บทที่10
เพราะความป่วย..
สิบโมงเช้าไร้เงาของพี่เบิ้มมาป้วนเปี้ยนเหมือนทุกวัน ตอนเช้าก็ไม่ลงมาทานข้าวด้วย เกิดอะไรขึ้นกันน้อ
เอ๊ะ หรือว่าจะเป็นไข้เพราะปวดแผล หรือแผลเน่าแล้วจะต้องตัดแขน อ่าาาา ไม่นะ ไม่ใช่ความผิดโผมมมมมม
ด้วยความฟุ้งฟ่านและจิตใต้สำนึกบอกว่าผมเป็นต้นเหตุที่ทำให้พี่เบิ้มเจ็บแขน จึงพาตัวเองมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องพักหมายเลข1 ที่มี Mr. Jeremy Carson พักอยู่
เคาะประตูอยู่นานกว่าที่พี่เบิ้มจะเปิดประตู อ่า นี่คนหรือซอมบี้! ผมยาวสีน้ำตาลกระเซอะกระเซิง ใต้ตาดำคล้ำ สภาพนี้มันคนอดนอนชัดๆ
“ว่าไงที่รัก” อยากจะถีบนัก แต่ก็ถีบไม่ลงเพราะน้ำเสียงของพี่แกช่างแห้งผากเหลือเกิน
“ผมไม่เห็นคุณลงมาทานข้าวเช้า คุณเจ็บแผลเหรอครับ”
“ดีขึ้นมากแล้วครับ”
“ผมขอดูแผลหน่อยได้มั้ยครับ” เพราะพี่เบิ้มใส่เสื้อแขนยาวผมจึงไม่สามารถมองออกว่าตอนนี้แผลมันบวมขึ้นจากเมื่อวานหรือป่าว จากนั้นพี่เบิ้มก็ค่อยๆเลิกปลายแขนเสื้อขึ้นให้ผมเห็นแผลได้อย่างชัดเจน แผลไม่บวมอย่างที่คิดแต่รอยแดงนั้นใหญ่กว่าที่คิดไว้แฮะ
“ผมไม่เป็นไรแล้วที่รัก อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ” แล้วกูทำหน้าแบบไหนอยู่วะ แต่รู้สึกว่าขอบตามันเริ่มร้อนผ่าวอีกแล้ว!
“แล้วทำไมคุณไม่ลงไปทานข้าวล่ะครับ แถมสภาพตอนนี้ของคุณ เอ่อ เหมือนคนยังไม่ได้นอน”
“งานมีปัญหานิดหน่อยก็เลยเพิ่งจะได้นอนตอนพระอาทิตย์ขึ้นพอดี” ไอ้พระอาทิตย์ขึ้นของพี่มึงนี่มันกี่โมงวะ แต่ก็โล่งอก..นึกว่าแขนเน่าต้องเสียแขนเพราะกูซะแล้ว
“งั้นก็ขอโทษนะครับที่มาปลุกคุณ ผมขอตัวลงไปทำงานต่อนะครับ”
“ขอบคุณนะที่รัก ที่คุณเป็นห่วงผม” เดี๋ยวๆทำไมโน้มตัวลงมากอดกูล่ะ ไม่ฟังที่กูพูดเลย กูบอกจะไปทำงานต่อไง “ปล่อยได้แล้วครับ ผมหายใจไม่ออก”
“ขออยู่แบบนี้สักนาทีได้มั้ยที่รัก เมื่อคืนผมเหนื่อยจริงๆ”
“คนอื่นมาเห็นมันจะดูไม่ดีนะคุณ”
“ถ้างั้น..” พี่เบิ้มไม่พูดต่อ ถอยหลังเดินเข้าห้องโดยที่ยังกอดผมไว้ จากนั้นก็ปิดประตูห้องแล้วดันผมให้ไปชิดกับประตูแล้วซบหน้าลงกับไหล่ผมอย่างคนหมดแรง..ดูจากกองเอกสารที่เกลื่อนไปทั่วห้องพี่มึงคงเหนื่อยมากจริงๆ
อยู่แบบนี้สักนาทีสองนาทีก็คงไม่เป็นไรมั้ง ถือว่าขอบคุณเรื่องเมื่อวานที่ยอมเจ็บตัวแทนละกัน..แต่เดี๋ยวๆไซร้คอกูด้วยนี่ไม่โอเคนะ! ใจดีด้วยไม่ได้เลยให้ตายซิ!
“เดี๋ยวคุณ จะทำอะไร” ผมทั้งดันทั้งแงะหน้าที่ซุกอยู่ที่ซอกคอออกแต่ไม่เป็นผลครับ นี่มันปลิงควายชัดๆ
“ก็ตัวคุณหอม ผมเลยอดใจไม่ไหว” เห่อะ!
“ถ้ายังไม่หยุด ผมจะโกรธคุณจริงๆด้วย” ขนกูลุกเกรียวไปหมดทั้งตัวแล้วเนี่ย!
“โอเคครับ” จากนั้นที่เบิ้มก็เด้งหน้าออกจากซอกคอผมทันที แต่ยังเนียนกอดผมไม่ยอมปล่อย
“เกินหนึ่งนาทีแล้วคุณ”
“คราบ~” ตอบซะเสียงอ่อย แต่ก็ยอมปล่อยผมแต่โดยดี
“นอนเถอะคุณ ผมไม่กวนแล้วครับ”
“แต่ผมอยากให้คุณกวน” มึงเป็นมะม่วงรึ “งั้นผมนอนแล้วคุณช่วยกวนผมทีได้มั้ยครับ” ไม่ใช่มะม่วงแล้วล่ะ แบบนี้เรียกตีน กวนตีนนนนน!
“นอนครับ แล้วตอนเที่ยงผมจะพาคุณไปทานข้าว”
“คุณจะพาผมไปเหรอที่รัก” หน้าแม่งเบิกบานขึ้นมาทันตา
“ครับ”
“งั้นไปตอนนี้เลยนะครับ” ได้ฟังกูป่ะเนี่ยกูบอกตอนเที่ยงไง
“แต่คุณยังไม่ได้นอน นอนก่อนเถอะครับตื่นแล้วค่อยไปกัน”
“ได้นอนหนึ่งชั่วโมงแค่นี้ก็เหลือเฟือแล้วครับ” ชั่วโมงเดียวเนี่ยน่ะ!
“มีใครเคยบอกมั้ยว่าคุณดื้อ”
“ไม่มี สมัยเด็กมีแต่คนชมผมว่าผมเป็นเด็กดี” เหอะ เด็กโข่งน่ะสิ
“ผมลงไปทำงานก่อนนะครับ ขอตัว” ขี้เกียจเถียงต่อ หนีดีกว่ากู แต่ยังไม่ทันหมุนตัวออกจากห้องมือหนาก็รั้งผมไว้เสียก่อน
“ไปตอนนี้นะคราบ ผมหิวมากเลย จะได้กินยาด้วยไงครับ เนี่ยเริ่มเจ็บแผลอีกแล้ว โอ้ยๆ” ห่า เล่นใหญ่ไปนะ แล้วไอ้น้ำเสียงและสีหน้าสำออยแบบนี้พี่มึงไปเรียมมาจากไหนหึ ตอบ!
“โอเคๆ ถ้างั้นก็อาบน้ำแต่งตัวครับ ผมจะลงไปรอที่ร้านกาแฟ” เฮ้ออออ ให้มันได้แบบนี้เซ่
พี่มึงนี่ก็แปลกคน เมื่อกี้สภาพเหมือคนใกล้ตาย พอบอกว่าจะพาไปทานข้าวแค่นั้นแหละ ดี้ด๊าขึ้นมาทันตา
“เราจะไปทานอะไรกันครับ” เมื่ออยู่บนรถพี่เบิ้มก็ถามด้วยความตื่นเต้น
“ผมจะพาคุณไปทานของอร่อยที่อะเมซิ่งสุดๆเลยล่ะ”
“WOW” รับรองเอ็งได้ร้องว๊าวแน่ๆ
ร้านอาหารตามสั่งไม่ไกลจากบ้านผมเท่าไหร่นัก เป็นร้านเก่าแก่ที่ผมกินมาตั้งแต่จำความได้ รอไม่นานเฮียตี๋เจ้าของร้านรุ่นสอง ก็นำอาหารสุดอเมซิ่งมาเสิร์ฟ
“จานนี้เรียกว่า ข้าวผัดอเมริกัน”
“อเมริกัน?” อ้าว งงฝรั่งงง
ข้าวที่ผัดด้วยซอสมะเขือเทศโดยผัดกับเนย ใส่ลูกเกด หัวหอมใหญ่และแฮม เคียงคู่มากับไส้กรอก ไก่ทอด และไข่ดาว ..เป็นไงอเมริกันมั้ยล่ะ
“ที่อเมริกาไม่มีขาย มีขายเฉพาะที่ไทย” อเมซิ่งไทยแลนด์ดีแท้
“ทำไมต้องอเมริกัน?”
“นั้นสิ?” ถามกูแล้วกูจะไปถามใคร อ่อ ก็พี่กูไง..กูเกิ้ล
“แต่อร่อยมากเลยครับ ผมชอบ”
“คุณมาประเทศไทยมีอะไรที่คุณทานแล้วไม่ชอบบ้างครับ” เห็นยัดอะไรเข้าปากก็บอกว่าอร่อยทุกครั้ง
“ชอบทุกอย่าง
โดยเฉพาะคุณแล้วก็อยากจะทานเป็นพิเศษด้วย”
“แค่กๆๆๆ” ให้ตาย! มึงพูดอารายยย ขยิบตาให้กูอีกต่างหากกก แต่ตอนนี้กูขอน้ำ อ่าา ลูกเกดติดคอกู!
ถ้ากูตายเพราะลูกเกดติดคอชีวิตคงช่างน่าอนาถดีแท้..
“ใจเย็นที่รัก นี่ครับน้ำ” ทำเป็นใจดียื่นน้ำให้ กูเป็นแบบนี้เพราะใครกันล่ะ!
“คุณก็อย่าพูดเล่นแบบนี้สิครับ”
“
ผมพูดจริง”
“...” โชคดีที่กลืนน้ำลงไปแล้ว ไม่งั้นได้สำลักน้ำอีกรอบแน่
“เมื่อไหร่จะใจอ่อนสักทีที่รัก” กินไปด้วยถามไปด้วยนี่มันเป็นคำถามสามัญทั่วไปใช่มะ?!
“มะ ไม่รู้”
“ค่อยยังชั่ว ดีกว่าคุณปฏิเสธว่าไม่มีทาง แบบนี้ผมก็มีหวังอยู่ใช่มั้ยครับ”
“มะ ไม่รู้”
“แล้วถ้าผมกลับอังกฤษ คุณจะคิดถึงผมมั้ยครับ”
“ไม่รู้” ข้าวผัดอเมริกันกลืนคำศัพท์ในหัวกูไปหมดแล้ว
ไม่รู้ กูจำได้แค่คำนี้คำเดียว
“แต่ผมคงคิดถึงคุณ และคงคิดถึงมากๆๆ” พี่เบิ้มพูดด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม แต่ผมกลับเห็นแววตาที่เจือไปด้วยความเศร้า..
“กินยาก่อนครับ” เปลี่ยนเรื่องเถอะ
“ขอบคุณครับ” ยาแก้อักเสบแถมด้วยยาแก้ไข้เพราะตอนที่พี่เบิ้มกอดผมรู้สึกตัวพี่แกจะรุมๆ กินกันไว้ก่อนไม่เสียหาย
ที่เบิ้มแดกยาด้วยสีหน้ามีความสุข ยามันขมนะพี่มึงจะยิ้มอะไรกันนักกันหนา เลยอดที่จะถามไม่ได้
“ยิ้มอะไรของคุณ”
“ผมดีใจที่คุณเป็นห่วงผม เตรียมยามาให้ผมด้วย” กูกลัวแขนมึงเน่าเหอะแล้วก็จะมาโทษว่ากูเป็นต้นเหตุ
“งั้นกลับกับเลยนะครับ ผมต้องกลับไปทำงานต่อส่วนคุณก็ควรจะนอนต่ออีกสักหน่อย”
“โอเค” นานๆจะว่าง่ายสักที แสดงว่าคงเหนื่อยจริงๆ
เมื่อขับรถผ่านตลาดตาก็เหลือบเห็นรถขายขนมโตเกียวที่จอดขายอยู่หน้าตลาด ใช่! พี่เบิ้มมึงต้องได้ลอง
รับรองอะเมซิ่งไทยแลนด์ ขนมโตเกียว ที่โตเกียวไม่มีขายแต่มีขายที่เมืองไทยนะ!
และเมื่อมองเข้าไปในตลาด อ่ะนั้นไง ลอดช่องสิงคโปร์! ที่สิงคโปร์มีขายรึป่าวไม่รู้ต้องถามอีซูซี่ แต่ที่แน่ๆไทยแลนด์อ่ะมีขาย..
และก็เหมือนเคยพี่เบิ้มก็แดกได้อย่างเอร็ดอร่อย พร้อมความงุนงงและคำถามถึงที่มาของชื่อขนม ซึ่งผมก็ให้คำตอบไม่ได้ ไว้ค่อยไปถามอากู๋ทีหลัง เอาเป็นว่าของมันอร่อยก็แดกๆไปเหอะน่า
“คุณอยากทานเหรอครับ” ผมเห็นพี่เบิ้มจ้องข้าวเหนียวมะม่วงไม่วางตา
“ครับ ผมชอบ ข่าว เนียว มา ม่วง” เอิมมม แดกไปตั้งหลายครั้งเรียกชื่อไม่ถูกสักทีสิน่า
พี่เบิ้มได้ข้าวเหนียวมะม่วงมาสองกล่อง จากนั้นก็ถือโอกาสพาพี่เบิ้มเดินเที่ยวที่ตลาดซะเลยไหนๆก็มาแล้ว และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่พี่เบิ้มได้มาเดินตลาดสด พี่แกก็ดูจะตื่นเต้นไม่น้อยและก็ถามผมไม่หยุดเมื่อเห็นผักหรือผลไม้ที่แปลกตา
“ป้านด อันนี้คืออะไรครับ” ขนุนไง ที่ลอนดอนไม่มีเรอะ ว๊าย เชยยย
“Jackfruit อยากลองทานมั้ยครับ” ขนุนที่แม่ค้ากำลังแกะเพื่อแพ็คใส่ถุงสีเหลืองอร่ามดูน่ากิน แต่ผลไม้ที่มีกลิ่นแรงมักจะเป็นของแสลงสำหรับชาวต่างชาติ
“จิมได้เน้อ(ชิมได้นะ)” จากนั้นคุณป้าแม่ค้าก็ยื่นขนุนที่แกะเมล็ดออกแล้วให้กับพี่เบิ้มอย่างใจดี
“ลองชิมดูครับ ฟรี” พี่เบิ้มหันมามองหน้าผมด้วยสีหน้าลังเล ผมจึงแปลให้อีกครั้งหนึ่ง
“ข่อบคุณขับ” พี่แกจึงเอ่ยขอบคุณด้วยสำเนียงที่เรียกรอยยิ้มจากคุณป้าแม่ค้ารวมไปถึงแม่ค้าแผงข้างๆด้วย
จากนั้นเหล่าบรรดาคุณป้าแม่ค้าก็ต่างลุ้นตัวโก่งว่าพี่เบิ้มจะถูกใจกับขนุนชิ้นนี้มั้ย ลุ้นยิ่งกว่าลุ้นหวย!
“เป็นไงคุณ ทานไม่ได้ก็ไม่ต้องฝืนนะครับ”
“อะล่อย” หืม อร่อย?!
จากนั้นป้าๆแม่ค้าก็พากันปรบมือเกรียว ถูกอกถูกใจที่ฝรั่งกินขนุน!
“ป้าหื้อ ฟรี (ป้าให้ ฟรี)” จากนั้นป้าแม่ค้าก็ยื่นถุงขนุนให้กับพี่เบิ้ม
“No No” พอได้ยินคำว่าฟรีพี่เบิ้มก็เข้าใจความหมายได้ทันที จึงรีบปฏิเสธพร้อมกับยื่นแบงค์ยี่สิบให้กับแม่ค้าเพราะบนถุงที่ใส่ขนุนเขียนราคาไว้ตัวปากกาเมจิกสีน้ำเงินตัวเท่าบ้าน
“ไม่เป็นไรคุณรับไปเถอะเป็นน้ำใจของชาวบ้านที่นี่”
“ขอบคุณขับ” พี่เบิ้มเอ่ยขอบคุณพร้อมกับพนมมือไหว้อย่างสุดความสามารถ เรียกรอยยิ้มจากป้าๆแม่ค้าได้อีกหน
..รวมถึงผมด้วย มองแล้วก็น่าเอ็นดูดีแฮะ!
“ขอบคุณนะครับป้า” ผมเอ่ยขอบคุณแม่ค้าขายขนุนอีกครั้ง
“บะเป็นหยังๆ น้องโจคดีเน้อมีแฟนหล่อขนาด (ไม่เป็นไรๆ หนูโชคดีนะมีแฟนหล่อมากเลย)”
“เปื้อนผมครับบะใจ่แฟน (เพื่อนผมครับไม่ใช่แฟน)” ทำไมต้องคิดว่าพี่เบิ้มเป็นแฟนผมด้วยวะ
“บะต้องอายๆ บะเด่วนี้ป้อจายกับป้อจายคบกันเป็นเรื่องปกติ ป้ามัก (ไม่ต้องอายๆ สมัยนี้ผู้ชายกับผู้ชายคบกันเป็นเรื่องปกติ ป้าชอบ)” ครับเป็นเรื่องปกติ แต่ผมไม่ได้เป็นแฟนกับพี่เบิ้มงายยยย
แล้วป้าก็คงเป็นสาววายรุ่นเดอะสินะ หน้านี่ฟินเชียว
“ฝรั่งหยังมาหล่อแต้หล่อว่า เอานี้ไปจิมตวยป้าหื้อ (ฝรั่งอะไรหล่อมากกกกก เอานี้ไปชิมด้วยป้าให้)” ครับ!แล้วป้าแผงๆข้างก็ชื่นชมความหล่อของพี่เบิ้มด้วยปลาสลิดแดดเดียว! โอ้ยยยยยป้า
จะปฏิเสธก็กลัวจะเสียน้ำใจก็ป้าแกเล่นเอาถุงที่ใส่ปลาสลิดแดดเดียวคล้องที่ข้อมือของผมให้เสร็จสรรพ จากนั้นแม่ค้าแผงอื่นๆก็พากันกรูเข้ามาพร้อมกับน้ำใจคนละถุงสองถุง มาหมดครับพืชผักสวนครัว หมูหมากาไก่!
แต่เดี๋ยวๆ คุณป้าขายดอกไม้ไม่ต้องก็ได้มั้ง พวงมาลัยดอกมะลิคล้องคอให้ด้วยคือไร? นี่มึงเป็นขวัญใจแม่ยกตลาดรึไง?!
ส่วนอีพี่เบิ้มก็รับของจากป้าๆแม่ค้าด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มผสมกับความมึนงง
..สาบานว่าจะไม่พามึงมาเดินตลาดอีก แม่งตลาดแตกยิ่งกว่าดารามาซะอีก!
กว่าจะหลุดออกจากตลาดได้ แทบตาย!
“คนไทยใจดีนะครับ” เมื่อขึ้นมาบนรถพี่เบิ้มก็เอ่ยด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“ครับ ชาวบ้านที่นี่น่ารัก”
“คุณก็น่ารัก”
“...”
อีกแล้วนะ ให้กูได้มีสมาธิขับรถหน่อยเถอะ
“พี่ณตซื้ออะไรมาเยอะแยะ วันนี้จะทำกับข้าวเหรอพี่” บีเอ่ยทักทันทีเมื่อเห็นผมและพี่เบิ้มหิ้วถุงพะรุงพะรังเข้ามาในร้าน
“ช่ายยย มาช่วยพี่คิดหน่อยว่าจะทำอะไรดี” โอ้ยกูเหนื่อยยย กูทำกับข้าวไม่เป็นนน
“อ้าวว ซื้อของมาตั้งเยอะแต่ยังไม่มีเมนูเนี่ยนะพี่”
“ได้มาฟรีต่างหากล่ะ”
“จริงดิ แต่งงอ่ะ”
“เพราะคนนี้ไง” ผมหันไปทางที่เบิ้มอย่างหมั่นไส้ พี่เบิ้มได้แต่เลิ่กคิ้วอย่างสงสัย เหอะ คนอะไรจะฮอตขนาดแม่ค้าแม่ขายก็ไม่เว้น
“อ๋อ~ เดี๋ยววันหลังบีพาเจเรมี่ไปตลาดด้วยดีกว่า จะได้ไม่ต้องเสียเงิน”
“งก”
“โด่ว น้อยกว่าพี่ณตหรอกน่า”
“เดี๋ยวเถอะ ไปทำงานเลยเดี๋ยวก็ตัดเงินซะหรอก”
“ไปแล้วจ้าๆ” เหอะ พนักงานมันกลัวผมซะที่ไหนล่ะ
“ป้านด” ได้ยินกี่ทีๆก็แสลงหูทุกสีสิน่า แต่ก็ยังดีกว่าเรียกว่า ที่รัก ล่ะวะ
“ว่าไงครับ”
“เราจะทำยังไงกับของพวกนี้ดี” พี่เบิ้มหมายถึงของสดของแห้งมากมายที่กองอยู่บนโต๊ะที่ได้มาจากป้าๆแม่ค้าที่ตลาด
“นั้นสิ ผมทำอาหารไม่เก่งซะด้วย”
“แต่ผมทำเก่งนะ งั้นผมจัดการให้เอง”
“จะดีเหรอคุณ”
“ดีสิครับ ผมอยากลองชิมปลาหัวขาด” ปลาหัวขาด! เขาเรียกปลาสลิดแดดเดียวพี่มึง
..โธ่ ความฝรั่งเขาล่ะ แต่ก็น่าเอ็นดูดีแฮะ!
“ต้องเอาทอดครับถึงจะอร่อย”
“ครับ เดี๋ยวผมจะโชว์ฝีมือให้คุณดูเอง” จ๊ะ กูก็อยากรู้เหมือนว่าคนที่ทำอาหารเป็นแต่ไม่เคยทำอาหารไทยแล้วต้องมาเจอวัตถุดิบอย่างไทยๆ มึงจะไปรอดมั้ย
“แต่ผมว่าตอนนี้คุณไปนอนพักก่อนเถอะ” เพราะหน้าพี่มึงตอนนี้โคตรเพลีย ถ้าหน้ามืดเป็นลมล้มพับขึ้นมาตัวเบิ้มเท่าควายเผือกขนาดนี้กูแบกพี่มึงไม่ไหวหรอกนะ
“ก็ได้ครับ ถ้างั้นห้าโมงเย็นเราไปยิมด้วยกัน แล้วเราชวนเพื่อนๆคุณมาทานข้าวด้วยกันดีมั้ยครับ” เหอะ ชวนมาทานหรือชวนมาช่วยทำกับข้าวกันแน่
“ตามใจคุณครับ”
“ที่รัก น่ารักที่สุด” เกลียดมึง!
ห้าโมงเย็นยังไม่เห็นพี่เบิ้มโผล่มาสักที รออีกสักนิดละกัน..
ห้าโมงครึ่งแม้แต่เงาก็ยังไม่เห็น ทำอะไรอยู่วะ เดี๋ยวกูก็ไปก่อนซะเลยหนิ
จะหกโมงแล้ว คนตรงเวลาอย่างที่เบิ้มไม่น่าเลท หรือว่าจะตกส้วม!
“ก๊อกๆ”
“...” เงียบ
“ก๊อกๆๆ”
“...” เงียบอีก
“เจเรมี่”
“...” ผมลองโทรหาพี่เบิ้มได้ยินเสียงโทรศัพท์จากด้านในห้องแต่ไม่มีคนรับสาย
ฉิบหาย หรือมึงจะตกส้วมจริงๆ เฮ้ย หรือจะไหลตายวะ!
“เจเรมี่ๆ” ผมกระหน่ำเคาะประตูไม่หยุด จนในที่สุดเจ้าของห้องก็เปิดประตูด้วยใบหน้าที่ซีดเผือด
“ที่รัก” อ่าน้ำเสียงช่างแหบแห้ง
“คุณไม่สบายเหรอครับ” ไม่รอช้าผมรีบแตะหลังมือทบนหน้าผากของคนตัวสูงทันที ร้อน!
“ผมโอเค” โอเคกับผีน่ะสิ จะอวดเก่งไปถึงไหน
“ตัวคุณร้อนมาก เดี๋ยวผมจะเช็ดตัวให้คุณ”
“แล้วยิม กับอาหาร...” เอาตัวเองให้รอดก่อนเหอะ เสียงพูดแทบจะไม่มี ตัวก็ร้อนอย่างกับไฟ
“วันนี้พักก่อนครับ” ผมประคองพี่เบิ้มไปนอนที่เตียง จากนั้นก็ค้นหาอุปกรณ์ที่จะใช้เช็ดตัว ซึ่งแน่นอนว่าไม่มี!
“เดี๋ยวผมมานะคุณ ไม่ดีกว่า คุณลงบันไดไหวมั้ย ผมว่าคุณไปพักที่บ้านผมดีกว่า” จะเสียเวลาขึ้นลงทำไม พาพี่เบิ้มไปนอนที่บ้านผมก็สิ้นเรื่อง อุปกรณ์อะไรก็ครบครัน
“ครับ” พี่เบิ้มตอบรับด้วยเสียงอันแหบแห้งพร้อมกับรอยยิ้มดีใจที่แสนจะแห้งผาก มึงก็ยังจะฝืนยิ้มเนาะ
“เอกมาช่วยพี่พาเจเรมี่ไปที่บ้านหน่อย” เมื่อลงบันไดจนถึงชั้นล่างผมก็เรียกให้เอกมาช่วยทันที คนเดียวไม่ไหวหรอก เพราะนี่มันควายเผือก!
“เขาเป็นไรอ่ะพี่”
“เป็นไข้ เร็วๆ” อย่าเพิ่งถามรีบมาช่วยกูก่อน ขากูอ่อนหมดแล้วเนี่ย
“คุณเช็ดตัวหน่อยนะครับ” คนป่วยตอนนี้หมดแรงแม้แต่จะพูดได้แต่พยัคหน้าให้เบาๆ ถึงจะแข็งแรงแค่ไหนยังไงก็คน มีวันที่ป่วยได้เหมือนกันนั่นแหละน้า
ผมค่อยๆเช็ดไปตามท่อนแขนแข็งแรง จากนั้นก็ย้ายไปที่แขนอีกข้างที่มีรอยแดงจากเหตุการณ์เมื่อคืน
เมื่อเห็นรอยแดงผมก็รู้สึกผิดขึ้นมาทันที นี่คงเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้พี่เบิ้มป่วย เมื่อคืนคงจะปวดแผลน่าดูแทนที่จะได้พักกลับต้องมาทำงานโต้รุ้ง แถมยังดื้อไม่ยอมนอนให้ผมพาไปกินข้าวจนได้ แต่ก็คงโทษพี่เบิ้มไม่ได้..เพราะผมเองที่ใจอ่อน
“ผมถอดเสื้อคุณนะครับ” แม้คนป่วยไม่พูดแต่ก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี จากนั้นผมก็ค่อยๆถูผ้าไปตามหน้าท้องที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม ไล่ขึ้นมาเรื่อยๆจนถึงแผงอกกำยำ ความร้อนของผิวกายเพราะพิษไข้ซึมเข้ามาในผืนผ้าทำให้หัวใจของผมเต้นรัวอย่างน่าประหลาด..
ผมจับให้พี่เบิ้มนอนตะแคงเพื่อเช็ดที่หลัง นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นรอยสักบนแผ่นหลังนี้ใกล้ๆ
‘Follow your heart’ คำนี้คงจะความหมายพิเศษสำหรับพี่เบิ้มแน่ๆ
ผมจ้องมองตัวหนังสือบนแผ่นหลังนั้นอยู่นาน แล้วก็เหมือนมีแรงดึงดูดบางอย่างให้ผมค่อยๆลูบไล้ตัวหนังสือด้วยปลายนิ้วบนแผ่นหลังนั้นเบาๆ อืมม..มันเป็นสัมผัสที่ผมก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน
ไม่รู้สิ มันเหมือนว่าผมอยากจะลองรู้จักผู้ชายคนนี้ให้มากขึ้นกว่านี้ เผื่อลึกๆแล้วความรู้สึกของผมอาจจะไปในทิศทางเดียวกันกับพี่เบิ้มก็ได้..
“อืมมม” ตายห่า ผมเผลอลูบรอยสักอยู่นาน จนพี่เบิ้มร้องครางออกมาเบาๆ
“ใส่เสื้อนะคุณ”
“คุณชอบรอยสักของผมเหรอที่รัก”
“ชู่ววว” เงียบเหอะพี่มึง เสียงไม่มีแล้วยังจะพูดมากอีก
รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองเลยแฮะ จากนั้นผมก็เช็ดตัวให้คนป่วยอย่างลวกๆ ก่อนจะหนีออกมาสูดอากาศข้างนอก
..ทำไมหัวใจถึงรู้สึกสับสนแบบนี้วะ?!
“เจเรมี่”
“อืออ”
“ทานข้าวครับจะได้ทานยา”
“ผมไม่หิวครับ ขอทานยาเลยได้มั้ย”
“ทานยาตอนท้องว่างได้ยังไงกันครับ ฝืนใจกินสักหน่อยนะ”
“คุณจะป้อนผมใช่มั้ยครับ”
“ครับ” ก็ต้องเป็นแบบนั้นสิ ก็มึงเปลี้ยขนาดนี้กูไม่ใจร้ายขนาดนั้นหรอกน่า
พอได้ยินว่าผมจะป้อนให้พี่เบิ้มก็ลุกขึ้มานั่งพิงหัวเตียงอย่างว่าง่ายทันที..ป่วยการเมืองป่าวว่ะ?
“เอ่อ จับมือผมทำไมครับ”
“ผมต้องการกำลังใจ” นี่หรือคนป่วย? ถ้ามีแรงจับมือกูได้ขนาดนี้ มึงก็จับช้อนตักข้าวเข้าปากเองเหอะ แต่ที่ไม่สะบัดมือออกเพราะมึงป่วยหรอกนะ!
การป้อนข้าวพี่เบิ้มเป็นอะไรที่ยากลำบากมากครับ มือข้างหนึ่งก็ถูกมือหนาจับไว้แน่น บางทีก็ยกขึ้นมาลูบหลังมืออย่างกับมือผมเป็นหัวหมา ส่วนอีดวงตาคู่สีเทาก็จ้องหน้าผมซะทำตัวแทบไม่ถูก ถ้าจะจ้องกูขนาดนี้ มึงกลืนกูลงท้องไปเลยเหอะ!
“คืนนี้คุณจะนอนกับผมใช่มั้ยครับ”
“ครับ”
“นอนบนเตียงด้วยกันใช่มั้ยครับ”
“ไม่ครับ”
“อ่า แต่ไม่เป็นไร นอนด้วยกันเดี๋ยวคุณจะติดไข้จากผม” จ๊ะ ถ้ากูติดก็คงติดไปนานละ ก็แม่งนั่งติดกูขนาดนี้แถมยังยื่นหน้ามาใกล้แทบจะเป็นหน้าเดียวกันอยู่แล้ว..สิงกูเลยมั้ยล่ะ?!!
“เจ็บคอมั้ย?”
“เจ็บครับ”
“ถ้างั้นก็เลิกพูดสักทีครับ” กูป้อนคำหนึ่งมึงก็ถามคำถามหนึ่ง เสียงแหบเหมือนเสียงเป็ดแม่งรำคาญหู
“ที่รัก~” อย่ามาตีหน้าเศร้า คิดว่าป่วยแล้วจะได้ผลเหรอ ฝัน!
“อิ่มแล้วใช่มั้ยครับ ถ้างั้นก็กินยาครับ”
“ขอบคุณนะครับที่รัก” ความร้อนจากริมฝีปากที่สัมผัสลงมาบนฝามือของผม ทำให้หัวใจของผมร้อนวาบขึ้นมาอย่างน่าประหลาด..
วันนี้ผมปิดร้านเร็วและเคลียร์ทุกอย่างเสร็จไวกว่าปกติ เพราะกลัวคนป่วยที่นอนซมอยู่ที่บ้านจะตายห่าไปซะก่อน
เมื่อกลับมาที่บ้านพี่เบิ้มก็ยังคงนอนซมเพราะฤทธิ์ยาและพิษไข้ ผมจึงรีบจัดการธุระส่วนตัวของตัวเองให้เรียบร้อย จากนั้นจึงเช็คอาการคนป่วยอีกครั้ง
“อืออ กลับมาแล้วเหรอที่รัก” พี่เบิ้มรู้สึกตัวเมื่อผมเปิดไฟในห้องนอน
“เป็นยังไงบ้างครับ”
“ดีขึ้นครับ ไม่ปวดหัวแล้ว” ผมแตะที่แก้มของป่วยเพราะที่หน้าผากมีแผ่นเจลลดไข้แปะอยู่ ตัวไม่ร้อนเท่ากับตอนแรกดูเหมือนไข้จะลดลงแล้ว สีหน้าก็ดูสดชื่นขึ้นเล็กน้อย แต่น้ำเสียงยังคงแหบแห้ง
“แต่เสียงของคุณไม่ดีขึ้นเลย เดี๋ยวผมหาอะไรอุ่นๆมาให้ดื่มดีมั้ยครับ”
“โอเค”
น้ำอุ่นผสมน้ำผึ้งมะนาวน่าจะช่วยให้ชุ่มคอได้ดีที่สุดในเวลานี้ ผมค่อยๆถือแก้วอย่างระมัดระวังที่สุดเพราะกลัวว่าเหตุการณ์เหมือนเมื่อคืนจะเกิดขึ้นซ้ำสอง
“ดื่มสักหน่อยนะครับ”
“ขอบคุณครับ...คุณรู้มั้ยนี่คือการป่วยในรอบสิบปีของผมเลยนะ แต่ผมรู้สึกดีมากเลยเพราะมีคุณดูแลอยู่ข้างๆมันทำให้ผมไม่อยากหายป่วยเลยล่ะ”
“...” มึงมันบ้า คนอะไรไม่อยากหายป่วย
“ที่รักคุณจะไม่ขึ้นมานอนบนเตียงกับผมจริงๆเหรอครับ”
“ไม่ล่ะครับ นอนเบียดกันเดียวคุณจะไม่สบายตัว”
“แต่ผมหนาว” มึงก็ห่มผ้าสิ
“เดี๋ยวผมเอาผ้าห่มมาเพิ่มให้ครับ”
“สัมผัสจากมนุษย์เป็นสัมผัสที่อุ่นที่สุดนะครับ” มึงอยากห่มหนังคนเรอะ?!
“...”
“นะครับที่รัก ขึ้นมานอนให้ความอบอุ่นแก่ผมหน่อย”
“...” อะไรคือความป่วย อะไรคือความเจ็บคอ ฮึ เซ้าซี้จริง
“ที่รัก...”
“ชู่ววว” พอ! กูเกลียดเสียงแหบของมึง
จากนั้นผมก็หยุดคนป่วยที่พูดมากด้วยการซุกตัวเองลงใต้ผ้าห่มผืนเดียวกับพี่เบิ้ม พร้อมกับกอดให้ความอบอุ่นอย่างที่คนป่วยต้องการพร้อมกับหัวใจที่ไหวหวั่น..
แล้วมันก็ได้ผลเพราะคนป่วยหุบปากลงทันทีแต่ใบหน้านั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เห็นแล้วก็น่าหมั่นไส้
..ความอบอุ่นจากมนุษย์อะไรกัน รู้ทั้งรู้ว่านี่เป็นแค่ข้ออ้างของพี่เบิ้มแต่สุดท้ายผมก็ยอมกอดแต่โดยดี..มันเพราะอะไรกันน้า?!
TBC.………………………………………………………………
มาแล้ว..และก็มาช้าอีกเช่นเคย เค้าขอโต๊ด T_T
ป้านดของเราเริ่มหวั่นไหวแล้วเน้อ^^