-20-
เซินเฟนยืนมองเรือสำราญลำหรูซึ่งเป็นสมบัติส่วนตัวด้วยดวงตาเฉยเมย เรือลำนี้เป็นของขวัญจากซากุระให้กับเขาซึ่งเขาก็ไม่เคยได้ใช้งานจริงสักครั้ง ได้แต่ให้คนบำรุงรักษาเอาไว้ไม่ให้เสื่อมสภาพเท่านั้น
ท้องฟ้ายามราตรีพร่างพรายไปด้วยแสงดาวและเดือนกลับโดนข่มด้วยความสว่างไสวของดวงไฟจากลำเรือ เซินเฟยได้สั่งให้คนขึ้นไปตระเตรียมงานให้พรักพร้อม ทั้งพ่อครัว บริกร และการ์ดสำหรับดูแลความปลอดภัย แผนสำหรับคืนนี้ไม่ได้มีอะไรมากมายนัก เพียงแค่รอผู้ที่ได้รับเชิญมากับพร้อมและออกเรือไปรอบ ๆ อ่าวราว ๆ ค่อนคืนจึงกลับฝั่ง ท้องทะเลแถบนี้เป็นอาณาเขตของจูเชว่ทั้งยังเป็นเวลากลางคืนจึงไม่ต้องกังวลเรื่องเรือประมงหรือเรือสินค้าจากประเทศต่าง ๆ ที่จะมาพักของที่โกดังท่าเรือ
เขาคาดเดาไม่ออกว่าจือหยินและหลิงหลิงจะทำสีหน้าอย่างไรหากรู้ว่าตนเองจะต้องมาฉลองงานหมั้นเป็นการส่วนตัวกับจูเชว่บนเรือสำราญลำหรูซึ่งเป็นโอกาสอันหายากยิ่งสำหรับปุถุชนทั่วไป อาจจะทำสีหน้าตกอกตกใจ ตื่นเต้น หรือว่าเอาแต่เอ่ยขอบคุณไม่ขาดปากก็ได้ทั้งนั้น
เซินเฟยก้มลงมองนาฬิกา เหลือเวลาอีกนานกว่าที่จะถึงเวลานัด เขารู้สึกเสียอารมณ์เล็กน้อยที่คาดการณ์สภาพการจราจรบนท้องถนนผิดไป จึงมาถึงก่อนเวลาเสียนาน บนเรือมีคนวิ่งวุ่นไปมาอย่างอลหม่านเพาะยังจัดเตรียมข้าวของไม่เรียบร้อย คงจะมีใครสักคนขึ้นไปบอกกระมังว่าเขามาแล้ว คนที่ทำงานอยู่บนนั้นถึงได้ลนลานกันไปหมด หากงานออกมาไม่ดีคงต้องโทษคนปากสว่างที่หวังดีเกินเหตุ
“คุณเซินจะขึ้นไปรอบนเรือก่อนไหมครับ?”
เพราะบนท่าเรือไม่มีที่นั่ง หากยืนอยู่นาน ๆ ก็เกรงเจ้านายหงุดหงิด การ์ดคนหนึ่งจึงพินอบพิเทาเข้ามากระซิบถาม
“เดี๋ยวค่อยขึ้นก็แล้วกัน ฉันไม่อยากจะไปขัดแข้งขาพวกคนงาน” เซินเฟยโบกมือพลางปฏิเสธ
ลมทะเลพัดเข้าหาฝั่งเป็นระลอก แม้จะผ่านพ้นฤดูหนาวไปแล้วแต่เกาะเล็ก ๆ อย่างฮ่องกงก็ได้รับอิทธิพลจากลมทะเลทำให้กระทั่งในตอนนี้ เซินเฟยก็ยังรู้สึกสะท้านกายขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้แม้จะสวมสูทเต็มยศอยู่ก็ตามที ผู้ติดตามคนหนึ่งสังเกตเห็นอากัปกิริยานั้นได้อย่างว่องไว เจ้าตัวจึงนำเสื้อโค้ทตัวยาวที่เซินเฟยให้ถือไว้มาสวมคลุมทับบนไหล่ ทำให้เซินเฟยรู้สึกอุ่นขึ้นกว่าเดิม
“อาซิงไปไหน?” เพราะตั้งแต่ออกมาเขายังไม่เห็นอีกฝ่าย ตอนแรกคิดว่าจะมารอที่ท่าเรือแต่ก็ไม่เห็นเงาจนกระทั่งเวลานี้
“เลขาหวางขึ้นไปคุมงานบนเรือด้วยตัวเองครับ”
เซินเฟยพนักหน้ารับ
“ฉู่เหวินจือล่ะ?”
“จะตามมาตอนงานใกล้เริ่มครับ”
“เหลวไหลจริง ๆ” เซินเฟนเอ่ยตำหนิ ทั้งที่เป็นงานฉลองส่วนตัวที่เขาจัดขึ้นเองแท้ ๆ ฉู่เหวินจือยังกล้ารับงานกับเหล่าโหวแล้วยังมีหน้าบอกว่าจะตามมาสมทบทีหลังอีก
เด็กหนุ่มพรูลมหายใจออกมาแล้วมองไปรอบตัว การ์ดในชุดสูทสีดำยืนล้อมเขาเป็นกระจุก และกระจายอยู่ตามจุดต่าง ๆ ของท่าเรืออีกหลายสิบคน บนเรือก็มีการ์ดประจำอยู่ที่ต่าง ๆ เพื่อดูแลความเรียบร้อยทั้งบนท่า บนเรือ และในน่านน้ำ เซินเฟยไม่ใคร่ชอบการออกมาข้างนอกเพราะอย่างนี้ ไปไหนมาไหนครั้งหนึ่งก็ต้องพกขบวนบอดี้การ์ดไปด้วย กระทั่งตอนไปบริษัทเองก็มีรถวิ่งนำหน้าและตามหลังราว ๆ 5-6 คัน เพราะเป็นระยะทางที่ไม่ไกลมากนัก และเขาก็ขึ้นรถจากบ้าน ลงรถที่บริษัท ไม่ได้ออกจากบริเวณปลอดภัยเลยสักก้าวเดียว แต่สำหรับการออกมางานเลี้ยงหรือธุระส่วนตัวนั้นเป็นคนละเรื่องกัน เพราะทั้งเส้นทางและบริเวณที่ทำธุระไม่ได้เป็นเส้นทางประจำที่มีการระแวดระวังสม่ำเสมอ จึงอาจเกิดเหตุไม่คาดฝันได้ทุกเมื่อ การ์ดในวันนี้จึงมีจำนวนมากกว่าปกติประมาณ 3 เท่าตัว ทั้งนี้ทังนั้น เพราะพวกเขาเคยพลาดที่โกดังท่าเรือมาแล้วตอนเรื่องของเฉียนหยุน หัวหน้าการ์ดที่ทำหน้าที่ในวันนั้นถูกลดขั้นไปทำงานเล็ก ๆ ในแก๊งค์เพราะทำให้เขาบาดเจ็บแม้จะไม่ถึงขั้นอันตรายก็ตาม
เซินเฟยรู้สึกว่าตัวเองคิดถูกที่ไม่ได้ไปงานหมั้นตามคำเชิญ เพราะแค่จำนวนการ์ดของเขาคงเทียบได้ครึ่งต่อครึ่งกับจำนวนผู้ร่วมงานเลยทีเดียว
หลังจากยืนนิ่งอยู่นาน เซินเฟยก็เริ่มรู้สึกเมื่อยขึ้นมาจริง ๆ แม้เขาจะเป็นคนที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอเมื่อมีโอกาส แต่เมื่อยืนนานเข้าก็ต้องเมื่อยขาบ้างเป็นธรรมดา กระนั้นเจ้าตัวก็ไม่ได้แสดงออกมาทางสีหน้า เขาเพียงหันกลับมาทางผู้ติดตามแล้วกล่าว
“ฉันจะกลับไปรอที่รถ”
“ครับ” ผู้ติดตามที่ทำหน้านี่รับคำสั่งข้างตัวเอ่ยรับคำแล้วโบกมือส่งสัญญาณบอกการ์ดรอบ ๆ ว่าเจ้านายจะกลับไปที่รถ กลุ่มคนที่ยืนนิ่งจึงเริ่มเคลื่อนไหวเดินเข้ามาโอบล้อมผู้เป็นนายแล้วเดินกันเป็นกลุ่มไปยังที่พวกเขาที่จอดรถเอาไว้
เซินเฟยขึ้นนั่งบนรถก่อนจะพรูลมหายใจออกมาอีกครั้ง เขาเปิดกระจกเอาไว้เพื่อให้อากาศถ่ายเทด้วยขี้เกียจให้คนสตาร์ทเครื่องยนต์ กระนั้นร่างสูงใหญ่ของการ์ดที่เฝ้ารอบรถก็ทำให้อากาศถ่ายเทไม่สะดวกมากนัก แต่เขาก็ต้องจำทนเพราะยังดีกว่าโดนปืนส่องหัวโดยไม่รู้ตัวเป็นไหน ๆ
ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับความเรียบร้อยบนเรือ เพราะเมื่อหวางซิงลงมือคุมงานด้วยตัวเอง ทุกอย่างก็ต้องออกมาเรียบร้อยไร้ที่ติไม่ต้องสงสัย
หลังจากนั่งรออยู่นานพอสมควร เซินเฟยเกือบจะเผลอสัปหงกไปอยู่แล้ว ก็มีการ์ดคนหนึ่งเคาะบานกระตูรถเบา ๆ เซินเฟยเหลือบตาขึ้นมอง
“คุณฉู่มาแล้วครับ”
“ให้เข้ามา” เซินเฟยสั่งสั้น ๆ ครู่เดียวฉู่เหวินจือก็เปิดประตูรถเข้ามาพร้อมรอยยิ้มและกลิ่นสบู่หอมฟุ้งแสดงว่าอีกฝ่ายกลับไปอาบน้ำใหม่แล้วจึงตามมาที่ท่าเรือ
“ขอโทษที่มาช้าครับ”
“ไปอาบน้ำใหม่ด้วยหรือ?”
“ครับ พอดีเหงื่อออกเยอะไปหน่อยผมก็เลยคิดว่าอาบน้ำใหม่ดีกว่า” ฉู่เหวินจือแจกแจงเหตุผล แม้ว่ามันจะทำให้เขามาช้าไปสักหน่อยแต่ก็ดีกว่ามีกลิ่นตัว เซินเฟยเป็นคนจมูกค่อนข้างไวอยู่แล้ว ครั้งสุดท้ายที่เขาตัวเปียกเหงื่อเข้ามาในรถ เขาก็โดนไล่ออกไปนั่งรถการ์ดแทนในทันที
“ทำงานกับเหล่าโหวสนุกหรือเปล่า?” เซินเฟยถามเพื่อฆ่าเวลาโดยไม่ได้คาดหวังคำตอบอะไรมากมาย
“สนุกดีครับ”
“ว่าไปสิ”
“ครับ วันนี้เหล่าโหวบอกว่าโรงงานผลิตยามีปัญหานิดหน่อยก็เลยไปดูด้วยกัน เห็นว่ามีปัญหาเรื่องการจัดเก็บและขนส่งยาบางล็อตทำให้ไม่ทันที่ลูกค้าต้องการน่ะครับ ทางโรงงานเองก็บอกว่ามีปัญหานี้มานานแล้ว ถึงจะผลิตเพิ่มล่วงหน้าแต่ก็เจอปัญหาเรื่องยาเสื่อมสภาพเพราะความชื้นเข้าอีก” ฉู่เหวินจือรายงานไปก็เห็นเรียวคิ้วของเซินเฟยค่อย ๆ ขมวดเข้าหากัน
เรื่องโรงงานนี้เขาเคยได้รับรายงานแล้วและส่งคนไปดูหลายครั้ง ปัญหากลับไม่หายไปเสียที เฉพาะเรื่องนี้ก็ทำให้ทางองค์กนเสียเครดิตพอสมควรแม้จะเป็นเพียงโรงงานเล็ก ๆ ก็ตาม
“แล้วยังไงอีก”
“ผมก็เลยขอแปลนโรงงานกับรูปแบบการจัดเก็บมาครับ”
“นายมีความรู้เรื่อง storage & logistic หรือเปล่า?” เซินเฟยถามขึ้นโดยมองออกไปนอกหน้าต่างและเคาะปลายนิ้วกับที่พักแขนติดประตูรถ “โรงงานนี้เป็นโรงงานขนาดเล็ก จัดการเรื่องคลังสินค้าค่อนข้างลำบากเพราะไม่มีพื้นที่ให้ขยับขยาย แล้วยังตั้งอยู่ติดทะเล แต่เพราะเป็นโรงงานที่ตั้งมานานแล้วก็เลยจัดการอะไรไม่ได้มากกว่านั้น ก่อนหน้านี้ฉันเคยให้ผู้เชี่ยวชาญเข้าไปดูให้ ก็แก้ปัญหาได้แค่นิดหน่อยเท่านั้น”
“ผมคิดว่าควรลดกำลังการผลิตและลดปริมาณการขายครับ” ฉู่เหวินจือเอ่ยแนะนำ “โรงงานนี้เท่าที่ผมดูคงจะขยับขยายไม่ได้มากกว่านี้อย่างที่คุณเซินว่า จะเพิ่มเติมเครื่องจักรเข้าไปก็ทำไม่ได้ แล้วยังต้องเสริมเรื่องอุปกรณ์กันความชื้นจากทะเล ผมเลยคิดว่าถ้าลดกำลังการผลิตจะดีกว่า อีกอย่าง ตัวยานี้ก็ไม่ได้ขายดีมากมายอยู่แล้วไม่ใช่หรือครับ?”
“ก็ใช่” เซินเฟยเปลี่ยนท่ามาเท้าคาง “ฉันกำลังคิดจะปิดโรงงานเสียด้วยซ้ำไป”
“เรื่องนี้เหล่าโหวไม่ค่อยเห็นด้วยนะครับ”
“ใช่ เหล่าโหวบอกว่าถึงตัวยานี้จะมีคนสั่งลดลงเรื่อย ๆ แต่ก็ใช้โรงงานทำอย่างอื่นได้อีก ถึงอย่างนั้นฉันกลับเห็นว่าดึงดันต่อไปมีแต่จะทำให้เสียเปล่า เรื่องนี้ฉันจะคุยกับเหล่าโหวอีกที” เด็กหนุ่มตัดบท เรื่องโรงงานนี้เขาคร้านจะเข้าไปปรับปรุงแล้ว ในเมื่อไม่อาจทำประโยชน์ได้ทั้งยังสร้างแต่ปัญหา เขาก็คิดว่าปิดไปเสียจะดีกว่า เพราะพื้นที่ตรงนั้นยังสามารถทำอย่างอื่นได้อีกนอกจากเป็นโรงงาน
“ผมจะบอกเหล่าโหวตามนั้นครับ” ฉู่เหวินจือไม่ได้ทุ่มเถียงต่อ เพราะลึก ๆ เขาก็คิดเช่นเดียวกัน เพียงแต่โรงงานนั้นเหล่าโหวเป็นตัวตั้งตัวตีในการตั้งขึ้นเจ้าตัวจึงรู้สึกเสียดายหากจะต้องปิดไป
เซินเฟยก้มลงมองนาฬิกาข้อมืออีกครั้ง ใกล้จะได้เวลาแล้วทางบนเรือก็น่าจะเรียบร้อยแล้วเช่นกัน
เด็กหนุ่มกวักมือให้การ์ดคนหนึ่งยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ๆ
“ไปถามข้างบนว่าเรียบร้อยหรือยัง ถ้ายังก็เร่งมือหน่อยแต่อย่าให้เกิดเรื่องผิดพลาด” ว่าจบก็โบกมือให้ผู้รับคำสั่งไปแจ้งตามนั้น ไม่นานเจ้าตัวก็เดินกลับมา
“เลขาหวางบอกว่าเรียบร้อยแล้วครับ”
“ถ้าอย่างนั้นฉันจะขึ้นไปรอข้างบน” เซินเฟยว่าจบ ผู้ติดตามคนหนึ่งก็เข้ามาเปิดประตูให้ เด็กหนุ่มก้าวลงโดยมีฉู่เหวินจือตามหลังไม่ห่าง
เรือสำราญลำหรูยังคงจอดเทียบอยู่ที่ท่าอย่างสงบนิ่ง แต่ตอนนี้แสงไฟบนเรือสว่างไสวยิ่งกว่าเดิม บ่งบอกว่าเตรียมพร้อมสำหรับการรับรองผู้มาเยือน เซินเฟยก้าวเดินขึ้นไปตามบันไดที่ถูกส่งลงมาจากด้านบน การ์ดที่ทำหน้าที่ดูแลเรือบางส่วนเข้ามารุมล้อมทันทีที่เขาขึ้นมาถึง หวางซิงยืนรอรับคำสั่งอยู่ไม่ไกล ส่วนพ่อครัว แม่ครัว และบริกรชายหญิงก็ยืนเรียงหน้าอย่างเรียบร้อย
เซินเฟยเดินเข้าไปดูในห้องที่จะใช้รับรองจือหยินและหลิงหลิง
จาน ช้อน ส้อม แก้ว และภาชนะทุกอย่างถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย บนโต๊ะมีเชิงเทียนซึ่งจุดเทียนว่างไสวตั้งอยู่ เปิดแสงไฟเพียงสลัวราง ทำให้บรรยากาศดูนุ่มละมุ่นตาและสงบ เป็นบรรยากาศแบบที่เซินเฟยชอบ ไม่ต้องสงสัยว่าหวางซิงเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงจัดแต่งอย่างแน่นอน
วงดนตรีเครื่องสายจำพวก ไวโอลิน เชลโล และวิโอลาตั้งอยู่มุมหนึ่ง นักดนตรียืนขึ้นทันทีที่เขาก้าวเข้ามา เซินเฟยจึงทำมือเป็นสัญญาณให้นั่งลงก่อนจะเดินออกมา
“หมอจือกับคุณหลิงมาหรือยัง?”
“ยังเลยครับ แต่ส่งคนไปรับแล้ว” หวางซิงกล่าว เขาเพิ่งจะให้คนออกรถไปเมื่อครู่นี้โดยกำหนดระยะเวลาว่าจะมาถึงภายในครึ่งชั่วโมง ซึ่งเป็นเวลาที่นัดเอาไว้พอดี
“ถ้าอย่างนั้นก็ดูแลให้ดีก่อนจะถึงเวลาแล้วกัน” เซินเฟยเอ่ยสั่งหวางซิงก่อนจะเดินเลยไปทางกาบเรืออีกด้านหนึ่งซึ่งมองไปเห็นทะเล ลมทะเลพัดเรือนผมจนปลิวไสวขณะที่เซินเฟยต้องหรี่ตาลงครึ่งหนึ่งเพื่อไม่ให้ลมพัดต้องดวงตามากเกินไป
หลาย ๆ ครั้ง เซินเฟยก็เคยคิดอยากยืนตากลมทะเลอย่างนี้เงียบ ๆ เสียงคลื่นกระทบกาบเรือเป็นจังหวะทำให้ใจรู้สึกสงบอย่างบอกไม่ถูก เป็นเพราะช่วงนี้มีแต่เรื่องเหนื่อยใจหรืออย่างไรนะ เขาถึงได้รู้สึกล้าราวกับเป็นคนแก่อย่างนี้ ทั้งที่แต่ก่อนไม่เคยรู้สึกเหนื่อยจนอยากหนีความวุ่นวายขนาดนี้มาก่อนเลย
หวางซิงได้แต่ยืนมองผู้เป็นนายอยู่ห่าง ๆ เขาไม่อาจเข้าไปอยู่ใกล้ ๆ ได้ดังแต่ก่อนอีกแล้ว จึงทำได้เพียงแค่นี้เท่านั้น
“จะไม่เข้าไปหรือครับ?”
ราวกับถูกอ่านใจ หวางซิงสะดุ้งตัวโยนหันมองเจ้าของเสียง
“คุณฉู่ ทีหลังอย่าเข้ามาเงียบ ๆ อย่างนี้อีกนะครับ” เลขาหนุ่มว่าแล้วทำหน้าดุ แม้มันจะดูไม่ได้ดุอย่างที่อยากแสดงออกเลยก็ตามที
“ช่วงนี้คุณเซินดูเหงา ๆ นะ เอ....แต่เพราะอะไรคุณถึงไม่กล้าเข้าไปอยู่ใกล้ ๆ เหมือนเดิมนะ” ฉู่เหวินจือกลอกตาเหมือนพยายามคาดเดาสิ่งที่เกิดขึ้น หวางซิงรู้สุกเหมือนเป็นคนมีชนักปักหลัง เขากระสับกระส่ายอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะสบเข้ากับดวงตาทอยิ้มของฉู่เหวินจือ จึงรู้ว่าถูกกลั่นแกล้งเข้าแล้ว
“ผมจะลงไปรอหมอจือด้านล่าง” หวางซิงไม่อยากจะกลายเป็นตัวตลก และไม่อยากจะให้อีกฝ่ายคาดเดาอะไรได้มากเกินไปจึงรีบปลีกตัวหนีไป
“ทิ้งผมไว้กับคุณเซินจะดีหรือ?” เสียงของฉู่เหวินจือเรียกให้หวางซิงหันกลับมา
“....ถ้าคุณทำอะไรคุณเซินแม้แต่รอยขีดข่วน ผมไม่เอาคุณไว้แน่” เลขาหนุ่มขู่เสียงเข้มก่อนจะรีบเดินจากไป ฉู่หวินจือหัวเราะออกมา
“อย่างนี้สิถึงจะดูน่ากลัวจริง” เขาว่าเช่นนั้น
ฉู่เหวินจือเห็นมานานแล้วว่า หากเป็นเรื่องของเซินเฟยไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่หวางซิงจะเป็นเดือดเป็นร้อนแทนแทบทั้งหมด ทั้งยังเป็นเรื่องที่ทำให้อารมณ์ของหวางซิงหวั่นไหวปรวนแปรได้มากกว่าเรื่องอื่น ๆ ที่เจ้าตัวมักสุขุมใจเย็นอยู่เสมอ
เป้าหมายของฉู่เหวินจือนั้นไม่ได้มีความต้องการที่จะแยกหวางซิงกับเซินเฟยออกจากกัน กระนั้นผลที่เกิดขึ้นก็เหนือความคาดหมายอยู่มาก แม้ไม่อาจรู้ได้ชัดเจนแต่เขาก็คิดว่าคาดเดาได้ไม่ยากเย็นอะไรนัก จะมีสักกี่เรื่องที่ทำให้เซินเฟยโกรธจัดเสียขนาดนั้น ซ้ำยังฝืนเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ของตัวเองให้เติบโตขึ้นจากเดิม ทั้งที่การกระทำเช่นนั้นทำให้จิตใจต้องแบกภาระขึ้นอีกเท่าตัว
อย่างไรก็ตาม เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นผลดีกับฉู่เหวินจือ ชายหนุ่มแย้มยิ้ม ดวงตาพราวระยับอย่างนึกถูกใจ
หน้าที่ของเขายังไม่จบลงง่าย ๆ…..
ฉู่เหวินจือเอามือล้วงกระเป๋าแล้วเดินเข้าไปยืนอยู่ข้างหลังเซินเฟยอย่างเงียบ ๆ เขาจ้องมองแผ่นหลังเหยียดตรงนั้นอยู่เนิ่นนานโดยเจ้าของไม่ได้รู้สึกถึงการมาของเขา เวลาที่อยู่ตามลำพังอย่างนี้เซินเฟยมักจะลดการป้องกันตัวลงแทบทั้งหมด ง่ายดายยิ่งนักต่อการปองร้าย แค่เพียงยื่นมือออกไปก็สามารถสังหารผู้ยืนอยู่เหนือบัลลังก์หงส์แห่งฮ่องกงได้โดยไม่มีใครทันรู้ตัว
ฉู่เหวินจือก้าวเท้าเข้าไปโดยไร้สุ้มเสียง ก่อนยื่นมือออกไปข้างหน้า อีกเพียงนิดเดียวก็จะสัมผัสแผ่นหลัง....
ชายหนุ่มแย้มยิ้มออกมาอีกครั้งก่อนจะก้าวเข้าใกล้ขึ้นและวางมือลงไปบนกาบเรือโดยคร่อมร่างของเซินเฟยไว้ตรงกลางและไม่มีส่วนใดของร่างกายสัมผัสกันเลย
“มีอะไร?” เซินเฟยสามารถรู้ได้ว่าใครกันที่กล้ากระทำอุกอาจโดยไม่ต้องหันไปมอง
“ยืนแบบนี้ไม่หนาวหรือครับ?” ฉู่เหวินจือเอ่ยถามประชิดใบหู
เซินเฟยเหลือบมองอีกฝ่าย การที่ถามเช่นนี้ด้วยท่าทางแบบนี้มีเป้าประสงค์ให้เดาไม่มากนัก จริงอยู่ว่าการที่ฉู่เหวินจือมาคร่อมอยู่จะสามารถให้ความอบอุ่นได้ แต่เขาเองก็มีเสื้อโค้ทอยู่บนตัวแล้ว ซ้ำหากใครมาเห็นภาพนี้เข้าคงจะไม่ดีเป็นแน่
“ถอยออกไป”
ฉู่เหวินจือหัวเราะเบา ๆ อย่างไม่ถือสาคำสั่งอันเย็นชาก่อนจะถอยออกไปโดยดี
“ไม่มีธุระอะไรก็อย่ารบกวนฉันบ่อยนัก” เซินเฟยกระชับเสื้อโค้ทบนไหล่ด้วยท่าทางไม่ค่อยพอใจที่ถูกทำลายความสงบอันหาได้ยากยิ่ง
“ผมแค่กังวลว่าคุณเซินอาจโดยปองร้าย” คำพูดของฉู่เหวินจือเป็นคำที่ฟังมีเหตุผลเซินเฟยจึงไม่ได้ต่อว่าอะไร เขาเขม่นมองไปยังผืนน้ำสีดำสนิท
“ไม่มีเรือรอบ ๆ นี้ การ์ดของฉันคอยดูแลท่าเรือกับชายฝั่งอยู่”
“ถึงอย่างนั้นก็วางใจไม่ได้ไม่ใช่หรือครับ?”
เซินเฟยพยักหน้ารับ
“งั้นนายก็มายืนข้าง ๆ ฉันแล้วกัน”
ฉู่เหวินจือยิ้มกว้างทันที ก่อนก้าวเข้าไปยืนเท้ากาบเรืออยู่ด้วยกันและทอดสายตาไปยังท้องน้ำสีดำเบื้องหน้า
ความเป็นจริงแล้ว แม้การ์ดจะไม่อยากรบกวนความสงบของเจ้านายก็จะคอยสังเกตอยู่ใกล้ ๆ ตลอด ถึงจะมีเรือมือสังหารเข้ามาใกล้ก็จะต้องมองเห็นก่อนถึงตัวแน่นอน กระนั้นเซินเฟยก็คร้านจะไสส่งฉู่เหวินจือไปไกล ๆ ตราบใดที่มือยังไม่ระราน เซินเฟยก็ไม่นึกเดือดร้อนมากนัก
------------------------->
หวางซิงเดินลงมาข้างล่างด้วยอารมณ์ไม่สู้ดีนัก คอยพะว้าพะวงอยู่ตลอดว่าเซินเฟยจะโดนฉู่เหวินจือทำอะไรหรือไม่ แต่เวลานี้การ์ดบนเรือมีจำนวนมากกว่าการ์ดด้านล่าง น่าจะกระจายกันทั่วมากพอที่จะเห็นเซินเฟยอยู่ในสายตาตลอดเวลา และฉู่เหวินจือคงไม่กล้าทำอะไรรุ่มร่ามเป็นแน่ ถึงแม้จะคิดแบบนั้น หวางซิงก็ยังอดรู้สึกเป็นกังวลตามวิสัยไม่ได้อยู่ดี
เมื่อหวางซิงเดินไปถึงจุดที่จอดรถ เขาก็พบว่ารถคันหนึ่งกำลังแล่นเข้ามา เขม่นมองแล้วก็พบว่าเป็นรถของการ์ดจึงเดินเข้าไปใกล้
“ขอโทษที่มาช้าครับ” จือหยินรีบเดินลงมาเมื่อรถจอดสนิทดีแล้วและพยุงหลิงหลิงที่เลิกใช้ไม้เท้าแล้วลงจากรถ
“คุณหลิงหลิงเดินเองได้แล้วหรือครับ?” หวางซิงเอ่ยถามเมื่อเห็นหญิงสาวลงมายืนโดยไม่มีไม้เท้าพยุงตัว
“เดินพอได้แล้วค่ะ แค่ต้องระวังเวลาสะดุดเท่านั้นเอง” หลิงหลิงตอบพลางยิ้มหวานเกาะแขนจือหยิน บนนิ้วนางของเธอมีแหวนสวมอยู่วงหนึ่ง ไม่ต้องคาดเดาก็รู้ได้ว่าเป็นแหวนหมั้นอย่างแน่นอน และบนนิ้วของจือหยินก็คงจะมีวงที่เหมือนกันอยู่
“ยินดีด้วยนะครับ” หวางซิงเอ่ยตามมารยาท “คุณเซินกำลังรออยู่ เชิญทางนี้ครับ”