คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต
บทที่ 44
คำสารภาพ
---------
นับตั้งแต่ตรัสถามเรื่องพี่สาว ท่าทีของรติก็เปลี่ยนไป หลบเลี่ยง ไม่สบตา ไม่มองหน้า ตอนที่ทำผงสมุนไพรเพื่อขายวันต่อไป ก็ทำเป็นยุ่งวุ่นวายอยู่กับหน้าเตาไฟ ดูแล้วไม่เปิดโอกาสให้ตรัสได้ถามถึงเรื่องนั้นอีก
‘...เจ้ามีพี่สาวอีกคนไม่ใช่หรือ เหตุใดนางจึงไม่มาด้วยกัน และเหตุใด...เจ้าจึงไม่เคยพูดถึงเลย’
‘นางเสียไปแล้ว นานมากแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องกล่าวถึง’
นั่นคือคำตอบของรติในวันนั้น แล้วก็ไม่เคยอธิบายสิ่งใดเพิ่มอีก
...เสียชีวิตแล้ว จากไปเมื่อนานมากแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องกล่าว...
ก็อาจใช่...แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่อยากพูดถึงอย่างที่รติกำลังเป็นอยู่ ณ ขณะนี้
ตรัสถอนหายใจยาว พลางมองกระดาษในมือที่ได้รับจากเพื่อนผู้มาจากส่วนกลาง เขาอ่านมันเป็นครั้งที่เท่าไรก็สุดจะนับ ตั้งแต่ได้รับจากอิษวัต
อ่านครั้งแรกทั้งเครียดทั้งตึงจนต้องชวนเพื่อนประลองฝีมือ
อ่านครั้งที่สองก็ยังทั้งเครียดทั้งไม่เข้าใจว่าเหตุใดรติจึงไม่เคยพูดเรื่องเหล่านั้น ยิ่งอ่านซ้ำหลายครั้ง ก็ยิ่งไม่พบเหตุผลใดเลยที่รติต้องโกหกและปิดบัง
หากไม่ได้ข้อมูลจากอิษวัต ชีวิตนี้ ตรัสก็คงไม่ได้รู้
ความจริงแล้ว ตรัสไม่ได้เพิ่งมาอยากรู้เรื่องของภรรยาเอาวันนี้ แต่เขาสงสัยในการมาเยือนของสามพี่น้องตั้งแต่วันแต่งงาน อิษวัตเป็นหนึ่งในแขกฝั่งเจ้าบ่าว ไม่เพียงเป็นสหายสนิทที่คุ้นเคยกันแต่เล็ก ยังเป็นนายทหารสังกัดส่วนกลาง มีพวกพ้องอยู่ฝ่ายใต้ที่พอจะไหว้วานได้
เขาจึงให้ช่วยสืบข่าวสกุล ‘บริบาล’ อันเป็นสกุลของรติ
เดิมทีเพราะอยากรู้ว่าเหตุใดท่านย่าของเขาจึงต้องการรับสามพี่น้องเข้ามาอยู่ในเรือนอหัสกร แม้ยามนั้น เขาเพียรบอกว่าสถานะการเงินของสกุลไม่สู้ดี ก็ยังบังคับให้เขาแต่งงานกับรติ เพื่อรับทั้งสามเข้ามาอยู่ในเรือนให้จงได้ หากบอกว่าสามพี่น้องเป็นหลานของสหายสนิท เหตุใด เขาจึงไม่รู้ว่าท่านย่ามีสหายสนิทผู้นี้ด้วย
จนเมื่อได้ข้อมูลมา ก็ยิ่งทำให้ตรัสตะลึงงัน
ข้อมูลของอิษวัต ขัดแย้งกับสิ่งที่รติบอกทุกคนในอหัสกร
รติ...ไม่ใช่พี่ชายคนโต
รุจี...ไม่ใช่น้องสาวคนกลาง
แล้วใหญ่...คือระพี...ไม่ใช่น้องชายคนเล็ก
สกุลบริบาลของรติเป็นที่รู้จักกันดีในเขตเล็กๆของเมืองทางใต้ เพราะเป็นสำนักยา ปู่ของรติเป็นหมอ บิดาก็เป็นหมอ ส่วนมารดาไม่ปรากฏ บิดาตายจากเมื่อตอนโรคระบาด เหลือเพียงปู่และสามพี่น้องซึ่งประกอบด้วย พี่สาวคนโต น้องชายคนกลาง และน้องสาวคนเล็ก
ไม่ปรากฏระพีในรายชื่อพี่น้อง
ข้อมูลจากอิษวัตระบุว่า คนในเขตนั้นรู้กันว่าระพีเป็นเหลนของปู่ของรติ ไม่ใช่หลาน
ระพีไม่ใช่ลูกของรติ แต่ระพีเป็นลูกของพี่สาวที่รติไม่เคยพูดถึงเลย
...รมณีย์...
รมณีย์ผู้นี้มีสามีหนึ่งคน แต่หลังให้กำเนิดบุตรชายไม่นาน ก็เสียชีวิตพร้อมสามีด้วยอุบัติเหตุขณะเดินทาง สกุลบริบาลจึงเลี้ยงดูระพีต่อมา เรื่องของระพีซึ่งเป็นหลานของรติและรุจี และเป็นเหลนของปู่ ไม่ใช่ความลับ ผู้คนในเขตนั้นรู้กันทั่ว
แต่...เมื่อมาถึงที่นี่ รติกลับบอกทุกคนในอหัสกรว่าระพีเป็นน้องชายคนเล็ก
เพราะอะไร
ปกปิดทำไม
“ตรัส...ห้องน้ำว่างแล้ว” เสียงของรติดังขึ้น ทำเอาคนที่กำลังจมอยู่กับการไตร่ตรองต้องเงยหน้ามอง
กระดาษม้วนหนาในมือนั้น ไม่ใช่สิ่งที่รติเคยเห็นมาก่อน แต่มันปรากฏในช่วงที่ตรัสถามถึงเบื้องหลังของรติ
คนมีเรื่องลับซุกซ่อนรู้สึกหายใจลำบาก รู้ดีว่าตรัสคงระแคะระคายบ้างแล้ว
อิษวัตเป็นทหาร จู่ๆก็มาที่นี่ หลังจากนั้นตรัสก็ถามถึงเรื่องราวปูมหลังของรติ
ไม่ต้องเป็นคนฉลาด ก็รู้ว่าอิษวัตมาที่นี่เพื่อนำเรื่องของรติมาบอกกล่าวให้ตรัสรับรู้
ตรัสรู้เรื่องใดบ้าง รติไม่รู้ แต่...บางเรื่อง รติก็รู้ดีว่าไม่อาจปกปิดได้อีกแล้ว
ฝ่ายสามียังมองเงียบ มือยังถือเอกสารไม่วาง ราวกับจะบอกว่าเวลานี้เขาเชื่อถือสิ่งที่อยู่ในมือมากเพียงใด และเรื่องที่อยู่ในนั้น ก็คือเรื่องของรติ
“เรื่องของข้า...ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญ...” รติเอ่ย แม้จะรู้แก่ใจว่าอีกฝ่ายคงไม่วางเรื่องของเขาเอาไว้ข้างหลังแล้วทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอีก
“เจ้าเป็นภรรยาของข้า เหตุใดจึงคิดว่าเรื่องของเจ้าไม่สำคัญ”
“มัน...ไม่มีอะไร”
“ไม่มีอะไรแล้วทำไมเล่าไม่ได้”
รติสูดลมหายใจลึก เม้มปากแน่น
“พี่สาวของข้า...เสียไปตั้งนานแล้ว ส่วนระพี...เป็นลูกของนาง ที่ข้าบอกว่าเป็นน้องของข้าแทนที่จะเป็นหลาน ก็...ข้าไม่อยากดูแก่นี่นา” พูดแล้วก็หัวเราะ ทว่าช่างเป็นเสียงหัวเราะแห้งแล้งเมื่อสายตาของตรัสยังคงนิ่งเรียบ ราวกับเรื่องที่รติกล่าว มิใช่เรื่องที่เขาอยากฟังแต่อย่างใด
เพราะเรื่องที่เขาอยากฟัง ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง
“พ่อของระพีคือใคร”
รติกลืนน้ำลายยากขึ้นมาทันที มองเจ้าของคำถามแล้วใจหาย พยายามสำรวจท่าทีของตรัสว่ารู้สึกนึกคิดเช่นไรกับเรื่องนี้ แต่...ตรัสนิ่งสงบ อ่านไม่ออก
“ท่าน...รู้แล้วหรือ”
ตรัสลุกขึ้นยืน เดินเข้ามาหาภรรยาอย่างเงียบๆ
“พี่เขยของเจ้า...พ่อของระพี...ไม่ใช่คนท้องถิ่นทางใต้ เขามีผิวขาว มีอายุ และพูดด้วยสำเนียงที่ไม่ใช่คนใต้...เขาเป็นคนตะวันออก”
รติหลับตาลง รู้สึกลมหายใจขาดห้วง แม้แต่แรกจะรู้ดีว่าเรื่องเช่นนี้ไม่อาจปิดเป็นความลับไปได้ตลอด รู้ดีว่าวันหนึ่งต้องเปิดเผย แต่ในวันที่เริ่มต้นปกปิด เขาไม่ได้คิดว่าอีกฝ่ายจะรู้ก่อนที่ตนจะบอก
เพราะตอนนั้น...โอหังคิดว่าตนเองคงไม่รู้สึกอะไร เพียงพา ‘มาส่ง’ แล้วรอดูท่าที หากเป็นไปด้วยดีจึงบอกความจริง เฝ้าดูระพีเติบโต หากทุกอย่างเป็นไปตามครรลอง แล้ว จึงค่อยจากไป
เพราะตอนนั้น...ไม่คิดว่าการอยู่ที่นี่จะมีความสุขจนล้มเลิกการจากลา และ...มีความสุขจนไม่กล้าบอกความจริง
พอตอนนี้...มีความสุขมาก ก็ยิ่งไม่อยากทำลายทุกอย่าง เก็บทั้งหมดเป็นความลับ จนกระทั่ง...วันนี้
วันนี้...สิ่งที่เป็นความลับไม่อาจปกปิดได้อีกแล้ว สิ่งที่เป็นความลับ มาวันนี้มันเปิดเผยออกมาและทำร้ายความศรัทธาที่ตรัสมีต่อบิดาของตนเอง
“พ่อของระพี...คือพ่อของข้าใช่ไหม”
คำถามของตรัส เหมือนมีดที่กรีดลงกับหัวใจของคนถามและคนถูกถามไปในคราวเดียวกัน
มันไม่เพียงกรีดเพื่อควักเอาความจริงออกมาจากใจของรติ แต่ยังควักเอาหัวใจของรติออกมาด้วย
ไม่มีคำตอบจากภรรยา แต่ก็ราวกับเป็นคำตอบชัดแจ้งแล้ว
ตรัสถอนหายใจยาว หัวใจอื้ออึงและหนักหน่วงคล้ายคนจมน้ำ กระเสือกกระสน แต่หนีไม่พ้น ร่างดำดิ่ง อึดอัดจนแทบแหลกสลาย แต่...ทรมานยิ่งกว่าเพราะยังหายใจ ยังรับรู้
โดยเฉพาะเรื่องของบิดา ชายผู้ที่เขาเชื่อมั่นเสมอว่ามีแต่ท่านแม่อยู่เต็มหัวใจ ชายผู้ที่...หายสาบสูญ ไม่รู้เป็นตายร้ายดีอย่างไร หากโชคดีวันหนึ่งอาจได้พบกัน
แต่วันนี้...ทราบแล้ว
ชายผู้นั้นมีชีวิตอยู่อีกพักหนึ่ง ก่อนจะจากไป แต่ก่อนจากไปได้ทิ้งมรดกชิ้นหนึ่งให้รติพามายังอหัสกร
...ระพี...
ตรัสหลับตาลง แล้วพอหลับตา ภาพที่ปรากฏในหัวก็มีแต่เรื่องราวของตนเองและชายคนนั้น...ชายผู้ที่เขาเรียกว่าท่านพ่อ แต่อึดใจต่อมา ภาพในหัวก็เปลี่ยนเป็นใบหน้ากลมของเด็กชายวัยห้าปีที่รติแนะนำว่าเป็น ‘น้องชาย’
ทว่าแท้จริงแล้วไม่ใช่น้องชายของรติ แต่เป็นน้องชายของตรัสต่างหาก
น้องชายร่วมบิดา แต่...หาใช่มารดาเดียวกัน
บิดาของเขาไม่ได้มีเพียงมารดาผู้ล่วงลับ แต่ภายหลังหายสาบสูญได้ร่วมหอกับสตรีผู้หนึ่ง ซึ่งก็คือพี่สาวของรติ แล้วให้กำเนิดระพี แต่หลังจากระพีเกิดไม่นาน สองสามีภรรยาตายจาก ทิ้งระพีเอาไว้ให้ญาติพี่น้องฝั่งภรรยาดูแล
จนกระทั่งผู้ใหญ่คนเดียวในสกุลจากไปอีกคน รติจึงพารุจีและระพีมาที่นี่
ตรัสรู้สึกเหมือนความศรัทธาที่เคยมีต่อความรักของบิดาถูกทำลาย รู้สึกเหมือนตนเองเป็นคนโง่ไม่เคยสังเกตสักนิดว่าระพีหน้าตาคล้ายคลึงเขาเพียงใด ไม่เคย...สงสัยว่าเพราะอะไรถึงเอ็นดูระพีมากกว่าใคร
เพราะเป็นน้องร่วมสายเลือดครึ่งหนึ่ง
แต่แค่ครึ่งเดียว เพราะมารดาของระพีคือสตรีผู้ทำให้ความรักที่บิดามีต่อมารดาของเขาสั่นคลอน
ทว่า...ก็ไม่ใช่ความผิดของระพีไม่ใช่หรือ
แล้ว...ความผิดใคร
‘...มันคือโชคชะตา’ อิษวัตกล่าวเช่นนั้น ราวกับรู้ว่าสหายอย่างตรัสคงรู้สึกเหมือนสิ่งที่คิดเอาไว้พังทลาย บิดาผู้มีมารดาคนเดียว บิดาผู้รักมารดาจนวันสุดท้ายที่จากไป แต่แล้ว...ก็มีน้องชายต่างมารดาโผล่ขึ้นมา
ตรัสหมุนตัวหันหลังให้ภรรยา ด้วยไม่รู้จะจัดการความรู้สึกอึดอัดในอกอย่างไร ไม่เพียงแค่ความรู้สึกที่มีต่อน้องชายต่างมารดาที่ตนเอ็นดู ยังมีความรู้สึกที่มีต่อรติซึ่งถือเป็นน้องชายของสตรีผู้เข้ามาปันความรักของบิดาไปจากมารดาของตน แล้วยังมี...เรื่องที่รติปิดบังความจริงเหล่านี้เอาไว้ด้วย
“ตรัส...” เสียงเรียกดังขึ้นจากเบื้องหลัง ความอึดอัดในใจของตรัสตีรวนจนรู้สึกราวกับอกจะระเบิด
“...ข้าไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ท่านรู้สึกไม่ดี แต่...ข้าไม่คิดว่าการมาที่นี่แล้วบอกท่านว่าระพีเป็นน้องต่างมารดาของท่านจะเป็นเรื่องดี...”
“...ข้าไม่อยากให้ท่านเกลียดระพี อยากให้ท่านเอ็นดูเขา อยากให้เขาได้อยู่ใกล้ชิดกับพี่ชายของเขา”
คราวนี้ตรัสยอมหันกลับมามอง
“เจ้าก็เลยโกหก?”
“...ใช่”
“ถ้าข้าไม่รู้ด้วยตนเอง เจ้าจะบอกข้าเมื่อไรว่าเขาเป็นน้องของข้า”
รติเงียบ ได้แต่เม้มปาก ไม่กล้าเอ่ยว่าเขาไม่คิดจะบอกความจริงด้วยซ้ำ ทั้งที่เดิมทีมาที่นี่เพื่อให้ระพีได้ใกล้ชิดกับสกุลอหัสกร หากเกิดอะไรขึ้น อย่างน้อยก็มีสกุลนี้ให้พึ่งพาอาศัย แต่เมื่อถึงเวลานี้ที่รติมีความสุขกับการอยู่ที่นี่ ได้อยู่ใกล้ชิดกับตรัส กลับเป็นฝ่ายตนเองที่ลืมความตั้งใจเดิม ไม่กล้าบอกความจริง ได้แต่หลอกลวงผ่านไปวันๆ
...เห็นแก่ตัว...
“ข้าขอโทษ...”
“เจ้าไม่คิดจะบอกข้า”
“เดิมทีคิด...แต่...”
“แต่อะไร”
“แต่ตอนนี้...ข้ากลัวท่านโกรธ”
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร ที่รติเอาใจใส่กับความชอบ ความไม่ชอบ ความพอใจ ความไม่พอใจของสามี จนกลายเป็นระมัดระวังไม่อยากทำให้ขุ่นเคือง แม้กระทั่งเรื่องบอกความจริง
ใบหน้าของรติเศร้าสลด ความหวาดหวั่นปรากฏชัดจนไม่กล้าแม้แต่จะสบตาเขา เห็นเพียงเท่านั้น หัวใจของตรัสก็อ่อนยวบ
ใจหนอใจ...เป็นถึงผู้นำสกุลแท้ๆ แต่หัวใจกลับไหวเอนต่อภรรยาง่ายดายถึงเพียงนี้
ตรัสก้าวเข้าไปหาช้าๆ รั้งกายอีกฝ่ายเข้ามาแนบอก รติไม่กล้าแม้แต่จะกอดตอบ แค่อาการเกร็งขึงไม่กล้าแตะต้อง ตรัสก็สะท้อนไปทั้งหัวใจ รติขี้หนาว ก่อนหน้านี้หากเขาโอบกอด อีกฝ่ายก็มักจะซุกเข้าหาเสมอ แต่คราวนี้...ไม่
“รติ...” แค่เพียงเรียกชื่อ ก็ราวกับความอึดอัดที่เก็บเอาไว้ พังทลาย ร่างที่เกร็งเครียดในอ้อมแขนของตรัสกลายเป็นสั่นสะท้าน ใบหน้าที่ก้มต่ำเงยขึ้น ดวงตากลมชุ่มไปด้วยหยาดน้ำและประกายของความรู้สึกผิด
“ข้าขอโทษ ตรัส ข้าขอโทษ”
“ร้องไห้ทำไม” แค่เห็นน้ำตา ตรัสก็ยิ่งใจหาย คำถามของเขาแผ่วหวิว
รติเหมือนเพิ่งรู้สึกตัว รีบยกแขนเสื้อขึ้นเช็ด เขาไม่ใช่คนอ่อนไหว แม้แต่เรื่องหนักหนาเพียงใดเขาก็ไม่เคยร้องไห้ แต่พอเป็นความรู้สึกผิดที่มีต่อตรัส กลับทำให้ทนไม่ได้
ฝ่ายสามีเห็นคนตรงหน้าก้มหน้าก้มตาเช็ดน้ำตาก็ประคองใบหน้าขึ้นมา ดวงตาของรติยังเอ่อคลอด้วยน้ำตา บอกให้รู้ว่าแม้จะเพียรพยายามเพียงใด กลับไม่อาจหยุดน้ำใสๆเหล่านั้นได้เลย
“ไม่ร้อง” เขาปลอบเสียงเบา ยิ่งทำให้รติรู้สึกกลั้นน้ำตาไม่อยู่เข้าไปอีก
“ขอโทษ...ข้าขอโทษ...”
ไม่รู้ขอโทษเรื่องใด ระหว่างที่ทำให้ตรัสรู้สึกไม่ดี กับเรื่องที่ไม่อาจหยุดน้ำตาได้ แต่ไม่ว่าจะเรื่องใด ตรัสก็ไม่ต้องการเห็นหยาดน้ำเหล่านั้นอีกแล้ว
เขาจับสองมือของภรรยาที่ปาดน้ำตาลวกๆนั่นออก แล้วเป็นฝ่ายก้มหน้าลงหา แนบริมฝีปากลงกับกลีบปากซีดนั่นแทน
รสจูบของตรัสร้อนผะผ่าว ไม่ได้อ่อนโยนเหมือนปลอบประโลมการร้องไห้ แต่ก็ไม่ดุเดือดราวกับต้องการลงโทษ ตรงกันข้าม มันกลับหนักแน่นเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ต้องการประคับประคองหัวใจของภรรยา
ภรรยาที่แม้จะหลอกลวง
ภรรยาที่แม้จะปกปิดเรื่องราวมากมาย
เป็นภรรยาที่ทำเรื่องผิด แต่ตรัสอยากให้อภัย
เพราะภรรยาผู้นี้คือภรรยาที่ตรัสรักสุดหัวใจ
รติรู้สึกเหมือนชั่วขณะหนึ่งแผ่นดินที่เขาเหยียบยืนนั้นพังทลาย แต่ตรัสก็ยังโอบอุ้มเขาเอาไว้ แม้ไม่ใช่การโอบประคองอย่างอ่อนโยน เพราะการกระทำของเขาหาใช่เรื่องถูกต้อง แต่...ตรัสก็ยังกอดเขา
คนเช่นนี้
สามีเช่นนี้
จะไม่ให้รติรักและปรารถนาให้มีแต่ความสุขได้อย่างไร
จุมพิตยาวนาน ทั้งหนักหน่วงและดื่มด่ำ ชักนำอารมณ์ของสองสามีภรรยาให้เบียดกายเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว ต่างฝ่ายต่างเรียกร้องกันและกัน ช่วยกันปลดเปลื้องอาภรณ์จนเหลือแต่เนื้อตัวเปล่าเปลือยให้ได้สัมผัสกันแนบชิด
ตั่งยาวในส่วนทำงานถูกใช้เป็นพื้นที่สำหรับคู่สามีภรรยา ก่อนจะย้ายเข้าไปทำให้เตียงลุกไหม้ด้วยไฟแห่งความโหยหาที่ร้างลาไปนาน
ค่ำคืนนี้ ในเรือนพักผ่อนของสองสามีภรรยา เสียงครางเครือแตกต่างจากครั้งก่อนๆไปเล็กน้อย
มันฟังแล้วคล้ายเจ็บปวดด้วยความรู้สึกผิด แต่กระนั้นก็ยังพร่ำเรียกชื่อหา แทรกด้วยประโยคขอโทษที่แสนสั่นเครือ แม้ไม่มีคำพูดว่าให้อภัย แต่การกระทำล้วนบอกชัดว่ารู้สึกเช่นไร
อ้อมแขนของตรัสกอดรัดแนบแน่น ริมฝีปากของตรัสวนเวียนจูบซับหยาดน้ำตาหยดแล้วหยดเล่า ฝ่ามือลูบหลังลูบไหล่โอบประคองร่างที่สั่นสะท้านให้หายหวาดหวั่น
หากการปกปิดและโกหกคือความผิดที่รติก่อ
หากความเสียใจของรติคือบทลงโทษแล้ว
ตรัสก็ไม่ต้องการเห็นน้ำตาของภรรยาอีก
ชายหนุ่มประคองใบหน้าที่ยังชื้นด้วยหยาดน้ำตา แล้วก้มลงมอบจุมพิตแห่งความรู้สึกอีกครั้ง
ถ้าการให้อภัยจะทำให้เขาได้ภรรยาคนเดิมกลับมา เขาก็ยินดี
---------
#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต
ธ ม น
THAMON926
---------
ทำไมแต่ละตอนมันยาวขึ้นๆก็ไม่รู้ค่ะ คอนเซ็ปต์คือตอนสั้นๆคั่นเวลานะคะ ฮ่าฮ่า
มีคนเดาถูกด้วย ขอบคุณที่ร่วมเดาสนุกๆไปด้วยกันค่ะ (ตบมือๆ)
ขอบคุณทุกการอ่านเสมอมาเลยค่ะ