จนแล้วจนรอด เราก็ยังไม่ได้บอกเรื่องทัช....
ผมอยากโทรคุยกับทัชให้รู้เรื่อง อยากใช้ความหน้าด้านหน้าตายของตัวเองให้เป็นประโยชน์ แต่ทว่า...เอาเข้าจริง
ผมกลับไม่กล้า
ผมไม่อยากเสียความรู้สึกดีๆหากทัชเกิดทำมันขึ้นมาจริงๆ
เราอุตส่าห์ได้เจอกันแล้วหลังจากเวลาหลายปี
แล้วเราก็ไม่เคยโกรธเกลียดกันด้วย
“ช่วงนี้เป็นอะไร เหม่อบ่อยๆ”
คุณภพกอดผมจากด้านหลัง
ตอนนี้เราอยู่บนเตียงในสภาพเปลือยเปล่า หลังจากผ่านกิจกรรมที่ผมตั้งขึ้นมาเอง
กิจกรรมที่เรียกว่าแอคติ้งคลาส....
ผมฝึกไว้เผื่อว่าจะได้เล่นหนังกะเขาน่ะ แหะๆ
แต่คงไม่ต้องบอกหรอกนะว่าหนังประเภทไหน
มืออุ่นชื้นของคุณภพแตะแก้มผม นิ้วโป้งเขี่ยจมูกไปมา
เขาพรมจูบลาดไหล่ แม้ผมจะจั้กกะดึ๋ยส่วนล่างของเขาที่โดนบั้นท้ายเราอยู่
“ผมจะทำไงดี...”
“ทำไง...อะไร?”
“บอกไม่ได้...”
ตอบเครือๆ ใจหดไปอยู่ตาตุ่ม
“บอกเถอะน่า อย่ามีความลับกันสิ”
“คุณ....ช่วยเล่าเรื่องวันนั้นให้ฟังหน่อย วันที่ผมรับปริญญาน่ะ”
ผมพลิกตัวกลับมา พูดเสร็จก็จุ๊บปากสร้างกำลังใจให้เขา
คุณภพประทับริมฝีปากลงมาอีกครั้ง คราวนี้สอดลิ้นเขามาอย่างรุกราน
ผมปล่อยให้เขาทำจนพอใจ
“มันเป็นวันปกติที่ฉันทำงานงกๆ แต่จู่ๆเมสเซนเจอร์ก็ส่งจดหมายฉบับนึงมาให้”
เขาพูดไปลูบเอวผมไป
เขินนะที่ต้องมาคุยเคร่งเครียดท่ามกลางบรรยากาศวาบหวาม
“ในจดหมายบอกประมาณว่า ...แอบชอบมานานมากแล้ว ถ้าหากเราใจตรงกัน
คุณไปงานรับปริญญาผมได้ไหม คุณคือความฝันของผม อยากให้เห็นความสำเร็จของผม
ลงท้ายชื่อนัท มีลายเซ็นด้วยนะ......จริงๆมันยาวกว่านี้แต่จำไม่ได้ อารมณ์พร่ำเพ้อน่ะ”
“ผมไม่ใช่พวกพร่ำเพ้อสักหน่อย...”
“ใครมันจะไปรู้ล่ะ หืมมม”
ทำไมพูดแล้วตรงฟัดแก้มผมด้วย
เจ็บชะมัดเลย
รู้มั้ยไม่ชอบหนวดเขาอย่างเดียวนี่แหละ อย่างกับโจรป่า
“คุณน่าจะลองโกนหนวดแบบให้มันเกลี้ยงๆไปเลยนะ เผื่อจะดูเด็กลง”
“ไม่เอา เคยลองแล้วไม่มีใครจำได้ แถมลูกน้องเล่นหัว แซวทั้งวัน”
เขาพูดด้วยเสียงนิ่งๆ แต่ทำเอาผมขำก้าก
คุณภพเนี่ยนะจะโดนแซว?! อยากเห็นจัง คงหน้าแดงแต่ฟอร์มทำตาดุแน่ๆ
“ไม่ขำ....แล้วนึกไงถามเรื่องนั้น”
ผมหยุดกึก บอกดีมั้ย...หรือไม่บอก...
“เฮ้อ!!”
บอกก็ได้วะ
“ผมเจอทัช..”
ลองหยุดดูปฏิกิริยาเขา ผมเห็นแววตาสั่นไหวคู่นั้น มันช่างชวนให้เศร้าใจจริงๆ
เขาต้องหยุดชอบเราไป เพราะเราคบเพื่อนตัวเอง
“เจอที่ไหน”
“เจอที่แกลของวุฒิ มันมาซื้อภาพ เลยแลกเบอร์กันนิดหน่อย”
“นิดหน่อย...? แลกเบอร์เนี่ยนะนิดหน่อย”
เขาเสียงฉุนเฉียวขึ้นมาทันที
ผมลูบแผ่นอกที่กระเพื่อมแรงขึ้นแรงขึ้นของเขา
คุณภพพลิกตัวมาอยู่ข้างบน กดข้อมือเราไว้ทั้งสองข้าง
ผมเจ็บหนึบ เพราะเพิ่งโดนเชือกรัดมาหยกๆ
“อยากโดนทำโทษมั้ย?”
“อยากไม่อยากก็ต้องโดนอยู่ดีแหละ”
“รู้ตัวก็ดี....คราวนี้ฉันจะเล่นบทโจรบุกปล้ำคุณชายน้อยผู้ใสซื่อ ให้ทำอะไรก็ต้องทำ เข้าใจมั้ย?”
“ไม่...อะ!!”
..........................................
ผมแจ้งตำรวจดีมั้ย ข้อหาโดนบังคับขืนใจให้โทรหาทัช
ถามว่าทำไมไม่แจ้งข้อหาโดนปล้ำ นั่นก็เพราะว่าผมเต็มใจน่ะสิ!
บอกตรงๆว่าเขาเล่นบทโจรได้ดีชะมัด อย่างกับเคยเป็นโจรมาก่อน
ทั้งข่มขู่ ทั้งด่ากราด ไหนจะใส่ไม่ยั้ง อย่างกับตายอดตายอยากมาจากไหน
นี่เอวยังระบมอยู่เลย
เขารู้ว่าผมรุกไม่เก่ง เลยจัดเต็มจนเราแทบลุกไม่ขึ้น
ไม่เหมือนแฟนคนก่อนๆเลยนะ ที่ชอบบังคับให้ผมรุกอยู่เรื่อย
พวกนี้ขี้เกียจทำเองล่ะสิไม่ว่า ไม่ใช่ว่าวิวดีหรืออะไรหรอก
แล้วพอเราทำได้ไม่ดีก็มาโทษเรา...ฮึ่มมม
-“ฮัลโหลนัท”-
ผมยกมือป้องโทรศัพท์
“ทัชรับแล้วครับ” กระซิบให้ได้ยินกับเขาแค่สองคน
เขาพยักหน้ารับรู้
“ทัช...สบายดีนะ”
-“สบายดี นัทล่ะ”-
“ก็ดี....”
-“มีอะไรหรือเปล่า?”-
ถูกบังคับให้โทรหาน่ะสิ เรื่องที่เพื่อนเก่าคุยกัน มันควรเป็นเรื่องอดีตอันสนุกสนานในวัยเด็กไม่ใช่เหรอ
คุณภพนะคุณภพ แน่จริงมาคุยเองเลยดิ
“มีอะไรอยากคุยด้วยนิดหน่อย”
อยากตบปากตัวเอง
ประโยคพรรค์นี้ เคยมีความหมายแง่บวกด้วยหรือไง
-“แล้วตอนนี้อยู่ไหน??”-
เสียงทัชดูตกใจมาก
ไม่รู้ว่าเขาจินตนาการเสียงของเราไปถึงไหน
ผมคิดว่าทัชน่าจะรู้ว่าคบใครอยู่
“อยู่บ้านน่ะ ทัชมาเจอเราได้มั้ยที่ห้างXX”
-“โอเคได้ๆ ตอนนี้เลยนะ?”-
“ทัชว่างหรือเปล่าล่ะ”
ผมถามเผื่อทัชติดงาน ไม่อยากรบกวนเขา
แต่สายตาคนข้างๆนี่สิ แทบจะขย้ำเรา เพราะเขาปักใจไปแล้วว่าทัชเป็นคนทำ
คนใจร้อนรอสักคืนคงอกแตกตายแหละผมว่า
-“ว่างสิ... งั้นเดี๋ยวไปหาเลยนะ”-
“อื้ม ขอบคุณมากนะทัช”
ผมนัดแนะสถานที่และเวลาให้ละเอียดขึ้นตามคำบอกของคนยืนข้างๆ
เขาลูบหัวผมอย่างเอ็นดู ไม่ลืมจูบหน้าผากหลายที
แต่ใจผมไม่ดีใจเท่าไหร่เลย
“ผลัดไปอีกหน่อยไม่ได้เหรอ ผมเพิ่งเจอทัชนะ อยู่ๆชวนคุยเรื่องเครียดซะงั้น เหมือนไม่ใช่เพื่อน”
“เพื่อนกัน มันคุยกันได้ทุกเรื่องแหละ”
“เออๆ ก็ผมไม่ค่อยมีเพื่อนหนิ คุณก็ใช่ว่าจะมีเยอะ”
ผมจิ๊ปาก เอนตัวซบหน้าอกแกร่ง เบียดตัวเองเข้าหา
สูดกลิ่นน้ำหอมสปอร์ตกึ่งอบอุ่นของเขาเข้าเต็มปอด
แม้มันจะดูไม่เข้ากับผู้ชายโหดๆอย่างเขา แต่ผมกลับชอบกลิ่นนี้นะ....
เวรกรรม...พอได้กลิ่นผู้ชายเข้าหน่อย ก็ไปไม่เป็นแล้วเรา
.
.
.
.
.
ผมสายนิดหน่อยเพราะมัวแต่อ้อยอิ่งอยู่กับเขา
หอบฮักเนื่องจากวิ่งมาตั้งแต่ลานจอดรถ ดูไม่เหมือนคนทุกข์ใจเลยสักนิด มันเหมือนคนติ๊งต๊องมากกว่า
ดีแล้วหละที่เขาไม่มาเห็น รายนั้นนั่งรออยู่ในรถไม่ยอมลง บอกว่ายังไม่ถึงเวลา
ผมไม่รู้ว่าแผนเขาคืออะไรต่อ เขาไม่ยอมปริปากพูดเลย คงกลัวว่าผมจะแอบเห็นใจทัชมันล่ะมั้ง
ผมสอดสายตาหาทัชในร้านอาหารชื่อดัง
ตัวทัชสูงพอๆกับผม แต่มันขี้เก๊ก ...ยังไงล่ะ ขี้เก๊กแบบกวนตีนน่ะ คนละแนวกับคุณภพ
“รอนานยัง?”
ผมสะดุ้งกับเสียงทักข้างหลัง
“มาไม่มีปี่มีขลุ่ยเลยนะ”
“ถ้าเป่าเป็นก็จะเป่าให้ได้ยิน”
ถอนใจกับมุกแป้กๆ ก่อนถูกจูงมือเลือกที่นั่ง
ผมไม่ใจเต้นกับทัชแล้ว เห็นมันเป็นเพื่อนคนหนึ่งมากกว่า
ดีนะที่เขาไม่ตามมาด้วย ไม่งั้นมีต่อยกันแน่ถ้าเห็นผมถูกกุมมืออย่างนี้
“สั่งอะไรดี”
“เราไม่ค่อยหิวอ่ะ”
“งั้นเป็นของกินเล่นละกันเนอะ”
ทัชหันไปสั่งกุ้งชุบแป้งทอด และอาหารจุกจิกกับพนักงาน
ตั้งแต่ไปอยู่ต่างประเทศนี่อ้วนขึ้นจมเลย
และดวงตาก็สดใสมากๆ
ดูสิ...คนรอบตัวเรามีแต่ความสุข
มัวแต่เหม่อเลยไม่รู้ว่าทัชสังเกตหน้าตาเรานานแล้ว
มันยกมือประสานไว้ใต้คาง ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นจริงๆ
“มีอะไรจะเล่าเหรอ”
ผมอมยิ้มนิดๆ หน้าเริ่มร้อน
“ทัชรู้ป่ะตอนนี้เราคบกับใคร”
“ก็พอรู้นะ....เราตามไอจีนัทอยู่”
“เป็นแฟนคลับก็ไม่บอก แต่ทำไมเราไม่เคยเห็นล่ะ?”
ถ้าทัชมันตามเราจริงๆ กดไลค์เราทุกรูป มันก็ต้องมีสักครั้งที่ผมจำได้สิ
“ใครเขาแสดงตัวกัน”
มันพูดลอยหน้าลอยตา
ช่วยให้บรรยากาศผ่อนคลายขึ้น ผมอมยิ้มกับความขี้เล่นนั้น
“เป็นสตอล์คเกอร์นี่หว่า”
หยอกทัชไปมั่ง เพราะเราก็เป็นเพื่อนกันมาก่อน ผมไม่ติดใจอะไรมากนัก
สิ่งเดียวที่ผมค้างคาต่อแฟนเก่าทุกคนคือ เขาทิ้งผมกันทำไม
แต่นั่นมันก็เป็นสิ่งที่ผมไม่จริงจังที่จะหาคำตอบอีกนั่นแหละ
“แล้วคุณภพเป็นไงมั่ง”
ทัชถามขึ้น
“จริงๆแล้วก็ไม่ได้ร้ายแรงอะไรหรอก เขาแค่เอาแต่ใจไปหน่อย”
ทัชหัวเราะหึๆ ทำเอาผมงง
“อะไร?”
“ไม่ใช่ว่าเอาแต่ใจทั้งคู่เหรอ อย่าว่าเรานะถ้าเราจะพูดแบบนี้....”
ผมเบือนหน้าหนี รับไม่ค่อยได้เวลาโดนว่า
“ช่างมันเถอะ ได้ยินบ่อยละ”
“ยอมๆให้กันบ้างก็ได้น่า คุณภพเขาก็ดูดีนะ คงดูแลนัทได้ตลอดชีวิต”
ตลอดชีวิต.....ผมหมุนแหวนทองไปมา
นี่คือคำมั่นสัญญาของคุณภพหรือเปล่า
ถึงเขาไม่เคยพูดอะไร แต่มันกลับอิ่มเอมทุกครั้งเมื่อนึกถึง
“แต่สักวันเขาก็ต้องเบื่อเรา....”
ผมสะบัดหัวไล่ความคิดฝันหวาน
เราจะลืมเป้าหมายไปไม่ได้นะนัท
ความฝันของเราคืออะไร
อยู่คนเดียวอย่างสงบ นี่คือการลงทุนที่มีความเสี่ยงน้อยที่สุดแล้ว
อย่าเอาชีวิตไปผูกกับใครนะนัท
“นัทก็อย่าทำให้เขาเบื่อสิ”
ทัชพูดแทรกขึ้นมา
ผมขมวดคิ้วงุ่น
“ทำไมคนรักกัน จะต้องเปลี่ยนตัวเองด้วยล่ะ ไม่เข้าใจ ถ้าเราเป็นตัวของเราแล้วเขาเบื่อ ก็แสดงว่าเขาไม่รักเราน่ะสิ”
“พูดยากนะ แต่ทัชว่าคนเรายอมลดราวาศอก ยอมลดข้อเสียตัวเองก็เพื่อรักษาคนที่เรารักได้ทั้งนั้น
ที่นัทไม่ยอม เพราะไม่รักเค้ารึเปล่า?”
ผมไม่ตอบ
แม้แต่ตัวเอง ผมก็ไม่อยากให้รู้ความจริง
“แปลกนะ มีแต่คนไม่สนับสนุนเขา ยกเว้นทัชที่เพิ่งกลับมาเจอกันแท้ๆ กลับชอบเขาซะอย่างนั้น”
“เราเคยเป็นเพื่อนสนิทนัทนะ ทำไมจะดูไม่ออก เขาน่ะเข้ากับนัท”
ผมหรี่ตา....พูดแบบนี้น่าสงสัย....
“รู้ได้ไง ตอนเรียนก็ไม่เคยคุยกับเขา”
ทัชทิ้งแขนลงข้างตัว กลอกตาไปทางอื่น
“ใครดูไม่ออกก็บ้าแล้ว นัทชอบเค้าใช่มั้ยล่ะ ทั้งๆที่คบเราอยู่”
เงียบ....
เกลียดเดดแอร์ แต่ก็นึกคำพูดไม่ออก
ดีที่ว่าอาหารมาพอดี ผมจึงชวนเขาทานอย่างเงียบๆนั่นแหละ
ตึ๊ง...
-จะขึ้นไปแล้วนะ-
เขาส่งข้อความมา ทำให้ผมนึกขึ้นได้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่
เข้าโหมดดราม่าได้ไงวะ
สักพักร่างสูงสง่าก็นั่งลงข้างผม ทัชไม่มีสีหน้าแปลกใจนัก มันยกมือไหว้รุ่นพี่ด้วยซ้ำ
“สวัสดีครับรุ่นพี่ร่วมสถาบัน”
“อืม หวัดดี”
เสียงเรียบๆสร้างบรรยากาศกดดันขึ้นมาชะงัดนัก
“สบายดีนะครับ คู่คุณน่ารักมาก”
อึ๋ย แปลกๆเนาะ แฟนเก่ามาชมแฟนใหม่
งงๆ ดีเหมือนกัน
ถ้าด่าเหมือนพี่แทนก็ว่าไปอย่าง
“ขอบใจ ไปไงมาไงล่ะถึงได้มาเจอกัน”
“เพิ่งกลับมาจากรัสเซียครับ ผมชอบเที่ยวรอบโลก เลยไม่ค่อยมีเวลาติดต่อนัทเลย แต่บังเอิญจริงๆ”
ทัชเล่าถึงวันที่เราเจอกันอย่างละเอียดยิบ
ราวกับรู้ว่าคุณภพเขาต้องการได้ยิน
“ฉันมีอะไรจะถาม”
อย่าบอกนะว่าจะถามตรงๆน่ะคุณภพ
“ครับ?”
“ได้ส่งจดหมายไปหาฉันหรือเปล่า”
แฟนผมไม่ปิดบังอะไรสักนิด
ไหนวะแผนที่บอกไว้ว่าจะปิดประตูตีแมว
ถามแบบนี้ ฝากผมถามก็ได้
“ฮะๆ เรื่องนี้นี่เอง”
เวรแล้วไง มีต่อยแน่
ผมรีบกระทุ้งแขนให้คุณภพรีบๆกลับ ไหนๆก็รู้ตัวการแล้ว อย่าเอาเรื่องเอาราวเลย
“ทำจริงๆสินะ”
คนมาดเข้มวางหมัดลงบนโต๊ะ
“ผมขอโทษ แต่ผมอยากลองใจคุณดู เผื่อคุณจะมาจีบนัทน่ะ ...ก็ตอนนั้นผมรู้สึกผิดที่ต้องบอกเลิกนัทนี่นา”
“บอกเลิกวันรับปริญญาเนี่ยนะ ทุเรศชะมัด”
“ใจเย็นๆน่าคุณภพ ผมไม่อะไรสักหน่อย”
ผมพูดตามใจคิด
“ตัวเองก็เหมือนกัน โดนฉันเข้าใจผิดก็ยังปล่อย ไม่รักตัวเองหรือไง”
เอ้าโดนอีก
“คุณนั่นแหละนิสัยไม่ดี รังแกผมก่อน”
“เอาละๆ อย่าเพิ่งเถียงกันคร้าบ”
ทัชต้องห้ามทัพเราสองคนที่กำลังแง่งใส่กัน
“ที่มาวันนี้ก็เพื่อจะหาตัวการที่ทำให้ฉันเป๋ แล้วก็เป็นอย่างที่คิด”
“แล้วคุณจะทำอะไรทัชอ่ะ”
ผมอยากช่วยเพื่อน เพราะแก้แค้นไปมามันมีแต่เสียกับเสีย
สู้เราอยู่กับปัจจุบันดีกว่า
“ไม่รู้ ไม่ได้นึกไว้”
“คุณจะต่อยผมก็ได้นะ ผมยอมรับผิดที่แกล้งคุณ”
เรื่องมันจะง่ายเกินไปหรือเปล่า
กลัวว่าคุณภพไม่จบที่ต่อยน่ะสิ
“เอาจริงก็ไม่รู้จะทำอะไร ไม่อยากใช้ความรุนแรงตัดสินปัญหาอีกแล้ว”
เขาหันมามองผม สายตาขอโทษเสียใจต่ออดีตที่เคยทำ
ผมหน้าร้อนวาบ
สายตาอ้อนๆแบบนี้ฆ่าคนได้จริงๆสิน่า
“ถึงตอนนี้เรามีความสุขกันแล้ว คุณอย่ายึดติดเลยนะ ผมให้อภัยเสมอ”
ผมกุมมือหนาไว้
“แฮปปี้เอนดิ้งสักทีน้า ในที่สุดนัทของเราก็เป็นฝั่งเป็นฝาสักที”
ทัชผ่อนคลายลงไปเยอะ
ผมเลยสั่งข้าวให้เขาทานเพิ่ม
คุณภพก็กินด้วย แต่ไม่ค่อยพูดอะไรเท่าไหร่
ก็เขาเป็นคนพูดไม่เก่งนี่นะ เราพอเข้าใจอยู่ สังเกตแค่แววตาว่าอารมณ์ดีหรือไม่ดีก็พอ
.................................
ขออภัยผู้อ่าน เนื่องจากงานเยอะ แต่งassay essayอิ๊งล่อไปสองเรื่อง ญี่ปุ่นอีกหนึ่ง
พูดไทยไม่รู้เรื่องแล้ว
ตอนนี้มีในสต็อคอยู่ 2 ตอน ค่ะ ขอแต่งเรื่อยๆมาเรียงๆก่อนนะ
แต่งวันละ4หน้า เลยช้า เป็นพวกเผื่อสต็อคไว้ มีแต่ไม่ลง5555 มันเป็นเคล็ด