มาต่อกันเลยค่าาา
บทที่ 18ยินคำน้องร้องเรียกชื่อตน ร่างของสหเดชะก็ไปก่อนความคิด
เขากระโจนจากเชิงเทินลงไปเบื้องล่าง ไม่ยี่หระต่อเหล่ากุมภัณฑ์ซึ่งกำลังคว้าอาวุธมาถือมั่นในมือ ใบหน้าชาวนครเรียบตึง จ้องมองเจ้ามนุษย์ตัวจ้อยอย่างหมายมาด
เท้ากระแทกพื้นดิน ฝุ่นคลุ้งขึ้นมา สหเดชะยืดกายขึ้นยืนตรง ยามนี้เขาสง่าผ่าเผยยิ่งนัก ไม่ปรากฏแววยั่นระย่อในดวงตาเลยสักนิด จุดเดียวที่สายตาของเขาจับจ้องอยู่คือร่างเล็กๆ ของรวีพิรุณ
ฝ่ายรวีเอง ตั้งแต่น้ำตาหยาดลงตามแก้มเพราะเห็นว่าใครมาหาตน เขาก็สะบัดมือโดยแรง มือใหญ่ที่กำรวบลำคอของเขาไว้หลวมๆ ก็คลายออก ร่างรวีหล่นตุบลงไปกับพื้น
รวีวางเท้ากับพื้นได้มั่นคง ไม่เซล้มหรืออะไรทั้งนั้น ครั้นแล้วก็รีบวิ่งออกเท้าสุดแรงเกิด มุ่งตรงไปยังร่างสูงใหญ่ของท่านพี่สหเดชะทันที
ในขณะนี้เอง จตุรเศียรยืนมองด้วยใบหน้าเรียบเฉย ยกมือขึ้นกอดอก เมื่อเห็นทหารจะเข้าขวางรวีไว้ เขาก็ยกมือเป็นสัญญาณ เหล่าทหารใต้บัญชาต่างล่าถอยออกมา หลบเป็นทางโล่งให้รวีวิ่งไปอย่างสบาย
ชั่วอึดใจจากนั้น ร่างขาวๆ ของรวีพิรุณก็โผเข้าหาสหเดชะ ฝ่ายนั้นอ้าแขนออกโดยอัตโนมัติ เมื่อร่างน้องน้อยโผเข้ามา สหเดชะก็รวบกอดไว้ด้วยอ้อมแขนของตน
ร่างกรุ่นกลิ่นคุ้นเคยแนบชิดสนิทกัน สหเดชะใช้เวลาเพียงเสี้ยวในการสูดเอากลิ่นอันหอมจรุงของไม้ดอกซึ่งกรุ่นจากร่างของรวีพิรุณนี้
ภาพความชิดใกล้หลายฉากฉายอยู่ภายในสมองอันว่างเปล่าของสหเดชะ เขาเห็นรอยยิ้มของน้องซึ่งกำลังวิ่งเล่นท่ามกลางทุ่งดอกไม้และหญ้าเขียว เขาเห็นน้องล่องลอยกลางอากาศขณะเขาโอบอุ้มอีกฝ่ายขึ้นไปชมทัศนียภาพกลางหาวของพิทยานคร
บัดนี้เขาไม่ต้องใช้ความทรงจำใดๆ เพื่อเห็นหน้าน้องเจ้าแล้ว เพราะตอนนี้น้องอยู่ในอ้อมกอดเขา อ้อมกอดที่เขามั่นใจว่าจะสามารถปกป้องน้องไว้ได้ คราวนี้เขาจะไม่ให้ใครมาพรากน้องไปจากเขาได้อีกเด็ดขาด!
“ท่านพี่ ท่านพี่สหะ...” สำเนียงเสียงหวานเจื้อยแจ้วอยู่ข้างหู สหเดชะให้ซาบซ่านในอกยิ่งนัก ฝังจมูกลงกับกลุ่มผมนุ่มของน้องแล้วสูดดมกลิ่นอันคุ้นเคยอย่างโหยหา
สูดดมเพื่อให้แน่แก่ใจว่าพวกเขาทั้งสองอยู่ด้วยกันจริงๆ ไม่ใช่ภาพมายาหลอกตาใดๆ
“รวี...รวีของพี่”
สหเดชะโอบกอดราวกับจะให้ร่างสองร่างรวมเป็นหนึ่งเดียว เขาโอบกอดด้วยโหยหา โอบกอดด้วยหัวใจอันเอ่อล้นด้วยความรู้สึก
กระทั่งเสียงใสๆ เอ่ยประท้วงเล็กๆ “ทะ...ท่านพี่...”
สหเดชะจึงคลายกอด ดันให้น้องออกห่างเล็กน้อยเพื่อมองใบหน้ามอมแมมนั้น
“พี่อยู่นี่แล้ว พี่มาหาน้องแล้ว”
“ท่านพี่...ท่านพี่มีชีวิต...ท่านพี่มาหารวีแล้ว”
“ใช่...พี่มาหารวี พี่ไม่เป็นอะไรเด็ดขาด จะต้องมาหารวีให้ได้อยู่แล้ว”
ตาประสานตา สหเดชะก้มหน้าเอาหน้าผากแนบหน้าผากน้อง แตะริมฝีปากกับริมฝีปากของน้องเพียงเบาๆ รับรู้ถึงความนุ่มของริมฝีปากนั้น รับรู้ถึงความอบอุ่นแห่งชีวิตของอีกฝ่าย
...เท่านี้ก็ดีแล้ว
“เจ้ากล้ามากที่ลอบเข้าโลหะนคร”
เสียงกร้าวแกร่งดังขึ้นทำลายการแสดงความรักของสหเดชะกับรวีพิรุณ สหเดชะรีบดันน้องให้ไปหลบด้านหลังตน
จอมกุมภัณฑ์เดินเข้ามาหาช้าๆ บนใบหน้านั้นแม้เรียบเฉยทว่าก็ปรากฏแววแห่งความหงุดหงิดอยู่ไม่น้อย
จตุรเศียรหยุดอยู่ไม่ไกลนัก เขม้นมองมาทางนี้ด้วยสายตายากอธิบาย
“โลหะนครใช่จะเข้ามาแล้วออกไปได้โดยง่าย”
“เราเข้ามาได้ ก็ย่อมออกไปได้”
วาจายกตนข่มท่านอย่างใหญ่โตของสหเดชะนี้คล้ายจะทำให้ใบหน้าของจตุรเศียรเครียดเขม็งขึ้น
“วาจาใหญ่เกินตัวขนาดนี้ เจ้าจำครั้งก่อนที่เจอกันไม่ได้แล้วหรือ”
“อดีตเป็นเช่นไรเราไม่รู้ แต่ตอนนี้เราย่อมไม่เหมือนเมื่อก่อน”
“น่าสน”
จตุรเศียรเอ่ยเพียงเท่านั้น ก็วาดมือออกไป เกิดแสงวาบขึ้นครั้งหนึ่ง เมื่อแสงเลือนหายไป ในมือของเขาปรากฏดาบโลหะสีดำมะเมื่อมกำมั่น เขาปักมันไว้กับพื้นดิน
ทหารกุมภัณฑ์โดยรอบส่งเสียงพอใจ พร้อมใจกันถอยหลังเพื่อเว้นระยะห่างให้นายเหนือหัวอย่างรู้แกว
ทว่าเสียงใสของรวีพิรุณกลับเอ่ยขึ้นมาโดยเร็ว “ท่านจะทำอะไร!”
จตุรเศียรยกมือห้าม “เจ้าอย่ายุ่ง ถอยออกไป”
รวีพิรุณทำหน้ายุ่ง สหเดชะเอี้ยวไปมองหน้าน้อง ดวงตาของเขาเปล่งประกายสุกสว่าง เขาแย้มริมปากเป็นรอยยิ้มอบอุ่น
“ไม่ต้องห่วงพี่หรอก พี่ไม่แพ้เป็นครั้งที่สอง”
“แต่ท่านพี่...”
“เชื่อใจพี่”
สหเดชะกำมือรวีไว้แน่น บีบเบาๆ เป็นเชิงให้ความเชื่อมั่น
“น้องไปอยู่กับสหายพี่ก่อน...”
นกุลวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาใกล้ รวีมองมือที่กอบกุมกันไว้ มองใบหน้าซึ่งประดับด้วยยิ้มอบอุ่นของท่านพี่ รวีย้ำกับตนเองในใจ...ท่านพี่ไม่แพ้หรอก ก็ท่านพี่เก่งอย่างนี้เลย!
รวีก้าวถอยหลังไปยืนใกล้ๆ กับคนตัวใหญ่ๆ อีกคนที่เพิ่งวิ่งเข้ามายืนไม่ไกลนัก เขามองรวีแล้วยิ้มให้ ซึ่งรวีก็ยิ้มตอบกลับ เพราะรู้สึกได้ว่าคนผู้นี้มีแต่ความเป็นมิตรมอบให้
มิใช่ว่าสหเดชะจะไม่สงสัย ว่าระหว่างที่เขาฝึกวิชาอยู่กับพระอาจารย์นั้นมีอะไรเกิดขึ้นกับรวีพิรุณบ้าง พระอาจารย์บอกว่าน้องไม่อันตราย แต่เขาก็ยังเกรงว่าน้องอาจจะถูกทำทารุณกรรมอะไรบ้างหรือไม่
ต่อเมื่อมาสบหน้าน้องครั้งนี้แล้ว ก็มั่นใจได้ว่าน้องไม่ได้ถูกทำอันตรายอันใด ทว่า...ไฉนรวีคล้ายจะคุ้นเคยกับเจ้ากุมภัณฑ์ตนนี้ยิ่งนัก? น้องดูไม่เกรงกลัวฝ่ายนั้นสักนิด นี่ใช่กิริยาของคนที่ถูกลักพามาจะแสดงออกต่อคนที่ลักพามาหรือ?
เขาเก็บความสงสัยนี้ไว้ก่อน ก้าวออกไปอย่างมั่นใจ สะบัดมือออกไปก็ปรากฏพระขรรค์สีเงินส่งแสงสีเขียวเรือง เขากำไว้ในมือมั่น ยืนประจันหน้ากับจอมกุมภัณฑ์แห่งโลหะนครอย่างไม่กลัวเกรง
+++
“คราก่อนเจ้าพ่ายเราในดาบเดียว” จตุรเศียรเอ่ยขึ้นมา
เสียงของสหเดชะนิ่งทีเดียว เมื่อตอบกลับไป “คราวนี้ไม่แม้แต่ดาบเดียว...เพราะเราไม่แพ้”
“หึ”
จตุรเศียรไม่เคยเจอใครช่างวางโตเช่นนี้มาก่อน ตัวเป็นเพียงวิทยาธร...ไม่สิ...มีเพียงกลิ่นจางๆ ของวิทยาธรเท่านั้น ไม่ใช่ชนชาวฟ้าเสียด้วย ไฉนจึงกล้าปากเก่งต่อหน้าเขาเช่นนี้ จอมกุมภัณฑ์แค่นเสียงดูถูกแล้วเอ่ยออกมา “ข้าให้เจ้าเริ่มก่อน”
มาครั้งนี้สหเดชะไม่คิดโอ้เอ้ แม้ฝ่ายนั้นไม่ให้เขาเริ่มก่อน เขาก็คิดจะออกดาบแรกอยู่แล้ว ดังนั้นเพียงอึดใจต่อมาเขาก็พุ่งทะยานมากลางอากาศ พระขรรค์ขนานกับพื้นดิน หันคมเข้าหาฝ่ายนั้น
หะแรกจตุรเศียรคิดจะใช้แค่นิ้วเดียวหยุดอาวุธฝ่ายตรงข้าม แต่แล้วเขาก็สัมผัสถึงอะไรบางอย่าง
คนผู้นี้แปลกไปกว่าเก่า แม้ว่าไม่มีกลิ่นอายชาวฟ้า ทว่ากลับคล้ายมีรัศมีบางอย่างส่องออกมาจากร่างกายเพียงบางๆ ซ้ำเขาก็ยังสัมผัสได้ว่า...หากใช้นิ้วเดียวรับพระขรรค์นั้นไว้ละก็ นิ้วเดียวนั้นก็คงขาดจากมือเป็นแน่
ด้วยแรงกดดันมหาศาลที่พุ่งออกมาจากตัวของสหเดชะ บังคับให้จตุรเศียรต้องเปลี่ยนท่าตั้งรับ เขาจับเอาดาบโลหะถอนจากดิน กวัดอาวุธขึ้นมาด้านบนทันเวลาที่พระขรรค์ของสหเดชะฟาดมาพอดี
เคร้ง!
อาวุธจากสองฝ่ายปะทะกันโดยแรง เกิดแรงกดดันของตบะวิชากระจายออกโดยรอบ แรงกดดันนั้นมากมายจนทหารกุมภัณฑ์ที่ยืนล้อมอยู่ต้องใช้อาวุธปักกับดินไว้เพื่อยึดมิให้ตนกระเด็นออกไป รวีถูกแรงกดดันกระแทก ทว่ายังโชคดีที่มีนกุลช่วยจับไว้ จึงไม่ถูกแรงนั้นพัดไปไกล
จตุรเศียรหรี่ตา มองสหเดชะนิ่งเฉยอยู่ ขณะมือก็กำดาบโลหะแน่น ต้านกำลังของอีกฝ่ายไว้อย่างแข็งขัน
“ตบะของเจ้า...” จตุรเศียรเอ่ยพึมพำ
ประกายเขียววาบสว่างขึ้นในดวงตาของสหเดชะ พลันบัดนั้นพละกำลังมากมายก็ส่งผ่านมาสู่พระขรรค์ เขาขยับมือปาดพระขรรค์ที่ตรึงกำลังกับดาบโลหะนั้นออกไป เสียงเสียดสีของอาวุธสองชิ้นดังขึ้นระคายหูเป็นที่ยิ่ง แรงกดดันนั้นผลักให้จตุรเศียรต้องผงะออกไป
จอมยักษ์ถึงแก่ผงะหงาย แต่เขาก็ทรงตัวได้โดยไว
ความฉงนเคลือบอยู่กับสีหน้าของจอมยักษ์ แต่แล้วเขาก็ต้องกลับมาใส่ใจกับพระขรรค์วาววับที่ฟาดมาอย่างเร็ว
ภายในเวลาไม่กี่อึดใจ สหเดชะฟาดพระขรรค์คู่กายมาแล้วหลายสิบครั้ง ประกายไฟจากอาวุธทั้งสองกระจายออกในทุกครั้งที่ปะทะกัน
สหเดชะฟาดพระขรรค์เงินทั้งรวดเร็วและรุนแรง ทุกครั้งที่จตุรเศียรรับแรงฟาดคล้ายกับเท้าของเขาจะจมลงกับดินไปทีละน้อย
เจ้ามนุษย์นี้ไม่ธรรมดา
พอความคิดนี้โผล่ขึ้นมาในหัวของเขา จตุรเศียรก็เริ่มประหลาดใจ
ยกเว้นเทพไทบนชั้นฟ้าดาวดึงส์และสูงกว่า หรือเท้าจตุโลกบาลแล้ว เขาไม่เกรงใครทั้งนั้น ทว่าเจ้าคนนี้กลับทำให้เขาต้องตั้งรับเชียวหรือ
จตุรเศียรใช้โอกาสหนึ่งตวัดดาบโลหะฟาดกลับไปบ้าง ฝ่ายนั้นตั้งรับไว้ได้อย่างเหลือเชื่อ กระนั้นก็นับว่าได้ผล...เพราะเจ้ามนุษย์หนุ่มหยุดการโจมตีแล้วกลับไปยืนคุมเชิงอยู่ห่างออกไป
“ถือเสียว่าเราประมาทเจ้าไปมาก นับว่าคำพูดของเจ้าไม่ใหญ่เกินตัว”
จบคำพูดนั้น จอมยักษ์ก็ก้าวไปข้างหน้าในพริบตา บัดเดี๋ยวก็โผล่มาเบื้องหน้าสหเดชะ ฝ่ายนั้นเตรียมรับมือไว้อยู่แล้ว โดยฟาดพระขรรค์ลงมา ทว่าด้วยฝ่ายนี้โจมตีก่อน ดาบโลหะที่ฟาดออกไปแล้วจึงเต็มไปด้วยกำลังรุนแรง เสียงอาวุธสองชิ้นครานี้ปะทะกันดังเปรี้ยงราวกับเสียงฟ้าฟาด ผงคลีฟุ้งตลบ
เสียงฉึกดังขึ้นได้ยินชัดเจน
เมื่อฝุ่นผงจางลง สิ่งที่ผู้เฝ้าดูมองเห็นก็ทำให้เงียบงันกันไปหมด
ดาบโลหะสีดำสนิทปักติดกับพื้น
ทหารใต้บัญชาของจตุรเศียรเองไม่เคยนึกฝันว่าจะเห็นอาวุธหลุดจากหัตถ์ของพระอนุชา มาบัดนี้เห็นกะจะอยู่กับตาแล้วจะส่งเสียงประหลาดใจก็ไม่ได้ จึงได้แต่เงียบอยู่เช่นนั้น
ผงคลีที่จางลงเผยให้เห็นว่าเจ้ามนุษย์หนุ่มผู้นั้นฟาดศอกมาด้วยความรวดเร็ว ศอกของมันฟันเข้ากับใบหน้าของจอมยักษ์เสียงดังพลั่ก
จตุรเศียรหน้าหันไปกับแรงฟาดนั้น บัดเดี๋ยวใจต่อมาขณะที่เขากำลังงงงันอยู่นั้นเอง เจ้ามนุษย์นั่นก็แทงเข่าเข้ากับช่วงอกของเขาอย่างไม่ออมแรง
จตุรเศียรถึงแก่ตัวงอลงตรงนั้น
เขาไม่เข้าใจ
ในบางครั้งเขาเห็นร่างของมัน ทว่าในบางครั้งก็ราวกับว่ามันหายไปในอากาศเสียเฉยๆ
คล้ายกับว่า...เจ้ามนุษย์ผู้นี้เป็นส่วนหนึ่งของสิ่งต่างๆ โดยรอบ เขาจะจับก็ไม่ได้ จะโจมตีก็ไม่แน่ใจว่าจะโจมตีที่ใด เพราะบัดเดี๋ยวก็หายวับ บัดเดี๋ยวก็ลับไป
เขาเริ่มอารมณ์ขุ่นมัว ทีแรกตั้งใจจะสั่งสอนเจ้ามนุษย์อวดดีผู้นี้เสียหน่อย มาบัดนี้กลับต้องคิดใหม่เสียแล้ว
จตุรเศียรกางนิ้วทั้งห้าออก มีแสงสว่างเจิดจ้า ในมือของเขาปรากฏกระบองอันใหญ่เป็นสีทองอร่าม
ประกายวาบของพระขรรค์เงินฟาดมา ประกายกล้าของกระบองทองซัดกลับไป สองอาวุธวิเศษปะทะรุนแรงเสียงดังสะท้าน
สหเดชะปลิวออกมาเพราะฤทธิ์กระบองทองแห่งจอมยักษ์ ทว่าเขาก็ทรงตัวอยู่ได้อย่างดี เพียงแค่เท้าเขาแตะพื้นสหเดชะก็กระโดดเข้าไปหาอีกฝ่ายอีกครั้งโดยไม่หยุดพักหายใจสักนิด
กลิ่นอายเจ้ามนุษย์หายไปอีกแล้ว กระนั้นจตุรเศียรก็เห็นประกายวาบของพระขรรค์เงินนั้นพุ่งเข้ามาหา เขายกกระบองทองวิเศษขึ้นต้าน พระขรรค์เล่มนั้นไม่เพียงไม่กระเด็นออกไป มันยังส่งแรงกดดันมหาศาลออกมาทำให้เขาต้องเกร็งมือต้านรับไว้อย่างสุดแรง
จตุรเศียรไม่ใช่คนจำพวกแพ้แล้วพาล เพราะเขายังไม่แพ้ ดังนั้นแม้จะประหลาดใจว่าเจ้าคนคนนี้ฝึกปรือวิชาจนเก่งขึ้นขนาดนี้ได้ในเวลาไม่นาน ซ้ำยังมีชีวิตรอดมาได้อีกด้วยเล่า เขาก็ไม่ใส่ใจจุดนั้น เพียงแต่ความรู้สึกแปลกๆ คล้ายกับความ
รู้สึก...ชื่นชม...กลับค่อยๆ ปรากฏในใจของเขา
จตุรเศียรไม่ค่อยอยากยอมรับเท่าใดนัก
แต่สิ่งที่กำลังเผชิญอยู่ตรงหน้าก็ไม่อาจปฏิเสธได้
เขาออกแรงเพิ่มมากขึ้นอีก เพื่อจะปัดพระขรรค์ของฝ่ายนั้นให้กระเด็นไป ทว่าก่อนจะทำเช่นนั้นได้ จตุรเศียรก็ต้องเงยหน้าขึ้นมองด้านบนทันที เพราะพระขรรค์ที่จ่ออยู่กับกระบองของเขานั้นไม่มีเจ้าของของมัน
เจ้าของพระขรรค์มาปรากฏตัวอยู่เหนือร่างของจตุรเศียร
มือหนึ่งของจอมยักษ์จับกระบองไว้มั่น อีกมือกำเป็นหมัดซัดขึ้นไปด้านบนเพื่อฟาดกะโหลกของสหเดชะให้แตก
หมัดนี้เต็มไปด้วยตบะอันแก่กล้าของจตุรเศียร หากฟาดภูผา ภูผาก็พังภินทุ์ หากซัดกระแสสินธุ์ก็สาดกระจายกลายเป็นไอระเหยหมดสิ้น
ทว่าสิ่งที่รับหมัดของจอมยักษ์ไว้กลับเป็นเพียงฝ่ามือของสหเดชะ ฝ่ามือซึ่งปราศจากแรงกดดันใดๆ ทั้งสิ้น กระนั้น...ฝ่ามือนี้ก็ไม่แตกสลายหรือได้รับบาดเจ็บแม้สักน้อย ด้วยมีอำนาจบางอย่างซึ่งอ่อนโยนเป็นอย่างยิ่งแผ่กระจายออกมา
ชีวิต
จตุรเศียรสัมผัสถึงชีวิตและธรรมชาติโดยรอบ
พลันบัดนั้นเอง เขาก็รู้สึกถึงวัตถุบางอย่างเคลื่อนไหวด้วยความรวดเร็วอยู่รอบๆ แล้วโดยที่เขาไม่ทันป้องกันตัว ก็ถูกวัตถุนั้นรัดเข้ามาอย่างรุนแรง
จตุรเศียรทรุดไปนั่งกับพื้น ร่างกายนิ่งขึงจะขยับเขยื้อนก็ไม่ได้ เพราะบัดนี้ปรากฏว่าเขาถูกเถาวัลย์เส้นใหญ่เท่าแขนของมนุษย์ผู้ชายมัดไว้ทั่วร่าง
จอมยักษ์ถูกจองจำด้วยอำนาจแห่งธรรมชาติอันยิ่งใหญ่
“นี่อะไร”
เขาคำรามออกมา พยายามดิ้นรนให้พ้นจากพันธนาการ ทันใดนั้นเอง เถาวัลย์ที่พันอยู่รอบกายก็ขยายใหญ่ขึ้น ไม่นานกลับกลายเป็นกิ่งไม้ใหญ่โอบรัดเขาไว้แน่นหนาจนคล้ายกับจอมยักษ์จะกลายเป็นต้นไม้ต้นหนึ่งไปเสียแล้ว
ยิ่งขยับยิ่งขยายใหญ่หรือ!
จตุรเศียรห้ามตนเองไม่ได้ เขาเปิดยิ้มออกมา
ในใจก็โห่ร้องก้องกึก ไม่ได้สู้จนถึงขนาดนี้มานานแล้ว
อึดใจนั้นเอง เขาก็ใช้กำลังตบะของตนจนเกิดแสงสว่างรอบกาย ร่างกายของเขากำยำขึ้นกว่าเดิม ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไป เขี้ยวขาวโง้งค่อยงอกออกมาจากด้านใน เวลาผ่านไปเพียงชั่วเดี๋ยวเดียวเท่านั้น เสียงปริแตกก็ดัง แล้วกิ่งไม้ที่รัดแน่นก็ขาดสะบั้น หล่นลงกับพื้นกองระเนระนาด
บัดนี้ร่างที่ยืนอยู่ตรงนั้นคือจอมกุมภัณฑ์แห่งโลหะนคร ผู้เป็นพระอนุชาของสัตตพักตร์เจ้าเหนือหัว
พระอนุชาผู้มีนามว่า จตุรเศียร
เขายืนอยู่ตรงนั้นพร้อมรอยยิ้มแสยะบนใบหน้าของกุมภัณฑ์อันน่ากลัว
รอยยิ้มบนใบหน้าทั้งสี่ จากปากทั้งสี่
ปากแรกเอ่ยว่า “เราเชื่อว่าดับชีวิตเจ้าด้วยดาบเดียวนั้นแล้ว”
ปากสองเอ่ยต่อ “แต่เจ้าก็รอดชีวิตมา”
ปากสามเปล่งเสียงดัง “แม้คำพูดเจ้าใหญ่โต แต่เจ้าก็สู้กับเราได้”
ปากสี่กล่าวดังนี้ “เจ้าเด็กน้อยบอกว่าเจ้าจะมา เจ้าก็มาจริงๆ”
ปากทั้งสี่เอ่ยพร้อมกัน “เราขอชื่นชม”
+++
เจอกันตอนหน้าค่าาา