---------(ครึ่งหลัง)--------
“หมอก เย็นนี้ฉันรบกวนอะไรหน่อยสิ”
ธีรเชษฐ์เอ่ยรั้งตัวมธุวันไว้ก่อนที่ร่างโปร่งจะได้เดินออกไปจากห้อง เลขาหนุ่มยืนนิ่งรอฟังคำสั่งทั้งที่ในใจรู้สึกว่าหมู่นี้การ
‘รบกวน’แต่ละครั้งของธีรเชษฐ์มักจะทำให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเสมอ
หวังว่าครั้งนี้จะไม่ใช่อะไรที่เกี่ยวกับเมฆานะ...
“มีอะไรเหรอครับ?”
“เจ้าซันจะกลับมาก่อนกำหนดน่ะ เย็นนี้วานเธอช่วยไปรับที่สนามบินได้มั้ย?” ธีรเชษฐ์ถาม มธุวันไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายเป็นอะไรนักหนากับการใช้เขาไปรับลูกที่สนามบิน แต่ครั้งนี้เขาไม่เห็นว่าจะเป็นเรื่องใหญ่อะไร ร่างโปร่งจึงยอมตกลงแต่โดยดี ก่อนจะนึกขึ้นได้ถึงภาระอีกอย่างที่ถูกยัดเยียดให้โดยเจ้านายตัวดีเช่นกัน
“แล้วคุณเมฆ...”
“ฉันจะไปด้วย”
เสียงของเจ้าของชื่อดังขึ้นจากด้านหลัง มธุวันกลอกตาอน่างเหลืออด ทั้งที่อุตส่าห์คิดว่าจะหลบหน้าคนคนนี้ได้ทั้งวันแล้วแท้ๆ
“ถ้าอย่างนั้นก็ฝากลูกชายฉันด้วยนะหมอก พากลับมาบ้านทั้งสองคนนั่นแหละ”
ธีรเชษฐ์ยิ้ม ซึ่งลูกน้องอย่างเขาก็ทำได้เพียงพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินออกจากห้องไปโดยไม่สนใจว่ารองประะานหนุ่มที่ยืนอยู่หน้าประตูเมื่อครู่จะตามมาหรือไม่
ตลอดทางจากบริษัทมาถึงสนามบินถูกปกคลุมด้วยความเงียบ บางครั้งมธุวันต้องแอบเช็คผ่านกระจกมองหลังว่าอีกฝ่ายไม่ได้เผลอหลับไป แต่เมฆาเพียงแต่นั่งกอดอกไขว้ขาจ้องเขม็งตรงมาข้างหน้าจนดูราวกับชายหนุ่มจงใจจ้องมาที่เขาอย่างไรอย่างนั้น
เมื่อมาถึงสนามบิน มธุวันเดินนำเมฆามายังจุดรอรับผู้โดยสาร วันนี้เป็นอีกหนึ่งวันที่ผู้คนพลุกพล่านจนเขาแทบมองไม่ออกว่าใครเป็นใคร มธุวันเคยเห็นรูปถ่ายล่าสุดของทินกร ลูกชายคนสุดท้องของธีรเชษฐ์ตอนมัธยมต้นก่อนที่เด็กชายจะย้ายไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกากับญาติฝ่ายพ่อที่มีบริษัทอยู่ที่นั่นหลังจากมารดาเสียชีวิตได้ไม่นาน ทินกรเป็นเด็กตัวเล็ก ถึงแม้จะมีเส้นผมสีดำสนิทและดวงตาสีควันบุหรี่เช่นเดียวกับพี่ชายคนโตและบิดา แต่รูปร่างบอบบางของเด็กน้อยทำให้เขานึกถึงธารธารา ลูกชายคนกลางที่ตัดขาดกับบิดามาสามปีแล้ว
ไม่รู้ว่าตอนนี้จะหน้าตาจะเป็นยังไง
ไม่ต้องรอให้เขาสงสัยนาน ร่างสูงในชูดโอเวอร์โค้ทตัวยาวสีน้ำตาลอ่อนเดินลากกระเป๋าเดินทางใบเขื่องออกมาจากจุดรับกระเป๋า มธุวันมองภาพตรงหน้าอย่างตกตะลึง เขารับรู้ได้ว่าร่างกายของตัวเองสั่นเทิ้มแต่ไม่สามารถควบคุมได้ ร่างโปร่งได้แต่ภาวนาว่าคนข้างๆจะไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงนี้
ต่างจากเมฆาในปัจจุบันที่ตัวสูงขึ้น รูปร่างและหน้าตาคมเข้มขึ้นตามการเวลา คนที่กำลังเดินตรงมาทางพวกเขาดูราวกับหลุดออกมาจากรูปถ่ายในอัลบั้มที่ถูกปิดผนึกไว้ของเขา มธุวันไม่อยากเชื่อว่าจะมีคนที่เหมือนเมฆาได้มากกว่าเมฆาตัวจริง
ไม่สิ...
ต้องบอกทินกรไม่ได้เหมือนเมฆา
แต่เหมือนกับ ‘เมฆ’ ของเขามากกว่าร่างสูงโบกมือให้พวกเขาอย่างกระตือรือร้น รอยยิ้มที่ประทับบนริมฝีปากได้รูปเหมือนกับรอยยิ้มที่เขาเคยเป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียวไม่มีผิดเพี้ยน ถึงแม้เขาจะไม่ได้เห็นมันบ่อยๆก็ตาม
รอยยิ้มที่ดูราวกับแสงอาทิตย์อันเจิดจ้า
สมกับชื่อทินกรจริงๆ
“ขอโทษนะครับ รอนานมั้ย พอดีผมกระเป๋าช้าไปหน่อย เอ่อ...พี่...เลขาคุณพ่อใช่มั้ยครับ?” คนมาใหม่ยกมือไหว้พวกเขาทั้งสองอย่างขอโทษขอโพย การเรียงประโยคแปลกๆที่ดูจะเป็นเรื่องปกติของทินกรตั้งแต่สมัยเด็กเพราะเรียนนานาชาติมาโดยตลอดทำให้อีกฝ่ายยิ่งดูน่าเอ็นดูในสายตาผู้ใหญ่อย่างเขา มธุวันลอบกลืนน้ำลาย ภาวนาให้เสียงของตัวเองไม่สั่นเท่าที่กำลังรู้สึกในตอนนี้
“หมอก...” ก่อนจะได้ห้ามตัวเอง รอยยิ้มจางๆก็ปรากฎขึ้นที่มุมปากของเขาเสียแล้ว “พี่ชื่อหมอก..”
“พี่หมอก? โห ชื่อเข้ากับผมเลย อยู่บนท้องฟ้าเหมือนกัน ผมชื่อซันนะ” เด็กหนุ่มแนะนำตัว เท่าที่จำได้ดูเหมือนร่างสูงจะอายุสิบแปดในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ แต่สอบเทียบจนเรียนจบมหาวิทยาลัยที่อเมริกาเรียบร้อยแล้ว
“จะจ้องหน้ากันอีกนานมั้ย กลับได้แล้ว” เมฆาซึ่งถูกเขาลืมไปชั่วขณะเอ่ยขึ้นอย่างหงุดหงิด คว้ากระเป๋าลากของน้องชายเป็นเชิงให้ทั้งสองรีบออกไปจากที่นี่เสียที มธุวันพยักหน้า ก้าวตามร่างสูงที่เดินนำไปก่อนทว่าอาการช็อคเมื่อครู่ทำให้เขารู้สึกเข่าอ่อน แต่ก่อนที่จะได้ลงไปจับกบกับพื้น ท่อนแขนแกร่งก็คว้าเอวเขาเอาไว้เสียก่อน
“ไม่เป็นไรใช่มั้ยครับพี่หมอก”
มธุวันเงยหน้ามองเจ้าของอ้อมกอดราวกับตกอยู่ในภวังค์ คิ้วเข้มขมวดมุ่นอย่างเป็นห่วง มธุวันเกือบลืมไปแล้วว่าอ้อมแขนแกร่งที่ตระกองกอดเขาไว้ราวกับเป็นสิ่งล้ำค่าที่สุดในโลกรู้สึกเช่นไร
“มานี่” ก่อนที่เขาจะถูกกระชากกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงด้วยน้ำมือของคนที่พรากอ้อมกอดนั้นไปจากเขาในอดีต เมฆาจับต้นแขนของเขาไว้แน่นราวกับกรงเล็บของเหยี่ยวตะครุบเหยื่อ มธุวันพยายามสะบัดแบบที่ไม่เรียกความสนใจของคนรอบข้างแต่ก็ยังไม่หลุด ร่างสูงฉุดกระชากเขาให้มาเดินข้างกาย ทิ้งกระเป๋าไว้ให้น้องชายคนสุดท้องที่ดูสับสนกับสถานการณ์ลากตามมา
“คุณเมฆา ปล่อยครับ ผมเดินเองได้” ร่างโปร่งพยายามบิดแขนออกจากการเกาะกุม
“ถ้ายังไม่หยุดโวยวายฉันจะจับนายอุ้มพาดบ่าเดินออกจากที่นี่” ร่างสูงขู่เสียงเย็น แววตาเอาเรื่องของอีกฝ่ายทำให้มธุวันรู้ว่าชายหนุ่มเอาจริง จึงได้แต่ปิดปากเงียบ พยายามก้าวตามขายาวๆของรองประธานบริษัท เมื่อมาถึงที่รถร่างสูงหันกลับไปสั่งน้องชาย
“เข้าไปนั่งข้างหลัง”
“เอ๊ะ แต่พี่หมอกไม่สบายอยู่นะครับ พี่เมฆก็ขับรถไม่ได้ ให้ผมขับ...”
“ไป-นั่ง-ข้าง-หลัง” น้ำเสียงเย็นเยียบชัดถ้อยชัดคำทำให้ร่างสูงกระโดดแผล็วเข้าไปในรถทันที “อุดหูไว้”
“ฮะ? พี่เมฆ ผมไม่ใช่เด็กๆ...”
“ถ้าไม่อุดพี่จะเอาของหวานที่ป้าแต้วทำไปเทให้แมวข้างบ้านกิน”
เด็กหนุ่มรีบปิดประตูแล้วเอานิ้วอุดหูแต่โดยดี เมฆาหันกลับมาที่ตัวปัญหาที่ถูกเขายึดข้อมือไว้มั่น มธุวันจ้องหน้าอีกฝ่ายตอบอย่างไม่ยอมแพ้ จะเอาเรื่องอะไรเขาอีก?
“แค่พ่อฉันยังไม่พอใจ จะจับน้องฉันด้วย? นี่คิดจะรวบหัวรวบหางหมดตระกูลเลยรึไง?”
ร่างโปร่งถอนหายใจ เขาก็เข้าใจเรื่องที่อีกฝ่ายหวงพ่อหวงน้องเขาก็เข้าใจ แต่เขาก็ไม่ใช่คนที่จะอยู่เฉยๆให้อีกฝ่ายขู่อยู่ฝ่ายเดียวเหมือนนางเอกในละครหรอกนะ
“ผมมีมือมีเท้า ทำงานหาเงินเองได้ ไม่จำเป็นต้องขอส่วนบุญพวกคุณ ปล่อย” มธุวันสะบัดมือออก คราวนี้เมฆาไม่ทันระวังจึงสะบัดหลุดอย่างง่ายดาย ร่างโปร่งพยายามจะกลับเข้าไปในรถแต่ถึงอีกฝ่ายรั้งไว้อีกครั้ง
“แล้วเมื่อเช้ามันคืออะไร?”
“ผมไม่จำเป็นต้องอธิบาย” เลขาหนุ่มตอบเสียงเรียบ ถึงเขาพูดไปอีกฝ่ายก็คงไม่ฟัง คนอย่างเมฆาถ้าปักใจเชื่อสิ่งใดแล้ว ยากที่จะลบความเชื่อนั้นออกจากใจ “ปล่อยได้แล้วครับ หรือว่าอยากจะให้น้องชายคุณต้องกังวลใจไปมากกว่านี้”
เมฆาหันไปมองน้องชายคนสุดท้องที่อุดหูอย่างว่าง่ายตามคำสั่ง แต่กลับแนบใบหน้าชิดกระจกจนใบหน้าบู้บี้ มธุวันอยากจะหัวเราะกับภาพนั้น แต่ไม่ต้องการให้คนพี่ที่จ้องจะกินหัวเขาทุกลมหายใจโมโหขึ้นมาอีก
‘ถ้าเมฆเป็นไฟ หมอกจะเป็นน้ำ’
หมอกพยายามทำตามทุกคำสัญญา
แต่เมฆทำให้มันยากเหลือเกิน...
“ไปกันเถอะครับ ท่านประธานรออยู่” ร่างโปร่งย้ำเสียงเรียบ ดึงข้อมือออกจากการเกาะกุม แล้วเปิดประตูเข้าไปในที่นั่งคนขับ เมฆาเปิดประตูรถด้านหลังแล้วเข้าไปนั่ง ทินกรมองที่ว่างข้างคนขับอย่างสับสน แต่ก็ไม่กล้าขอย้ายตัวเองไปนั่งด้านหน้า จึงได้แต่นั่งเกร็งข้างๆพี่ชายคนโตอยู่อย่างนั้น
รถของร่างโปร่งเลี้ยวเข้ามาในคฤหาสน์หลังงามของตระกูลทรัพย์ดำรง บรรดาคนรับใช้และคนสวนของบ้านที่ได้ยินว่าคุณหนูเล็กจะกลับมาและคุณชายใหญ่จะมาทานอาหารค่ำวันนี้ยืนออรอรับราวกับแฟนคลับรอดาราที่สนามบิน มธุวันจอดรถของตัวเองหน้าประตูคฤหาสน์
“มาซะทีนะเจ้าซัน”
“พ่อคร้าบบบบ”
เสียงของธีรเชษฐ์ดังขึ้นก่อนที่เจ้าตัวในชุดลำลองเสื้อคอวีสีเทากับกางเกงยีนส์ขายาวกระชากวัยจะเดินออกมารับ เด็กหนุ่มที่สูงร้อยแปดสิบกว่าๆกระโดดกอดบิดาที่สูงร้อยเก้าสิบกว่าพร้อมยิ้มกว้าง แต่คนเป็นพ่อนี่แทบหงายหลังล้มตึง
“เอ้าๆ ไม่ได้ตัวเล็กๆเหมือนแต่ก่อนแล้วนะ เดี๋ยวพ่อก็หลังหักหรอก”ร่างสูงดุลูกชาย ทั้งที่แต่ก่อนเป็นเด็กเงียบๆแท้ๆ ไปอยู่โน่นกินดวงอาทิตย์เป็นข้าวเช้ารึไงกัน
“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวกลับก่อนนะครับ” มธุวันเอ่ยขอตัว ไม่อยากเป็นคนนอกในเวลาครอบครัวของคนอื่น
“อยู่กินข้าวด้วยกันก่อนสิ ป้าแต้วทำอาหารไว้เยอะเลย” ธีรเชษฐ์ชวน ทินกรที่อยู่ข้างๆรีบพยักหน้าเห็นด้วย
“นะครับพี่หมอก ไหนๆก็มาแล้ว”
เมื่อเจอคอมโบสายตาออดอ้อน มธุวันจึงทำได้เพียงกลอกตาเซ็งๆแล้วเลยตามเลย เนื่องจากอาหารยังไม่เสร็จดี ธีรเชษฐ์จึงขอให้เขาไปช่วยเรื่องเอกสารบนห้อง ถึงแม้ร่างโปร่งจะไม่มั่นใจว่าเอกสารที่ว่าคือตัวไหนเพราะเขาทำเสร็จหมดแล้วก็ตาม
“ไหนครับเอกสาร”
เลขาหนุ่มถามเมื่อตามร่างสูงมาถึงห้องทำงาน ธีรเชษฐ์รีบล็อคห้องทันทีที่พวกเขาอยู่ด้วยกันตามลำพัง ก่อนจะกวักมือเรียกเขาให้มานั่งที่โซฟาตัวยาวด้วยกัน
“เป็นไง? ชอบคนไหนมากกว่ากัน?”
“ชอบ..คือ?” มธุวันมีสีหน้าสับสน เขาไม่เข้าใจว่าชายหนุ่มพูดถึงอะไร
“ก็เจ้าเมฆกับเจ้าซันไง? ชอบคนไหนมากกว่า?” ร่างสูงถามอีกครั้ง ท่าทางคาดหวังคำตอบจากเขาถึงขีดสุด
“ผม...ไม่เข้าใจ”มธุวันมีสีหน้าสับสน
“นี่หมอก เธอคงไม่คิดว่าฉันส่งเธอไปรับเมฆเพราะวันนั้นฉันหาคนขับรถไม่ได้จริงๆหรอกนะ”ธีรเชษฐ์เลิกคิ้ว ภาพเหตุการณ์ที่อีกฝ่ายผลักไสเขาให้ทำงานกับเมฆาอยู่บ่อยๆเริ่มสมเหตุสมผล ทั้งเรื่องที่ให้เขาไปรับทินกรวันนี้ทั้งที่คนรับใช้ทั้งบ้านอยู่กันครบอีก
“คุณทำแบบนี้ทำไม”ร่างโปร่งถามอย่างโกรธเคือง ไม่อยากเชื่อว่าอีกฝ่ายจะเล่นอะไรพิเรนทร์แบบนี้
“ก็ฉันเห็นเธอเครียดอยู่ตลอดเวลา เลยคิดว่าถ้าเธอมีคนดูแล เธออาจจะมีความสุขขึ้น”
ร่างสูงแก้ตัวเสียงอ่อย “อีกอย่าง...ฉันก็แค่อยากให้เธอเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว”
คนบ้านนี้นี่มันยังไงกัน ทำอะไรเคยคิดถึงใจคนอื่นบ้างมั้ยเนี่ย?
“เลยประเคนลูกชายมาให้ผมเลือก?”ร่างโปร่งกอดอกอย่างไม่พอใจ เจ้านายของเขาพยักหน้าหงอๆ มธุวันยกมือขึ้นนวดหว่างคิ้วที่ปวดตุบก่อนจะลุกขึ้น นึกสงสัยว่าที่ตัวเองพยายามปิดบังความสัมพันธ์ของตนกับเมฆามาตลอดสี่ปีเพื่ออะไร
“ผมจะพูดแค่ครั้งเดียว และบทสนทนาครั้งนี้จะจบในห้องนี้” ร่างโปร่งว่า “ผมไม่ชอบเด็ก และคุณทินกรก็ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ผมยังไม่สนใจเข้าไปหาข้าวฟรีกินในคุก”
“เรื่องแค่นี้เอ....” เลขาหนุ่มยกมือห้ามไม่ให้เจ้านายพูดอะไรให้เขาปวดหัวไปมากกว่านี้
“ส่วนคุณเมฆา แค่หน้าเขาผมยังไม่อยากจะมอง ที่ผมทนทำงานร่วมกับเขาอยู่ทุกวันนี้ เพราะว่าผมเห็นแก่คุณ” มธุวันจับลูกบิดประตูพร้อมเอ่ยทิ้งท้าย “เพราะฉะนั้นเรื่องของผมกับเขา..มันเป็นไปไม่ได้หรอกครับ”
ความสัมพันธ์ที่รู้ตอนจบอยู่แล้ว ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะเริ่มมันขึ้นมา“พี่หมอก...” ยังไม่ทันจะได้ก้าวลงบันได ลูกชายคนเล็กของบ้านก็โผล่หัวออกมาจากห้องที่อยู่ข้างๆอย่างลับๆล่อๆแล้วกวักมือเรียกเขา มธุวันขมวดคิ้ว แต่ก็ยอมตามเด็กหนุ่มเข้าไปในห้องนั้นแต่โดยดี
“มีอะไรรึเปล่าครับคุณทินกร”
“เรียกซันเฉยๆก็ได้ครับ” เด็กหนุ่มยิ้ม “คือผมมีเรื่องอยากจะถามพี่หน่อยน่ะครับ”
“ครับ?” ร่างโปร่งยอมรับฟังถึงแม้จะยังปวดหัวกับคนพ่ออยู่
“ที่บริษัทมีพนักงานชื่อภรัณยูรึเปล่าครับ?”
ภรัณยู?
ร่างโปร่งหรี่ตาอย่างไม่ไว้ใจ ทำไมจู่ๆเด็กคนนี้ถึงได้ถามเรื่องรองหัวหน้าฝ่ายการตลาดของบริษัท
“ทำไมเหรอครับ?”
“คือ…”ร่างสูงเกาแก้ม ใบหน้าคมขึ้นสีเรื่อด้วยความเขิน “พี่เขา...น่ารักดี”
มธุวันได้ยินมาว่าภรัณยูต้องไปเสนองานด่วนที่ญี่ปุ่นวันนี้ อาจเป็นไปได้ว่าร่างสูงคงจะเจอกับอีกฝ่ายซักที่ในสนามบิน ร่างโปร่งไม่แน่ใจว่าควรจะช่วยคนตรงหน้าหรือไม่ เพราะถึงแม้เขาจะจำได้ว่าเขามีความสุขกับความรักของเมฆามากแค่ไหน เขาก็จำได้เช่นกันว่าสิ่งที่เมฆาทำกับเขามันเจ็บปวดเสียจนเขาไม่อยากให้คนอื่นต้องเผชิญสิ่งเดียวกัน และใบหน้าที่ถอดแบบมาจากพี่ชายคนโตของทินกรก็ไม่ได้ช่วยให้เรื่องดีขึ้น
แต่พอเห็นสีหน้ามีความหวังแบบนั้น...เขาก็ปฎิเสธไม่ลงเสียที
“แล้ว...อยากรู้เรื่องอะไรเหรอครับ?” ชายหนุ่มถาม ร่างสูงนิ่งคิด ก่อนจะตอบอย่างกระตือรือร้น
“ก็…พวกเบอร์โทร ที่อยู่ ของที่ชอบไม่ชอบอะไรพวกนี้แหละครับ พอจะได้มั้ยครับ”
“ของพวกนั้นเป็นข้อมูลของบริษัท พี่ไม่มีสิทธิ์บอกหรอกนะ”
เด็กหนุ่มคอตกอย่างเศร้าสลดทันทีที่ได้ยิน มธุวันถอนหายใจ ก่อนจะยอมบอกข้อมูลบางอย่างอย่างไม่เต็มใจนัก
“แต่เขาอยู่คอนโดเดียวกับพี่ เพราะงั้นถ้าพี่บอกที่อยู่คอนโดไว้เผื่อซันมาเที่ยว...ก็คงไม่ผิดใช่มั้ย?”
“ครับๆ ไม่ผิดครับ” เด็กหนุ่มตาลุกวาว รีบคว้าปากกากับกระดาษบนโต๊ะมาจดที่อยู่ของคอนโดของร่างโปร่งอย่างขะมักเขม้น มธุวันพอจะจับทางได้แล้วว่าผู้ชายบ้านนี้เป็นประเภทรุกแรง แต่ความกระตือรือร้นของร่างสูงทำให้เขาอดห่วงสวัสดิภาพของภรัณยูที่ขึ้นชื่อเรื่องความรู้สึกช้าที่สุดในบริษัทไม่ได้ จึงไม่ได้บอกหมายเลขห้องและเบอร์โทรศัพท์ของชายหนุ่มไป
ที่เหลือก็พึ่งดวงเอาแล้วกันนะซัน
“อาหารอร่อยมากเลยครับป้าแต้ว”
ทั้งโต๊ะอาหารที่เงียบสงัดมีเพียงเสียงของทินกรที่คุยเจื้อยแจ้วอยู่กับหัวหน้าแม่บ้านเป็นระยะ มธุวันที่นั่งตรงข้ามลูกชาย
คนดตของบ้านรู้สึกว่าความอยากอาหารของเขาหมดไปตั้งแต่ที่สนามบิน ร่างโปร่งได้แต่ทานตามมารยาทแล้วนั่งเฉยๆรอให้ทุกคนทานอาหารเสร็จเพื่อขอตัวกลับอีกครั้ง
“หมอก อิ่มแล้วเหรอ?” ธีรเชษฐ์ถามเลขา
“นั่นสิครับ เพิ่งทานไปนิดเดียวเอง” ทินกรเสริม ชี้ไปที่แกงเขียวหวานชามโตตรงหน้าเขา มธุวันส่ายหน้า
“ผมว่าผมกลับดีกว่า...”
“ชอบไม่ใช่เหรอ?” เสียงทุ้มจากคนเดียวที่ยังไม่พูดอะไรเลยตลอดมื้อดังขึ้น เรียกสายตาของคนทั้งโต๊ะให้หันไปทางเขาอย่างงุนงง รวมทั้งมธุวันที่หน้าซีดเผือดลงอย่างรวดเร็ว
“รู้ได้ไงว่าหมอกชอบแกงเขียวหวาน?” ธีรเชษฐ์ถามลูกชายคนโตอย่างแปลกใจ
“ผม…”เมฆามีสีหน้าสับสน ไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่าตนเป็นคนพูดประโยคนั่นออกไป “ผม..ไม่รู้..”
“ผมขอตัวก่อนนะครับ ลืมรดน้ำน้องเข็ม” มธุวันรีบลุกขึ้นจากโต๊ะอย่างร้อนรน ไม่สนใจแล้วว่าตัวเองจะดูน่าสงสัย ธีรเชษฐ์ตะโกนเรียกร่างโปร่งแต่อีกฝ่ายก้าวฉับๆหายไปจากห้องอาหารแล้ว เจ้าของบ้านตั้งท่าจจะเดินตามอีกฝ่ายไป ทว่าเสียงร้องของลูกชายคนเล็กหยุดเขาไว้เสียก่อน
“พี่เมฆ!”
เมฆากุมขมับที่ปวดจี๊ดจนแทบจะระเบิด ทินกรรีบลุกมาดูอาการของพี่ชายเช่นเดียวกับธีรเชษฐ์
“ไหวมั้ยเมฆ?ไปโรงพยาบาลมั้ย?”
“ไม่เป็นไรครับ อาจจะใช้สายตามากไป แค่กินยานอนพักก็น่าจะหาย” ร่างสูงกัดฟันพูด สองพ่อลูกจึงช่วยกันพยุงลูกชายคนโตขึ้นไปที่ห้องนอนพร้อมทั้งหายาแก้ปวดมาให้
เมฆานอนมองเพดานสีขาวของห้องนอนที่ไม่ได้กลับมาเสียนานยาแก้ปวดเริ่มออกฤทธิ์ทำให้อาการปวดหัวสบายขึ้นมากโข ทว่าคราวนี้ภาพที่เขาเห็นเพียงเสี้ยววินาทีตอนที่ยังปวดอยู่ยังคงชัดติดตา
‘อร่อยจัง!’
เป็นภาพของมธุวันในชุดนักศึกษากำลังส่งยิ้มให้เขาพร้อมกับตักข้าวแกงเขียวหวานคำโตเข้าปาก
นี่เขามโนไปขั้นไหนแล้วเนี่ย?
“แฮ่ก...แฮ่ก...”
ร่างโปร่งหอบหายใจอย่างหนัก ทรุดตัวลงบนพื้นห้องทันทีที่ปิดประตูสนิท มือเรียวที่สั่นตลอดทางที่ขับรถกลับมายังคงสั่นระริก เช่นเดียวกับหัวใจที่เต้นระรัวราวกับจะหลุดออกมาจากอก
‘ป้าแต้วทำแกงเขียวหวานอร่อยมากเลยนะ หมอกลองชิมดู’
‘โห..หอมจังเลย’
‘เป็นไง?ชอบมั้ย?’
‘อร่อยจัง!’
ขอร้อง...ได้โปรด...
อย่าให้เมฆจำได้เลย...
หมอกยอมให้เมฆมองหมอกด้วยสายตาว่างเปล่าเพราะจำไม่ได้ ดีกว่าเพราะจำได้ว่าไม่ต้องการหมอกแล้ว...
------
ขุ่นน้องก็งานดี แต่สัยเจียขุ่นน้องเป็นของพี่ภัทรล้าว555555
นี่ยังเป็นตอนที่เชษฐ์ยังไม่เจอมีนใช่มั้ยเนี่ย
ถูกต้องแล้วค่าาาา
ปล. รักของแว่น ย้ายไปห้อง นิยายจบแล้ว แล้วนะคะ แต่ตอนพิเศษยังมาเรื่อยๆ+อดีตติณณ์เหนือ ฝากติดตามมมมมม