ตอนพิเศษ เขาคือดีน
(ดีน)
ในชีวิตของผม เจอแต่เรื่องยุ่งยากมาตลอด พ่อส่งผมไปอยู่เมืองนอกกับญาติตัวเอง เพราะตัวเองไม่มีเวลาเลี้ยงดูลูก ส่วนแม่ของผมก็หนีไปมีชีวิตใหม่ เพราะรับไม่ได้กับการทำงานของพ่อ ซึ่งผมก็ไม่เห็นว่ามันจะไม่ดีตรงไหน การลาออกจากตำรวจแล้วมาเป็นบอร์ดี้การ์ดให้กับผู้มีอิทธิพลเนี่ย แต่ช่วงเวลานั้น ผมรู้เรื่องเหล่านี้น้อยมาก ยิ่งพอถูกส่งไปอยู่ที่อื่น ผมก็เลิกสนใจ
ผมไม่ค่อยชอบเรียนเท่าไหร่ ไปโรงเรียนทีก็เอาแต่เกเรเที่ยวเล่นกับพวกหัวทองหัวดำ จนวันหนึ่ง แม่ส่งโปสการ์ดไปหาผม บอกอยากให้ผมเรียนเก่งๆ และมีงานทำที่ดี ถ้าผมรู้ว่านั่นเป็นการติดต่อครั้งสุดท้าย ผมคงจะรีบตอบกลับไปหา
แม่ผมเสียในวันที่การ์ดมาถึง
จากที่ไม่คิดว่าจะเรียนได้ ผมขยันอ่านหนังสือ เรียกได้ว่า ห้องสมุดคือบ้านเลยก็ว่าได้ เรียนจบผมก็สอบเข้าเป็นตำรวจ ซึ่งทุกอย่างก็ดูเป็นไปได้อย่างสวยหรู การทำงานแม้จะเสี่ยงอันตรายแต่ผมกลับชอบ ตอนนั้นผมคุยกับสาวไทยคนหนึ่ง เธอทำงานร้านสะดวกซื้อที่นั่น จนผมคิดอยากจะแต่งงานด้วย
แต่อนาคตความรักที่สวยหวานกลับต้องมาจบลง เมื่อเธอถูกพวกมาเฟียเจ้าถิ่นรุมข่มขืนและเธอทนไม่ได้ก็เลยฆ่าตัวตาย ผมโกรธแค้นจนแทบคลั่ง อยากบุกไปฆ่าพวกมันคืนซะเดี๋ยวนั้นหากก็ทำไม่ได้ เหตุการณ์นั้นทำให้ชีวิตผมเหมือนคนไร้ค่า ยิ่งผมได้รับโทรศัพท์จากประเทศบ้าน เขาบอกว่าพ่อผม...เสียชีวิต เท่านั้นโลกของผมก็แตกสลาย ผมเฝ้าถามตัวเองว่าทำไมเรื่องเลวร้ายแบบนี้ต้องเกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกัน แต่ผมก็หาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ ผมเลยตัดสินลาออกจากการเป็นตำรวจ แล้วบินกลับเมืองไทยทันที
ผมเดินเข้าไปในงานศพของพ่อที่จัดขึ้นอย่างสวยด้วยดอกไม้สด ซึ่งภายในศาลาวัดนั้น ไม่ได้มีเพียงโลงศพของพ่อผมเท่านั้น ที่ข้างๆ ยังมีอีกโลงตั้งอยู่ โดยที่ผมไม่ได้สนใจ และไม่ได้ใส่ใจเสียงสะอื้นร่ำไห้ของคนที่นั่งอยู่หน้าโลงนั้น สิ่งที่ผมสนคือรูปภาพในกรอบรูปที่พ่อผมสวมเครื่องแบบตำรวจที่พ่อรักและภูมิใจ ใบหน้าของท่านคล้ายกับกำลังส่งยิ้มมาให้ผม มันเป็นภาพรอยยิ้มแสนใจดีที่ผมเห็นจนชินตาสมัยยังเด็ก
ผมพยายามกระพริบตาถี่ๆ เพื่อกลั้นน้ำตาที่คอยจะไหล อยู่ๆ ก็มีซองสีขาวถูกยื่นมาตรงหน้า ผมมองไล่จากมือขาวนั่น จนเห็นคนที่เป็นคนยื่นให้ผม ใบหน้าแดงกล่ำกับดวงตาบวมช้ำที่ผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักพยายามอย่างยิ่งที่จะกลั้นสะอื้น
“พ่อคุณฝากไว้ให้” ผมมองซองนั้นด้วยความสงสัยแต่ก็รับมันมา ชายคนที่ยื่นให้ผมขยับกลับไปนั่งหน้าโลงศพอีกโลง มือขาวสองข้างกำแน่นอยู่บนตัก
เขาก็เจ็บปวดไม่ต่างจากผมสินะ
ซองจดหมายของพ่อ มีข้อความเขียนไว้ถึงผม แต่ลายมือกลับไม่ใช่ ผมค่อยๆ ไล่อ่านตัวหนังสือทุกตัวอักษร เนื้อหานั่น หลักๆ คือขอโทษที่ทำให้ผมลำบาก พ่อภูมิใจที่รู้ว่าผมตามรอยท่าน และท่านก็อยากให้ผมมีชีวิตที่ดี แน่นอนว่าพ่อไม่สามารถอยู่รอดูงานแต่งงานของผมได้อีก คงเพราะตอนนั้นผมติดต่อกลับมาว่าอยากจะแต่งงาน จากที่คิดว่าท่านไม่สนใจ ตอนนี้ผมรู้แล้ว ว่าผมสำคัญกับพ่อเสมอ ความรู้สึกผิดตีตื้นขึ้นมาจนกลั้นน้ำตาไม่อยู่ หากก่อนหน้านี้ ถ้าผมไม่เอาแต่มีความสุขอยู่กับหญิงสาวคนนั้นและเป็นบ้าหลังจากเธอตาย หากผมยอมกลับมาในวันที่พ่อโทรไปขอร้อง ผมก็คงไม่รู้สึกเสียใจมากขนาดนี้
ผมเห็นความรักระหว่างชายหญิงสำคัญกว่าพ่อ ผมโคตรเลวจริงๆ
แต่สิ่งที่ทำให้ผมสะดุด คือเนื้อหาจดหมายส่วนท้าย ที่มันทำให้ผมต้องรีบหันไปมองคนข้างๆ พ่อขอร้องให้ผมช่วยดูแลเด็กคนนี้ ปกป้องเขา อยู่ช่วยงานเขา เพราะเขาคือหลานชายของเจ้านายที่พ่อรักและเทิดทูนเท่าชีวิต ผมมองหน้าคนที่พ่อฝากไว้ด้วยความสับสน ทำไมพ่อถึงอยากให้ผมดูแล?
ตลอดงานศพจนถึงเผา ชีวิตผมอยู่ที่วัดทุกวัน ทุกคืน มันทำให้ผมได้รู้จักคนที่พ่ออยากให้ดูแลมากขึ้น เพราะเขาก็นอนในศาลาเหมือนผม แต่กลับไม่ยอมปริปากพูดอะไรเลย จนผ่านพ้นช่วงเวลาที่แสนโศกเศร้าไป ผมได้เจอเด็กนั่นอีกทีตอนที่เข้าไปเก็บของๆ พ่อที่คอนโดสูง เด็กคนนั้นดูเฉยชามาก เขานั่งมองผมเก็บของที่ห้องของพ่อ ก่อนจะเอ่ยถามประโยคที่ทำเอาผมตกใจ
“คุณรู้ไหม ว่าพ่อคุณตายได้ยังไง”
มันน่าตกใจมากใช่ไหม ที่คนอายุน้อยกว่าผม แต่กลับถามคำถามแบบนั้นออกมา
“หมายความว่า คุณรู้?”
ไม่มีคำตอบใดๆ กลับมานอกจากซองเอกสารและสมุดบันทึก ผมรับมาแบบงงๆ พอจะถาม เด็กคนนั้นก็เดินออกห้องไปแล้ว ผมวางข้าวของทุกอย่างลงแล้วเปิดดูของที่ได้มา ซองเอกสารมีกระดาษเกี่ยวกับข้อมูลการตาย มีผลการชันสูตรร่างของพ่อผมอย่างละเอียด
พ่อผมไม่ได้ถูกรถชนตายเหมือนที่คนอื่นว่า?
จากเอกสาร ระบุว่าร่างของพ่อผมมีกระสุนฝังที่ร่างกายนับสิบนัด เจาะกะโหลกอีกหนึ่งนัด และที่น่าตกใจคือ รูปภาพจากกล้องวงจรปิดที่มาเป็นฉากๆ พ่อผมเอาตัวเองบังร่างใครสักคน ก่อนร่างจะทรุดลงไปจนเห็นอีกคน แต่ก็ไม่นาน ร่างคนที่พ่อผมปกป้องก็ล้มลงตาม เมื่อถูกกระสุนเจาะเข้าหน้าผาก
นี่มันอะไรกัน มีการฆ่ากันตายอย่างง่ายดายขนาดนี้เลยเหรอ
ผมเปิดสมุดบันทึกของพ่อ หน้าแรกเป็นตารางงานต่างๆ ของคุณอาณาจักร ซึ่งคาดว่าคงเป็นชื่อของเจ้านายของพ่อ และรายละเอียดต่างๆ รวมทั้งการทำงานในแต่ละวันของคุณจักรพรรดิ อยากรู้จริงๆ ทำไมพ่อถึงต้องเอาชีวิตเข้าแลกด้วย แม้รู้ว่าเป็นคนที่น่าเทิดทูน แต่ต้องใช้ชีวิตตัวเองปกป้องขนาดนั้นเลยหรือไง ก่อนจะปิดสมุด ผมเห็นข้อความด้านหลัง พ่อเขียนว่าอยากให้ผมกลับมาทำงานที่ wonder land และนั่น ทำให้ผมตัดสินใจไปสมัครงานตามความต้องการของพ่อ
เพียงแค่เหยียบเข้าที่นั่นวันแรก ผมก็ต้องเจอกับเรื่อง เมื่อด้านในกำลังถูกนักเลงยกพวกมาทำลายข้าวของจนเสียหาย ส่วนพนักงานของที่นี่ก็พากันวิ่งหนีตายกันไปคนละทิศละทาง มีเพียงคนเดียวที่ต่อสู้ แม้ตัวเองจะเจ็บจนแทบลุกไม่ขึ้น แต่ก็ยังไม่คิดยอมแพ้ นั่นทำให้ผมแทบไม่ต้องคิดอะไรมากที่จะเข้าไปช่วย กว่าทุกอย่างจะสงบ ข้าวของชั้นนี้ก็เสียหายเกือบหมด
“ไปโรงพยาบาลกัน” ผมประคองร่างเด็กที่เคยเจอที่งานศพ เด็กคนนั้นส่ายหน้า ดวงตามองไปรอบๆ บริเวณ “แต่คุณเจ็บ...”
“เชี้ยเอ๊ย กล้าเข้ามาถึงในนี้ได้ยังไง” คำสบถนั่นมันทำให้ผมแปลกใจ แววตาดุดันกว่าคนที่ผมเคยเจอที่ห้องตอนเก็บของ ก่อนจะอ่อนลงมาเมื่อหันมามองผม “ขอบคุณที่ช่วย แต่ผมไม่เป็นอะไร” คนเจ็บสะบัดแขนออกจากการจับ ขายาวค่อยๆ จัดการเก็บของที่กระจัดกระจาย แม้ส่วนใหญ่จะใช้ไม่ได้แล้วก็ตาม
“เดี๋ยวผมช่วยคุณเอง” ไม่มีคำตอบกลับใดๆ ตอบกลับมา แต่ผมก็เลือกที่จะช่วยเก็บของ ซึ่งไม่นานพนักงานคนอื่นๆ ก็รีบเข้ามาช่วย ผมลอบมองเสี้ยวหน้าคนเจ็บอย่างทึ่ง ไม่น่าเชื่อว่าจะเข้มแข็งได้ขนาดนี้ จากวันที่เจอครั้งแรก ยังร้องไห้ตาบวมบูดอยู่เลย
แต่เพราะแววตาดุดันและไม่ยอมแพ้นั่น ทำให้ผมได้รู้ ว่าทำไมพ่อถึงอยากให้ผมช่วยคนๆ นี้ บริหารงานที่นี่ต่อ นั่นเพราะพ่อเฝ้าดูเขาทำงานมานาน จากบันทึกนั่น งานที่เด็กคนนี้ทำ ไม่ใช่งานบริหาร แต่เป็นงานสำหรับพนักงานทั่วไป แต่นั่น มันกลับสร้างให้เขาเข้มแข็งและสามารถยืนหยัดด้วยขาของตัวเอง
พ่อครับ ผมจะทำตามความต้องการของพ่อ ผมจะดูแลหลานชายเจ้านายของพ่อเอง ไม่ต้องห่วง
***
“หัวเราะอะไรดีน” เสียงเข้มกระชากใส่ หลังจากผมหลุดขำออกมา “พูดดีๆ นะ”
“ก็แค่คิดว่า คุณหนึ่งยอมกระวานมากเกินไป” ผมพูดในสิ่งที่คิด กระวานที่ว่า คือหนุ่มปากดีที่ไม่รู้ทลายกำแพงหัวใจของนายจักรพรรดิเจ้าของ wonder land คนนี้ได้ยังไง
“นั่นสิ ทำไมฉันถึงต้องยอม” พูดไม่ทันจบ ประตูห้องทำงานชั้นบนสุดของตึกก็เปิดออก พร้อมร่างอวบของคนที่เพิ่งพูดถึง “ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ ใครทำอะไรให้ไหนบอกพี่ซิ” เกือบหลุดขำอีกรอบ เมื่อเสียงขึงขังกลับเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน
“ก็ไนท์ เด็กที่ร้านของพ่อส่งรูปข้าวมาให้ดู น่ากินมาก” ผมมองคนพูดถึงอาหารด้วยใบหน้าง้ำงอแล้วอยากขำ และเจ้านายของผมก็คงเหมือนกัน “กระวานขอไปที่ร้านได้ไหม”
“ให้ดีนไปเอา” อยู่ๆ ก็ถูกโยนงานมาให้เฉย ผมกระพริบตาปริบๆ มองคนสั่ง เพียงเพราะไม่อยากให้คนรักห่างสายตาเกินชั่วโมง ถึงกับสั่งงานแบบนี้มาให้ มันใช่เรื่องของผมไหมเนี่ย “นายไปเอาข้าวที่ร้านกระวานนะ”
“ขอบคุณนะดีน”
ได้แต่ส่ายหน้าขำให้กับการถูกโยนงานแบบส่งๆ โดยที่ขัดอะไรไม่ได้ แต่ถึงจะขัดได้ ผมก็เลือกที่จะทำให้อยู่ดี ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ ผมเพิ่งเคยเห็นเจ้านายดูมีความสุขก็วันนี้ แต่กว่าจะมาถึง ก็ทุลักทุเลพอควร
ผมออกจากคลับไปร้านอาหารนั่นใช้เวลาประมาณสามสิบนาที เพราะการอยู่ชานเมืองแบบนี้รถเลยไม่ติด ร้านหิ้วปิ่นโต ชื่อร้านน่ารักสมกับการตกแต่ง ด้านหน้ามีปิ่นโตสีชมพูอันใหญ่ตั้งอยู่เป็นสัญลักษณ์ ผมเปิดประตูลงจากรถ หางตาเหลือบไปเห็นผู้ชายรูปร่างผอมสูงกำลังก้มๆ เงยๆ กับของที่วางกองอยู่ที่พื้น ดูจากปริมาณจะมากกว่ามือซะแล้วมั้ง
“ให้ผมช่วยไหมครับ” ทันทีที่เอ่ยถาม คนง่วนอยู่กับของก็เงยหน้าขึ้นมา ดวงตารีดูมีเสน่ห์ดึงดูดให้ผมเผลอจ้อง จนเจ้าของดวงตากระพริบลงผมถึงมีสติ “พอดีเห็นคุณถือไม่ไหว”
“ขอบคุณครับ” ได้รับการขอบคุณพร้อมรอยยิ้ม ผมรีบก้มเก็บของที่ยังอยู่ที่พื้นขึ้นมา เป็นกล่องโฟมที่หนักเอาการ “ตอนแรกก็ไม่อยากจะรบกวน แต่ผมคงถือเข้าไปพร้อมกันไม่ไหว”
“แล้วทำไมคุณไม่ออกมาเอาทีหลังล่ะ” ถามเสร็จ คนเดินถือของนำหน้าก็หยุดก่อนจะหันมา “ครับ?”
“นั่นสิ ผมนี่โง่อีกแล้ว”
สุดท้ายก็ต้องหลุดขำให้กับท่าทางบ๊องๆ นั่น คนบอกว่าตัวเองโง่เดินนำลิ่วไปทางหลังร้าน พอเปิดประตูเข้าไป ด้านในมีแต่ของสด ของแห้ง รวมไปถึงวัตถุดิบต่างๆ ผมอยู่ช่วยเก็บของเข้าตู้แช่เสร็จกำลังจะออกไป หากไม่ถูกเรียกไว้ซะก่อน
“คุณเป็นลูกน้องของแฟนพี่กระวานใช่ไหม ผมจำได้”
“จำผมได้ด้วยเหรอครับ?”
“ลางๆ” อยากจะขำให้กับความไม่มั่นใจนั่น แต่ก็ยังทายถูก ผมพยักหน้ารับช้าๆ เป็นคำตอบ “แล้วคุณมาทำไมเหรอครับ”
“อ๋อ พอดีคุณกระวานให้ผมมาเอากับข้าว...”
“อ่าว ก็ไนท์เอาไปส่งให้แล้วนี่ครับ หรือว่ายังไม่ถึง”
“ถึงแล้วครับ แต่กับข้าวที่มาเอา ดูเหมือนจะเป็นอย่างอื่น”
“อย่างอื่นที่ว่า คืออะไรเหรอ?”
นั่นสิ ผมก็ลืมถามไป โดนใช้ให้มาเอาก็ออกมาเลย ไม่ได้ถามกลับด้วยว่าอาหารที่ว่าคืออะไร
“เห็นว่าพนักงานที่นี่ส่งรูปไปให้ แต่ผมก็ไม่รู้ว่ารูปอะไร”
“พนักงานที่นี่? ใครกัน” ระหว่างที่กำลังเคร่งเครียด ประตูอีกด้านถูกเปิดออก ก่อนจะมีพนักงานอีกคนเดินเข้ามาพลางตกใจที่เห็นผมยืนอยู่ด้วย “กอล์ฟ มึงได้ส่งรูปอะไรไปให้พี่กระวานไหม”
“รูป? รูปอะไร ไม่ได้ส่งนะ”
“อ่าว แล้วใครส่งรูปไปให้ล่ะ หรือจะเป็นไอ้ไนท์?”
“ก็มีมันอยู่คนเดียวนั่นล่ะ ที่ชอบยั่วพี่กระวานเขา แล้วนั่นใครเหรอซัน” กว่าผมจะอยู่ในการความสนใจก็นานหลายนาที คนชื่อซันที่ผมช่วยถือของมาก็ยิ้มกว้างแล้วเดินมายืนข้างผม
“คนของแฟนพี่กระวานไง จำไม่ได้เหรอ”
“อ๋า คุ้นๆ”
นี่หน้าผมจำยากขนาดนั้นเลยเหรอ ออกจะหน้าตาดีจนใครๆ ก็จำได้ทั้งนั้น
“ว่าแต่ เข้ามามีอะไร ลูกค้าไม่มีแล้วเหรอ”
“ไม่มีน้อยสิ คนเยอะมากเลย ไอ้ไนท์ก็ยังไม่กลับ เถ้าแก่ให้มาเรียกไปช่วย”
“ได้ๆ” พออีกคนออกไป ซันก็หันมายิ้มให้ผม “คงต้องรอให้ไนท์กลับมา ไม่งั้นคุณก็ต้องโทรไปถามพี่กระวานว่าอยากได้อาหารอะไร”
“งั้นผมรอก็ได้” เพราะรู้ว่า เวลานี้คุณหนึ่งคงไม่อยากให้ใครรบกวน
จังหวะที่ผมกับซันจะออกไปหน้าร้าน ประตูก็ถูกผลักเข้ามาซะก่อน คนเข้ามาตีหน้ายุ่ง มือก็รีบถอดผ้ากันเปื้อนออก
“ซัน ช่วยทำอาหารแทนฉันด้วยนะ” พ่อของคุณกระวานดูรีบร้อน น้ำเสียงร้อนรนอย่างเห็นได้ชัด
“มีอะไรเหรอครับ”
“โป๊ยกั๊กน่ะสิ ไปก่อเรื่องที่โรงเรียนอีกแล้ว”
“ได้ครับ ผมจะตั้งใจทำให้ดีที่สุด”
“ขอบใจมาก...แล้วนี่”
“สวัสดีครับ ผมดีนเป็นลูกน้องของคุณหนึ่ง” รีบแนะนำตัวก่อน
“อ๋อ มีอะไรก็บอกซันได้เลยนะ เขาเป็นผู้ช่วยของผมเอง ฝากด้วยนะซัน” พูดเร็วๆ ก่อนพ่อของคุณกระวานจะออกไปทางประตูด้านหลัง
“แล้วผม?”
“คุณออกไปรอด้านนอกดีกว่า เผื่อไนท์มาจะได้ถามมันเลย”
ผมมองตามหลังคนที่ออกประตูไปหน้าร้าน และเขาคงไม่เห็นผมเดินตามเลยชะโงกหน้ามากวักมือเรียก รอยยิ้มกว้างแบบนั้นดูน่ารักดี ผมถูกจัดให้นั่งโต๊ะด้านในสุด ตอนนี้ร้านคนแน่นคงเพราะเป็นเวลาเที่ยง มีพนักงานเสิร์ฟคนเดียวที่เดินไปเดินมาจนผมเวียนหัวแทน ส่วนคนที่ผมเดินตามออกมาก็กำลังง่วนอยู่กับการทำกับข้าว
“เป็นเชฟเหรอ” พึมพำกับตัวเองก่อนจะละสายตาจากคนตั้งใจผัดของในกระทะ เมื่อมีเสียงตะโกนเรียกพนักงาน แต่คนถูกเรียกยังจดรายการอาหารอยู่อีกมุมร้าน ผมเลยตัดสินใจลุกขึ้นไปหาลูกค้าของร้านที่เริ่มนิ่วหน้าโมโห “สวัสดีครับ รับอะไรดีครับ”
“เอ่อ” พอเจอหน้าผมลูกค้าผู้หญิงทั้งโต๊ะต่างก็พากันอ้ำอึ้งจนผมต้องถามย้ำ เธอถึงชี้นิ้วสั่ง ด้วยความที่ผมไม่มีกระดาษแต่ก็ยังพอจำได้ “หล่อจังเลยค่ะ” กำลังจะหันหลังกลับ เสียงเอ่ยชมก็ดังขึ้น ผมหันไปโค้งเป็นการขอบคุณคำชม พวกเธอก็ยิ้มกว้างกัน
ผละจากโต๊ะนั้นผมก็เดินมาที่โซนเคาน์เตอร์ทำครัว เห็นซันกำลังตกแต่งผัดไทกุ้งสดก่อนจะยื่นมาบนเคาน์เตอร์ ดวงตารีสวยดูตกใจที่เห็นผมยืนจังก้าอยู่
“มีอะไรหรือครับ” คนทำอาหารยกแขนขึ้นปาดเหงื่อที่ผุดเต็มหน้าผาก
“พอดีลูกค้าสั่งกับข้าว.....” บอกรายการไป ซันก็พยักหน้ารับ “จำได้ไหมครับ หรือต้องจด”
“จำได้ครับ รอสักครู่” ตอบรับพร้อมรอยยิ้มกว้าง ผมยืนนิ่งดูคนยืนหน้าเตาด้วยความทึ่ง ซันทำอาหารอย่างคล่องแคล่ว หยิบจับอะไรก็ไม่ลังเล เหมือนรู้ปริมาณว่าเท่าไหร่ถึงจะพอดี รออยู่ไม่นาน จานอาหารก็ถูกนำมาวาง แต่มันไม่ใช่รายการอาหารที่ผมบอกไป ก่อนที่จะท้วง พนักงานอีกคนก็รีบปรี่เข้ามาหยิบไปเสิร์ฟ
นี่จำได้ยังไงว่าใครสั่งอะไรไปบ้าง
ยืนรออีกไม่นาน อาหารจานที่ผมบอกก็ถูกนำมาวาง สีสันของอาหารดูน่าตาน่ารับประทาน แถมมีการตกแต่งแม้ไม่ได้ประณีตมาก แต่ก็สวยพอที่จะสามารถถ่ายรูปอวดคนอื่นได้ตามโลกโซเชียล ผมกับพนักงานเสิร์ฟอีกคนพากันเดินวุ่นไปหมด กว่าลูกค้าจะค่อยๆ ทยอยหมด ก็เล่นเอาขาล้าไปเหมือนกัน นี่ขนาดว่าผมออกกำลังทุกวันแล้วนะ
“เหนื่อยชะมัด” คนที่เดินชนกับผมอยู่หลายรอบนั่งลงที่เก้าอี้อย่างหมดแรง คงไม่ต่างจากผมที่ตอนนี้ก็นั่งอยู่ตรงข้ามกับเขา “ขอบคุณนะครับ ถ้าไม่ได้คุณช่วยละก็ ผมคงตายพอดี”
“ไม่เป็นไรครับ ผมเต็มใจ ว่าแต่ว่า ร้านนี้คนเยอะแบบนี้ทุกวันเลยเหรอครับ” ชวนคุยเพื่อรอซันที่ยังทำอาหารหน้าเตา “ผมว่า น่าจะรับคนเพิ่ม”
“ปกติแล้วจะมีพนักงานอีกคน แต่วันนี้มันไปส่งข้าวกล่องแล้วคงอู้ กลับมาเมื่อไหร่ สงสัยผมจะต้องสั่งสอนซะหน่อยแล้ว” หลุดขำกับท่าทางโมโหที่ดูทีเล่นทีจริง “ผมขอตัวไปล้างหน้าก่อนนะครับ”
พอทั้งโต๊ะเหลือแค่ผม เลยสะดวกในการมองร่างผอมที่เหมือนทำอะไรสักอย่าง ซันก้มๆ เงยๆ ทำอะไรหน้าเตา ทั้งที่ตอนนี้ไม่มีลูกค้าแล้วแท้ๆ ก่อนที่จะได้ถามอะไร ซันก็เดินออกมาพร้อมกับจานข้าว
“บ่ายแล้วคุณคงหิว ทานข้าวก่อนนะครับ” ซันวางจานข้าวสองจานบนโต๊ะ จานหนึ่งถูกเลื่อนมาตรงหน้าของผม “ไม่รู้คุณจะทานได้ไหม”
“ไข่ต้มผมก็ทานได้ครับ” ว่าให้ติดตลก “แล้วนี่?”
“ข้าวไข่ข้นกุ้งสด ผมลองทำแล้วเชฟว่าอร่อย คุณลองชิมดูนะครับ”
มองหน้าคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ที่กำลังก้มหน้าตักข้าวเข้าปาก รอยยิ้มติดมุมปากอยู่ตลอดทำให้ผมแทบไม่อาจละสายตาไปที่อื่น ซันดูมีความสุขทั้งที่ตอนทำกับข้าวจะเหนื่อยหรือร้อนมากแค่ไหน แต่ริมฝีปากก็ยังคงมีรอยยิ้มเสมอ
“ไม่ทานเหรอครับ เดี๋ยวเย็นหมดนะ” มัวแต่จ้องเพลิน กว่าจะรู้สึกตัวก็ตอนนี้สบตากับดวงตารีคู่นั้นพอดี ผมรีบก้มหน้าตักข้าวไข่ข้นเข้าปาก รสชาติที่สัมผัสมันนุ่มนวลไม่เหมือนไข่ข้นร้านอื่นที่ผมเคยลอง “อร่อยไหม”
“มาก” ยกนิ้วโป้งการันตีให้ไป ซันหัวเราะร่วนทันที ก่อนจะหยุดขำไปเมื่อหน้าร้านมีคนเดินเข้ามา ใบหน้าหวานดูบูดบึ้งจนผมสงสัยว่าเขาเป็นใคร
“ไอ้ไนท์ มึงแอบไปอู้ไหนมา” เสียงตะโกนดังมาจากด้านหลัง คนที่ไปล้างหน้าชี้นิ้วตะโกนด่า “มาให้กูเตะตูดเลยมึง ทำให้กูเหนื่อย”
“ผมไม่ได้อู้นะ ก็ไปส่งข้าวไง” คนอู้วิ่งรอบร้านหนีการถูกไล่ ซันส่ายหน้าพลางกินข้าวตัวเองต่อ “ซัน ข้าวกูล่ะ” พอเหนื่อยก็มานั่งอยู่ข้างซัน ผมย่นคิ้วเมื่อเห็นแบบนั้น ไม่ได้ไม่ชอบ แค่รู้สึกแปลกๆ กับความรู้สึกของตัวเองที่เกิดขึ้น
“ไปหากินเอง มาช้า” ทำไมผมถึงรู้สึกอยากยิ้มให้กับคำตอบที่ซันพูดไป “เอ่อใช่ มึงถ่ายรูปอะไรส่งให้พี่กระวานวะ”
“รูปอะไร?” คนส่งรูปตีหน้างง ก่อนจะร้องอ๋อออกมายืดยาว “ก็สปาเก็ตตี้มัสมั่นทะเลไง” พูดไม่ทันจบดีก็ถูกฝ่ามือตบเข้าเต็มศีรษะ ขนาดผมยังตกใจ “พี่กอล์ฟตบหัวผมทำไมเนี่ย”
“ก็มึงเอาอาหารที่เพิ่งลองสูตรส่งไปได้ยังไง เถ้าแก่กลับมากูจะฟ้อง”
“โธ่พี่ ผมก็แค่อยากแกล้งพี่กระวานเอง”
“มึงจะแกล้งก็ต้องคิดด้วยว่า ใครจะเดือดร้อนบ้าง เมนูนั้นเถ้าแก่กำลังปรับปรุงสูตรอยู่” ซันโวยบ้าง ใบหน้าติดยิ้มเมื่อกี้บูดบึ้ง
“ไม่เห็นจะมีใครเดือดร้อนเลย มึงก็พูดเกินไปไอ้ซัน”
“นี่ไง เขาเป็นลูกน้องของแฟนพี่กระวาน เขาถูกใช้ให้มาเอาของที่มึงส่งไป” ซันพูดจบ คนส่งรูปก็หันมามองผมตาโต ก่อนจะรีบยกมือไหว้ขอโทษ “มึงทำให้เขาเสียเวลาเห็นไหม จำใส่สมองบ้าง”
“ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ”
“ไม่เป็นไรครับ” บอกอย่างทำอะไรไม่ได้ ในเมื่อเวลานี้ เจ้านายก็คงไม่ต้องการผมอยู่แล้ว “แต่ต่อไปรบกวนคิดหน้าคิดหลังก่อนทำด้วยนะครับ”
“เขาบอกให้มึงใช้สมองเยอะๆ”
“พี่กอล์ฟผมเจ็บ”
“ก็กูทำให้เจ็บ มึงจะได้จำ”
ก่อนจะโดนมากกว่านี้ คนที่ชื่อไนท์รีบวิ่งไปห้องด้านหลังโดยมีคนวิ่งไล่ตาม
“วุ่นวายดีนะครับ” ยิ้มเจื่อนๆ ส่งให้ ซึ่งซันก็ขำออกมา
“ก็เป็นแบบนี้แหละครับ ว่าแต่ คุณไม่โทรบอกพี่กระวานเหรอ ว่าเมนูนั้นมันไม่มี พวกเขาจะได้ไม่รอ”
พอถูกเตือนผมก็รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ต่อสายไปใช้เวลานานก็ไม่มีคนรับ เลยกดวางแล้วสอดเก็บในกระเป๋ากางเกงเช่นเดิม
“สงสัยคงไม่รอแล้วละมั้งครับ”
“นั่นสิ บ่ายแล้วด้วย”
“ผมถามอะไรหน่อยได้ไหม” อยู่ๆ ก็นึกอยากถาม ซันพยักหน้ารับช้าๆ “คุณชอบทำอาหารเหรอครับ เห็นยิ้มตลอด”
“ครับ ผมชอบ ตอนเด็กๆ ผมเคยดูละครที่พระเอกเป็นเชฟ ตอนนั้นเขาเท่มาก ผมเลยตั้งใจไว้ว่า โตมาจะต้องเป็นเชฟให้ได้” ผมจ้องหน้าคนย้อนความหลังที่มีรอยยิ้มประดับบนใบหน้าอยู่ตลอด “ช่วงที่เรียนผมก็ไปทำงานเป็นผู้ช่วยร้านอาหาร จนได้เจอกับเถ้าแก่ ผมหมายถึงพ่อของพี่กระวาน ท่านชวนให้ผมมาช่วยงานที่ร้านดู พอได้มาทำที่นี่ ผมรู้สึกว่าตัวเองคิดถูกที่มา”
“ร้านนี้คงดีมากเลยนะครับ”
“สำหรับผม ทุกร้านดีเหมือนกันหมด แต่ที่ผมชอบที่นี่ เพราะเถ้าแก่จะคอยสอนในเรื่องที่ผมไม่ถนัด รวมไปถึงคอยรับฟังเมนูที่ผมคิดขึ้นมาเอง และจะรอจนกว่าผมทำจนอร่อย” ซันสบตากับผม รอยยิ้มที่ส่งมากำลังเขย่าหัวใจของผมให้เต้นแรงอย่างไม่ทราบสาเหตุ “เถ้าแก่บอกเสมอว่า อาหารทุกจานที่เราทำนั้น ให้คิดว่าเราทำให้คนที่เรารัก กับข้าวจานนั้นจะอร่อยเป็นพิเศษ ผมเลยยิ้มทุกครั้งที่ทำ”
“คิดว่า ทำให้คนที่เรารัก?” อยู่ๆ ก็เหมือนดื่มน้ำอุ่นเข้าไป ความร้อนอ่อนๆ กำลังก่อตัวอยู่ในร่างกายของผม “ฟังแล้วอยากเป็นหนูทดลองอาหารของคุณเลย” หลังผมพูดจบ ซันก็หัวเราะออกมาอีกระลอก จนผมคิดว่าตัวเองอาจพูดอะไรผิดไป
“ได้สิครับ ถ้าคุณไม่กลัวท้องเสียซะก่อน”
“ผมเชื่อว่า ผมจะได้กินข้าวอร่อยๆ ทุกมื้อแน่นอน เพราะทำมาจากใจ อะไรก็อร่อย”
เพิ่งรู้ว่าผมก็เป็นคนพูดอะไรแบบนี้ได้เหมือนกัน
“กดดันเลย แต่ถ้าคุณ...”
“ดีนครับ”
“ครับคุณดีน ถ้าคุณมาเมื่อไหร่ ผมจะลองทำกับข้าวใหม่ๆ ให้ลอง คุณบอกจะเป็นหนูทดลองให้ผมแล้วนะ”
ยิ่งกว่าหนูทดลองก็ย่อมได้
“ผมจะลองเมนูใหม่คุณทุกจานเลย”
“ท้องเสียผมไม่รับผิดชอบนะ”
“ผมรับผิดชอบตัวเองได้ ไม่ต้องห่วง”
เสียงหัวเราะของคนตรงหน้าสร้างรอยยิ้มของผมให้เกิดได้ง่ายๆ ผมว่า ผมเริ่มรู้แล้วล่ะ ว่าทำไมคุณหนึ่งถึงดูเปลี่ยนไป จากคนที่ตีหน้านิ่งกลับยิ้มได้ทั้งวัน...ความรู้สึกแสนพิเศษแบบนั้น มันเป็นแบบนี้นี่เอง
“ผมจะมาที่นี่ทุกวัน ซันเตรียมคิดเมนูได้เลย”
“ครับ ผมจะรอ”
... END ...เป็นตอนเดียวจบที่เหมือนไม่จบ (น้ำตาไหล)
ขอบคุณมากๆ ค่าาาาา ไว้เจอกันตอนพิเศษหน้าค่า