อาทิตย์อัสดง บทที่ 4
พิชญค่อนข้างแปลกใจที่ 'คนที่อยู่ร่วมบ้าน' กลับมาเร็วขึ้นทุกวัน เขาอยากจะถามว่าทำไมวันแรกๆ กลับค่ำแต่หลังๆ กลับก่อนห้าโมงเย็น
สามวันติดต่อกันแล้วที่พิชญไม่ต้องทำอาหารเย็นเพราะอีกฝ่ายเป็นคนจัดการหมดด้วยเหตุผลที่ว่า 'ให้ผมทำอาหารเถอะ' ซึ่งบอกเป็นนัยว่าเขาทำอาหารไม่ได้เรื่อง
วันนี้ยิ่งแปลก พิชญหอบเสื่อกับหมอนและถือตะกร้าปิกนิกกลับมาถึงบ้านเมื่อเวลาบ่ายสามโมงแล้วเห็นคนตัวโตกำลังง่วนอยู่กับเตาบาร์บีคิวที่ระเบียงหลังบ้าน
“วันนี้มื้อพิเศษ ซีฟู้ดบาร์บีคิว” พยุตม์เงยหน้าขึ้นมาพูดกับพิชญ
“คุณจะไปหามาจากไหน ในตู้เย็นก็ไม่เห็นมี”
“นี่คุณครับ อยู่บนเกาะกลางทะเล ผมไม่กินซีฟู้ดแช่เข็งหรอก ผมบอกคุณแล้วไงว่าจะลงไปหาเอาในทะเล”
“พูดเป็นเล่น” พิชญทำหน้าไม่เชื่อ
“ผมไม่เคยพูดเล่น คุณเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม อีกหนึ่งชั่วโมงผมกลับมา”
“เดี๋ยวสิ” พิชญท้วง “เตรียมอุปกรณ์ หมายความว่ายังไง”
“นี่คุณถามผมว่าจะให้เตรียมอะไรสำหรับบาร์บีคิวใช่หรือเปล่า” พรานทะเลหันหน้ามาถาม
“ก็ถ้านั่นเป็นสิ่งที่คุณจะพูด ทำไมไม่พูดตั้งแต่แรก” พิชญทำหน้าไม่พอใจ
“คุณลองคิดดูเอาเองก็แล้วกัน”
พิชญนั่งนิ่ง มอร่างสูงใหญ่เดินหายไปช้าๆ เขาหมดคำพูดจะตอบโต้แล้วเพราะอีกฝ่ายก็ช่างพูดกวนเหลือเกิน
คิดดูเองก็แล้วกัน โธ่เอ๊ย ซีฟู้ดบาร์บีคิวมันจะยากซักแค่ไหนเชียว เราแค่ต้องการให้สื่อสารชัดเจนก็แค่นั้น เตรียมอุปกรณ์ก็คงหมายถึงให้จุดไฟคอยล่ะสิ แล้วเขาทำเป็นที่ไหน เคยใช้แต่เครื่องใช้ไฟฟ้า
พิชญเดินไปเดินมาครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินลงจากบ้านไปเก็บกิ่งไม้แห้งแล้วนำมากองไว้ข้างเตาบาร์บีคิว จากนั้นนึกถึงถ่านแต่เขาค้นเท่าไหร่ก็ไม่เจอ ท้ายที่สุดจึงเลิกหา พิชญเข้าไปในครัวเพื่อหยิบถาด มีด ช้อน ซ่อม จาน และ 'อุปกรณ์' อื่นๆ ที่เขาคิดว่าอาจต้องใช้สำหรับการทำบาร์บีคิวซีฟู้ด
ทุกอย่างพร้อม แต่ 'พรานทะเล' ยังไม่กลับมา พิชญนั่งมอง 'อุปกรณ์' ที่ตัวเองจัดไว้คอยคนที่กำลังไปหาอาหารทะเลแล้วนึกอะไรได้บางอย่าง เมื่อครู่ที่ค้นหาถ่านเขาเห็นกีตาร์โปร่งตัวหนึ่งในห้องเก็บของจึงคิดว่าขณะที่รอผู้ชายตัวโตคนนั้นน่าจะ 'เคาะสนิม' ฝีมือการเล่นกีตาร์ของตัวเองเสียหน่อย
พิชญปรับแต่งกีตาร์ไม่นานก็เริ่มกรีดนิ้วเล่นเบาๆ เขาคิดในใจว่าเสียงใช้ได้ทั้งที่ดูเป็นกีตาร์ราคาถูกๆ แล้วก็คิดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมผู้ชายตัวโตคนนั้นถึงได้เก็บกีตาร์ไว้ในห้องเก็บของ
...ไปทะเลกันดีกว่า ปล่อยใจให้สุขสันต์
ไปเล่นลมสู้คลื่น สุขชื่นและสมหวัง
ทะเลนั้นเป็นเพื่อน ที่ไม่เคยมุ่งหวัง
อะไรจากใจ อย่างที่คนคอยเฝ้าหวัง
ไปทะเลกันดีกว่า ไปทะเลกันดีกว่า
Let's go to the ocean, Let's go go the sea
ไปทะเลกันดีกว่า
(เพลง ไปทะเล โดย ปานศักดิ์ รังสิพราหมณกุล)
“อือ ไม่เลว” พิชญพูดอยู่คนเดียวเมื่อเล่นเพลงจบ พลันได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอเบาๆ ทางด้านหลังจึงหันไปมอง ผู้ชายร่างยักษ์คนนั้นยืนมองอยู่ด้วยใบหน้ายิ้มๆ ร่างสูงใหญ่มีหยดน้ำเกาะพราว กางเกงขาสั้นเปียกลู่แนบเนื้อยิ่งเน้นรูปร่างแกร่งกำยำให้เด่นยิ่งขึ้น มือขวาถือปลาหนึ่งตัว มือซ้ายถือปลาตัวเล็กกว่าหนึ่งตัวและปูทะเลตัวใหญ่
“โชคดีได้ปูมาด้วยหนึ่งตัว กุ้งกับปลาหมึกเอาไว้วันหลัง วันนี้กินแค่นี้ก่อน” พรานทะเลรายงานแล้วหันไปมอง 'อุปกรณ์' ที่พิชญเตรียมเอาไว้ก่อนจะทำหน้าแปลกๆ พิชญทำปากยื่นแล้วพูดขึ้นมาว่า
“ผมหาถ่านกับไม้ขีดไฟไม่เจอ”
“ไม่เป็นไรครับ แค่นี้ก็ทำให้ผมทึ่งแล้วล่ะ”
“คุณหมายความว่ายังไง” พิชญเอียงหน้าถาม
“ผมเปล่าประชดนะ ผมพูดจริงๆ” พยุตม์หันไปทำหน้าจริงจัง “เอาเป็นว่าคุณผ่านการทดสอบ”
“ทดสอบอะไร” พิชญเสียงแข็ง “นี่คุณคงคิดว่าผมเป็นคุณหนูเมืองกรุงที่ทำอะไรไม่เป็นเลยใช่ไหม”
“คุณนี่ช่างคิดนั่นคิดนี่จริงนะ”
“คุณไม่พูดให้ชัดเจนตั้งแต่แรกเองนี่” พิชญเบ้ปากแล้วเดินไปที่เตาบาร์บีคิวและถามว่า “จะให้ผมจุดไฟเลยไหมล่ะ คุณจะได้เห็นว่าผมก็จุดไฟเป็น”
“ไม่ต้องครับ เดี๋ยวผมจัดการเอง” พยุตม์ส่ายหน้ายิ้มๆ แล้วยื่นปลากับปูให้ “ผมคุณเอานี่ไปจัดการดีกว่า”
“จัดการ” พิชญอุทาน
“ใช่ครับ” พยุตม์พยักหน้า “คุณทำปลาให้เรียบร้อย ผมจะจุดไฟแล้วถึงจะไปทำน้ำจิ้ม ทำเสร็จปลาก็สุกพอดี แล้วเราจะได้กินทันดูพระอาทิตย์ตกทะเล”
“ทำยังไง” พิชญถามเบาๆ รับเอาปลากับปูจากมือของอีกฝ่ายอย่างเก้ๆ กัง
“ก็ทำปลากับทำปู”
“คุณไม่ต้องมาทำเป็นประชดว่า ไหนคุณว่าตัวเองไม่ใช่คุณหนูเมืองกรุงที่ทำอะไรไม่เป็น แต่ถึงยังงั้นก็เหอะ ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะรู้วิธีทำอะไรแบบนี้หรอกนะ” พิชญเม้มปาก
“ผมยังไม่ได้ว่าอะไรคุณเลย” พยุตม์ตอบเสียงราบเรียบ “คุณจะตีโพยตีพายไปทำไม ที่บอกว่าให้ไปจัดการ ก็แค่ล้างให้สะอาดเท่านั้น่ะ ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น แต่ขอเตือนว่าอย่าแก้เชือกมัดปู เดี๋ยวมันหนีบมือเอา ผมหวังดีถึงได้บอก”
“แล้วทำไมไม่พูดให้ชัดเจนตั้งแต่แรก” พิชญบ่นพึมพำ ก้มหน้า ไม่สบตากับอีกฝ่าย “แค่บอกว่าเอาไปล้างให้สะอาดแค่นั้นเอง”
พยุตม์กลั้นหัวเราะเมื่อยืนมองตามคนที่รับปลาและปูไปจากมือเขาแล้วเดินลงส้นเท้าหนักๆ เข้าไปในบ้าน รู้สึกสบายใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกที่ได้ยั่วให้อีกฝ่ายหน้างอ
เขารู้สึกสนุกที่ได้ต่อล้อต่อเถียงกับชายหนุ่มแปลกหน้าผู้ดื้อรั้นคนนี้
เตาย่างบาร์บีคิวของบ้านหลังนี้ 'ไฮเทค' กว่าที่คิด กิ่งไม้แห้งที่พิชญหามานั้นไม่ได้ใช้แม้แต่ชิ้นเดียวเพราะเป็นเตาบาร์บีคิวที่ใช้แบ็ตเตอรี่ พยุตม์วางถ่านที่มีลักษณะคล้ายก้อนหินสีดำประมาณสิบก้อนวางบนถาดใต้ตะแกรง จานนั้น 'กดปุ่ม' เปิดไฟเพียงครั้งเดียว
“ผมดัดแปลงเอง เตานี้ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ เห็นกล่องสี่เหลี่ยมนั่นไหม นั่นแบตเตอรี่ที่ต่อจากแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคาบ้าน” พยุตม์อธิบาย
“เก่งที่สุดในโลกเลย” พิชญพยักหน้า “ผมนึกว่าไฟไฟ้ในบ้านมาจากเครื่องปั่นไฟที่ใช้น้ำมันซะอีก”
“เก่งประชดนะคุณเนี่ย” พยุตม์ส่ายหน้ายิ้มๆ
“ก็แล้วไม่บอกว่าเป็นเตาไฟฟ้า คนเสียเวลาไปหาเก็บกิ่งไม้” พิชญกระแทกเสียง
“ผมนึกว่าคุณดูออก” พยุตม์ยักไหล่แล้วพูดต่อว่า “รออีกนิดนะครับ เดี๋ยวก็ได้กิน”
“ผมไม่ค่อยหิวเท่าไหร่” พิชญตอบแล้วหันไปมองทะเล
“คุณไม่แพ้อาหารทะเลนะ ผมไม่มียาแก้แพ้”
“ผมมี” พิชญตอบ “แต่ผมไม่แพ้อาหารทะเล ยกเว้น...
“ยกเว้นอะไร”
“อย่ารู้เลย” พิชญส่ายหน้า
“อ้าว ทำไมล่ะ” พยุตม์เลิกคิ้วแล้วอดยั่วไม่ได้ “หรือคุณกลัวว่าผมจะรู้จุดอ่อน”
“มันไม่ใช่จุดอ่อนของผม คุณไม่ต้องคิดว่าผมจะคิดว่าพอคุณรู้ว่าผมแพ้อะไรคุณจะหาว่าผมจะว่าคุณว่าจะไปเอาไอ้สิ่งที่ผมแพ้มาใกล้ๆ ผม”
“คุณพูดอีกทีซิ” พยุตม์ขมวดคิ้ว นิ่งไปครู่หนึ่งแล้วถามขึ้นมา
“ผมพูดแค่ครั้งเดียว ไม่มีพูดซ้ำซาก ผมไม่ใช่คนย้ำคิดย้ำทำ” พิชญเอียงหน้าท้าทาย
“ทำไมชอบคิดแต่ด้านลบ” พยุตม์พึมพำแล้วก้มลงสนใจบาร์บีคิวตรงหน้า “คุณกินปูไปนะ ผมยกให้”
“ไม่ต้องเสียสละให้ผมก็ได้” พิชญปฏิเสธ “เรามีสิทธิเท่าเทียมกัน แบ่งกันกินคนละครึ่ง”
“ผมแพ้ปู” พยุตม์ตอบ
“อ้าว แล้วจับมาทำไม” พิชญอุทาน
“คุณไม่เข้าใจหรือ” พยุตม์เลิกคิ้ว ห่อไหล่ แบะแขนทั้งสองข้างออก ทำท่าทางประกอบคำถามซึ่งพิชญเห็นว่าขัดตาตัวเองยิ่งนัก
“ไม่เข้าใจ ผมไม่ฉลาดขนาดนั้น คุณต้องการบอกอะไรพูดมาตรงๆ ดีกว่า” พิชญตวัดเสียงพูด
“ผมจับมาให้คุณกินไงครับ”
“ผมไม่ชอบกินปู” พิชญยักไหล่
“งั้นก็โยนทิ้งทะเลไป”
“อ๊ะๆ ไม่ได้นะ อุตส่าห์หามาแล้ว เสียดายของ” พิชญห้ามเพราะปูเป็นอาหารทะเลที่ตัวเองโปรดปรานแต่ที่พูดไปก็เพราะต้องการอยาก 'กวน' อีกฝ่ายเท่านั้น
แพ้ปู จะบ้าหรือ ตัวใหญ่ยังกะยักษ์มาแพ้อะไรตัวเล็กๆ แบบนี้ มาอยู่กลางทะเล ยาแก้แพ้ก็ไม่มี เชื่อดีไหมเนี่ย หรือจะแกล้งโกหกเราเฉยๆ
พระอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำลง แสงสีทองส่องกระทบผิวน้ำทะเลเป็นประกายระยิบระยับ เวิ้งฟ้ากว้างใหญ่แปรเปลี่ยนจากสีฟ้าครามเป็นสีทองปนม่วงแดงสวยงามยิ่งนัก ชายหนุ่มทั้งสองคนต่างทานอาหารมื้อพิเศษกันอยู่เงียบๆ พิชญค่อยๆ แทะปูเผาพลางแหงนหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้าด้วยสายตาชื่นชม ลืมปัญหาที่เพิ่งเผชิญมาในกรุงเทพมหานครไปเสียสิ้น จนกระทั่งคนที่นั่งอยู่ใกล้ๆ พูดขึ้นมาว่า
“ท่าทางคุณก็เป็นคนชอบธรรมชาตินี่นา”
“คุณหมายความว่ายังไง” พิชญถาม
“ก็หมายความว่าอย่างที่พูดไงครับ” พยุตม์ตอบ
“คุณพูดให้คนฟังต้องตีความ”
“งั้นคุณตีความว่ายังไง บอกให้ผมฟังหน่อย” พยุตม์ถาม
“คุณกำลังบอกผมว่า ผมดูเหมือนคนกรุงที่ไม่เคยสัมผัสธรรมชาติ พอผมนั่งมองท้องฟ้าด้วยสายตาชื่นชมมีความสุข คุณก็เลยพูดแบบนั้นออกมา”
“อ๋อ งั้นหรือ” พยุตม์ยักไหล่ หยิบปลาชิ้นใหญ่เข้าปากแล้วเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย “คิดได้คิดไป คุณชอบคิดอะไรเอาเองอยู่แล้วนี่ คนพูดอีกอย่างคิดไปอีกอย่าง มองอะไรด้านลบไปซะหมด”
“คุณอย่ามาชวนทะเลาะนะ ผมกำลังทานอาหารอร่อย” พิชญขมวดคิ้วไม่พอใจ “บรรยากาศกำลังดี จะพูดขึ้นมาทำไมก็ไม่รู้”
“คุณมาที่นี่ทำไมหรือครับ” คนที่ถูกห้ามไม่ให้พูดไม่สนใจคำห้าม
“คุณหมายความว่ายังไง”
“เห็นไหม พอผมถามตรงๆ คุณก็ยังถามผมแบบนี้อีก ผมว่าคุณนั่นล่ะจงใจจะคิดว่าผมถามอะไรที่ต้องตีความ ทั้งที่ความจริงไม่ใช่ยังงั้น ผมน่ะเป็นคนที่สื่อสารตรงไปตรงมา”
“ผมว่าคุณถามใหม่ดีกว่า” พิชญหรี่ตา เสียงเย็นชา “ถามแบบที่คุณอยากรู้จริงๆ ให้ตรงไปตรงมาจริงๆ อย่างที่คุณพูด ผมให้โอกาสคุณถามอีกคำถามเดียวเท่านั้นสำหรับวันนี้”
“คุณหลบอะไรหรือหลบใครมาอยู่ที่นี่” พยุตม์ถาม 'คำถามเดียว'
พิชญอึ้ง คนที่ถามเขาเน้นชัดทุกคำ ผู้ชายคนนั้นมองตาเขานิ่งพลางหยิบอาหารเข้าปากโดยไม่มองมือตัวเอง
“ว่าไงครับ” พยุตม์พูด
“คุณจะรู้ไปทำไม” พิชญเสียงเย็น
“เห็นไหมล่ะ พอผมถาม คุณก็ไม่ตอบ”
“ผมหลบปัญหา” พิชญยักไหล่ หันไปมองทะเล “มาหาที่พักผ่อนคิดหาทางออก”
“อืม”
“นี่คุณไม่รู้อะไรจริงๆ หรือถึงได้ถามผมแบบนี้” พิชญลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันขวับไปจ้องหน้าอีกฝ่ายแล้วถามขึ้นมา
“คุณหมายความว่ายังไง”
“นั่นไง คุณก็ถามคืนแบบนี้เหมือนกัน” พิชญเบ้ปาก
“ก็คุณไม่ได้พูดให้ชัดเจนนี่ครับ” พยุตม์แย้ง “ผมไม่รู้อะไรงั้นหรือ ผมต้องรู้อะไร ผมไม่เข้าใจคำถามของคุณ”
“ช่างเถอะ” พิชญยักไหล่
“ทำไมต้องช่างเถอะ คุณอย่ามาทำให้ผมงง”
“คุณ...” พิชญทำเสียงเหนื่อยหน่ายแล้วจ้องหน้าผู้ที่ที่นั่งแทะก้างปลา พยายามมองทะลุเข้าไปในดวงตาคมกริบคู่นั้นอย่างค้นหา
ถ้าผู้ชายคนนี้ตีหน้าตายก็ทำได้แนบเนียนมาก หรือไม่เขาก็งงจริงๆ อย่างที่พูด
พิชญเลิกจ้องหน้าอีกฝ่ายแล้วหันไปสนใจกับอาหารในจานของตนเอง
เขารู้สึกขึ้นมาแวบหนึ่งว่าอยากจะถามชื่อ แต่อีกใจหนึ่งก็คิดว่าอยู่ด้วยกันโดยไม่ต้องรู้จักชื่อกันแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน พิชญรู้สึกแปลก รู้สึกว่าเป็นประสบการณ์ใหม่ และรู้สึกตื่นเต้นที่อยู่บ้านเดียวกันกับคนที่ไม่รู้จักกันเลย
หรือจะพูดอีกอย่างหนึ่งก็ได้ว่า 'คนที่ไม่รู้จักเขา'
พยุตม์เก็บของทุกอย่างเสร็จแล้วจึงไปอาบน้ำ ขณะที่ยืนอยู่ใต้ฝักบัวซึ่งเขาปล่อยให้น้ำไหลราดไปตามลำตัว พยุตม์ก็อดนึกภาพใบหน้าของคนที่เดินไปเดินมาอยู่นอกห้องนอนไม่ได้
พยุตม์ยอมรับว่าชายหนุ่มแปลกหน้าคนนี้ทำให้เขาสนใจ ความจริงเขาไม่ชอบสุงสิบกับใครและมีโลกส่วนตัวสูง แต่ไม่นึกเลยว่าจู่ๆ ก็จะมีผู้ชายคนหนึ่งโผล่เข้ามาในช่วงนี้ของชีวิตทั้งที่เขาตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะอยู่เงียบๆ คนเดียว
เสียงกีตาร์ดังขึ้นเบาๆ พยุตม์หมุนน้ำให้ไหลค่อยลง ในใจก็นึกภาพว่าชายหนุ่มหน้าขาวคนนั้นคงนั่งอยุ่ที่ระเบียงหน้าบ้าน
เสียงนุ่มๆ ดังคลอไปกับกีตาร์ฟังเพราะยิ่งนัก ราวกับเปิดเพลงจากเครื่องบันทึกเสียง
If blood will flow when flesh and steel are one
Drying in the colour of the evening sun
Tomorrow's rain will wash the stains away
But something in our minds will always stay
Perhaps this final act was meant
To clinch a lifetime's argument
That nothing comes from violence and nothing ever could
For all those born beneath an angry star
Lest we forget how fragile we are
On and on the rain will fall
Like tears from a star like tears from a star
On and on the rain will say
How fragile we are how fragile we are ...
(เพลง Fragile ขับร้องโดย Sting)
หลังอาบน้ำเสร็จ พยุตม์เดินออกมานอกบ้าน ชายหนุ่มคนนั้นหยุดเล่นกีตาร์ทันทีเมื่อเห็นเขา
“เล่นต่อสิครับ เพราะดี คุณร้องเพลงได้แบบนักร้องอาชีพเลยล่ะ” พยุตม์ชม “เหมือนกับเกิดซีดี”
“งั้นหรือ”
“อย่ามาหาว่าผมประชดล่ะ” พยุตม์ยิ้ม “ผมพูดจริงๆ ไม่ได้มีอะไรแอบแฝง”
“คุณเล่นกีตาร์ด้วยหรือ” พิชญถาม
“เปล่า ผมเก็บได้ มีคนทิ้งเอาไว้ที่ใต้ต้นไม้ที่คุณพยายามปีนลงมาจากเปลวันนั้น สงสัยเป็นของขวัญที่เขาตอบแทนผมที่แขวนเปลกับชิงช้าไว้ให้คนผ่านไปมานั่งเล่น”
“คุณแขวน” พิชญเลิกคิ้ว ทำหน้าไม่เชื่อ
“ผมไม่ได้คิดจะเปิดประเด็นชวนคุณทะเลาะนะ แต่ผมเป็นคนแขวนจริงๆ บางทีมีคนขับเรือผ่านมาแล้วแวะขึ้นไปนั่ง ท่าทางมีความสุขแล้วก็ตื่นเต้นที่ได้ประสบการณ์ใหม่”
“มีคนผ่านมาด้วยหรือ ตั้งแต่อยู่ที่นี่ไม่เห็นเรือผ่านไปซักลำ”
“ทำไม คุณยังมีความคิดที่ว่า ถ้ามีเรือผ่านมาแล้วจะโบกขอให้พาไปหารีสอร์ทที่อื่นพักหรือไง”
“นี่ล่ะที่เรียกว่าเปิดประเด็นชวนทะเลาะ” พิชญชี้หน้าคนตัวโต
“งั้นผมไม่พูดก็ได้ คุณเล่นกีตาร์ต่อเถอะ” พยุตม์ยกมือขึ้นโบกแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ห่างออกไปเล็กน้อย
“นี่คุณ ทำไมใส่แต่กางเกงขาสั้นตัวเดียว ทำไมไม่ใส่เสื้อบ้าง” พิชญอดถามไม่ได้
“ผมอยากโชว์หุ่น” พยุตม์พูดยิ้มๆ
“ถ้าเป็นที่คนเยอะๆ ก็ว่าไปอย่าง” พิชญเบ้ปากแล้วกรีดนิ้วลงบนสายกีตาร์และเล่นเพลงเร็ว
“คุณคงคิดว่าหุ่นผมไม่ได้เรื่อง”
จะบ้าหรือ หุ่นดีมากต่างหาก แต่เล่นเปลือยอกอยู่ตลอดเวลาแบบนี้มันทำให้เราไม่มีสมาธิ ตั้งใจหลบมาอยู่เกาะกลางทะเลเพื่อคิดเรื่องปัญหาต่างๆ ให้เคลียร์กลับไม่ได้คิด มัวแต่มองแผงอกกับลอนหน้าท้อง เสียเวลาเดินทางมาใกลๆ จริงๆ
พิชญไม่ตอบอีกฝ่าย เปลี่ยนจากการเล่นเพลงเร็วเป็นเพลงช้าทันทีทันใด
“ร้องด้วยสิครับ” คนฟังเพลงพูดขึ้นมา พิชญส่ายศีรษะแล้วเล่นกีตาร์ต่อแต่ไม่เล่นจบเพลง เขาเล่นพอให้คนฟังรู้ว่าเป็นเพลงอะไรแล้วก็เปลี่ยนเพลงไปเรื่อยๆ
“เอาให้จบซักเพลงหน่อยสิ”
“คุณนี่เรื่องมากจริงๆ” พิชญพูดขึ้นแล้วหยุดเล่น จากนั้นถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ฟังฟรีนะ ไม่ได้เสียเงิน”
“อ้าวทำไมล่ะ”
“น่าจะมีไวโอลิน” พิชญพึมพำ
“คุณเล่นดนตรีเป็นกี่อย่าง” เสียงของคนฟังดังขึ้นมาแทรก ทำให้พิชญต้องหันไปมองเพราะอีกฝ่ายถามแล้วลุกขึ้นเดินเข้ามายืนอยู่ใกล้มาก
“หลายอย่าง” พิชญตอบ
“กีตาร์ แล้วก็...” พยุตม์เลิกคิ้ว
“ไวโอลิน เซลโล แล้วก็อีกสองสามอย่างที่มีสาย” พิชญจงใจกวน
“ซออู้ ซอด้วง แล้วก็จะเข้”
“บ้าหรือ” พิชญโวย
“ก็แล้วทำไมคุณไม่ตอบผมมาตรงๆ”
“ตอบหมดก็ไม่มีอะไรให้ค้นหาสิ” พิชญลุกขึ้นและขยับตัวออกห่างคนตัวสูงซึ่งตอนนี้กำลังก้มหน้ามองเขายิ้มๆ ดวงตาเป็นประกายวิบวับ
“อยากให้ค้นหาหรือครับ” พยุตม์พูด
“ผมจะไปอาบน้ำแล้ว เหนียวตัว” พิชญพูดแล้วรีบเดินเข้าไปในบ้าน ทิ้งให้อีกฝ่ายมองตามด้วยสายตาเป็นระยิบระยับ
พิชญยอมรับว่าตัวเองรู้สึกคุ้นเคยกับ 'คนที่อยู่ร่วมบ้าน' มากขึ้น เวลาแต่ละวันผ่านไปช้าๆ เขารู้สึกว่าตัวเองได้พักผ่อนเต็มที่ เวลาส่วนมากใช้ไปกับการอ่านหนังสือและการนอน เดิมที่ตั้งใจหาที่เงียบสงบเพื่อคิดใตร่ตรองเรื่องปัญหาต่างๆ กลับไม่ค่อยได้คิด
วันนี้ทานอาหารเช้าเสร็จเขาก็ใช้เวลาอาบน้ำเกือบชั่วโมง ปล่อยให้เวลาผ่านไปช้าๆ ทำอะไรไม่เร่งรีรบ ตอนนี้บ้านทั้งหลังเป็นของเขาคนเดียวเพราะอีกคนมักจะหายหน้าไปเสมอเมื่อทานอาหารเช้าเสร็จ จะกลับมาอีกทีก็ตอบบ่ายๆ
อืม แต่เขากลับเร็วกว่าเดิมทุกวัน จำได้ว่าวันแรกกลับค่ำมาก แล้วก็เร็วขึ้น เร็วขึ้น เมื่อวานนี้ก็บ่ายสามโมง เกือบจะเวลาเดียวกับเรา
แต่เขาหายไปทำอะไร เดินออกไปตัวเปล่าแล้วก็กลัยมาตัวเปล่า ใส่กางเกงขาสั้นอยู่ตัวเดียวนั่นล่ะ ประหยัดเสื้อผ้าจริงๆ เลย หรือตั้งใจจะโชว์หุ่นอย่างที่เคยพูด โชว์หุ่นให้เราดูนี่นะ
แต่ก็เพลินดีเหมือนกัน อืม หุ่นแบบนั้นถ้าเปลือยกายจะเป็นยังไงก็ไม่รู้
พิชญเผลออมยิ้ม มองตัวเองในกระจกแล้วเดินออกมาจากห้องน้ำ แต่นึกได้ว่าลืมผ้าเช็ดตัวจึงเดินกลับเข้าไปใหม่ ขณะที่ใช้ผ้าเช็ดตัวเช็ดผมก็ไดิ้นเสียงกุกกักนอกห้องจึงค่อยๆ โผล่หน้าออกมาดู
“คุณเข้ามาทำอะไร” พิชญถามคนที่กำลังก้มหน้าหาอะไรบางอย่างบนโต๊ะชิดกับผนังห้องด้านปลายเตียง
“หาของ” พยุตม์ตอบ
“เข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่” พิชญถามเพราะเมื่อครู่นั้นตัวเองเดินเปลือยออกมาจากห้องน้ำโดยไม่ได้สนใจมองอะไร
“ทำไมหรือครับ”
“ก็...” พิชญอ้ำอึ้ง ไม่รู้จะพูดอย่างไรดี ครั้นจะถามไปอย่างที่ใจกำลังสงสัยก็รู้สึกไม่กล้า จึงพูดพูดขึ้นมาว่า “นึกว่าคุณไปแล้ว”
“ผมหาของอยู่” พยุตม์ตอบแล้วก้มลงหาของต่อไป พยายามควบคุมจังหวะหายใจให้ช้าลง
ผมเข้าทันเห็นคุณเดินเข้าไปในห้องน้ำพอดี
ขาวเนียนไปทั้งตัว หุ่นมีกล้ามเนื้อกำลังพอดี ก้นงอนแน่นที่สุด ถ้าเป็นแบบนี้อีกครั้งเขาต้องตะบะแตกแน่ วันนั้นตอนที่เห็นเปลี่ยนเสื้อผ้าก็ต้องควบคุมตัวเองแทบแย่
พยุตม์เจอสิ่งของที่ต้องการแต่ก็ยังไม่เดินออกไปจากห้อง พอหันหน้าไปมองห้องน้ำ คนที่ทำหน้าระแวงใส่เขาเมื่อครู่ยังขังตัวเองอยู่ข้างใน ราวกับว่าจะรอให้เขาออกไปก่อนถึงจะเปิดประตูห้องน้ำออกมา
อาบน้ำมาเป็นชั่วโมงยังไม่พออีกหรือ ทำไมอยากหลบหน้าเขานัก
พยุตม์ถอนหายใจแล้วเดินออกจากห้องนอน จงใจปิดประตูเสียงดังให้คนที่อยู่ในห้องน้ำรู้ว่าเขาออกไปแล้ว
วันนี้พยุตม์ไม่อยากไปไหนเลย เขาไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมอยากเดินไปเดินมาอยู่ในบ้านทั้งที่ไม่มีอะไรทำ
เวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงประตูห้องนอนจึงเปิดออก พยุตม์หันไปมอง คนที่เดินออกมาขมวดคิ้วมองมาที่เขาด้วยสายตามีคำถามซึ่งพยุตม์เข้าใจได้ทันทีว่าหมายความว่าอย่างไร
“ผมกำลังจะออกไปพอดี” พยุตม์พูด
“ผมก็เหมือนกัน”
“วันนี้คุณจะทำอะไร” พยุตม์ถาม
“ก็เหมือนเดิม” พิชญยักไหล่ ก้มลงหยิบเสื่อที่วางอยู่ใกล้ประตู
“ไม่เบื่อบ้างหรือไงครับ นอนเล่นอ่านหนังสือใต้ต้นไม้ทุกวัน”
“ก็คนมาพักผ่อน”
“ไปดำน้ำดูประการังไหม” พยุตม์ชวน “หรือไปทำอะไรอย่างอื่นก็ได้ คุณมาทะเล แต่ไม่เห็นลงทะเลเลย”
“ทำไมจะไม่ลง ผมเดินลุยน้ำเล่นที่ชายหาดตั้งหลายครั้ง” พิชญตอบ
“อ๋อหรือครับ” พยุตม์ยิ้มบางๆ รู้สึกขำ “เอ๊ะ หรือคุณว่ายน้ำไม่เป็น เอาไหมล่ะ ผมจะสอนให้ รับรองเป็นภายในหนึ่งชั่วโมง”
“อย่ามาดูถูกกันนะ”
“เปล่าดูถูก คุณอย่าคิดแต่ในแง่ลบสิ”
“ถ้างั้นคุณก็ดูผิด” พิชญพูดแล้วเดินลงจากบ้านไปโดยไม่หันมามองคนที่ยืนทำหน้าขำๆ อยู่ข้างหลัง
วันนี้แดดจ้ามาก ท้องฟ้าปลอดโปร่งแทบจะไม่มีเมฆ ลงแรงกว่าทุกวันจนพิชญต้องไปหยิบก้อนหินมาวางไว้ที่มุมทั้งสี่ด้านของเสื่อเพื่อกันไม่ให้เสื่อปลิว
พิชญอ่านหนังสือได้ไม่ถึงสองบทก็เริ่มรู้สึกเบื่อจึงนอนพลิกไปพลิกมาเพื่อคิดเรื่องปัญหาต่างๆ ในชีวิต แต่ก็ต้องประหลาดใจตัวเองเพราะจู่ๆ ก็ไม่อยากจะสนใจสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาให้ต้องแก้ไขในตลอดสามเดือนที่ผ่านมา
ช่างมัน
ช่างหัวมันเถอะ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด เบื่อนักก็หนีมานอนเล่นริมทะเลแบบนี้
พิชญได้บทสรุปให้กับตัวเองอย่างง่ายๆ และคลายความกังวลใจไปได้มากอย่างที่ตัวเองแทบไม่อยากจะเชื่อ สามเดือนที่ผ่านมาเขาหนักใจมาก ต้องหลบหน้าผุ้คนจนแทบไม่ต้องทำอะไร บ้านตัวเองก็อยู่ไม่ได้ ต้องไปพักกับเพื่อนคนนั้นคนนี้ไปเรื่อย จนในที่สุด คณินทร์กับปานฤทัยเสนอให้เขาหลบไปหาที่เงียบๆ พักผ่อนสักสองอาทิตย์ แต่แม้เขาจะยอมทำตาม ก็ยังรู้สึกหนักใจว่าคงจะไม่สามารถคิดหาทางออกให้กับปัญหาหลายๆ อย่างได้ภายในสองอาทิตย์ พิชญคิดเพียงว่าอาจจะตั้งสติได้และคิดอะไรให้ชัดเจนขึ้นมาบ้าง
แต่นี่เขากลับสรุปง่ายๆ แล้วก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาทันที
พิชญพลิกตัวนอนตะแคง หันไปมองทะเลเบื้องหน้า รู้สึกอยากจะว่ายน้ำ
อีตายักษ์ใหญ่ว่าเขาหน้าตาเฉยว่ามาทะเลแล้วไม่ยอมลงน้ำ เขาเองก็เถียงข้างๆ คูๆ ว่าเดินลุยน้ำเล่นตั้งหลายครั้ง แต่เขาลืมแว่นตาว่ายน้ำ กางเกงว่ายน้ำ โลชั่นกันแดด จะให้ว่ายน้ำได้ยังไง และแม้แต่สายไฟชาร์ตโทรศัพท์มือถือก็ลืม โชคดีปิดเครื่องไว้ตลอดเวลา วันเดินทางกลับจะได้มีโทรศัพท์ใช้กรณีฉุกเฉิน
จะยืมนายคนนั้นก็กลัวถูกว่ากระทบกระเทียบ
แล้วอีตานั่นไปไหนของเขา วันทั้งวันไม่เคยอยู่บ้าน หายไปเงียบๆ และกลับมาเงียบๆ
สงสัยคงไปหาที่นอนเล่นเหมือนเรานี่ล่ะมั๊ง ท่าทางเป็นคนมีโลกส่วนตัวสูง ไม่ขอบสุงสิกับใคร
พิชญพลิกตัวนอนหงาย มองใบไม้ที่สั่นไหวเพราะแรงลมอย่างเพลิดเพลิน ไม่นานก็อ้าปากหาว เริ่มรู้สึกง่วงอีกแล้ว บรรยากาศสบายๆ ทำให้เขาอยากจะนอนแต่เพียงอย่างเดียว
ขณะที่กำลังเริ่มตาปรือพิชญก็สะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงห้าวๆ คุ้นหู
“คุณมาอยู่นี่เอง จะหลับอีกแล้ว”
พิชญดันตัวลุกขึ้นครึ่งนั่งครึ่งนอน ผู้ชายตัวโตคนนั้นยืนเท้าเอวอยู่เหนือศีรษะของเขา ก้มลงมองด้วยใบหน้ายิ้มๆ
ผู้ชายคนนี้ตัวสูงใหญ่มาก กล้ามต้นขาเป็นมัดๆ แผงอกกว้างล่ำสัน แขนกำยำ ผิวเข้มเหมือนอาบแดดทุกวัน หุ่นดีเป็นบ้า นี่ถ้าคณินทร์กับพี่ปานมาเห็นคงร้องกรี๊ดจนสลบ
“ผมจะหลับ คุณมายุ่งอะไรด้วย ผิดกฎหมายหรือครับ”
“ถามดีๆ” พยุตม์ส่ายหน้า
“ผมก็ตอบดีๆ”
“ไม่กลัวน้ำขึ้นแล้วคลื่นซัดลงทะเลหรือไง”
“พูดเป็นเล่น” พิชญเบ้ปากแล้วลุกขึ้นนั่ง เบือนหน้าออกไปมองทะเล คนที่แทบจะยืนคล่อมศีรษะของเขานั่งยองๆ ลงมาข้างๆ และพูดว่า
“ไปเล่นน้ำกันไหม คุณเอาแต่นอน จะเรียกว่ามาเที่ยวทะเลได้ยังไง”
“ก็นี่ไงเที่ยวทะเล ปูเสื่อนอนพักผ่อนบนชายหาดก็เรียกว่ามาเที่ยวทะเลเหมือนกัน”
“ว่ายน้ำเป็นหรือเปล่า” พยุตม์เลิกคิ้วข้างซ้าย
“ทำไมถามเซ้าซี้”
“ผมถามจริงๆ ไม่ได้ล้อเล่น ไม่ได้ประชด ไม่ได้กระทบกระเทียบ”
“ผมยังไม่อยากเล่น”
“เอ้า นี่ แว่นตาดำน้ำ” คนที่ชวนเล่นน้ำยื่นแว่นตาดำน้ำดูประการังลงบนเสื่อ “ผมว่าคุณไม่มีอุปกรณ์แน่ๆ เลยหามาให้”
“ผมยังไม่อยากลงทะเล” พิชญส่ายหน้าปฏิเสธ
“ตอนนี้เวลาดีเลยล่ะ ถ้าไม่ลงตอนนี้แล้วคุณจะเสียดาย เชื่อผมสิ ลงไปพร้อมผมนี่ล่ะ ถ้าคุณว่ายน้ำไม่ไหวผมจะได้ช่วย”
“ผมง่วง ขอนอนพักผ่อน” พิชญอ้าปากหาวแล้วเอนตัวลงนอน
“ตามใจ” พยุตม์พูดแล้วลุกขึ้นเดินจากไป
::: End of chapter 4 :::