ก้าวยี่สิบ - ร้านไอศกรีม
หลังจากเหินฟ้าได้ถูกกระตุ้นด้วยการอุปมาเรื่องนกกาเหว่าผัวเมียของคุณนายตรึงจิตแล้วพ่อหนุ่มมาดขรึมก็ได้ตัดสินใจเริ่มจีบอย่างจริงๆ จังๆ หลังจากที่โทรไปขอกำลังใจจากภาพฟ้าผู้เป็นหนึ่งในตัวช่วยที่สำคัญของเขา ซึ่งยัยภาพฟ้าก็ไม่วายลากไอ้เวทย์มาประชุมสายด้วยอีก
“เฮ้อ ขอคุยกับฟ้าคนเดียวไม่ได้หรือไง” เหินฟ้าโอดครวญผ่านสาย
“อะไรมึงๆ เราเคยมีความลับด้วยกันหรอวะไอ้เหิน” เวทย์ด่ากลับด้วยน้ำเสียงด่าทอ เขารู้หรอกว่าที่เพื่อนตัวโตคนนี้มันไม่อยากให้รู้คงเพราะกลัวโดนล้อ
“ไม่เป็นไรน่าเหิน ฟ้าบอกเวทย์แล้ว ว่ายังไงๆ ก็ห้ามล้อเพื่อนเด็ดขาด ถ้าเกิดว่าล้อมากๆ ฟ้าจะแช่งให้เวทย์มีแฟนเป็นผู้ชายแถมเป็นฝ่ายรับด้วย หึหึหึ” ภาพฟ้ากล่าวอย่างมาดมั่น
“เห้ยฟ้า ไม่เอาดิ หน้าอย่างนี้ให้ไปรับให้ใครวะ สยองว่ะ แต่ถ้ามีแฟนเป็นผู้ชายแล้วได้แบบน้องเกล้านี่ก็ไม่เลวนะโว้ย” ว่ายังไม่ทันขาดคำเวทย์ก็แซวขึ้นมาแล้วหนึ่งประโยค
“ไอ้สัตว์เวทย์ อย่าแม้แต่จะคิด!” เหินฟ้าด่ากลับ เมื่อก่อนเรื่องผู้หญิงอะไรนี่ไม่เคยหวงกันหรอก แต่แหม จะจริงจังทั้งที เพื่อนต้องไม่ยื่นปากมาชิมปลาย่างของเพื่อนสิ
“โอ้ยรำคาญ! มีหวง กูไม่เอาหรอกโว้ย กูเห็นยายเขาแล้วรู้เลย ว่าถ้าได้เขามาเป็นเมียก็ไม่ต่างจากได้แม่เพิ่มอีกคนแน่ๆ” คำพูดของเวทย์ทำให้เหินฟ้านึกถึงช่วงเวลาสองสามอาทิตย์ที่ผ่านมา เขากับน้องคุยกันมากขึ้น และเริ่มแสดงความห่วงใยออกมาทั้งการพูดและการกระทำอย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้น และหลายครั้งที่ความห่วงใยเหล่านั้นถูกส่งผ่านออกมาในรูปของการดุเพื่อตักเตือน โดยเฉพาะฝ่ายของเจ้าเกล้าที่มักจะห้ามปรามเขาในเรื่องการกินข้าวให้ตรงเวลา หรือการขับรถให้ช้าลง เพียงแค่นึกถึงใบหน้าบูดบึ้ง กับปากงอๆ ที่พยายามจะดุเขา เหินฟ้าก็ยิ้มขึ้นมาทั้งหัวใจ
“แหมมมทำเงียบ กูรู้เลยอนาคตเพื่อนกูแม่งกลัวเมียแน่ๆ เสือเข้มแม่งตายแล้วจริงๆ ใช่ไหมวะคราวนี้”
“เออ กูยอม” เหินฟ้ากล่าวเสียงเบา
“พอเลยๆ เวทย์ นี่วันนี้เหินเขาจะขอคำปรึกษานะ ไหนเหินว่ามาสิ มีอะไรอัพเดตให้ผองเพื่อนฟังบ้างคะ”
หลังจากนั้นเหินฟ้าก็ได้เล่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมารวมทั้งการสนับสนุนแบบอ้อมๆ ของคุณนายตรึงจิต ซึ่งเมื่อเพื่อนสนิททั้งสองคนได้ฟังแล้วถึงกับร้องตกใจ
“ไอ้เหิน มึงไปทำอะไรให้คุณนายจงอางจอมหวงไข่เขาไฟเขียววะ”
“อืม ไม่รู้สิ แต่กูก็โดนเขาแกล้งเยอะนะ จริงๆ ก็ไม่คิดว่าจะยอมง่ายๆ”
“ฟ้าว่าถือเป็นเรื่องดีนะ ฟ้าเชื่อแหละว่าคุณนายตรึงจิตต้องเห็นความจริงใจของเหินจริงๆ อีกอย่าง คนที่มาจีบน้องเกล้าส่วนใหญ่ที่ฟ้ารู้มาก็ดูเรื่อยๆ เปื่อยๆ คุณนายตรึงจิตคงจะรอคนที่มั่นคงแบบเหินแน่ๆ”
“หืม ทำไมฟ้าถึงรู้เรื่องคนที่ตามจีบเกล้าได้ล่ะ” เหินฟ้ามีคำถาม
“หึหึ รู้จักฟ้าน้อยไปแล้วเหิน ของอย่างนี้มันต้องมีตัวช่วย”
“ตัวช่วยอะไรวะฟ้า” เวทย์ถามขึ้น
“ไม่บอกจ้ะ เอาล่ะๆ ช่างเรื่องฟ้าเถอะ แล้วเรื่องแม่ของเหินล่ะว่ายังไงบ้าง”
“อืม ช่วงที่ผ่านมานี้แม่ไปฮ่องกงกับพ่อยาวๆ เลย เลยไม่มีคนมาอะไรมาก”
“กูว่ามึงควรบอกแม่ไหมวะเรื่องนี้”
“ฟ้าเห็นด้วยนะเหิน อย่างน้อยแม่ของเหินจะได้เลิกจับคู่สักที”
“อืม เรากะจะบอกเหมือนกัน แต่เราอยากคบกับน้องอย่างจริงจังก่อน” พูดแล้วเหินฟ้าก็นึกถึงใบหน้าสวยๆ ของคนในหัวใจจนต้องยิ้มออกมา เฮ้อ เป็นเอามากนะไอ้เหิน
“เออเว้ย มันมีแผนว่ะ” เวทย์พูดกลั้วหัวเราะ
“อย่างนั้นก็ได้นะเหิน แต่ฟ้าแนะนำให้รีบบอก as soon as possible นะ อย่ารอให้มันสายเกินไป”
“อืมเข้าใจแล้วขอบคุณมากฟ้า”
ทั้งสามคนคุยเรื่องสัพเพเหระอีกนิดหน่อยจนวางไป ส่วนเหินฟ้าก็นั่งคิดถึงเจ้าเกล้าต่ออีกหน่อยก่อนนอน พร้อมวางแผนเป็นขั้นๆ ว่าควรจะเริ่มและจบยังไง
วันนี้เจ้าเกล้ามีธุระที่ห้างเพราะนัดเจอเพื่อนๆ หลังจากที่ได้คุยกันผ่านโซเชียลมีเดียอย่างเดียวมาสักพักหนึ่ง แล้วจริงๆ วันนี้ก็ควรเป็นวันธรรมดาๆ วันหนึ่งถ้าหากไม่มีคนตัวโตๆ หนึ่งคนคอยเดินประกบข้างอยู่ด้วยตอนนี้
“เอ่อ คุณเหินจะมาด้วยจริงๆ หรือครับ” เจ้าเกล้าอดสงสัยไม่ได้ เพราะคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้านายคนนี้พอรู้ว่าเขาจะมาห้างก็อาสามาเป็นสารถีให้ทันที แล้วยังเดินออกมาด้วยทั้งๆ ที่ก็บอกไปแล้วว่ามาหาเพื่อน เจ้าเกล้าแค่กลัวคุณเขาจะอึดอัดเท่านั้นแหละ
“อืม ใช่สิ เจอเพื่อนๆ ของเกล้าได้ด้วยหรือเปล่า” เหินฟ้าถาม ดวงตาใสๆ ที่มองมาอย่างมีคำถามนั้นช่างน่ารักเหลือเกินในความคิดของเขา
“ผมไม่ว่าอะไรครับ แค่กลัวคุณเหินอึดอัด” เจ้าเกล้าตอบ
“ฉันไม่ถือนะ แค่อยากเจอเพื่อนๆ ของนายบ้าง” เหินฟ้าละสายตากลับมามองไปข้างหน้าแทนใบหน้าของอีกคน เพราะรู้สึกจ้องตานานๆ แล้วใจมันเต้นแรงเหลือเกิน
“ก็ได้ครับ” เจ้าเกล้ายิ้มให้ จนสายตามองไปเห็นเพื่อนๆ ที่ยืนรอกันอยู่หน้าร้านไอศกรีมกันแล้ว และนอกจากเพื่อนๆ ของเขาทั้งสี่คนแล้ว ยังมีแขกที่ไม่ได้รับเชิญมาด้วยอีกสองคนนั่นก็คือเต้ย และสิปป์
“เห้ยยเกล้าโว้ยยย” พุฒิพัฒน์ตะโกนเรียกเจ้าเกล้า คนอื่นที่เหลือจึงหันมามองและได้พบกับใครอีกคนที่เจ้าเกล้าพามาด้วย หน้าตา หน่วยก้าน และอะไรหลายๆ อย่างทำให้ทั้งสองคนดูเหมาะสมดั่งเครื่องประดับที่เข้ากับชุดๆ หนึ่ง พุฒิหันมาสบตากับดินซึ่งในสายตาของเพื่อนชายอีกคนนั้นก็บอกเหมือนกันว่านี่คือสัญญาณอันตรายสำหรับองครักษ์พิทักษ์เจ้าหญิงอย่างพวกเขา
“ใครอ่ะเกล้า” เรนเนอร์เป็นคนทักขึ้นมาเพราะมีแต่เรนเนอร์ และสิปป์ที่ไม่เคยเห็นเหินฟ้ามาก่อน นอกนั้นเคยเจอที่ร้าน hundred seasons แล้ว
“หวัดดีเรน เต้ยกับสิปป์ก็มาด้วย” เจ้าเกล้าแจกยิ้มให้ทุกคน ส่วนเหินฟ้าที่มองเห็นสายตาไม่เป็นมิตรจากเพื่อนของเจ้าเกล้าแทบทุกคน ก็เริ่มฉงนใจเบาๆ ว่าวันนี้คงจะมีบททดสอบอะไรมาให้แก้ปัญหาอีกแน่ “ทุกคน นี่คุณเหินฟ้า เป็นเจ้านายของเกล้าเอง”
“ทำไมเจ้านายถึงมาเดินเที่ยวกับลูกน้องล่ะเกล้า” ดินเป็นคนเอ่ยขึ้นมาด้วยเสียงแข็งๆ แสดงออกอย่างชัดเจนถึงความไม่เป็นมิตร
“จริงๆ คุณเหินช่วยเหลือเราไว้เยอะเลย ตอนนี้ก็สนิทกัน เป็นเหมือนพี่ชายเราอีกคนแหละ” เจ้าเกล้ายิ้มละไมขณะมองหน้าคนตัวโตอีกคนที่ทำสายตาหงอยๆ สงสัยจะตกใจที่เห็นเพื่อนๆ ของเขาไม่ค่อยเป็นมิตรนัก ซึ่งจริงๆ แล้วเหินฟ้านั้นเกลียดคำว่า‘พี่ชาย’ ขึ้นมาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน และหมายมั่นว่าคำนี้มันต้องเปลี่ยนเป็นคำอื่นให้ได้โดยเร็ว
“สวัสดีครับ คุณเหินฟ้า” ดินเป็นคนเริ่มทักทายหลังจากที่เมินอีกฝ่ายมานาน ทุกๆ คนจึงยกมือไหว้ตาม
“สวัสดีครับ วันนี้ผมว่างเลยอาสาพาเกล้ามาส่ง เลยถือโอกาสนี้มาทำความรู้จักเพื่อนๆ ของเกล้าด้วยครับ” เหินฟ้าวางท่าทีสบายๆ แม้จะแอบเหงื่อซึมอยู่เล็กๆ
“ทุกคนอย่าแกล้งคุณเหินสิ ไปกินไอติมกัน คนเยอะๆ สนุกดีออก” เจ้าเกล้าเห็นสายตาไม่เป็นมิตรที่ยังไม่คลายลงของเพื่อนๆ ก็อดเป็นห่วงไม่ได้
บรรยากาศบนโต๊ะร้านไอติมเป็นไปอย่างเชื่องช้าและน่าอึดอัดในความรู้สึกของเหินฟ้า หนึ่งคือคนที่ชื่อดิน พุฒิ และเรนเนอร์ เอาแต่จ้องเขาที่นั่งหัวโต๊ะ สองคือเด็กที่ชื่อเต้ยกับสิปป์ที่ดูก็รู้ว่าคิดกับเจ้าเกล้าเกินเพื่อนกำลังแย่งกันคุยกับเจ้าเกล้าเรื่องนู้นเรื่องนี้จนน่าหมั่นไส้
“ไม่ชอบ” เรนเนอร์พูดออกมาเสียงแข็งใส่เหินฟ้า แล้วสะบัดหน้าหนีทันทีจนคนอื่นๆ ถึงกับเงียบ
“เอ่อ พี่เรนเป็นอะไรหรอ” สิปป์เอ่ยถาม
“เรนไม่ชอบคนๆ นี้” ต้นอินที่ทำหน้าง่วงอยู่นานเอ่ยตอบพร้อมกับชี้ไปที่เหินฟ้าโดยที่แอบลอบยิ้มอยู่ในใจ วันนี้คงเป็นอีกวันที่สนุกมากๆ สำหรับกลุ่มนี้เลยล่ะ
“เรน ไม่เสียมารยาทนะ คุณเหินถือว่าเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่งนะ” เจ้าเกล้าที่นั่งอยู่ใกล้ๆ กับเรนเนอร์ซึ่งมีสิปป์คั่นกลางกล่าวบอกพร้อมกับจับแขนให้อีกคนเย็นลง
“เรนไม่ยอม เขาจะเอาเกล้าไป” เรนเนอร์เม้มปากแน่นและเริ่มมีน้ำตาปริ่มที่ขอบตา สัญชาตณานของเขาบอกให้รู้ว่าผู้ชายคนนี้มีดีพอที่จะให้เจ้าเกล้ารัก และนั่นแปลว่าเขาจะเสียเจ้าเกล้าที่เขารักที่สุดไป
“หืม เรนใจเย็นๆ สิปป์ พี่ขอสลับที่นั่งหน่อยสิ” หลังจากกล่าวเจ้าเกล้าจึงขยับมานั่งข้างเรนเนอร์
“ไม่เอาไม่ร้องนะคนดี เกล้าไม่ได้ไปไหนเลย คุณเหินมากินไอติมด้วยเฉยๆ เอง” เจ้าเกล้าลูบหัวเช็ดน้ำตาให้กับอีกคนหนึ่ง เรนเนอร์ติดเขามากตั้งแต่ขึ้นปีหนึ่ง จะว่าเป็นเด็กขาดความอบอุ่นก็ได้ เจ้ากล้าจึงดูแลเอาใจใส่มาตลอด ทุกวันนี้อาการก็ดีขึ้นแล้ว พอห่างกันได้บ้าง แต่วันนี้เหมือนจะเป็นเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว “คุณเหิน ผมขอโทษแทนเพื่อนนะครับ เรนเป็นคนอ่อนไหวนิดหน่อย” เจ้าเกล้าบอกเหินพร้อมกับยิ้มอ่อนๆ ไปให้
“อืม อย่าคิดมากเลย ฉันเข้าใจ เราสั่งไอศกรีมกันดีกว่า ยังไงวันนี้พี่เลี้ยงทุกคนเองนะ” เหินฟ้ายิ้มมุมปากแบบเท่ๆ หนึ่งที พร้อมกับเรียกพนักงานมารับออร์เดอร์
“พี่ให้เรนเลือกก่อนเลยว่าอยากทานอะไร” เหินฟ้าส่งเมนูให้เรนแต่อีกฝ่ายเอาแต่เมินหน้าหนี
“เรนไม่อยากทานไอติมหรอ วันนี้เกล้าเลือกร้านนี้เพราะอยากให้เรนได้กินช็อคโกแลตเลยน้า” เจ้าเกล้าลูบหัวเรนไปพลางส่งซิกไปทางเหินฟ้าพลาง
“นี่ไงน้องเรน วันนี้มีเมนูพิเศษที่มีแต่วันนี้เท่านั้นนะครับ เขาเขียนว่าเป็นซูปเปอร์ช็อคโกลาวา มีซอสช็อคโกแลตอยู่ในไอศกรีมด้วยครับ ไม่ต้องสนใจพี่ก็ได้ครับ แต่ต้องทานไอติมนะ เกล้าอยากมาหาเรนมากเพราะอยากให้เรนได้กินของอร่อยที่มีแค่วันนี้” เหินฟ้าใช้น้ำเสียงเวลาที่คุยกับน้องรัก ต้องขอบคุณเด็กน้อยที่บ้านที่ทำให้เขามีสกิลในการรับมือกับเด็กๆ ถึงแม้น้องรักจะไม่ได้ดูเอาแต่ใจแบบนี้ก็ตาม
“เอาไหมเรน เกล้าก็อยากกินนะ เราสั่งเมนูนี้มากินด้วยกันดีไหม คุณเหินเขาก็กินของเขา เราก็กินของเรา ดีไหม” เจ้าเกล้ายิ้มให้เรนเนอร์จนอีกฝ่ายต้องหันกลับมามองตาอยู่นาน เรนเนอร์หันมองเกล้าที คุณเหินที ซึ่งตอนนี้คนที่นั่งหัวโต๊ะ กำลังกางเมนูช็อคโกแลตให้ดูอยู่พร้อมกับยิ้มน้อยๆ แต่ดูแล้วจริงใจในระดับนึง
“เอา…ก็ได้ กินกับเกล้านะ” เรนเนอร์กล่าว
“ได้เลยครับ เดี๋ยวเราไปล้างหน้ากันก่อนดีกว่าเนอะ ตาสวยๆ ของเรนช้ำหมดแล้วครับ ไปนะ เกล้าพาไป” เจ้าเกล้ากล่าวชวนเรนเนอร์ และอีกฝ่ายก็พยักหน้าเห็นด้วย “ทุกคนเดี๋ยวเกล้ามานะครับ พาเรนไปห้องน้ำเดี๋ยว เกล้าขอโทษอีกทีนะครับคุณเหิน” เจ้าเกล้ากล่าวเบาๆ ตอนที่กำลังจะเดินออกไป เหินฟ้ายิ้มและพยักหน้าเบาๆ ให้รู้ว่าเขาเข้าใจและไม่ได้กะจะว่าอะไรอีกฝ่ายเลย
หลังจากทั้งสองคนเดินออกไปแล้ว ทั้งโต๊ะก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง ดินกับพุฒิมองหน้ากันอีกครั้ง ต่างคนต่างคิดตรงกันว่าคุณเหินฟ้าคนนี้ดูไม่ธรรมดาเลย รับมือกับสถานการณ์ที่ปราบหลายคนที่เคยจีบเกล้ามาแล้วอย่างเรนเนอร์ได้ แถมยังดูไม่ตกใจอีก นิ่งและสงบมากจนคาดไม่ถึง
“ทุกคนฝึกงานกันที่ไหนหรอครับ” เหินฟ้าเอ่ยออกมาทำลายบรรยากาศแปลกๆ นี้
“เราแยกๆ กันไปครับ อย่างผมก็ไปสายข่าว” ดินเป็นคนตอบเหินฟ้า พร้อมกันนั้นก็ตอบแทนคนอื่นๆ ไปด้วย “พุฒิไปสายสถาปัตย์ อินไปแม็กกาซีน ส่วนเรนไปสายดนตรี”
“อ๋อ น่าสนใจดี เราทำข่าวที่ไหนล่ะ” เหินฟ้าถามดินต่อ
“ดีเท็กท์ครับ” ดินตอบ
“อ้อ เป็นบริษัทที่ดี เพื่อนของพี่เป็นกรรมการบริหารอยู่ที่นี่คนนึง เห็นเคยเล่าว่ารับเด็กฝึกงานยากมาก เราเก่งนะที่ได้ทำที่นี่ ฝึกออกมาแล้วรับรองว่าเจ๋งแน่” เหินฟ้าเอ่ยชมอย่างจริงใจ มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าดินเป็นคนเก่ง ฉลาดและเฉลียว แถมยังน่าจะซื่อสัตย์ คนอย่างนี้สมควรสนับสนุน
“เราล่ะ สถาปัตย์นี่ทำที่ไหน” เหินฟ้าหันมาถามพุฒิต่อ
“เอ่อ บริษัทอินโทรครับ” พุฒิยังงงๆ อยู่ว่าบรรยากาศเมื่อกี้เปลี่ยนมาเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร
“อาห้ะ เราสนใจสถาปัตย์หรอ”
“ใช่ครับ จริงๆ ผมเข้านิเทศตามเพื่อนๆ แต่จริงๆ อยากเรียนสถาปัตย์น่ะครับ”
“อื้ม งานสถาปัตย์ยากอยู่นะ ถ้าสมมติฝึกจบแล้วอยากลองทำสถาปัตย์ดูจริงๆ บอกพี่ได้นะ เพื่อนพี่ทำบริษัทครีเอทเอสเตท ทุกๆ ปีเขาจะมีโครงการเทรนคนที่อยากรู้เรื่องพวกนี้ ความรู้ที่ได้มาใช้ได้จริงเลย บางคนเอาไปต่อยอดจนเป็นสถาปนิกเก่งๆ ได้เลย” เหินฟ้าเล่าให้พุฒิพัฒน์ฟัง ซึ่งตอนนี้เด็กหนุ่มมีท่าทางตั้งใจและกระตือรือร้นมาก น่าจะชอบเรื่องสถาปัตย์จริงๆ
“จริงหรอครับพี่ ผมเคยเห็นโครงการของครีเอทฯ แล้วครับ แต่เขาดูรับคนยากมากเลย น่าจะมีพื้นฐาน ถ้าได้เข้าผมจะดีใจมากเลยพี่” พุฒิในตอนนี้ได้ลืมการพยายามเขม่นคนตรงหน้าไปแล้ว แถมยังยกให้เป็นพี่เหินอีกด้วย
“อื้ม ถ้าสนใจก็บอกได้ จริงๆ มันอยู่ที่ใจเรา ถ้าอยากทำมากๆ ก็ไม่ยากเกินไปหรอก แสดงแพชชั่นให้เขาเห็น”
“โห แล้วเคยมีคนที่ไม่มีพื้นแต่ผ่านเข้าไปได้เลยหรอครับ” พุฒิพัฒน์ถามออกมา แอบตกใจเหมือนกันเพราะโครงการนี้เพื่อนๆ สถาปัตย์เองยังบอกว่าเข้าร่วมยาก
“มีสิ พี่ไง” เหินฟ้าเอ่ย
“เหยดดดดดด พี่เรียนสถาปัตย์มาหรอครับ”
“เปล่าเลย แต่ชอบ Interior เลยลองดู ตอนนั้นก็เหมือนเราเลย อยากทำมาก เขาเห็นเราชอบและน่าจะขยันเลยได้เข้าไป ช่วงนั้นเหนื่อยสายตัวแทบขาดเหมือนกัน...”
บทสนทนาค่อยๆ ลื่นไหลไปเรื่อยๆ โดยที่คนที่เป็นผู้ใหญ่ที่สุดในโต๊ะเป็นคนเริ่มแต่ละหัวข้อขึ้นมา โดยอิงจากน้องๆ แต่ละคน เหินฟ้าแนะนำเทคนิค วิธีการ และเส้นทางต่างๆ ในการทำงานที่เหมาะกับของแต่ละคน เพราะเขาเองก็เป็นมีแพชชั่นแต่เด็กๆ อยากทำนู้นนี่เยอะไปหมด แล้วก็ชอบที่จะลองทำเสมอ ด้วยเหตุนี้มันจึงไม่ยากเมื่อเขาสามารถดึงประสบการณ์ตรงของเขาออกมาแนะนำน้องๆ ได้ แถมยังมีคอนเนคชั่นอยู่แทบทุกที่ซึ่งคงเป็นความสามารถที่ได้แม่มา
“พี่เหิน ผมขอถามตรงๆ ได้ไหมครับ” หลังจากคุยกันไปสักพัก พุฒิเห็นว่าเจ้าเกล้ากับเรนเนอร์ยังไม่มาจึงถือโอกาสนี้เปิดอกกับคนๆ นี้ที่หลังจากคุยกันเขารู้สึกถูกชะตา และอยากนับถือเป็นไอดอลเหลือเกิน
“พี่ชอบเกล้า”
“…”
“…”
“…”
ทุกคนบนโต๊ะล้วนสะดุ้งยกเว้นต้นอินที่ฟุบอยู่กับโต๊ะแต่ก็แอบยิ้มน้อยๆ เมื่อได้ยินถึงความตรงๆ ของผู้ชายคนนี้
“เราคงหวงเพื่อนมาก ให้เดาก็คงกันคนมาจีบเกล้าใช่หรือเปล่า” เหินฟ้าแอบเหล่ไปมองเต้ยกับสิปป์ ทั้งสองคนถึงกับสะดุ้งน้อยๆ และที่เหินฟ้าเข้าใจก็เป็นเพราะเขาเองก็เคยกันภาพฟ้าจากหนุ่มๆ ทั้งในและนอกคณะ เขาเรียนบริหารซึ่งเป็นหลักสูตรอินเตอร์ ผู้ชายหลายคนที่เข้ามาหาภาพฟ้าจึงมีแต่หล่อ รวย และเจ้าชู้ ซึ่งเขาและเวทย์ก็มักช่วยกันสกรีนอยู่บ่อยๆ
“ใช่ครับ จริงๆ เกล้าก็ดูแลตัวเองได้อยู่ แต่ครอบครัวของเกล้าเป็นคนฝากพวกเราไว้” ดินเป็นคนตอบข้อสงสัย
“แล้ว นี่คือพี่จีบเกล้านี่ เกล้ามันยอมหรอ เห็นเมื่อกี้บอกเป็นพี่ชาย” พุฒิแซวขำๆ
“เฮ้อ เอาจริงๆ พี่เพิ่งเริ่มจีบได้ไม่นาน แต่คงต้องคุยกันให้ชัดเจนกว่านี้” เหินฟ้าเอ่ยขึ้น
“ผมคุยกับพี่แล้วรู้สึกว่าพี่น่าจะดูแลเกล้าได้ เราจะให้โอกาสพี่นะครับ” ดินพูด “ผมขอแนะนำว่าพี่ต้องทำให้แน่ใจว่าเกล้าชอบพี่บ้างแล้วสักนิดนึง ไม่งั้นล่ะก็ พูดไปตรงๆ เกล้ามีสิทธิปฏิเสธสูงนะครับ”
“งั้นหรอกหรอ โอเค ขอบคุณมาก” เหินฟ้าดินและพุฒิอีกครั้ง “พี่อยากให้เราไว้ใจพี่ มันไม่ง่าย พี่เข้าใจ จับตาดูพี่เอาไว้นี่แหละ พี่เองไม่ได้ชอบใครง่ายๆ เหมือนกัน พอชอบแล้ว พี่ก็จะเต็มที่” เหินฟ้าพูดอย่างหนักแน่น “ส่วนสองคนนี้ พี่ต้องขอโทษด้วย” เหินฟ้าส่งสายตาไปให้ทั้งเต้ย และสิปป์ เขาจำเป็นต้องตัดคู่แข่งที่เป็นไปได้ทั้งหมด เขาจะไม่บอกให้มาแข่งกัน แต่เขาจะตัดสิทธิ์และยอมแพ้ไปซะ นี่คือหนึ่งในหลักของการเจรจาธุรกิจที่เขาต้องมี
“ฮ่าๆๆๆ ขำหน้าพวกแม่งว่ะ โอ้ยพี่ ไอ้สองคนนี้แพ้ตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่ม ไอ้เต้ยนี่สายเนียน แต่เกล้ามันรู้ทันก็ไม่เล่นด้วย” เหินฟ้าแอบสะดุ้ง เขาเองก็สายเนียนเหมือนกันถ้าจำไม่ผิด “ส่วนไอ้หน้าอ่อนนี่ตอดมาเป็นเดือนแล้ว ชัดเจนกว่านี้ก็ควักหัวใจให้แล้ว แต่รายนั้นก็ทำแค่ยิ้มให้แล้วก็บอกปฎิเสธ แห้วกว่านี้ก็สวนแห้วแล้วไอ้สิปป์เอ้ย” พุฒิเป็นคนอธิบายเรื่องราวคร่าวๆ ของคู่แข่ง(ที่ถูกตัดสิทธิ์ไปแล้ว)ของเหินฟ้า
“เฮ้อ ผมก็ไม่อยากยอมแพ้นะพี่ แต่คงต้องยอม สู้กับใจพี่เกล้าว่ายากแล้ว ถ้าผมต้องสู้กับพี่เหินเนี่ย ผมว่าผมเอาเวลาไปกินแห้วให้อิ่มดีกว่าครับ ฮ่าๆๆ” สิปป์พูดที่เล่นทีจริง
“เอาน่าเดี๋ยวก็มีคนที่ใช่เข้ามา แต่คนนี้คือใช่ของพี่ พี่มาทีหลัง แต่ขอใช่ก่อน” เหินฟ้าพูดกลั้วหัวเราะ ทั้งโต๊ะจึงมีแต่เสียงขบขันจนกระทั่งเจ้าเกล้าและเรนเนอร์กลับมาบรรยากาศจึงดีขึ้นโข
.
.
.
หลังจากมื้อของหวานแสนอร่อยกับบรรยากาศดีๆ จบลง เหินฟ้าจึงอาสามาส่งเจ้าเกล้าอีกตามเคย
“วันนี้ขอบคุณนะครับ” เจ้าเกล้าเอ่ยขึ้นขณะนั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถให้กับคนตัวสูง
“หืม เรื่องอะไรหรอ” เหินฟ้าถามสายตายังมองไปข้างหน้า
“หลังจากที่เกล้ากลับมาอีกที บรรยากาศดีขึ้นมาก เมื่อกี้แอบถามดิน ดินเลยเล่าให้ฟังว่าคุณเหินเล่าหลายๆ เรื่องให้พวกมันฟัง มีประโยชน์มากเลย พุฒิเหมือนเอาคุณเป็นไอดอลแล้วนะครับตอนนี้” เจ้าเกล้ายิ้มจนตาปิด เขาแอบดีใจเล็กๆ ที่เหินฟ้าเข้ากับเพื่อนเขาได้ ถึงแม้เรนเนอร์จะยังไม่เปิดใจเต็มที่ แต่เหินฟ้าก็รับมือได้อย่างไม่ยากนัก
“พี่” เหินฟ้าพูดขึ้นมา
“ครับ?”
“เรียกพี่ว่าพี่”
“เอ๊ะ!”
“เร็วเข้า เรียกพี่เหิน” เหินฟ้ายังตามองไปข้างหน้า
“เอ่อ พี่เหิน” เจ้าเกล้างงนิดหน่อยที่อยู่ดีๆ ก็ให้เปลี่ยนสรรพนามกันดื้อๆ
“ดีมากครับ ต่อจากนี้เรียกตัวเองว่าเกล้าเหมือนที่คุยกับคุณยายด้วยรู้ไหม” เหินฟ้าเอื้อมมือไปลูบหัวเด็กดีของเขา
“ค..ครับ” เจ้าเกล้ารู้สึกคันยุบยิบที่ช่วงอก มันเป็นความรู้สึกแปลกใหม่ที่เขาว่ามันไม่เลวเท่าไหร่นัก
“เพื่อนๆ เราเป็นคนดี เขารักและห่วงเรามาก โชคดีมากเลยที่มีเพื่อนดีๆ ไว้ว่างๆ ให้พี่พาไปเลี้ยงขนมอีก” เหินฟ้ายังไม่ละมือออกจากผมนุ่มๆ ของคนตัวหอม
“ผม เอ่อ เกล้าดีใจครับที่...พี่เหินเอ็นดูเพื่อนๆ”
“อืม เอ็มดูทุกคนนั่นแหละ” โดยเฉพาะเรา เหินฟ้าคิดในใจ ส่วนใบหน้าก็แสดงออกด้วยการยิ้มกว้างๆ ออกมา
“พี่เหินครับ” เจ้าเกล้าแอบรู้สึกขัดๆ นิดหน่อย แต่ก็พยายามพูดออกมาจากความรู้สึกจริงๆ ของตน ความรู้สึกชื่นชม และเคารพคนๆ นี้
“ครับ” เหินฟ้าอดไม่ได้ที่จะใจกระตุกเบาๆ เวลาที่เอามือใหญ่ออกจากศีรษะของอีกคนซึ่งฝ่ายนั้นค่อยๆ เรียกชื่อเขาอย่างไม่ถนัดพร้อมกับค่อยช้อนสายตาขึ้นมา ช่างเป็นภาพที่น่าจับขย้ำให้จมที่นอน
“จริงๆ แล้วพรุ่งนี้เกล้ากับที่บ้านจะไปเลี้ยงอาหารเด็กๆ ที่มูลนิธิ ถ้าพี่ว่าง เกล้าอยากให้มาด้วยกันครับ” เจ้ากล้ากล่าวเชิญอีกคน
“อื้ม ได้สิ พรุ่งนี้ว่างแหละนะ” คุณพรพรรณผมขอโทษด้วยจริงๆ พรุ่งนี้ผมขอเลื่อนประชุมไปอีกวันเถอะ เหินฟ้าได้แต่คิดในใจ “ว่าแต่ ไปเลี้ยงอาหารเนื่องในโอกาสอะไรล่ะ”
“วันเกิดเกล้าเอง” เจ้าเกล้ายิ้มกว้างไปทั้งใบหน้า เขาอยากให้อีกฝ่ายไปด้วยกัน มันคงจะสนุกมากถ้าอยู่กันพร้อมหน้า นี่เขาทำเหมือนติดพี่เหินไปเสียแล้ว ก็เจอหน้ากันแทบทุกวันเลย แถมยิ่งรู้จักก็ยิ่งรู้สึกชื่นชมและดีใจที่ได้รู้จักผู้ชายคนนี้
“เอ้า ทำไมไม่รีบบอก” เหินฟ้าแอบบ่นในใจว่าทำไมตัวเองไม่รีบหาข้อมูลก่อน ตายห่า ยังไม่มีของขวัญเลย พรุ่งนี้แล้วด้วย
“ลืมทุกทีเลยครับ เกล้าเพิ่งนึกได้ เพราะเดี๋ยวต้องกลัวไปเตรียมของทำอาหารพอดี”
“ไม่ให้เวลาพี่เตรียมของขวัญเลยหรอ” เหินฟ้าถาม
“จริงๆ ของขวัญไม่ต้องก็ได้นะครับ แค่ถ้าเกิดว่า พรุ่งนี้พี่มาได้แล้วมาด้วยกัน ก็เป็นของขวัญให้เกล้าแล้วครับ” เจ้าเกล้าพูดออกมาจากใจ เพราะเขาคิดว่าของขวัญของคนตรงหน้าน่าจะเป็นของแพงแน่ๆ เลย
“เฮ้อ ได้ยังไงเล่า ถ้าให้ย้อนหลังได้ใช่ไหม”
“โถ่ ไม่จำเป็นจริงๆ นะครับ” เจ้าเกล้ายังคงยืนยันด้วยใบหน้าที่เริ่มง้ำงอ
“เอาน่า ปีละครั้งเอง” เหินฟ้าพูดไปยิ้มไป
“ไม่ต้องเลยพี่เหิน เกล้ารู้ว่าพี่ต้องซื้อของแพงๆ แน่ๆ เลย” เจ้าเกล้าเริ่มเปลี่ยนโทนเสียง
“อ้าว ก็ไม่แพงนะ อย่างนาฬิกา กระเป๋า หรือจะเครื่องเพชรอย่างงี้ไง” เหินฟ้าแกล้งหยอก
“นี่ไงๆ ห้ามนะครับ ถ้าพี่ซื้อของพวกนี้เกล้าโกรธจริงๆ ด้วย ถ้าอยากให้ก็ต้องให้อะไรที่มีคุณค่าทางจิตใจมากกว่าราคานะครับ” นี่แหละคือสิ่งที่ทำให้เหินฟ้ามีความสุข การที่ได้โดนเจ้าเกล้าดุ เตือน หรืออะไรก็ตามที่เกี่ยวกับการใช้ชีวิตของเขา เพราะเขาอยากให้อีกคนมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเหลือเกิน
“ก็ได้ครับๆ เอาเป็นว่าถ้าพี่หาได้แล้วจะเอามาให้ย้อนหลังแล้วกันนะ” เหินฟ้ากล่าว
“เฮ้อ ทำไมดื้อจังเลยครับ ถ้าอย่างนั้นแล้วแต่พี่เหินเลยครับ แต่ห้ามแพงนะครับ สัญญาก่อน” เจ้าเกล้าเอ่ยเสียงแข็งที่คนฟังกลับรู้สึกว่ามันอ่อนนุ่มมากกว่า
“สัญญาครับ” เหินฟ้าที่ได้ทีเนียนจับมือของอีกคนมาเกี่ยวก้อยหน้าตาเฉย แถมยังลูบไปลูบมาจนเจ้าเกล้าแอบตกใจนิดหน่อย แต่ก็แปลกที่เขากลับรู้สึกว่ามันไม่ได้เป็นการล่วงเกินอะไร แต่มันเหมือนเป็นการถ่ายทอดความอบอุ่นให้กันมากกว่า...
❤❤❤❤
นานมาแล้ว....
ฮืออ ขอโทษจริงๆ ค่ะ ทั้งงานและเรื่องส่วนตัวต่างรุมเร้าจนไม่ได้เขียนตอนใหม่สักที
ที่ว่าจะลงทีละห้าตอนคงต้องเปลี่ยนแล้วล่ะค่ะ มีเมื่อไหร่ก็ลงเลย ไม่อยากให้ทุกคนรอนาน
ยังมีคนรออยู่เนาะ ฮืออ
ขอบคุณที่เม้นมากๆ เลยนะคะ อย่างน้อยยังมีคนอ่าน ดีใจจุงงง
สุดท้ายนี้ขอให้ผู้อ่านทุกท่านพบเจอแต่ความสุข ทั้งจากเรื่องงาน เรื่องคน เรื่องความรัก และเงินทองนะคะ
คิดหนึ่งให้ได้สอง คิดสองให้ได้สามไปเลยค่ะ สุขสันต์วันปีใหม่ 2019 ค่ะ (ลงเกือบไม่ทันวันนี้ แฮ่ๆ)
พบกันในตอนหน้าจ้า <3
JYUBE.
#ใจก้าว