Episode 3 part2 เหตุการณ์ต่อจากนั้นคือกรรณเดินหายออกไปพร้อมกับคนกลุ่มนั้น ปล่อยให้ภูนั่งรออยู่คนเดียวในสตูดิโอ การรอคอยเพิ่มระยะเวลายาวนานขึ้นเรื่อยๆ จากนาทีเป็นชั่วโมง จนย่างเข้าสองชั่วโมง เด็กหนุ่มกระสับกระส่ายที่ถูกปล่อยทิ้งไว้คนเดียว คอยแต่ชะเง้อมองหาอยู่ตลอด จนเมื่อเริ่มทำใจได้ว่าวันนี้คงจะต้องติดอยู่ที่นี่ตลอดทั้งวันเสียแล้ว กรรณก็เดินยิ้มร่ากลับเข้ามาและจัดการเก็บอุปกรณ์ทั้งหลายที่นำมากลับเข้ากระเป๋า
“อยากกลับไวก็มาช่วยกันเก็บหน่อยสิ” กรรณหันไปบอกกับเด็กหนุ่มผู้กำลังนั่งทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ตรงมุมห้อง
“สรุปว่านี่เหรอคือทั้งหมดของวันนี้?” ภูถามเสียงเบื่อหน่าย
“สำหรับเรื่องงานก็เท่านี้แหละ ต่อไปก็ว่างแล้ว เดี๋ยวไปหาอะไรกินกัน พี่เลี้ยงเอง” กรรณตอบพร้อมกับยักคิ้วให้
แหงล่ะ ลองไม่เลี้ยงสิ พวกใช้แรงงานเด็ก… ภูนึกในใจ ยังโมโหไม่หายที่ถูกทำให้หลงคิดไปเองว่านัดวันนี้จะเป็นเดทแรกในชีวิต อุตส่าห์อดหลับอดนอนเลือกเสื้อผ้าทั้งคืน ซดกาแฟจนใจสั่น สุดท้ายกลับกลายเป็นโดนหลอกมาใช้งานเสียอย่างนั้น กรรณใช้เวลาไม่นานก็เก็บของเสร็จ เขาโยนกระเป๋าใบเดิมให้ภูถือ เด็กหนุ่มถลาเข้ามารับจนเกือบล้ม พยายามสะกดกลั้นตัวเองอย่างเต็มที่ไม่ให้โผเข้าขย้ำคออีกฝ่าย ด้วยเหลือทนกับพฤติกรรมขยันทำตัวชวนให้เข้าใจผิดแบบนี้ เรื่องขอขึ้นห้องนอนก็ทีหนึ่ง ผ่านไปไม่ทันจะครบยี่สิบสี่ชั่วโมงก็เอาอีกรอบแล้ว ไหนจะท่าทีเป็นทองไม่รู้ร้อน เหมือนไม่รู้ตัวว่าได้ทำเรื่องร้ายแรงต่อความรู้สึกชาวบ้านเขาลงไปแบบนี้อีก
ต้องขอบคุณรถไฟฟ้ามหานครที่ทำให้ทั้งสองมีหนทางหนีการจราจรที่ติดขัดย่านสุขุมวิทจนมาถึงศูนย์การค้าใหญ่ที่ใกล้ที่สุดได้ในเวลาไม่กี่นาที เมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายคำว่าเลี้ยงข้าว แน่นอนสิ่งแรกที่ภูนึกถึงคือร้านอาหารดีๆ ทั้งหลาย ซูชิ สุกี้ ชาบู เนื้อย่าง และสารพันบุฟเฟต์ต่างๆ ผุดขึ้นมาเต็มหัว ภารกิจล้มทับให้หมดตัวเพื่อชำระแค้นถูกแพลนขึ้นมาเป็นฉากๆ แต่นี่ก็เป็นอีกครั้งที่ความผิดหวังมาเยือน เมื่อหลังจากถูกพาเดินเตร่ในห้างอยู่พักใหญ่ สิ่งที่พบเจอในเวลาต่อมาคือกรรณยื่นถุงกระดาษใส่แฮมเบอร์เกอร์ของแมคโดนัลด์ให้
“แค่เนี้ย!” ภูโวยลั่น
“มีเฟรนช์ฟรายด้วยนะ” กรรณตอบหน้าตาเฉย
“เอาผมมาถ่ายงาน ค่าตัวแค่เบอร์เกอร์กับเฟรนช์ฟรายเนี่ยเหรอ?” ภูชูถุงใส่หน้าอีกฝ่าย โดนหลอกมาทำงานยังไม่น่าช้ำใจเท่ารู้ว่าค่าตัวตัวเองเท่ากับอาหารขยะ “ไหนเค้าบอกว่างานพวกนี้รายได้ดีไง”
“นายแบบหน้าตาบูดบึ้งน่ะเรียกร้องค่าตัวมากไม่ได้หรอกนะ” กรรณยู่หน้าจนย่นล้อเลียนภู “ถ่ายไปร้อยกว่ารูป มีใช้ได้อยู่หยิบมือเดียว นอกนั้นหน้าตาเหมือนเด็กโดนแม่จับได้ว่าสอบตก”
ภูหน้าแดง ส่วนนึงเพราะอายที่โดนล้อ และอีกส่วนหนึ่งคือการได้เห็นกับตาว่าหนุ่มรุ่นพี่คนนี้ไม่ว่าจะพยายามทำหน้าตาให้ตลกหรือกวนโมโหแค่ไหนก็ยังดูดีได้อยู่ ถัดจากนั้นไม่กี่นาที ภูก็เริ่มรู้สึกวิงเวียนศรีษะขึ้นมานิดหน่อย เด็กหนุ่มสัมผัสได้ถึงความอ่อนเพลียที่คืบคลานกลับเข้ามาปกคลุมร่างกายอีกครั้ง อาจจะเพราะคาเฟอีนที่โด๊ปมาเมื่อเช้าเริ่มหมดฤทธิ์ เขาเซไปวูบหนึ่งจนต้องพาตัวเองเข้าหาข้างทางเพื่อหลักยึดเกาะ
“เป็นอะไร หน้ามืดเหรอ?” กรรณสังเกตเห็นความผิดปกติ เขารีบเดินเข้ามาพยุงแขนเอาไว้และคว้ากระเป๋าอุปกรณ์ที่ภูสะพายอยู่มาถือไว้เอง
“ครับ” ภูพยักหน้า เดิมทีอาการหน้ามืดก็หนักหนาพอแล้ว นี่ยังต้องมาใจเต้นรัวจากไออุ่นและกลิ่นน้ำหอมที่โชยมาจากร่างกายของอีกฝ่ายที่เข้ามาแนบชิดอีก อานุภาพมันรุนแรงจนทำให้ขาทั้งสองข้างแทบจะหมดแรงทรงตัวเลยทีเดียว
“พี่พานายออกไปข้างนอกดีกว่า ในนี้คนเยอะ อากาศก็ไม่ค่อยถ่ายเท”
กรรณพยุงภูพาเดินออกไปข้างนอก ภูได้แต่ปล่อยตัวเองให้ไหลไปตามการนำของอีกฝ่ายอย่างไร้แรงต้านทาน เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะพาตนไปที่ไหน ทั้งยังไม่สนใจที่จะรู้ เด็กหนุ่มรับรู้ว่าตนออกจากห้างสรรพสินค้าแล้วเมื่อสัมผัสได้ว่าความเย็นจากเครื่องปรับอากาศหายไป และมีลมเบาๆ โชยมาแทน ยิ่งก้าวเดินต่อเสียงรถราและผู้คนก็ยิ่งฟังดูคล้ายอยู่ห่างออกไปเรื่อยๆ เมื่อได้มาอยู่ในที่เปิดโล่งและอากาศปลอดโปร่ง อาการโดยรวมก็เหมือนจะดีขึ้นมาก จะเหลือก็เพียงแค่หัวใจที่ยังคงเต้นรัวไม่หยุดเมื่อรับรู้ได้ว่าอ้อมแขนของอีกฝ่ายยังคงเกาะกุมประคองตัวเขาไว้ไม่ยอมปล่อยจนกระทั่งทิ้งตัวเอนหลังลงสัมผัสกับพื้นหญ้า ไอเย็นลอยตามสายลมมาปะทะใบหน้า ภูปรือตาขึ้นมองบรรยากาศที่โอบล้อมอยู่รอบตัว ทั้งสองอยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ริมบึงน้ำ
คงเป็นสวนสาธารณะข้างๆ ห้างที่เดินผ่านตอนลงจากรถไฟฟ้าสินะ… เขาคิด ในที่สุดแม้จะไม่ได้ตั้งใจ แต่กรรณก็ทำอะไรที่ใกล้เคียงกับการเดทเสียที
“ดีขึ้นไหม?” กรรณซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ โน้มตัวก้มลงมาถามเสียงเกือบจะกระซิบ
ภูพยักหน้าแทนคำตอบ เลือดสูบฉีดขึ้นหน้าอีกครั้งเมื่อเห็นใบหน้าอีกฝ่ายมาจ่อประชิดจนจมูกแทบจะชนกัน
“หน้ายังแดงอยู่เลย เดี๋ยวรอตรงนี้ พี่ไปหาซื้อยาดมให้” กรรณตั้งท่าจะลุกออกไป แต่ภูยกแขนขึ้นฉวยข้อมือเอาไว้
“ไม่เป็นไรแล้วครับ ผมดีขึ้นเยอะแล้ว” ภูตอบ ใจนึกอยากให้ความคิดของตัวเองมีเสียง กรรณจะได้รู้เสียทีว่าอาการหน้าแดงนี้เกิดจากอะไร และมันคงรักษาไม่ได้ด้วยยาดม
“ไม่เป็นไรแล้วแน่นะ?” กรรณถามย้ำเพื่อความมั่นใจ
“อืม แค่อยู่ตรงนี้ไปก่อนก็พอ”
เมื่อได้มานั่งอยู่ตามลำพังสองต่อสอง ทุกสิ่งทุกอย่างก็ดูแตกต่างออกไป ความวุ่นวายและเรื่องน่าหงุดหงิดต่างๆ ที่พบเจอมาตั้งแต่ช่วงเช้าดูริบหรี่เลือนรางราวกับไม่เคยเกิดขึ้น ความกังวลสารพัดอันเกาะกุมใจอยู่ได้คลี่คลายออก ภูหลับตาและสูดอากาศบริสุทธิ์อันเจือไปด้วยละอองน้ำเย็นชื้นที่ลมพัดพามาเข้าไปเต็มปอด เสียงชัตเตอร์ดังขึ้นหนึ่งครั้ง กรรณหยิบกล้องออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบและตอนนี้เขากำลังใช้มันถ่ายภาพบึงน้ำของสวนสาธารณะที่อยู่เบื้องหน้า
“พี่เป็นช่างภาพเหรอ?” ภูถามเพื่อความแน่ใจ แม้ทุกสิ่งที่ได้เห็นจะยืนยันคำตอบได้อยู่แล้ว
“มืออาชีพเลยล่ะ” กรรณตอบก่อนจะวางกล้องลงแล้วเอนตัวลงนอนตะแคงหันมาทางภู เด็กหนุ่มต้องใช้ความพยายามอย่างมากทีเดียวที่จะสะกดกลั้นไม่ให้ตัวเองหน้าแดงขึ้นมาอีกรอบ
“ทำมานานเท่าไหร่แล้ว?” ภูถามต่อ
“ก็เริ่มมาตั้งแต่มัธยม เป็นงานอดิเรก ถ่ายส่งประกวดไปเรื่อย จนโชคดีชนะได้ทุนไปเรียนต่อสาขาศิลปะการถ่ายภาพที่อเมริกา แล้วก็ได้ใช้วิชาที่เรียนมาแบบจริงจังตอนไปฝึกงานกับนิตยสาร พอเรียนจบก็ทำงานเป็นช่างภาพที่นั่นต่อจนกระทั่งกลับมานี่แหละ”
ภูฟังเส้นทางชีวิตของอีกฝ่ายแล้วก็อดไม่ได้ที่จะนึกเทียบกับของตัวเอง กรรณวางแผนอนาคตตัวเองมาตั้งแต่เด็กๆ เขารู้ว่าตัวเองชอบอะไรและไม่รีรอพาตัวเองไปให้ถึงจุดสูงสุดของเส้นทางนั้น ในขณะที่ภูนั้นยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองชอบหรือสนใจอะไร เขาเข้าเรียนคณะสถาปัตย์กรรมก็เพราะสาลี่ชวน จริงอยู่ที่การสอบผ่านเข้ามาเรียนได้ก็อาจจัดเป็นหลักฐานยืนยันว่าเขาพอมีฝีมือทางด้านงานศิลปะอยู่บ้าง แต่ก็ยังห่างไกลกับคำว่าพรสวรรค์ อีกทั้งผลงานที่สร้างสรรค์ออกมาก็ดูธรรมดาสามัญเกินกว่าจะใช้ชูโรงทำมาหากิน
กรรณยกกล้องขึ้นถ่ายอีกครั้งเมื่อเห็นแมวสีเทากระโดดขึ้นเกาะปีนต้นไม้ เมื่อลั่นชัตเตอร์เสร็จก็ส่งให้ภูดูผลงาน สมกับราคาคุยที่ว่าเป็นมืออาชีพ ขนาดว่าถ่ายโดยไม่ได้จัดแสงภาพที่ได้ยังออกมาดูดี เป็นภาพถ่ายที่เปี่ยมไปด้วยมุมมองอันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวจนเด็กหนุ่มอดรู้สึกขึ้นมาไม่ได้ว่าเคยผ่านตาผลงานแบบนี้มาจากที่ไหนสักที่ หากแต่สมองที่ล้าจากการอดหลับอดนอนไม่มีศักยภาพพอจะระลึกย้อนไปถึงได้
“ที่นี่ไม่ค่อยมีคนเข้ามาเลยเนอะ” ภูพูดขึ้นหลังจากสังเกตเห็นว่าเขาและกรรณแทบจะเป็นแขกผู้มาเยือนเพียงกลุ่มเดียวของสวนสาธารณะแห่งนี้
“นั่นสินะ” กรรณเห็นด้วย
“ทั้งที่อยู่กลางเมือง อยู่ติดกับศูนย์การค้าที่มีคนพลุกพล่านแท้ๆ”
“คนสมัยนี้ติดการอยู่ห้องแอร์ซะจนคิดว่าอากาศข้างนอกร้อนเกินไป” กรรณแสดงความคิดเห็น “เพราะงั้นพวกเขาจะมาเดินในสวนให้เหงื่อออกทำไม ในเมื่อมีห้างติดแอร์ให้เดิน”
“แล้วพี่ไม่ชอบเดินห้างหรือไง?” ภูย้อนถามกลับ
“ไม่นะ ถ้าจะไปคือต้องมีธุระ” กรรณตอบ “อย่างวันนี้ที่มาก็เพราะพานายมาเฉยๆ”
“ผมก็ไม่ชอบเดินห้าง” ภูพูดถึงตัวเองบ้าง
“ทำไมล่ะ เด็กวัยรุ่นแบบนายส่วนมากเค้าชอบกันไม่ใช่เหรอ?”
“ไม่ใช่ผมคนนึงล่ะ” ภูส่ายหน้า “แบบนี้ดีกว่าเยอะเลย”
“เด็กประหลาด” กรรณยิ้มน้อยๆ “แล้วจะนอนอยู่แบบนั้นหรือไง? เดี๋ยวเสื้อนักศึกษาก็เลอะหมดหรอก”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ” ภูหลับตา “อยู่กันแบบนี้อีกสักพักเถอะ”
กรรณไม่ตอบรับหรือพูดอะไรต่อ เขาเพียงแค่เอนหลังลงนอนราบกับพื้นตามภู เด็กหนุ่มเอียงคอหันไปมองและพบว่าอีกฝ่ายกำลังหลับตาอยู่ มือของเขาหงายแบลงบนผิวหญ้า จะเป็นอะไรไหมนะถ้าเขายื่นมือออกไปจับมันเอาไว้ ภูเขยิบมือเข้าไปใกล้ขึ้นเรื่อยๆ จนปลายนิ้วสัมผัสโดนมือข้างนั้น จงใจให้ดูคล้ายเป็นความบังเอิญพลางหยุดดูท่าที กรรณยังคงนิ่งไม่ขยับหลีกหนี นัยน์ตาคู่นั้นยังปิดอยู่เหมือนเดิมราวกับไม่รับรู้ถึงการถูกเนื้อต้องตัว ได้คืบต้องเอาศอก จากเพียงแตะเมื่อครู่ คราวนี้ภูใช้นิ้วเรียวยาวของตนขยับขึ้นเกาะกุมฝ่ามือชายหนุ่มเอาไว้ ในแวบแรกมันเหมือนเป็นการกระทำเพียงฝ่ายเดียว แต่เพียงไม่กี่วินาทีต่อมา นิ้วของกรรณก็ตอบสนองต่อสัมผัสด้วยการขยับเข้าโอบกระชับมือของเขาเอาไว้ มือทั้งสองข้างโอบกอดกันแนบสนิท ไม่แน่นจนน่าอึดอัดแต่ก็ไม่หละหลวมจนดูไม่เจตนา แรงกระชับเกิดขึ้นเป็นจังหวะคล้ายการบีบนวด เป็นสัมผัสที่พอดีและน่าพึงใจ ชวนให้เด็กหนุ่มผู้ซึ่งไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์ทางกายกับใครเช่นภูเพลิดเพลินไปกับมันด้วยได้อย่างง่ายดาย
ไม่มีอะไรมากเกินไปกว่านั้น มือของทั้งสองยังคงเกาะกุมกันไว้ในท่าเดิมจนกระทั่งอารมณ์อันแสนจะพลุ่งพล่านในตอนแรกของภูเริ่มสงบลงตามบรรยากาศรอบข้าง หูของเด็กหนุ่มเพลิดเพลินไปกับเสียงลมพัดใบไม้ไหวในขณะที่สองตาจับจ้องมองดูก้อนเมฆสีขาวที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่บนท้องฟ้า เป็นความนิ่งสงบอันเนิบนาบและเนิ่นนาน ภูซึ่งฝืนสังขารอดหลับอดนอนมาจนถึงขีดสุดได้ปล่อยตัวเองให้ผ่อนคลายจนเผลอหลับไปทั้งอย่างนั้น กว่าจะรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกที ก็ย่างเข้าสู่ช่วงเย็นจนเกือบจะพลบค่ำแล้ว เขารีบหันไปดูข้างตัว บรรดาสัมภาระเครื่องมือทำงานของกรรณยังอยู่ที่เดิมหากแต่ชายผู้เป็นเจ้าของได้เปลี่ยนอิริยาบถจากนอนเป็นนั่ง ภูก้มลงมองดูที่มือของตัวเองแล้วรู้สึกไม่แน่ใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ มือของทั้งคู่ที่เกาะกุมกัน มันเกิดขึ้นจริงหรือเป็นแค่ละอองแห่งความฝันอันเกิดจากสัมปชัญญะที่กำลังจะหลุดลอย
“นอนกินบ้านกินเมือง” กรรณว่าเข้าให้เมื่อเห็นอีกฝ่ายยอมตื่นขึ้นมาเสียที
“คำทักทายเวลาคนอื่นเค้าเพิ่งตื่นมันควรเป็นอรุณสวัสดิ์ไม่ใช่เหรอ?” ภูบิดขี้เกียจแก้เก้อพลางจัดผมเผ้าให้เข้าที่
“นี่มันสายัณห์แล้วมั่งเถอะ” กรรณชี้ไปบนฟ้า “ดาวจะโผล่มาทิ่มหัวอยู่แล้ว”
“แล้วทำไมไม่ปลุก?” ภูยิ้มแหย รู้สึกอายขึ้นมา
“เห็นกรนซะลั่นสวน ท่าทางจะเพลียมาก ก็เลยปล่อยให้นอนดีกว่า” กรรณบอก “อีกอย่างวันนี้ก็ไม่มีเรื่องต้องไปไหนต่ออยู่แล้ว อยู่นี่ก็ดี อย่างน้อยก็ถ่ายรูปเล่นฆ่าเวลาได้”
“เบื่อแย่” เด็กหนุ่มรู้สึกผิดขึ้นมาที่เผลอหลับไปจนทำให้อีกฝ่ายต้องรอจนเกือบครึ่งค่อนวัน
“ตอนแรกก็เบื่อ แต่พอมีคนเริ่มละเมอ ก็หายเบื่อแล้ว” กรรณแกล้งพูดยั่ว
“ละเมออะไร?” ภูหันขวับ “ผมละเมอด้วยเหรอ?”
กรรณผงกหัวตอบรับ หน้าตาอมยิ้มเจ้าเล่ห์
“ละเมอว่าอะไร?” ภูอยากรู้
“ไม่บอกหรอก เก็บไว้ขำคนเดียวดีกว่า” กรรณไม่ยอมปริปาก ยิ่งยั่วให้อีกฝ่ายอยากรู้มากขึ้น
“บอกมา!” ภูดึงดันจะเอาคำตอบให้ได้
“พูดขอร้องเพราะๆ สิ แล้วจะบอก” กรรณยื่นเงื่อนไข
“ฝันไปเถอะ ไม่อยากบอกก็ไม่ต้องบอก เก็บเอาไว้จนตายก็เอาใส่โลงไปด้วยเลยแล้วกัน” ภูเลิกตื้อ ถนอมศักดิ์ศรีตัวเองเอาไว้ส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งก็แอบกลัวเช่นกันว่าหากได้รู้แล้วจะอายยิ่งกว่าเดิม
“อยากกลับรึยัง?” กรรณถามแล้วส่งมือมาให้ภูจับเป็นหลักพยุงตัวลุกขึ้น
ภูลังเลอยู่ที่จะจับมือนั้น ด้วยไม่อยากให้สัมผัสที่จะเกิดขึ้นมากลายเป็นสิ่งยืนยันว่าความทรงจำอันเลือนรางก่อนจะผล็อยหลับไปเมื่อตอนกลางวันมันเป็นความจริงหรือมโนภาพ บางครั้งการอยู่กับความไม่แน่ใจก็ทำให้เป็นสุขยิ่งกว่า เหมือนความคลุมเครืออันแสนหวาน อย่างน้อยตอนนี้เขาก็ยังมีสิทธิ์เลือกที่จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ได้ว่ามันเกิดขึ้น ไม่จำเป็นต้องถูกตรึงกับความเป็นจริงอย่างหนึ่งอย่างใดด้วยจำนนต่อสัมผัสพยาน
เด็กหนุ่มยันตัวลุกขึ้นเอง กรรณเลิกคิ้วใส่เหมือนประหลาดใจแต่แล้วก็หันไปเก็บกระเป๋าอุปกรณ์ทั้งหลายของตนขึ้นจากพื้น เขาสะพายแบกมันทั้งหมดเอาไว้เองด้วยเกรงว่าอีกฝ่ายจะยังไม่แข็งแรงพอจะหิ้วของหนัก อีกทั้งยังยืนกรานจะใช้บริการแท๊กซี่เดินทางกลับบ้าน โดยให้เหตุผลว่าไม่อยากให้ภูต้องไปแย่งอากาศหายใจกับคนอื่นบนขบวนรถไฟฟ้าที่ตอนนี้คงแน่นขนัดจากผู้คนที่เพิ่งเลิกงาน การจราจรติดขัดราวกับไฟแดงค้าง กว่าทั้งคู่จะมาถึงบ้านก็เกือบสามทุ่มแล้ว ถึงตอนนี้ภูเพิ่งนึกขึนได้ว่าตัวเองกำลังหิวโซ เนื่องจากตั้งแต่เช้านอกจากเครื่องดื่มที่ใช้ในการถ่ายงานแล้ว ยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันตกถึงท้องเลย
“อย่าลืมนี่สิ เอากลับไปด้วย คนเค้าอุตส่าห์เลี้ยงทั้งที” กรรณส่งถุงแฮมเบอร์เกอร์ที่ภูเกิดเป็นลมขึ้นมาก่อนจะได้กินเมื่อตอนกลางวันให้เมื่อทั้งสองลงมาจากรถเรียบร้อยแล้ว
“ยังจะเก็บมาอีก เหี่ยวหมดแล้วมั้ง” ภูรับมาด้วยความเสียดาย
“อย่าลืมกินล่ะ ข้างในมีเซอร์ไพรส์ด้วย” กรรณย้ำพร้อมกับขยิบตาให้ก่อนจะแยกเดินไปเข้าบ้านตัวเอง
ภูไขประตูกลับเข้ามาในบ้าน ไฟในบ้านปิดมืด แม่คงออกไปหาอะไรกินข้างนอกกับพ่อเพราะเห็นว่าเขาไม่อยู่บ้าน เด็กหนุ่มรื้อค้นตู้เย็นจนทั่วก็ไม่เจออะไรที่พอจะประทังความหิวได้และเขาก็เหนื่อยเพลียจนเกินกว่าจะออกไปร้านสะดวกซื้อแล้ว ตอนนั้นเองที่ถุงใส่แฮมเบอร์เกอร์เย็นชืดดูมีคุณค่าขึ้นมาราวกับทองคำ เขาแกะถุงกระดาษแล้วล้วงเอาของที่อยู่ข้างในออกมาวางบนโต๊ะ จึงได้พบว่านอกจากแฮมเบอร์เกอร์กับมันฝรั่งทอดที่ตอนนี้สภาพเหมือนหญ้าเหี่ยวๆ แล้ว ในนั้นยังมีซองกระดาษอยู่อีกหนึ่งซอง เขารีบเปิดออกดู ภายในมีธนบัตรใบละหนึ่งพันบาทอยู่ปึกหนึ่ง ภูหยิบมันออกมานับทั้งหมดได้สามหมื่นห้าพันบาทพอดิบพอดี นอกจากนั้นยังมีกระดาษอีกหนึ่งแผ่นซึ่งมีลายมือหวัดๆ อันแสนคุ้นตาขีดเขียนอยู่ เด็กหนุ่มรีบคลี่มันออกอ่านด้วยความตื่นเต้น
ค่าตัวสำหรับงานแรกในชีวิตของนายแบบหน้าบึ้ง ถ้ายิ้มซะมั่งลูกค้าคงให้เยอะกว่านี้ไปแล้ว ภูตกใจกับจำนวนเงินที่ได้รับ แน่นอนว่าเขาเคยได้ยินได้ฟังมาว่างานประเภทนี้นั้นรายได้ดี แต่ไม่คาดคิดว่าจะดีถึงขนาดนี้ เด็กหนุ่มพับเงินเก็บเข้ากระเป๋าสตางค์อย่างทะนุถนอม ขณะนั้นเสียงน้ำย่อยในท้องโครกครากราวกับเด็กน้อยร้องขออาหารก็ช่วยดึงสติให้หลุดจากความตื่นเต้นมาจดจ่อยังความหิวที่กำลังเผชิญ ภูก้มหน้าลงมองดูมันฝรั่งทอดสภาพเหมือนวัชพืชยืนต้นตายแล้วถอนหายใจ ก่อนจะกลั้นใจหยิบเข้าปากไปหนึ่งชิ้นหวังประทังความหิว รสเค็มของเกลือเจือกับความมันและกลิ่นดิบของมันฝรั่งแผ่ซ่านไปทั่วปาก อาจเพราะความหิวที่รุนแรงจึงทำให้อาหารอันเย็นชืดรสชาติไม่เลวร้ายเท่าที่คิด หลังจากนั้นก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นสำหรับอาหารส่วนที่เหลือที่จะทยอยตามลงกระเพาะไปจนหมด
To be continued...