Chapter 19 : อีกครั้ง
สองปีผ่านไปวันเปิดเรียนวันแรกของภาคการศึกษาใหม่ยังคงวุ่นวายเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา มีทั้งนักศึกษาที่วิ่งวุ่นกับการแก้ผลการลงทะเบียนเรียน เสียงตะโกนทักทายเซ็งแซ่จากกลุ่มเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันตลอดปิดเทอม รวมถึงนักศึกษาใหม่ที่ดูตื่นเต้นไม่น้อยกับการเปิดเรียนครั้งแรกของชีวิตมหาวิทยาลัย
ภูมิรู้สึกประหม่าเล็กน้อยกับการแต่งชุดนักศึกษาท่ามกลางคนมากมายที่ไม่รู้จัก จริงอยู่ที่เขาเคยใส่มาแล้วในวันปฐมนิเทศ แต่วันนั้นเขารับรู้ว่ามีเพื่อนปีเดียวกันมากมายล้อมรอบ ไม่ใช่อยู่คนเดียวท่ามกลางนักศึกษาทุกชั้นปีแบบตอนนี้
สำหรับภูมิ ความรู้สึกตอนนี้เหมือนกำลังอยู่ในถ้ำเสืออย่างไรอย่างนั้น
แน่นอนว่าภูมิได้แค่คิด เพราะเอาเข้าใจจริงแล้ว เขาสามารถตีหน้านิ่งราวกับไม่รู้สึกรู้สาได้ มือก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเล่นเพื่อลดความประหม่า โดยไม่ลืมกดเข้าแอพพลิเคชั่นหนึ่งเพื่อส่งข้อความ
Poom
มึงอยู่ไหนแล้ว <
เร็วๆสิ <
T@฿LETEnN!s
> ไม่เกินครึ่งชั่วโมงเว่ย
> รีบอยู่
Poom
มึงจะบ้าเหรอ <
อีกสิบนาทีเข้าเรียนแล้วนะ <
ภูมิขมวดคิ้วทันที แน่นอนว่าเขาไม่อยากเข้าเรียนสายในครั้งแรก แต่จะให้เข้าไปนั่งเรียนคนเดียวก็วังเวงบอกไม่ถูก
หมับ
“เฮ้ย!” จู่ๆ ก็มีมือตะปบลงที่ไหล่อย่างแรงจากด้านหลังจนภูมิสะดุ้ง รีบหันกลับไปมอง “ไอ้ปิงปอง!”
“ไลน์ตามกูด้วย คิดถึงกูเหรอครับเพื่อน” เพื่อนสนิทตัวดีที่ตามมาเข้าคณะเดียวกันได้ว่าด้วยเสียงทะเล้น เอื้อมมือมาโอบรอบคอภูมิจนคนถูกโอบต้องเบี่ยงตัวออก
“ไม่ต้องรุ่มร่ามเลยมึง แล้วไหนบอกอีกครึ่งชั่วโมง”
“กูบอกว่าไม่เกินครึ่งชั่วโมงต่างหาก”
พอมันเฉลยมา ภูมิก็กลอกตา ทั้งที่รู้สึกชินกับนิสัยชอบกวนประสาทของมันนานแล้ว
“เอาเถอะ ขึ้นเรียนกัน” ภูมิว่าอย่างนั้นพร้อมกับลุกขึ้นแล้วสะพายกระเป๋า
ภาพของชายหนุ่มในชุดนักศึกษาสองคนกลายเป็นเป้าการซุบซิบนินทากันของกลุ่มนักศึกษาสาวเกือบทั้งโรงอาหาร ด้วยความที่คนหนึ่งก็หน้าตาดี แถมยังยิ้มเจ้าเล่ห์สไตล์แบดบอยตามสเปคผู้หญิง ส่วนอีกคนถึงจะไม่ได้หน้าตาโดดเด่นมาก แต่ก็มีผิวขาวตามประสาคนเชื้อสายจีนขนาดที่ผู้หญิงยังอาย
ภาพที่รุ่นพี่คนไหนมาเห็นก็บอกได้ว่า ในคณะที่คนไม่มากอย่างนี้ ไม่เกินหนึ่งอาทิตย์คู่หูคู่นี้คงเป็นที่รู้จักกันทั้งคณะแน่
หลังจากทั้งสองคนเดินออกจากโรงอาหารไปแล้ว อีกด้านหนึ่งของโรงอาหารก็มีกลุ่มของนักศึกษาสามคนจากคณะอื่นเดินเข้ามา
“ชัย เลิกมองผู้หญิงคนอื่นเดี๋ยวนี้เลยนะ”
“โธ่ ก็สาวนิเทศปีนี้น่ารักทั้งนั้นเลยนี่นา แค่มองเอง อย่าหึงสิน้ำ”
“ไม่ได้หึงย่ะ แต่สงสารน้อง เปิดเรียนวันแรกก็เจอสายตาหื่นกามของไอ้บ้าจากครุซะแล้ว”
“ด่าแฟนตัวเองว่าหื่นกามเหรอ หืม”
คนโดนด่าหันกลับไปมองแฟนสาวข้างตัวทันที พร้อมกับยื่นหน้าเข้าไปใกล้จนจมูกเกือบชนกับแก้มของหญิงสาว และแน่นอนว่าคนเกือบถูกแต๊ะอั๋งก็เบี่ยงหน้าหลบทัน
“นี่มันโรงอาหารนะตาบ้า โรง-อา-หาร” น้ำถลึงตาใส่ เน้นย้ำทีละคำ แล้วหันไปหาเพื่อนอีกคน “โฟล์คดูดิ ไอ้ชัยมันรุ่มร่ามอีกแล้ว เราว่าเราเป็นแฟนกับโฟล์คแทนดีกว่า”
“เฮ้ย ไม่ต้องเลย ไอ้โฟล์คมึงอย่ายุ่งกับเมียกู”
“ใครเมียนายยะ! พูดแบบนี้ฉันเสียหายนะ”
โฟล์คได้ยินดังนั้นก็หลุดหัวเราะ ส่ายหัวน้อยๆ กับการแหย่กันของคู่กัดที่พัฒนามาเป็นคู่รักได้เกือบปี แม้ช่วงแรกๆ คู่นี้จะทะเลาะกันบ่อย เบาบ้างหนักบ้างจนกลัวว่าจะไปไม่รอด แต่อยู่ไปอยู่มาก็ดันลงตัวกันดี กลายเป็นคู่รักในตำนานอีกคู่ของคณะเสียอย่างนั้น
โรงอาหารในตอนนี้มีคนไม่มากนัก ส่วนหนึ่งก็เพราะคนที่มีเรียนเช้าเพิ่งขึ้นเรียนกันไป ทั้งสามคนจึงหาโต๊ะนั่งได้ไม่ยาก เมื่อเลือกโต๊ะได้แล้วโฟล์คก็อาสานั่งเฝ้าไว้ ปล่อยให้เพื่อนอีกสองคนเดินไปซื้อข้าว
โฟล์คไม่ใช่คนติดโทรศัพท์มือถือ ดังนั้นเมื่อไม่รู้จะทำอะไร เขาจึงเลือกเงยหน้าขึ้นมองรอบด้านอย่างที่ชอบทำประจำ อาจเป็นเพราะคณะครุศาสตร์ที่เขาเรียนเกี่ยวข้องกับการสังเกตคน และอีกอย่าง...โฟล์คกำลังคาดหวังอยู่ลึกๆ ว่าจะเจอใครคนหนึ่ง
คนที่เขาดีใจด้วยแทบแย่ตอนเห็นประกาศรายชื่อคนที่ผ่านการคัดเลือกเข้าเรียนคณะนิเทศศาสตร์ของปีนี้
แต่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็ไม่เจอคนที่นึกถึง โฟล์คจึงได้แต่ถอนหายใจกับตัวเอง
...บางทีภูมิอาจจะขึ้นเรียนไปแล้ว...
และดูเหมือนว่าอาการเช่นนี้จะทำให้คนที่เพิ่งกลับมาจากซื้อข้าวมองอย่างมีเลศนัย ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งตรงข้ามกับเพื่อนสนิท โดยมีแฟนสาวนั่งตามข้างๆ
“นี่ของมึง” ชัยพูดพร้อมกับดันจานข้าวมาตรงหน้า โฟล์คมองข้าวราดแกงธรรมดาแล้วพยักหน้าอย่างไม่คิดมาก
“ขอบใจ”
“สามสิบห้าบาท” มันทวงทันที “แต่เดี๋ยวค่อยจ่าย ว่าแต่...เหล่สาวคนไหนอยู่วะ”
โฟล์คเหลือบมองคนถามเล็กน้อย ก่อนส่ายหน้า “กูเปล่า”
“เฮ้ย เพื่อนกันอย่าปิดบังกันดิวะ กูรู้นะว่ามึงแอบเล็งสาวนิเทศไว้”
“ไร้สาระน่า”
“เหรอ” ไอ้ชัยลากเสียงยาว “แล้วใครวะลุ้นแทบตายตอนประกาศผลแอดมิชชั่นของเด็กปีนี้ พอผลออกก็รีบเช็ครายชื่อเด็กนิเทศ แถมยังแอบมาดูพวกปีหนึ่งตอนวันปฐมนิเทศอีก”
โฟล์คชะงักไปทันที ลดข้าวในมือลง แต่ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ซ้ำยังเลี่ยงที่จะสบตากับเพื่อนสนิท
ชัยถอนหายใจ เริ่มเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นโหมดจริงจัง
“กูพูดจริงๆ นะไอ้โฟล์ค เขาดูออกกันทั้งกลุ่มแล้วว่ามึงมีใครอยู่ในใจ กูเข้าใจว่ามึงเสียใจเรื่องมิ้นท์ แต่เรื่องมันก็ผ่านมาเกือบปีแล้ว กูว่ามึงควรเปิดโอกาสให้ตัวเองนะ ที่สำคัญ...มิ้นท์คงไม่อยากเห็นมึงเป็นแบบนี้หรอกว่ะ”
“แบบนี้ของมึงคือแบบไหน” โฟล์คขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ
ชัยหันไปสบตากับน้ำราวกับขอความช่วยเหลือ เพราะความจริงชัยไม่ใช่ผู้ชายที่จะสรรหาคำพูดดูดีมาอธิบายให้คนอื่นเข้าใจได้ น้ำจึงเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาแทน
“เราเข้าใจนะว่าโฟล์คกับมิ้นท์รักกันมาก แต่หลังจากที่มิ้นท์...นั่นแหละ โฟล์คก็เปลี่ยนไปเลย ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจา ไม่ยอมมาอยู่กับพวกเรา อย่างวันนี้ที่เราลากโฟล์คมากินข้าวที่นี่ก็เพราะชัยคิดว่าโฟล์คน่าจะอยากมา เผื่อโฟล์คจะรู้สึกดีขึ้น” น้ำพูดด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล เลื่อนมือไปแตะข้อมือของอีกฝ่ายเบาๆ “พวกเราทุกคนเป็นห่วงโฟล์คมากนะ”
โฟล์คนั่งนิ่ง เผลอหลบสายตาเพื่อนทั้งสองคน
ตั้งแต่เหตุการณ์ครั้งนั้นที่เป็นจุดแตกหักระหว่างเขากับภูมิ เขาก็รู้ตัวว่าอาการของตัวเองคงแย่มาก แต่พอมิ้นท์กลับมาจากอเมริกา เขาก็มีเพื่อนสนิทคนนี้เป็นคนช่วยย้ำเตือนว่าเขาต้องเข้มแข็งเพื่อใคร ต่อหน้าเพื่อนที่มีสถานะแฟนคนนี้ เขาจะอ่อนแอไม่ได้ เพราะเขาสัญญากับตัวเองไว้แล้วว่าจะดูแลเพื่อนคนนี้ให้ดีที่สุด
จนเมื่อเกือบหนึ่งปีก่อน มิ้นท์ก็จากเขาไป เป็นอีกครั้งที่โฟล์ครู้สึกโลกดับมืด แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังมีเพื่อนและครอบครัวที่คอยปลอบใจ และพยุงให้เขาผ่านความรู้สึกช่วงนั้นมาได้
แม้โฟล์คจะยังรู้สึกผิดต่อภูมิ แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะคอยติดตามชีวิตของเด็กคนนี้ จนกระทั่งเห็นผลการสอบเข้าของภูมิ เขาดีใจมากที่ภูมิได้เรียนในสิ่งที่ฝันมาตลอด อีกทั้งยังได้เข้ามหาวิทยาลัยเดียวกัน
โฟล์คยอมรับว่ายังหวังอยู่ลึกๆ ...ว่าสักวันเขากับภูมิจะกลับมาเข้าใจกันได้ ภูมิอาจจะไม่ต้องรู้สึกกับเขาเหมือนเดิม ขอแค่ได้กลับมาเป็นคนรู้จักกัน ได้คุยกันบ้าง ...แค่นั้นก็พอแล้ว
“ขอโทษ...กูไม่นึกว่าจะทำให้พวกมึงคิดมากขนาดนี้”
“จะขอโทษพวกกูทำไม” ชัยขมวดคิ้ว “หรือถ้ามึงอยากขอโทษ มึงมีอะไรให้พวกกูช่วยเกี่ยวกับเด็กนิเทศคนนั้น มึงก็บอกมาแล้วกัน”
ทว่าโฟล์คกลับส่ายหน้า
“ไม่ต้องหรอก กูทำผิดต่อเขาไว้ เขาคงเกลียดกูแล้ว”
“เอ้า แล้วมึงไปทำอะไรไว้ล่ะ ถามจริง เขาจะโกรธมึงตลอดชีวิตเลยเหรอ”
“กูไม่รู้ว่ะ กูแค่ไม่อยากเข้าข้างตัวเอง”
“เฮ้อ ฟังนะไอ้โฟล์ค” ชัยเปลี่ยนโหมดมาเป็นน้ำเสียงจริงจังอีกครั้ง “ไม่มีใครไม่เคยทำผิดหรอก มึงทำผิด มึงก็ขอโทษ ถ้าเขายังไม่หายโกรธ มึงก็ต้องตามง้อ น้ำหยดลงหินทุกวันหินมันยังกร่อน ใจคนมันอ่อนกว่าหินอีกนะเว้ย มึงเอาความจริงใจเข้าสู้ เดี๋ยวเขาก็หายโกรธ”
น้ำถึงกับเบิกตากว้าง เขย่าไหล่แฟนตัวเองอย่างตื่นเต้น “นี่ชัยจริงๆ เหรอ ทำไมพูดดีขนาดนี้เนี่ย”
“เอ้า แซวกันอีก หมดอารมณ์เลยน้ำ”
ชัยหันมาบ่นอย่างไม่จริงจังนัก โฟล์คหัวเราะเบาๆ ชัยจึงหันมาพูดต่อ
“ก็ประมาณนี้แหละไอ้โฟล์ค มึงอย่าเพิ่งยอมแพ้สิ ที่มึงทุกข์เพราะเขา แปลว่าเขาสำคัญกับมึง ที่ทุกข์มากก็เพราะสำคัญมาก แล้วมึงจะยอมให้คนสำคัญขนาดนี้หลุดมือไปง่ายๆ เหรอวะ”
โฟล์คได้แต่ยิ้ม ไม่ได้ตอบอะไรออกไป
แต่เขาคิดว่า เขาเลือกทางเดินของตัวเองได้แล้ว
เขาเคยปล่อยมือคนสำคัญไปแล้วครั้งหนึ่ง จะเป็นไปได้ไหม...ที่เขาจะดึงมือนั้นกลับมาอยู่ข้างตัวอีกครั้ง
แม้จะพยายามบอกตัวเองให้มีสมาธิกับการเรียน แต่ภูมิกลับพบว่าเสียงพูดของอาจารย์ที่ยืนอยู่หน้าห้องไม่ได้เข้าหูเขาเลยแม้แต่น้อย
ทำไมเขาจะจำไม่ได้ว่าพี่โฟล์คก็เรียนอยู่ที่นี่
ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ภูมิทุ่มเทเวลาเกือบทั้งหมดให้กับการเตรียมตัวสอบเข้า จนลบเรื่องของครูสอนพิเศษคนแรกและคนเดียวของเขาออกจากใจได้บ้าง ...แต่มันกลับไม่เคยหายไป
ยิ่งเมื่อรู้ว่าจะได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยแห่งนี้ ภาพของผู้ชายคนนั้นก็แวบเข้ามาในหัวตลอดเวลา รวมถึงภาพความทรงจำระหว่างเขาทั้งสองคนที่แม้จะเกิดขึ้นในระยะเวลาไม่นาน แต่สิ่งที่ชัดเจนคือ...ความรู้สึก
ความรู้สึกของเขาเป็นของจริง แต่พี่โฟล์คล่ะ...รู้สึกด้วยหรือเปล่า
รู้สึกเหมือนที่แสดงออกให้เขาเห็น หรือแค่เล่นกับความรู้สึกของเด็กอย่างเขา
ภูมิแค่นยิ้มกับตัวเอง
จะมาพร่ำเพ้ออะไรวะไอ้ภูมิ ป่านนี้พี่โฟล์คคงกำลังมีความสุขกับแฟนอยู่
ไม่อยากยอมรับว่าประโยคนี้ทำเอาเจ็บหัวใจไม่น้อย แต่ภูมิก็นึกขอบคุณช่วงเวลาสองปีที่ผ่านมาที่ช่วยให้เขาไม่รู้สึกเจ็บเท่าเดิม แม้จะไม่แน่ใจนักว่าตัวเองจะรู้สึกอย่างไรหากบังเอิญเจอพี่โฟล์คอยู่กับแฟนตอนนี้
อยู่กันคนละคณะ แถมมหาวิทยาลัยก็ออกจะกว้าง คงไม่บังเอิญเจอกันหรอก
ภูมิบอกตัวเอง พร้อมกับดึงสมาธิให้กลับมาจดจ่อที่เนื้อหาที่เรียน แม้ว่าในคาบแรกจะไม่ได้มีเนื้อหามากมายนักก็ตาม
“ไอ้ภูมิ ไปกินปังปิ้งครุกัน”
หลังจากหมดคาบเรียนตอนบ่าย จู่ๆ ไอ้เพื่อนซี้ข้างตัวก็หันมาตะปบไหล่แล้วโพล่งขึ้นมา ซึ่งภูมิคงตอบตกลงอย่างไม่คิดอะไรมาก ถ้าหากไม่ได้สะดุดกับสถานที่
“ทำไมต้องครุวะ”
“เอ้า ของขึ้นชื่อของมหา’ลัยเราเลยนะเว้ย อยากกินปังปิ้งต้องไปกินครุ กูไปสืบจากรุ่นพี่มาแล้ว ที่สำคัญนะเว้ย...” ไอ้ปิงปองชะโงกหน้าเข้ามาใกล้แล้วกระซิบ “เขาว่ากันว่าถ้าผู้ชายหล่อๆ ไปซื้อ คนขายแถมไอติมเบิ้ลสอง ท็อปปิ้งไม่อั้น”
“แล้วมึงก็คิดว่ามึงหล่อ?”
“แน่นอนสิครับเพื่อน” ปิงปองตอบรับอย่างมั่นใจ แล้วจัดการคว้ากระเป๋าเป้ของเพื่อนสนิทมาพาดบ่าตัวเองจนคนถูกขโมยกระเป๋าถึงกับเหวอ ส่วนมืออีกข้างก็เอื้อมไปล็อกคอเจ้าของกระเป๋าให้เดินไปด้วยกันอย่างขัดขืนไม่ได้ “ปะ ไปกัน”
“กูยังไม่ได้ตอบตกลงเลยนะเว้ย!” ภูมิรั้งตัวเองไว้ไม่ให้เดินตามแรงของคนลาก
“โธ่ กูอยากแดกนี่หว่า ไปเป็นเพื่อนกูหน่อยนะมึง นะๆๆ”
ภูมิได้แต่กลอกตาไปมา สุดท้ายก็พยักหน้าอย่างจำยอม
“เออ ไปก็ได้”
...คงไม่บังเอิญเจอกันพอดีหรอกมั้ง...
คณะครุศาสตร์อยู่ไม่ห่างจากคณะของภูมิมากนัก ด้วยความที่เวลานี้เป็นเวลาเลิกเรียนของหลายวิชาที่เรียนในช่วงบ่าย ทำให้คนค่อนข้างพลุกพล่าน พอลองนึกดูภูมิถึงจำได้ว่าด้านหน้าคณะนี้เป็นป้ายรถโดยสารภายในมหาวิทยาลัยที่รุ่นพี่เคยพูดถึงในวันปฐมนิเทศ
รุ่นพี่เคยบอกว่ามหาวิทยาลัยของเราใหญ่ แถมยังมีหลายโซน บางโซนอยู่คนละฝั่งของถนน ถ้าไม่มีรถโดยสารภายใน เวลาเดินทางไปคณะอื่นที่อยู่ไกลก็คงลำบาก ภูมิคิดว่าสักวันหนึ่งเขาคงได้ลองขึ้นบ้าง แม้ตอนนี้จะยังจำไม่ได้ว่ารถโดยสารภายในมหาวิทยาลัยมีสายอะไร และแต่ละสายไปที่ไหนบ้างก็ตาม
โรงอาหารของคณะครุศาสตร์อยู่ด้านในตัวตึก ซึ่งแม้จะมีคนเดินไปมาบ้างแต่ก็น้อยเมื่อเทียบกับฝูงชนด้านนอก อาจเป็นเพราะหลังเลิกเรียนนักศึกษาส่วนมากนิยมไปทานข้าวข้างนอกมากกว่าในคณะ
“ไปซื้อข้าวกันก่อนแล้วกันไอ้ภูมิ กินเสร็จค่อยต่อปังปิ้ง”
“เออๆ” ครั้งนี้ภูมิเห็นด้วยเพื่อน เพราะหลังจากผ่านการเรียนมาทั้งบ่ายโดยไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยก็ทำให้กระเพาะประท้วงอยู่พอสมควร แค่ขนมปังอย่างเดียวไม่น่าพอ
ภูมิเดินวนรอบโรงอาหาร เมื่อตัดสินใจได้แล้วก็เข้าไปสั่งอาหารที่ร้านร้านหนึ่ง แล้วจึงเดินไปซื้อน้ำ
“เอาน้ำส้มแก้วนึงครับป้า”
ภูมิบอกป้าคนขาย เมื่อแก้วน้ำตามที่สั่งถูกวางลงตรงหน้า เขาก็ควักเศษเหรียญขึ้นมาจ่าย แล้วหยิบน้ำขึ้นมาก่อนเดินกลับไปร้านอาหารที่สั่งข้าวเอาไว้
ทว่าจู่ๆ โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงก็สั่น ภูมิจึงหยิบขึ้นมาดู เมื่อเห็นว่าใครโทรมาก็กดรับ
“ครับพ่อ...เลิกเรียนแล้วครับ ...ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวภูมิหาอะไรกินข้างนอกเอง ...โอเค ไม่เกินสองทุ่มครับ สวัสดีครับ...อ๊ะ!” ด้วยความไม่ทันระวัง ตอนที่ภูมิก้มหน้าเตรียมจะกดวางสาย เขาลืมมองทางข้างหน้า จนชนกับคนที่กำลังเดินสวนมาพอดี
และเพราะในมือภูมิถือแก้วน้ำส้มอยู่ ทำให้น้ำในมือกระเฉาะเลอะเสื้อนักศึกษาของอีกฝ่าย ภูมิเบิกตากว้าง
“ขะ...ขอโทษครับ” เขาละล่ำละลัก แต่พอเงยหน้ามองคนที่ตัวเองเดินชน เสียงทั้งหมดก็กลืนหายเข้าลำคอ
ร่างสูงโปร่งที่เขาเคยต้องเงยหน้ามองประจำ ผมสีดำที่เหมือนจะยาวกว่าในความทรงจำเล็กน้อย ริมฝีปากได้รูปที่เคยสัมผัส รวมถึง...แววตาคู่เดิมที่มองตรงมาทางเขา ซึ่งถ้าภูมิไม่คิดเข้าข้างตัวเอง...แววตาของคนตรงหน้าราวกับมีความเศร้าเจืออยู่ไม่น้อย
“...พี่โฟล์ค” ในที่สุด ภูมิก็เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่เบาราวกับกระซิบ
พี่โฟล์คยังเหมือนเดิม ...เหมือนเดิมมากๆ โดยเฉพาะแววตาคู่นั้น...
แววตาที่เคยทำเขาคิดเข้าข้างตัวเองจนน่าสมเพช
ภูมิหลบสายตาลง พยายามห้ามตัวเองไม่ให้นึกถึงเรื่องราวเก่าๆ
...ใช่ มันเป็นแค่อดีต เป็นแค่เรื่องที่เขาคิดไปเองฝ่ายเดียวทั้งนั้น
“ขอโทษครับ” ภูมิพูดโดยไม่มองหน้า ก่อนจะเบี่ยงตัวเดินไปอีกทาง พยายามควบคุมตัวเองไม่ให้แสดงท่าทางผิดปกติออกไป
โฟล์คมองตามหลังคนที่เดินไปเอาข้าวที่สั่งไว้ จนกระทั่งเดินกลับไปที่โต๊ะด้วยความรู้สึกมากมายที่ตีตื้นขึ้นมา
...เป็นครั้งแรกที่เขาได้เข้าใกล้เด็กคนนี้ในช่วงเวลากว่าสองปี...
ไม่สิ อาจจะเรียกว่าเด็กไม่ได้แล้ว ในเมื่ออดีตลูกศิษย์ของเขาดูโตขึ้นมากในชุดนักศึกษา ทั้งส่วนสูงที่น่าจะมากกว่าเดิมเกือบสิบเซ็นต์ และแววตาที่ดูเข้มแข็งขึ้น ทำให้ภูมิดูต่างจากเด็กน้อยคนเดิมที่เคยเจอเมื่อสองปีก่อน
แต่ถึงอย่างนั้น โฟล์คก็สัมผัสได้ว่าเมื่อครู่ที่ได้สบตากัน มีแวบหนึ่งที่เขาเห็นความรู้สึกแบบเดิมในดวงตาคู่นั้น
แม้มันจะถูกแทนที่ด้วยความเฉยเมยแทบจะในทันที แต่มันก็ทำให้โฟล์คมีกำลังใจ
ภูมิยังไม่ลืมพี่...ใช่ไหมครับ
พอมาถึงโต๊ะที่เพื่อนสนิทนั่งรออยู่ก่อนแล้ว ภูมิก็ก้มหน้าก้มตาตักอาหารโดยไม่สนใจรอบด้าน จนข้าวในจานพร่องลงเกือบครึ่งในเวลาไม่ถึงนาที ปิงปองเห็นดังนั้นก็อ้าปากเหวอ ท้วงขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
“เดี๋ยวๆ ใจเย็นนะมึง หิวมาจากไหนวะ”
ภูมิเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนแวบหนึ่ง ก่อนจะก้มหน้ากินต่อโดยไม่ตอบอะไร
คนถามยิ่งงงกว่าเดิม แต่พอเห็นว่าเพื่อนไม่พูด เขาก็ไม่อยากเซ้าซี้ เลยกลับมาสนใจข้าวในจานตัวเองบ้าง
แต่ขณะที่กำลังตักข้าวเข้าปาก ปิงปองก็เห็นรุ่นพี่ที่จำได้ว่าเคยอยู่กับไอ้ภูมิบ่อยๆ เดินเข้ามาใกล้ จึงเบิกตากว้างแล้วร้องเรียก “อ้าว พี่โฟล์ค”
พอพูดชื่อ ปิงปองก็สัมผัสได้ว่าเพื่อนที่นั่งอยู่ตรงข้ามชะงักไปทันที
“ไงปิงปอง ไม่ได้เจอกันตั้งนานนะ” โฟล์คยิ้มให้
“โห นานมากพี่ ตั้งสองปีกว่ามั้ง” ปิงปองว่าแล้วขยับตัวเข้าด้านใน ให้รุ่นพี่ที่มาใหม่ได้นั่งข้างๆ “นั่งก่อนดิพี่ เออ...นี่ผมลืมไปเลยนะว่าพี่เรียนที่นี่ด้วย”
เขาจำได้ว่าตอนนั้นไอ้ภูมิเคยบอกว่าพี่โฟล์คเรียนคณะครุศาสตร์อยู่ที่นี่ แต่พอไม่ได้เจอนานบวกกับวุ่นๆ กับการสอบเข้า เขาก็ลืมไปเสียสนิท แถมไอ้เพื่อนซี้ข้างตัวก็ไม่ได้พูดถึงพี่โฟล์คอีก ทั้งที่ช่วงหนึ่งไอ้ภูมิกับพี่โฟล์คตัวติดกันจะตาย
ครั้งหนึ่งเขาถามมันว่าทำไมไม่ค่อยเจอพี่โฟล์ค ไอ้ภูมิก็ตอบแค่พี่โฟล์คเรียนหนักเลยไม่ค่อยว่าง บอกตรงๆ ว่าปิงปองไม่ได้เชื่อนักหรอก แต่พอเห็นไอ้ภูมิดูเศร้าเหมือนเจอเรื่องร้ายแรงมา เขาก็ไม่อยากเซ้าซี้ให้เพื่อนรู้สึกไม่ดี
และดูจากท่าทางของเพื่อนสนิทที่ก้มหน้าก้มตากินข้าวโดยไม่สนใจคนที่มาใหม่ ปิงปองก็เริ่มมั่นใจแล้วว่าสองคนนี้คงมีปัญหากันแน่ๆ
“แล้วเป็นไงบ้างล่ะเรา เปิดเรียนวันแรก” โฟล์คยิ้มให้
“อืม...ก็ดีนะพี่ น่าตื่นเต้นดี คนเยอะ ไม่เหมือนตอนเรียนมัธยม” ปิงปองว่าตามที่คิด “แต่คาบแรกยังไม่ค่อยได้เรียนอะไรเลยพี่ อาจารย์เข้ามาพูดอะไรก็ไม่รู้”
“ฮ่าๆ ปกติก็เป็นอย่างนี้แหละ” โฟล์คว่าอย่างเห็นเป็นเรื่องธรรมดา เพราะส่วนมากในคาบแรกอาจารย์จะพูดคร่าวๆ ถึงเนื้อหาที่จะเรียน วิธีเก็บคะแนน วิธีตัดเกรด ยังไม่ได้เข้าสู่บทเรียนจริงๆ แต่ก็มีบางวิชาที่กลัวเวลาสอนไม่พอจึงเริ่มสอนกันจริงจัง
“อ้าว แล้วนั่นเสื้อพี่ไปเลอะอะไรมา” ปิงปองถามเมื่อเห็นรอยเลอะบนชุดนักศึกษาของอีกฝ่าย
“นี่เหรอครับ” โฟล์คก้มลงมองเสื้อตัวเอง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองคนเป็นต้นเหตุที่เหมือนจะชะงักไปเล็กน้อย แต่สักพักก็กินข้าวต่อเหมือนไม่ได้เกี่ยวกับตัวเอง ชายหนุ่มเห็นดังนั้นก็เผลอยกยิ้ม แล้วหันไปตอบคนถาม “อุบัติเหตุนิดหน่อยครับ”
ปิงปองมองเสื้อของชายหนุ่มรุ่นพี่ สลับกับแก้วน้ำของเพื่อนสนิทบนโต๊ะ สักพักจึงพยักหน้ากับตัวเองอย่างเข้าใจเรื่องราว
เมื่อกี้คงเจอกันแล้วสินะ มิน่า ไอ้ภูมิมาถึงโต๊ะก็โซ้ยเอาโซ้ยเอา
“ว่าแต่ทั้งสองคนมาทำอะไรกันที่นี่เหรอครับ”
โฟล์คถามขณะมองหน้าคนตรงข้ามที่นั่งกินข้าวแบบไม่พูดไม่จา แต่อีกฝ่ายทำเหมือนจะไม่ได้ยิน ปิงปองเห็นดังนั้นจึงเป็นฝ่ายตอบแทน
“ผมได้ยินว่าปังปิ้งของที่นี่สุดยอดน่ะพี่ เลยว่าจะมาลองกิน”
“หืม...ปังปิ้งงั้นเหรอ เดี๋ยวพี่ซื้อให้เอามั้ย”
“เฮ้ย ไม่เป็นไรหรอกพี่ เดี๋ยวพวกผมซื้อเอง นี่ก็กินข้าวจะเสร็จแล้ว”
“ถือว่าเลี้ยงต้อนรับรุ่นน้องไง พี่สนิทกับเจ้าของร้าน ป้าเขาชอบแถมให้เยอะ”
“โห ถ้าพี่พูดถึงขนาดนี้ ผมไม่เกรงใจแล้วนะ” ปิงปองยิ้มเผล่ เหมือนว่าก่อนหน้านี้แค่เกรงใจตามมารยาทเท่านั้น “เอาช็อกโกแลตนะพี่ เยอะๆ ล้นๆ”
“ได้ครับ” โฟล์คตอบรับอย่างใจดี ก่อนจะหันไปหาคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามแล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนลง “แล้ว...ภูมิล่ะ”
คนถูกถามเงียบ ไม่แม้แต่จะเงยหน้าสบตา
“ไอ้ภูมิ” จนปิงปองต้องกระเซ้า ในที่สุดภูมิก็ยอมเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนสนิทแล้วตอบเสียงห้วน
“กูกินกับมึง” พูดจบก็ก้มหน้าลงสนใจข้าวในจานตามเดิม
ปิงปองได้แต่หัวเราะแห้งๆ ในลำคอ สบตากับพี่โฟล์คด้วยสายตาทำนองว่า...ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นบ้าอะไร
โฟล์คยิ้มน้อยๆ ส่ายหน้าอย่างไม่ถือสา แล้วจึงลุกออกไป
-------------------------- TBC -------------------------
กลับมาเจอกันแล้วนะคะ
จริงๆ ลังเลรูปแบบการใช้สถานที่จริงอยู่เหมือนกัน คือเราก็มีแบคกราวด์ของเรื่องอยู่ในหัวเนอะ มีต้นแบบมหา'ลัยที่ใช้เขียน แต่ความคิดเราคือเรากำลังสร้างเรื่องราวในจินตนาการขึ้นมา เราไม่อยากให้นิยายมีข้อจำกัดว่าพอเอาสถานที่ไหนเป็นต้นแบบแล้วต้องอิงเรื่องราวตามสถานที่นั้น 100% บางทีเราก็อยากเปลี่ยนหรือเสริมเติมแต่งนิดหน่อยตามที่เราคิดค่ะ ฮา แต่ก็เคยเจอความเห็นประมาณว่าพอเขียนรายละเอียดของสถานที่ไม่ตรงกับความเป็นจริงก็โดนดราม่า เลยลังเลนิดหน่อย
แต่สรุปเราก็เขียนตามนี้นะคะ เราใช้มหา'ลัยนึงเป็นต้นแบบเพื่อให้ง่ายต่อการเขียนและการคิดภาพในหัวเราเอง แต่ขออนุญาตไม่อิงเป๊ะๆ นะคะ อย่างการใช้คำเราก็จะใช้คำทั่วไปอย่างนักศึกษา ของดีประจำครุจากที่เป็นปังเย็นก็จะเปลี่ยนเป็นปังปิ้งอะไรแบบนี้ ไม่อยากให้ข้อมูลชี้นำไปที่ใดที่หนึ่งมากเกินไป(ถึงบางคนพอจะเดาได้ก็ตาม แฮ่) อยากให้มองว่าเป็นมหา'ลัยธรรมดามหา'ลัยนึงเนอะ
ทั้งนี้ใครมีความคิดเห็นเพิ่มเติมก็บอกกันได้นะคะ เปิดรับทุกความเห็นค่ะ รัก<3
CT.hamonigar