-28-
มู่อี้จิงกระแทกประตูบ้านเปิดเสียงดังก่อนจะกระแทกปิดกลับไปด้วยแรงอารมณ์ที่คุกรุ่นเช่นเดิม เขาหงุดหงิดงุ่นง่านมาตั้งแต่ที่โต้เถียงกับเซินเฟยซ้ำยังเกือบจะได้ชกกับโชเฟอร์แท็กซี่ โชคดีที่ควบคุมอารมณ์ได้แล้วกลับมาถึงบ้านอย่างปลอดภัย
หมัดขวากระแทกครั้งหนึ่งลงไปยังกำแพงที่ไม่รู้เรื่องอะไรด้วย กระนั้นเจ้าตัวก็อดที่จะระบายความหงุดหงิดใส่ไม่ได้
ชายหนุ่มเสยผมตัวเองพลางพ่นลมหายใจหนักหน่วง
การทำงานกับมาเฟียเป็นเรื่องยากอย่างนี้เองน่ะหรือ!?
ตอนที่สารวัตรหรงเรียกเขาไปคุยเรื่องนี้ เขาคิดว่ามันจะเป็นงานง่าย ๆ แค่เก็บกวาดสิ่งที่พวกมาเฟียทิ้งเอาไว้เพราะไม่อาจเก็บกวาดด้วยตัวเองได้ หรือไม่ก็แค่เป็นสายสืบให้ในบางโอกาส ซึ่งทั้งหมดนั่นเขาไม่ได้มองว่าเป็นงานยุ่งยากเลย ซ้ำยังได้ค่าตอบแทนสูงด้วยซ้ำไป ทว่า ในวันนี้เขากลับได้รู้ซึ้งถึงคำว่ามาเฟีย สิ่งมีชีวิตที่อยู่คนละโลกกับเขา มีวิธีคิดที่แตกต่างจากมนุษย์ปุถุชนโดยสิ้นเชิง
บ้านเมืองมีกฎหมาย....องค์กรใต้ดินก็มีกฎของตัวเอง.....
คนที่เคยเหยียบย่างเข้าไปในโลกนั้นแล้วครั้งหนึ่งจะไม่มีโอกาสให้ถอย.....
เซินเฟยไม่ใช่คนที่ตัดสินด้วยอารมณ์ เขารู้ดี ในมือฝ่ายนั้นคงมีหลักฐานหรือข้อสันนิษฐานที่เชื่อมโยงปริศนาที่เขาแก้ไม่ตกได้ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยากจะทำใจให้ยอมรับว่าการตัดสินด้วยความตายคือสิ่งที่ถูกต้อง สองคนนั้นควรมีโอกาสได้แก้ต่างให้ตนเองไม่ใช่หรือ?
เวลาป่านนี้แล้ว....เซินเฟยคงจะจัดการทุกอย่างจนเรียบร้อยเหมือนเดิม เด็กหนุ่มที่ดูเฉียบขาดเจ้าระเบียบในสายตาเขา ได้แฝงความเลือดเย็นอำมหิตไว้แค่ไหนกันนะ จะถึงกับหั่นร่างทั้งสองออกเป็นชิ้น ๆ แล้วโยนให้สุนัขกินหรือเปล่า? หรือเอาศพไปถ่วงน้ำ บางทีอาจจะทรมานทั้งเป็นจนกว่าจะสารภาพก็ได้
เป็นเพราะมู่อี้จิงไม่เคยมองเซินเฟยได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เขาจึงไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าเมื่อเซินเฟยลงมือด้วยตัวเอง ผลจะออกมาเป็นเช่นไร
มู่อิ้จิงทิ้งตัวลงบนโซฟา พยายามระงับความโกรธเกรี้ยวของตนเอง เขารู้ดีว่าตัวเองเป็นคนค่อนข้างดื้อรั้นและอารมณ์รุนแรง แต่ว่าเมื่อคิดจะทำงานกับคนอันตรายอย่างนั้นแล้ว การระงับสติอารมณ์ตัวเองเพื่อให้มีสติอยู่เสมอเป็นสิ่งสำคัญ กระนั้นกลับไม่ใช่เรื่องง่ายเลยเมื่อเขาคิดถึงใบหน้าที่แสดงความหวาดกลัวถึงขีดสุดในวินาทีก่อนจะถูกปลิดชีพของจือหยินและเฉียนหลิงหลิง หากว่าสองคนนั้นไม่ใช่คนผิดล่ะ? หากว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรเลย ถ้าหากสิ่งที่เซินเฟยรู้มาเป็นเพียงข้อมูลที่ผิดพลาด นั่นจะไม่กลายเป็นว่าผู้บริสุทธิ์สองคนถูกฆ่าอย่างอยุติธรรมหรอกหรือ? ซ้ำตำรวจอย่างเขาทั้งที่อยู่ตรงนั้นกลับไม่อาจทำอะไรได้
พอคิดถึงตรงนี้มู่อี้จิงก็เริ่มอยู่ไม่สุข เขาลุกพรวดวิ่งไปที่ประตู วินาทีหนึ่งคิดว่าต้องไปห้ามเซินเฟยให้ได้ แต่แล้วเมื่อมือแตะลงบนลูกบิด ร่างกายของมู่อี้จิงก็พลันไร้เรี่ยวแรง
คงไม่ทันแล้ว.....
ระยะทางจากบ้านของตระกูลจือมาจนถึงอพาร์ทเมนท์ของเขาค่อนข้างไกลกันอยู่ ระหว่างที่เขานั่งรถกลับมา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเซินเฟยคงจัดการเสร็จสิ้นแล้ว
“บ้าเอ๊ย......บ้าเอ๊ย!” มู่อี้จิงสบถก่อนชกเปรี้ยงไปที่ประตู เขาหันหลังพิงกับประตูบานนั้นแล้วไถลตัวเองลงนั่งบนพื้น ในชีวิตตำรวจจะมีอะไรน่าสมเพชไปกว่านี้อีกนะ คดีนี้ทำให้เขารู้สึกว่าอาชีพของตนเริ่มหมดความหมายไปทุกที เริ่มตั้งแต่การเกิดเหตุที่ไม่ได้คาดคำนวนไว้ ถูกกดดันให้เลิกสืบสวนกลางครัน ไม่สามารถสืบสาวหาเบาะแสคนร้ายได้ แล้วในเวลานี้เขายังไม่อาจต่อกรกับกฎขององค์กรใต้ดินได้อีก
นี่เขามาถึงจุดตกต่ำของชีวิตตำรวจตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 30 เลยหรือนี่....
ทำไมถึงต้องมีตำรวจนะ....เขาอดที่จะสงสัยขึ้นมาไม่ได้ เพราะในเมื่อองค์กรมืดนั้นปกครองตนเองได้อยู่แล้ว ซ้ำกฎหมายยังเคร่งครัดยิ่งกว่าที่ใช้กับคนเดินดินทั่วไปเสียอีก แล้วทำไมจึงต้องการตำรวจเข้ามาทำงานให้อีก แค่เฉพาะอิทธิพลของมาเฟียใหญ่อย่างจูเชว่ จะกดตำรวจต๊อกต๋อยอย่างเขาให้จมดินไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรอยู่แล้ว ขนาดผู้บัญชาการยังยอมให้เซินหยู่ข่มหัวอยู่นั่นไม่ใช่หรือ?
มู่อี้จิงกัดฟันด้วยความเจ็บใจ เขาลุกขึ้นอีกครั้ง เดินไปกระชากลิ้นชักโต๊ะตัวเองออกมาแล้วเหวี่ยงไปบนพื้น ในลิ้นชักโต๊ะตัวนั้นมีกระดาษอัดแน่นอยู่มากมาย ทั้งรูปถ่าย ใบประวัติ และกระดาษที่เขียนด้วยลายมือเป็นแผนผังรูปแบบการก่ออาชญากรรมที่อาจเป็นไปได้ซึ่งเขาและหวางซิงช่วยกันคิดมาหลายวัน มู่อี้จิงหยิบกระดาษขึ้นมาปึกหนึ่งแล้วฉีกกระชากจนกลายเป็นสองส่วน กระนั้นก็ยังไม่พอใจ เขายังทบมันเข้าด้วยกันแล้วฉีกอีกครั้งก่อนจะกลายเป็นการทึ้งกระดาษให้เป็นแค่เศษริ้ว
แต่แล้วสายตาของเขาก็พลันเหลือบไปเห็นข้อความเล็ก ๆ ตรงมุมกระดาษแผ่นหนึ่งที่ปลิวตกไปบนพื้น
มู่อี้จิงก้มลงไปหยิบขึ้นมาอ่าน
‘อย่ายอมแพ้นะครับ’
ความอุ่นซ่านรื้นอยู่ในอก ลายมือนี้เป็นของหวางซิงไม่ผิดแน่นอน
ในตอนที่ทำงานร่วมกันนั้น มีบางครั้งที่พวกเขาค้างคืนด้วยกันและหวางซิงมักต้องตื่นเช้าและออกไปทำงานที่บริษัทก่อนเสมอ มีอยู่วันหนึ่งที่เขารู้สึกทดท้ออย่างมาก และเช้าขึ้นมาเขาก็พบข้อความนี้บนแผ่นกระดาษแผ่นหนึ่งที่วางอย่างเป็นระเบียบบนโต๊ะ
แล้วมันจะยังไงล่ะ.....
ยังไงหวางซิงก็เป็นมาเฟียเหมือนกัน กับแค่การฆ่าคนอีกฝ่ายคงมองว่าไม่ใช่เรื่องผิดแปลกอะไรสักเท่าไหร่....
ขอแค่เป็นคำสั่งหรือความปรารถนาของเซินเฟย เจ้าตัวก็พร้อมจะทำให้ทุกอย่างอยู่แล้วนี่! ที่มาทำดีกับเขาก็แค่เพื่อให้ได้ตัวเซินเฟยกลับมาเท่านั้นเอง
มู่อี้จิงขยำกระดาษชิ้นเล็ก ๆ เข้าด้วยกันจนแทบจะกลายเป็นก้อนก่อนโยนลงไปในถังขยะที่มีก้อนกระดาษอัดแน่นแทบล้นออกมา
เวลาเขาโมโหทีไรก็ต้องเป็นพาลพาโลฟาดงวงฟาดงาใส่ทุกเรื่องที่ผ่านหูผ่านตาเสียทุกครั้งไป กระนั้นมันก็อดที่จะโกรธขึ้งระคนน้อยใจไม่ได้
หลังจากอาละวาดจนพอใจแล้ว มู่อี้จิงจึงกลับไปนั่งที่โซฟาอีกครั้งแล้วพ่นลมหายใจออกมายาวเหยียด หัวของเขาเย็นลงนิดหน่อย กระนั้นก็ยังคิดไม่ออกว่าหลังจากนี้จะทำอะไรต่อไป จะให้เขากลับไปคืนดีกับเซินเฟยน่ะหรือ? ทั้งที่เป็นฝ่ายต่อต้านและเดินหนีออกมาเองแท้ ๆ เซินเฟยคงไม่ยินดีนักหรอกที่เขาจะกลับไป หรือว่าจะไปบอกขอเลิกงานนี้กับสารวัตรหรงดีนะ? บางทีสารวัตรหรงที่ผ่านเรื่องแบบนี้มาแล้วคงจะเข้าใจเขาบ้าง ก็แค่ต้องกลับไปทำงานนักสืบน่าเบื่ออย่างเต็มตัวเหมือนแต่ก่อนนี้เท่านั้นเอง
เสียงออดหน้าประตูแทรกเข้ามาในโสตประสาท มู่อี้จิงไม่ได้นึกสงสัยว่าใครมา เขาแค่เดินออกไปเปิดประตูเพราะคิดว่าควรจะเปิดโดยไม่ได้คิดหรือคาดหวังอะไรไปมากกว่านั้น
หวางซิงยืนอยู่ข้างหน้าประตู สร้างความแปลกใจให้กับเจ้าของห้องอย่างมาก ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงชอบมาหาเขาในเวลาที่ไม่คาดคิดเสมอนะ?
“ผมเข้าไปได้ไหมครับ?” หวางซิงเอ่ยถามเพราะไม่รู้ว่าตอนนี้มู่อี้จิงกำลังอยู่ในอารมณ์แบบไหน กระนั้นมู่อี้จิงกลับไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ เขาเพียงแค่เดินกลับเข้าไปในห้องโดยเปิดประตูทิ้งเอาไว้ หวางซิงตีความหมายนั้นว่าสามารถเข้าได้ จึงเดินตามเข้าไปแล้วปิดประตูตามหลัง แต่เมื่อหันมาเห็นสภาพห้องเข้า หวางซิงก็เกือบจะหัวใจวายเพราะลิ้นชักโต๊ะที่ตกลงมาอยู่ข้างล่างมีกระดาษไหลกระจายไปทั่ว ซ้ำยังมีเศษกระดาษชิ้นเล็กชิ้นน้อยอยู่หลายชิ้น หวางซิงคาดเดาสิ่งที่เกิดขึ้นได้ไม่ยากเลย
“.....คุณมู่.....”
“ไม่ต้องพูดอะไรหรอก ผมเข้าใจดี” มู่อี้จิงเป็นฝ่ายขัดขึ้นก่อนแล้วนั่งลงบนโซฟา “ในสายตาของคุณ ผมคงเป็นตำรวจที่อ่อนหัดมากเลยสินะ กับแค่.....การฆ่าคนของมาเฟีย ผมยังทนรับไม่ได้”
“คุณมู่.....” หวางซิงทอดเสียงอย่างอารี “ผมไม่ได้คิดแบบนั้น”
“ถ้าอย่างนั้นทำไมถึงมองผมด้วยสายตาสมเพชแบบนั้นล่ะ!” มู่อี้จิงขึ้นเสียงทำให้หวางซิงสะดุ้งเฮือกด้วยไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะยังโกรธอยู่ “ผมมันน่าสมเพชก็บอกมาตามตรงเลยจะดีกว่า! ผมมันไม่ได้ความเลยสักกอย่าง ทำคดีก็เหลว! หลักฐานก็ไม่มี! กำลังก็ไม่มี! ยังจะไปงัดข้อกับจูเชว่ ผมนี่มันโง่ชะมัด!” เสียงตะคอกก้องสะท้อนอยู่ในห้องแฝงไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจอย่างชัดเจน
หวางซิงเงียบไป เขาไม่รู้ว่าในสถานการ์นี้ตนเองควรจะพูดอย่างไรเพราะไม่เคยเผชิญหน้ากับมู่อี้จิงในสภาพอารมณ์อย่างนี้มาก่อน
มู่อี้จิงเองเมื่อได้ระบายออกไปแล้วก็เหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก จึงก้มตัวลงเหมือนรู้สึกเหนื่อยแล้วค่อย ๆ พูดต่อด้วยเสียงแผ่วเบา
“ผมขอโทษ.....ผมแค่......กำลังหงุดหงิด”
“ผมเข้าใจ” หวางซิงตอบกลับ
“คุณกลับไปบอกเจ้านายคุณเถอะ ผมไม่คิดจะหักหลังเขาหรอก ผมอาจจะไม่สามารถทำความเข้าใจกับวิถีของมาเฟียได้และอาจไม่เข้าใจตลอดชีวิต แต่ถึงอย่างนั้นผมก็เข้าใจฐานะตัวเองดี” มู่อี้จิงถอนหายใจออกมา “ผมก็แค่....อยากจะเป็นตำรวจที่ดีเท่านั้น แต่ยังไงผมก็ยังเป็นแค่คนธรรมดา การจะให้เข้าใจถึงความจำเป็นในการฆ่าใครสักคนด้วยกฎของมาเฟียน่ะ....ผมไม่สามารถเข้าใจได้หรอก”
หวางซิงฟังคำพูดวกไปวนมาของมู่อี้จิงอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็เข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังรู้สึกสับสนจึงเดินเข้าไปหาแล้ววางมือลงบนบ่า
“ไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไรหรอกครับ”
“คุณว่าแบบนั้นแต่จูเชว่คงไม่ว่าแบบคุณหรอก”
“คุณมู่ ความจริงแล้วการต่อต้านของคุณไม่ได้เสียเปล่าหรอกนะครับ” หวางซิงเดินอ้อมโซฟามานั่งข้าง ๆ พลางยิ้มให้ “เพราะการที่คุณยังยืนยันความคิดของตัวเอง ยืนยันว่าหลักปฏิบัติที่คุณทำและกฎหมายที่คุณยึดมั่นนั้นคือสิ่งที่ถูกต้อง นั่นไม่ได้หมายความว่าจากนี้ต่อไป ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นคุณก็จะไม่หวั่นไหวและถลำลึกลงไปในอำนาจมืดขององค์กรไม่ใช่หรือครับ? สารวัตรหรงไม่ได้บอกคุณหรอกหรือครับ ว่าคนแบบนั้นคือคนที่พวกเราต้องการให้มาทำงานด้วยมากที่สุด”
มู่อี้จิงมองหน้าผู้พูดเสมือนกำลังตกตะลึงอยู่ชั่วครู่หนึ่ง เขาอับจนคำพูดไปชั่วขณะ รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กน้อยที่เพิ่งผ่านบททดสอบอันยากลำบากและได้รับคำชื่นชมจากคุณครูผู้ใจดีก็ไม่ปาน
หวางซิงจับมือมู่อี้จิงกางออกและยัดของสิ่งหนึ่งให้กุมไว้
“คุณเซินสั่งว่าให้นำสิ่งนี้มาให้คุณ แล้วถ้าคุณตัดสินใจได้แล้วว่าจะทำยังไงต่อไปให้กลับไปพบที่โรงแรม” หวางซิงกล่าวจบก็ยืดตัวขึ้นยืน “ผมจะไปรอข้างนอกนะครับ”
หวางซิงทำอย่างที่ว่าจริง ๆ เจ้าตัวเดินออกไปจากห้องอย่างเงียบ ๆ ไม่ได้คิดจะโน้มน้าวให้มู่อี้จิงรีบตามออกไปสักนิด
ชายหนุ่มก้มลงมองสิ่งที่อยู่ในมือ มันคือเมโมรี่การ์ดที่หาซื้อได้ทั่วไป
มู่อี้จิงเงยศีรษะขึ้นมองเพดานห้อง
การที่จูเชว่ส่งสิ่งนี้มา เขารับรู้ได้ถึงความนัยหลายอย่าง แต่โดยรวมแล้วนั่นคือ จูเชว่เชื่อใจเขาและยังต้องการให้เขากลับไปทำงานให้ เขาไม่รู้ว่าข้างในนี้มีอะไร แต่หากเป็นสิ่งที่จูเชว่ส่งมาอาจเป็นสิ่งสำคัญที่สามารถไขข้อขัดแย้งในใจของเขาได้ เด็กหนุ่มคนนั้นทั้งที่อายุน้อยกว่าเขาหลายปีแต่กลับสามารถมองเขาได้ทะลุปรุโปร่งยิ่งกว่าที่เขามองอีกฝ่ายเสียอีก
มู่อี้จิงนำเมโมรี่การ์ดไปเสียบเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ตั้งบนโต๊ะก่อนจะพบว่ามันเป็นไฟล์เสียง เขารีบเสียบเฮดโฟนเข้ากับลำโพงเพื่อป้องกันการดักฟัง
เสียงที่ออกมาจากเฮดโฟนคือเสียงของเฉียนหลิงหลิงและเซินเฟยไม่ผิดอย่างแน่นอน เสียงทั้งสองสนทนาโต้เถียงกันอยู่นานทำให้มู่อี้จิงสามารถเรียบเรียงเหตุการณ์ตามได้ไม่ยากด้วยประสบการณ์
เฉียนหลิงหลิง.....ใช้เช็คเงินสดที่มีลายเซ็นของจูเชว่ จ้างคนในกระทำการ.....คนในซึ่งกำลังเดือดร้อนเกินกว่าจะมีสติพิจารณาความผิดความชอบในคำสั่ง ซ้ำยังเป็นคนที่มีหน้าที่ทำงานใกล้ชิดจุดอันตรายมากพอที่จะถูกปิดปากได้โดยไม่ต้องลงมือเอง และเพราะคนกระทำเสียชีวิตในเหตุระเบิดด้วย เขาจึงไม่สามารถจับมือใครดมได้เพราะไม่มีสิ่งใดจะเชื่อมโยงไปถึงเฉียนหลิงหลิงได้เลย
เขาไม่รู้ว่าเซินเฟยเคลื่อนไหวเพราะมีหลักฐานยืนยันหรือเป็นเพียงข้อสันนิษฐาน เพราะอย่างไรผู้กระทำก็ได้สารภาพออกมาด้วยตัวเองในตอนท้ายของการสอบสวน
สิ่งที่มู่อี้จิงอยากยืนยันมีเพียงแค่นั้น ขั้นต่อไปแม้เขาจะไม่ต้องังต่อก็สามารถคาดเดาได้ไม่ยาก
ชายหนุ่มลดเฮดโฟนลงวางบนโต๊ะ ดึงเมโมรี่การ์ดออกมา
สิ่งนี้คือหลักฐานสำคัญที่บ่งบอกความผิดของเฉียนหลิงหลิงและจือหยิน และแน่นอน....เป็นหลักฐานที่ผูกมัดตัวเซินเฟยเองด้วย หากเขานำสิ่งนี้ไปเปิดเผย ฐานะของเครือตระกูลเซินจะต้องสั่นคลอนเมื่อสาธารณชนได้รับรู้ว่าเครือธุรกิจใหญ่เป็นศูนย์กลางขององค์กรใต้ดินอันดับหนึ่งในสี่ของฮ่องกง
เซินเฟยทำสีหน้าอย่างไรนะเมื่อหยิบยื่นสิ่งนี้ให้หวางซิงและบอกให้เอามาให้เขา
ความเชื่อใจของเซินเฟยถูกนำมาให้พร้อมกับภาระอันหนักหน่วงที่ต้องแบกรับไปพร้อมกับจูเชว่ผู้ยังอ่อนเยาว์คนนั้น
มู่อี้จิงคลี่ยิ้ม
ช่างเป็นคนที่ดูถูกไม่ได้จริง ๆ เป็นจูเชว่ที่รู้วิธีทำให้เขายอมสยบให้ทั้งยังแบ่งเอาภาระบนไหล่ตัวเองส่วนหนึ่งมาให้เขาแบกรับด้วยเสียอีก
ชายหนุ่มจ้องมองเมโมรี่การ์ดในมือ ก่อนจะจับปีกสองฝั่งแล้วออกแรงนิ้วเพียงนิด
ป๊อก!
เมโมรี่การ์ดถูกหักออกเป็นสองส่วนทันที มู่อี้จิงจัดการโยนทิ้งลงไปในถังขยะอย่างไม่ใยดี อย่างน้อยเวลานี้สมองของเขาก็ปรอดโปร่งแจ่มใส รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นฟ้าหลังฝนไม่มีผิด มู่อี้จิงรีบแต่งตัวใหม่อย่างรวดเร็ว ทั้งยังหวีผมอย่างดีเหมือนกับกำลังมีนัดสำคัญกับสาวสวยอย่างไรอย่างนั้น เมื่อมองกระจกและพบว่าตนเองกูเรียบร้อยดีแล้วจึงเดินออกมาจากห้อง และได้พบหวางซิงที่กำลังยืนรอด้วยท่าทีนิ่งสงบ
“ขอโทษที่ให้รอนานครับ” เขากล่าวขึ้น
“ถ้าอย่างนั้นพวกเรารีบไปกันเถอะครับ” หวางซิงยิ้มกว้างให้แก่ชายหนุ่มแล้วหันตัวไปยังทางเดิน ทว่ากลับถูกรั้งให้ถอยหลังและตกอยู่ในวงแขนแข็งแรงของนายตำรวจหนุ่ม มู่อี้จิงสวมกอดอีกฝ่ายจนแนบแน่นก่อนจะฝังใบหน้าลงบนหัวไหล่
“ขอบคุณ”
หวางซิงหน้าแดงด้วยความเขิน เขาไม่ค่อยจะมีโอกาสถูกกอดอย่างแนบสนิทสักเท่าไหร่จึงอดกระดากไม่ได้ แต่ก็ยอมโอนอ่อนให้ด้วยการแตะมือลงบนท่อนแขนอีกฝ่าย
“ผมยินดีครับ”
--------------------->
“คุณคิดว่าเขาจะกลับมาหรือครับ?” ฉู่เหวินจือเอ่ยถามพลางเขียนเฝือกตัวเองเล่นไปเรื่อย ทั้งวาดการ์ตูนและเขียนข้อความ โดยปกติแล้วจะเป็นคนเยี่ยมไข้เขียน แต่เขาไม่มีคนมาเยี่ยมซ้ำยังไม่มีอะไรทำ จึงขีดเขียนของตัวเองแก้เบื่อฆ่าเวลาไปอย่างนั้น
“นายพูดถึงใครกัน?” เซินเฟยเลิกคิ้วพลางมองการกระทำแบบเด็ก ๆ นั้นด้วยความรำคาญสายตา
“ก็นักสืบมู่น่ะสิครับ เขาดูเป็นตำรวจที่ซื่อตรงถึงขนาดนั้น ถึงจะรู้เรื่องที่เกิดขึ้น แต่ก็อาจไม่กล้าโผล่กลับมาก็ได้ หรือผมพูดผิดไป?” ฉู่เหวินจือว่าไปก็เขียนชื่อของตัวเองข้าง ๆ ชื่อเซินเฟยที่เขียนไว้ก่อนหน้านั้น แล้วจึงเขียนรูปหัวใจไว้ตรงกลางก่อนจะชูให้เซินเฟยดูด้วยใบหน้าทะเล้นทะลึ่ง เด็กหนุ่มมุ่นหัวคิ้วเข้าหากัน นึกอยากหักแขนอีกข้างเสียจะได้เลิกทำอะไรไร้สาระเสียที ส่วนการ์ดสองคนในห้อง แม้จะเห็นข้อความอุกอาจโจ่งแจ้งของฉู่เหวินจือแต่ก็ทำเป็นไม่เห็นด้วยไม่อยากจะเดือดร้อนภายหลัง
“นายคิดว่าฉันส่งหวางซิงไปเพื่ออะไรกัน” เซินเฟยสะบัดหน้าไปทางอื่น ระยะนี้เขาเริ่มคร้านจะโมโหไปกับฉู่เหวินจือทุกเรื่องแล้ว ขืนเอาแต่โมโหหงุดหงิดคนอย่างฉู่เหวินจือไปทุกอย่างทุกการกระทำ เขาอาจจะลมจุกอกตายเอาก่อนอายุถึงเลข 3
ฉู่เหวินจือเลิกคิ้วกับชื่อของหวางซิงก่อนแย้มยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา
“คุณนี่ร้ายจริง ๆ”
“นายมีสิทธิว่าฉันด้วยหรือยังไง?” นัยน์ตาเรียวรีหรี่ลงเล็กน้อย เขาอยู่กับหวางซิงมานานจนบางครั้งมักจะลืมสังเกตสังกาอะไรเกี่ยกวับอีกฝ่ายไปเพราะความเคยชิน กระนั้นเมื่อห่างกันไปเดือนหนึ่ง เขากลับรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ามู่อี้จิงและหวางซิงมีความสัมพันธ์พิเศษต่อกันมากกว่าคนที่ต้องติดต่อประสานงานธรรมดา จริงอยู่ว่าเขาไม่เห็นด้วยที่จะส่งหวางซิงไปล่อลวงคนอื่นราวกับใช้กลหญิงงามสมัยโบราณ แต่เมื่อศึกษาแล้ว เขาพบว่ามู่อี้จิงก็เป็นคนดีคนหนึ่ง เขามั่นใจว่าอีกฝ่ายคงไม่ทำอันตรายกับหวางซิงอย่างแน่นอน ด้วยเหตุนั้นถึงได้ส่งหวางซิงไปดึงมู่อี้จิงกลับมา อีกข้อหนึ่งคือ หวางซิงเป็นคนฉลาดพูดมาไหนแต่ไรและเป็นปากเสียงแทนเขาเสมอ ดังนั้นหากเป็นคำพูดของหวางซิง มู่อี้จิงอาจจะยอมฟังมากกว่าคำพูดของเขา