับมาอย่างเป็นธรรมชาติ



“หลังจากกินยาก็ดีขึ้น ตอนอยู่ในรถก็หลับมาตลอดทาง น่าจะไม่เป็นไรแล้วล่ะ” โฟล์คพูดแล้วยิ้มให้ ...รอยยิ้มที่ซันดูออกทันทีว่าเจ้าของร่างกำลังฝืน แต่ก็ยังพูดต่อ “ซันดูเป็นห่วงเพื่อนจังเลยนะครับ”



“แน่นอน ก็ไอ้ภูมิเป็นเพื่อนผมนี่” เขาตอบกลับทันควัน “แถมมันยังขี้โรค ป่วยง่าย เมารถเมาเรือตลอด เวลาไปเที่ยวกันในกลุ่มก็ต้องดูมันดีๆ  คลาดสายตานิดหน่อยก็หลง เผลอๆ เป็นลมเพราะแดดแรง”



“...ขนาดนั้นเลยเหรอ” โฟล์คพึมพำกับตัวเองด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง ซึ่งก็ได้รับคำตอบหนักแน่นจากคนที่นั่งเบาะหลัง



“ใช่” ซันพยักหน้า “แถมมันยังชอบคิดมากด้วย ปกติมันไม่ค่อยแคร์ใครหรอกนะ จะแคร์เฉพาะคนสำคัญ แต่ถ้ามันแคร์ใครมันก็จะเอาใจใส่คนนั้นตลอด บางทีก็คิดเล็กคิดน้อยจนเกินเหตุ ผมว่านิสัยอย่างมันถ้าถูกทำร้ายจิตใจ หรือถูกคนที่ไว้ใจหักหลังนี่คงเจ็บน่าดู ...ว่าไหมพี่โฟล์ค”



ว่าจบก็หันไปถามร่างสูงที่นิ่งค้างไปเรียบร้อย มือหนากำพวงมาลัยแน่นขึ้นจนเห็นได้ชัด



ซันตั้งใจจะบอกพี่โฟล์คทางอ้อมว่าตอนนี้เพื่อนเขากำลังรู้สึกยังไง ไม่ใช่เดาไม่ออกว่าพี่โฟล์คมีปัญหา แต่เขาไม่คิดว่าการที่จู่ๆ ทั้งสองคนมาเมินใส่กันเป็นเรื่องดี



ยิ่งมีปัญหาหรือไม่เข้าใจอะไร ก็ยิ่งต้องคุยกันให้ชัดเจนสิ



“เดี๋ยวจะต้องเลี้ยวแล้วนะพี่โฟล์ค”



“อ้อ...ครับ”



โฟล์คเหมือนออกจากภวังค์เมื่อได้ยินเสียงเตือนจากอีกฝ่าย ก่อนจะพบว่าอีกไม่กี่เมตรจะถึงซอยที่เขาต้องส่งรุ่นน้องคนนี้ เขารีบเปิดไฟเลี้ยวก่อนจะหักพวงมาลัยกะทันหัน โชคดีที่ตอนนี้เป็นเวลาค่อนข้างดึกเลยมีรถน้อย ไม่อย่างนั้นคงถูกบีบแตรเสียยกใหญ่



โฟล์คจอดรถที่หน้าหอพัก รอให้อีกฝ่ายขนข้าวของลงจากรถซึ่งใช้เวลาเพียงไม่นาน ก่อนจะหันมาขอบคุณเขาเบาๆ แล้วเดินขึ้นหอพักไป



ปั้ก!



“โธ่เว้ย...”



โฟล์คทุบพวงมาลัยเต็มแรง กำหมัดแน่นราวกับไม่สามารถระบายอารมณ์ไปได้มากกว่านี้ เขาเบนหน้าไปนอกหน้าต่าง ดวงตาเข้มขึ้นราวกับจะฆ่าใครได้สักคน และถ้าถามว่าเขาอยากฆ่าใคร ...ก็คงจะเป็นตัวเขาเองนั่นแหละ



เพราะตอนนี้เขากำลังเกลียดตัวเองมากจริงๆ



------------------------ TBC -------------------------



จุดหนึ่งของความสัมพันธ์อาจจะมีการสับสนกันบ้าง แต่พี่โฟล์คจะทนเห็นน้องภูมิในสภาพนี้ได้สักเท่าไหร่กันเชียว แฮ่

เจอกันวันอังคารค่ะ ขอบคุณที่ตามอ่านกันนะคะ  รัก<3



CT.hamonigar

ออฟไลน์ CT.hamonigar

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0


Chapter 13 : ความในใจคนป่วย



ภูมิรู้สึกปวดหัวตั้งแต่ตื่นนอน แถมดวงตายังหนักอึ้งเหมือนมีอะไรมาทับไว้ ยิ่งพยายามฝืนขยับตัวก็ยิ่งปวดตามร่างกาย



...เป็นอันสรุปได้ว่าไอ้ภูมิคนนี้คงป่วยเสียแล้ว



‘สภาพอย่างนี้จะแบกสังขารไปโรงเรียนทำไม นอนอยู่บ้านไปนั่นแหละ’



นี่คือประโยคที่พี่ภาคย์บอกเขาก่อนจะออกไปมหาวิทยาลัย ภูมิจึงต้องหยุดเรียนในวันแรกของสัปดาห์ไปโดยปริยาย



ร่างเล็กนอนขดตัวในผ้าห่มผืนหนา ตั้งใจจะนอนอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าอาการจะดีขึ้น แต่พอท้องเริ่มร้องหาอาหาร เขาก็จำต้องฝืนขยับตัว



“ปวดหัวฉิบ...” ภูมิบ่นเบาๆ ขณะจับราวบันไดเพื่อพาตัวเองลงมาชั้นล่าง ตั้งใจจะหานมดื่มรองท้องสักแก้ว ไว้อาการดีกว่านี้ค่อยหาอาหารกินเป็นมื้อ ...แม้ไม่แน่ใจว่าในตู้เย็นจะมีอะไรกินก็เถอะ



แต่เพียงลงมาถึงชั้นล่าง แขนขาก็รู้สึกปวดระบมเหมือนโดนไม้หน้าสามฟาดไปทั้งตัว เหมือนสภาพร่างกายที่เข้าขั้นวิกฤติกำลังต่อต้านเจ้าของร่างที่ยังดันทุรังจนเขาต้องสบถเบาๆ “ทำไมมึงอ่อนแอจังวะไอ้ภูมิ ป่วยยังกับเด็กอนุบาล”



เท่าที่จำได้คือเขาไม่ได้ป่วยแบบนอนซมมาหลายปีแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าครั้งนี้ไปทำอะไรมา รู้แต่เป็นความรู้สึกที่แย่มากจริงๆ



“มีอะไรบ้างวะ...”



ภูมิเปิดตู้เย็น ถอนหายใจเบาๆ ก่อนหยิบขวดนมที่เหลือไม่ถึงครึ่งออกมา เดินช้าๆ ไปนั่งที่โต๊ะ แล้วยกดื่มโดยไม่คิดรินใส่แก้วให้เสียเวลาล้าง ท้องไส้ที่ปั่นป่วนเพราะความหิวเริ่มสงบลง แต่เชื่อเถอะว่าสงบได้ไม่นานเดี๋ยวก็ต้องร้องหิวข้าวอีกรอบ



แค่ป่วยก็ว่าแย่แล้วนะ แต่ที่แย่กว่าคือการป่วยอยู่บ้านคนเดียวเนี่ยแหละ



“เหี้ยเอ๊ย...ปวดหัวฉิบหาย” ร่างเล็กวางขวดนมบนโต๊ะแล้วยกมือขึ้นกุมขมับ นึกอยากได้พาราสักเม็ด หรือถ้าให้ดีก็ขอยาแบบจัดเต็มสักชุดหนึ่งเลยแล้วกัน ถึงจะเกลียดรสชาติของมันแค่ไหน แต่การทรมานขนาดนี้ไม่ใช่เรื่องสนุกสักนิด



แม้จะมีเสียงค้านจากในตัวว่านมเพียงก้นขวดไม่เพียงพอต่อความต้องการ แต่ภูมิก็ฝืนความปวดล้าทางร่างกายไม่ไหว จำต้องค่อยๆ พยุงตัวเองเดินออกจากห้องครัว ใช้เวลาหลายนาทีในการขึ้นบันไดไปชั้นสอง ก่อนจะเดินช้าๆ ไปทางห้องนอน



และทันทีที่หัวถึงหมอน ภูมิก็หมดสติไปโดยไม่รับรู้อะไรอีก











 

ผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่ทราบ ทว่าความคิดแรกที่แวบเข้ามาในหัวทันทีที่เริ่มรู้สึกตัวคือ...ร้อน



เป็นความรู้สึกร้อนจากภายใน ซึ่งเขาเข้าใจว่าคงเป็นอาการปกติของคนที่ไม่สบาย แต่ที่เหมือนจะขัดกันก็คือความรู้สึกเย็นๆ บริเวณหน้าผาก รวมทั้งสัมผัสเย็นๆ ที่ไล้ไปตามแขนขาจนเขาต้องฝืนลืมตาขึ้น



...และภาพที่เห็นก็คือร่างสูงที่คุ้นตากำลังนั่งบนเตียง เช็ดตัวให้เขาด้วยผ้าชุบน้ำอย่างเบามือ



“พี่...โฟล์ค...” ภูมิหลุดเสียงออกมา แม้จะเบาและแหบแห้งเพราะขาดน้ำมาหลายชั่วโมง แต่ก็ดังพอที่คนข้างตัวจะได้ยิน คนถูกเรียกชื่อจึงชะงักไปนิด ก่อนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง



“เป็นยังไงบ้างครับภูมิ”



“อืม...ปวดหัวสุดๆ เลย” ภูมิว่าไปตามจริงเมื่อรู้สึกเหมือนมีอะไรบีบรัดศีรษะ จนต้องยกมือขึ้นกุมขมับเล็กน้อย สัมผัสได้ถึงผ้าชุบน้ำที่วางแหมะอยู่บนหน้าผากเพื่อลดไข้ “แล้วพี่มาได้ไง...แค่กๆ”



โฟล์ครีบส่งแก้วน้ำให้ ร่างเล็กจึงรับไปดื่มอึกใหญ่ เมื่อเห็นว่าคนป่วยมีอาการดีขึ้นเขาก็เอ่ยตอบ “พี่รู้จากไอ้ภาคย์ว่าภูมิไม่สบาย วันนี้พี่มีเรียนแค่ช่วงเช้า เลยแวะมาเยี่ยม” แล้วก็ไม่วายพูดด้วยน้ำเสียงตำหนิเล็กๆ “ประตูบ้านก็ไม่ได้ล็อก ถ้ามีโจรบุกเข้ามาจะทำยังไง”



“ผมไม่รู้เรื่องนะ โทษพี่ภาคย์สิ” ภูมิโบ้ยไปหาพี่ชายตัวเองทันที และเหมือนร่างกายจะเริ่มมีอาการปวดตุบๆ อีกครั้งคล้ายส่งสัญญาณเตือนว่าคนป่วยคงฝืนพูดเกินไป จนต้องหอบหายใจแรงๆ แล้วซุกหน้าลงกับหมอน เม็ดเหงื่อเริ่มผุดตามใบหน้า



โฟล์คเห็นอาการของคนข้างตัวไม่สู้ดีนัก ก็พอจะเดาได้ว่าคงไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่เช้า เสียงทุ้มจึงบอกออกไป “ภูมิต้องกินข้าวนะครับ พี่ซื้อโจ๊กมาให้ จะได้กินยาหลังอาหารได้”



...เมื่อเห็นร่างเล็กป่วยหนักแบบนี้ เขาก็รู้สึกแย่อย่างบอกไม่ถูก



ทว่าคนที่นอนบนเตียงกลับค่อยๆ เลื่อนหน้ามาทางเขา ขมวดคิ้วราวกับไม่แน่ใจอะไรบางอย่าง ก่อนที่ปากสีซีดจะเอ่ยอย่างกล้าๆ กลัวๆ



“พี่ไม่โกรธผมแล้วเหรอ...”



กึก



โฟล์คชะงักไป จากนั้นความทรงจำที่ทะเลเมื่อวานก็ย้อนกลับเข้ามา จนตระหนักได้ว่าเผลอทำอะไรลงไป



แน่นอนว่าเขาไม่ได้โกรธภูมิสักนิด ไม่ได้มีความรู้สึกที่ใกล้เคียงกับคำว่าโกรธเลยด้วย แต่เหมือนคนตัวเล็กไม่รู้จะนิยามการกระทำของเขายังไง ลงท้ายเลยเป็นคำคำนี้



ถ้าจะให้โฟล์คตอบ เขาคงตอบได้แค่ว่าไม่ได้โกรธ ...เขาเพียงแค่สับสน ไม่แน่ใจ ไม่กล้า



และที่สำคัญที่สุด...คือเขากลัว



...กลัวสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต จนไม่รู้ว่าควรจะทำปัจจุบันอย่างไร



โฟล์คเบนหน้าหนีไปทางอื่น กัดปาดตัวเองด้วยความอึดอัดใจ ...เขามาหาภูมิเพราะรู้ว่าภูมิไม่สบาย ไม่ได้คำนึงถึงความสับสนทั้งหมดทั้งมวลที่เกิดขึ้น ซึ่งแม้แต่ตอนนี้ก็ยังติดค้างอยู่ในใจโดยไม่สามารถหาคำตอบได้



ร่างสูงจึงยกชามใส่โจ๊กที่เตรียมไว้ขึ้นมาแล้วเอ่ยเลี่ยง “กินข้าวก่อนนะครับ จะได้กินยา”



ภูมิรู้สึกผิดหวังในใจ เมื่อจู่ๆ สีหน้าแบบเดิมของอีกฝ่ายที่ทำให้เขารู้สึกแย่มาตั้งแต่เมื่อวานกลับมาอีกครั้ง จนได้แต่ตอบรับเสียงอ่อน “...อืม”



ภูมิค่อยๆ ยันตัวขึ้นนั่ง ก่อนอ้าปากรับโจ๊กร้อนๆ ที่ร่างสูงส่งมาให้ ทว่าเมื่อปลายลิ้นสัมผัสถูกความร้อนในช้อนก็สะดุ้ง เบือนหน้าหนีทันที



“ร้อนเหรอครับ” โฟล์คถามด้วยน้ำเสียงตื่นๆ  ซึ่งก็ได้รับคำตอบเป็นการพยักหน้าน้อยๆ  เขาจึงดึงมือกลับมาแล้วเป่าลมเบาๆ สองสามครั้ง ก่อนเลื่อนช้อนกลับไปตรงหน้าคนป่วยที่มองการกระทำของเขาตาค้าง



ภูมิรู้สึกร้อนที่ใบหน้า แน่ใจว่าไม่ได้เป็นเพราะอาการป่วย แต่ก็ยอมอ้าปากรับโจ๊กในช้อนอีกครั้ง ก่อนค่อยๆ กลืนลงคอด้วยความยากเย็น



โฟล์คตักคำต่อไปอย่างไม่เร่งรีบ เป่าเบาๆ แล้วยื่นไปตรงหน้าร่างเล็กอีกครั้ง ซึ่งภูมิก็ยอมรับโดยไม่ขัดขืน จนเมื่อกลืนโจ๊กคำสุดท้ายลงคอ แก้วน้ำใบเดิมก็ถูกยื่นตามมาตรงหน้าพร้อมยาอีกสามเม็ด พร้อมกับสีหน้าของร่างสูงที่คล้ายจะออกคำสั่งให้เขารับไปอย่างเสียไม่ได้



“ดีขึ้นไหมครับ”



โฟล์คถามขึ้นมาหลังจากที่คนป่วยทานยาเรียบร้อย ภูมิจึงพยักหน้าตอบกลับเบาๆ



“ก็ดี...” ว่าจบก็ขยับตัวเป็นท่านอนตามเดิม ...ยอมรับเลยว่าโจ๊กที่กินเข้าไปทำให้รู้สึกขึ้น แถมการเช็ดตัวด้วยผ้าชุบน้ำหมาดๆ ก็ช่วยลดความร้อนของร่างกายไปได้พอสมควร



โฟล์คมองคนที่นอนซมเพราะพิษไข้ด้วยความเป็นห่วง ก่อนค่อยๆ บรรจงหยิบผ้าที่เริ่มอุ่นเพราะความร้อนออกจากหน้าผากของอีกฝ่าย แล้วใช้ผ้าชุบน้ำผืนใหม่วางแทนที่ จากนั้นจึงจัดการเช็ดตัวร่างเล็กต่อจนเสร็จ เบาใจขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นคนป่วยหายใจเข้าออกเป็นจังหวะสม่ำเสมอราวกับหลับลึก แถมสีหน้ายังดีขึ้นกว่าตอนที่เขาเข้ามาเห็นครั้งแรก



โฟล์คนำน้ำในกะละมังไปเททิ้งในห้องน้ำ ก่อนกลับมาใช้โต๊ะทำงานของภูมิเป็นที่นั่งอ่านหนังสือ เขาเหลือบมองนาฬิกาที่ตั้งอยู่ตรงหัวเตียงซึ่งบอกเวลาเกือบบ่ายสอง ก่อนจะคำนวณเวลาคร่าวๆ ในใจ



วันนี้ไอ้ภาคย์มีเรียนถึงดึก แถมคุณอาดนัยก็กลับดึกทุกวันอยู่แล้ว ...เขาคงต้องอยู่เฝ้าไข้ภูมิจนกว่าจะมีคนกลับมาบ้าน



บอกตามตรงว่าอดแปลกใจกับสภาพห้องไม่ได้ เพราะมันโล่งกว่าครั้งแรกที่เขาเคยมา จำได้ว่าลูกศิษย์ของเขามีโมเดลสะสมมากมาย มีพวกหนังสือและนิตยสารหลายเล่ม แถมตรงมุมห้องยังมีกีตาร์โปร่งตั้งไว้ ...แต่ตอนนี้กลับไม่เหลือสักอย่าง



ทว่าโฟล์คก็เดาได้ไม่ยากว่าของพวกนั้นหายไปไหน ...ก็เหตุผลที่คนตัวเล็กร้องไห้อย่างหนักวันนั้นไงเล่า



เขาลองกวาดสายตาไปรอบห้องอีกครั้ง ก่อนจะสะดุดที่เอกสารหลายแผ่นที่วางอยู่บนโต๊ะทำงาน



โฟล์ควางหนังสือในมือลง หยิบเอกสารที่กองไว้อย่างไม่เป็นระเบียบนักมาไล่ดูทีละแผ่น ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อยเมื่ออ่านข้อความที่ปรากฏบนแผ่นกระดาษ ซึ่งมีทั้งข้อความที่พิมพ์จากเครื่องคอมพิวเตอร์ และบางแผ่นก็เป็นลายมือที่เขียนหวัดๆ



ทว่าที่น่าสนใจคือเนื้อหาบนนั้น มีทั้งแผนงานของชมรมดนตรีที่ยาวประมาณสี่หน้ากระดาษ รายละเอียดและกำหนดการของโปรเจคต์หนังสั้นที่เจ้าตัวร่างไว้เป็นแผนภาพ แต่ก็กินเนื้อที่กระดาษไปอีกเกือบห้าแผ่น เดาไม่ยากว่าคงอดหลับอดนอนเขียนมาหลายคืน นอกเหนือจากนั้นยังมีกำหนดการของงานประกวดต่างๆ ทั้งงานเขียน งานภาพถ่าย และอีกมากมายแบบที่โฟล์คเองก็คาดไม่ถึง



แล้วเขาก็สังเกตเห็นสมุดเล่มเล็กที่วางปนกับแผ่นกระดาษ พอหยิบมาดูก็พบว่าถูกเจ้าของใช้ไปแล้วเกือบครึ่ง แม้จะเป็นการเขียนแบบย่อๆ เหมือนให้คนเขียนเข้าใจอยู่คนเดียว แต่เขาก็พอจะจับใจความได้ว่ามันคือตารางเวลาคร่าวๆ ของแต่ละวัน



“ตารางแบบนี้...ไม่ห่วงตัวเองเลยหรือไง”



โฟล์คพึมพำเบาๆ  เงยหน้ามองคนที่นอนหลับอยู่ด้วยแววตาที่แฝงความเป็นห่วง ...ไม่แปลกใจเลยที่ภูมิจะล้มป่วยกะทันหัน เพราะหากทำตามตารางที่เขียนไว้จริงๆ หมายความว่าคนตัวเล็กได้นอนอย่างต่ำคือตีสอง บางคืนลากยาวไปจนถึงตีสามตีสี่ ทั้งยังต้องตื่นไม่เกินตีห้าเพราะต้องไปซ้อมดนตรีตอนเช้า



...ที่สำคัญคือไม่รู้ว่าเจ้าตัวฝืนทำแบบนี้มานานแค่ไหนแล้ว...











 

ภูมินอนกระสับกระส่ายไปมา รู้สึกถึงความมืดที่ล้อมรอบตัว ...ราวกับร่างกายกำลังลอยคว้างกลางอากาศ



ความเจ็บปวดแล่นเข้ากระทบผิวกายจนลึกไปถึงกระดูก ภายในร้อนรุ่มเหมือนโดนไฟสุม ทรมานจนเขาต้องหลับตาแน่น พยายามอ้าปากร้องเรียกให้คนช่วย แต่กลับไม่มีเสียงใดๆ เปล่งออกจากลำคอ



ทว่าในวินาทีที่ราวกับกำลังถูกฉุดลงนรก ก็เกิดแสงสว่างส่องวาบขึ้นมา พร้อมกับเสียงหวานที่คุ้นเคยเอ่ยกระซิบข้างหู



‘เป็นยังไงบ้างลูก’



เสียงของ...แม่



ภูมิชะงักไปทันใด ลืมตามองรอบตัวซึ่งไม่ใช่ความมืดอีกแล้ว แต่กลับเป็นสถานที่ที่คุ้นตามาตั้งแต่เกิด ...ภายในห้องนอนของเขาเอง



‘ปวดหัว...ปวดหัวจังเลยแม่...’



แล้วเสียงเล็กๆ ของเด็กที่น่าจะอายุไม่เกินสิบขวบก็เอ่ยตอบไป เรียกให้ภูมิต้องหันไปมองเจ้าของเสียง จนพบกับร่างของตัวเขาในวัยเก้าขวบกำลังนอนซุกผ้าห่มผืนหนา บนหน้าผากมีผ้าสีขาวผืนเล็กวางแหมะไว้ และข้างๆ กันนั้น...คือร่างของหญิงสาวอายุใกล้สี่สิบที่กำลังแย้มรอยยิ้ม ยกมือลูบหัวเด็กชายด้วยความเอ็นดู



‘งั้นเด็กดีของแม่ก็ต้องกินข้าวก่อน จะได้กินยานะลูก’



‘ไม่เอา ยาไม่อร่อย ภูมิไม่อยากกิน’



ร่างเล็กเบ้ปากเหมือนจะร้องไห้ จนผู้เป็นแม่ต้องเอ่ยปลอบประโลม



‘แต่ถ้าไม่กินก็จะไม่หาย ภูมิจะอดไปวิ่งเล่นกับเพื่อนๆ นะลูก’



‘อดไป...เล่น...’



‘ใช่จ้ะ อาทิตย์หน้ากอล์ฟชวนไปเที่ยวนี่นา ไปกันตั้งหลายคน ถ้าภูมิไม่หายก็ต้องนอนอยู่บ้านนะ’



‘งั้น...งั้นภูมิจะกิน ภูมิจะกินยา...’



หญิงสาวคลี่รอยยิ้มสวย ก่อนยกชามที่วางข้างเตียงมาถือไว้ ‘แม่อุ่นโจ๊กมาให้ ค่อยๆ กินนะลูก’



เด็กชายตัวเล็กพยักหน้าน้อยๆ แล้วค่อยๆ อ้าปากรับอาหารที่ผู้เป็นมารดาตั้งใจป้อนเข้าปาก ก่อนจะยิ้มสดใสเมื่อพบว่ามันอร่อย จากนั้นจึงรบเร้าให้อีกฝ่ายป้อนเร็วๆ  ซึ่งคนถูกรบเร้าก็ได้แต่ยิ้มกว้าง ทำตามคำขอของลูกน้อยโดยไม่ว่าอะไร



ภาพที่ทำให้ภูมินิ่งงันไป รู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่อัดอั้นอยู่ในอก พร้อมกับหยดน้ำตาที่ร่วงลงมา



เขาคิดถึง...คิดถึงแม่มากจริงๆ



ภาพเบื้องหน้าค่อยๆ กลายเป็นสีดำ เสียงพูดคุยกันของคนสองคนเริ่มเบาลงและหายไป จนรอบกายเหลือเพียงความมืด ...พร้อมๆ กับสติของภูมิที่ดับวูบลง











 

ภาพแรกที่ภูมิเห็นเมื่อรู้สึกตัวขึ้นมา คือร่างสูงที่นั่งอ่านหนังสืออยู่บนเก้าอี้โต๊ะทำงานของเขา คนป่วยจึงค่อยๆ ยันตัวขึ้น  ข่มความรู้สึกปวดตรงศีรษะแล้วถามออกไปเบาๆ



“กี่...กี่โมงแล้วเหรอ...พี่โฟล์ค”



“ภูมิ” โฟล์คหันไปตามเสียงเรียกทันที กวาดสายตามองร่างเล็กที่กำลังฝืนตัวลุกขึ้นนั่งอย่างเป็นห่วง ก่อนจะมองนาฬิกาแล้วตอบ “ตอนนี้เกือบหกโมงแล้วครับ”



“...ผมหลับไปนานขนาดนั้นเลยเหรอ”



โฟล์คพยักหน้ารับ ปิดหนังสือในมือลงแล้วขยับไปนั่งบนเตียง ตั้งใจจะวัดไข้ให้คนป่วย ทว่าอีกฝ่ายกลับเงยหน้ามองเขาด้วยสายตาเหลือเชื่อ



“พี่อยู่กับผมเกือบสี่ชั่วโมงเลยเหรอ...”



“ครับ ประมาณนั้น” เขาตอบง่ายๆ ก่อนจะใช้หลังมือแตะหน้าผากของคนข้างตัวเบาๆ “...ตัวยังอุ่นๆ นะครับ เฮ้อ คราวหลังอย่าฝืนตัวเองแบบนี้สิ”



ร่างเล็กมองมาด้วยสายตางุนงงเหมือนไม่เข้าใจประโยคที่เขาพูด แต่โฟล์คก็ไม่คิดขยายความ ทำเพียงแค่เอื้อมมือไปหยิบชามที่วางไว้ข้างเตียงแล้วยื่นไปใกล้คนป่วย



“กินข้าวก่อนนะครับ จะได้กินยา”



‘งั้นเด็กดีของแม่ก็ต้องกินข้าวก่อน จะได้กินยานะลูก’



เสียงทุ้มที่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเจือความเป็นห่วง ซ้อนทับกับเสียงหวานที่คล้ายจะกระซิบแผ่วเบาในความทรงจำ จนภาพของความฝันเมื่อครู่ฉายชัดในสมอง ...ภูมิเบิกตากว้างทันใด หัวใจเต้นระรัวเมื่อคิดถึงหน้าของผู้หญิงที่อยู่กับเขามาตั้งแต่จำความได้ ...คนเดียวที่อยู่ข้างเขามาโดยตลอด...



“ภูมิ...ภูมิครับ ร้องไห้ทำไม”



เสียงของร่างสูงข้างกายทำให้เขาหลุดออกจากภวังค์ ...แล้วจึงสัมผัสได้ถึงความเปียกชื้นบนใบหน้า



...เขากำลังร้องไห้...



มือเล็กปาดน้ำตาออกอย่างลวกๆ กลั้นเสียงสะอื้นไว้สุดความสามารถ ก่อนจะส่ายหน้าแรงๆ “ผมไม่เป็นไร...”



“เป็นสิครับ” อีกฝ่ายตอบกลับมาทันที วางชามในมือลงแล้วขยับเข้ามาใกล้ ใช้หลังมือแนบหน้าผากเขาอีกครั้ง “ยังปวดหัวอยู่เหรอ ไปโรงพยาบาลดีไหมครับ”



หมับ



โฟล์คชะงักทันใด เมื่อจู่ๆ คนที่นอนป่วยอยู่กลับยกมือขึ้นมา แล้วแนบฝ่ามือเล็กเข้ากับฝ่ามือของเขาซึ่งกำลังใช้หลังมือแตะหน้าผากคนป่วยเพื่อวัดไข้ ทั้งยังบีบเบาๆ ด้วยอาการสั่นน้อยๆ



“ไม่ไป ผมไม่ไป พี่อย่าไปนะ...”



“เดี๋ยวครับภูมิ ...พี่จะไปทำไม”



“ก็เมื่อวาน...พี่ทำท่าเหมือนไม่อยากคุยกับผม ไม่อยากมองหน้าผม ฮึก...ผมป่วยอยู่นะเว้ย...พี่ห้ามไปนะ...”



ไม่รู้เป็นเพราะพิษไข้ที่ทำให้ภูมิขาดความยับยั้งชั่งใจ หรือเพราะภาพของแม่ในความทรงจำที่คอยดูแลเขามาตลอด จนถึงตอนนี้ที่เขาไม่ได้สัมผัสความรู้สึกนั้นมาเกือบปี ...เกือบปีที่ไม่มีคนดูแลอย่างใกล้ชิด เกือบปีที่ไม่มีคนคอยเป็นห่วง เกือบปีที่ต้องเข้มแข็งและดูแลตัวเองมาตลอด...



“พี่จะทิ้งผมไปเหมือนแม่ใช่ไหม...ฮึก...ผมต้องอยู่คนเดียว...อีกแล้วใช่ไหมพี่โฟล์ค...”



“ภูมิ...”



“นอกจากแม่...ไม่เคยมีใครดูแลผมแบบนี้เลย พ่อ...พ่อก็ทำแต่งาน พี่ภาคย์ก็ไม่เคยสนใจ จนผมมาเจอพี่...ฮึก...แล้วพี่ก็จะทิ้งผมไปอีกคน ...ผมต้องไม่เหลือใครจริงๆ ใช่ไหมวะ...”



หมับ



โฟล์ครั้งร่างของอีกฝ่ายมากอดเต็มแรง กดศีรษะเล็กให้ซุกกับบ่ากว้าง มือก็ลูบหัวร่างเล็กซ้ำๆ หลายที



“ไม่ใช่นะครับภูมิ” คนที่ปกติจะรักษาท่าทีให้นิ่งเฉยกลับต้องพูดเสียงรัว ยิ่งพอได้ยินเสียงสะอื้นแรงๆ ของคนในอ้อมกอด เขาก็ยิ่งรู้สึกอยากชกหน้าตัวเองสักล้านรอบ ...ไม่รู้ตัวเลยว่าความสับสนที่เกิดขึ้นในใจของเขาจะทำร้ายคนตัวเล็กขนาดนี้



เพราะภูมิเป็นเด็กที่มีปมเรื่องครอบครัว โดยเฉพาะการจากไปของผู้หญิงที่รักมากที่สุดในชีวิต และจากเหตุการณ์หลายๆ อย่างที่ผ่านมาทำให้ภูมิเห็นเขาเป็นที่พึ่ง แต่เขาก็เผลอทำร้ายความรู้สึกของอีกฝ่ายเพราะความสับสนบ้าๆ ที่ตัวเขาเป็นคนเริ่ม



...นี่เขาทำอะไรลงไป...



เหี้ยโฟล์ค แค่นี้มึงก็คิดไม่ได้เหรอวะ!



“ไม่เอาครับภูมิ ไม่ร้องนะ พี่ขอโทษ พี่จะไม่ทิ้งภูมิ พี่สัญญาครับ”



โฟล์คพูดซ้ำๆ อย่างนั้น กอดร่างเล็กไว้แน่นราวกับยืนยันในคำสัญญา จนกระทั่งคนในอ้อมกอดค่อยๆ สงบลง กระนั้นก็ยังมีเสียงสะอื้นเล็ดลอดมาเป็นระยะ



“พี่โฟล์ค...ปล่อยได้แล้วล่ะ” ไม่นานนัก คนที่ร้องไห้อย่างหนักเมื่อครู่ก็พูดเสียงอู้อี้ก่อนดันอกเขาออกเบาๆ “ผมไม่เป็นไรแล้ว...”



 โฟล์คยอมปล่อยร่างเล็กให้เป็นอิสระ แต่ก็ยังใช้สายตามองด้วยความเป็นห่วง เห็นอีกฝ่ายเม้มปากแน่นราวกับเพิ่งรู้ตัวว่าทำอะไรลงไป แถมหน้าแดงๆ ยังเบนหนีไปทางอื่นเหมือนไม่กล้าสบตาเขาอย่างไรอย่างนั้น



...แต่เพียงครู่เดียวก็หันหน้ากลับมา ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเบาหวิวที่ทำให้คนฟังใจสั่นไปวูบหนึ่ง



“พี่จะไม่ทิ้งผม...จริงๆ ใช่ไหม”



ดวงตาที่สบกันยังมีร่องรอยของการร้องไห้ อีกทั้งเจ้าของดวงตายังเผลอส่งกระแสอ้อนวอนมาโดยไม่รู้ตัว จนคนมองต้องกำหมัดแน่นราวกับหักห้ามใจอะไรบางอย่าง แต่เหมือนว่าความเงียบที่เกิดขึ้นจะทำให้คนป่วยเข้าใจไปอีกทาง แววตาที่เมื่อครู่เต็มไปด้วยความหวังจึงหม่นแสงลง พร้อมกับน้ำตาที่เริ่มคลอเบ้าอีกครั้ง



“ผมขอโทษ พี่ลืมมันไปก็ได้นะ...”



เสียงสั่นๆ ที่เหมือนจะร้องไห้ทำให้โฟล์คหลุดถอนหายใจอย่างหมดความอดกลั้น เขายื่นมือไปสัมผัสข้างแก้มคนป่วยแผ่วเบา ก่อนเสียงทุ้มจะเอ่ยคล้ายกระซิบ



“อยู่นิ่งๆ นะครับภูมิ”



เมื่อพูดจบโฟล์คก็เลื่อนหน้าเข้าใกล้อีกฝ่ายอย่างเชื่องช้า มือที่ตอนแรกทำเพียงแค่สัมผัสก็เปลี่ยนเป็นประคองใบหน้าขาวเนียน แม้จะรู้สึกว่าร่างเล็กผงะไป แต่เขาก็ใช้มืออีกข้างกระชับมือเล็กของอีกฝ่ายไว้หลวมๆ  ก่อนจะโน้มหน้าลงใกล้จนแทบชิดติดกัน



กลิ่นกายอ่อนๆ จากคนตัวเล็กทำให้โฟล์คแทบสติกระเจิง ตัดสินใจแนบริมฝีปากลงกับหน้าผากอุ่นๆ ของคนป่วยแผ่วเบา กดย้ำอยู่อย่างนั้น...เหมือนกับคราวก่อนที่ภูมิมานอนค้างที่ห้องของเขา



ภูมิหลับตาปี๋ มีสติรู้ตัวเต็มร้อยว่าร่างสูงกำลังทำอะไร แต่กลับไม่มีความคิดที่จะถอยหนี เขารู้เพียงว่ามันอุ่น...อุ่นมากๆ



โฟล์คสูดลมหายใจเข้าทั้งที่ใบหน้ายังติดกัน ก่อนจะไล้ริมฝีปากต่ำลงเรื่อยๆ ขบเม้มปลายจมูกที่รั้นขึ้นนิดๆ จนเจ้าของใบหน้าแทบลืมหายใจ แล้วจึงเลื่อนริมฝีปากลงมาจนอยู่ระดับเดียวกับปากแดงๆ ของคนป่วย ชั่งใจอยู่เพียงครู่เดียว...ก่อนจะกดแนบลงไปจนสนิท



“อื้อ...”



ภูมิเผลอร้องประท้วงในลำคอ เงยหน้าขึ้นตามแรงดุนดันของริมฝีปากร้อนที่แนบกับตัวเอง มือก็คว้าปกเสื้อของร่างสูงไว้เป็นหลักประคอง



ร้อน...พี่โฟล์คร้อนมากเลย...



โฟล์คเลื่อนกายมาแนบชิดมากขึ้น บดเบียดริมฝีปากลงมาหนักขึ้น แต่ไม่ได้รุกล้ำใดๆ  ทำเพียงแค่ขบเม้มเบาๆ จนคนใต้ร่างใจเต้นไม่เป็นส่ำ ไม่รู้จะตอบสนองอย่างไรกับสัมผัสที่เพิ่งเคยได้รับเป็นครั้งแรกในชีวิต



ผ่านไปนานเท่าไรไม่ทราบ จนเมื่อคนตัวเล็กครางประท้วงในลำคออีกครั้งพร้อมกับเผยอปากออกน้อยๆ ราวกับไม่มีอากาศหายใจ โฟล์คจึงค่อยๆ ผละออกมา มองร่างเล็กที่นิ่งงันเหมือนตะลึงค้าง จนเขาต้องหลุดยิ้มจางๆ  ใช้นิ้วโป้งเกลี่ยไปมาบนริมฝีปากแดงช้ำของคนตรงหน้า



...ไม่รู้ว่าเร็วไปหรือเปล่า...แต่เขาอดใจไม่ไหวแล้วจริงๆ...



“ที่ภูมิถามเมื่อกี้...พี่จะตอบให้ก็ได้นะครับ”



ร่างสูงพูดด้วยรอยยิ้ม สบกับดวงตาตื่นๆ ของอีกฝ่ายอย่างสื่อความหมาย ก่อนเอ่ยชัดถ้อยชัดคำเพื่อย้ำลึกเข้าไปในใจคนฟัง



“ครับ...พี่สัญญา พี่จะไม่ทิ้งภูมิ”



ใช่...หากต้องแลกกับการที่เห็นภูมิเจ็บ ไม่ว่าอะไรก็ไม่คุ้มทั้งนั้น ต่อให้เป็นคำพูดของเพื่อนสนิทหรือเหตุผลอื่นอีกมากมายก็ตาม...



--------------------------------- TBC --------------------------------



ผ่าม ผ้าม! จูบแรกตอนน้องป่วยค่า

พี่โฟล์คตกม้าตายง่ายมากจริงๆ แค่น้ำตาภูมิก็พอแล้ว ฮา

เจอกันวันพฤหัสค่ะ :)



CT.hamonigar


ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
อดใจไม่ไหว

อย่าลืมไปเครียตัวเองนะพี่

 :L2: :pig4:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
โฟล์คชัดเจนกับตัวเองก่อนนะ  :z3: :z3: :z3:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ CT.hamonigar

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0

Chapter 14 : ความสัมพันธ์ที่พัฒนา



            “พี่โฟล์ค มาช่วยกันเลือกหน่อยสิ”



              เสียงของร่างเล็กเจ้าของห้องแสดงความเครียดออกมาอย่างไม่ปิดบัง ทำให้โฟล์คต้องขยับจากการนั่งอ่านหนังสือบนเตียงมายืนใกล้ๆ ลูกศิษย์ที่กำลังนั่งบนเก้าอี้โต๊ะทำงาน ทั้งยังต้องโน้มตัวลงเล็กน้อยเพื่อจะมองหน้าจอโน้ตบุ๊คที่อีกฝ่ายชี้ให้ดูได้ถนัดตา



           “หืม...รูปถ่ายพวกนี้คืออะไรเหรอครับ” เขาถามเมื่อเห็นไฟล์ภาพเกือบสิบไฟล์ปรากฏบนหน้าจอ ซึ่งคงเป็นฝีมือเจ้าของโน้ตบุ๊คเองนี่แหละ



            “จะส่งประกวดน่ะ”



            “ประกวด?”



            “อื้อ อันนี้ไง”



            แล้วแผ่นกระดาษใบเล็กก็ถูกยื่นมาตรงหน้า เขากวาดสายตามองเล็กน้อยก่อนจะร้องอ๋อในใจ แต่ยังไม่ทันได้ตอบอะไร คนข้างตัวก็ดึงกระดาษกลับแล้วถามขึ้นมาอีกครั้ง



            “เนี่ย...หัวข้อ ‘มนุษย์กับธรรมชาติ’ ดูเหมือนธรรมดานะพี่โฟล์ค แต่พอเอาเข้าจริงๆ กลับเลือกไม่ถูก”



            “เพราะดูธรรมดานั่นแหละเลยหาอะไรที่โดดเด่นยาก” โฟล์คพูดแล้วยิ้มให้ พอเห็นว่าอีกฝ่ายยกมือเกาหัวตัวเองแกรกๆ ก็หลุดหัวเราะออกมาเบาๆ  ก่อนจะยกมือขึ้นโอบไหล่เล็กแล้วเลื่อนหน้าไปกระซิบริมหู “...เอาภาพที่ภูมิชอบนั่นแหละครับ”



            “นั่นสิ...เฮ้ย!” ตอนแรกภูมิก็เออออไป แต่พอหันไปเจอใบหน้าของร่างสูงที่จงใจยื่นมาใกล้จนแทบติดกันก็ต้องผงะ หน้าร้อนผ่าวขึ้นมาทันที แล้วมือเล็กก็พยายามดันอกชายหนุ่มออก ซึ่งคนโดนผลักก็ยอมถอยตามแรงโดยไม่ว่าอะไร แถมยังส่งรอยยิ้มมุมปากมาให้ จนคนที่นั่งบนเก้าอี้ต้องเม้มปากแน่น หันหน้ากลับทางเดิมอย่างรวดเร็ว “ไม่เอาแล้ว ผมเลือกเองก็ได้ พี่กลับไปอ่านหนังสือเลยไป”



            พูดรัวเร็วเสียจนดูออกทันทีว่ากำลังกลบเกลื่อนอาการเขิน  โฟล์คได้แต่นึกเอ็นดูในใจก่อนตอบออกไปพร้อมรอยยิ้ม



            “ครับผม”



            โอ๊ย...ยังจะมาพูดครับใส่กูอีก เขินเว้ย!



          ภูมิได้แต่บ่นขมุบขมิบในใจ พยายามเพ่งสมาธิกับภาพนับสิบภาพในโน้ตบุ๊ค ทำทีเป็นจดจ่อกับการเลือกรูป ทั้งๆ ที่ในใจน่ะ...มีแต่หน้าของครูสอนพิเศษลอยเต็มไปหมด



            ตั้งแต่วันที่เขาไม่สบายก็ผ่านมาอาทิตย์กว่าๆ แล้ว แน่นอนว่าตอนนี้หายเป็นปลิดทิ้ง แต่ที่เหมือนจะแตกต่างจากเดิมคือความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพี่โฟล์ค แม้ยังไม่ชัดเจนนัก...แต่ก็ไม่อึดอัดเหมือนที่ผ่านมา



            ภูมิไม่แน่ใจว่าจะนิยามความสัมพันธ์ครั้งนี้อย่างไร ราวกับทั้งเขาและพี่โฟล์คเข้าใจตรงกันว่ากำลังทำอะไรอยู่ เพียงแต่ไม่ได้พูดมันออกมา อีกทั้งความรู้สึกที่ภูมิมีต่ออีกฝ่ายก็ดูจะมากขึ้นเรื่อยๆ ...ชนิดที่ว่าคงกู่กลับยากทีเดียว



            โดยเฉพาะหลังจากจูบเบาๆ ที่เพิ่งเคยได้รับเป็นครั้งแรกในชีวิต ภูมิยอมรับว่ามันคือความรู้สึกพิเศษ และโล่งใจไม่น้อยที่หลังจากนั้นพี่โฟล์คก็ไม่ได้ทำอะไรเกินเลย นอกจากแกล้งยื่นหน้ามาใกล้เป็นครั้งคราว หรือบางทีก็มีแตะต้องตัวเล็กน้อย ...ไม่อย่างนั้นไอ้ภูมิคนนี้คงทำตัวไม่ถูกแน่ๆ



            และไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า...แต่พี่โฟล์คดูเจ้าเล่ห์กว่าเดิมเยอะเลย



            ปกติครูสอนพิเศษของเขาจะมีความเป็นสุภาพบุรุษมาก เรียกได้ว่าวางตัวเป็นผู้ใหญ่แบบที่เขายังอดเกรงหน่อยๆ ไม่ได้ แต่พักหลังมานี้พี่โฟล์คกลับทำตัวแปลกไป บางครั้งก็ชอบส่งรอยยิ้มดูแฝงความนัยเหมือนจะแกล้งให้คนได้รับใจสั่นเล่นๆ  หรือบางทีก็ชอบเข้ามาใกล้บ้างล่ะ โอบเอวบ้างล่ะ กระซิบข้างหูบ่อยๆ บ้างล่ะ ซึ่งถ้าภูมิไม่เข้าข้างตัวเองจนเกินไป ...ผู้ชายปกติเขาไม่ทำแบบนี้กันหรอก



            แม้จะไม่ได้มีการนัดติว แต่หากพี่โฟล์คว่างก็มักจะแวะมาบ้านเขาบ่อยๆ  อย่างเช่นวันนี้ที่เจ้าตัวบอกว่าเรียนเสร็จเร็วเลยแวะไปรับที่โรงเรียน ก่อนจะพามาส่งบ้าน แต่แทนที่จะขับรถกลับคอนโด พี่โฟล์คกลับบอกว่าขอนั่งเล่นบ้านนี้สักพัก แล้วก็มาขลุกอยู่ห้องเขาเสียอย่างนั้น



            ส่วนพี่ภาคย์ก็เหมือนจะชินแล้วเลยไม่ได้สงสัยอะไร บอกตามตรงว่าครั้งแรกที่พี่โฟล์คเล่าเรื่องที่พี่ชายของเขาไม่ยอมรับความรักร่วมเพศ ไอ้ภูมิคนนี้ถึงกับเครียดไปหลายวัน แต่เพราะพี่โฟล์คช่วยปลอบไม่ให้เขาคิดมาก เขาจึงทำตัวตามปกติได้โดยระวังเฉพาะเวลาอยู่ต่อหน้าพี่ภาคย์เท่านั้น



            ส่วนลับหลังน่ะหรือ...ก็เป็นอย่างเมื่อกี้ไงเล่า



            “หนึ่งทุ่มแล้วนะ พี่จะอยู่ถึงกี่โมงเนี่ย” ภูมิหันไปถามคนที่นั่งอ่านหนังสือบนเตียง ซึ่งอีกฝ่ายก็ตอบกลับเรียบง่ายโดยที่ไม่ได้เงยหน้าจากหนังสือด้วยซ้ำ



            “คงอีกสักพักมั้งครับ”



            แล้วสักพักของพี่มันเท่าไหร่วะ สิบนาที หนึ่งชั่วโมง สองชั่วโมง หรือจะอยู่ถึงเช้าล่ะเฮ้ย



          ภูมิได้แต่โคลงหัวไปมา หันมาสนใจการเลือกไฟล์รูปในโน้ตบุ๊คต่อ “ตามใจพี่เถอะ ระวังพรุ่งนี้จะตื่นไม่ไหวล่ะ”



            “ถ้าเป็นห่วงก็โทรมาปลุกสิครับ”



            “ไม่โทรหรอก เฮ้ย...เดี๋ยวๆ  ใครเป็นห่วงพี่วะ!”



            โฟล์คหัวเราะขึ้นมาทันทีจนคนตัวเล็กต้องหันไปค้อนขวับ ขมวดคิ้วหน่อยๆ ให้ดูขึงขัง แต่คนตัวสูงมีหรือจะกลัว...ไม่เลยสักนิด



            ทว่าจู่ๆ โทรศัพท์โนเกียคู่ใจของเจ้าของห้องก็สั่นครืดๆ  สงครามประสาทจึงต้องหยุดอยู่เพียงแค่นั้น ก่อนที่ภูมิจะเอื้อมมือไปหยิบเครื่องมือสื่อสารบนโต๊ะมาดูชื่อคนโทรเข้า ก่อนกดรับแล้วกรอกเสียงลงไป



            “ฮัลโหลไอ้ปิง เออ...มีอะไร ...หืม มีน้องในชมรมมึงจะส่งประกวดบทหนัง? เอาดิ แต่ไม่มีเส้นนะเว้ยบอกไว้ก่อน ...อะไรนะ วิธีการเขียนบท? เขียนตามใจเลย เอาให้รู้ว่าอยากสื่ออะไร เดี๋ยวยังไงก็ต้องเอามาตบมาแก้อยู่แล้ว ...นั่นแหละ แต่ยังไงก็อย่าลืมเร่งน้องเขานะเว้ย กำหนดส่งอาทิตย์หน้า ไม่งั้นตัดสิทธิ์ ...เออน่าไม่ต้องบ่น รู้ครับว่ามึงรู้แล้ว กูแค่เตือนเว้ย เออ...ตามนั้น โอเค บาย”



            พอคุยเสร็จก็กดตัดสาย ตั้งใจจะหันไปเลือกรูปอย่างจริงจัง ทว่ากลับสะดุดกับสายตาของร่างสูงที่จ้องมาตาไม่กระพริบ จนต้องถามกลับแบบงงๆ “พี่โฟล์คมีอะไรเปล่า”



            “เพื่อนภูมิเหรอครับ ไม่เห็นคุ้นชื่อ”



            “อ้อ ไอ้ปิงปองเหรอ เพื่อนใหม่ผมน่ะ มันอยู่ชมรมฟิล์ม แล้วก็มีโปรเจกต์จะทำหนังสั้นด้วยกัน... แป๊บนึงนะพี่โฟล์ค” ภูมิพูดค้างไว้แค่นั้นเพราะโทรศัพท์ในมือสั่นขึ้นมาอีกรอบ เห็นเป็นเบอร์แปลกที่ไม่ได้บันทึกไว้ก็ไม่ได้สงสัยอะไร กดรับด้วยน้ำเสียงสุภาพ “ฮัลโหลครับ”



            โฟล์คมองร่างเล็กที่ยกโทรศัพท์แนบหูด้วยความฉงน เพราะเขาไม่ค่อยเห็นภูมิคุยโทรศัพท์เท่าไหร่นัก



            “ใช่ครับ พี่เอง อ้อ ตอนนี้เราแค่ประกาศคร่าวๆ ไว้ก่อนครับ แต่การคัดเลือกนักแสดงจริงๆ จะมีหลังจากบทหนังเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราถึงจะเริ่มการออดิชั่น ถ้ายังไงสามาถติดต่อพี่แซนดี้ประธานชมรมการแสดงนะครับ แล้วเราจะแจ้งเบอร์ติดต่อกับรายละเอียดให้อีกครั้ง ...ครับผม ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณที่สนใจนะครับ ชวนเพื่อนมาได้อีกนะ ...โอเคครับ สวัสดีครับ”



แล้วเจ้าของโทรศัพท์ก็กดวางสายก่อนถอนหายใจยาว ก่อนจะหันมาคุยกับร่างสูงต่อ



“ตามนั้นแหละพี่ ผมจะทำหนังสั้นกับเพื่อน ตอนนี้ก็เริ่มรับบทหนังมาคัดเลือกแล้ว แถมเมื่อเช้าก็เพิ่งจะแง้มๆ เรื่องการออดิชั่นนักแสดง เลยมีคนโทรมาถามรายละเอียดเยอะ ตั้งแต่ในคาบเรียนยันตอนนี้นี่แหละพี่ ฮ่าๆ”



“ก็ดีสิครับ” โฟล์คพูดด้วยรอยยิ้ม แม้จะรู้เกี่ยวกับโปรเจกต์นี้มาแล้วจากการแอบดูกระดาษจดงานเมื่ออาทิตย์ก่อน แต่พอเห็นสีหน้าของคนที่กำลังพูดอยู่ตอนนี้ ก็รู้สึกได้ว่าเจ้าตัวกำลังสนุกมากๆ



“เอ่อ งั้น...ผมเลือกรูปต่อนะ” พอเห็นร่างสูงเงียบไป ภูมิก็ทำตัวไม่ถูก ทั้งยังรู้สึกหน้าร้อนนิดๆ กับรอยยิ้มที่อีกฝ่ายส่งให้ เลยพูดเบาๆ คล้ายพึมพำกับตัวเองก่อนหันกลับไปที่หน้าจอโน้ตบุ๊คอีกครั้ง



...ยังไงก็ไม่ชินสักที เมื่อไหร่พี่โฟล์คจะเลิกทำให้เขาเขินวะ!



ผ่านไปเกือบชั่วโมงนั่นแหละ ครูสอนพิเศษของเขาถึงจะยอมกลับไป แต่ภูมิไม่ได้ลงไปส่งเพราะกลัวพี่ชายตัวเองสงสัย จึงได้แต่เปิดผ้าม่านสีครีมที่อยู่เยื้องโต๊ะทำงาน มองร่างสูงที่กำลังเดินไปขึ้นรถผ่านกระจกบานเล็กของห้องนอนด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม



หลังจากนั้นไม่ถึงสามนาทีก็มีเสียงเตือนข้อความเข้า ภูมิเดาออกทันทีว่าใครส่งมา ...พี่โฟล์คทำอย่างนี้เสมอตอนกลับบ้าน



‘ตั้งใจนะครับ อย่าหักโหม อย่านอนดึกด้วย ถ้าป่วยอีกพี่ช่วยไม่ได้นะ ฝันดีครับภูมิ’



เขายิ้มออกมาทันที รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนบ้าที่หัวใจเต้นแรงจนแทบระเบิดกับประโยคธรรมดาไม่กี่ประโยค แต่ถ้าให้เลือก...เขาก็ยินดีที่จะเป็นคนบ้าแบบนี้ไปอีกนานๆ นั่นแหละ



ภูมิใช้เวลาไม่นานในการพิมพ์ข้อความตอบกลับไป ก่อนจะหันกลับมาสนใจการแต่งภาพที่เลือกเสร็จแล้ว เพื่อเตรียมสำหรับส่งประกวด











 

ในอีกด้านหนึ่ง ร่างสูงของโฟล์คกำลังยืนซื้อน้ำปั่นจากร้านริมถนน พอจ่ายเงินเรียบร้อยก็ถือแก้วน้ำพลาสติกเตรียมเดินขึ้นรถ แต่แรงสั่นในกระเป๋ากางเกงก็ทำให้เจ้าของร่างชะงัก ก่อนจะล้วงหยิบไอโฟนสีดำขึ้นมาดู



ข้อความที่ปรากฏทำให้เขาต้องยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้



‘ขับรถดีๆ นะพี่ ฝันดีเหมือนกัน’











 

“โห ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เชียวนะมึง รู้เลยว่าคิดถึงใคร”



ภูมิถึงกับสะดุ้ง เมื่อจู่ๆ เพื่อนสนิทสุดรักที่ชักจะกวนประสาทขึ้นทุกวันก็คว้าหมับเข้าที่ไหล่ของเขา ทั้งยังส่งเสียงแซวมาก่อนเห็นหน้า จนคนถูกแซวต้องหันไปแยกเขี้ยวใส่พร้อมกับปัดมือออก



“กูเปล่าสักหน่อย”



“เชื่อตายเลย”



พอถูกสวนอย่างรู้ทัน ภูมิก็ได้แต่กลอกตาไปมา ทำทีเป็นเก็บหนังสือเรียนบนโต๊ะด้วยท่าทางเอือมระอาสุดขีด



...ให้ตายก็ไม่ยอมรับหรอกว่าไอ้ซันเดาได้ตรงเผง... ก็เมื่อกี้พี่โฟล์คเพิ่งส่งข้อความมาบอกว่าเย็นนี้จะมารับนี่นา



นับวันความรู้สึกของเขาชักจะเพิ่มขึ้นทุกที แถมยังเร็วเสียจนต้องพยายามควบคุมไม่ให้เผลอแสดงออกมากเกินไป คิดดูสิ...แค่อีกฝ่ายบอกว่าจะมารับก็ดีใจขนาดนี้แล้ว



“กูไปห้องดนตรีแล้วนะ เจอกันพรุ่งนี้” ภูมิหันไปบอกซันหลังเก็บของเสร็จ พยายามไม่สนใจสายตาเจ้าเล่ห์ของเพื่อนซี้แล้วเดินออกจากห้องไปทันที



ด้วยความที่ห้องดนตรีอยู่ตึกด้านหลังซึ่งตรงข้ามกับประตูโรงเรียน ภูมิจึงจำเป็นต้องเดินเบียดสวนกับคนที่ตั้งใจจะกลับบ้าน บางครั้งเขาก็อยากให้เพิ่มความกว้างของทางเดินบนตึกมากกว่านี้ อย่างน้อยตอนเดินเปลี่ยนคาบเรียนหรือตอนโรงเรียนเลิกจะได้เดินสบายๆ หน่อย



ทว่าเมื่อภูมิเปิดประตูห้องดนตรีเข้ามา บุคคลที่ไม่คิดว่าจะอยู่ในห้องก็ทำให้เขาต้องขมวดคิ้ว



“ไอ้ปิงปอง?”



ประธานชมรมฟิล์มได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเองก็เงยหน้าขึ้นมา ก่อนฉีกยิ้มแล้วยักคิ้วให้ผู้มาใหม่หนึ่งที “มาช้านะเว้ย ‘จารย์ปล่อยเลทหรือไง”



“เออ” ภูมิตอบง่ายๆ ขณะเดินเอากระเป๋าไปวางบนเก้าอี้ “แล้วมึงมาทำอะไร ชมรมฟิล์มไม่นัดเหรอ”



“วันนี้งด มีหลายคนไม่ว่าง” ไอ้ปิงปองพูดโดยไม่ได้สบตา เพราะมัวแต่ก้มหน้าเพ่งสมาธิกับกีตาร์โปร่งในมือ แบบที่ภูมิต้องขมวดคิ้วด้วยความฉงน ก่อนเอ่ยถาม



“มึงเล่นกีตาร์เป็นด้วยเหรอ”



คนถูกถามเงยหน้าขึ้นทันใด ตอบด้วยน้ำเสียงเอือมระอา “ถ้ากูเล่นเป็นคงไม่มาฝึกจับคอร์ดซีหรอก ยังบอดอยู่เลยเนี่ย ไอ้วิทย์เพิ่งสอนกูเมื่อกี้” ว่าจบก็พยักพเยิดไปทางอีกมุมหนึ่งของห้องซึ่งมีกีตาร์โปร่งวางไว้นับสิบตัว โดยมีเด็กมอต้นประมาณสี่ห้าคนกำลังนั่งล้อมวงกัน ทุกคนถือกีตาร์ไว้คนละตัวอย่างตั้งใจ และจดจ่อกับสิ่งที่คนที่นั่งตรงกลางกำลังสอน



นั่นคือ ‘ไอ้วิทย์’ รุ่นน้องมอสี่ ตำแหน่งมือกีตาร์คอร์ด หรือกีตาร์ริทึ่มในวงดนตรี ซึ่งเป็นตำแหน่งสำคัญที่จะช่วยคุมวงตอนที่ภูมิต้องโซโล่ และบางครั้งก็จะช่วยกันเล่นประสานด้วย



ใกล้ๆ กันนั้นมีกลุ่มอีกกลุ่มหนึ่ง แต่ละคนถือไม้กลองไว้คนละคู่ กำลังตีจังหวะตามที่ ‘พี่แฟ้ม’ รุ่นพี่มอหก ตำแหน่งมือกลองของวงเคาะจังหวะให้ ถัดไปข้างๆ ก็มีกลุ่มของพี่เก่ง รุ่นพี่มือเบสประจำวงกำลังสอนพื้นฐานของการเล่นเบสให้รุ่นน้องฟัง แต่อาจเป็นเพราะมีคนนิยมเบสไม่มากเท่ากีตาร์ เด็กที่พี่เก่งสอนจึงมีเพียงคนเดียว



            นี่คือกิจกรรมหนึ่งของชมรมดนตรีสากลที่สมาชิกทุกคนต้องมีส่วนร่วม นั่นคือการ ‘สอนน้องใหม่’



            ตามปกติวงของภูมิจะนัดซ้อมกันทุกเช้า ส่วนตอนเย็นจะนัดซ้อมแค่จันทร์ พุธ ศุกร์ ส่วนวันอังคารกับพฤหัสจะเป็นการสอนดนตรีให้น้องๆ ที่สนใจในด้านดนตรี ทั้งมีประสบการณ์และไม่มีประสบการณ์ โดยสมาชิกแต่ละคนของชมรมจะแบ่งกันสอนน้องตามเครื่องดนตรีที่ตัวเองถนัด



            วันนี้เป็นวันพฤหัส ห้องซ้อมดนตรีจึงกลายเป็นแหล่งรวมพลคนดนตรีขนาดย่อม ซึ่งก็มีทั้งกลุ่มของกีตาร์ เบส และกลอง ส่วนคนที่สนใจด้านเปียโนหรือการร้องเพลงจะอยู่อีกห้องหนึ่งซึ่งกว้างกว่า เป็นห้องที่เชื่อมกันด้วยประตูเพียงบานเดียว โดยห้องนั้นจะมีพื้นที่ว่างเยอะกว่าเพราะใช้ในการเรียนการสอนวิชาดนตรีในคาบปกติ อีกทั้งยังมีเปียโนไฟฟ้าหลายหลัง ส่วนคนที่สนใจเครื่องดนตรีในวงดุริยางค์ก็จะอยู่ห้องนี้เช่นกัน เพราะหลังสุดของห้องเป็นตู้เก็บเครื่องดนตรีของวงดุริยางค์นั่นเอง



            สำหรับการสอนของวงดุริยางค์ ภูมิเข้าไปช่วยอะไรมากไม่ได้เพราะไม่มีความรู้ทางด้านนี้ ทำได้เพียงช่วยพี่เก่งคุมภาพรวมการสอนคร่าวๆ ตามหน้าที่รองประธานชมรมเท่านั้น



“แล้วทำไมมึงไม่ไปรวมกลุ่มกับเด็กมอต้นวะ” ภูมิหันไปถามไอ้ปิงปองซึ่งนั่งดีดกีตาร์คนเดียว แล้วก็ได้รับคำตอบแบบที่เขาคาดไว้อยู่แล้ว



“กูอยากเล่นคนเดียวนี่หว่า”



ภูมิส่ายหัวไปมา “เออ...ตามใจ กูไปช่วยไอ้วิทย์สอนเด็กก่อนนะ”



ความจริงเขาไม่จำเป็นต้องถามเหตุผลของไอ้ประธานชมรมฟิล์มสักนิด เพราะตั้งแต่รู้จักมันมา บอกได้เลยว่ามันเป็นคนที่อารมณ์อยู่เหนือเหตุผลแบบสุดๆ  แต่โชคดีที่ยังไม่งี่เง่าจนสุดโต่ง ไม่งั้นชมรมของมันคงเจ๊งไม่เป็นท่า



“อ้าวพี่ภูมิ หวัดดีครับพี่” ไอ้วิทย์ที่นั่งอยู่กลางวงเหมือนเพิ่งสังเกตเห็นเขา ซึ่งเขาก็โบกมือรับง่ายๆ  แล้วเข้าไปกระซิบเบาๆ ให้ได้ยินแค่สองคน



“เป็นไงบ้าง น้องโอเคไหม”



“โอเคนะพี่ แต่คงต้องดูกันยาวๆ แหละ บางคนเริ่มต้นดี สุดท้ายก็ขี้เกียจ”



“เฮ้อ นั่นสินะ” ภูมิส่ายหัวหน่อยๆ “ถ้าไม่อดทนก็คงยากหน่อย”



เขานั่งสอนน้องอีกครู่ใหญ่ หรือถ้าพูดให้ถูกคือไอ้วิทย์เป็นคนสอน ส่วนเขาแค่ช่วยเสริมบ้างเล็กน้อย เพราะเขามั่นใจว่ารุ่นน้องคนนี้เก่งพอจะสอนพื้นฐานได้สบายๆ



แต่แล้วภูมิก็เผลอเหลือบไปที่อีกมุมหนึ่งของห้อง ไอ้เพื่อนจากชมรมฟิล์มของเขาก็ยังนั่งดีดกีตาร์อยู่เหมือนเดิม แถมยังมีอุปกรณ์เสริมเป็นสแตนด์ตั้งโน้ตสีดำที่มีกระดาษวางอยู่แผ่นหนึ่ง และถ้าจำไม่ผิด...กระดาษแผ่นนั้นคือคอร์ดของเพลงล่าสุดที่วงของเขากำลังหัดเล่นไม่ใช่หรือ...



“ฮึ่ย...คอร์ดอะไรวะ” ปิงปองได้แต่พึมพำกับตัวเองขณะเพ่งมองกระดาษตรงหน้า ตอนแรกแค่เบื่อๆ กับการจับคอร์ดเดิมซ้ำๆ เลยคว้าโน้ตเพลงแถวนี้มาดีดเล่น นึกว่าจะไม่ยาก แต่ที่ไหนได้...แค่คอร์ดแรกเขาก็ไปไม่เป็นแล้ว



แต่แล้วโน้ตเพลงก็ถูกดึงออกไปด้วยฝีมือของรองประธานชมรมดนตรี ที่บัดนี้กำลังหรี่ตามองกระดาษในมือสลับกับคนที่นั่งบนอยู่ ก่อนเอ่ยถามเสียงเรียบ “เล่นเป็น?”



“ก็...ไม่”



“สมควร”



“โธ่ กูแค่หยิบมาดูเฉยๆ น่า ก็คอร์ดมันยากนี่หว่า” ปิงปองโอดครวญ ซึ่งดูน่าหัวเราะมากกว่าน่าสงสาร “มีเพลงไหนง่ายๆ ปะ กูขี้เกียจดีดคอร์ดอย่างเดียวแล้ว”



“เฮ้อ” ภูมิกลอกตาไปมา แต่ก็ยอมเลือกโน้ตเพลงที่เล่นไม่ยากนักมาให้ “ลองดูเพลงนี้ ตีคอร์ดเป็นจังหวะที่ไอ้วิทย์สอนนั่นแหละ อ่า...แป๊บนะ”



ปิงปองมองเพื่อนข้างตัวที่ก้มลงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ก่อนที่เขาจะสังเกตเห็นท่าทางแปลกๆ ของไอ้เพื่อนคนนี้ที่เหมือนจะหน้าแดงขึ้น ซ้ำยังดูประหม่าตอนกดรับสาย



“ฮะ...ฮัลโหล”



แล้วไอ้เสียงสั่นๆ นี่คืออะไรวะ ยังกับแฟนโทรมางั้นแหละ



ปิงปองคิดกับตัวเองเล่นๆ  เมื่อเห็นว่ารองประธานชมรมดนตรีที่ดูจริงจังตอนทำงาน กำลังแสดงอีกมุมหนึ่งซึ่งเขาไม่เคยเห็นมาก่อน จนอดสงสัยไม่ได้จริงๆ ว่าปลายสายเป็นใคร



และเท่าที่รู้จักกันมา...ไอ้ภูมิก็ไม่น่ามีแฟน



“วันนี้ไม่มีซ้อมน่ะ กลับเลยก็ได้ พี่จะได้ไม่ต้องรอ อืม โอเค งั้นเดี๋ยวผมออกไปเลย รถจอดข้างหน้าเหมือนเดิมใช่ไหมพี่ ...โอเคๆ”



พอวางสายปุ๊บ ภูมิก็หันไปเก็บกระเป๋าทันที แบบที่ลืมเพื่อนอีกคนไปเสียสนิท จนคนถูกลืมต้องร้องท้วงไว้



“เฮ้ยเดี๋ยวดิ จะกลับแล้วเหรอ”



“อืม วันนี้มีคนมารับ”



“ไปด้วยๆ”



ไม่รอให้อีกฝ่ายตอบรับหรือปฏิเสธ ปิงปองก็รีบวางกีตาร์ เก็บโน้ต เก็บสแตนด์ ก่อนจะหยิบกระเป๋าด้วยความรวดเร็ว



“เฮ้ย ทำไมต้องไปพร้อมกู” ภูมิแย้งขึ้นมาทันที ทว่าก็ได้รับคำตอบทันควัน



“กูจะกลับอยู่แล้วต่างหากเล่า” ปิงปองยิ้มเผล่ ลอยหน้าลอยตาตอบ “ไปหน้าโรงเรียนใช่ไหม เร็วๆ ดิ”



สุดท้ายภูมิก็ได้แต่ปล่อยเลยตามเลย ประธานชมรมฟิล์มเห็นดังนั้นก็ยิ้มร่า จัดการล็อกคอเพื่อนตัวเองแล้วเป็นฝ่ายเดินนำ ด้วยความที่ปิงปองตัวสูงกว่ามากจึงสามารถลากคอคนข้างๆ ให้เดินไปพร้อมกันได้สบาย



เมื่อมาถึงหน้าโรงเรียน ภูมิก็ชี้ไปที่รถคันหนึ่งซึ่งจอดอยู่ริมฟุตบาท “คันนั้นแหละ”



“เหยด! เบนซ์เลยเหรอวะ บ้านมึงรวยน่าดูนะเนี่ย”



“รถของเพื่อนพี่กูต่างหาก เขาผ่านทางนี้เลยแวะรับ” ภูมิตอบส่งๆ โดยไม่สนใจสายตาวาววับของเพื่อนข้างตัว



“แล้วเพื่อนของพี่มึงเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย”



“ผู้ชาย” เขากระชับเป้ที่สะพายไว้ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงงุนงง “ถามทำไมวะ”



“เปล๊า”



ถ้าเป็นผู้หญิงกูจะได้สรุปไงว่ามึงแอบมีแฟน แต่ถ้าเป็นผู้ชายมึงก็พ้นข้อหาแล้ว



ปิงปองแอบคิดกับตัวเอง โดยไม่รู้เลยว่าอีกไม่กี่นาทีต่อจากนี้...ความคิดเขาอาจเปลี่ยนไปจากเดิม



“อ้าวพี่โฟล์ค”



เสียงของเพื่อนข้างตัวที่ร้องออกมาอย่างประหลาดใจ ทำให้ปิงปองต้องหันไปตามเสียง ก่อนจะพบกับชายหนุ่มร่างสูงในชุดนักศึกษามหาวิทยาลัยกำลังเดินเข้ามาใกล้ มือข้างหนึ่งถือแก้วน้ำ ส่วนอีกข้างถือถุงกระดาษสีน้ำตาลสกรีนโลโก้ร้านฟาสต์ฟู้ด และสิ่งที่เตะตาเขามากที่สุดเห็นจะเป็นออร่าแห่งความดูดีที่แผ่ออกมาเต็มเปี่ยม แบบที่ปิงปองยืนยันได้ว่านักเรียนชายคนอื่นๆ ในโรงเรียนไม่มีใครดูดีเท่านี้อีกแล้ว



แต่ประเด็นคือ...ไอ้ภูมิหน้าแดงทำไมวะ



เขาได้แต่คิดอย่างสงสัย ขณะที่สายตาก็จ้องร่างสูงของคนตรงหน้าอย่างพินิจพิเคราะห์ แม้จะเห็นได้ว่าอีกฝ่ายมองเขากลับอย่างงงๆ  แต่เมื่อเขาไม่โต้ตอบอะไร ชายหนุ่มร่างสูงก็หันไปคุยกับเพื่อนของเขาแทน



“พี่มาถึงเร็วเลยไปซื้อมาให้ รอนานหรือยังครับ”



“เพิ่งมาเองพี่ กำลังจะเดินไปที่รถพอดี”



อื้อหือ...แล้วทำไมเพื่อนเขาต้องหน้าแดงกว่าเดิม แถมหลบสายตาด้วยวะ



“โอเคครับ งั้นไปขึ้นรถกัน”



โห...พอยิ้มแล้วเพอร์เฟคโคตร พี่แกเป็นนายแบบหรือไงวะ!



แต่ก่อนที่นายปิงปองจะรู้สึกกลายเป็นคนนอกมากกว่านี้ ชายหนุ่มผู้มาใหม่ก็หันมาทางเขาพร้อมเอ่ยด้วยความไม่แน่ใจ “ภูมิครับ แล้วคนนี้...”



“อ้อ เพื่อนผมเอง ชื่อปิงปอง”



“ปิงปอง...คนที่คุยโทรศัพท์กับภูมิเมื่อวานใช่ไหม” เสียงทุ้มเอ่ยเบาๆ คล้ายทวนความจำ ก่อนจะส่งยิ้มสุภาพให้เขา “สวัสดีครับ พี่ชื่อโฟล์คนะ”



“อ้อ ดีครับพี่” เขายิ้มกลับแทบไม่ทัน เพราะรู้สึกสะดุดกับประโยคก่อนหน้านี้ที่พี่โฟล์คพูด



เมื่อวานที่เขาคุยโทรศัพท์กับไอ้ภูมิงั้นหรือ...นั่นมันดึกแล้วนะ



...ดูท่าสองคนนี้คงสนิทกันมากกว่าที่เขาคิด...



แม้จะรู้สึกแปลกๆ อยู่บ้าง แต่ปิงปองก็สลัดความคิดนั้นออกไป ...จะคิดมากทำไมวะ ก็แค่ผู้ชายกับผู้ชาย ไอ้ภูมิเพื่อนเขาไม่ใช่เกย์เสียหน่อย



“แล้วปิงปองกลับยังไงครับ”



“ฮะ? อ้อ...” เมื่ออีกฝ่ายถามมาอย่างนั้นเขาจำต้องดึงสติกลับมา ก่อนเอ่ยตอบตามจริง “เดี๋ยวผมนั่งรถเมล์ไปสองสามป้าย แล้วก็ต่อรถตู้น่ะ”



“อ้อ ตรงที่เป็นคิวรถตู้ใช่ไหม” ภูมิพูดขึ้นมา แล้วจึงหันไปถามร่างสูงที่ยืนข้างๆ “เราก็ผ่านทางนั้นนี่นา ใช่ไหมพี่โฟล์ค”



“ใช่ครับ”



“งั้นไปด้วยกันไหมล่ะ” แล้วภูมิก็หันกลับมาถามเขาอย่างอารมณ์ดี คนถูกถามเม้มปากอย่างลังเลใจ ...ไม่ใช่ว่าไม่อยากไปหรอก ถ้าไปก็จะประหยัดค่ารถเมล์ได้ตั้งสิบบาท ติดแต่ว่าเกรงใจคนที่เพิ่งรู้จักกันอย่างพี่โฟล์คน่ะสิ



“นั่นสิ ไปด้วยกันก็ได้นะ พี่ผ่านอยู่แล้ว”



“เอ้อ...จะดีเหรอพี่ แหะๆ” พูดไปก็เหลือบไปมองรถเบนซ์คันสีดำเงาวับอย่างไม่แน่ใจ แต่พอได้รับคำยืนยันเป็นการพยักหน้าอย่างแข็งขันของไอ้ภูมิ กับรอยยิ้มสุภาพของพี่โฟล์ค ปิงปองก็พยักหน้าน้อยๆ ก่อนส่งยิ้มทะเล้นตามแบบฉบับของตัวเอง “งั้นรบกวนด้วยนะพี่ ผมคงไม่ได้ไปเป็นก้างขวางคอทั้งสองคนใช่ปะ ฮ่าๆ”



คนพูดน่ะพูดเล่น แต่คนฟังทั้งสองคนกลับชะงักไปทันที



“อ้าว ทำไมทำหน้าแบบนั้นกันล่ะ พูดเล่นเว้ยพูดเล่น” ปิงปองรีบแก้เมื่อเห็นอาการตาโตเป็นไข่ห่านของภูมิ ซึ่งพออีกฝ่ายรู้ตัวก็รีบเก็บอาการทันที คนพูดเล่นจึงหัวเราะลั่นตามหลังอีกรอบ “ฮ่าๆ ช็อกกันเลยดิ ขอโทษๆ จะไปกันยัง”



ปิงปองแสร้งทำหน้าระรื่นอย่างไม่คิดอะไรมาก ทั้งที่ต่อมความอยากรู้อยากเห็นกำลังแสดงอาการเต็มที่



และแน่นอน...คนอย่างไอ้ปิงปองเกิดสงสัยอะไรแล้ว รับรองมีเคลียร์!





------------------------------- TBC ------------------------------



สบายๆ ค่ะช่วงนี้ ให้ทั้งคนพี่คนน้องได้พักหัวใจกันหน่อย แฮ่



เจอกันวันเสาร์ค่า



CT.hamonigar


ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6

ออฟไลน์ Babyboys

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-2
น่ารัก
ไม่อยากให้ดราม่าเลย :katai1:

ออฟไลน์ CT.hamonigar

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0
Chapter 15 : ความอบอุ่น



            “งั้นตอนนี้ปิงปองก็กำลังทำโปรเจกต์กับภูมิอยู่ใช่ไหมครับ”



            “ถูกต้องนะคร้าบ” ปิงปองยิ้มร่า ตอบคำถามเสียงใส จนเจ้าของคำถามที่กำลังขับรถอดหัวเราะหน่อยๆ ไม่ได้



            “พวกผมทำร่วมกันสามชมรมน่ะ” ภูมิที่นั่งเบาะข้างคนขับพูดขึ้นมา ก่อนหันไปเหล่เพื่อนตัวเองที่นั่งเบาะหลัง “ไอ้ปิงปองเป็นประธานชมรมฟิล์ม ส่วนอีกชมรมคือชมรมการแสดง”



            แล้วปิงปองก็พยักหน้าตอบรับทันที “ใช่ๆ พี่โฟล์ครู้ปะว่าประธานชมรมการแสดงสวยโคตร ไอ้ภูมิงี้มองตาค้างเลย”



            กึก



            เกิดอาการชะงักขึ้นกับคนสองคน คนหนึ่งคือเจ้าของชื่อที่ถูกอ้างในประโยคข้างต้น ส่วนอีกคนคือร่างสูงเจ้าของรถที่เผลอกลั้นลมหายใจแวบหนึ่ง ภูมิทำหน้าเหลอหลาเหมือนตั้งตัวไม่ถูก ก่อนจะหันไปส่งสายตาคล้ายพยายามปฏิเสธข้อกล่าวหากับชายหนุ่มที่นั่งข้างๆ ซึ่งร่างสูงก็เพ่งสมาธิมองถนนด้วยสีหน้าเรียบนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนระบายยิ้มอ่อนโยนอย่างเป็นธรรมชาติ



            “จริงเหรอครับ พี่อยากเจอซะแล้วสิ”



            และแน่นอนว่าปฏิกิริยาทั้งหมด...อยู่ในสายตานายปิงปองคนนี้เรียบร้อย



            “ไว้พี่โฟล์คมารับไอ้ภูมิวันที่มีประชุมกันทั้งสามชมรมสิ ได้เจอแน่” เขายังส่งเสียงเจื้อยแจ้วต่อไป ไม่สนใจสายตาคุกรุ่นของเพื่อนจากชมรมดนตรีที่เหมือนจะแผ่รังสีอำมหิตมาให้



            “พูดพล่อยๆ นะมึง กูไม่เคยมองแซนดี้ตาค้างเสียหน่อย มีแต่มึงนั่นแหละมองทั้งแซนดี้ทั้งพี่หมวยตาเป็นประกายเชียว”



            “เอ้า มีของสวยๆ งามๆ ใกล้ตัวก็ต้องเสพสิวะ” ปิงปองพูดเหมือนเป็นเรื่องปกติ ก่อนจะทำท่าชะงัก “หรือว่า...มึงไม่สนใจผู้หญิง”



“เฮ้ย อะไรของมึงเนี่ย!”



ภูมิรีบโวยวาย รู้สึกเหมือนเด็กที่ถูกจับได้ว่าแอบกินขนม แต่ปิงปองก็ทำเพียงหัวเราะแล้วโบกมือไปมา



“กูล้อเล่นน่า”



ว่าแล้วก็ทำทีเป็นสนใจของกินที่เจ้าของรถซื้อมา จนคนโดนแกล้งต้องกัดปากตัวเองหน่อยๆ เบนหน้าหนีไปนอกรถอย่างกลัวจะหลุดพิรุธอะไรอีก



ในขณะเดียวกัน ประธานชมรมฟิล์มที่ทำทีเป็นสนใจแฮมเบอร์เกอร์ชิ้นโตก็กำลังลอบยิ้มกับตัวเองเบาๆ  รู้สึกว่าแกล้งแหย่เพื่อนตัวเองมากพอแล้ว จึงยอมเงียบเสียงลงโดยไม่เซ้าซี้อะไรเพิ่มเติม



เมื่อเห็นว่าบทสนทนาในรถเริ่มเงียบ โฟล์คที่ทำตัวเป็นปกติมาตลอดทางก็หันมาถามรุ่นน้องที่เพิ่งรู้จักกัน “แล้วนี่ปิงปองอยากเข้าคณะอะไรครับ”



“ผมเหรอ อืม...” เจ้าตัวทำทีเป็นลากเสียงยาวเหมือนครุ่นคิด ทว่าคำตอบต่อมาก็เปี่ยมด้วยความมั่นใจ “ก็ต้องนิเทศสิพี่”



ขวับ



เพียงได้ยินชื่อคณะที่คุ้นหู ภูมิก็หันกลับมาหาคนพูดทันที ดวงตาเบิกกว้างหน่อยๆ เพราะไม่เคยรู้มาก่อน



“อ้อ ที่สำคัญต้องเป็นเอกฟิล์มด้วยนะ การทำหนังน่ะเป็นชีวิตผมเลย” ปิงปองยังว่าต่อด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้ว ก่อนหันไปถามเพื่อนข้างตัวบ้าง “เออ ว่าแต่มึงอยากเข้าอะไรวะ ยังไม่เคยถามเลย”



หากเป็นเมื่อก่อน ถ้าเกิดมีคนที่ไม่ได้ซี้ปึ้กเหมือนไอ้ซันมาถามเรื่องคณะที่อยากเข้า ภูมิคงลังเลไม่น้อยในการตอบ แต่เวลานี้ร่างเล็กกลับพูดด้วยน้ำเสียงมั่นคง “กูก็อยากเข้านิเทศ”



“เฮ้ย บังเอิญว่ะ กูเพิ่งรู้นะเนี่ย อืม...ก็เหมาะกับมึงเหมือนกันนะ แล้วจะเข้าเอกอะไร”



“ยังไม่รู้เลย”



“ไม่รู้ได้ไง!  แต่ละเอกมันคนละเรื่องเลยนะเว้ย มึงชอบอะไรล่ะ”



“ก็...”



 ครั้งนี้ภูมิเริ่มลังเลจนเสียงเงียบหายไป ทว่าปิงปองก็ทำเพียงตบบ่าเพื่อนเบาๆ “เออ ยังไม่รู้ก็ไม่ต้องคิดมาก อยู่กับกูจะกลัวอะไรวะ กูจะช่วยมึงค้นหาตัวตนของมึงเอง!”



ภูมิหันไปมองไอ้ประธานชมรมฟิล์มอย่างไม่เชื่อสายตา ก่อนจะพึมพำ



“มึง...” เสียงสั่นๆ ของคนพูดทำให้ปิงปองยิ้มอย่างภาคภูมิใจ คิดว่าอีกฝ่ายคงซึ้งจนพูดไม่ออก ทว่าประโยคต่อมากลับทำเอาหน้าแทบคว่ำ “...มึงพูดดีๆ อย่างนี้เป็นด้วยเหรอวะ”



ไม่ทันที่ปิงปองจะโต้กลับ คนอายุมากกว่าที่จับพวงมาลัยอยู่ก็หลุดหัวเราะออกมาเบาๆ เรียกความสนใจจากเด็กสองคนให้หันไปมอง ก่อนที่ร่างสูงเจ้าของรถจะเอ่ยต่อ



“ถ้าอย่างนั้นทั้งสองคนลองไปเข้าค่ายเวิร์คช็อปของมหา’ลัยพี่ไหมครับ” โฟล์คพูดอย่างเชิญชวนขณะเปิดไฟเลี้ยวเพื่อเบี่ยงรถเข้าเลนซ้าย ไม่ลืมว่าจะต้องแวะส่งรุ่นน้องที่ติดรถมาด้วย “พอดีพี่มีเพื่อนอยู่คณะนิเทศ มันบอกว่าประมาณอาทิตย์หน้าจะเปิดรับสมัคร สนใจกันหรือเปล่า”



“สน!” ปิงปองตอบรับอย่างรวดเร็ว ดวงตาแพรวพราวขึ้นทันใด “แล้วจะมีเวิร์คช็อปเรื่องทำหนังด้วยใช่เปล่า”



“ครับ น่าจะมี”



“งั้นไปเลย! ไปกันนะไอ้ภูมิ ไปกันๆ”



ภูมิพยักหน้าง่ายๆ  ปิงปองจึงกำมือเซย์เยส เป็นจังหวะเดียวกับที่รถเบนซ์คันหรูจอดเทียบฟุตบาท คนที่ติดรถมาจึงขอบคุณเจ้าของรถเป็นการใหญ่ แล้วลงจากรถอย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้ถูกรถคันที่ตามหลังว่าได้



ดังนั้นภายในรถยนต์ส่วนตัวจึงเหลือผู้โดยสารเพียงคนเดียวกับคนขับรถอีกหนึ่ง ภูมิมองร่างสูงที่นั่งด้านหน้าแล้วอมยิ้มด้วยความรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก นับวันยิ่งประทับใจกับหลายสิ่งหลายอย่างที่อีกฝ่ายมอบให้ จนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยออกไปเบาๆ



“ขอบคุณนะพี่โฟล์ค”



พูดแล้วก็หันมองไปนอกรถเพื่อกลบเกลื่อนความอาย จึงไม่ทันเห็นว่าร่างสูงที่นั่งข้างๆ แอบชำเลืองตามอง ก่อนจะยิ้มออกมาเมื่อเห็นใบหน้าแดงแจ๋ของคนตัวเล็ก



“ด้วยความยินดีครับ”



เสียงทุ้มตอบอย่างน่าฟัง ก่อนจะปล่อยให้ความเงียบเข้าปกคลุมโดยมีเสียงเพลงจากวิทยุดังคลอเบาๆ











 

การสอบกลางภาคเรียนผ่านพ้นไปด้วยดี พร้อมๆ กับโปรเจกต์หนังสั้นของภูมิที่คืบหน้าขึ้นเรื่อยๆ  ตอนนี้เขาได้ทั้งบทหนังและตัวนักแสดงเรียบร้อยแล้ว ด้วยความที่ทางโรงเรียนไม่เคยมีกิจกรรมอย่างนี้มาก่อนจึงมีคนให้ความสนใจค่อนข้างมาก ถือเป็นแรงผลักดันให้ภูมิและประธานชมรมอีกสองชมรมตั้งใจกับโปรเจกต์นี้มากขึ้น



...แค่นี้ยังไม่พอหรอก ต้องรอตอนเสร็จสมบูรณ์ถึงจะรู้ว่ารอดหรือร่วง...



ความคิดที่ทุกคนต่างก็มีเหมือนกัน และหวังจะให้เป็นคำแรกมากกว่าคำที่สอง



ทว่าตอนนี้ สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของภูมิได้มากกว่าคงไม่พ้นเครื่องคอมพิวเตอร์ตรงหน้าที่กำลังอยู่ในหน้าจอเตรียมแสดงผล ซึ่งเจ้าตัวถึงกับยอมอดข้าวเที่ยงเพื่อวิ่งมาจองเครื่องในห้องคอมพิวเตอร์ของโรงเรียนก่อนคนอื่น



“เอาล่ะนะ...”



ภูมิลำคอแห้งผาก ขณะบังคับเม้าส์หนูให้เลื่อนไปตรงข้อความ ‘ตรวจสอบผลการประกวด’ แล้วหลับตาปี๋ก่อนกดเอ็นเธอร์



ฟึ่บ



“วู้ววว!!!”



และแล้วคนที่ลุ้นระทึกมาตั้งแต่เช้าก็ชูมือขึ้นสุดแขนพร้อมกับร้องอย่างลืมตัว จนเพื่อนสนิทอย่างซันที่เพิ่งเปิดประตูเข้ามาต้องรีบโดดมากอดคอ ก่อนจะชะโงกหน้ามาดูผลด้วยอีกคน



“ไหนวะ...เฮ้ย! นายไตรภูมิ เลิศคุณากิจ ...ได้รางวัลรองชนะเลิศ! เจ๋งว่ะ!” ซันพูดพร้อมกับเขย่าไหล่คนข้างตัวแรงๆ  ซึ่งคนถูกเขย่าก็พยักหน้ารับอย่างพูดอะไรไม่ออก นอกจากอาการดีใจที่เอ่อล้นขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน



เพราะภาพถ่ายที่เขาส่งประกวดตั้งแต่หลังกลับจากทะเลเพิ่งจะประกาศผลเอาวันนี้ หลังจากเช็คเมื่อคืนแล้วว่าจะประกาศผลทางเว็บไซต์ตอนเที่ยงตรง คาบเรียนตอนเช้าจึงผ่านไปโดยที่คนเรียนไม่ได้มีสมาธินัก จนกระทั่งออดบอกเวลาพักเที่ยง ภูมิก็รีบวิ่งมาที่ห้องคอมพิวเตอร์โดยไม่รอเพื่อนซี้ ก่อนจะพบเรื่องที่คงทำให้เขายิ้มแก้มปริไปทั้งวัน



...ก็นี่มันรางวัลใหญ่รางวัลแรกในชีวิตของเขานี่นา...



“อ้าว แล้วนี่มึงจะทำอะไร” ซันถามขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นเพื่อนข้างตัวคว้าโทรศัพท์มากดยุกยิก ซึ่งคนถูกถามก็ยิ้มแล้วบอกด้วยแก้มแดงๆ



“ส่งข้อความบอกพี่โฟล์ค”



“อื้อหือ หมั่นไส้ว่ะ สวีทกับแฟนจนลืมเพื่อนอย่างกูแล้วล่ะสิ”



ภูมิเงยหน้าขึ้นมาส่งสายตาอาฆาตให้ ก่อนจะพึมพำเบาๆ “อะไรของมึง ไม่ใช่แฟน แค่รุ่นพี่”



“หืม อย่าบอกนะว่า...” ซันหรี่ตาลงเล็กน้อยด้วยความไม่แน่ใจ “มึงกับพี่โฟล์คยังไม่ได้เป็นแฟนกันเหรอ”



“ก็บอกว่ารุ่นพี่!”



ซันได้แต่ส่ายหัวแรงๆ กับอาการปากแข็งของเพื่อนสนิท ปากบอกไม่ใช่แฟน แต่ความสัมพันธ์พัฒนาขึ้นทุกวันจนนึกว่าอยู่บ้านเดียวกัน ก็พี่โฟล์คเล่นไปรับไปส่งแทบทุกครั้งที่ไอ้ภูมิออกนอกบ้าน นี่เขายังงงอยู่เลยว่าพี่ภาคย์ไม่สงสัยสักนิดหรือ



และที่งงมากกว่าคือ...ไอ้พี่โฟล์คมัวทำอะไรอยู่วะ ทำไมไม่ชัดเจนสักที



“อ้าว แล้วนี่ยิ้มอะไร” ซันถามด้วยความแปลกใจ เมื่อจู่ๆ คนข้างตัวก็มองโทรศัพท์ในมือแล้วอมยิ้ม



“พี่โฟล์คตอบกลับมาว่า เก่งมากครับ”



ซันฟังแล้วได้แต่กลอกตาไปมาอย่างนึกเบื่อหน่าย



เออ...คนมีความรักนี่มันโลกชมพูจริงๆ  ให้มันได้อย่างนี้สิ!











 

“ถ้างั้นเรื่องเวิร์คช็อปนักแสดงก็เอาตามนี้แล้วกัน โอเคไหม”



“โอเคเลยจ้ะ ชมรมเราจะรีบจัดการให้นะ”



แซนดี้ หญิงสาวประธานชมรมการแสดงพยักหน้ารับเร็วๆ  จนปิงปองที่ตอนนี้ตัดผมเกรียนจนหัวเหมือนลูกปิงปองสมชื่อก็ส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร แล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นไอ้รองประธานชมรมดนตรีกำลังเดินยิ้มมาแต่ไกล จึงรีบโบกไม้โบกมือทัก



“ไอ้ภูมิ! ทางนี้ๆ”



“ไง” ภูมิเอ่ยทักทันทีที่มาถึง หอบเล็กน้อยด้วยความเหนื่อยจากการรีบวิ่ง “โทษทีว่ะอาจารย์เพิ่งปล่อย คุยถึงไหนกันแล้ว”



“แซนดี้บอกว่าหาครูมาทำเวิร์คช็อปนักแสดงได้แล้ว อาทิตย์หน้าคงเริ่มได้เลย”



“อืม...ก็ดีนะ สอบกลางภาคกันเสร็จหมดแล้ว งานก็น่าจะรีบเดิน” ภูมิพยักหน้าหงึกหงัก แล้วหันไปทางหญิงสาวหนึ่งเดียวในกลุ่ม “ขอบคุณนะแซนดี้ เหนื่อยหน่อยล่ะ”



“ไม่เป็นไร เราสนุกดี” หญิงสาวตอบรับด้วยความจริงใจ



ทั้งสามคนนั่งคุยงานกันต่อจนกระทั่งเกือบห้าโมง เมื่อได้ผลสรุปงานเป็นที่พอใจแล้วจึงแยกย้ายกันกลับบ้าน โดยที่แซนดี้มีคนจากที่บ้านขับรถมารับ ส่วนภูมิกับปิงปองก็พากันเดินมาที่หน้าโรงเรียนเพื่อรอให้คนคนเดิมมารับ



หลังจากที่ปิงปองติดรถพี่โฟล์คไปวันนั้น วันไหนที่เขาต้องอยู่ประชุมเรื่องโปรเจกต์กับภูมิจนเย็นก็มักจะได้ติดรถคันเดิมกลับเสมอจนกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว



“นั่นไง จอดอยู่ที่เดิมเลย” ปิงปองพูดเมื่อเห็นรถเบนซ์คันสีดำจอดอยู่ริมฟุตบาธ แล้วพอกระจกรถเลื่อนลงพร้อมกับคนข้างในที่โบกมือขึ้นทักทาย เขาก็อดจะพึมพำต่อไม่ได้ “พี่โฟล์คก็หล่อได้หล่อเอาเนอะ ใครได้เป็นแฟนนี่โชคดีตาย”



ภูมิที่เหมือนจะชินกับคำพูดทำนองนี้ของเพื่อนได้แต่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ รีบเดินเข้าใกล้รถอย่างเกรงว่าร่างสูงที่อุตส่าห์มารับจะรอนาน



“ขอโทษนะพี่โฟล์ค เสร็จช้าไปหน่อย” ภูมิเปิดประตูข้างคนขับแล้วขึ้นไปนั่ง ปล่อยให้ปิงปองขึ้นไปนั่งเบาะหลังคนเดียว



“ไม่เป็นไรครับ พี่รอแป๊บเดียวเอง” โฟล์คยิ้มให้อย่างไม่ถือสา ก่อนจะหันไปทางถุงกระดาษสีน้ำตาลตรงเบาะหลัง “พี่ซื้อมาฝาก ทั้งสองคนกินสิ”



“อีกแล้วเหรอพี่โฟล์ค บอกแล้วว่าไม่ต้องซื้อก็ได้ พวกผมเกรงใจ” ภูมิบอกด้วยสีหน้าไม่สบายใจ พี่โฟล์คอุตส่าห์ขับรถมารับ แถมยังต้องเสียเงินซื้อของกินให้อีก



ทว่าโฟล์คกลับส่ายหน้าเบาๆ ขณะสตาร์ทรถ “อย่าคิดมากสิครับ เรื่องแค่นี้เอง ปิงปองก็กินได้เลยนะ”



“งั้นผมกินนะพี่ ขอบคุณมากเลย”



แล้วมีหรือที่คนอย่างปิงปองจะเกรงใจ แหม...ก็คุ้นหน้าค่าตากันแล้ว เรื่องเกรงใจน่ะไม่มีในหัวหรอก



“แล้วนี่ทั้งสองคนดูผลกันหรือยัง”



“หืม?”



ทั้งภูมิและปิงปองร้องขึ้นมาพร้อมกัน หันไปมองร่างสูงเจ้าของคำถามด้วยความงุนงง



“อ้าว นี่ลืมกันแล้วหรือ ก็วันนี้...”



“เฮ้ย!” ไม่ทันที่โฟล์คจะพูดจบ ภูมิก็ร้องขึ้นมาอีกครั้งเหมือนนึกออก แล้วหันไปหาเพื่อนที่นั่งด้านหลังแล้วบอกรัวเร็ว “ไอ้นั่นไง ไอ้นั่นอะ!”



“ฮะ...ไอ้นั่นอะไรวะ” ปิงปองพูดทวนอย่างงงๆ ก่อนจะเบิกตากว้าง “เฮ้ย...”



“ค่ายนิเทศไงมึง!” ว่าแล้วภูมิก็ทำท่าเหมือนอยากทึ้งหัวตัวเอง โอเค เขาตื่นเต้นกับผลการประกวดภาพถ่ายของวันนี้มากไปหน่อยจนลืมว่าทางค่ายก็จะประกาศผลคนที่ผ่านวันเดียวกัน “พี่โฟล์คๆ บอกผลผมหน่อยสิ นะครับ”



“อืม...บอกดีไหมเนี่ย”



โห...พี่โฟล์คเล่นตัวว่ะ



ภูมิได้แต่ทำหน้าน่าสงสาร ก็คนมันไม่มีสมาร์ทโฟนนี่นา จะเช็คผลทางเน็ตตอนนี้ก็ไม่ได้ ว่าแล้วก็พยายามคร่ำครวญต่อ



“นะครับพี่โฟล์ค น้า”



“อืม...” โฟล์คยังคงแกล้งลากเสียงยาวขณะมองถนนตรงหน้า ก่อนจะหลุดยิ้มออกมาเมื่อเหลือบไปเห็นสายตาอ้อนวอนจากร่างเล็กที่นั่งข้างๆ จนใจอ่อน “...ก็ถ้าทั้งสองคนไม่ผ่าน คิดว่าพี่จะนั่งยิ้มอยู่ตรงนี้หรือ”



“เยส!” คราวนี้เสียงปิงปองนำมาไกลกว่าใครเพื่อน มือทั้งสองข้างยกขึ้นชกอากาศรัวๆ  ก็แน่ล่ะ ในเมื่อมหาวิทยาลัยของพี่โฟล์คมีชื่อเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ คนที่ส่งใบสมัครเข้าค่ายก็มีเยอะเป็นพัน แต่คัดเหลือแค่ไม่กี่ร้อยคนเท่านั้นเอง



ไม่คิดไม่ฝันทั้งนั้นแหละว่าจะได้!



เมื่อรถเบนซ์คันหรูจอดเทียบฟุตบาทที่เดิม ปิงปองก็รีบลงจากรถด้วยท่าทียินดีปรีดา บอกขอบคุณพี่โฟล์คเสียยกใหญ่แล้วเดินไปคิวรถตู้ที่ประจำ จนในรถเหลือเพียงสองคนเหมือนเช่นทุกครั้ง และครั้งนี้คนตัวเล็กก็ดูจะตื่นเต้นไม่น้อย



“ขอบคุณมากๆ นะพี่โฟล์ค ขอบคุณจริงๆ”



ทั้งได้ที่สองของการประกวด ทั้งผ่านเข้าค่าย ทำไมวันนี้โชคดีจังวะเนี่ย!



“พี่ไม่ได้ทำอะไรสักหน่อยครับ” พอเห็นว่าอีกฝ่ายดูมีความสุขขนาดนี้โฟล์คก็อดยิ้มตามไม่ได้ พร้อมทั้งเอื้อมมือไปยีหัวคนข้างตัวอย่างอดใจไม่อยู่ “แล้วนี่ไม่ตัดผมหรือครับ เดี๋ยวก็โดนจับเข้าห้องปกครองหรอก”



“ไม่ล่ะ ยังไม่อยากหัวเกรียนเหมือนไอ้ปิง เดี๋ยวหมดหล่อ”



โฟล์คหลุดหัวเราะกับคำพูดทีเล่นทีจริง และเมื่อสบโอกาสที่รถติดไฟแดง เขาก็โน้มตัวเข้าใกล้ร่างเล็กจนใบหน้าเกือบแนบชิดกัน ใช้ปลายจมูกคลอเคลียบริเวณพวงแก้มใสอย่างจงใจจนคนถูกสัมผัสตัวแข็งทื่อ ได้แต่นั่งนิ่งๆ ทั้งที่ร้อนผ่าวไปหมดทั้งตัว



“หล่อไม่หล่อไม่รู้ รู้แต่ว่าคนนี้น่ะ...น่ารักที่สุดเลยครับ” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยชิดใบหู จนคนฟังยิ่งหน้าแดงก่ำ พยายามควบคุมจังหวะหัวใจไม่ให้เต้นแรงไปมากกว่านี้



ฟอด



ภูมิหลับตาปี๋เมื่อรู้สึกถึงความร้อนที่สัมผัสลงมาตรงแก้มแผ่วเบา แม้จะปลอบใจตัวเองว่า แค่หอมแก้มนะ มากกว่านั้นก็เคยทำมาแล้วนะ แต่ก็ยังห้ามอาการใจเต้นที่เกิดขึ้นไม่ได้สักที



“แล้วก็...” โฟล์คเลื่อนริมฝีปากมากระซิบข้างหูคนตัวเล็กอีกครั้ง “...คิดถึงนะครับ”



แล้วสัญญาณไฟจราจรสีเขียวก็ปรากฏขึ้นพอดี ร่างสูงจึงจำต้องผละออกอย่างแสนเสียดาย



...แม้จะเป็นเพียงการสัมผัสแผ่วเบา ไม่ได้มีความลึกซึ้งวาบหวาม แต่สำหรับพวกเขาทั้งสองคน...แค่นี้ก็อบอุ่นเกินพอ



---------------------------------- TBC ---------------------------------



หวานกับกรุบกริบ เป็นช่วงลมสงบค่ะ

ส่วนตอนหน้า...ฮึก คนเขียนใจบางเหลือเกิน เอาใจช่วยพี่โฟล์คกับน้องภูมิไปด้วยกันนะคะ เดี๋ยวก็ผ่านไปค่ะ นี่เกินครึ่งเรื่องแล้วว

เจอกันวันอังคารค่ะ :)



CT.hamonigar




ออฟไลน์ jimmyjimmy

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1962
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-17
ปิงปอง., มัน ชัดเจน อยู่ แล้ว.. สงสัย อะไร.. เค้าชอบกัน... 5555

ออฟไลน์ CT.hamonigar

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0

Chapter 16 : ความลับไม่มีในโลก



“สวัสดีคร้าบ! ไหนขอเสียงเด็กนิเทศหน่อยเร้ววว”



ในห้องประชุมใหญ่ของคณะที่มักจะเป็นที่รวมตัวของเหล่านักศึกษา บัดนี้ได้แปรสภาพเป็นสถานที่จัดกิจกรรมเข้าค่ายขนาดย่อม โดยมีรุ่นพี่หลายสิบชีวิตยืนกระจายทั่วห้องกว้าง ตรงกลางมีนักเรียนนับร้อยที่ได้รับการแบ่งกลุ่มและนั่งกันอย่างเป็นระเบียบ โดยทุกคนให้ความสนใจไปยังจุดเดียวกันคือรุ่นพี่ที่ถือไมโครโฟนอยู่ด้านหน้า



“ไหนๆ กลุ่มไหนมากันครบแล้วบ้าง กลุ่มสีเขียวครบไหมคร้าบ!”



“ครบแล้วค่า”



การสันทนาการเพื่อละลายพฤติกรรมของน้องๆ ดำเนินต่อไป โดยที่ภูมิรู้สึกสนุกขึ้นเรื่อยๆ แม้จะแอบกลัวในตอนแรกที่รู้ว่าตัวเองอยู่คนละกลุ่มกับไอ้ปิงปอง แต่ตอนนี้ทั้งเพื่อนใหม่และกิจกรรมตรงหน้ากลับดึงดูดความสนใจได้มากกว่า



การเข้าค่ายนิเทศฯ ครั้งนี้เป็นการเข้าค่ายแบบไปเช้ากลับเย็น โดยเข้าค่ายติดกันสองวันคือวันเสาร์และวันอาทิตย์ โชคดีที่พ่อเหมือนจะไม่อยากขัดขวางเรื่องนี้อีก แม้จะมีหน้าตึงบ้างตอนเขาขอมาเข้าค่าย แต่สุดท้ายก็ไม่ว่าอะไร



หลังจากที่กิจกรรมดำเนินไปหลายชั่วโมง ประตูด้านหลังของห้องประชุมที่ใช้สำหรับสต๊าฟก็เปิดออกเบาๆ  โฟล์คค่อยๆ ชะโงกหน้ามองด้านใน แล้วจึงก้าวเข้ามาเมื่อเห็นว่าทุกคนยังให้ความสนใจกับกิจกรรม ก่อนจะเดินไปหาเพื่อนที่นั่งเฝ้ากล่องข้าวเที่ยงของน้องอยู่



“อ้าว มาด้วยเหรอ” คนที่นั่งอยู่หันมาถามด้วยความแปลกใจ แต่ก็พยักหน้าให้นั่งเก้าอี้ตัวข้างๆ



“อืม รุ่นน้องกูติด กูเลยมาดู” โฟล์คตอบ ‘ธันวา’ เพื่อนที่รู้จักกันตั้งแต่งานรับน้องเฟรชชี่ ซึ่งความจริงแล้วธันวาเรียนอยู่คณะบัญชีฯ แต่เพราะมีเพื่อนสนิทเป็นหนึ่งในสต๊าฟที่จัดงานนี้เลยอาสามาช่วยทำงานเล็กๆ น้อยๆ



“หืม คนไหนวะ” ธันวาถามขึ้นมาพลางทำท่าชะเง้อคอมอง ซึ่งโฟล์คก็มองตาม และน่าแปลก...ที่เขาเห็นร่างขาวๆ ของคนตัวเล็กโดดเด่นกว่าใครท่ามกลางคนมากมาย



“ชื่อภูมิกับปิงปอง”



โฟล์คไม่รู้ตัวเลยว่าน้ำเสียงที่เอ่ยออกไปอ่อนโยนขนาดไหน ยิ่งนึกถึงใบหน้าขาวตี๋ที่อาจจะดูธรรมดาสำหรับคนทั่วไป เขากลับคิดว่ามันน่ารักอย่างบอกไม่ถูก อีกทั้งหลายเดือนมานี้ที่ใกล้ชิดกันมากขึ้น ทำให้เขาเริ่มแน่ใจความรู้สึกของตัวเอง ทว่าไม่ได้เอ่ยออกไป



เพราะความจริงตัวเขายังมีปัญหาบางอย่างที่ยังแก้ไม่ตก ทำให้ไม่สามารถพัฒนาความสัมพันธ์ไปมากกว่านี้ได้



ทั้งๆ ที่ปกติเขาไม่เคยเป็นอย่างนี้ ไม่ว่าจะมีปัญหาอะไรเขาก็สามารถวางแผนและผ่านไปได้ทุกเรื่อง แต่มีเรื่องนี้เรื่องเดียวที่เขากลับคิดไม่ออกว่าควรทำอย่างไร จึงได้แต่ปล่อยให้ค้างคามาตลอด



ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้ว่าท้ายที่สุดแล้วมันต้องมีบทสรุป แต่ในเมื่อตอนนี้ยังมีเวลา เขาก็ขอใช้เวลาตรงนี้ให้เต็มที่เพื่อให้ได้บทสรุปที่ดีที่สุดแล้วกัน



“ก็พอคุ้นอยู่” ธันวาเอ่ยอย่างคลับคล้ายคลับคลา เหมือนได้เขียนป้ายชื่อน้องว่าปิงปองอยู่เหมือนกัน แล้วชื่อปิงปองก็ใช่ว่าจะโหลเสียเมื่อไหร่ ทว่าเขาก็ยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ ก่อนหันไปถามเพื่อนข้างตัว “แล้วนี่มึงจะอยู่ถึงกี่โมง เดี๋ยวก็พักทานข้าวแล้ว จะเข้าไปหาน้องมึงไหมล่ะ”



โฟล์คมองตามหลังของภูมิที่กำลังทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อนๆ ด้วยความชั่งใจครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยออกมา



“ไม่ล่ะ กูไม่อยากกวนสมาธิน้องเขา” ...เพราะภูมิตั้งใจกับการเข้าค่ายครั้งนี้มาก จึงอยากให้ร่างเล็กเก็บเกี่ยวประสบการณ์กับเพื่อนและรุ่นพี่ให้เต็มที่ ส่วนเขาขอดูอยู่ห่างๆ ก็พอ



“ตามใจ เออ มีกล่องข้าวสต๊าฟเหลืออยู่ มึงมากินด้วยกันสิ”



“อย่าเลย เงินก็ไม่ได้ออก เดี๋ยวกูโดนเขม่นพอดี” โฟล์คตอบทีเล่นทีจริง ธันวาจึงพยักหน้า



“เดี๋ยวกูเตรียมกล่องข้าวให้น้องก่อน” เมื่อเห็นสัญญาณจากฝ่ายสันทนาการว่ากำลังจะปล่อยให้น้องกินข้าว เขาที่เป็นฝ่ายสวัสดิการก็รีบจัดแจงกล่องข้าวกับเพื่อนๆ อีกหลายคน โดยที่โฟล์คขอตัวไปทำธุระอย่างอื่น



กล่องข้าวที่เตรียมไว้วันนี้จะเหมือนกันหมด ยกเว้นแต่น้องคนที่ทานมังสวิรัติกับคนที่เป็นอิสลามซึ่งพวกเขาจัดแยกไว้ให้แล้ว นอกนั้นก็เดินเรียงแถวมารับกล่องข้าวอย่างเป็นระเบียบ ท่ามกลางเสียงพูดคุยกันอย่างสนุกสนานของทั้งรุ่นพี่และรุ่นน้องที่เริ่มจะสนิทกัน



“ข้าวอะไรเหรอพี่”



เสียงรุ่นน้องที่เอ่ยถามทำให้ธันวาเงยหน้าขึ้นมา ก่อนจะเห็นคนที่ตัดผมเกรียนกำลังฉีกยิ้มให้พร้อมกับยกกล่องข้าวขึ้นมาประกอบคำถาม



“กะเพราไก่ไข่ดาว” ธันวาตอบง่ายๆ ก่อนจะก้มลงเพื่อหยิบกล่องข้าวให้คนที่ต่อคิวด้านหลัง ทว่าสายตากลับเหลือบเห็นป้ายชื่อสีเหลืองที่คล้องคอรุ่นน้องคนนี้อยู่



‘ปิงปอง’ งั้นเหรอ...หรือจะเป็นรุ่นน้องที่ไอ้โฟล์คพูดถึง



ความคิดที่เขาไม่ได้ใส่ใจมากนัก นอกจากส่งกล่องข้าวให้คนต่อไป ไม่สนว่าเมื่อกี้จะตอบคำถามห้วนไปหรือเปล่า ก็เขาเป็นของเขาอย่างนี้อยู่แล้วนี่นะ เขาถึงเลือกที่จะช่วยฝ่ายสวัสดิการเตรียมข้าวเตรียมน้ำให้น้อง แทนที่จะเป็นฝ่ายสันทนาการหรือประจำฐานกิจกรรม



“อ๋อ ขอบคุณครับ”



ปิงปองรับคำก่อนเดินไปนั่งที่มุมหนึ่งของห้อง รอเพื่อนตัวเองที่ถูกปล่อยทีหลังอย่างไม่รีบร้อน ปากก็ฮัมเพลงเบาๆ อย่างอารมณ์ดี



ไม่นานนักภูมิก็เดินตามมา จ้องกล่องข้าวในมือไม่วางตาขณะพึมพำด้วยความกังวล “นี่ข้าวอะไรวะ”



“กะเพราไก่ไข่ดาว” ปิงปองตอบกลับได้ทันที ไม่ลืมต่อท้ายแบบเล่นๆ “อาหารสิ้นคิดน่ะ”



“รู้ได้ไง มึงยังไม่ได้เปิดเลย”



“พี่หน้าตายบอกมา”



คำตอบที่ทำเอาคนถามขมวดคิ้วมุ่น หันไปมองตามสายตาของเพื่อน ก่อนจะร้องอ๋อขึ้นมา “คนนั้นน่ะเหรอ แค่หน้านิ่งเฉยๆ ล่ะมั้ง”



“หน้านิ่งไปว่ะ ถ้ามาอยู่ฝ่ายสันคงแปลกพิลึก” แล้วปิงปองก็ไม่ลืมหัวเราะตบท้าย ก่อนจัดแจงเปิดกล่องข้าวแล้วลงมือจัดการอย่างรวดเร็ว เพราะมีเวลาพักแค่ชั่วโมงเดียวเท่านั้น แน่นอนว่าคนอย่างเขามีเป้าหมายอื่นนอกจากแค่มาเข้าค่ายแน่ๆ



ก็อย่างเช่น...จีบ ‘พี่ฝน’ รุ่นพี่สาวสวยที่เป็นพี่ประจำกลุ่มเขาไงล่ะ



คิดไปก็แอบยิ้มกรุ้มกริ่มไป นึกถึงหน้าหวานๆ ของหญิงสาวที่มีรอยยิ้มเหมือนนางฟ้า แค่พูดแนะนำตัวไม่กี่ประโยคก็ทำเอาเขาและผู้ชายอีกหลายคนมองกันตาปรอย



ผู้หญิงสวยๆ นี่ทำให้กระชุ่มกระชวยได้จริงๆ แฮะ



“กูเอากล่องข้าวไปทิ้งนะ” ไม่นานคนที่มีเป้าหมายในใจก็จัดการอาหารตรงหน้าหมดอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหันไปบอกคนที่นั่งข้างๆ แล้วลุกขึ้นเดินไปทางมุมหนึ่งของห้องที่มีถุงขยะขนาดใหญ่ให้น้องๆ เอากล่องข้าวไปทิ้ง แล้วก็มี...รุ่นพี่สาวสวยยืนอยู่ด้วย



“อ้าว น้องปิงปอง” เพียงแค่ปิงปองเดินเข้าไปใกล้ หญิงสาวที่จำได้ว่าเด็กคนนี้เป็นรุ่นน้องในกลุ่มก็หันมาทักทายเสียงใส ก่อนจะหันไปบอกเพื่อนร่างสูงที่คุยกันอยู่ “คนนี้เป็นน้องในกลุ่มเราน่ะธัน ขอเวลาแป๊บนะ”



“อืม” ธันวาตอบรับอย่างไม่ว่าอะไร



ปิงปองมองท่าทีของสองคนนี้อย่างครุ่นคิด ...หรือว่ารุ่นพี่สาวสวยที่เขาเล็งไว้จะเป็นแฟนกับไอ้รุ่นพี่หน้าตายคนนี้



หล่อหรือ...ก็นิดหน่อย แต่สู้เขาไม่ได้แน่ๆ  ส่วนสูงก็...ธรรมดา ถ้าคาดคะเนไม่ผิดก็คงสูงกว่าเขาไม่กี่เซนต์ และที่สำคัญ...หน้านิ่งไร้อารมณ์แบบนี้คงไม่มีผู้หญิงคนไหนอยากได้เป็นแฟนหรอก



ข้อสรุปที่ปิงปองเข้าข้างตัวเองแบบไม่อายใคร ก่อนจะหันไปคุยกับรุ่นพี่คนสวยอย่างหวังกอบโกยคะแนนเต็มที่











 

เพียงได้ยินเสียงประกาศว่ากิจกรรมของวันนี้หมดลงแล้ว ภูมิก็แทบจะทิ้งแขนลงข้างลำตัวอย่างหมดแรง หันไปโบกมือลาเพื่อนใหม่หลายคนที่กำลังแยกย้ายกันกลับบ้าน แต่ยังไม่ทันได้ขยับไปไหน สัมผัสที่แตะแผ่วเบาบนไหล่ก็ทำให้เขาหันไปมอง ก่อนจะอุทานด้วยความยินดี



“พี่โฟล์ค มานานหรือยังเนี่ย”



“ก็พอสมควรครับ นั่งดูใครบางคนพรีเซนท์งานอยู่” โฟล์คส่งยิ้มให้บางๆ พูดไปถึงกิจกรรมสุดท้ายที่ให้ตัวแทนแต่ละกลุ่มออกมานำเสนองานที่ได้รับมอบหมาย ภูมิได้ยินดังนั้นก็อดรู้สึกอายขึ้นมาหน่อยๆ ไม่ได้ ...แม้จะยินดีไม่น้อยก็เถอะที่ได้รับเลือกเป็นตัวแทนกลุ่ม



“พี่โฟล์ค...เอ่อ มารับผมเหรอ” ภูมิถามด้วยความไม่แน่ใจ จนอีกฝ่ายส่งมือมายีหัวทุยๆ อย่างเอ็นดู



“ครับ แล้วนี่ปิงปองจะกลับด้วยกันหรือเปล่า”



“แป๊บนะ” ภูมิบอกแล้วเดินไปถามเพื่อน ก่อนจะเดินกลับมาส่ายหน้า “ไม่ล่ะ มันบอกว่าจะนั่งรถเมล์กลับเอง”



โฟล์คพยักหน้ารับคำ จากนั้นทั้งสองคนจึงพากันเดินออกจากหอประชุมโดยมีสายตาของปิงปองมองตามอย่างสนอกสนใจ



ก็พอจะเดาความสัมพันธ์ของสองคนนี้ออกน่ะนะ ถ้าถามว่ารู้สึกยังไงก็คงต้องตอบว่าเฉยๆ  เขาไม่คิดว่าการที่ผู้ชายสองคนจะชอบกันเป็นเรื่องผิดแปลกอะไร แต่สำหรับเขา...เขาขอเลือกผู้หญิงสวยๆ น่ารักๆ แทนแล้วกัน



คิดได้ดังนั้นก็ชะเง้อคอมองหาเป้าหมายคนสวยทันที แล้วจึงปรี่เข้าไปพร้อมรอยยิ้มกว้าง



“พี่ฝนทำอะไรอยู่เหรอครับ”



“อ้าว น้องปิงปอง” หญิงสาวหันมาทักเสียงใส ก่อนพูดต่ออย่างเป็นมิตร “พี่กำลังช่วยเพื่อนเก็บของจ้ะ แล้วนี่เรายังไม่กลับเหรอ”



“ยังครับ ถ้ายังไงให้ผมช่วยไหม”



“เอ๋ จะดีเหรอ”



โธ่ ทำตาโตอย่างนี้ ไอ้ปิงปองได้ละลายพอดี



ความคิดที่ปิงปองเก็บเอาไว้ ก่อนจะสร้างภาพลักษณ์รุ่นน้องที่แสนดีต่อ “นะครับ พี่ฝนตัวเล็กแค่นี้ สวยอีกต่างหาก ให้ผมช่วยเถอะนะ”



“คิกๆ เกี่ยวกันตรงไหนเนี่ย” รุ่นพี่สาวสวยหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ยอมให้ปิงปองไปช่วยเพื่อนคนอื่นของเธอเก็บโต๊ะเก็บเก้าอี้ที่อีกมุมหนึ่งของห้อง เพราะตอนนี้เธอแค่กำลังเก็บกวาดเศษขณะที่หล่นตามพื้นซึ่งไม่หนักหนาเท่าไหร่สำหรับผู้หญิง แม้ปิงปองจะอยากอยู่ช่วยทางนี้มากกว่า แต่ก็ยอมรับคำคนสวยแต่โดยดี



ทว่าเมื่อเห็นรุ่นพี่อีกคนที่เขาจำหน้าได้กำลังพับขาโต๊ะตัวยาวเพื่อยกไปเก็บ คนอัธยาศัยดีก็เข้าไปทักทันที



“สวัสดีครับพี่คนที่แจกข้าว”



ธันวาเงยหน้าขึ้นมาทันทีอย่างไม่คิดว่าจะมีใครเรียกเขาแบบนี้ แต่ก็ไม่ได้แสดงความแปลกใจผ่านสีหน้า เพียงแค่ตอบรับนิ่งๆ ตามมารยาท “ยังไม่กลับเหรอ”



ปิงปองเลิกคิ้ว ตอบด้วยน้ำเสียงกวนประสาท



“ถ้าผมกลับไปแล้วจะมายืนตรงนี้ได้ยังไงล่ะ ไม่ใช่ผีนะพี่ อ้อ...โต๊ะท่าทางจะหนักนะพี่ ผมช่วยดีกว่า”



ว่าแล้วคนอายุน้อยกว่าเดินเข้าไปใกล้แสดงความเอื้ออารีเต็มที่ จนร่างสูงที่โดนกวนประสาทชะงักไปนิดหนึ่ง แต่เพราะไม่อยากใส่ใจคนประเภทนี้มากจึงตอบรับง่ายๆ “อืม”



ธันวาเดินขยับไปยกฝั่งหนึ่งของโต๊ะ ปล่อยให้รุ่นน้องเข้ามาช่วยพยุงอีกฝั่งหนึ่ง แล้วจึงเดินยกกันไปเงียบๆ โดยไม่พูดอะไร



แต่ก็เงียบได้แค่ไม่นานนั่นแหละ



“พี่ฝนสวยมากเลยนะพี่ น่ารักด้วย ไม่รู้ว่ามีแฟนหรือยัง”



ธันวามองคนพูดด้วยสายตาเรียบเฉย ไม่คิดจะตอบคำถามที่เหมือนพูดลอยๆ ของอีกฝ่าย ซึ่งเจ้าของคำถามก็ไม่ทุกข์ร้อน พูดไปเรื่อยเปื่อยตามใจคิด



“ยิ้มทีสวยเหมือนนางฟ้าเลยด้วย ผมว่านะต่อให้มีแฟนหรือยังไม่มี ก็คงมีผู้ชายมาขายขนมจีบกันตรึม ขนาดผมเพิ่งเจอพี่ฝนวันแรกนะ โอ้โห...ไม่อยากจะพูด สตั๊นท์ไปตั้งแต่เสียงหวานๆ พูดว่า ‘สวัสดีค่ะ’ แล้วล่ะพี่ ไม่ใช่แค่ผมนะ พนันได้ว่าไอ้พวกผู้ชายที่มาเข้าค่ายวันนี้คงไม่ต่างกัน แต่ละคนมองพี่ฝนอย่างกับไฮยีน่า...”



“ฝนมีแฟนแล้ว”



“หืม” ปิงปองเลิกคิ้วทันใดกับคำแทรกนิ่งๆ ของคนที่เงียบมาตลอดทาง



ธันวาถอนหายใจยาว ก่อนเอ่ยประโยคเดิมอีกรอบ “ฝนมีแฟนแล้ว เป็นรุ่นพี่ปีสอง เดือนคณะนิติ”



“จริงดิ! โหย....เสียดายอะ” ปิงปองร้องออกมา สีหน้าแสดงความเสียดายอย่างสุดซึ้ง แต่กระนั้นก็ยังชะโงกคอมองคนสวยที่กำลังหัวเราะร่วนกับเพื่อนด้วยแววตายิ้มกริ่ม ก่อนเอ่ยต่ออย่างไม่ทุกข์ร้อนอะไร “แต่แอบรักคนมีแฟนก็ไม่ใช่เรื่องผิดนี่นา ไม่ได้ไปแย่งใครเขาสักหน่อย ใช่ไหมพี่”



คำถามที่ทำให้ธันวาชะงักทันที ความรู้สึกบางอย่างไหลวูบเข้ามา แต่ก็ถูกปัดทิ้งราวกับเจ้าของพยายามปฏิเสธ แล้วจึงเอ่ยตอบรุ่นน้องด้วยท่าทีปกติ



“อืม”



“นั่นแน่ ท่าทางอย่างนั้น อย่าบอกนะว่าพี่แอบชอบพี่ฝนน่ะ!”



กึก



ไอ้เด็กนี่...



ธันวาสบถในใจแรงๆ  ดวงตาคมเป็นประกายวาววับอย่างที่ไม่ได้มองใครแบบนี้มานาน แต่เพราะครั้งนี้...เพราะไอ้เด็กตรงหน้าที่กวนประสาททั้งที่ยังไม่สนิทกัน แถมยังพูดมากเสียจนน่ารำคาญ



อีกทั้งมันดังล่วงรู้ความในใจของเขา ที่เป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงอาสามาช่วยฝนทำค่ายครั้งนี้ทั้งที่ไม่ใช่ค่ายของคณะตัวเอง



“น้องกลับบ้านไปเถอะ พี่จัดการต่อเอง” แล้วสุดท้าย คนที่พยายามข่มอารมณ์คุกรุ่นในใจก็เอ่ยปากไล่เสียงเรียบ ทั้งยังส่งกระแสบังคับผ่านสายตา จนปิงปองหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนจะยอมปล่อยมือจากโต๊ะตัวยาวที่แบกไว้



“โอเค งั้นผมไปก่อนนะพี่ สวัสดีครับ” ไม่ลืมยกมือไหว้ตามมารยาท แล้วเดินไปหยิบกระเป๋าเป้ที่วางทิ้งไว้ตรงมุมห้อง ก่อนเดินออกจากหอประชุมโดยไม่ลืมแวะบอกลาพี่ฝนคนสวยอีกครั้ง



ทว่าก่อนที่จะก้าวออกไป สายตาก็ดันเหลือบไปเห็นรุ่นพี่หน้านิ่งที่เขากวนประสาทเอาไว้กำลังอารมณ์ไม่ดีอย่างเห็นได้ชัด จนเขาได้แต่นึกขอโทษขอโพยในใจ



...เห็นหน้านิ่งๆ แล้วหมั่นไส้นี่หว่า ไม่นึกว่าไอ้ที่แซวเล่นๆ จะดันเป็นเรื่องจริง ยังไงก็ขอโทษนะพี่ธัน...











 

“วันนี้เป็นยังไงบ้างครับภูมิ สนุกไหม”



อีกทางด้านหนึ่งในรถเบนซ์คันหรู โฟล์คซึ่งทำหน้าที่ขับรถก็ถามคนข้างตัวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน จนคนได้รับอดใจสั่นน้อยๆ ไม่ได้ ก่อนจะงึมงำตอบ “ก็สนุกดีนะ ผมไม่เคยทำอย่างนี้มาก่อน”



“แล้วรู้สึกมั่นใจในตัวเองขึ้นไหมครับ เกี่ยวกับคณะในฝันน่ะ”



“อื้ม มั่นใจขึ้นเยอะเลย” ภูมิตอบอย่างจริงใจ ก่อนเงยหน้าแล้วส่งยิ้มให้ “ขอบคุณนะพี่โฟล์ค”



คำขอบคุณที่โฟล์คไม่ตอบรับอะไรมาก นอกจากส่งมือมายีหัวคนตัวเล็กเบาๆ อย่างที่ชอบทำ



ไม่นานโฟล์คก็เลี้ยวรถมาจอดริมรั้วบ้านที่คุ้นเคย แต่เพราะไฟในบ้านที่ปิดมืดแถมยังไม่มีรถสักคันทำให้เขาหันไปถามร่างเล็กด้วยความสงสัย “ไม่มีใครอยู่บ้านเลยเหรอ”



ภูมินิ่งคิดไปนิด ก่อนจะพยักหน้าเมื่อนึกขึ้นได้



“ไม่มีแฮะ วันนี้พ่อทำงานเลิกดึก ส่วนพี่ภาคย์บอกว่าจะออกไปเที่ยวกับเพื่อน คงกลับเช้าเลยมั้ง”



“งั้นให้พี่อยู่เป็นเพื่อนจนกว่าคุณอาดนัยจะกลับไหม”



“เฮ้ย ไม่เป็นไรพี่” ภูมิปฏิเสธทันควัน แม้จะยอมรับว่าอยากอยู่กับพี่โฟล์คต่ออีกนิด แต่ความเกรงใจมีมากกว่า อีกทั้งเขาก็ยัง...เขินด้วยล่ะมั้ง



“ไม่ได้หรอก อยู่บ้านมืดๆ คนเดียว ถ้ามีโจรจะทำยังไงครับ” โฟล์คไม่ฟังคำค้านแม้แต่น้อย ร่างสูงจัดการดับเครื่องยนต์ทันที แน่นอนว่าภูมิก็ได้แต่ปล่อยเลยตามเลย เพราะเขารู้ว่าที่พี่โฟล์คทำอย่างนี้เป็นเพราะห่วงนั่นแหละ



แม้บางครั้งพี่โฟล์คจะแสดงอาการห่วงมากไปนิด เพราะถึงอย่างไรเขาก็เป็นผู้ชายที่ดูแลตัวเองได้ แต่พอได้รับความห่วงใยจากคนข้างตัวอยู่บ่อยครั้งก็ปฏิเสธไม่ลงว่า...อุ่นใจขึ้นมาก



ภูมิใช้กุญแจไขประตูบ้านเข้ามา ก่อนจะค่อยๆ คลำทางเพื่อหาสวิตซ์ไฟ พอไฟในบ้านสว่าง เขาก็พาตัวเองเข้าไปในครัวขณะหันมาบอกร่างสูงที่เดินตามมา



“พี่โฟล์คไปนั่งรอที่โซฟาก็ได้ เดี๋ยวผมเอาน้ำมาให้”



โฟล์คพยักหน้ารับ เดินไปนั่งรอที่โซฟากลางห้องนั่งเล่นตามคำบอก ขณะเดียวกันก็เผลอสำรวจภายในบ้านที่เขาไม่ได้เข้ามานาน มีของใช้บางอย่างถูกเปลี่ยนไปบ้าง แต่ส่วนมากยังคงเหมือนเดิม



รอไม่นานเจ้าของบ้านก็เดินออกมาจากห้องครัวพร้อมน้ำส้มแก้วหนึ่ง ทำให้โฟล์คหลุดยิ้มออกมาจนได้



“เหมือนวันแรกที่เจอกันเลยนะครับ”



“หืม” ภูมิขมวดคิ้วด้วยความงุนงง ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อนึกขึ้นได้ ร้องขึ้นมาโดยที่แก้มติดจะแดงน้อยๆ “เฮ้ย จะรื้อฟื้นทำไมล่ะพี่โฟล์ค น่าอายจะตาย”



...ก็วันนั้นเขาดันทำน้ำส้มหกใส่คนที่อุตส่าห์มาสอนพิเศษน่ะสิ



“น่าอายตรงไหนกัน” โฟล์คหัวเราะเบาๆ กระตุกแขนคนที่เพิ่งวางแก้วลงบนโต๊ะให้เข้ามานั่งใกล้ๆ  แล้วยื่นหน้าไปกระซิบริมหูอย่างจงใจจนคนฟังหน้าแดงก่ำ “...พี่ว่าน่ารักดีออก น่ารักตั้งแต่วันแรกเลย”



“อะ...อะไรกันเล่า” ภูมิพยายามขยับตัวออกห่าง ติดที่ฝ่ามือใหญ่ของอีกฝ่ายไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ  แล้วยิ่งเผลอสบสายตาอ่อนโยนของพี่โฟล์คแล้วก็ยิ่งดิ้นไม่ออกเข้าไปใหญ่ จนเกิดเป็นความประหม่าที่โฟล์คต้องยิ้มขำ ก่อนเอื้อมมือไปลูบศีรษะร่างเล็กเบาๆ ด้วยความเอ็นดู



“แต่ตอนนี้ภูมิดูมีความสุขมากกว่าวันแรกที่เจอกันนะ”



เขาเห็นว่าภูมิชะงักไปหน่อย ก่อนจะเม้มปากเหมือนรู้สึกไม่ดีเมื่อนึกถึงเรื่องเก่าๆ  แต่โฟล์คก็ทำเพียงกระชับมือเล็กไว้ ไม่ได้เอ่ยปลอบอะไรไปมากกว่านี้ เพราะเขาคิดว่าปล่อยให้ภูมิก้าวผ่านความรู้สึกเหล่านี้ไปด้วยตัวเองจะดีกว่า



“ใช่...ผมมีความสุข” ภูมิเอ่ยออกมาเบาๆ สีหน้าเริ่มดีขึ้น “ผมไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนตั้งแต่ขึ้นมอปลาย ผมไม่เคยคิดว่าพ่อจะยอมรับ ผมไม่เคยหวังอะไรเลย แต่พี่รู้ไหม...พี่เปลี่ยนมันทั้งหมด”



ภูมิเงยหน้าขึ้นสบตากับโฟล์ค แม้จะรู้สึกประหม่า แต่ภูมิก็แน่ใจในสิ่งที่กำลังจะพูด



“ผมดีใจที่มีพี่นะพี่โฟล์ค”



โฟล์คนิ่งไปกับคำพูดจริงใจของร่างเล็ก ความรู้สึกบางอย่างเอ่อล้นขึ้นมา บางอย่างที่พิเศษและรู้สึกได้กับคนเพียงคนเดียว จนโฟล์คแทบลืมไปว่าตัวเองกำลังอยู่ที่ไหน และสิ่งที่กำลังจะทำนั้นสมควรหรือไม่



รู้ตัวอีกที...ใบหน้าของคนสองคนก็ใกล้กันจนรับรู้ได้ถึงลมหายใจ ก่อนโฟล์คจะแนบริมฝีปากตัวเองเข้ากับอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา



จูบครั้งที่สองของทั้งคู่เป็นไปอย่างนุ่มนวล ตรงกันข้ามกับจังหวะการเต้นของหัวใจที่เหมือนจะถี่รัวขึ้นเรื่อยๆ  โฟล์คเอื้อมมือมาประคองใบหน้าของภูมิก่อนขยับตัวเข้าแนบชิด จนภูมิเผลอเอนหลังตามแรง แผ่นหลังเล็กสัมผัสได้ถึงความนุ่มของโซฟาพร้อมกับอุณหภูมิร่างกายที่สูงขึ้นของทั้งสองฝ่าย



“อะ...อื้อ”



ภูมิหลุดเสียงคราง เรียกสติของโฟล์คที่คร่อมตัวอยู่ด้านบนให้ชะงักมือที่อยู่ใต้ชายเสื้อของร่างเล็ก พร้อมกับจิตใต้สำนึกที่กำลังส่งเสียงเตือนว่า...มันมากเกินไปแล้ว



ไม่ได้นะไอ้โฟล์ค มึงทำเหี้ยอะไรอยู่รู้ตัวไหม!



ทว่าก่อนที่จะชักมือออก ร่างสูงก็ลอยวืดขึ้นด้วยแรงกระชากจากหัวไหล่



พลั่ก!!!



“อึ้ก!” โฟล์คหน้าหันไปอีกด้านพร้อมกับความชาที่โหนกแก้ม ไม่ทันรับรู้ว่าอะไรเป็นอะไร เสียงตวาดของเพื่อนสนิทก็ดังก้องหู



“มึงทำเหี้ยอะไรวะไอ้โฟล์ค!!!”





-------------------------------- TBC ---------------------------



ความลับไม่เป็นความลับแล้วค่ะ

มาพูดถึงปิงปองกันหน่อย เหมือนจะเคยเกริ่นไปแล้วว่าน้องมีคู่ พี่ธันวาของเรานั่นเอง แต่คู่นี้จะเจอกันอีกทีก็ตอนขึ้นมหา'ลัยค่ะ เลิฟไลน์จะเริ่มเดินในบทสุดท้ายของเรื่องนี้พอดี มีแพลนจะเขียนแต่น่าจะอีกพักใหญ่เลยค่ะ เพราะหลังจากพี่โฟล์คกับน้องภูมิจบก็มีเรื่องอื่นจ่อคิวเตรียมให้ปั่นลงแล้ว แฮ่ ฝากติดตามล่วงหน้าเลยนะคะ /กราบงามๆ

พี่ภาคย์รู้แล้วจะเกิดอะไรขึ้น เป็นอีกจุดเปลี่ยนสำคัญของเรื่องเลยนะ แล้วก็เข้าสู่ช่วงสุดท้ายของเรื่องแล้วด้วยค่ะ  ดีใจที่มีนักอ่านทุกคนอยู่ด้วยกันมาถึงตรงนี้นะคะ ดีใจจริงๆ ^^

เจอกันวันพฤหัสค่ะ

CT.hamonigar

ออฟไลน์ CT.hamonigar

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0
Chapter 17 : หัวใจที่เจ็บปวด



ภายในห้องนั่งเล่นสี่เหลี่ยมดูแคบไปถนัดตาเมื่อมีร่างของคนสามคนเผชิญหน้ากัน ภูมิใจร่วงไปอยู่ที่ตาตุ่ม เมื่อสัมผัสได้ว่าอารมณ์ของพี่ชายในตอนนี้รุนแรงเหมือนพายุ ทว่าเจ้าตัวก็พยายามสะกดกลั้นอารมณ์ตัวเองไว้ มองน้องชายกับเพื่อนสนิทที่หน้าซีดลงทุกขณะด้วยแววตาฉุนเฉียวและไม่เข้าใจ



ใครเข้าใจก็บ้าแล้ว แค่กลับเข้าบ้านมาเอาของที่ลืมไว้ ดันมาเจอสองคนนี้กำลังจูบกัน...และดูเหมือนจะเลยเถิดยิ่งกว่านั้น



“ไอ้ภาคย์ ใจเย็นๆ ก่อนนะ...”



“เย็นเหี้ยไรวะ!”



ในขณะที่โฟล์คพยายามรวบรวมสติแล้วพูดเพื่อให้อีกฝ่ายอ่อนลง ภาคย์กลับตวาดแทรกขึ้นมาจนคนที่กำลังพูดต้องเงียบเสียงลง กลืนคำอธิบายทั้งหมดลงคอ เมื่อสัมผัสได้ว่าเพื่อนเขาตอนนี้ไม่พร้อมฟังอะไรทั้งนั้น



ภูมิยิ่งหน้าซีดลงกว่าเดิม นานมากแล้วที่เขาไม่ได้เห็นพี่ชายโกรธขนาดนี้ ยิ่งเป็นการตอกย้ำความจริงที่ว่า...พี่ภาคย์เกลียดเกย์มากขนาดไหน



พี่ภาคย์...เกลียดสิ่งที่เขากำลังเป็น



ความคิดนั้นทำให้ภูมิรู้สึกร้อนผ่าวรอบดวงตา แม้เจ้าตัวจะพยายามกลั้นมันไว้ แต่ก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาของโฟล์คที่จ้องมองมาด้วยความเป็นห่วง



“ภูมิ...”



“อย่าเข้าใกล้น้องชายกู!”



ทว่าก่อนที่ชายหนุ่มจะได้เข้าไปปลอบประโลม คนที่กำลังโมโหขั้นสุดก็ตวาดลั่น จนโฟล์คต้องชะงัก ยอมถอยห่างจากคนตัวเล็กที่นั่งกลั้นก้อนสะอื้นบนโซฟา แล้วเบือนหน้ามาสบสายตาเพื่อนสนิท แต่ภาคย์กลับเลือกที่จะเมินสายตานั้น แล้วหันไปหาน้องชายตัวเองแทน



“ภูมิ...มึงไม่ได้เต็มใจใช่ไหม” ภาคย์พยายามข่มอารมณ์ไว้ ถามด้วยน้ำเสียงที่คิดว่าเป็นปกติที่สุด



“ผม...”



“ตอบกูมาสิวะ! ว่าไอ้โฟล์คมันบังคับมึง มึงไม่ได้คิดเหี้ยอะไรกับมันทั้งนั้น แล้วกูจะต่อยมันให้เอง!”



“อย่า...อย่านะพี่ภาคย์”



คำตอบที่ตั้งใจจะพูดหายเข้าไปในลำคอทันที เปลี่ยนเป็นการส่ายหน้าพัลวัน ซ้ำน้ำเสียงที่ห้ามปรามยังสั่นด้วยความกลัว จนภาคย์หรี่ตาลง คำตอบของคำถามที่ค่อยๆ รับรู้ได้เองทำให้อารมณ์ของชายหนุ่มที่คิดว่าเย็นลงแล้วเพิ่มขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว



พลั่ก!!!



ไม่ทันที่ใครจะได้ขยับตัว ภาคย์ก็ถลาเข้าไปซัดเพื่อนสนิทอีกหมัดแรงๆ ด้วยอารมณ์ทั้งหมดที่มี ทว่าก่อนที่คนโดนซัดจะล้มลงกับพื้น ภาคย์ก็กระชากคอเสื้ออีกฝ่ายขึ้นมาแล้วตวาดก้อง



“มึงจะหลอกน้องกูทำเหี้ยอะไร ทั้งๆ ที่มึงมีมิ้นท์อยู่แล้ว!!!”



กึก



ราวกับเวลาในห้องหยุดหมุน ไม่ใช่แค่โฟล์คที่แน่นิ่งไปกับคำถามนั้น แต่ภูมิที่ลุกขึ้นจากโซฟาทันทีที่เห็นอีกฝ่ายโดนต่อยก็ชะงักไปเช่นกัน ชื่อของคนที่ไม่รู้จักไหลเข้าสมองช้าๆ พร้อมกับคำถามที่เกิดขึ้นว่า



มิ้นท์...คือใคร



“ไอ้ภาคย์...กูขอร้อง”



น้ำเสียงอ่อนแรงของโฟล์คดึงความคิดของภูมิให้กลับมา ลางสังหรณ์บางอย่างกำลังร้องเตือน อีกทั้งสีหน้าของพี่โฟล์คที่ราวกับจะขอไม่ให้พี่ชายของเขาพูดอะไรบางอย่างก็ยิ่งย้ำชัดถึงลางสังหรณ์นั้น จนภูมิเผลอกัดริมฝีปากแน่น แววตาที่เริ่มมีน้ำตาคลอหน่วยสั่นระริก มองพี่ชายตัวเองสลับกับคนที่คิดว่าเป็นคนพิเศษด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก



“หึ น้องกูไม่รู้เรื่องมิ้นท์สินะไอ้โฟล์ค”



สายตาของน้องชายตัวเองทำให้ภาคย์เดาได้ไม่ยาก โฟล์คหลบตาคนที่กำปกเสื้อเขาอยู่ทันที



เขาคิดไว้อยู่แล้วว่าสักวันจะต้องบอกเรื่องนี้กับภูมิ...แต่ต้องไม่ใช่ตอนนี้ ไม่ใช่ตอนที่เรื่องนี้ไม่ได้ออกมาจากปากเขาเอง



แต่จะให้เขาพูดทุกอย่างออกมาตอนนี้...เขาก็ยังคิดคำพูดที่เหมาะสมไม่ออกเช่นกัน



ภาคย์แค่นยิ้มกับท่าทางเหมือนยอมแพ้ของคนตรงหน้า ก่อนจะปล่อยมือจากคอเสื้ออีกฝ่าย แล้วล้วงโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมา ไม่นานนักข้อมูลที่ต้องการก็ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ ชายหนุ่มเหลือบตามองเพื่อนสนิทที่นั่งกองที่พื้นแวบหนึ่ง ก่อนชูภาพในโทรศัพท์ให้น้องชายที่ยืนขาสั่นอยู่ข้างโซฟาให้ดูเต็มตา



ภาพของพี่โฟล์คกับผู้หญิงคนหนึ่งที่ดูสนิทกันมาก...มากจนทำให้ภูมิรู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบ แต่นั่นยังไม่เท่าคำอธิบายที่ออกมาจากปากพี่ชาย



“นี่แหละมิ้นท์ แฟนไอ้โฟล์ค”



“!!!”



ประโยคที่บอกชัดเจนถึงสถานะของคนทั้งคู่ จนน้ำตาที่กลั้นไว้ไหลลงมาอย่างห้ามไม่อยู่ ร่างทั้งร่างทรุดลงบนโซฟา ทว่าก็ยังพยายามบังคับสายตาให้มองไปยังชายหนุ่มที่นั่งกองกับพื้น ราวกับจะถามถึงความจริง หรืออย่างน้อย...ก็เป็นคำโกหกที่ทำให้เขาสบายใจ



บอกเขาสิ...บอกเขาว่าที่พี่ภาคย์พูดมันไม่จริง



ถ้อยคำที่เว้าวอนผ่านดวงตา ความหวังที่ริบหรี่ราวกับเป็นฟางเส้นสุดท้ายทำให้โฟล์ครู้สึกหายใจแทบไม่ออก ร่างสูงทำได้เพียงขบกรามแน่น ทว่ากลับไม่สามารถเอ่ยอะไรออกไปได้อย่างที่ใจคิด



ทั้งที่อยากลุกไปหา อยากสวมกอด อยากปฏิเสธว่าเรื่องทั้งหมดมันไม่จริง แต่สิ่งที่เขาทำได้ตอนนี้มีเพียง...



“...พี่ขอโทษ”



“ฮึก”



เพียงเท่านั้น สิ่งที่ภูมิกลั้นไว้ทั้งหมดก็ทะลักออกมาราวกับเขื่อนแตก ทั้งน้ำตา...ความเสียใจ...ความผิดหวัง...จนตัดสินใจหมุนตัวแล้ววิ่งขึ้นบันไดราวกับอยากหนีจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด



“ภูมิ! ฟังพี่ก่อน ภูมิ!”



ไม่ทันที่โฟล์คจะได้ขยับตัวลุกตาม ภาคย์ก็เป็นฝ่ายผลักร่างสูงของเพื่อนสนิทเต็มแรงก่อนจะตวาดลั่น



“อย่ายุ่งกับน้องกู!”



“แต่กูรักภูมิ” โฟล์คยืนยันหนักแน่น สีหน้าแสดงความร้อนใจอย่างปิดไม่มิดเมื่อมองไปยังทิศที่ร่างเล็กเพิ่งวิ่งหายไป แต่ภาคย์กลับทำเพียงแค่แค่นยิ้ม



“รักมัน...แต่ก็หลอกมันเนี่ยนะ”



“กูไม่ได้หลอกภูมิ!”



“แค่ไม่ได้บอกว่ามึงมีแฟนแล้ว...หึ” คำย้อนที่ทำเอาโฟล์คสะอึก ในเมื่อความจริงกำลังตีแสกหน้าว่า...เขาไม่ได้บอกภูมิจริงๆ



“กูไม่ได้รักมิ้นท์” ดังนั้น นี่จึงเป็นสิ่งเดียวที่โฟล์คพูดออกไปได้ “กูไม่เคยรักมิ้นท์ กูรักภูมิ”



“มึงคิดว่าผู้ชายกับผู้ชายจะรักกันได้เหรอวะ!” ภาคย์ตวาดแทรกขึ้นมาทันที ทั้งยังขุดความเชื่อที่เขามีมาตั้งแต่ไหนแต่ไรและคงไม่เปลี่ยนง่ายๆ มาโต้ ดวงตาวาวโรจน์ขึ้นด้วยความโกรธปนกับความผิดหวัง “กูไม่เคยคิดเลยว่ามึงจะเป็นพวกผิดเพศแบบนี้ มึงมีแฟนเป็นผู้หญิงอยู่ดีๆ แล้วจะเปลี่ยนทำไมวะ! อยากเปลี่ยนบรรยากาศหรือไง แล้วมึงก็มาลากน้องกูให้หลงผิดไปกับมึงเหรอวะไอ้เหี้ย!”



“กูบอกแล้วไงว่ากูรักภูมิ!” โฟล์คยังยืนยันด้วยคำเดิม น้ำเสียงแข็งกระด้างขึ้นด้วยอารมณ์โกรธจากคำพูดดูถูกของเพื่อนสนิท



“รักน้องกูเหรอ” ภาคย์ทำสีหน้าเยาะราวกับคำพูดของอีกฝ่ายเป็นเรื่องตลก “รักแล้วทำไมทำน้องกูเสียใจขนาดนั้นวะ ก่อนจะทำอะไรมึงคิดบ้างไหม!”



ภาพของคนที่ร้องไห้ปรากฏขึ้นมาทันทีจนโฟล์คชะงัก รู้สึกเจ็บราวกับหัวใจโดนบีบ ยิ่งเมื่อได้ยินคำพูดที่ตอกย้ำว่าเขาทำให้คนตัวเล็กเสียใจขนาดไหนก็ยิ่งทำให้เขาเถียงไม่ออก จนไม่อาจต้านแรงของเพื่อนสนิทที่เข้ามากระชากคอเสื้อเขาให้ลุกขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะดันอย่างรุนแรงไปทางประตูหน้าบ้านที่เปิดค้างไว้



“อย่ามาให้กูเห็นหน้าอีก!”



โฟล์คได้ยินเพียงเท่านั้น ก่อนจะถูกปิดประตูใส่หน้าอย่างไม่ปราณี



เขา...ทำพลาดเอง



โฟล์คกำหมัดแน่นจนเล็บแทบจะจิกลงไปในเนื้อ ใช่...เป็นเขาเองที่พลาด เพราะเขาห่วงความรู้สึกภูมิเกินไป เพราะเห็นว่าปัญหายังอยู่ไกลตัว จึงเลือกที่จะปัดมันทิ้ง และรอเวลาที่เหมาะสมในการแก้ปัญหา



แต่เพราะความไม่คิดหน้าคิดหลังให้ดี ทุกอย่างถึงได้รวนไปหมด จนเกิดความผิดพลาดครั้งใหญ่ในชีวิต



พลาด...ที่ทำให้คนที่รักที่สุดต้องเสียใจ



พลาด...ที่ทำให้คนที่รักที่สุดต้องร้องไห้



พลาด...ที่ทำให้คนที่รักที่สุดหมดความไว้ใจในตัวเขาอย่างสิ้นเชิง











 

 “ฮึก...ฮึก...”



ภายในห้องนอนขนาดเล็ก เสียงร้องไห้ที่แสดงชัดถึงความเจ็บปวดดังก้องทั่วทั้งห้อง โดยที่เจ้าตัวไม่มีความคิดจะกักเก็บไว้อีกต่อไป เพราะตอนนี้ข้างในมันเจ็บ...มันปวดไปหมด ทรมานจนอยากจะเอามีดแทงตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า เผื่อว่าความเจ็บนั้นจะช่วยบรรเทาความเสียใจจากความจริงที่เพิ่งรับรู้



ความจริงที่ว่า...คนที่เขาไว้ใจที่สุดหลอกเขามาโดยตลอด



“ภูมิไม่เหลือใครจริงๆ แล้วใช่ไหมแม่...ไม่เหลือใครแล้ว...ฮึก” คำตัดพ้อที่ออกมาพร้อมกับเสียงสะอื้นฟังดูราวกับจะขาดใจ ภูมิได้แต่กัดริมฝีปากตัวเองแน่น ฝืนตัวมองฝ่าม่านน้ำตาไปยังหัวเตียงที่มีกล้องถ่ายรูปสีดำสนิทตั้งอยู่ กล้องที่เป็นเหมือนตัวแทนของคนที่จากไป...คนที่เป็นที่ยึดเหนี่ยวของเขาในเวลานี้



ทั้งๆ ที่เขาไม่เคยเปิดโลกส่วนตัวให้ใครเห็นนอกจากแม่ แม้แต่กับไอ้ซัน...เขาก็ไม่ได้เปิดเผยทุกอย่าง พี่โฟล์คเป็นคนแรกที่เขายอมให้ก้าวเข้ามาสัมผัส มารู้จักตัวตนของเขา และเป็นคนแรกที่เขาวางใจจะมอบหัวใจไว้พักพิง



แต่พี่โฟล์คมีคนอื่นอยู่แล้ว...พี่โฟล์คไม่เคยคิดเหมือนเขาเลยใช่ไหม



ทั้งๆ ที่พี่โฟล์คเป็นคนแรกที่เขาตั้งใจจะรัก หรือบางที...อาจจะเผลอรักไปแล้ว



เพราะถ้าไม่รัก...คงไม่เจ็บขนาดนี้หรอก



“พี่เห็นผมเป็นตัวอะไรกันแน่วะพี่โฟล์ค...”



เขามันก็แค่ของเล่นฆ่าเวลา...อย่างนั้นสินะ



ภูมิไม่แน่ใจว่าคืนนั้นเขาร้องไห้หนักขนาดไหน รู้เพียงว่าอยากจะปลดปล่อยความรู้สึกทั้งหมดที่มี ปลดปล่อยความเสียใจทั้งหมดที่เจอให้ออกไปในคืนนี้ ให้หายไปกับน้ำตาที่เขาจะเสียคืนนี้เป็นครั้งสุดท้าย และบอกกับตัวเองว่า...ไม่มีอีกแล้ว



ความไว้ใจที่จะมอบให้ใครสักคน...ไม่มีอีกแล้ว











 

“เฮ้ยซัน เห็นไอ้ภูมิปะ”



ในเช้าวันจันทร์ เสียงทักที่ดังจากหน้าห้องเรียกให้ซันที่กำลังคุยเล่นกับเพื่อนต้องหันไปมอง ก่อนจะพบไอ้ประธานชมรมฟิล์มที่ปกติจะมาพร้อมกับรอยยิ้มร่าเริงกำลังตีหน้าเครียด จนเขาต้องเอ่ยปากขอตัวจากเพื่อนแล้วลุกไปหน้าประตู



“ไงมึง มีไรวะ”



“เช้านี้มึงเห็นไอ้ภูมิยัง”



“หืม ไม่นะ” ซันขมวดคิ้วหน่อยๆ กับท่าทางเคร่งเครียดผิดปกติของอีกฝ่าย ก่อนจะเอ่ยถาม “ทำไมวะ”



ปิงปองถอนหายใจยาว “กูติดต่อมันไม่ได้เลย ทั้งๆ ที่เมื่อวานก็มีเข้าค่ายนิเทศวันที่สอง แต่ไอ้ภูมิก็ไม่โผล่หัวมา โทรหาก็ปิดเครื่อง ส่งข้อความก็ไม่ตอบกลับ กูเลยจะมาดูว่ามันเป็นอะไร”



“อ้าว” ซันยิ่งขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม จริงอยู่ที่สองวันที่ผ่านมาเขาเองก็โทรหาเพื่อนสนิทไม่ติด แต่นึกว่าไอ้ภูมิคงเข้าค่ายอยู่เลยไม่สะกิดใจอะไร ทว่าพอได้ยินไอ้ปิงปองบอกอย่างนี้ก็อดสังหรณ์ใจแปลกๆ ไม่ได้ เขาคว้าโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออกหาเพื่อนอีกครั้ง แม้จะมีเสียงสัญญาณรอสายให้ใจชื้นขึ้นมาหน่อย แต่ปลายสายก็ไม่รับสักทีจนสัญญาณหายไป



ซันถอนหายใจแรงก่อนเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋า แล้วจึงหันไปบอกเพื่อนข้างตัว “ปกติตอนนี้ไอ้ภูมิจะซ้อมดนตรี ลองไปหามันที่ห้องซ้อมก่อนแล้วกัน”



และเมื่อถึงที่หมาย ภาพของสมาชิกวงดนตรีที่กำลังตั้งใจซ้อมอย่างขะมักเขม้นก็ทำให้ผู้มาใหม่ทั้งสองคนถอนหายใจโล่งอก อย่างน้อยไอ้คนที่พวกเขานึกเป็นห่วงก็ยังสะพายกีตาร์ซ้อมเพลงเหมือนปกติ แม้ว่าการมองผ่านกระจกบานเล็กๆ จากด้านนอกจะทำให้เห็นสีหน้าของคนข้างในไม่ชัดก็ตาม



“ก็ยังดีที่ไม่ไปตายที่ไหน”



พอเห็นว่าเพื่อนเขายังอยู่ดี นิสัยปากอยู่ไม่สุขของปิงปองก็กลับมาอีกครั้ง ก่อนเจ้าของคำพูดจะหัวเราะเบาๆ ให้กับความเป็นห่วงที่ดูเกินเหตุของตัวเองแล้วหันไปบอกไอ้ซันที่ยืนอยู่ข้างๆ



“เดี๋ยวกูว่าจะรอมันอยู่หน้าห้องนี่แหละ ให้วงพักซ้อมก่อนแล้วค่อยเข้าไปถามว่ามันหายหัวไปไหนตั้งสองวัน”



ซันยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู พอเห็นว่ามีเวลาอีกพักใหญ่กว่าจะถึงเวลาเข้าแถวเคารพธงชาติก็หันมาพยักหน้ารับ “งั้นกูอยู่ด้วย”











 

ถ้าถามว่าตอนนี้ภูมิมีสมาธิกับการซ้อมไหม คำตอบคือ...ไม่เลยสักนิด



ตั้งแต่เกิดเรื่อง เขาตัดการติดต่อกับโลกภายนอกแทบจะสิ้นเชิง เพราะเขากลัว...กลัวว่าถ้าออกจากบ้านไปแม้แต่ก้าวเดียวจะเจอคนที่ไม่อยากเจอที่สุด กลัวว่าถ้าเปิดเครื่องโทรศัพท์ไว้จะเจอข้อความหรือเสียงเรียกเข้าของคนที่ไม่อยากคุยด้วย



หลังจากเมื่อคืนภูมิจึงปิดโทรศัพท์ไว้ตลอด และออกจากห้องตอนที่พี่ภาคย์เรียกทานข้าวเท่านั้น



พี่ภาคย์ยังคงทำตัวปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีการพูดถึงเรื่องในวันนั้น ไม่มีการด่าทออะไรทั้งสิ้น ทั้งยังช่วยบอกพ่อว่าวันจันทร์เขามีสอบเก็บคะแนนจึงตั้งใจอ่านหนังสืออยู่ในห้อง ทำให้พ่อไม่สงสัยเรื่องที่เขาเก็บตัวตลอดทั้งวัน



เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ที่เขาเสียแม่ไป...เป็นครั้งแรกที่เขาร้องไห้หนักขนาดนี้ แม้จะไม่อยากออกมาข้างนอกหรือติดต่อกับใคร แต่หน้าที่ที่ต้องซ้อมดนตรีและเรียนหนังสือก็ทำให้ภูมิยอมออกจากห้องมาโรงเรียนในเช้าวันจันทร์



ภูมิเพิ่งเปิดเครื่องโทรศัพท์เมื่อเช้านี้ สายที่ไม่ได้รับเกือบร้อยสายจากคนคนหนึ่งทำให้เขาใจกระตุก ...ทว่าเขาไม่มีความกล้าพอที่จะโทรกลับ



และแม้จะพยายามทำตัวเป็นปกติแค่ไหน แม้จะพยายามตั้งสมาธิกับการซ้อม แต่ภูมิก็รู้ตัวดีว่าไม่สามารถทำใจให้สงบได้เลย



“ภูมิ...ภูมิ...”



“...”



“ภูมิ!” เสียงเรียกพร้อมกับแรงเขย่าที่ตัวทำให้ภูมิสะดุ้ง ก่อนจะพบว่าเมื่อไหร่ไม่รู้ที่สมาชิกทั้งวงมายืนล้อมรอบตัวเขา



“อ่า...” ภูมิตอบรับเสียงเบา ลดกีตาร์ในมือลง “มีอะไรหรือเปล่าทุกคน”



“พวกเราสิที่ต้องถามว่าภูมิเป็นอะไรหรือเปล่า ดูไม่มีสมาธิเลยนะ” พี่เปิ้ลเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล เช่นเดียวกับสายตาของเพื่อนร่วมวงทุกคนที่แสดงความเป็นห่วงอย่างเห็นได้ชัด จนภูมิต้องปรับสีหน้าให้เป็นปกติที่สุด ก่อนส่งยิ้มให้



“ผมไม่เป็นไรหรอก คิดมากกันไปแล้วมั้ง”



“ไม่เป็นไรที่ไหนกันเล่า ภูมิจับคอร์ดเดิมมาครึ่งเพลงแล้วนะ ใครเรียกเท่าไหร่ก็ไม่รู้ตัว”



ภูมิชะงักไปทันทีเมื่อพี่เก่งท้วงขึ้นมา ก่อนจะก้มลงมองมือตัวเองที่จับคอร์ดอยู่แล้วพึมพำออกมาเบาๆ “งั้นหรือ...”



เขา...ไม่รู้ตัวเลย



“ไม่สบายหรือเปล่า ถ้าไม่ไหวก็พักได้นะ ไม่ต้องฝืนซ้อมหรอก” พี่เปิ้ลบอกอย่างเข้าใจ ทว่าภูมิกลับนิ่งไปนิด แล้วส่ายหน้าเบาๆ



“ซ้อมกันต่อเถอะพี่ ผมไม่เป็นไร”



ทุกคนในวงมองหน้ากันราวกับขอความเห็น แม้จะเป็นห่วงมือกีตาร์ของวงที่วันนี้ดูแปลกจากทุกที แต่เพราะสายตาจริงจังของเจ้าตัวที่ยืนยันจะซ้อมต่อก็ทำให้พี่เก่งเอ่ยสรุป



“โอเค ซ้อมก็ซ้อม งั้นเล่นเพลงเมื่อกี้กันใหม่นะ”



แต่ละคนกระจายตัวเข้าประจำตำแหน่งอย่างรู้งาน เมื่อเห็นว่าทุกคนพร้อมแล้ว พี่แฟ้มมือกลองก็เคาะให้จังหวะเป็นสัญญาณเริ่มเพลง



ภูมิพยายามเรียกสติตัวเองกลับมา ตั้งสมาธิกับคอร์ดเพลงที่วางอยู่บนแสตนด์ตั้งโน้ตตรงหน้าโดยระวังไม่ให้พลาดอีก เสียงดนตรีเต็มไปด้วยอารมณ์ เคล้าคลอกับเสียงร้องก้องกังวานที่แสดงชัดถึงความรู้สึกดังสะท้อนทั่วทั้งห้องกว้าง

 

เมื่อความรักที่เคยหวาน กลายเป็นความขม
เมื่อฉันกลายเป็นแค่ลมในสายตาเธอวันนี้
ไม่มีแรงเหลือ เมื่อคนที่เคยไว้ใจทำร้ายกันได้ลง

เกิดเป็นแผลที่ตรงจิตใจ ก็ไม่ระวัง
กว่าจะรู้ว่าโดนหักหลัง ก็ทิ้งกันไป
เปลี่ยนให้ฉันเป็นคนอ่อนแอ
แต่ไม่ได้แปลว่าขอให้เธอกลับมารักกันเข้าใจไหม

แค่หัวใจมันไม่เคยเจ็บขนาดนี้
ก็หัวใจมันไม่เคยรักใครเท่าเธอมาก่อน

ที่ฉันตอนนี้ บ้าบอไม่มีเหตุผล

ก็หัวใจมันไม่เคยโดนกรีดเป็นแผล
แต่ฉันอยากให้เธอรู้สิ่งเดียวที่ฉันแคร์ คือหัวใจฉัน

เพราะมันต้องทนอยู่
เพื่อสู้ความจริงให้ไหว




(ทนพิษบาดแผลไม่ไหว : Potato)

 

“ภูมิ...ภูมิ!”



“ฮึก...”



ภูมิไม่รู้จริงๆ ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่...ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่น้ำตาไหลออกมาราวกับเขื่อนทะลัก ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่พี่เปิ้ลเข้ามาประชิดตัวเขาแล้วร้องเรียก ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ไอ้ซันกับไอ้ปิงปองเปิดประตูเข้ามาแล้วตะโกนถามว่าเขาเป็นอะไร เขาไม่รู้...ไม่รู้อะไรสักอย่างเลยจริงๆ



“ไอ้ภูมิเป็นอะไรวะพี่เก่ง!”



“พี่ไม่รู้ซัน เห็นแปลกไปตั้งแต่แรกแล้ว แต่เมื่อกี้จู่ๆ ภูมิก็ร้องไห้”



“เวรเอ๊ย! ใครทำอะไรมึงวะไอ้ภูมิ บอกกูดิ!”



“ไอ้ปิงปองใจเย็นก่อน!”



“เย็นเหี้ยไรวะซัน! ใครทำอะไรเพื่อนกูวะ”



“หรือว่า...พี่โฟล์ค! ไอ้ภูมิ พี่โฟล์คทำอะไรมึงใช่ไหม ไอ้ภูมิ!”



ราวกับเสียงโวยวายจากรอบด้านเป็นเพียงธาตุอากาศ ภูมิไม่ได้ตอบคำถามใครทั้งนั้น และแม้จะพยายามห้ามน้ำตาไม่ให้ไหลยังไง แต่เสียงเพลงที่ได้ฟังยังคงกังวานอยู่ในหัว สะท้อนภาพความทรงจำของคนที่ไม่อยากจำมากที่สุดซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนภูมิได้แต่ปล่อยให้หัวใจที่ถูกบีบจนทรมานปลดปล่อยความเจ็บปวดผ่านหยดน้ำตาอีกครั้ง...อีกครั้ง...และอีกครั้ง



------------------------------------- TBC -----------------------------------



/กอดน้องภูมิแรงๆ

รอฟังเหตุผลทั้งหมดจากพี่โฟล์คในตอนหน้านะคะ เจอกันวันเสาร์ค่ะ



CT.hamonigar


ออฟไลน์ CT.hamonigar

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0

Chapter 18 : ในเบื้องลึกของหัวใจ



หลายเดือนผ่านไป



ช่วงหนึ่งเดือนก่อนสิ้นปีของประเทศไทยคือช่วงย่างเข้าสู่ฤดูหนาว อากาศในยามเช้ามีลมพัดเย็นสบาย ทำให้บรรยากาศของมหาวิทยาลัยยามนี้เต็มไปด้วยนักศึกษาในเสื้อกันหนาวหลากสีสัน เป็นภาพที่ใครมาเห็นก็คงเดาได้ไม่ยากว่า...เวลาของพวกเขากำลังจะผ่านพ้นไปอีกปี



ร่างสูงของชายหนุ่มในชุดนักศึกษาก้าวผ่านประตูเข้ามาในเขตมหาวิทยาลัย ก่อนจะมุ่งตรงไปยังสถานที่ที่นัดหมายกับเพื่อนไว้โดยไม่สนใจสายตาของหญิงสาวรอบด้านที่มองมาอย่างชื่นชม ในเมื่อผู้ชายคนนี้เพิ่งจะได้รับตำแหน่งเดือนคณะครุศาสตร์ไปหมาดๆ ทั้งยังมีข่าวลือว่าเรียนเก่งจนไม่น่าพลาดเกียรตินิยม จึงไม่แปลกที่จะกลายเป็นขวัญใจของสาวน้อยใหญ่ทั่วคณะ



ทว่าราวกับเจ้าตัวได้สร้างกำแพงบางอย่างเอาไว้...จนไม่มีใครกล้าเสนอตัวเข้าไปคุย



“อ้าวโฟล์ค ทางนี้ๆ”



ทันทีที่ก้าวเข้ามาในตัวอาคาร เสียงเรียกจากเพื่อนร่วมคณะก็ทำให้ชายหนุ่มหันไปมอง ก่อนจะเดินเข้าใกล้กลุ่มเพื่อนที่นั่งรวมตัวกันตั้งแต่เช้าบริเวณโต๊ะม้าหินอ่อนใต้อาคาร



ทว่าบางสิ่งที่อยู่ในมือเพื่อนที่นั่งกลางวงกลับทำให้โฟล์คชะงัก



“อ้าว ยืนทำไรตรงนั้นวะโฟล์ค มานี่ๆ วันนี้กูจะเปิดคอนเสิร์ตเว้ย”



“มึงแค่จะเอากีตาร์มาเล่นจีบพี่ปีสองไม่ใช่เหรอไอ้ชัย” เพื่อนอีกคนเถียง



“ฮ่าๆ เหมือนกันแหละน่า” ไอ้ชัยยิ้มชอบใจ “กูอุตส่าห์หัดเล่นมาทั้งเดือนเลยนะเว้ย พวกมึงลองฟัง”



ว่าจบ คนพูดจัดท่าให้ดูทะมัดทะแมง ก่อนจะเริ่มดีดเครื่องดนตรีในมือพร้อมกับร้องท่อนแรกของเพลงที่กำลังฮิตติดตลาด เรียกเสียงโห่แซวจากเพื่อนในกลุ่มไปยกใหญ่



ทว่าโฟล์คเพียงยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น ใจกระตุกขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้เมื่อเห็นภาพของคนบางคนซ้อนทับภาพตรงหน้า



...คนที่เคยเล่นกีตาร์ให้เขาฟัง ทั้งยังช่วยสอนเขาเล่นด้วยรอยยิ้มมีความสุข



โฟล์คเบือนหน้าหนีไปทางอื่นทันที ก่อนจะเดินอ้อมไปยังอีกฝั่งของม้านั่งที่ว่างอยู่ แล้ววางกระเป๋าสะพายลงบนโต๊ะพร้อมกับทรุดตัวนั่งตาม



“อ้าว เป็นอะไรเนี่ย ทำหน้าแปลกๆ” เหมือนเพื่อนผู้หญิงอีกคนในกลุ่มจะสังเกตเห็นความผิดปกติของคนที่มาใหม่ จึงเอ่ยทักด้วยความเป็นห่วง แต่คนถูกถามกลับส่ายหน้าเบาๆ แล้วส่งยิ้มให้



“ไม่มีอะไรหรอก”



“ฮั่นแน่ หรือว่าตื่นเต้นที่แฟนจะกลับมาจากอเมริกา” หญิงสาวเอ่ยแซวเมื่อนึกขึ้นได้ “มิ้นท์กลับวันนี้แล้วนี่นา หลังนายพรีเซนต์โปรเจกต์เสร็จตอนเที่ยงก็ต้องรีบไปสนามบินใช่ไหมล่ะ”



“หืม แฟนไอ้โฟล์คกลับวันนี้แล้วเหรอ”



เหมือนว่าหัวข้อสนทนานี้จะเรียกความสนใจจากเพื่อนทั้งกลุ่มได้ชะงัด เพราะทุกคนเปลี่ยนเป้าการพูดคุยจากกีตาร์มาเป็นแฟนสาวของหนุ่มหล่อประจำกลุ่มที่รู้จักชื่อกันดี แต่เห็นว่าเริ่มคบกันได้ไม่นานฝ่ายหญิงก็บินไปเรียนที่อเมริกา ทำให้มีไม่กี่คนเท่านั้นที่เคยเจอตัวจริง



“อืม เครื่องลงตอนบ่ายสามน่ะ” โฟล์คตอบรับแต่โดยดี



“โห อยากเจอตัวจริงว่ะ กูไปด้วยดิ!” ไอ้ชัยถึงกับวางกีตาร์แล้วโผล่หัวมากลางวงทันที แต่ก็โดนเพื่อนผู้หญิงอีกคนที่ทักโฟล์คตอนแรกลากคอเสื้อไว้



“ไม่ต้องเลยย่ะ จะไปเป็นก้างขวางคอเขาหรือไง” หญิงสาวตีหน้าดุ “แฟนไม่เจอกันตั้งหลายเดือน ให้เขามีเวลาสวีทกันหน่อยสิ”



“หืม...หึงพี่หรือจ๊ะน้องน้ำ” คนโดนว่าก็ไม่มีสลด ซ้ำยังขยับเข้าใกล้แล้วส่งสายตาหวานเยิ้ม “ถ้าชอบทำไมไม่บอกกันดีๆ ล่ะ ดูๆ ไปเธอก็สวยเหมือนกันน้า...”



“อีตาบ้า! ถอยออกไปเลยย่ะ”



“อะหือ ไอ้ชัยกับไอ้น้ำเหมือนสามีภรรยาทะเลาะกันเลยโว้ย”



เสียงหัวเราะดังขึ้นพร้อมกันจากรอบวง หัวข้อการสนทนาจึงเปลี่ยนมาเป็นการแซวคู่กัดประจำกลุ่มที่ทะเลาะกันได้แทบทุกเรื่อง โดยเฉพาะเมื่อคนหนึ่งขี้เหวี่ยงขี้วีน อีกคนก็แสนกวนประสาท การโต้เถียงกันเล็กๆ น้อยๆ ของคู่นี้ก็ดูจะเป็นภาพชินตาของคนในกลุ่มให้หยิบมาเป็นประเด็นสร้างสีสันบ่อยๆ



โฟล์คลอบถอนหายใจเบาๆ ที่เรื่องดูจะไกลตัวออกไป ก่อนจะหันไปเปิดกระเป๋าแล้วหยิบหัวข้อโปรเจกต์ที่ต้องนำเสนอในคลาสตอนเช้าออกมานั่งทวน



แม้จะดูเหมือนตั้งใจกับการอ่านเอกสารตรงหน้า แต่ใครจะรู้ว่าแววตาของชายหนุ่มฉายแววตึงเครียดไม่น้อยเมื่อนึกถึงคนที่เขาต้องเจอในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้











 

ภายในสนามบินขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศซึ่งเป็นศูนย์รวมของนักเดินทางจากหลากหลายดินแดน ร่างสูงของชายหนุ่มในชุดนักศึกษากำลังยืนอยู่บริเวณหน้าประตูทางออก รอบด้านมีผู้คนที่น่าจะมารอรับญาติพี่น้องหรือเพื่อนสนิทซึ่งเดินทางไฟลท์เดียวกันกับแฟนของเขา



แฟน...ที่เป็นเพื่อนสมัยเด็กกันมาตั้งแต่จำความได้



สถานะของพวกเขาทั้งสองคนเป็นแค่นั้น จนเมื่อครึ่งปีก่อน โฟล์คเพิ่งได้รู้จากปากของเพื่อนสมัยเด็กคนนี้ว่า คนที่เขามองว่าเป็นเพื่อนสนิทมาตลอด กลับคิดกับเขาเกินกว่าเพื่อนมานานหลายปี



และมิ้นท์คงไม่คิดจะสารภาพกับเขาแบบนี้ ถ้าหากไม่บังเอิญตรวจพบว่า...เธอป่วยเป็นโรคที่ไม่มีวันรักษาได้



คนรอบตัวของมิ้นท์รวมทั้งเขาเองต่างตกใจไม่น้อยไปกว่ากัน และคำขอสุดท้ายในชีวิตของหญิงสาวในตอนนั้นมีแค่สองอย่าง คือหนึ่ง...ขอไปใช้ชีวิตต่างประเทศคนเดียวอย่างที่ฝันมาตลอด ซึ่งครอบครัวของมิ้นท์อนุญาตเพราะถือโอกาสให้หญิงสาวได้รักษาตัวอยู่ที่นู่น



และสอง...ขอให้เขายอมเป็นแฟนกับเธอ



ในตอนนั้น...โฟล์คไม่เคยรู้จักคำว่ารัก เขาไม่เคยมีแฟน และไม่คิดว่าตัวเองจะมีความรู้สึกรักใคร่ชอบพอกับใคร ดังนั้นคำขอของเพื่อนสนิทจึงไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรงนัก และยิ่งรู้ว่าเธอคงมีชีวิตได้อีกแค่ไม่กี่ปี เขาก็ยินดีจะทำทุกอย่างให้เพื่อนคนนี้มีความสุขที่สุด



เขาคิดมาตลอดว่าเขาคงรักใครไม่เป็น จนกระทั่งมาเจอภูมิ



ภูมิเป็นคนแรกที่เขารู้สึกดีด้วย เป็นคนแรกที่เขาอยากอยู่ใกล้ อยากดูแลปกป้องตลอดเวลา และเป็นคนแรกที่เขารู้สึก...รัก



เขาคิดมาตลอดว่าจะอธิบายเรื่องมิ้นท์ให้ภูมิฟังได้อย่างไร เขาไม่สามารถเลิกกับมิ้นท์ได้ แต่เขาก็รู้ว่าเด็กอย่างภูมิจะไม่ยุ่งกับเขาแน่ๆ ถ้ารู้ว่าเขามีภาระผูกพันเป็นผู้หญิงที่ชีวิตกำลังแขวนอยู่บนเส้นด้าย ...เขารู้ว่าเด็กดีอย่างภูมิจะยอมเดินออกจากชีวิตเขาและไม่หันกลับมาอีก



นั่นเป็นครั้งแรกในชีวิตที่โฟล์คไม่รู้จะรับมือกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างไร



...เพราะเขาไม่อยากเสียภูมิไป...



ไม่มีคนนอกคนไหนรู้เรื่องของอาการป่วยของมิ้นท์ เพื่อนสนิทของเขาทุกคนรวมทั้งไอ้ภาคย์ต่างก็เข้าใจว่าเขากับมิ้นท์เป็นแฟนกันแบบปกติ ดังนั้นวันที่ไอ้ภาคย์รู้เรื่องของเขากับภูมิ มันถึงได้โกรธมาก และเพราะอารมณ์โกรธของมันทำให้เขาไม่มีโอกาสได้พูดสิ่งที่เขาอยากพูด ...แม้แต่บอกรักให้ภูมิฟังก็ยังไม่ได้



ในวันนั้น...เขามองลึกเข้าไปในดวงตาของภูมิ ความเจ็บปวดในแววตาคู่นั้นบอกเขาว่า...ถึงเวลาแล้วที่เขาต้องปล่อยคนตัวเล็กไป



แม้ภายนอกภูมิจะดูอ่อนแอ แต่โฟล์ครู้ดีกว่าใครว่าภูมิเป็นเด็กเข้มแข็ง และสักวันภูมิจะอยู่ได้โดยไม่มีเขา



ใช่...สักวันภูมิจะลืมเขาได้เอง



ส่วนเขาก็คงต้องกลับไปทำในสิ่งที่ควรทำ ...หน้าที่ของแฟนที่ดี



“โฟล์ค!”



เสียงหวานใสที่ดังมาจากประตูทางออกดึงความคิดโฟล์คกลับมา ก่อนชายหนุ่มจะเผยรอยยิ้มอบอุ่นให้กับร่างเพรียวบางของหญิงสาวในชุดสเวตเตอร์สีน้ำตาลอ่อนที่โบกมือไปมาอยู่ไม่ไกลนัก โฟล์คสาวเท้าเข้าใกล้เพื่อนสมัยเด็กแล้วใช้สองมือสวมกอดร่างบางเอาไว้หลวมๆ



“ยินดีต้อนรับกลับมานะมิ้นท์”



“ขอบคุณนะ มิ้นท์คิดถึงโฟล์คที่สุดเลย” หญิงสาวเองก็กอดตอบชายหนุ่มแน่นๆ ก่อนจะผละออกมา “แล้วพ่อกับแม่ล่ะ ไม่ได้มาด้วยเหรอ”



“คุณน้าติดงานน่ะ เดี๋ยวไปเจอกันที่ร้านอาหารตอนเย็นทีเดียว เห็นว่าจองโต๊ะเลี้ยงมื้อใหญ่ไว้ให้แล้วด้วยนะ”



“จริงเหรอ ดีจังเลย” หญิงสาวยิ้มสดใส “อืม...โฟล์คหล่อขึ้นหรือเปล่าเนี่ย”



“มิ้นท์คิดไปเองแล้วมั้ง” ชายหนุ่มส่ายหน้า



“พูดจริงๆ นะ”



พอถูกกระเซ้ามากๆ โฟล์คก็หลุดยิ้มออกมาพร้อมกับหัวเราะ มิ้นท์เห็นดังนั้นจึงหัวเราะตาม



ราวกับบรรยากาศเดิมๆ ในวัยเด็กกลับมาอีกครั้ง หญิงสาวอมยิ้ม มองคนตรงหน้าด้วยแววตาที่แสดงออกชัดเจนว่ารักหมดหัวใจ



แม้ในตอนแรกเธอจะยังไม่แน่ใจนัก แต่เมื่อได้อยู่ด้วยกันมาเรื่อยๆ ความรู้สึกก็ยิ่งชัดเจนขึ้น



จนมาถึงวันที่เธอรู้ข่าวร้ายเกี่ยวกับตัวเอง นั่นทำให้เธอตัดสินใจสารภาพรักกับเพื่อนสนิท และขอในสิ่งที่หากเป็นเวลาปกติเธอคงไม่กล้า และแม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าผู้ชายคนนี้ไม่ได้คิดแบบเดียวกับเธอ แต่รอยยิ้มอบอุ่นที่ส่งมาให้พร้อมกับคำตอบรับอย่างจริงใจของชายหนุ่มก็ทำให้หญิงสาวรู้สึกเต็มตื้นในหัวใจ



โฟล์คเริ่มทำตัวไม่ถูกเมื่อเห็นสายตาเปี่ยมด้วยความรู้สึกของคนตรงหน้า เขาจึงกระแอมไอ แล้วเสหน้าไปทางอื่น



มิ้นท์เห็นดังนั้นก็หัวเราะเบาๆ  ก่อนจะเป็นฝ่ายเอื้อมมือไปดึงฝ่ามือหนามากุมไว้หลวมๆ



“นี่...โฟล์ค” เธอเรียกให้เขาหันหน้ามามองเธออีกครั้ง “ขอบคุณนะ”



น้ำเสียงจริงจังของอีกฝ่ายทำให้โฟล์คเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “หมายถึงที่โฟล์คมารับมิ้นท์วันนี้น่ะหรือ...ไม่เป็นไรหรอก โฟล์คเป็นแฟนมิ้นท์นะ”



“ก็นั่นแหละ” มิ้นท์ยิ้มหวานให้อีกครั้ง “ขอบคุณนะที่เป็นแฟนมิ้นท์ ขอบคุณที่ยอมทำตามคำขอเอาแต่ใจของมิ้นท์”



โฟล์คชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเผยรอยยิ้มอ่อนโยน แล้วยกมือขึ้นลูบศีรษะคนตรงหน้าเบาๆ



“มิ้นท์เป็นเพื่อนที่โฟล์ครักมากนะ เรื่องแค่นี้โฟล์คทำให้ได้อยู่แล้ว”



“มิ้นท์ไม่ได้ทำให้โฟล์คลำบากใจใช่ไหม” ครั้งนี้หญิงสาวเริ่มมีสีหน้าเป็นกังวล เพราะเธอรู้ดีว่าคนตรงหน้าคิดกับเธอแบบไหน “ขอโทษนะ ทั้งๆ ที่โฟล์คไม่ได้คิดเหมือนกับมิ้นท์ แต่...”



“ไม่เอาน่ามิ้นท์” โฟล์ครีบยกมือบางของเพื่อนสมัยเด็กมากุมไว้ ก่อนส่งยิ้มที่หนักแน่นจริงใจเพื่อให้อีกฝ่ายคลายกังวล “มิ้นท์ไม่ต้องคิดถึงเรื่องนั้นนะ มิ้นท์รู้ไว้แค่ว่า โฟล์คเต็มใจมากๆ ที่จะทำให้เวลาที่เหลือของมิ้นท์มีความสุขที่สุด ...แค่นั้นก็พอนะครับ”



หญิงสาวน้ำตาร่วงทันใด ก่อนที่ร่างบางจะโผเข้ากอดคนตรงหน้าด้วยความตื้นตัน



“ขอบคุณนะโฟล์ค มิ้นท์รักโฟล์คมากนะ ...รักมากๆ เลย”



ชายหนุ่มกอดตอบคนในอ้อมกอดด้วยความเต็มใจ



ใช่...เขาต้องทำให้เวลาที่เหลืออยู่ของเพื่อนสมัยเด็กคนนี้มีค่ากับเจ้าตัวมากที่สุด



...แม้ว่าเขาจะต้องเสียคนสำคัญที่สุดในชีวิตไปก็ตาม...











 

“คัท!”



ราวกับเสียงสวรรค์มาโปรด เหล่านักแสดงที่ยืนอยู่กลางสนามโรงเรียนเกือบสิบชีวิตถอนหายใจโล่งอกทันที ก่อนจะยิ้มออกมาพร้อมกันเมื่อได้รับคำชมจากผู้กำกับต่อท้าย



“ดีมากทุกคน ขอบคุณสำหรับวันนี้นะ กลับบ้านกันได้เลยครับ” ปิงปองพูดผ่านโทรโข่งด้วยรอยยิ้มที่แสดงออกชัดเจนว่ามีความสุข แม้ว่าการทำงานครั้งนี้จะเหนื่อยจนสายตัวแทบขาดเพราะเป็นงานใหญ่ครั้งแรกในชีวิต แต่เขาก็พอใจกับผลลัพธ์ของมันมาก



ไม่สิ งานชิ้นนี้ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ แต่แค่นี้ก็ถือว่าสำเร็จไปอีกขั้นแล้ว



“มึงว่าไงไอ้ภูมิ” ผู้กำกับมือใหม่หันไปถามเพื่อนที่ยืนข้างกัน พลางลดกล้องวีดิโอลงแล้วเปิดฉากที่ถ่ายเมื่อครู่ให้ดู “กูว่าซีนนี้ใช้ได้เลย นักแสดงหลักสื่ออารมณ์ชัดมาก ส่วนเอ็กซ์ตร้าก็ไม่พลาดคิวกันเลย แม่งเจ๋งว่ะ”



“กูก็ว่าดี” ภูมิพยักหน้ารับ ก่อนจะหันไปหาประธานชมรมการแสดงที่มาช่วยดูการทำงานวันนี้ด้วย “ต้องขอบคุณเธอด้วยนะแซนดี้ ถ้าไม่ได้ชมรมเธอช่วย พวกเราก็คงแย่”



เพราะปกติการถ่ายหนังที่ทุนน้อยแบบนี้จะไม่สามารถจ้างนักแสดงมืออาชีพได้อยู่แล้ว ดังนั้นจึงมักมีปัญหาเรื่องความพร้อมของนักแสดง บางคนก็เล่นแข็งเกินไป บางคนก็ยังไม่เข้าใจหลักการแสดง แต่เมื่อได้ชมรมการแสดงมาช่วยคัดตัวตั้งแต่แรก ทั้งยังช่วยดูแลการสอนและการจัดเวิร์คช็อปให้ตลอด งานจึงราบรื่นกว่าที่คิด



แซนดี้หน้าขึ้นสีเล็กน้อยกับคำชมนั้น ก่อนจะอ้อมแอ้มตอบ “ไม่หรอกจ้ะ พวกเราก็สนุกดี”



“เอาล่ะโว้ย! ถ่ายเสร็จหมดแล้ว เหลือแค่ตัดต่อสินะ” ปิงปองถอนหายใจเฮือกใหญ่ ในเมื่องานหนักของชมรมเขายังไม่หมดเพียงเท่านี้ “ไอ้ภูมิ แล้วเพลงที่ว่าจะเสร็จวันไหน”



“ไม่เกินอาทิตย์หน้า” ภูมิรับคำอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ ประธานชมรมฟิล์มได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าพอใจ ก่อนขยับเข้ามาตบบ่าเพื่อนสนิท



“เหนื่อยหน่อยนะมึง ชมรมมึงต้องเตรียมงานคริสต์มาสอีกนี่”



“เออ เหนื่อย” มือกีตาร์ของวงโรงเรียนยอมรับแต่โดยดี ในเมื่อหลังจากส่งเพลงประกอบที่ทั้งแต่งทั้งอัดกันเองให้ชมรมฟิล์มแล้ว พวกเขายังต้องเตรียมคอนเสิร์ตใหญ่วันคริสต์มาสกันต่อ ซึ่งแม้โรงเรียนของภูมิจะไม่ใช่โรงเรียนคริสต์ แต่เพราะกรรมการนักเรียนอยากเห็นทุกคนสนุกกัน จึงยื่นเรื่องขอจัดงานคริสต์มาสรวบกับงานฉลองวันปีใหม่ ดังนั้นจึงเรียกได้ว่าวงของภูมิมีงานเข้าไม่หยุดหย่อนในช่วงปลายปีนี้



แต่ถึงจะเหนื่อยแค่ไหน รองประธานชมรมดนตรีก็ยังมีรอยยิ้มประดับใบหน้า ทั้งยังสำทับขึ้นมาว่า “เหนื่อย แต่ก็ลุยเต็มที่ล่ะวะงานนี้”



“เออ อีกอึดใจเดียว” เมื่อได้ยินดังนั้น ปิงปองก็ฮึดตาม แน่นอน...พวกเขาพยายามกันมามากขนาดนี้ ทุ่มเททุกอย่างแบบที่ไม่คิดว่าจะสามารถทำได้ในตอนที่ยังเรียนแค่มัธยม เรื่องอะไรจะปล่อยให้ความพยายามสูญเปล่าล่ะ











 

ภูมิกลับถึงบ้านช้ากว่าทุกที แต่เจ้าตัวก็ยังเดินเข้าบ้านด้วยท่าทางสบายๆ  ทั้งที่หากเป็นเมื่อก่อน...รถโตโยต้าคันสีขาวของพ่อที่จอดหน้าบ้านคงทำให้ภูมิเสียวสันหลังไม่น้อยว่าจะโดนตำหนิอะไรอีก



แต่เพราะภูมิสามารถพิสูจน์ตัวเองให้ที่บ้านเห็นได้ อีกทั้งผลการเรียนเทอมล่าสุดก็ดีขึ้นแบบผิดหูผิดตา คนที่บ้านจึงให้อิสระแก่เขามากกว่าเดิม การกลับบ้านเย็นเพราะติดงานหรือกิจกรรมจึงไม่ใช่ประเด็นที่จะถูกยกมาว่าอีกต่อไป



ในเมื่อแสดงให้เห็นว่ารับผิดชอบตัวเองได้ ภูมิก็มีสิทธิ์ที่จะทำอะไรตามที่อยากทำ ...นั่นเป็นข้อตกลงระหว่างเขากับพ่อ



“กลับมาแล้วนะพ่อ”



ภูมิยกมือไหว้คนที่นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นก่อนแล้ว ซึ่งอีกฝ่ายทำเพียงเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนจะก้มลงไปอ่านหนังสือตามเดิม  แล้วภูมิก็ยิ้มออกเมื่อคนที่ทำเป็นไม่สนใจเขาพูดขึ้นมาประโยคหนึ่งสั้นๆ



“ข้าวเย็นอยู่ในครัว”



ภูมิพยักหน้ารับ เปลี่ยนเป้าหมายจากการเดินขึ้นห้องนอนไปเป็นเลี้ยวเข้าห้องครัวแทน ถุงกับข้าวสี่ถุงที่วางอยู่บนโต๊ะครัวทำให้ภูมินึกแปลกใจกับปริมาณที่เยอะกว่าปกติ ทว่าคนที่เพิ่งกลับถึงบ้านก็ทำเพียงเลือกหยิบมาสองถุงเพื่อเทใส่จานแล้วอุ่นไมโครเวฟ



ในขณะที่คิดว่าจะทำอย่างไรกับกับข้าวที่เหลือ เสียงมอเตอร์ไซค์คุ้นหูก็ดังมาจากหน้าบ้าน เรียกให้ภูมิหันขวับทันที



เสียงแบบนี้...



“พ่อ วันนี้พี่ภาคย์กลับบ้านเหรอ” เด็กหนุ่มโผล่หน้าออกจากห้องครัว ตะโกนถามบิดาทันใด ซึ่งคนถูกถามก็ขมวดคิ้วลงราวกับเห็นว่าเป็นเรื่องไร้สาระ แต่ก็ยอมเอ่ยปากตอบ



“เออ จำวันกลับบ้านของพี่ตัวเองไม่ได้หรือไง”



นั่นสิ...เขาลืมไปได้ยังไง



พี่ชายของเขาเพิ่งย้ายไปอยู่หอใกล้มหาวิทยาลัยเมื่อไม่กี่เดือนมานี้ เพราะหลังจากช่วงเปิดเทอมแรกๆ ที่ลองอยู่บ้านแล้วไปกลับมหาวิทยาลัย พี่ภาคย์ก็คิดว่าเวลาเดินทางที่ต้องเสียไปวันละหลายชั่วโมงไม่ค่อยคุ้มค่านัก ประจวบกับที่รูมเมทคนหนึ่งของเพื่อนพี่ภาคย์ย้ายออกเพราะเรียนไม่ไหว พี่ภาคย์เลยได้โอกาสย้ายเข้าพักทันที



และเห็นว่าช่วงปีหนึ่งยังเรียนไม่หนักมากนัก พี่ชายของเขาเลยกลับมาเยี่ยมบ้านได้ทุกวันศุกร์ ซึ่งก็คือวันนี้ที่ภูมิลืมไปเสียสนิท



...สงสัยจะทำงานหนักเกินไปถึงได้ลืมวันลืมคืน



ภูมิส่ายหัวกับตัวเองเบาๆ  ก่อนจะหันไปหยิบถุงกับข้าวอีกสองอย่างมาเทใส่จานเพื่ออุ่นไมโครเวฟ เพราะได้คำตอบแล้วว่ากับข้าวที่เยอะผิดปกตินี่เป็นของใคร



เด็กหนุ่มรู้สึกอารมณ์ดีกว่าเดิม ถึงเขากับพี่ภาคย์จะไม่ได้สนิทกันเหมือนพี่น้องคนอื่นๆ  แต่เขาก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าคุ้นเคยกับการที่มีพี่ภาคย์อยู่ในบ้านมากกว่าอยู่บ้านกับพ่อแค่สองคน



“หวัดดีครับพ่อ” ภูมิได้ยินเสียงฝีเท้าของพี่ชายมาพร้อมกับเสียงเอ่ยทัก หลังจากนั้นคนที่ไม่ได้เจอกันมาเป็นอาทิตย์ก็โผล่หน้าเข้ามาในครัว “ไงไอ้ภูมิ”



พี่ภาคย์ยังคงทำหน้านิ่งเหมือนทุกทีราวกับทักไปตามมารยาท ซึ่งเขาก็ชินแล้วล่ะ



บรรยากาศบนโต๊ะอาหารยังคงเป็นเหมือนเช่นทุกที ภูมินั่งทานข้าวเงียบๆ ปล่อยให้มีเสียงพูดคุยสารทุกข์สุขดิบระหว่างพ่อกับพี่ชายเพียงแค่สองคน ซึ่งส่วนมากจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเรียน หรือบางครั้งบนโต๊ะก็จะเงียบไปเสียเฉยๆ  เพราะโดยนิสัยแล้วพ่อของเขาเป็นคนไม่ค่อยพูด  ส่วนพี่ภาคย์ก็ไม่ต่างกันมาก



และทุกคนก็ค่อนข้างชินกับบรรยากาศแบบนี้แล้ว



“เออ จะว่าไปแกก็ใกล้สอบกลางภาคแล้วนี่ภูมิ” พี่ภาคย์หันมาหาเขาหลังจากตักข้าวเข้าปาก ซึ่งเขาก็พยักหน้ารับ



“อืม อีกสามอาทิตย์น่ะ”

“เอาให้ได้เหมือนครั้งที่แล้วนะ”



ภูมิแอบถอนหายใจเล็กน้อยกับคำพูดที่เป็นเชิงบังคับกลายๆ  แล้วตอบแบบแบ่งรับแบ่งสู้ “จะพยายามแล้วกันนะ”



ถึงอย่างไรเขาก็ตั้งใจจะรักษาผลการเรียนเทอมนี้ไม่ให้ตกอยู่แล้ว ในเมื่อเขาตระหนักแล้วว่าหน้าที่หลักของตัวเองคืออะไร และควรทำอย่างไรให้ที่บ้านเชื่อใจ



“ว่าแต่เพื่อนภาคย์คนนั้นไม่ได้มาบ้านเราแล้วหรือ ที่ชื่อโฟล์คน่ะ”



กึก



คำถามแบบไม่ทันตั้งตัวจากพ่อทำให้อีกสองคนบนโต๊ะอาหารถึงกับชะงัก ภูมินิ่งไปทันที ในขณะที่ภาคย์ก็หันไปมองน้องชายตัวเอง



สีหน้าของภูมิไม่ได้แสดงอาการอะไรมากนัก ทว่าเจ้าตัวก็หลุบตาลงต่ำ เพียงพักหนึ่งก็เอื้อมมือไปตักข้าวในจานราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น



ภาคย์มองปฏิกิริยานั้นเงียบๆ  แล้วหันไปตอบคำถาม



“มันเรียนหนักน่ะพ่อ เลยไม่ค่อยได้มาแล้ว”



“งั้นหรือ” ชายวัยกลางคนครางรับในลำคอ “น่าเสียดายนะ พ่อว่าจะเลี้ยงขอบคุณโฟล์คเสียหน่อย อุตส่าห์ช่วยเจ้าภูมิขนาดนั้น”



“ไว้ผมจะบอกมันให้แล้วกัน” ภาคย์ตัดบท แล้วลากหัวข้อสนทนาเข้าเรื่องอื่น ระหว่างนั้นก็พยายามสังเกตท่าทีของน้องชายตัวเองไปด้วย แต่ราวกับว่าคนที่นั่งกินข้าวเงียบๆ นั้นได้สร้างกำแพงบางอย่างขึ้นมา



ภายใต้ท่าทางนิ่งเฉย ภาคย์ไม่รู้เลยว่าน้องชายของเขากำลังคิดอะไรอยู่











 

ภูมิปิดประตูห้องนอนลง กดล็อกลูกบิดเบาๆ แล้วเดินไปวางกระเป๋านักเรียนที่พื้นข้างโต๊ะหนังสือ ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้



ความเงียบโรยตัวภายในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ  ...เป็นอีกครั้งที่ความทรงจำเกี่ยวกับใครบางคนย้อนกลับเข้ามาในหัว ใครบางคน...ที่พยายามจะลืมเท่าไหร่ก็ลืมไม่ได้



ทุกครั้งที่เห็นกีตาร์...เขาจะคิดถึงคนที่เขาเคยสอนกีตาร์ แม้จะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ



ทุกครั้งที่หยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมาใช้...เขาจะคิดถึงคนที่เคยพาเขาไปซ่อมกล้อง แถมยังออกเงินให้โดยไม่ยอมรับคืน



ทุกครั้งที่เห็นข่าวเกี่ยวกับคณะในฝัน...เขาจะคิดถึงคนที่เคยชักชวนเขาไปเข้าค่าย ให้เขาได้เข้าใกล้คณะที่หวังมากขึ้น



ทุกวินาทีที่เขากำลังพยายามเพื่อเป้าหมาย...เขาจะคิดถึงคนที่เป็นจุดเริ่มต้นให้เขารู้จักเปลี่ยนแปลงตัวเอง รู้จักพยายามเพื่อสิ่งที่รัก และยังรู้จัก...รัก



ใช่...เขาคิดถึงพี่โฟล์คตลอดเวลา



เพราะความทรงจำระหว่างเขาทั้งสองคน...มีมากเกินไป



แม้การสูญเสียพี่โฟล์คจะยังไม่หนักหนาเท่าเมื่อครั้งที่เขาสูญเสียแม่ แต่หัวใจกลับเจ็บจนน่าแปลก อย่างที่ไม่คาดคิดว่าคนคนหนึ่งที่เพิ่งรู้จักกันไม่นานจะมีอิทธิพลต่อตัวเขาได้มากขนาดนี้



ภูมิทิ้งตัวแนบพนักเก้าอี้มากกว่าเดิมด้วยความรู้สึกหนักอึ้งในใจ แววตาเต็มไปด้วยความสับสน ...อาการอ่อนแอที่เขาพยายามปกปิดจากสายตาของคนรอบตัวเสมอ แทนที่ด้วยการแสดงออกว่าเขาไม่ได้รู้สึกอะไรแล้วกับสิ่งที่เกิดขึ้น



ทั้งที่ในความเป็นจริง เวลาหลายเดือนที่ผ่านมาอาจจะช่วยให้ความเจ็บปวดจางลงได้ ...แต่ความรู้สึกกลับไม่ได้น้อยลงเลย



“เมื่อไหร่ผมจะลืมพี่ได้วะ...พี่โฟล์ค”



ภูมิหลับตาลง เอ่ยเสียงเบาราวกับกระซิบ




...และมีเพียงความเงียบที่เป็นคำตอบ



--------------------------------- TBC -----------------------------



คนที่ใช่ ในเวลาที่ไม่เหมาะสม ...ก็อาจจะยังไม่ใช่

แต่ถ้าได้โคจรมาเจอกันในเวลาที่เหมาะสมเมื่อไหร่

ก็หลุดพ้นจากกันยากแล้วล่ะค่ะ ...^^

เจอกันวันอังคารนะคะ รัก<3



CT.hamonigar


ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :L2: :L1: :pig4:

ก่ำกึงกับตวามเห็นแก่ตัวเนาะ
รักเพื่อนก็เสียคนรัก เป็นเรื่องยาก

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
มาม่าเต็มหม้อเลยจ้า

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ CT.hamonigar

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0
Chapter 19 : อีกครั้ง



สองปีผ่านไป



วันเปิดเรียนวันแรกของภาคการศึกษาใหม่ยังคงวุ่นวายเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา มีทั้งนักศึกษาที่วิ่งวุ่นกับการแก้ผลการลงทะเบียนเรียน เสียงตะโกนทักทายเซ็งแซ่จากกลุ่มเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันตลอดปิดเทอม รวมถึงนักศึกษาใหม่ที่ดูตื่นเต้นไม่น้อยกับการเปิดเรียนครั้งแรกของชีวิตมหาวิทยาลัย



ภูมิรู้สึกประหม่าเล็กน้อยกับการแต่งชุดนักศึกษาท่ามกลางคนมากมายที่ไม่รู้จัก จริงอยู่ที่เขาเคยใส่มาแล้วในวันปฐมนิเทศ แต่วันนั้นเขารับรู้ว่ามีเพื่อนปีเดียวกันมากมายล้อมรอบ ไม่ใช่อยู่คนเดียวท่ามกลางนักศึกษาทุกชั้นปีแบบตอนนี้



สำหรับภูมิ ความรู้สึกตอนนี้เหมือนกำลังอยู่ในถ้ำเสืออย่างไรอย่างนั้น



แน่นอนว่าภูมิได้แค่คิด เพราะเอาเข้าใจจริงแล้ว เขาสามารถตีหน้านิ่งราวกับไม่รู้สึกรู้สาได้ มือก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเล่นเพื่อลดความประหม่า โดยไม่ลืมกดเข้าแอพพลิเคชั่นหนึ่งเพื่อส่งข้อความ



 

Poom

มึงอยู่ไหนแล้ว <

เร็วๆสิ <

            T@฿LETEnN!s

            > ไม่เกินครึ่งชั่วโมงเว่ย

            > รีบอยู่

       
    Poom

            มึงจะบ้าเหรอ <

            อีกสิบนาทีเข้าเรียนแล้วนะ <

 



            ภูมิขมวดคิ้วทันที แน่นอนว่าเขาไม่อยากเข้าเรียนสายในครั้งแรก แต่จะให้เข้าไปนั่งเรียนคนเดียวก็วังเวงบอกไม่ถูก



            หมับ



            “เฮ้ย!” จู่ๆ ก็มีมือตะปบลงที่ไหล่อย่างแรงจากด้านหลังจนภูมิสะดุ้ง รีบหันกลับไปมอง “ไอ้ปิงปอง!”



            “ไลน์ตามกูด้วย คิดถึงกูเหรอครับเพื่อน” เพื่อนสนิทตัวดีที่ตามมาเข้าคณะเดียวกันได้ว่าด้วยเสียงทะเล้น เอื้อมมือมาโอบรอบคอภูมิจนคนถูกโอบต้องเบี่ยงตัวออก



            “ไม่ต้องรุ่มร่ามเลยมึง แล้วไหนบอกอีกครึ่งชั่วโมง”



            “กูบอกว่าไม่เกินครึ่งชั่วโมงต่างหาก”



            พอมันเฉลยมา ภูมิก็กลอกตา ทั้งที่รู้สึกชินกับนิสัยชอบกวนประสาทของมันนานแล้ว



            “เอาเถอะ ขึ้นเรียนกัน” ภูมิว่าอย่างนั้นพร้อมกับลุกขึ้นแล้วสะพายกระเป๋า



            ภาพของชายหนุ่มในชุดนักศึกษาสองคนกลายเป็นเป้าการซุบซิบนินทากันของกลุ่มนักศึกษาสาวเกือบทั้งโรงอาหาร ด้วยความที่คนหนึ่งก็หน้าตาดี แถมยังยิ้มเจ้าเล่ห์สไตล์แบดบอยตามสเปคผู้หญิง ส่วนอีกคนถึงจะไม่ได้หน้าตาโดดเด่นมาก แต่ก็มีผิวขาวตามประสาคนเชื้อสายจีนขนาดที่ผู้หญิงยังอาย



            ภาพที่รุ่นพี่คนไหนมาเห็นก็บอกได้ว่า ในคณะที่คนไม่มากอย่างนี้ ไม่เกินหนึ่งอาทิตย์คู่หูคู่นี้คงเป็นที่รู้จักกันทั้งคณะแน่



            หลังจากทั้งสองคนเดินออกจากโรงอาหารไปแล้ว อีกด้านหนึ่งของโรงอาหารก็มีกลุ่มของนักศึกษาสามคนจากคณะอื่นเดินเข้ามา



            “ชัย เลิกมองผู้หญิงคนอื่นเดี๋ยวนี้เลยนะ”



            “โธ่ ก็สาวนิเทศปีนี้น่ารักทั้งนั้นเลยนี่นา แค่มองเอง อย่าหึงสิน้ำ”



            “ไม่ได้หึงย่ะ แต่สงสารน้อง เปิดเรียนวันแรกก็เจอสายตาหื่นกามของไอ้บ้าจากครุซะแล้ว”



            “ด่าแฟนตัวเองว่าหื่นกามเหรอ หืม”



            คนโดนด่าหันกลับไปมองแฟนสาวข้างตัวทันที พร้อมกับยื่นหน้าเข้าไปใกล้จนจมูกเกือบชนกับแก้มของหญิงสาว และแน่นอนว่าคนเกือบถูกแต๊ะอั๋งก็เบี่ยงหน้าหลบทัน



            “นี่มันโรงอาหารนะตาบ้า โรง-อา-หาร” น้ำถลึงตาใส่ เน้นย้ำทีละคำ แล้วหันไปหาเพื่อนอีกคน “โฟล์คดูดิ ไอ้ชัยมันรุ่มร่ามอีกแล้ว เราว่าเราเป็นแฟนกับโฟล์คแทนดีกว่า”



            “เฮ้ย ไม่ต้องเลย ไอ้โฟล์คมึงอย่ายุ่งกับเมียกู”



            “ใครเมียนายยะ! พูดแบบนี้ฉันเสียหายนะ”



            โฟล์คได้ยินดังนั้นก็หลุดหัวเราะ ส่ายหัวน้อยๆ กับการแหย่กันของคู่กัดที่พัฒนามาเป็นคู่รักได้เกือบปี แม้ช่วงแรกๆ คู่นี้จะทะเลาะกันบ่อย เบาบ้างหนักบ้างจนกลัวว่าจะไปไม่รอด แต่อยู่ไปอยู่มาก็ดันลงตัวกันดี กลายเป็นคู่รักในตำนานอีกคู่ของคณะเสียอย่างนั้น



            โรงอาหารในตอนนี้มีคนไม่มากนัก ส่วนหนึ่งก็เพราะคนที่มีเรียนเช้าเพิ่งขึ้นเรียนกันไป ทั้งสามคนจึงหาโต๊ะนั่งได้ไม่ยาก เมื่อเลือกโต๊ะได้แล้วโฟล์คก็อาสานั่งเฝ้าไว้ ปล่อยให้เพื่อนอีกสองคนเดินไปซื้อข้าว



            โฟล์คไม่ใช่คนติดโทรศัพท์มือถือ ดังนั้นเมื่อไม่รู้จะทำอะไร เขาจึงเลือกเงยหน้าขึ้นมองรอบด้านอย่างที่ชอบทำประจำ อาจเป็นเพราะคณะครุศาสตร์ที่เขาเรียนเกี่ยวข้องกับการสังเกตคน และอีกอย่าง...โฟล์คกำลังคาดหวังอยู่ลึกๆ ว่าจะเจอใครคนหนึ่ง



            คนที่เขาดีใจด้วยแทบแย่ตอนเห็นประกาศรายชื่อคนที่ผ่านการคัดเลือกเข้าเรียนคณะนิเทศศาสตร์ของปีนี้



            แต่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็ไม่เจอคนที่นึกถึง โฟล์คจึงได้แต่ถอนหายใจกับตัวเอง



...บางทีภูมิอาจจะขึ้นเรียนไปแล้ว...



            และดูเหมือนว่าอาการเช่นนี้จะทำให้คนที่เพิ่งกลับมาจากซื้อข้าวมองอย่างมีเลศนัย ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งตรงข้ามกับเพื่อนสนิท โดยมีแฟนสาวนั่งตามข้างๆ



            “นี่ของมึง” ชัยพูดพร้อมกับดันจานข้าวมาตรงหน้า โฟล์คมองข้าวราดแกงธรรมดาแล้วพยักหน้าอย่างไม่คิดมาก



            “ขอบใจ”



            “สามสิบห้าบาท” มันทวงทันที “แต่เดี๋ยวค่อยจ่าย ว่าแต่...เหล่สาวคนไหนอยู่วะ”



            โฟล์คเหลือบมองคนถามเล็กน้อย ก่อนส่ายหน้า “กูเปล่า”



            “เฮ้ย เพื่อนกันอย่าปิดบังกันดิวะ กูรู้นะว่ามึงแอบเล็งสาวนิเทศไว้”



            “ไร้สาระน่า”



            “เหรอ” ไอ้ชัยลากเสียงยาว “แล้วใครวะลุ้นแทบตายตอนประกาศผลแอดมิชชั่นของเด็กปีนี้ พอผลออกก็รีบเช็ครายชื่อเด็กนิเทศ แถมยังแอบมาดูพวกปีหนึ่งตอนวันปฐมนิเทศอีก”



            โฟล์คชะงักไปทันที ลดข้าวในมือลง แต่ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ซ้ำยังเลี่ยงที่จะสบตากับเพื่อนสนิท



            ชัยถอนหายใจ เริ่มเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นโหมดจริงจัง



            “กูพูดจริงๆ นะไอ้โฟล์ค เขาดูออกกันทั้งกลุ่มแล้วว่ามึงมีใครอยู่ในใจ กูเข้าใจว่ามึงเสียใจเรื่องมิ้นท์ แต่เรื่องมันก็ผ่านมาเกือบปีแล้ว กูว่ามึงควรเปิดโอกาสให้ตัวเองนะ ที่สำคัญ...มิ้นท์คงไม่อยากเห็นมึงเป็นแบบนี้หรอกว่ะ”



            “แบบนี้ของมึงคือแบบไหน” โฟล์คขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ



            ชัยหันไปสบตากับน้ำราวกับขอความช่วยเหลือ เพราะความจริงชัยไม่ใช่ผู้ชายที่จะสรรหาคำพูดดูดีมาอธิบายให้คนอื่นเข้าใจได้ น้ำจึงเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาแทน



            “เราเข้าใจนะว่าโฟล์คกับมิ้นท์รักกันมาก แต่หลังจากที่มิ้นท์...นั่นแหละ โฟล์คก็เปลี่ยนไปเลย ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจา ไม่ยอมมาอยู่กับพวกเรา อย่างวันนี้ที่เราลากโฟล์คมากินข้าวที่นี่ก็เพราะชัยคิดว่าโฟล์คน่าจะอยากมา เผื่อโฟล์คจะรู้สึกดีขึ้น” น้ำพูดด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล เลื่อนมือไปแตะข้อมือของอีกฝ่ายเบาๆ “พวกเราทุกคนเป็นห่วงโฟล์คมากนะ”



            โฟล์คนั่งนิ่ง เผลอหลบสายตาเพื่อนทั้งสองคน



            ตั้งแต่เหตุการณ์ครั้งนั้นที่เป็นจุดแตกหักระหว่างเขากับภูมิ เขาก็รู้ตัวว่าอาการของตัวเองคงแย่มาก แต่พอมิ้นท์กลับมาจากอเมริกา เขาก็มีเพื่อนสนิทคนนี้เป็นคนช่วยย้ำเตือนว่าเขาต้องเข้มแข็งเพื่อใคร ต่อหน้าเพื่อนที่มีสถานะแฟนคนนี้ เขาจะอ่อนแอไม่ได้ เพราะเขาสัญญากับตัวเองไว้แล้วว่าจะดูแลเพื่อนคนนี้ให้ดีที่สุด



            จนเมื่อเกือบหนึ่งปีก่อน มิ้นท์ก็จากเขาไป เป็นอีกครั้งที่โฟล์ครู้สึกโลกดับมืด แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังมีเพื่อนและครอบครัวที่คอยปลอบใจ และพยุงให้เขาผ่านความรู้สึกช่วงนั้นมาได้



            แม้โฟล์คจะยังรู้สึกผิดต่อภูมิ แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะคอยติดตามชีวิตของเด็กคนนี้ จนกระทั่งเห็นผลการสอบเข้าของภูมิ เขาดีใจมากที่ภูมิได้เรียนในสิ่งที่ฝันมาตลอด อีกทั้งยังได้เข้ามหาวิทยาลัยเดียวกัน



            โฟล์คยอมรับว่ายังหวังอยู่ลึกๆ ...ว่าสักวันเขากับภูมิจะกลับมาเข้าใจกันได้ ภูมิอาจจะไม่ต้องรู้สึกกับเขาเหมือนเดิม ขอแค่ได้กลับมาเป็นคนรู้จักกัน ได้คุยกันบ้าง ...แค่นั้นก็พอแล้ว



            “ขอโทษ...กูไม่นึกว่าจะทำให้พวกมึงคิดมากขนาดนี้”



            “จะขอโทษพวกกูทำไม” ชัยขมวดคิ้ว “หรือถ้ามึงอยากขอโทษ มึงมีอะไรให้พวกกูช่วยเกี่ยวกับเด็กนิเทศคนนั้น มึงก็บอกมาแล้วกัน”



            ทว่าโฟล์คกลับส่ายหน้า



            “ไม่ต้องหรอก กูทำผิดต่อเขาไว้ เขาคงเกลียดกูแล้ว”



            “เอ้า แล้วมึงไปทำอะไรไว้ล่ะ ถามจริง เขาจะโกรธมึงตลอดชีวิตเลยเหรอ”



            “กูไม่รู้ว่ะ กูแค่ไม่อยากเข้าข้างตัวเอง”



            “เฮ้อ ฟังนะไอ้โฟล์ค” ชัยเปลี่ยนโหมดมาเป็นน้ำเสียงจริงจังอีกครั้ง “ไม่มีใครไม่เคยทำผิดหรอก มึงทำผิด มึงก็ขอโทษ ถ้าเขายังไม่หายโกรธ มึงก็ต้องตามง้อ น้ำหยดลงหินทุกวันหินมันยังกร่อน ใจคนมันอ่อนกว่าหินอีกนะเว้ย มึงเอาความจริงใจเข้าสู้ เดี๋ยวเขาก็หายโกรธ”



            น้ำถึงกับเบิกตากว้าง เขย่าไหล่แฟนตัวเองอย่างตื่นเต้น “นี่ชัยจริงๆ เหรอ ทำไมพูดดีขนาดนี้เนี่ย”



            “เอ้า แซวกันอีก หมดอารมณ์เลยน้ำ”



            ชัยหันมาบ่นอย่างไม่จริงจังนัก โฟล์คหัวเราะเบาๆ  ชัยจึงหันมาพูดต่อ



            “ก็ประมาณนี้แหละไอ้โฟล์ค มึงอย่าเพิ่งยอมแพ้สิ ที่มึงทุกข์เพราะเขา แปลว่าเขาสำคัญกับมึง ที่ทุกข์มากก็เพราะสำคัญมาก แล้วมึงจะยอมให้คนสำคัญขนาดนี้หลุดมือไปง่ายๆ เหรอวะ”



            โฟล์คได้แต่ยิ้ม ไม่ได้ตอบอะไรออกไป



            แต่เขาคิดว่า เขาเลือกทางเดินของตัวเองได้แล้ว



            เขาเคยปล่อยมือคนสำคัญไปแล้วครั้งหนึ่ง จะเป็นไปได้ไหม...ที่เขาจะดึงมือนั้นกลับมาอยู่ข้างตัวอีกครั้ง











           

            แม้จะพยายามบอกตัวเองให้มีสมาธิกับการเรียน แต่ภูมิกลับพบว่าเสียงพูดของอาจารย์ที่ยืนอยู่หน้าห้องไม่ได้เข้าหูเขาเลยแม้แต่น้อย



            ทำไมเขาจะจำไม่ได้ว่าพี่โฟล์คก็เรียนอยู่ที่นี่



            ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ภูมิทุ่มเทเวลาเกือบทั้งหมดให้กับการเตรียมตัวสอบเข้า จนลบเรื่องของครูสอนพิเศษคนแรกและคนเดียวของเขาออกจากใจได้บ้าง ...แต่มันกลับไม่เคยหายไป



            ยิ่งเมื่อรู้ว่าจะได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยแห่งนี้ ภาพของผู้ชายคนนั้นก็แวบเข้ามาในหัวตลอดเวลา รวมถึงภาพความทรงจำระหว่างเขาทั้งสองคนที่แม้จะเกิดขึ้นในระยะเวลาไม่นาน แต่สิ่งที่ชัดเจนคือ...ความรู้สึก



            ความรู้สึกของเขาเป็นของจริง แต่พี่โฟล์คล่ะ...รู้สึกด้วยหรือเปล่า



            รู้สึกเหมือนที่แสดงออกให้เขาเห็น หรือแค่เล่นกับความรู้สึกของเด็กอย่างเขา



            ภูมิแค่นยิ้มกับตัวเอง



            จะมาพร่ำเพ้ออะไรวะไอ้ภูมิ ป่านนี้พี่โฟล์คคงกำลังมีความสุขกับแฟนอยู่



            ไม่อยากยอมรับว่าประโยคนี้ทำเอาเจ็บหัวใจไม่น้อย แต่ภูมิก็นึกขอบคุณช่วงเวลาสองปีที่ผ่านมาที่ช่วยให้เขาไม่รู้สึกเจ็บเท่าเดิม แม้จะไม่แน่ใจนักว่าตัวเองจะรู้สึกอย่างไรหากบังเอิญเจอพี่โฟล์คอยู่กับแฟนตอนนี้



            อยู่กันคนละคณะ แถมมหาวิทยาลัยก็ออกจะกว้าง คงไม่บังเอิญเจอกันหรอก



ภูมิบอกตัวเอง พร้อมกับดึงสมาธิให้กลับมาจดจ่อที่เนื้อหาที่เรียน แม้ว่าในคาบแรกจะไม่ได้มีเนื้อหามากมายนักก็ตาม











 

“ไอ้ภูมิ ไปกินปังปิ้งครุกัน”



หลังจากหมดคาบเรียนตอนบ่าย จู่ๆ ไอ้เพื่อนซี้ข้างตัวก็หันมาตะปบไหล่แล้วโพล่งขึ้นมา ซึ่งภูมิคงตอบตกลงอย่างไม่คิดอะไรมาก ถ้าหากไม่ได้สะดุดกับสถานที่



“ทำไมต้องครุวะ”



“เอ้า ของขึ้นชื่อของมหา’ลัยเราเลยนะเว้ย อยากกินปังปิ้งต้องไปกินครุ กูไปสืบจากรุ่นพี่มาแล้ว ที่สำคัญนะเว้ย...” ไอ้ปิงปองชะโงกหน้าเข้ามาใกล้แล้วกระซิบ “เขาว่ากันว่าถ้าผู้ชายหล่อๆ ไปซื้อ คนขายแถมไอติมเบิ้ลสอง ท็อปปิ้งไม่อั้น”



“แล้วมึงก็คิดว่ามึงหล่อ?”



“แน่นอนสิครับเพื่อน” ปิงปองตอบรับอย่างมั่นใจ แล้วจัดการคว้ากระเป๋าเป้ของเพื่อนสนิทมาพาดบ่าตัวเองจนคนถูกขโมยกระเป๋าถึงกับเหวอ ส่วนมืออีกข้างก็เอื้อมไปล็อกคอเจ้าของกระเป๋าให้เดินไปด้วยกันอย่างขัดขืนไม่ได้ “ปะ ไปกัน”



“กูยังไม่ได้ตอบตกลงเลยนะเว้ย!” ภูมิรั้งตัวเองไว้ไม่ให้เดินตามแรงของคนลาก



“โธ่ กูอยากแดกนี่หว่า ไปเป็นเพื่อนกูหน่อยนะมึง นะๆๆ”



ภูมิได้แต่กลอกตาไปมา สุดท้ายก็พยักหน้าอย่างจำยอม



“เออ ไปก็ได้”



...คงไม่บังเอิญเจอกันพอดีหรอกมั้ง...











 

คณะครุศาสตร์อยู่ไม่ห่างจากคณะของภูมิมากนัก ด้วยความที่เวลานี้เป็นเวลาเลิกเรียนของหลายวิชาที่เรียนในช่วงบ่าย ทำให้คนค่อนข้างพลุกพล่าน พอลองนึกดูภูมิถึงจำได้ว่าด้านหน้าคณะนี้เป็นป้ายรถโดยสารภายในมหาวิทยาลัยที่รุ่นพี่เคยพูดถึงในวันปฐมนิเทศ



            รุ่นพี่เคยบอกว่ามหาวิทยาลัยของเราใหญ่ แถมยังมีหลายโซน บางโซนอยู่คนละฝั่งของถนน ถ้าไม่มีรถโดยสารภายใน เวลาเดินทางไปคณะอื่นที่อยู่ไกลก็คงลำบาก ภูมิคิดว่าสักวันหนึ่งเขาคงได้ลองขึ้นบ้าง แม้ตอนนี้จะยังจำไม่ได้ว่ารถโดยสารภายในมหาวิทยาลัยมีสายอะไร และแต่ละสายไปที่ไหนบ้างก็ตาม



            โรงอาหารของคณะครุศาสตร์อยู่ด้านในตัวตึก ซึ่งแม้จะมีคนเดินไปมาบ้างแต่ก็น้อยเมื่อเทียบกับฝูงชนด้านนอก อาจเป็นเพราะหลังเลิกเรียนนักศึกษาส่วนมากนิยมไปทานข้าวข้างนอกมากกว่าในคณะ



            “ไปซื้อข้าวกันก่อนแล้วกันไอ้ภูมิ กินเสร็จค่อยต่อปังปิ้ง”



            “เออๆ” ครั้งนี้ภูมิเห็นด้วยเพื่อน เพราะหลังจากผ่านการเรียนมาทั้งบ่ายโดยไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยก็ทำให้กระเพาะประท้วงอยู่พอสมควร แค่ขนมปังอย่างเดียวไม่น่าพอ



            ภูมิเดินวนรอบโรงอาหาร เมื่อตัดสินใจได้แล้วก็เข้าไปสั่งอาหารที่ร้านร้านหนึ่ง แล้วจึงเดินไปซื้อน้ำ



            “เอาน้ำส้มแก้วนึงครับป้า”



            ภูมิบอกป้าคนขาย เมื่อแก้วน้ำตามที่สั่งถูกวางลงตรงหน้า เขาก็ควักเศษเหรียญขึ้นมาจ่าย แล้วหยิบน้ำขึ้นมาก่อนเดินกลับไปร้านอาหารที่สั่งข้าวเอาไว้



            ทว่าจู่ๆ โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงก็สั่น ภูมิจึงหยิบขึ้นมาดู เมื่อเห็นว่าใครโทรมาก็กดรับ



            “ครับพ่อ...เลิกเรียนแล้วครับ ...ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวภูมิหาอะไรกินข้างนอกเอง ...โอเค ไม่เกินสองทุ่มครับ สวัสดีครับ...อ๊ะ!” ด้วยความไม่ทันระวัง ตอนที่ภูมิก้มหน้าเตรียมจะกดวางสาย เขาลืมมองทางข้างหน้า จนชนกับคนที่กำลังเดินสวนมาพอดี



            และเพราะในมือภูมิถือแก้วน้ำส้มอยู่ ทำให้น้ำในมือกระเฉาะเลอะเสื้อนักศึกษาของอีกฝ่าย ภูมิเบิกตากว้าง



            “ขะ...ขอโทษครับ” เขาละล่ำละลัก แต่พอเงยหน้ามองคนที่ตัวเองเดินชน เสียงทั้งหมดก็กลืนหายเข้าลำคอ



            ร่างสูงโปร่งที่เขาเคยต้องเงยหน้ามองประจำ ผมสีดำที่เหมือนจะยาวกว่าในความทรงจำเล็กน้อย ริมฝีปากได้รูปที่เคยสัมผัส รวมถึง...แววตาคู่เดิมที่มองตรงมาทางเขา ซึ่งถ้าภูมิไม่คิดเข้าข้างตัวเอง...แววตาของคนตรงหน้าราวกับมีความเศร้าเจืออยู่ไม่น้อย



            “...พี่โฟล์ค” ในที่สุด ภูมิก็เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่เบาราวกับกระซิบ



            พี่โฟล์คยังเหมือนเดิม ...เหมือนเดิมมากๆ  โดยเฉพาะแววตาคู่นั้น...



            แววตาที่เคยทำเขาคิดเข้าข้างตัวเองจนน่าสมเพช



            ภูมิหลบสายตาลง พยายามห้ามตัวเองไม่ให้นึกถึงเรื่องราวเก่าๆ



...ใช่ มันเป็นแค่อดีต เป็นแค่เรื่องที่เขาคิดไปเองฝ่ายเดียวทั้งนั้น



“ขอโทษครับ” ภูมิพูดโดยไม่มองหน้า ก่อนจะเบี่ยงตัวเดินไปอีกทาง พยายามควบคุมตัวเองไม่ให้แสดงท่าทางผิดปกติออกไป



โฟล์คมองตามหลังคนที่เดินไปเอาข้าวที่สั่งไว้ จนกระทั่งเดินกลับไปที่โต๊ะด้วยความรู้สึกมากมายที่ตีตื้นขึ้นมา



...เป็นครั้งแรกที่เขาได้เข้าใกล้เด็กคนนี้ในช่วงเวลากว่าสองปี...



ไม่สิ อาจจะเรียกว่าเด็กไม่ได้แล้ว ในเมื่ออดีตลูกศิษย์ของเขาดูโตขึ้นมากในชุดนักศึกษา ทั้งส่วนสูงที่น่าจะมากกว่าเดิมเกือบสิบเซ็นต์ และแววตาที่ดูเข้มแข็งขึ้น ทำให้ภูมิดูต่างจากเด็กน้อยคนเดิมที่เคยเจอเมื่อสองปีก่อน



            แต่ถึงอย่างนั้น โฟล์คก็สัมผัสได้ว่าเมื่อครู่ที่ได้สบตากัน มีแวบหนึ่งที่เขาเห็นความรู้สึกแบบเดิมในดวงตาคู่นั้น



            แม้มันจะถูกแทนที่ด้วยความเฉยเมยแทบจะในทันที แต่มันก็ทำให้โฟล์คมีกำลังใจ



            ภูมิยังไม่ลืมพี่...ใช่ไหมครับ











 

          พอมาถึงโต๊ะที่เพื่อนสนิทนั่งรออยู่ก่อนแล้ว ภูมิก็ก้มหน้าก้มตาตักอาหารโดยไม่สนใจรอบด้าน จนข้าวในจานพร่องลงเกือบครึ่งในเวลาไม่ถึงนาที ปิงปองเห็นดังนั้นก็อ้าปากเหวอ ท้วงขึ้นมาอย่างอดไม่ได้



            “เดี๋ยวๆ ใจเย็นนะมึง หิวมาจากไหนวะ”



            ภูมิเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนแวบหนึ่ง ก่อนจะก้มหน้ากินต่อโดยไม่ตอบอะไร



            คนถามยิ่งงงกว่าเดิม แต่พอเห็นว่าเพื่อนไม่พูด เขาก็ไม่อยากเซ้าซี้ เลยกลับมาสนใจข้าวในจานตัวเองบ้าง



            แต่ขณะที่กำลังตักข้าวเข้าปาก ปิงปองก็เห็นรุ่นพี่ที่จำได้ว่าเคยอยู่กับไอ้ภูมิบ่อยๆ เดินเข้ามาใกล้ จึงเบิกตากว้างแล้วร้องเรียก “อ้าว พี่โฟล์ค”



            พอพูดชื่อ ปิงปองก็สัมผัสได้ว่าเพื่อนที่นั่งอยู่ตรงข้ามชะงักไปทันที



            “ไงปิงปอง ไม่ได้เจอกันตั้งนานนะ” โฟล์คยิ้มให้



            “โห นานมากพี่ ตั้งสองปีกว่ามั้ง” ปิงปองว่าแล้วขยับตัวเข้าด้านใน ให้รุ่นพี่ที่มาใหม่ได้นั่งข้างๆ “นั่งก่อนดิพี่ เออ...นี่ผมลืมไปเลยนะว่าพี่เรียนที่นี่ด้วย”



            เขาจำได้ว่าตอนนั้นไอ้ภูมิเคยบอกว่าพี่โฟล์คเรียนคณะครุศาสตร์อยู่ที่นี่ แต่พอไม่ได้เจอนานบวกกับวุ่นๆ กับการสอบเข้า เขาก็ลืมไปเสียสนิท แถมไอ้เพื่อนซี้ข้างตัวก็ไม่ได้พูดถึงพี่โฟล์คอีก ทั้งที่ช่วงหนึ่งไอ้ภูมิกับพี่โฟล์คตัวติดกันจะตาย



            ครั้งหนึ่งเขาถามมันว่าทำไมไม่ค่อยเจอพี่โฟล์ค ไอ้ภูมิก็ตอบแค่พี่โฟล์คเรียนหนักเลยไม่ค่อยว่าง บอกตรงๆ ว่าปิงปองไม่ได้เชื่อนักหรอก แต่พอเห็นไอ้ภูมิดูเศร้าเหมือนเจอเรื่องร้ายแรงมา เขาก็ไม่อยากเซ้าซี้ให้เพื่อนรู้สึกไม่ดี



            และดูจากท่าทางของเพื่อนสนิทที่ก้มหน้าก้มตากินข้าวโดยไม่สนใจคนที่มาใหม่ ปิงปองก็เริ่มมั่นใจแล้วว่าสองคนนี้คงมีปัญหากันแน่ๆ



            “แล้วเป็นไงบ้างล่ะเรา เปิดเรียนวันแรก” โฟล์คยิ้มให้



            “อืม...ก็ดีนะพี่ น่าตื่นเต้นดี คนเยอะ ไม่เหมือนตอนเรียนมัธยม” ปิงปองว่าตามที่คิด “แต่คาบแรกยังไม่ค่อยได้เรียนอะไรเลยพี่ อาจารย์เข้ามาพูดอะไรก็ไม่รู้”



            “ฮ่าๆ  ปกติก็เป็นอย่างนี้แหละ” โฟล์คว่าอย่างเห็นเป็นเรื่องธรรมดา เพราะส่วนมากในคาบแรกอาจารย์จะพูดคร่าวๆ ถึงเนื้อหาที่จะเรียน วิธีเก็บคะแนน วิธีตัดเกรด ยังไม่ได้เข้าสู่บทเรียนจริงๆ  แต่ก็มีบางวิชาที่กลัวเวลาสอนไม่พอจึงเริ่มสอนกันจริงจัง



“อ้าว แล้วนั่นเสื้อพี่ไปเลอะอะไรมา” ปิงปองถามเมื่อเห็นรอยเลอะบนชุดนักศึกษาของอีกฝ่าย



“นี่เหรอครับ” โฟล์คก้มลงมองเสื้อตัวเอง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองคนเป็นต้นเหตุที่เหมือนจะชะงักไปเล็กน้อย แต่สักพักก็กินข้าวต่อเหมือนไม่ได้เกี่ยวกับตัวเอง ชายหนุ่มเห็นดังนั้นก็เผลอยกยิ้ม แล้วหันไปตอบคนถาม “อุบัติเหตุนิดหน่อยครับ”



ปิงปองมองเสื้อของชายหนุ่มรุ่นพี่ สลับกับแก้วน้ำของเพื่อนสนิทบนโต๊ะ สักพักจึงพยักหน้ากับตัวเองอย่างเข้าใจเรื่องราว



เมื่อกี้คงเจอกันแล้วสินะ มิน่า ไอ้ภูมิมาถึงโต๊ะก็โซ้ยเอาโซ้ยเอา



“ว่าแต่ทั้งสองคนมาทำอะไรกันที่นี่เหรอครับ”



           โฟล์คถามขณะมองหน้าคนตรงข้ามที่นั่งกินข้าวแบบไม่พูดไม่จา แต่อีกฝ่ายทำเหมือนจะไม่ได้ยิน ปิงปองเห็นดังนั้นจึงเป็นฝ่ายตอบแทน



            “ผมได้ยินว่าปังปิ้งของที่นี่สุดยอดน่ะพี่ เลยว่าจะมาลองกิน”



            “หืม...ปังปิ้งงั้นเหรอ เดี๋ยวพี่ซื้อให้เอามั้ย”



            “เฮ้ย ไม่เป็นไรหรอกพี่ เดี๋ยวพวกผมซื้อเอง นี่ก็กินข้าวจะเสร็จแล้ว”



            “ถือว่าเลี้ยงต้อนรับรุ่นน้องไง พี่สนิทกับเจ้าของร้าน ป้าเขาชอบแถมให้เยอะ”



            “โห ถ้าพี่พูดถึงขนาดนี้ ผมไม่เกรงใจแล้วนะ” ปิงปองยิ้มเผล่ เหมือนว่าก่อนหน้านี้แค่เกรงใจตามมารยาทเท่านั้น “เอาช็อกโกแลตนะพี่ เยอะๆ ล้นๆ”



            “ได้ครับ” โฟล์คตอบรับอย่างใจดี ก่อนจะหันไปหาคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามแล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนลง “แล้ว...ภูมิล่ะ”



            คนถูกถามเงียบ ไม่แม้แต่จะเงยหน้าสบตา



            “ไอ้ภูมิ” จนปิงปองต้องกระเซ้า ในที่สุดภูมิก็ยอมเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนสนิทแล้วตอบเสียงห้วน



            “กูกินกับมึง” พูดจบก็ก้มหน้าลงสนใจข้าวในจานตามเดิม



            ปิงปองได้แต่หัวเราะแห้งๆ ในลำคอ สบตากับพี่โฟล์คด้วยสายตาทำนองว่า...ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นบ้าอะไร



            โฟล์คยิ้มน้อยๆ  ส่ายหน้าอย่างไม่ถือสา แล้วจึงลุกออกไป



-------------------------- TBC -------------------------



กลับมาเจอกันแล้วนะคะ



จริงๆ ลังเลรูปแบบการใช้สถานที่จริงอยู่เหมือนกัน คือเราก็มีแบคกราวด์ของเรื่องอยู่ในหัวเนอะ มีต้นแบบมหา'ลัยที่ใช้เขียน แต่ความคิดเราคือเรากำลังสร้างเรื่องราวในจินตนาการขึ้นมา เราไม่อยากให้นิยายมีข้อจำกัดว่าพอเอาสถานที่ไหนเป็นต้นแบบแล้วต้องอิงเรื่องราวตามสถานที่นั้น 100% บางทีเราก็อยากเปลี่ยนหรือเสริมเติมแต่งนิดหน่อยตามที่เราคิดค่ะ ฮา แต่ก็เคยเจอความเห็นประมาณว่าพอเขียนรายละเอียดของสถานที่ไม่ตรงกับความเป็นจริงก็โดนดราม่า เลยลังเลนิดหน่อย



แต่สรุปเราก็เขียนตามนี้นะคะ เราใช้มหา'ลัยนึงเป็นต้นแบบเพื่อให้ง่ายต่อการเขียนและการคิดภาพในหัวเราเอง แต่ขออนุญาตไม่อิงเป๊ะๆ นะคะ อย่างการใช้คำเราก็จะใช้คำทั่วไปอย่างนักศึกษา ของดีประจำครุจากที่เป็นปังเย็นก็จะเปลี่ยนเป็นปังปิ้งอะไรแบบนี้  ไม่อยากให้ข้อมูลชี้นำไปที่ใดที่หนึ่งมากเกินไป(ถึงบางคนพอจะเดาได้ก็ตาม แฮ่) อยากให้มองว่าเป็นมหา'ลัยธรรมดามหา'ลัยนึงเนอะ



ทั้งนี้ใครมีความคิดเห็นเพิ่มเติมก็บอกกันได้นะคะ เปิดรับทุกความเห็นค่ะ รัก<3



CT.hamonigar

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :L2: :pig4:

ยังคิดถึงกันเหมือนเดิม

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2:

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
พี่โฟล์ค  ขอโทษภูมิ.............
บอกความจริงภูมิไปสักที   :z3: :z3: :z3:
        :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ CT.hamonigar

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0
Chapter 20 : สับสน



            “โห อร่อยดีว่ะพี่”



            ปิงปองทำตาโต ขณะที่มือก็จ้วงปังปิ้งราดช็อกโกแลตเยิ้มๆ ตรงหน้าเข้าปากอีกคำ หลับตาพริ้มกับความกรอบนอกนุ่มในของขนมปังที่อร่อยสมคำร่ำลือ โดยมีทีเด็ดคือท็อปปิ้งที่โปะจนพูนจาน จนเชื่อแล้วว่าคนซื้อคงสนิทกับเจ้าของร้านเหมือนที่บอกไว้ตอนแรก



            “อร่อยก็กินเยอะๆ เลยนะ ถ้าไม่พอเดี๋ยวพี่ซื้อให้อีก”



            “โหย ไม่เป็นไรหรอกพี่ เดี๋ยวลงพุงแล้วสาวๆ ไม่ชอบ” ปิงปองว่าแล้วหัวเราะ ก่อนหันไปหาเพื่อนสนิท “มึงก็กินดิไอ้ภูมิ นี่กูกินคนเดียวจะหมดจานแล้วนะ”



            “กูอิ่มแล้ว มึงกินเถอะ” ภูมิเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนที่นั่งตรงข้าม แล้วพูดเสียงเรียบโดยจงใจไม่สบสายตาผู้ชายอีกคน



            ปิงปองยักไหล่ แล้วหันไปชวนโฟล์คคุยขณะที่ยังจิ้มขนมปังเข้าปากเรื่อยๆ



            “เออ แล้วพี่โฟล์คอยู่ทำอะไร ยังไม่กลับบ้านเหรอ”



            “พี่อยู่ประชุมงานกีฬาน่ะครับ”



            “หืม พี่โฟล์คเล่นกีฬาด้วยเหรอ”



            “เปล่าครับ พี่ไม่ได้เล่น” โฟล์คส่ายหน้าปฏิเสธ “พี่แค่เป็นตัวแทนคณะในการประสานงานกับคณะอื่นเฉยๆ เป็นงานแข่งกีฬาของทั้งมหา’ลัยน่ะ”



            “เฮ้ย มีงานนี้ด้วยเหรอพี่” ปิงปองตาลุกวาว “แบบนี้ผมก็ลงแข่งได้อะดิ นี่ผมไม่ได้เล่นบาสนานแล้วนะ ตอนมัธยมนี่สนใจแต่ทำหนัง แต่พี่รู้ปะ ตอนประถมผมเป็นตัวจริงของโรงเรียนตอนแข่งบาส แถมได้ที่หนึ่งของจังหวัดด้วยนะเว้ย”     



            “ฮ่าๆ เอาสิครับ เดี๋ยวอาทิตย์หน้าทางมหา’ลัยน่าจะเริ่มโปรโมทงานแล้ว ถ้าปิงปองอยากลงเป็นนักกีฬาก็ต้องลองไปสมัครชมรมบาสของคณะดู”



            “ได้เลยพี่”



            บทสนทนายังคงดำเนินต่อไปเรื่อย แม้ภูมิจะพยายามไม่สนใจเสียงพูดคุยกันของคนสองคนและเพ่งสมาธิกับน้ำในแก้ว แต่เสียงทุ้มนุ่มที่คุ้นเคยก็ยังลอยเข้าโสตประสาท



            จนในที่สุดภูมิก็ยันตัวลุกขึ้น หยิบแก้วน้ำกับจานข้าวขึ้นมาถือไว้ แล้วพูดเสียงเรียบ “กูกลับก่อนนะ พ่อตาม”



            “เฮ้ยรอแป็บ กูไปด้วย” ปิงปองว่าอย่างนั้นแล้วรีบเก็บข้าวของบนโต๊ะ ก่อนหันไปหารุ่นพี่ที่นั่งข้างๆ “งั้นพวกผมไปก่อนนะพี่ ไว้ค่อยเจอกัน”



            “อืม” โฟล์คพยักหน้า “กลับยังไงกันล่ะ ให้พี่ไปส่งมั้ย”



            “ไม่เป็นไรพี่ ผมกลับรถไฟฟ้า ส่วนไอ้ภูมิก็…” ปิงปองหันไปมองเพื่อนสนิทที่ไม่มีท่าทีจะปริปาก เลยเป็นฝ่ายหันกลับมาตอบแทน “มันกลับรถเมล์น่ะ”



            “งั้นกลับกันดีๆ นะครับ” โฟล์คส่งยิ้มให้



            เมื่อทั้งสองคนเดินจากไป แววตาของโฟล์คก็เศร้าลง โดยเฉพาะเมื่อมองตามหลังผู้ชายตัวเล็กที่ไม่ยอมสบตาเขาเลยตลอดเวลาที่ทานอาหาร











 

            ภูมิตอบตัวเองไม่ได้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไร การพบเจอกันครั้งแรกในรอบหลายปีทำให้เขาทำตัวไม่ถูก เขาควรจะรู้สึกโกรธคนที่เคยโกหก เคยหลอกลวงให้เขาหลงเชื่อจนเจ็บแทบตาย แต่ภูมิก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการที่เขามีโอกาสได้เดินตามความฝันจนสอบเข้าคณะที่ต้องการได้ ก็เพราะแรงผลักดันจากผู้ชายคนนี้



            คนที่ฉุดเขาขึ้นมาจนได้พบกับแสงสว่าง คือคนเดียวกันกับที่ปล่อยให้เขาดิ่งลงเหวเมื่อหลายปีก่อน



            ความอึดอัดในใจของภูมิตอนนี้เกิดจากความสับสน ถ้าหากพี่โฟล์คทำตัวปกติเหมือนคนรู้จักกันทั่วไป เขาก็โตพอที่จะมองข้ามเรื่องในอดีตและปฏิบัติตัวเหมือนรุ่นพี่รุ่นน้องร่วมสถาบันได้ แต่ที่เขาทำไม่ได้เพราะแววตาของผู้ชายคนนั้น



            แววตาที่เคยทำให้เขาหลงคิดว่าเป็นคนสำคัญ ก่อนจะรู้ว่าเรื่องทั้งหมดนั้นเขาคิดไปเองฝ่ายเดียว



            ในวันนี้...พี่โฟล์คยังคงมองเขาด้วยแววตาแบบเดิมไม่ผิดเพี้ยน ทั้งยังเจือปนด้วยความเศร้า และที่ชัดเจนกว่านั้นคือ...คำขอโทษ



            “คิดมากไปแล้ว” ภูมิปรามตัวเองเบาๆ ส่ายหน้าเพื่อไล่ความฟุ้งซ่านที่เกิดขึ้นเพียงเพราะผู้ชายคนเดียว



            ภูมิดึงสติกลับมาอีกครั้ง ชะเง้อคอมองรถเมล์ที่ไม่มีทีท่าว่าจะมา ซึ่งเขาก็ทำใจไว้แล้วว่าสายรถเมล์ที่นั่งต่อเดียวถึงหน้าปากซอยบ้านมีรถไม่เยอะนัก แต่ถ้าหากต้องเสียเงินเพิ่มเพื่อนั่งรถเมล์หลายต่อหรือนั่งรถตู้กลับบ้าน เขาขอเลือกที่จะยืนรอนานหน่อยดีกว่า



            ในช่วงที่ถนนโล่งแบบที่ชะเง้อมองเท่าไหร่ก็คงไม่มีรถมา ภูมิก็หันหน้ากลับทางเดิม ก่อนที่หางตาจะเหลือบไปเห็นรถยุโรปสีขาวที่จอดเลยป้ายรถเมล์ไปหน่อย ด้วยยี่ห้อรถที่ไม่พบเห็นกันบ่อยนักทำให้ภูมิจำได้ว่ารถคันนี้แล่นเข้ามาจอดตั้งแต่ตอนที่เขามายืนรอรถเมล์ช่วงแรก จนตอนนี้ก็ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว



            “ยังไม่ไปอีกหรือไง” ภูมิบ่นพึมพำ มองสัญลักษณ์รูปตัว V สองตัวพาดกันอย่างนึกสงสัยว่ามารอรับใครที่ไหน แต่ยังไม่ทันจะได้คิด เขาก็หันไปเห็นรถเมล์สายที่รอขับเข้ามาใกล้ ภูมิจึงรีบโบกมือเรียก เพราะหากพลาดคันนี้ไปคงต้องรออีกนาน



            พอรถเมล์จอด ภูมิก็เดินขึ้นรถที่แน่นขนัดไปด้วยผู้คนในชั่วโมงเร่งด่วนอย่างเคยชิน เขาขยับตัวเข้าไปด้านในสุดเท่าที่จะขยับได้ ก่อนหยิบหูฟังเสียบกับโทรศัพท์เพื่อฟังเพลงคลายความน่าเบื่อระหว่างเดินทาง



            โดยไม่ได้สังเกตว่าหลังจากรถเมล์ออกตัว รถยนต์คันสีขาวที่เขาคิดว่าจอดรอรับคนก็เริ่มเคลื่อนตัวตาม











 

            หลังจากเดินทางมาร่วมสองชั่วโมง รถโดยสารประจำทางก็จอดเทียบป้ายที่ต้องการ ภูมิก้าวลงจากรถพร้อมคนอีกสองสามคน ท้องฟ้าที่เริ่มมืดลงทำให้เขาขมวดคิ้วหน่อยๆ  ตอนเรียนมัธยมเขาใช้เวลาเพียงชั่วโมงกว่าเท่านั้นในการนั่งรถเมล์กลับบ้าน แต่นี่เป็นวันแรกที่เขาได้นั่งรถเมล์กลับจากมหาวิทยาลัยในช่วงเวลาเลิกงานของพนักงานออฟฟิศ และยิ่งมหาวิทยาลัยของเขาอยู่ใจกลางเมือง ทำให้กว่าจะฝ่าการจราจรถึงหน้าปากซอยบ้านได้ก็กินเวลาพอสมควร



            โชคยังดีที่วันนี้เลิกเรียนเร็ว ฟ้าจึงยังไม่มืดสนิท เขาจึงสามารถเดินเข้าซอยได้โดยที่ไม่อันตรายมากนัก



            ประมาณสิบนาทีภูมิก็ถึงบ้าน รถของพ่อจอดไว้อยู่แล้ว พอเข้าบ้านเขาก็ยกมือสวัสดีพ่อเหมือนทุกทีแล้วขอตัวขึ้นห้อง



            ภูมิวางกระเป๋าบนโต๊ะก่อนเดินมาทิ้งตัวบนเตียง หลับตาลงเพื่อพักสายตาสักครู่ เมื่อลืมตาขึ้นมาก็ดันเหลือบไปเห็นกล้องถ่ายรูปที่วางแน่นิ่งบนหัวเตียง



            เมื่อหลายปีก่อนมันทำให้เขานึกถึงใครคนหนึ่งทุกครั้ง และเจ็บทุกครั้งที่ได้มอง แต่เมื่อเวลาผ่านไป ภาพเหล่านั้นก็ค่อยๆ จางลง มันกลายเป็นกล้องถ่ายรูปธรรมดาตัวหนึ่งที่ทำให้เขารำลึกถึงแม่ ไม่ใช่ผู้ชายอีกคน



            แต่วันนี้ภูมิกลับเริ่มไม่แน่ใจว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เขาลืมเรื่องของผู้ชายคนนั้นไปแล้วจริงๆ หรือเขาบังคับตัวเองให้ลืม เพราะเพียงแค่ได้พบกันอีกครั้ง ความรู้สึกหลายอย่างก็ประดังประเดเข้ามาจนตั้งตัวไม่ทัน และทำให้วันนี้เขารู้สึกเหนื่อยเกินกว่าที่ควรจะเป็นในวันเปิดเทอมวันแรก



            ภูมิหลับตาลงอีกครั้ง เขาต้องการพัก ขอแค่คืนเดียวเท่านั้น



เขาไม่ใช่ภูมิคนเดิมที่จะร้องไห้ฟูมฟายหาคนปลอบใจเพียงเพราะสับสนอีกแล้ว เวลาหลายปีที่ผ่านมาทำให้เขาโตขึ้น เขาขอแค่คืนเดียวให้ได้พักตั้งสติกับตัวเอง



...และหลังจากนี้เขาจะไม่สับสนกับผู้ชายที่เคยหลอกลวงเขาอีก











 

ด้านนอกรั้วบ้าน โฟล์คยืนมองหน้าต่างห้องนอนที่ยังเปิดไฟสว่างโร่ แต่กลับดูไม่มีการเคลื่อนไหวภายในห้อง บางทีคนตัวเล็กของเขาอาจหลับไปแล้ว



ชายหนุ่มยกยิ้มกับตัวเอง ...คนตัวเล็กงั้นเหรอ ภูมิโตขึ้นตั้งมาก ทั้งส่วนสูงและแววตา บ่งบอกว่านี่ไม่ใช่เด็กน้อยคนเดิมของเขาอีกต่อไป ถึงจะเป็นอย่างนั้น เขาก็ยังห่วงเด็กคนนี้มากจนถึงขนาดขับรถตามมาถึงหน้าบ้านเพื่อให้แน่ใจว่าภูมิกลับถึงบ้านอย่างปลอดภัย ต้องขอบคุณที่พ่อเพิ่งซื้อรถคันใหม่ให้ ภูมิจึงไม่รู้ว่ารถคันที่จอดรอที่ป้ายรถเมล์อยู่นานสองนานคือรถของเขาเอง



            โฟล์คแค่นหัวเราะ ...เพิ่งบังเอิญได้เจอกันครั้งดียว ภูมิก็ทำให้เขาเป็นถึงขนาดนี้ แล้วต่อไปเขาจะห้ามตัวเองได้ถึงขั้นไหน



            ร่างสูงยืนอยู่อย่างนั้นอีกเพียงครู่ แล้วจึงหมุนตัวกลับขึ้นรถ ก่อนขับออกไปตามทางเดิม











 

            ภูมิและปิงปองเปิดเทอมใหม่ได้หนึ่งสัปดาห์แล้ว ทั้งสองคนรู้จักเพื่อนใหม่มากขึ้นพอสมควร ด้วยลักษณะนิสัยของเด็กนิเทศที่ช่างพูดช่างคุย ปรับตัวเข้ากับคนง่าย อีกทั้งคณะนี้ยังมีจำนวนนักศึกษาต่อชั้นปีไม่มาก ทำให้คนที่ชอบเข้าหาคนอื่นอยู่แล้วอย่างปิงปองสนิทสนมกับเพื่อนใหม่ไปแล้วกว่าครึ่งคณะ และภูมิที่ตัวติดกับปิงปองตลอดก็พลอยได้รู้จักคนอื่นไปด้วย



            “เฮ้ยปิงปอง เย็นนี้ทำฉากมั้ย” ผู้ชายหัวโล้นคนหนึ่งเอื้อมมือมาสะกิดปิงปองจากด้านหลังเมื่ออาจารย์สอนเสร็จ



            “เออเอาดิ เย็นนี้กูว่าง” ปิงปองหันไปตอบ แล้วหันกลับมาถามภูมิ “แล้วมึงอยู่ปะ”



            ภูมิส่ายหน้า “โทษที เย็นนี้ไม่ว่างว่ะ”



            เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว พวกรุ่นพี่ปีสองเพิ่งมาขอความร่วมมือเด็กปีหนึ่งให้ช่วยงานกีฬามหาวิทยาลัย โดยงานที่ได้รับมอบหมายหลักๆ ก็คือการทำคัทเอาท์แสตนด์ หรือที่เรียกติดปากว่าการทำฉาก ในขณะที่เด็กอีกส่วนหนึ่งจะถูกเกณฑ์ไปซ้อมแสตนด์เพื่อขึ้นแสตนด์ในวันจริง



            ภูมิเลือกหน้าที่ทำฉาก เพราะเวลาในการทำงานยืดหยุ่นกว่า หากช่วงไหนที่ว่างก็สามารถมาช่วยทำงานได้โดยไม่จำเป็นต้องกลับดึก ในขณะที่การซ้อมแสตนด์บางครั้งต้องซ้อมถึงดึก และมีการกำหนดตำแหน่งที่นั่งชัดเจนเพื่อแปรอักษร หากวันไหนไม่สามารถอยู่ได้ก็จะเป็นผลเสียต่อการซ้อม



            ส่วนปิงปองก็แล่นไปสมัครเป็นนักกีฬาเรียบร้อย เลยไม่ได้ลงชื่อทำงานอะไร แต่ถ้าว่างก็มักจะไปช่วยภูมิและเพื่อนคนอื่นทำฉากบ่อยๆ



            ภูมิเดินออกมายืนรอรถรับ-ส่งภายในมหาวิทยาลัยด้านหน้าคณะ ขณะเดียวกันก็ต่อสายถึงเพื่อนอีกคน



            “ไอ้ซัน กูเลิกเรียนแล้วนะ มึงอยู่ไหน”



            [อยู่บนรถไฟฟ้าแล้ว อีกสองสถานีถึง] ปลายสายตอบกลับมา



            “โอเค เจอกัน”



            ภูมิวางสายเพื่อนสนิทที่ตอนนี้สอบติดแพทย์มหา’ลัยดังที่เดียวกับที่พี่ภาคย์เรียน แล้วมันก็ย้ายไปอยู่หอใกล้มหา’ลัยจะได้เดินทางสะดวก ทำให้ไม่ได้เจอกันบ่อยนัก แต่วันนี้มันตั้งใจจะมาซื้อกล้องถ่ายรูปตัวใหม่ เลยนัดให้เขามาช่วยเลือกด้วย



            ที่น่าสนใจก็คือ ไอ้ซันดันได้อยู่ห้องพักเดียวกับพี่ภาคย์ ซึ่งภูมิจำได้ขึ้นใจว่ามันแอบชอบพี่ภาคย์มานานขนาดไหน



“ถ้าพี่ภาคย์รู้เข้า ไอ้ซันตายแน่”



ภูมิพึมพำกับตัวเองเบาๆ  แม้จะดีใจแทนเพื่อนไม่น้อยที่ได้อยู่ใกล้ๆ คนที่ตัวเองแอบชอบ แต่อีกใจก็สงสาร เพราะเขารู้ดีว่าพี่ภาคย์คงไม่มีทางชอบผู้ชาย



            พอคิดถึงตรงนี้ภูมิก็แค่นหัวเราะกับตัวเอง ใช่...พี่ภาคย์เกลียดความสัมพันธ์ประเภทนี้เข้าไส้เลยล่ะ เขาได้สัมผัสมันมาแล้ว



            รถสายที่ภูมิรอมาถึงพอดี ภูมิก้าวขึ้นรถ ด้วยความที่เป็นช่วงเวลาเลิกเรียนเลยมีคนจับจองพื้นที่ในรถพอสมควร ภูมิเดินเข้าด้านใน แล้วก็ต้องชะงักเมื่อสบตากับผู้ชายร่างสูงที่ยืนอยู่ก่อนแล้ว



            ...พี่โฟล์ค...



            ทางด้านโฟล์คเองก็ทำตัวไม่ถูกเช่นกัน ความจริงเขาเห็นภูมิตั้งแต่รถชะลอจอดเทียบป้าย แล้วเมื่อภูมิเดินขึ้นมาก็ถูกคนที่ขึ้นทีหลังดันให้เดินเข้าด้านในตัวรถจนชนกับที่ที่เขายืนอยู่



            “ภูมิ...จะไปไหนเหรอครับ”



            เขาลองถาม แม้จะคิดว่ามีโอกาสน้อยนิดที่คนตัวเล็กจะให้คำตอบ แต่ครั้งนี้ คนที่คิดว่าจะทำเป็นเมินเขากลับไม่ทำเช่นเดิม



            “ไปหาเพื่อน” ภูมิหันมาตอบด้วยสีหน้าปกติ “พี่ล่ะ”



            “พี่ก็ไปหาเพื่อนเหมือนกัน” โฟล์คที่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะถามกลับตอบเกือบไม่ทัน



            “ปกติพี่มีรถนี่ ไม่ขับไปล่ะ”



            “เดี๋ยวพี่จะต้องกลับมาประชุมที่คณะครับ ก็เลยทิ้งรถไว้ที่นี่ เดี๋ยวค่อยกลับมาเอา”



            “งานพี่ดูเยอะจัง”



            บทสนทนายังคงดำเนินต่อไปอย่างราบเรียบ ถามบ้างตอบบ้างเหมือนคนรู้จักกันปกติ จนโฟล์คที่ไม่คาดคิดว่าจะได้มีโอกาสแบบนี้เก็บความดีใจแทบไม่มิด แม้คนข้างตัวจะไม่ค่อยหันมาสบตาเขาก็ตาม



            หลังจากวันแรกที่บังเอิญเจอกัน ปิงปองก็แอบส่งตารางเรียนมาให้เหมือนรู้ว่าเขาต้องการอะไร และเขาก็ตอบรับการเปิดทางของปิงปองด้วยการไปแอบดูภูมิที่ห้องเรียนเป็นครั้งคราว แม้จะบอกตัวเองหลายครั้งว่าไม่ควร แต่รู้ตัวอีกทีก็จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูตารางเรียนของอีกฝ่ายตอนว่าง และที่สำคัญ...หากวันไหนไม่ติดงาน เขาก็จะขับรถตามภูมิจนถึงบ้าน โดยที่ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าจะทำแบบนี้เพื่ออะไร



            เขาไม่เคยทำแบบนี้หรือรู้สึกแบบนี้กับใคร แต่เพราะเป็นภูมิ...ทำให้เขายอมทำตัวเป็นคนโรคจิตเพราะสองคำสั้นๆ



            คิดถึง...และเป็นห่วง



            จนมาวันนี้ที่เขาบังเอิญเจอคนตัวเล็กบนรถ ทั้งยังไม่โดนเมินเหมือนคราวก่อน โฟล์คจึงดีใจจนก้อนเนื้อในอกเต้นแรง และแม้ภูมิจะลงจากรถไปแล้ว เขาก็ยังมองตามจนลับสายตา



            ทางด้านภูมิ เพียงแค่ก้าวลงจากรถ เขาก็ลอบถอนหายใจกับตัวเองเบาๆ



            เขารู้อยู่แล้วว่าเรียนอยู่มหา’ลัยเดียวกัน อย่างไรก็คงได้เจอกันอีกครั้ง และการวางตัวเป็นคนรู้จักกันธรรมดาน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เขาไม่อยากทำตัวเป็นเด็กไม่รู้จักโตด้วยการฝังใจเจ็บกับเรื่องในอดีต เพราะเขารู้ว่าพี่โฟล์คไม่ใช่คนไม่ดี ผู้ชายคนนี้เคยช่วยเขามามากจริงๆ



            แต่ถึงอย่างนั้น ภูมิก็พบว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะสบตาอีกฝ่ายโดยไม่รู้สึกอะไร



            เสียงโทรศัพท์ในกระเป๋าดังขึ้น เมื่อภูมิเห็นว่าเป็นสายจากเพื่อนสนิทก็กดรับ “ฮัลโหล”



            [กูถึงแล้วนะเว้ย มึงอยู่ไหนเนี่ย]



            “เออ อยู่หน้าห้างแล้ว เดี๋ยวเดินเข้าไป”



            เขากับไอ้ซันนัดเจอกันที่ศูนย์อาหารชั้นล่างซึ่งเวลานี้แน่นขนัดไปด้วยผู้คน แต่ใช้เวลาไม่นานภูมิก็เจอเพื่อนตัวเองในชุดนักศึกษากำลังนั่งคีบก๋วยเตี๋ยวกินที่โต๊ะด้านใน แถมผมที่เคยเป็นสีดำธรรมชาติก็ถูกย้อมเป็นสีน้ำตาลกลาง โดดเด่นขึ้นมาจากผู้คนรอบด้าน



            ภูมิเดินตรงเข้าไปวางกระเป๋าบนเก้าอี้ และทิ้งตัวลงนั่ง “ไงมึง จะไปกันยัง”



            “เดี๋ยวสิ ขอกูกินก่อน” ไอ้ซันพูดทั้งที่ยังเคี้ยวเต็มปาก “ก็มึงมาช้า กูหิว”



            เขาส่ายหน้า ยกมือขึ้นเท้าคางมองคนตรงข้ามที่กินอย่างเอร็ดอร่อย “แล้วมึงเป็นไงบ้าง”



            “อืม...ก็ดีนะ” มันตอบง่ายๆ “ปีหนึ่งก็ยังเรียนไม่หนัก เวลาว่างกูเพียบ คงไปหนักเอาปีสูงๆ”



            “กูไม่ได้อยากรู้เรื่องเรียน”



            “อ้าว แล้วมึง...” ซันตั้งใจจะถามว่าแล้วอยากรู้เรื่องอะไร แต่พอเงยหน้าสบแววตามีเลศนัยของเพื่อนก็ถึงกับกลืนน้ำลาย “เออ กูรู้ละ”



            “ฮ่าๆ กูล้อเล่น กูก็ถามรวมๆ นั่นแหละ”



            “แต่มึงอยากรู้เรื่องกูกับพี่ภาคย์มากกว่าใช่มั้ยล่ะ”



            ภูมิพยักหน้าหงึกหงัก “ใช่ แล้ว...เป็นไงบ้างวะ อยู่ห้องเดียวกัน”



            ไอ้ซันวางช้อนกับตะเกียบในมือลงทันที สีหน้าบอกบุญไม่รับทันใด จนภูมิเองก็เปลี่ยนสีหน้า



            “พี่ภาคย์ไม่โอเคเหรอวะ”



            “เปล่าหรอก ก็แค่...” คนพูดถอนหายใจ “วันแรกที่กูเข้าหอ พี่มึงพาผู้หญิงมานอน”



            “เชี่ย”



            “เออ พี่ภาคย์บอกแม่งจำวันผิด นึกว่ากูเข้าหออีกวัน”



            “แต่พี่ภาคย์ยังไม่มีแฟนนะเว้ย คนนั้นก็คงเป็นแค่...อืม ชั่วคราว”



            “อือ กูรู้” ไอ้ซันว่าอย่างนั้น แล้วหยิบตะเกียบคีบเส้นเข้าปากต่อ แต่พอเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของคนที่นั่งเท้าคางอยู่ตรงข้าม มันก็ยิ้มให้ “มึงไม่ต้องคิดมากหรอก เดี๋ยวกูก็ชิน”



            “กูแค่...เฮ้อ เอาเถอะ มีอะไรก็ปรึกษากูแล้วกัน”



            เขาเคยบอกมันเรื่องที่พี่ภาคย์ไม่ชอบเกย์ไปแล้ว ตอนแรกมันก็เฟลพอสมควร แต่สักพักก็ทำใจได้ และดูท่าว่าจะตัดใจจากพี่เขาไม่ได้เลย



            แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังหวังให้มันเปิดใจมองคนอื่นบ้าง จะได้ไม่ต้องเจ็บแบบนี้



            “แล้วมึงคิดจะลองจีบใครบ้างมั้ย” ภูมิลองเลียบเคียงถาม



            “ก็คิดนะ” ไอ้ซันยักไหล่ “เพื่อนกูในเซคก็มีคนน่ารักอยู่ แล้วเขาก็เหมือนจะสนใจกู บางที...กูอาจจะลองดู”



            “เออ มันต้องอย่างนี้สิวะ” เขายิ้มร่าทันที ทว่าก็โดนขัด



            “แต่คงไม่ง่ายนะมึง เรื่องแบบนี้แม่งยาก...มึงก็คงเข้าใจ”



            พอเพื่อนบอกมาแบบนั้น เขาก็ชะงัก และอาการแบบนี้ก็สะดุดตาคนที่นั่งตรงข้าม จนไอ้ซันวางตะเกียบอีกรอบ แล้วเลิกคิ้วเล็กน้อยเหมือนเป็นสัญญาณว่า ‘กูเล่าแล้ว มึงเล่ามา’



            ภูมิถอนหายใจ แล้วพูดเบาๆ “กูเจอพี่โฟล์ค”



            “ก็คิดอยู่แล้ว ...ตั้งแต่เมื่อไหร่”



            “วันแรก” เขาตอบ “วันนี้ก็เจอ”



            “แล้วเป็นยังไง”



            ภูมิเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ไอ้ซันฟังอย่างไม่ปิดบัง เขารู้ว่าเพื่อนถามด้วยความเป็นห่วง และมันก็เป็นเรื่องดีที่ได้มีโอกาสระบายสิ่งที่อยู่ในใจตลอดสัปดาห์ให้ใครสักคนฟัง เพราะถึงแม้เขาจะสนิทกับปิงปอง แต่คนที่รู้เรื่องของเขากับพี่โฟล์คตั้งแต่แรกก็คือไอ้ซัน



            พอเล่าจบ ไอ้ซันก็เงียบไปหน่อย ก่อนจะถามออกมา “แล้วมึงยังรู้สึกกับเขาเหมือนเดิมหรือเปล่า”



            ภูมิส่ายหน้า แล้วตอบอย่างหนักใจ “กูไม่รู้ว่ะ”



“แล้วแฟนของเขาล่ะ”



            ภูมิชะงัก ซันจึงขยายความต่อ



            “แฟนของเขาที่มึงเคยเล่าให้ฟังไง”



            “ไม่รู้สิ กูไม่เคยเจอ” เขาตอบ แต่ก็ต้องชะงักอีกรอบเมื่อได้ยินคำถามถัดมา



            “งั้นถ้าเขาเลิกกันแล้วล่ะ”



            ซันทำสีหน้าจริงจัง แค่เห็นสายตาของเพื่อนสนิทในตอนแรก ซันก็รู้ว่าเพื่อนเขาคิดอย่างไร และยังรู้สึกกับผู้ชายคนนั้นอยู่หรือเปล่า อีกทั้งเมื่อได้ฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้น ...เขาว่ามีโอกาสสูงที่พี่โฟล์คจะยังตัดใจจากเพื่อนเขาไม่ได้



            เขาไม่รู้ว่าเมื่อสองปีที่แล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่เวลาก็ผ่านมานานขนาดนี้แล้ว หลายอย่างสามารถแก้ไขและเริ่มใหม่ได้ ยิ่งถ้าสิ่งนั้นจะทำให้เพื่อนของเขามีความสุขมากกว่าตอนนี้ เขาก็พร้อมสนับสนุน



            ภูมิมีสีหน้าสับสนกับคำถาม สักพักก็ตอบเสียงเบา “ไม่รู้ว่ะ กูไม่รู้จริงๆ”



            “เออช่างเถอะ ไม่ต้องคิดมาก” ซันยิ้มร่า พยายามดึงบรรยากาศกลับมา “แต่ถ้าให้กูแนะนำนะ มึงอย่าปิดตัวเองเลย หลายๆ อย่างอาจไม่ได้เป็นแบบที่มึงคิดก็ได้”



            “กู...จะลองดูแล้วกัน”



            “เออๆ มีอะไรก็ปรึกษากูได้”



ภูมิพยักหน้ารับ และปล่อยให้ไอ้ซันก้มลงกินก๋วยเตี๋ยวต่อจนหมดชาม



------------------------------- TBC ----------------------------------



พี่โฟล์คก็ยังเป็นพี่โฟล์คคนเดิมนะคะ ยังห่วงน้องถึงขั้นขับรถตามไปส่งบ้าน /กระซิบว่าจะไม่ใช่แค่ครั้งเดียวค่ะ พี่แกห่วงของแกจริงๆเด้อ

ให้เวลาน้องภูมิสับสนอีกนิด อีก 3 ตอนจะจบแล้วค่ะ :)

เจอกันวันเสาร์นะคะ วันนั้นจะเปิดเรื่องใหม่ด้วย ฝากติดตามด้วยน้า ตื่นเต้นน

นายเอกของเรื่องใหม่จะออกมารับเชิญในเรื่องนี้อีกสองตอนข้างหน้าด้วยค่ะ ส่วนพระเอกจะมาตอนบทส่งท้าย เรียกว่าพอลงบทส่งท้ายเรื่องนี้ปุ๊บ ก็ขอลงบทนำของเรื่องใหม่พร้อมกันวันนั้นเลยนะคะ เรื่องราวต่อกันเลย

ส่วนคู่อื่นๆ ถ้าตามไทม์ไลน์ เรื่องของซันกับพี่ภาคย์เริ่มตั้งแต่วันที่ซันเข้าหอวันแรกและเจอพี่ภาคย์พาผู้หญิงมานอนแล้วค่ะ  ส่วนปิงปองกับพี่ธันวาก็จะได้เจอกันอีกครั้งในบทส่งท้ายของเรื่องนี้ แต่ยังไม่มีแพลนจะเขียนเลย แฮ่

ขอบคุณที่ติดตามกันนะคะ ทักทายกันได้ใน facebook กับ twitter นะ <3



CT.hamonigar




ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
ควรจะได้คัยกันสักที

 :L2: :L1: :pig4:

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
รักก้อต้องบอกไปนะ

ออฟไลน์ CT.hamonigar

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0
Chapter 21 : เรื่องที่รับรู้



‘มึงอย่าปิดตัวเองเลย หลายๆ อย่างอาจไม่ได้เป็นแบบที่มึงคิดก็ได้’



เขาปิดตัวเองงั้นหรือ?



ภูมิถามตัวเองในใจซ้ำไปซ้ำมา ตอนนั้นเขาตอบไอ้ซันว่าจะลองดู แต่เอาเข้าจริงๆ ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามันหมายความว่าอย่างไร



เขาก็พยายามคุยกับพี่โฟล์คปกติแล้วนี่นา ไม่ได้ปิดเสียหน่อย



“ภูมิ...ไอ้ภูมิ”



หรือเขาต้องสบตาพี่โฟล์คด้วย? แต่มันยากนี่หว่า ทำไมไอ้ซันไม่เข้าใจเลย



“เฮ้ย...มึง”



แล้วเขาจะคิดมากทำไม อยู่คนละคณะคงไม่เจอกันบ่อยนักหรอก บางทีอาจจะไม่ได้เจอกันอีกก็ได้ ไอ้ซันต่างหากที่น่าเป็นห่วง อยู่ห้องเดียวกันทุกวัน แถมพี่ภาคย์ยังเปลี่ยนผู้หญิงควงเป็นว่าเล่น



“ไอ้ภูมิ...”



ได้แต่หวังให้มันตัดใจจากพี่เขาเร็วๆ นั่นแหละ เฮ้อ ไอ้ซันหนอไอ้ซัน...



“ไอ้เชี่ยภูมิ!”



“เฮ้ย!” คนถูกเรียกสะดุ้งสุดตัว เพราะไม่ได้มาแค่เสียง แต่มือของเขาที่ถือแปรงอยู่ก็ถูกตีเต็มแรงจนรู้สึกชา พอหันไปพบว่าคนทำไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากไอ้เพื่อนสนิทตัวดี เขาก็รีบโวย “เชี่ยปิงปอง ตีกูทำไมวะ”



“มึงก็ก้มลงดูฉากที่มึงกำลังระบายสิครับ” ไอ้ปิงปองยิ้มเหี้ยม ใช้นิ้วจิ้มๆ ข้างล่างจนเขาต้องมองตาม “กูอุตส่าห์มาร์คไว้ให้ว่าสีเหลือง จะระบายสีขาวทำห่าอะไร”



“อ้าว...เฮ้ย โทษทีว่ะ กูเบลอ” พอเห็นว่าผิดจริงก็รีบขอโทษ แล้วหันซ้ายหันขวาเพื่อหากระป๋องสีเหลือง แต่หาอย่างไรก็ไม่เจอสีที่ต้องการ เลยเดินไปสะกิดถามเพื่อนที่นั่งระบายฉากอีกฝั่งหนึ่ง “จอย เห็นสีเหลืองมั้ย”



“สีเหลืองเหรอ เมื่อกี้เด็กครุมาขอยืมไปน่ะ เห็นว่าเดี๋ยวเอามาคืน” ผู้หญิงมัดผมม้าที่อยู่ชั้นปีเดียวกันตอบกลับ



“งั้นเหรอ” ภูมิพยักหน้ารับ เพราะคณะอยู่ใกล้กัน การวิ่งยืมของกันเลยไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร บางทีถ้าอุปกรณ์ชิ้นไหนของคณะขาดเหลือ เด็กจากคณะเขาก็จะวิ่งไปยืมเพื่อนคณะข้างเคียงเหมือนกัน



“งั้นเดี๋ยวเรากับภูมิไปเอาคืนเอง” ปิงปองเข้าประชิดตัวพร้อมกับยกมือคล้องคอเพื่อนสนิทที่หันขวับมาทันที ศอกก็กระทุ้งคนที่มัดมือชกเบาๆ



“จะไปทำไมวะ เดี๋ยวเขาก็เอามาคืนแล้ว”



“โห รอเขาเอามาคืนเดี๋ยวก็ช้ากันพอดี มึงเป็นคนระบายสีผิดนะไอ้ภูมิ”



เพราะมีชนักติดหลัง ทำให้ภูมิที่ตั้งใจจะอ้าปากเถียงต้องหุบปากฉับลงเหมือนเดิม ปิงปองเห็นดังนั้นก็หัวเราะร่า จัดการลากคอคนข้างตัวให้เดินตามไป ไม่สนใจคนถูกบังคับที่กำลังทำสีหน้าเอือมระอาแบบสุดๆ



คณะนิเทศฯ กับครุฯ ห่างกันแค่ถนนเส้นเดียวกั้น ถือว่าเป็นคณะเพื่อนบ้านที่ไปมาหาสู่กันไม่ยากนัก ในช่วงเวลาเย็นเช่นนี้ ภาพที่ปรากฏเหมือนกันของทั้งสองคณะคือเหล่านักศึกษาที่รวมตัวกันทำกิจกรรมอย่างคึกคัก ด้านหนึ่งก็ซ้อมเต้นเชียร์ อีกด้านก็ซ้อมสแตนด์ ทั้งยังมีส่วนที่ดูแลฉากและอุปกรณ์สำหรับใช้ในงานกีฬามหาวิทยาลัย



ภูมิและปิงปองเดินเข้าโถงใต้ตึกคณะครุศาสตร์ที่มีฉากคัตเอาท์วางเรียงราย นักศึกษาหลายคนกำลังช่วยกันวาดฉากและลงสีอย่างขะมักเขม้นไม่ต่างจากภาพที่เห็นในคณะนิเทศฯ นัก



“นั่นของเราปะ” ปิงปองสะกิดให้ภูมิดูกระป๋องสีเหลืองที่อยู่อีกฝั่งของโถง ซึ่งมีชื่อคณะเขียนอยู่ข้างกระป๋องเหมือนกับกระป๋องสีและอุปกรณ์หลายอย่างของคณะนิเทศฯ  เป็นสัญลักษณ์ที่ทำไว้เพื่อป้องกันของหายหรือสลับกับคณะอื่น ภูมิเห็นดังนั้นก็พยักหน้า



“น่าจะใช่นะ”



“น้องๆ สองคนว่างกันมั้ยคะ”



แต่ยังไม่ทันจะได้ขยับตัว เสียงเรียกจากด้านหลังก็ทำให้ทั้งสองคนหันกลับไปมอง ก่อนที่ปิงปองจะรีบปั้นรอยยิ้มเมื่อพบว่าเจ้าของเสียงเป็นรุ่นพี่สาวสวยที่หน้าตาจิ้มลิ้มน่ารัก ถูกอกถูกใจเขาเสียเหลือเกิน



“ว่าไงครับพี่คนสวย”



ภูมิแทบจะถอนหายใจกับความไวเรื่องผู้หญิงแบบเกินหน้าเกินตาของเพื่อนข้างตัว แต่รุ่นพี่ตรงหน้าแค่ยิ้มรับเล็กน้อยและพูดต่ออย่างไม่ใส่ใจ



“น้องๆ ว่างกันมั้ย ไปช่วยพี่ยกมาสคอตจากห้องสโมหน่อยสิ”



“อืม...จริงๆ ผมไม่ได้เรียนคณะนี้หรอกครับ”



“อ้าวเหรอ งั้น...”



“แต่ถ้าพี่ขอ ผมก็เต็มใจจะช่วยนะ”



ไม่ว่าเปล่า ไอ้ปิงปองดันก้าวเท้าเข้าใกล้รุ่นพี่และส่งสายตากรุ้มกริ่มให้ แบบที่ผู้หญิงหลายคนคงหลุดเขินออกมาบ้าง แต่ไม่ใช่กับผู้หญิงตรงหน้าที่แค่คิ้วกระตุกทีหนึ่ง แต่ยังไม่ทันจะได้ทำอะไร ชายหนุ่มอีกคนก็เข้ามาโอบไหล่หญิงสาวจากทางด้านหลังแล้วพูดด้วยเสียงที่จงใจให้เด็กปีหนึ่งทั้งสองคนได้ยิน



“ที่รักจ๋า ทำอะไรอยู่เอ่ย”



“อีตาบ้า! ปล่อยเลย” หญิงสาวหันไปแหวใส่คนข้างตัวพร้อมกับตีไหล่เบาๆ  แต่คนถูกตีกลับทำสีหน้าโอดโอย



“ชัยเจ็บนะ น้ำไม่รักชัยแล้วเหรอ”



เธอถอนหายใจกับความกวนประสาทของชายหนุ่ม ทว่าก็หันกลับมาคุยกับภูมิและปิงปอง โดยเฉพาะคนหลังที่ทำหน้าเสียดายอย่างเห็นได้ชัดเมื่อรู้ว่ารุ่นพี่สาวสวยมีแฟนแล้ว



“ขอโทษนะ พี่เห็นมือเราเลอะสีก็เลยนึกว่าเป็นเด็กปีหนึ่งที่ทำฉากตรงนี้ พวกพี่ขอตัวก่อนนะ”



“เดี๋ยวก่อน” ทว่าชัยกลับพูดแทรกขึ้นมา พร้อมกับมองปิงปองด้วยสายตาไม่เป็นมิตรนัก “นี่น้องอยู่คณะอะไร”



“นิเทศครับผม” ปิงปองตอบด้วยรอยยิ้มอย่างไม่เกรงกลัว ชัยเห็นดังนั้นก็แค่นยิ้ม กระชับวงแขนที่โอบไหล่หญิงสาวไว้ให้แน่นขึ้น



“นี่แฟนพี่ อย่ายุ่ง”



“ชัย!”



น้ำหันไปแหวใส่แฟนหนุ่มอีกรอบ ปิงปองเห็นดังนั้นก็หัวเราะออกมาหน่อย แล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงใจ



“ขอโทษจริงๆ ครับ ผมเห็นพี่คนนี้เขาสวยดีเลยหยอดนิดหน่อย ไม่รู้ว่ามีแฟนแล้ว แต่ผมไม่ยุ่งกับคนมีเจ้าของหรอก พี่ไม่ต้องห่วง”



ชัยเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยกับคำพูดตรงไปตรงมาของรุ่นน้อง ส่วนน้ำก็หัวเราะแล้วหันไปแซะคนข้างตัวเบาๆ



“ชัยก็น่าจะเข้าใจน้องเขาดีนะ วันก่อนยังไปเหล่สาวนิเทศอยู่เลยนี่”



คนมีคดีไหล่ตกทันควัน รีบเปลี่ยนสีหน้าเพื่องอนง้อแฟนสาว ภูมิกับปิงปองยิ้มขำกันเล็กน้อยแล้วตั้งใจจะขอตัว แต่สายตาของปิงปองดันเหลือบไปเห็นร่างสูงของชายหนุ่มอีกคนที่เดินเข้ามาจากอีกฟากของโถง เลยสะกิดให้เพื่อนข้างตัวดู



“ไอ้ภูมิ นั่นพี่โฟล์คนี่หว่า”



เพียงแค่ได้ยินชื่อ ภูมิก็ชะงักไปเล็กน้อย แต่ก็มองตามที่เพื่อนชี้จนพบกับอดีตครูสอนพิเศษที่กำลังถือป้ายประกาศขนาดใหญ่เตรียมติดบอร์ด โดยไม่ได้สังเกตว่าพวกเขายืนอยู่อีกฝั่งของโถงทางเดิน



“อ้าว น้องรู้จักโฟล์คด้วยเหรอ” น้ำเอ่ยถาม ปิงปองจึงพยักหน้ารับ แล้วกระทุ้งศอกใส่คนที่ยืนนิ่งอยู่ข้างๆ



“ผมรู้จักผ่านไอ้ภูมิอีกทีน่ะ เอ...ตอนนั้นมึงกับพี่โฟล์ครู้จักกันได้ไงนะ”



“ก็...พี่เขาเคยสอนพิเศษกูไง”



ภูมิต้องใช้เวลาคิดสักพักถึงจะตอบออกมาได้ เพราะบอกตามตรงว่าหน้าที่ครูสอนพิเศษของพี่โฟล์คเกิดขึ้นแค่ช่วงแรกๆ เท่านั้น และในความทรงจำของเขา...พี่โฟล์คเป็นมากกว่านั้น



ไม่สิ ถ้าเป็นตอนนี้คงต้องใช้คำว่า ‘เคยเป็น’



“อ้อ พี่จำได้แล้ว มีช่วงนึงที่โฟล์คไปช่วยติวให้น้องของเพื่อนที่รู้จักนี่นา ใช่มั้ยชัย”



“เอ้อ ใช่ๆ ช่วงนั้นไอ้โฟล์คหายหน้าหายตาไปเกือบทุกเย็นเลยมั้ง อย่างกับติดแฟน ฮ่าๆ”



ภูมินิ่งไปอีกรอบเมื่อได้ยินคำคำนี้ พร้อมกันนั้นประโยคของเพื่อนสนิทที่อยู่อีกมหาวิทยาลัยก็แวบขึ้นมา



‘แล้วแฟนของเขาล่ะ’



ตั้งแต่เปิดเทอมมา เขาเจอกับพี่โฟล์คหลายครั้ง ทว่ากลับไม่มีครั้งไหนที่เขาเห็นผู้หญิงอยู่ข้างกายพี่โฟล์ค แต่ถึงอย่างนั้นภูมิก็ไม่เคยคิดเข้าข้างตัวเองว่าเขาจะเลิกกัน หรือหากพูดตามตรง เขาพยายามไม่คิดอะไรเลยกับเรื่องนี้ ไม่อยากคิดถึงอดีต ไม่อยากคาดการณ์อนาคต เขาเพียงแค่อยากอยู่กับปัจจุบัน ตั้งใจเรียนและทำตามความฝันให้ดีที่สุด



แต่ภูมิก็เกลียดตัวเอง ที่สมองไม่รักดีกลับจำชื่อชื่อหนึ่งได้ขึ้นใจทั้งที่เคยได้ยินเพียงครั้งเดียวเมื่อหลายปีก่อน อีกทั้งปากยังเอ่ยถามไปก่อนที่สมองจะได้ไตร่ตรอง



“แล้ว...พี่มิ้นท์ล่ะครับ”



ปิงปองหันมาหาเพื่อนสนิทด้วยความแปลกใจเมื่อได้ยินชื่อไม่คุ้นหู ส่วนชัยกับน้ำเกิดอาการชะงัก ทั้งคู่มองหน้ากันเล็กน้อย ก่อนที่ชัยจะเป็นฝ่ายถาม “น้องรู้จักแฟนไอ้โฟล์คด้วยเหรอ”



ภูมิรู้สึกปวดหนึบในใจเมื่อได้ยินคำนี้อีกครั้ง แต่เจ้าตัวก็ปัดมันทิ้งแล้วตอบเสียงเบา “ครับ เคยได้ยิน แต่ไม่เคยเจอหรอก”



“อืม...คืองี้นะ” น้ำมีสีหน้าลำบากใจ พยายามเรียบเรียงคำพูดในการตอบ “มิ้นท์กับโฟล์คเป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่เด็กแล้ว แต่พอเริ่มคบกัน มิ้นท์ก็บินไปเรียนต่อที่ต่างประเทศเป็นปี น้องเลยอาจไม่เคยเจอ”



ปิงปองยืนฟังบทสนทนาที่เขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ก็เก็บเรื่องราวที่ได้รับรู้ไปประมวลผลอย่างรวดเร็วจนพอจะเข้าใจอะไรขึ้นมาบ้าง ก่อนจะหันไปมองเพื่อนข้างตัวที่มีสีหน้าเรียบเฉยขณะฟังรุ่นพี่สาวพูดต่อ



“แต่ตอนนี้...มิ้นท์เขาตายแล้วน่ะ”



ภูมิเบิกตากว้าง ไม่ต่างจากปิงปองที่ชะงักไปเช่นกัน



"หลังจากนั้นไอ้โฟล์คก็เปลี่ยนไปเลย" ชัยพูดต่อ พร้อมกับมองเพื่อนสนิทที่ยืนแปะป้ายประกาศอยู่อีกฝั่งของโถงคณะ พลางนึกถึงสภาพของคนที่แทบจะไม่เหลือมาดของเดือนคณะยามรู้ข่าวร้ายของแฟนสาว "นี่แหละนะ...เป็นทั้งเพื่อนสมัยเด็ก เป็นทั้งแฟน ก็เหมือนโลกทั้งใบของมันดับมืด บอกตามตรงว่าตอนนั้นแม้แต่เพื่อนสนิทอย่างพวกพี่ก็ยังไม่รู้จะทำให้มันดีขึ้นยังไง"



ภูมิพูดอะไรไม่ออก เขาไม่เคยคิดว่าเหตุการณ์จะเป็นเช่นนี้ เพราะหลังจากเกิดเรื่องขึ้นครั้งนั้น เขาก็ไม่ได้ติดต่อกับพี่โฟล์คอีกเลย เขาขลุกตัวอยู่แต่กับไอ้ซัน ไอ้ปิงปอง และเพื่อนในวง ทุ่มเททุกอย่างให้การทำงานแบบลืมวันลืมคืน เพื่อบังคับตัวเองไม่ให้มีเวลาคิดถึงผู้ชายคนหนึ่งที่คงกำลังมีความสุขกับแฟนตัวจริง และคงลืมเด็กน้อยอย่างเขาในเวลาไม่นาน



พลันคำถามก็เกิดขึ้น คำถามที่มาพร้อมความเป็นห่วงที่เอ่อล้นจนเต็มหัวใจ ว่าในเวลานั้น...พี่โฟล์คเจ็บปวดขนาดไหน



ภูมินึกภาพนั้นไม่ออก เพราะในความทรงจำของเขา พี่โฟล์คเข้มแข็งและเป็นที่พึ่งให้เขาตลอดเวลา



แต่ในช่วงเวลานั้น...ผู้ชายที่เข้มแข็งคนนี้จะอ่อนแอขนาดไหน และมีใครอยู่ข้างๆ เขาหรือเปล่า



"ไอ้ภูมิ"



ภูมิสะดุ้ง หลุดออกมาจากภวังค์ หันไปมองเพื่อนข้างตัวที่ถามอย่างไม่แน่ใจ



"มึงโอเคนะ?"



ภูมิพยักหน้า แล้วหันกลับไปสบตารุ่นพี่ทั้งสองคนที่ดูแปลกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นเขานิ่งไปขนาดนั้น ก่อนจะถามต่อเสียงเบา "แล้วพี่โฟล์คเป็นยังไงบ้างครับ"



"ตอนนี้มันก็ดีขึ้นแล้วแหละ" ชัยเป็นฝ่ายตอบ "ว่าแต่พวกน้องอยู่ปีหนึ่งกันหรือเปล่า"



"ครับ"



"งั้นพอจะรู้มั้ยว่าไอ้โฟล์คมันชอบใครในคณะน้อง"



"ชัย! บอกน้องแบบนี้จะดีเหรอ" น้ำรีบปรามแฟนหนุ่ม



"เอ้า ก็เผื่อน้องเขาจะช่วยได้ไง ถามไอ้โฟล์คมันก็ไม่เคยยอมบอก" ชัยว่าอย่างนั้น แล้วหันมาคุยกับรุ่นน้องทั้งสองคนต่อ "คืองี้ ช่วงที่ปีน้องสอบเข้ามหา'ลัยน่ะ ไอ้โฟล์คมันดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นเยอะ แถมมันยังแอบเช็ครายชื่อคนที่สอบติดคณะนิเทศ แล้ววันปฐมนิเทศมันยังไปแอบดูเด็กปีหนึ่งที่คณะพวกน้องด้วย ถึงมันไม่ยอมพูดตรงๆ พวกพี่ก็รู้ว่ามันน่าจะชอบเพื่อนน้องสักคนนี่แหละ ยังไงดีล่ะ พี่ก็เข้าใจนะว่ามันเพิ่งเสียแฟน แต่พี่ก็ไม่อยากเห็นมันจมปลักและเศร้าแบบเดิม ถ้าเกิดมีคนที่จะเข้ามาทำให้มันรู้สึกดีขึ้น พี่ก็อยากให้มันสมหวัง น้องก็สนิทกับไอ้โฟล์คใช่ไหม ช่วยมันหน่อยก็แล้วกัน ล่าสุดมันยอมเล่าให้พวกพี่ฟังแค่ว่าคนคนนั้นโกรธมันมากเพราะมันทำผิดกับเขาไว้ แต่ก็ไม่บอกสักทีว่าเป็นใคร"



ภูมิเม้มปากแน่น คำอธิบายยาวเหยียดจากรุ่นพี่เหมือนจะบีบหัวใจเขาทีละประโยค



ภูมิไม่ได้อยากคิดเข้าข้างตัวเอง แต่ทำไมเขานึกถึงคนอื่นไม่ออกเลยนอกจาก...ตัวเขาเอง



ความสับสนฉายชัดผ่านแววตา และมันสั่นไหวจนปิงปองรู้สึกได้ เขาพยายามสะกิดเพื่อนข้างตัวที่วันนี้มีอาการแปลกๆ หลายอย่าง แต่ก็ไม่มีการตอบรับใดๆ



ในเวลาเดียวกัน โฟล์คที่เพิ่งจัดการป้ายประกาศทั้งหมดบนบอร์ดเสร็จก็หันไปเห็นเพื่อนสนิทของตนกำลังยืนอยู่กับรุ่นน้องที่รู้จักดี และนั่นทำให้ชายหนุ่มเบิกตากว้าง สองขาไปก่อนความคิด เตรียมจะขยับเข้าหากลุ่มคนทั้งสี่



ภูมิเห็นแล้วว่าอีกฝ่ายมองตรงมา ทั้งยังเหมือนจะเดินเข้ามาใกล้ แต่เขาไม่รอให้คนที่เป็นต้นเหตุแห่งความสับสนทั้งหมดเข้ามาใกล้มากกว่านี้ เขาหันหลังเตรียมก้าวไปอีกทางก่อนที่ปิงปองจะเรียกไว้ได้ทัน



พลั่ก!



ซ่า



"เฮ้ย!"



เพราะไม่ทันได้มอง ภูมิจึงชนเข้ากับผู้ชายคนหนึ่งที่ถือกระปุกสีเข้ามา จนร่างนั้นเสียหลักและทำสีในมือหล่นลงพื้น



และของเหลวในกระปุก...ก็หกลงบนฉากที่มีการวาดและลงสีไปแล้วกว่าครึ่ง



---------------------------------- TBC ------------------------------



เปิดเรื่องใหม่แล้วค่ะ

【 ก่อน . รัก . เพียง . ฝัน 】 << จิ้มๆ ฝากตัวอีกครั้งนะคะ

ส่วนพี่โฟล์คกับน้องภูมิ ใกล้ถึงบทสรุปของพวกเขาแล้วค่ะ :)

แล้วก็ไม่รู้จะช้าไปมั้ย เรานึกได้ว่าตอนแต่งเรื่องนี้เราฟังเพลงสามเพลงนี้ตลอด เพราะเนื้อเพลงเข้ากับเนื้อหานิยายในแต่ละช่วง เลยอยากนำมาแชร์กันค่ะ
♫ Songs of the story ♫

CT.hamonigar
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-08-2018 21:55:40 โดย CT.hamonigar »

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
เอาใจช่วยนะทั้งคู่
อย่าดราม่าอีกเลย เห้อ แต่ที่บ้านก้อด่านใหญ่เลยล่ะถ้าจะเปิดตัวว่าคบกัน

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด