ตอนที่ 13 ล่าเตียง,หรุ่ม
หลังจากที่ทุกคนได้ทานข้าวแช่ชาววังกันจนอิ่มทั้งท้องและอิ่มทั้งความสุขกันถ้วนหน้าแล้ว ถึงเวลาที่รัญญรีและหม่องจะต้องเดินทางกลับกรุงเทพ รัญญรีบอกกับคุณขจีว่าจะกลับมาเที่ยวอีกแน่นอนและจะพาคุณสโรชาผู้เป็นแม่ของรัญญรีมาเที่ยวด้วย คุณขจีดีใจที่รัญญรีรับปากว่าพาน้องสาวของเธอมาหา เพราะคุณขจีรู้ดีว่าสโรชาเป็นสาวสังคมและไม่ค่อยมีเวลา แต่หากรัญญรีอ้อนให้มาก็คงจะตอบตกลงแน่ พราะสโรชารักและตามใจรัญญรีมาก
มีคุณขอตัวพาเพื่อนสนิททั้งสองคนของนับตังค์ไปส่งที่สนามบิน แต่นับตังค์ พายพัด ใบเมี่ยงขออยู่คุยกับคุณขจีต่อ คุณขจีชวนนับตังค์พูดคุยเรื่องอาหารไทย เมื่อได้พูดคุยกับนับตังค์แล้วจึงได้รู้ว่านับตังค์เป็นลูกของคุณธนบัตรกับคุณนับดาว ซึ่งคุณขจีรู้จักทั้งสองคน คุณขจีเข้าใจได้ทันทีว่าทำไมถึงรู้สึกคุ้นหน้านับตังค์เพราะนับตังค์มีใบหน้าคล้ายคุณนับดาวนั่นเอง
“โลกมันกลมดีแท้ ป้าเคยไปเรียนทำอาหารไทยกับคุณย่าของหนู ท่านสบายดีใช่ไหม” ขจีถามนับตังค์
“ครับ คุณย่าแข็งแรงดี ปกติคุณย่าท่านจะไม่ยอมสอนใคร แสดงว่าต้องสนิทสนมกับคุณป้านะครับ” นับตังค์ออกจะแปลกใจอยู่เหมือนกัน เพราะปกติคุณย่าละม่อมเป็นคนหวงสูตรอาหารของท่านมาก ถ้าไม่ใช่คนในครอบครัวจะไม่สอนเด็ดขาด
“แม่ของป้าท่านก็เป็นข้าเก่าในวัง แต่ไม่ได้อยู่ประจำห้องเครื่องหรอก ท่านสนิทกับคุณย่าของหนู ป้าเลยพลอยได้ความเอ็นดูจากป้าละม่อมยอมให้ป้าเป็นศิษย์ แต่ป้าคงไม่มีบุญเพราะว่าไม่ถนัดเรื่องอาหารจริงๆ เลยขอเป็นคนชิมดีกว่า” คุณขจีระลึกอดีตแล้วนึกขำตัวเอง ด้วยความที่ไม่มีฝีมือทางด้านอาหาร ไม่ว่าคุณย่าของนับตังค์จะพยายามสอนเท่าไหร่ก็ไม่พัฒนา จึงต้องขอลาจากการฝึกเป็นแม่บ้านแม่เรือนมาเป็นคนชิมเพียงอย่างเดียว แต่หลังจากที่คุณแม่ของคุณขจีเสีย คุณขจีก็มาใช้ชีวิตอยู่ที่เกาะนี้ ด้วยอายุที่มากขึ้นก็เลยไม่ค่อยเดินทางไปไหน จึงไม่ได้ขึ้นไปเยี่ยมเยียนคุณละม่อมอีก
“เมี่ยงอยากขอไปเป็นศิษย์คุณย่าของเชฟบ้างจังเลยครับ” ใบเมี่ยงรู้สึกตื่นเต้นเมื่อได้รับรู้ประวัติของนับตังค์
“สรุปว่าหนูตังจะมาเป็นเชฟที่ร้านของพี่อนันต์เหรอจ๊ะ ดีจังเลย ป้าจะได้ทานของอร่อยทุกวัน ตั้งแต่พี่อนันต์เสีย ป้าก็ไม่ค่อยได้ทานของอร่อยเลย ดูสิ เคยกินของอร่อยจนเคยตัว ตอนนี้กินอะไรก็รู้สึกไม่ถูกปากไปหมด หรือจะเพราะอายุเยอะขึ้นก็ไม่รู้ เห็นอะไรก็ไม่อยาก ได้ข้าวแช่ของหนูตัง วันนี้ป้าเลยเจริญอาหารกว่าปกติ” คุณขจีคิดถึงคุณอนันต์ที่ตนนับถือเหมือนพี่ชายแท้ๆ ยังคงนึกอาลัยไม่หายเมื่อได้คิดถึง
“คุณป้าอยากทานอะไรเป็นพิเศษไหมครับ พรุ่งนี้ตังจะทำมาให้กิน” นับตังค์รู้สึกว่าได้ใกล้ชิดคุณขจีแล้วเหมือนได้อยู่กับแม่ ท่านดูมีเมตตา ใจดี เวลาพูดจาก็ดูนุ่มนวลน่าฟัง
“ป้ายังจำรสหรุ่มของป้าละม่อมได้ มันอร่อยมาก หนูตังทำได้ไหมจ๊ะ” ขจีนึกถึงรสชาติอาหารไทยโบราณฝีมือของคุณละม่อมได้ดี โดยเฉพาะหรุ่มกับล่าเตียง สมัยที่เธอยังอยู่ที่กรุงเทพ ทุกครั้งที่คุณละม่อมทำอาหารสองชนิดนี้เป็นต้องทำเผื่อเธอทุกครั้งเพราะรู้ว่าเธอชอบ
“สบายมากเลยครับ พรุ่งนี้ตังจะทำให้คุณป้าลองทานว่าฝีมือจะสู้คุณย่าได้หรือเปล่า” นับตังค์ดีใจที่จะได้ทำให้คุณขจีทานข้าวได้
“หรุ่ม ล่าเตียง ชื่อแปลกดีนะครับ ผมเพิ่งเคยได้ยิน” พายพัดซึ่งนั่งเล่นกับด้วงอยู่ เมื่อได้ยินชื่ออาหารไทยแปลกๆ ก็อยากรู้ว่ามันคืออะไร
“มันไม่เหมือนกันเหรอครับเชฟ” ใบเมี่ยงถามเพราะสงสัยอยู่เหมือนกัน
“เลิกเรียกเชฟได้แล้ว บอกว่าเอาไว้เรียกตอนเวลางาน เรียกตังดีกว่า” นับตังค์เห็นใบเมี่ยงเรียกมีคุณแบบสนิทสนมแล้วก็อยากให้เรียกตัวเองแบบสนิทสนมบ้าง นับตังค์ชอบใบเมี่ยงและพายพัด คิดว่าทั้งสองคนเป็นเหมือนคนในครอบครัวไปแล้ว
“เมี่ยงลืมตัวทุกทีครับ” ใบเมี่ยงหัวเราะเพราะเรียกนับตังค์ว่าเชฟจนติดปาก
“เมื่อก่อนป้าก็คิดว่ามันเหมือนกัน แต่มารู้ตอนที่ย่าของหนูตังอธิบายให้ฟัง ทั้งคู่เป็นอาหารที่อยู่ในบทพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ล้นเกล้ารัชกาลที่สอง ป้ายังจำได้ขึ้นใจเลยตอนที่โดนสั่งให้ท่องกาพย์เห่เรือนี้ให้ได้” คุณขจีนึกแล้วก็อดยิ้มออกมาไม่ได้
“ท่องให้เมี่ยงฟังได้ไหมครับ” ใบเมี่ยงชอบฟังเรื่องเล่าเกี่ยวกับอาหาร โดยเฉพาะอาหารไทยโบราณ
“ล่าเตียงคิดเตียงน้อง นอนเตียงทองทำเมืองบน ลดหลั่นชั้นชอบกล ยลอยากนิทรคิดแนบนอน” คุณขจีท่องให้ใบเมี่ยงฟัง
“มันหมายความว่ายังไงครับ” พายพัดทำหน้าไม่เข้าใจ ถึงเขาจะมีแม่เป็นคนไทย แต่ไม่ค่อยจะรู้เรื่องเกี่ยวกับอาหารไทยหรือเรื่องเกี่ยวกับเมืองไทยมากนักเพราะแม่ไม่ค่อยเล่าอะไรให้ฟัง
“ก็หมายถึงเวลาได้เห็นอาหารที่ชื่อว่าล่าเตียง ก็พลอยทำให้คิดถึงเตียงของน้อง เตียงสีทองมีลวดลายสวยงาม ลดหลั่นเป็นชั้นเหมือนอยู่บนสวรรค์ เห็นแล้วก็หวนให้อยากกลับนอนกับน้องบนเตียงนั่น” คุณขจีอธิบายให้ฟัง
“ผมอยากเห็นแล้วสิว่าล่าเตียงมันเป็นยังไง” พายพัดได้ยินแค่กลอนก็อยากจะเห็นอาหารไทยชนิดนี้แล้ว
“แล้วหรุ่มละครับ” ใบเมี่ยงถามอีก
“เห็นหรุ่มรุมทรวงเศร้า รุ่มรุ่มเร้าคือไฟฟอน เจ็บไกลในอาวรณ์ ร้อนรุมรุ่มกลุ้มกลางทรวง” คราวนี้นับตังค์เป็นคนท่องให้ฟัง
“คำแปลก็คือ เวลาเห็นอาหารที่ชื่อหรุ่ม ทำให้นึกไปถึงความรุ่มร้อนที่ระอุอยู่ในอก เป็นความทรมานใจที่คิดถึงคนไกล มันร้อนรุ่มกลุ้มใจไปทุกอย่าง” คุณขจีอธิบายต่อโดยที่ไม่ได้รอให้ใบเมี่ยงถาม
“แบบนี้ผมขอกินล่าเตียงดีกว่า มันดูไม่ทรมานดีนะครับ” พายพัดรีบบอก คุณขจีได้ยินก็หัวเราะขำ
“แล้วมันแตกต่างกันตรงไหนเหรอตัง เมี่ยงเคยได้กินนะ แต่มันเหมือนกันเลย เมี่ยงนึกว่ามันคืออาหารอย่างเดียวกันแต่มีสองชื่อเสียอีก”
“ข้อแตกต่างของมันอันดับแรกเลยคือรูปแบบของไข่ที่ห่อไส้ ล่าเตียงจะใช้ไข่โรยในกระทะให้เป็นตาราง ลักษณะเหมือนแห่ อย่างที่เราใช้ห่อพริกหยวกนึ่งในเมนูข้าวแช่ไง ส่วนหรุ่มจะทอดไข่เป็นแผ่นบางๆ แล้วห่อไส้อีกที ส่วนไส้ก็ปรุงรสคล้ายๆ กัน แต่สูตรของคุณย่า ล่าเตียงจะมีส่วนผสมของกุ้ง ส่วนหรุ่มจะใช้เนื้อหมูหรือไม่ก็ไก่” นับตังค์อธิบายตามที่ถูกสอนมา
“อ๋อ แบบนี้นี่เอง ดีจัง ได้ความรู้แน่นเลย คิดแล้วก็อยากให้พรุ่งนี้เร็วๆ เมี่ยงอยากช่วยทำแล้วก็ช่วยชิมด้วย”
“หนูจินด้วย หนูจะจินหนม” ด้วงชูมือสองข้างขอกินด้วยเป็นที่น่าเอ็นดู
“ด้วงดูแจ่มใสขึ้น ได้อยู่กับพี่ๆ คงคลายความคิดถึงพ่อแม่และพี่อนันต์ได้บ้างแล้ว ตอนอยู่กับป้า ด้วงซึมจนป้าไม่สบายใจเลย” คุณขจีมองด้วงแล้วถอนหายใจ
“คุณป้า พอดีตังอยากจะถามว่า...” นับตังค์กำลังจะถามเรื่องของด้วง แต่ดาวเรืองเดินเข้ามาเสียก่อน
“ขอโทษที่ดิฉันเข้ามาขัดจังหวะนะคะ คุณท่านคะ มีชาวต่างชาติมาเป็นกรุ๊ปใหญ่เลยค่ะ” ดาวเรืองพูดจาสุภาพนอบน้อมจนนับตังค์ไม่อยากจะเชื่อสายตาเลยว่าเป็นคนเดียวกับที่ใส่อารมณ์กับเขาในวันนั้น
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราไม่กวนคุณป้าแล้วครับ เอาไว้พรุ่งนี้ผมจะเอาล่าเตียงกับหรุ่มมาให้คุณป้าชิมแล้วจะแวะมาคุยด้วยใหม่นะครับ” นับตังค์ถือโอกาสขอตัวเพราะไม่อยากพูดเรื่องด้วงตอนดาวเรืองอยู่
“อุ้มหนู” ด้วงเห็นดาวเรืองมาก็รีบอ้อนพายพัดให้อุ้ม เมื่อพายพัดอุ้ม ด้วงก็ซบหน้ากับไหล่ของพายพัดทันที
“ขอบใจมากนะ วันนี้ป้ามีความสุขมาก ทั้งอิ่มท้อง ทั้งหายเหงา” ขจีรับไหว้จากเด็กหนุ่มทั้งสาม รวมถึงเจ้าตัวเล็กด้วยที่พายพัดบอกให้หันมาสวัสดีคุณขจีก็ทำตามอย่างว่าง่าย
“บายๆ นะหนูด้วง” ดาวเรืองทักด้วง แต่ด้วงไม่ยอมมองหน้า รีบหันหลับไปซบพายพัดใหม่ ดาวเรืองเลยได้แต่ฝืนยิ้มเจื่อนๆ ต่อหน้าทุกคน
มีคุณโทรบอกให้เบิ้มเช่ารถกระบะคันหนึ่งมารอเอาไว้หลังจากที่นั่งเรือมาถึงตัวเมืองแล้ว เขาขับรถไปส่งรัญญรีกับหม่องที่สนามบินเรียบร้อยแล้วก็ขับวนมาที่ห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัด มีคุณอยากซื้อกล้องถ่ายรูปให้นับตังค์ เขาเห็นนับตังค์เป็นคนชอบถ่ายรูป แต่เห็นถ่ายด้วยมือถือ จึงอยากซื้อกล้องให้นับตังค์ถ่ายเป็นเรื่องเป็นราว รวมถึงถ่ายรูปอาหารของตัวเองด้วย
“คุณ บังเอิญจังเลย คุณมาซื้อกล้องเหรอ” คีตะรู้สึกเบื่อเลยชวนพเยียมาเดินเที่ยวห้างในตัวเมือง คีตะเห็นมีคุณตั้งแต่เดินเข้ามาในห้างจึงเดินตามมีคุณมาเรื่อยๆ เมื่อเห็นว่ามีคุณแวะร้านขายกล้องถ่ายรูปจึงเดินเข้ามาทัก
“อืม แล้วคิวมาเดินเที่ยวเหรอ” มีคุณทักกลับแต่สายตายังคงเลือกกล้องต่อ
“คุณชอบกล้องตัวเล็กๆ แบบนี้ด้วยเหรอ คิวจำได้ว่าคุณชอบถ่ายรูป แต่คุณไม่ได้เล่นกล้องแบบนี้นี่นา” คีตะพยายามชวนคุย
“มาคนเดียวเหรอ” มีคุณไม่ได้ตอบเรื่องกล้องแต่ถามกลับเมื่อเห็นคีตะมาคนเดียว
“คิวมากับเพื่อน คุณ...เมื่อวันก่อนคิวขอโทษนะที่ตื้อคุณมากไป คิวจะไม่วุ่นวายให้คุณรำคาญ แต่คุณอย่าโกรธและทำเหมือนคิวเป็นอากาศได้ไหม คิวไม่อยากให้คุณเกลียดคิว” เสียงของคีตะเริ่มสั่นเครือจนมีคุณต้องวางกล้องลงแล้วหันมามอง
“อย่าคิดมาก เรื่องเก่ามันจบไปแล้ว ผมไม่ได้คิดอะไรแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นไปกินข้าวกับคิวได้ไหม พรุ่งนี้คิวก็จะกลับกรุงเทพแล้ว ในฐานะเพื่อนก็ยังดี” คิวอ้อนวอน
“แล้วเพื่อนคิวล่ะ”
“ทำผมทำเล็บนวดหน้านวดตัว คงอีกนานกว่าจะเสร็จ”
“แต่ผมมีเวลาไม่นานนะ”
“กินอะไรง่ายๆ ก็ได้”
“อืม” สุดท้ายมีคุณก็ยอมตกลงไปทานข้าวกับคีตะ ไม่ใช่เพราะใจอ่อน เขารู้นิสัยของคีตะดี ถ้าเขาขัดใจคีตะก็จะยิ่งอยากเอาชนะและตื้อเขาไม่ยอมหยุด เขาไม่อยากให้คีตะทำความลำบากใจให้กับนับตังค์แม้ว่านับตังค์จะบอกว่าไม่คิดมากเรื่องนี้ก็ตาม
คีตะพามีคุณมากินสุกี้เพราะรู้ว่ามีคุณเป็นคนชอบกินสุกี้มาก ตอนที่คบกัน มีคุณมักจะชวนคีตะมากินสุกี้ตลอด ซึ่งคีตะเบื่อและเคยบอกไปว่าไม่ชอบกิน มีคุณก็ตามใจและเลือกที่จะกินร้านที่คีตะเป็นคนเลือก ส่วนใหญ่ก็จะเป็นอาหารญี่ปุ่น แต่วันนี้คีตะอยากเอาใจมีคุณจึงยอมกินสุกี้ที่ตัวเองไม่ค่อยชอบ
“คิวไม่ชอบสุกี้ไม่ใช่เหรอ” มีคุณถามเมื่อคีตะเดินเข้าร้านสุกี้ชื่อดัง
“ยังจำได้ด้วยเหรอ คิวดีใจจัง” คีตะยิ้มแล้วถือวิสาสะควงแขนของมีคุณไปหาโต๊ะนั่ง
“ไปกินร้านอื่นก็ได้นะ จริงๆ ผมก็กินมาแล้ว ยังอิ่มอยู่เลย”
“กินที่นี่แหละ ขี้เกียจเดินหาร้านแล้ว คิวอยากใช้เวลากับคุณให้นานที่สุดก่อนจะกลับ”
“คิว...ผม”
“คิวขอแค่นี้เองนะครับ” คิวทำหน้าเศร้าเมื่อเห็นว่ามีคุณทำท่าทางอึดอัด
มีคุณตัดสินใจนั่งลง คีตะอยากจะนั่งฝั่งเดียวกับมีคุณ แต่เห็นมีคุณไม่ยอมขยับให้ จึงต้องเดินไปนั่งฝั่งตรงกันข้าม พยายามเก็บอาการขี้หงุดหงิดของตัวเองเอาไว้แล้วหยิบเมนูมาสั่งอาหาร คีตะสั่งของที่มีคุณชอบทุกอย่าง ระหว่างนั้นเสียงข้อความจากไลน์ของมีคุณก็ดังขึ้นมา
ท่านเคาท์มันนี่ : ถึงยัง
MEkhun : ถึงนานแล้ว กลับจากรีสอร์ทรึยัง
ท่านเคาท์มันนี่ : เพิ่งถึงบ้านเลย พรุ่งนี้จะทำล่าเตียงนะ คุณป้าขจีอยากกิน
MEkhun : อะไรนะ ชวนพี่ขึ้นเตียงเหรอ
ท่านเคาท์มันนี่ : ขึ้นเขียงก่อนไหม ทะลึ่ง แล้วจะกลับกี่โมงอะ
MEkhun : คิดถึงพี่แล้วเหรอ
ท่านเคาท์มันนี่ : อือ
MEkhun : จริงดิ
มีคุณค่อนข้างแปลกใจที่นับตังค์ยอมรับง่ายๆ
ท่านเคาท์มันนี่ : ทำไม คิดว่าตังล้อเล่นเหรอ
MEkhun : ก็ใช่อะดิ ปกติปากแข็งจะตาย
ท่านเคาท์มันนี่ : ปากแข็งยังไง ตังไปปากแข็งกับพี่เมื่อไหร่เหอะ
MEkhun : ก็ทุกทีพี่ต้องเป็นคนหยอด ตังไม่เคยจะเห็นพูดหวานๆ กับพี่เลย
ท่านเคาท์มันนี่ : น้ำตาลทราย น้ำตาลปี๊บ น้ำตาลมะพร้าว ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง ตังเม น้ำตาลกรวด หวานพอยัง
MEkhun : เราก็เป็นแบบนี้ไง
ท่านเคาท์มันนี่ : อยากได้คนหวานๆ เปลี่ยนใจทันนะ
MEkhun : ไม่อะ ไม่ทันแล้ว หลงจนหัวปรักหัวปรำ
นับตังค์อ่านแล้วยิ้มก่อนจะถ่ายรูปด้วงตอนกำลังทำหน้าเหวอส่งไปให้มีคุณดู
ท่านเคาท์มันนี่ : ด้วงบอกว่า...ให้ยีบจับบ้าน
MEkhun : ด้วงบอกให้รีบกลับบ้านหรือมัมบอก เอาดีๆ
ท่านเคาท์มันนี่ : ด้วงบอกจริงๆ ถ้าไม่เชื่อรีบกลับมาถามดิ แล้วพี่ทำอะไรอยู่
MEkhun : บังเอิญมาเจอคิว เขาขอให้กินข้าวด้วยก่อนที่เขาจะกลับกรุงเทพ
ท่านเคาท์มันนี่ : นัดกิ๊กเอาไว้นี่เอง
MEkhun : เปล่านัดนะ หึงเปล่า บอกมาเลย
ท่านเคาท์มันนี่ : ไม่หึง
MEkhun : แน่นะ
ท่านเคาท์มันนี่ : อือ
MEkhun : ชัวร์
ท่านเคาท์มันนี่ : เยส
MEkhun : แอ๊ะ
ท่านเคาท์มันนี่ : ไม่หึงโว้ย
MEkhun : ฮ่าๆ เนี่ย ปากแข็ง
ท่านเคาท์มันนี่ : โรคจิตปะ แฟนไม่หึงก็จะให้หึง
MEkhun : รู้ตัวว่าเป็นแฟนก็ดีแล้ว ไม่หึงก็ดีแล้ว โตๆ แล้ว คืนนี้มาล่าเตียงกันนะ ซ้อมใหญ่
ท่านเคาท์มันนี่ : เดี๋ยวจะให้ด้วงกินนมผสมกาแฟ จะได้ดีดทั้งคืน พี่จะได้ทำอะไรตังไม่ได้
MEkhun : ฝากด้วงกับเมี่ยงไง เนอะ อยากกุ๊กกิ๊กกับแฟนบ้าง เนอะ
“คุณครับ อาหารมาครบแล้วนะ” คีตะเห็นมีคุณนั่งจิ้มโทรศัพท์แล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ตลอดเวลา ไม่สนใจว่ามีคีตะนั่งอยู่ด้วย คิดแล้วอยากจะกระชากโทรศัพท์มาดู แต่ก็จำต้องอดทนเอาไว้
MEkhun : พี่กินข้าวก่อนนะ รีบๆ กิน จะได้ รีบๆ กลับ อยากหอมแก้มแฟน แฟนน่ารัก
ท่านเคาท์มันนี่ : รู้ว่าตัวเองน่ารักไม่ต้องชมเยอะ แล้วพี่กินอะไรกับกิ๊กบอกสิ
MEkhun : สุกี้
ท่านเคาท์มันนี่ : เอาเป็ดย่างมาฝากด้วยนะ
MEkhun : ครับที่รัก
ท่านเคาท์มันนี่ : ดีมาก Thanks darling
มีคุณแทบอยากจะนั่งเรือกลับบ้านในตอนนี้เลยหลังจากเห็นข้อความสุดท้าย ตั้งแต่ได้รู้จักกันมามีคุณพยายามเรียนรู้ว่านับตังค์เป็นคนยังไง ชอบอะไร นิสัยแบบไหน มีคุณยอมรับว่านับตังค์เป็นคนที่มีความหลากหลายในตัวเองมาก อะไรที่เขาคิดว่านับตังค์จะเป็นแบบนั้นมันกลับไม่ใช่เลย จะเป็นคนหวานก็ไม่ใช่ แต่ก็ทำให้เขายิ้มได้เสมอ
“คุณครับ คิวถามว่าคุณจะกลับกรุงเทพเมื่อไหร่” คีตะเริ่มจะหงุดหงิดที่มีคุณดูสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เขาถามคำถามมีคุณไปสองสามรอบแต่มีคุณกลับไม่ได้ยิน
“ยังไม่แน่ใจ” มีคุณไม่คิดจะบอกเรื่องที่ต้องมาอยู่ที่นี่ปีหนึ่ง
“คิวได้ยินข่าวมาว่าคุณปู่ของคุณเป็นเจ้าของร้านอาหารที่อยู่บนเกาะ แต่คุณปู่ของคุณเสียชีวิตแล้ว คุณมาจัดการเรื่องของท่านเหรอครับ” คีตะลองถามดู
“ครับ” มีคุณตอบสั้นๆ นึกแปลกใจเหมือนกันที่คีตะรู้เรื่องนี้ เห็นทีว่าต้องไปถามสุดเขตว่าหลุดพูดอะไรไปบ้าง
“ถ้าคุณกลับกรุงเทพแล้ว เราจะนัดเจอกันได้บ้างไหม คิวรู้ว่าคิวผิดทำให้คุณต้องผิดหวัง แต่เรื่องราวระหว่างเรามันมีก็เรื่องดีๆ ไม่ได้เลวร้ายไปซะทุกอย่าง คิวมีความสุขทุกครั้งที่ได้นึกถึง ที่คิวมาขอร้องคุณไม่ใช่เพราะคิวไม่มีที่ไป แต่คิวเพิ่งได้รู้ว่าไม่มีที่ไหนที่ทำให้คิวมีความสุขได้มากเท่าตอนอยู่กับคุณ ให้โอกาสคิวได้พิสูจน์ความจริงใจอีกครั้งไม่ได้เหรอครับ”
“ผมให้คุณได้แค่คำว่าเพื่อน” มีคุณย้ำ
“ไม่เป็นไร แค่เพื่อนก็ได้ ดีกว่าเป็นอะไรที่ไม่มีความหมายสำหรับคุณเลย ขอบคุณมากนะครับ” คีตะเอื้อมมือมาแตะที่มือของมีคุณก่อนจะยิ้มเศร้า
“กินเถอะ ผมมีธุระต้องไปทำต่ออีกหลายอย่าง” มีคุณยิ้มตอบก่อนเนียนชักมือของตัวเองออกมาหยิบตะเกียบแล้วก็รีบกินสุกี้เพื่อที่จะได้กลับไปหาคนที่รอคอยเขาอยู่ที่เกาะ
….
อัฐยืนมองนับดาวผู้เป็นภรรยาซึ่งกำลังนั่งเหม่อมองไปเบื้องหน้าอย่างเลื่อนลอย เขารู้ดีว่าภรรยาเสียใจที่ลูกชายคนเล็กหนีออกจากบ้านไป คราวนี้นับดาวดูจะเศร้ากว่าครั้งที่ลูกชายคนโตออกจากบ้านไปเสียอีก
“คุณดาว ไปทานข้าวกันเถอะ คุณแม่ท่านรออยู่” อัฐลอบถอนหายใจก่อนจะเดินเข้าไปหาภรรยา
“ขอโทษทีค่ะ ฉันมัวแต่เช็ดจานชามพวกนี้จนลืมเวลา” นับดาวรีบวางจานลงแล้วลุกขึ้น เธอมัวแต่คิดถึงลูกชายทั้งสองคนที่ออกจากบ้านไป
“ผมรู้ว่าคุณคิดถึงเจ้าตัง อดทนหน่อย เดี๋ยวมันก็กลับมา” อัฐปลอบภรรยา
“ฉันกลัวค่ะ ฉันกลัวว่านับตังค์จะหายไปเหมือนเหรียญเงิน คุณคะ ความผิดของลูกมันรุนแรงถึงกับต้องให้หายจากกันไปอย่างนี้เลยหรือคะ” นับดาวถามด้วยเสียงสั่นเครือ เธอรู้ว่าครอบครัวของสามีเข้มงวดและเด็ดขาด แต่การที่เธอจะไม่ได้เจอหน้าลูกอีกเลย แค่คิด...เธอก็เหมือนว่าหัวใจจะขาดลงเสียให้ได้
“คุณแม่ท่านแก่แล้ว ผมไม่อยากให้ท่านผิดหวังถ้าผมไม่สามารถทำให้ลูกอยู่ในโอวาทได้ เจ้าตังไม่เหมือนเหรียญเงิน ผมเชื่อว่ามันจะคิดได้และกลับมา”
“ฉันจะอดทนอีกแค่เดือนเดียวนะคะ ถ้าลูกยังไม่กลับมาฉันจะไปตามหาลูก” นับดาวพูดกับสามีก่อนจะเดินกลับเข้าไปในบ้าน
อัฐได้แต่ถอนหายใจ ก่อนจะเดินไปเหลือบไปเห็นผ้ากันเปื้อนของนับตังค์ที่ภรรยาของเขาวางทิ้งเอาไว้เลยหยิบขึ้นมา ไม่ใช่ว่าเขาไม่คิดถึงลูกชายคนนี้ นับตังค์เป็นลูกที่ว่านอนสอนง่ายมาตลอด เป็นลูกที่ค่อนข้างสนิทกับเขามากกว่าลูกอีกสองคน เขาถึงได้อดโมโหไม่ได้เมื่อนับตังค์จะเดินออกนอกกรอบที่เขาวางเอาไว้ให้ เพราะเขาเองก็เคยอยู่ในกรอบที่ถูกวางมาก่อน ชีวิตของเขาก็สุขสบายเรียบง่ายเป็นไปด้วยดี เขาจึงมั่นใจว่าการที่นับตังค์ได้ออกไปเจอสิ่งแวดล้อมนอกบ้านนั้น ไม่มีทางดีกว่าสิ่งที่ครอบครัวมอบให้แน่นอน อัฐถึงมั่นใจว่านับตังค์จะต้องกลับมา
….
หลังจากกลับมาจากรีสอร์ทของคุณขจีแล้ว นับตังค์เห็นว่าควรไปซื้อของเอาไว้ทำล่าเตียงกับหรุ่มเสียเลย จะได้ไม่ต้องกวนให้ขมิ้นมารับแต่เช้าอีก ส่วนข้าวเย็นได้ฝากมีคุณซื้อเป็ดย่างกลับมา นับตังค์คิดว่าจะผัดผักและยำรวมมิตรทะเลอีกสองอย่างก็คงพอ นับตังค์ฝากด้วงเอาไว้กับพายพัดและใบเมี่ยง ทั้งสองคนเลยขอติดรถไปลงที่ริมทะเล เห็นว่าแดดร่มลมตกแล้วเลยอยากพาด้วงไปเล่นที่ชายทะเลบ้าง นับตังค์เห็นดีด้วยแล้วบอกว่าเมื่อซื้อของเสร็จจะตามมานั่งเล่นด้วยคน
ช่วงที่นับตังค์ไปซื้อของที่ตลาดได้พักใหญ่มีคุณก็กลับมาถึงเกาะ มีคุณสั่งซื้อรถจักรยานมาด้วยสองคัน คันหนึ่งที่เป็นจักรยานนำเข้ามาจากเกาหลี ซึ่งมันมีเก้าอี้ขนาดใหญ่พอสมควรเอาไว้สำหรับให้เด็กนั่งอยู่ทางด้านหน้า มีพลาสติกเนื้อใสทรงรียาวสำหรับป้องกันลมและเศษฝุ่นติดมากับแฮนด์รถด้วย ส่วนอีกคันก็เป็นจักรยานทั่วไป นอกจากนั้นก็ยังมีของเล่นของด้วงอีกสองสามอย่าง ของใช้สำนักงาน ขนม ของกิน ที่สำคัญคือเป็ดย่างที่นับตังค์สั่งเอาไว้ พายพัดเห็นมีคุณกำลังขนของเลยวิ่งไปช่วยมีคุณกับเบิ้มขนของลงจากเรือ มีคุณขี้เกียจรอขมิ้นมารับจึงจ้างรถสามล้อเครื่องเพื่อเอาของไปเก็บที่บ้าน ส่วนจักรยานทั้งสองคันมีคุณบอกว่าให้จอดไว้ที่นี่จะได้เอาไว้ขี่กลับไปที่บ้าน
(มีต่อด้านล่างค่ะ)
V
V