แรมเดือนสิบสอง
แรม ๒ ค่ำ เดือน ๑๒
(๑)
“กูกลับดีไหมวะ”
กรองเกียรติพูดขณะก้มดูการแต่งกายของตัวเองในตอนที่กำลังจะเดินตามปกป้องเข้าร้านอาหารบนชั้นยี่สิบสองของโรงแรมชื่อดังซึ่งจัดอยู่ในประเภทภัตตาคารหรูเลยทีเดียว
“กูกราบ อยู่กับกู ถ้ามึงอาย เราสลับชุดกันก็ได้” ธันวาคว้าแขนเพื่อนไว้อย่างอ้อนวอน
“กูไม่ได้อาย กูเขิน กู...ดูเหมือนคนไม่รู้กาลเทศะ”
ชุดของเพื่อนรักดูไม่เหมาะกับสถานที่จริงอย่างที่เจ้าตัวว่า เสื้อนักศึกษากับกางเกงสีเข้มขาสั้นแค่เข่ากับรองเท้าแตะที่แม้จะมีราคาอยู่บ้างแต่ก็ยังไม่เหมาะสมกับที่แห่งนี้อยู่ดีเพราะไม่ได้เตรียมตัวจะมาด้วยตั้งแต่แรก ขณะที่ธันวายังสวมชุดนักศึกษาเต็มตัวอยู่เหมือนเดิมซึ่งเป็นเหมือนชุดโกงความตายที่ดูสุภาพเหมาะสมกับทุกโอกาสไปเสียหมด
“มัวคุยอะไรกัน รีบตามเข้ามาสิ”
ธันวากระตุกแขนเพื่อนให้เดินตามเข้าไปตามที่ปกป้องหันมาเร่ง กรองเกียรติที่แม้จะประหม่าเล็กน้อยแต่ก็ยอมเดินเข้าไปแต่โดยดี
“ทำไมครั้งนี้นัดหรูจังวะ” ธันวาบ่นพึมพำกับเพื่อนสนิทที่ต่างก็มองไปทั่วร้านด้วยความตื่นเต้น นอกจากความหรูหราของบรรยากาศภายในร้านแล้ววิวเมืองแบบสามร้อยหกสิบองศาก็ชวนให้สองหนุ่มตื่นตาได้มากทีเดียว
คำตอบของข้อสงสัยถูกเฉลยเมื่อธันวาเห็นลุงประภาสนั่งคุยกับชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นลูกค้าที่ปกป้องพูดถึง
สามนักศึกษาหนุ่มถูกนำทางไปยังโซนโอเพ่นแอร์ซึ่งเป็นระเบียงชั้นที่ต่ำกว่าเล็กน้อยเพื่อให้ลูกค้าทั้งสองโซนได้ชมวิวเมืองที่สวยงามเหมือนกัน
“เรียนหนักเหรอธันว์ ตั้งแต่ขึ้นปีสองก็ไม่ได้กลับบ้านเลยนะ” ปกป้องถามญาติผู้น้องที่นั่งเยื้องตนเองเพราะเขารู้ว่าพ่อตัวเองต้องอยากนั่งตรงข้ามหลานรักแน่อยู่แล้ว “คุณพ่อพี่บ่นคิดถึงอยู่ทุกวัน”
ธันวายิ้มแห้ง “หนักมากครับ กิจกรรมก็เยอะ”
“เย้อะ เยอะครับ” กรองเกียรติสำทับด้วยการเน้นเสียงเพิ่มน้ำหนักของความเยอะโดยไม่สนใจสีหน้าของปกป้องที่เริ่มเรียบตึงขึ้นมาอย่างไม่ค่อยจะพอใจ
“จริง ๆ แล้วธันว์ย้ายกลับมานอนบ้านก็ได้นะ ไปเช้ากลับดึกยังไงก็ให้นายเล็กไปรับไปส่ง” ปกป้องหมายถึงลูกชายคนขับรถเก่าแก่ของพ่อ
“กลัวจะเหนื่อยเกินกว่าจะตื่นเช้ามาก ๆ และนอนดึกเกินไปน่ะสิครับ” ธันวาเลือกจะรักษาน้ำใจแทนการตัดรอนความหวังดีนั้น
สามหนุ่มไม่ทันได้พูดคุยอะไรมากหรือจะให้ถูกคือธันวาไม่ทันได้ถูกญาติผู้พี่ซักไซ้มากนักผู้ใหญ่หนึ่งเดียวของวันนี้ก็เดินเข้ามาสมทบเสียก่อน
“รอลุงนานไหมธันว์” คนมาใหม่ยกมือรับไหว้ทั้งธันวาและกรองเกียรติก่อนนั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่เว้นว่างไว้ “โทษทีนะ ลูกค้าเขาเรื่องเยอะ” ประโยคหลังลุงประภาสป้องปากพูดเสียงเบาด้วยสีหน้าขบขันจนรู้สึกว่าท่านไม่ได้รู้สึกแย่กับสถานการณ์นั้นเลยสักนิด
“ไม่นานครับ วิวสวย ผมมองเพลินเลย”
“วันหลังลุงพามาอีกนะลูก ที่นี่อาหารเขาก็อร่อย รับรองว่าถูกปากธันว์แน่ ๆ”
“ผมชวนน้องกลับมาอยู่บ้านด้วยกันแล้วครับ จะออกเช้ากลับดึกก็ให้นายเล็กขับรถให้” ปกป้องเอ่ยแทรกเมื่อเห็นว่าคนเป็นพ่อเอาแต่พูดกับหลานรักไม่หยุด
“ไม่ต้องถึงนายเล็กหรอก จะเช้าจะดึกแค่ไหนลุงจะขับไปรับไปส่งเองนะลูก”
“เอ่อ…”
“บริษัทกับมหา’ลัยน้องไกลกันมากนะครับ ผมเกรงว่าพ่อจะไปทำงานสาย”
“เป็นเจ้าของบริษัทไม่ต้องไปตอกบัตรหรอกตาป้อง” ประภาสกล่าวติดตลกขณะที่ลูกชายหน้านิ่งไม่ได้รู้สึกขำด้วยเลยสักนิด
“เอ่อ...” ธันวาอ้ำอึ้ง หันมองหน้าเพื่อนเล็กน้อยก่อนจะตัดสินใจพูดสิ่งที่คิดออกไป “ผมอยู่หอพักก็สะดวกดีครับ คุณลุงไม่ต้องห่วง”
“ธันว์ก็รู้ว่าลุงคิดถึง อยากให้อยู่ด้วยกันมากกว่า” คนสูงวัยยังยืนกราน
ธันวายิ้มแห้ง และเชื่อว่ากรองเกียรติก็คงอยากจะแสดงออกแบบเดียวกันให้กับสถานการณ์ชวนอึดอัดนี้ เพื่อนสนิทของเขาถึงได้จิบน้ำแก้เก้ออย่างนั้น “ไว้ธันว์จะกลับมาเยี่ยมบ่อย ๆ นะครับ”
“สามสัปดาห์ต่อครั้งน่ะหรือ”
“จะพยายามให้ถี่กว่านั้นครับ”
“สัปดาห์ละสามวัน” คนเป็นลุงต่อรอง
“คุณพ่อครับ” ปกป้องที่นิ่งฟังอยู่นานแทรกขึ้นมา สีหน้าเหมือนจะสุดทนกับความดื้อรั้นของพ่อตัวเอง “น้องเรียนหนักกิจกรรมก็เยอะแถมยังมีสอบเกือบทุกสัปดาห์ คุณพ่อต้องเข้าใจน้องด้วยนะครับ”
“ถ้าอย่างนั้นให้ลุงไปหานะ ไปทานข้าวเย็นด้วยกันบ้าง”
ธันวากลืนน้ำลายหนืดลงคอ
“สัปดาห์ละครั้งก็ยังดี...นะ...นะลูก”
ธันวายิ้มแห้งก่อนจะตอบรับอย่างเสียไม่ได้
ปกป้องร้องเหอะในลำคอ ขัดใจกับความรั้นสุดชีวิตของพ่อตัวเองแล้วยังหงุดหงิดกับการตอบรับของธันวาอีกด้วย ทว่าไม่มีใครเห็นกิริยานั้นของเขา นอกเสียจากกรองเกียรติ
กรองเกียรติไม่เคยร่วมโต๊ะอาหารกับสองพ่อลูกคู่นี้มาก่อน เขาจึงไม่แน่ใจว่าบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความอึดอัดที่อธิบายไม่ถูกนี้เกิดขึ้นทุกครั้งเลยหรือไม่ ไม่รู้ว่าธันวาเพื่อนรักจะรับรู้ได้แบบเดียวกันหรือเคยชินกับมันไปเสียแล้ว
“อันนี้ของโปรดธันว์ กินเยอะ ๆ นะลูก ผอมลงไปเยอะเลย”
“นี่ก็ของชอบ”
“จานนี้เมนูแนะนำของร้าน อร่อยนะ ธันว์ลองชิมดู”
และอีกสารพัดการเอาใจที่เรียกได้ว่าไม่มีอาหารจานไหนที่ธันวาไม่ได้ชิม ลุงประภาศตักให้เองกับมือทุกจานบนโต๊ะ ซึ่งช่วยไม่ได้ที่ คนที่ไม่มีใครคอยบริการอย่างเขาจะรับประทานเสร็จก่อนเพื่อนรักไปนานจนเหมือนตอนนี้ทั้งโต๊ะมีแค่สองคนลุงกับหลานที่ยังเพลิดเพลินกับมื้อค่ำกันอยู่
ระหว่างรอของหวานที่จะนำมาเสิร์ฟให้เขากับปกป้องก่อน นักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่สองก็ขอเสียมารยาทเล็กน้อยด้วยการกดดูการแจ้งเตือนของสมาร์ทโฟนที่สั่นครืดอยู่เกือบตลอดเวลา หลายข้อความมาจากเพื่อนร่วมคณะ แต่มีเพียงห้องแชทเดียวเท่านั้นที่กรองเกียรติกดเข้าไปอ่าน
นั่นคือ ‘กรุ๊ปอนาคตของชาติ’
DEAN : รายงานสถานการณ์ด้วยไอ้เก่ง @เก่งก็คือเก่ง
ทีมพระเอก : อย่าช้าเว้ย พวกกูลุ้นจนตัวโก่งแล้ว
นโม_ตัสสะ : ไอ้พวกรอเสือก
โอมเพี้ยง : มึงไม่อยากรู้เลยสินะ กินข้าวไปจ้องโทรศัพท์ไปจนแม่ด่าหลายรอบแล้วเนี่ย
นโม_ตัสสะ : มึงมันคนไม่ห่วงเพื่อน
โอมเพี้ยง : กูแค่รู้กาลเทศะเว้ย
DEAN : อยากออกจากกลุ่มก่อนไหม?
เขาหลุดขำพรืดออกมาจนทั้งสามคนที่ร่วมโต๊ะอยู่ด้วยหันมามอง เด็กหนุ่มเอ่ยขอโทษผู้ใหญ่ก่อนหันมาให้คำตอบกับเพื่อนรักที่มองมาด้วยความสงสัยด้วยการชูหน้าจอให้อีกฝ่ายดู
ธันวาอ่านแล้วส่ายหน้าระอา เข้าใจว่ากรองเกียรติคงขำที่ดีนรำคาญคู่แฝดที่มาชวนทะเลาะกันในกลุ่ม เพราะตนเองก็เคยเป็นอยู่หลายครั้ง แต่เพราะประเด็นที่เพื่อนกำลังสนใจคือเรื่องของตนเอง เขาจึงไม่ได้ขำออกหน้าออกตาเท่ากรองเกียรตินัก
เขาเข้าใจดีว่าเพื่อนเป็นห่วง ถึงได้ยอมให้กรองเกียรติกดพิมพ์ยิก ๆ เพื่อรายงานสถานการณ์อย่างที่เพื่อนในกลุ่มต้องการ
เก่งก็คือเก่ง : ลีฟกรุ๊ปออกไปซะ!!
นโม_ตัสสะ : ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องเลยนะมึง
นโม_ตัสสะ : เล่ามาเดี๋ยวนี้
เก่งก็คือเก่ง : สถานการณ์อึดอัดแปลก ๆ แต่กูก็พูดไม่ถูก คงต้องเรียนเชิญหมอผีทีมมาใช้จิตสัมผัส
ทีมพระเอก : ไอ้สัส
DEAN : อึดอัดยังไง
เก่งก็คือเก่ง : ไม่รู้จริง ๆ ว่ะ มันมาคุไปหมด ไอ้พี่ป้องท่าทางแปลก ๆ เหมือนจะไม่พอใจอะไรตลอดเวลา
โอมเพี้ยง : ช่างแม่งพี่มันก่อน แต่มันไม่ได้ทำอะไรไอ้ธันว์ใช่ไหมวะ
เก่งก็คือเก่ง : ไม่อ่ะ
DEAN : แล้วเกิดอะไรขึ้นบ้าง
เก่งก็คือเก่ง : ลุงภาสกับพี่ป้องขอให้มันกลับไปนอนบ้าน แต่เพื่อนมึงปฏิเสธ สุดท้ายก็ยอมแพ้ลูกตื้อพบกันครึ่งทางคือต่อจากนี้ลุงภาสจะไปกินข้าวเย็นกับมันสัปดาห์ละครั้งและมันต้องกลับบ้านทุกสัปดาห์เหมือนกัน
DEAN : มันอึดอัดไหมวะ
เก่งก็คือเก่ง : จะเหลือเหรอ
ทีมพระเอก : กูว่าเราต้องผลัดกันไปหาไอ้ธันว์ให้ตรงกับวันที่ลุงมันมาหา ลำพังไอ้เก่งคงเป็นกาฝากติดสอยไปด้วยไม่ได้ทุกครั้งแน่
นโม_ตัสสะ : วางแผนเก่งงงงงง
กรองเกียรติอ่านแค่นั้นก็ต้องกดปิดหน้าจอเพราะของหวานถูกนำมาเสิร์ฟแล้วพร้อมกับที่สองคนลุงกับหลานรวบช้อนข้าวพอดี กว่ามื้อนั้นจะจบลงได้ก็ทำเอากรองเกียรติอึดอัดแทบแย่ และดูจากสีหน้าเพื่อนสนิทแล้วเขาก็รู้ว่าอีกฝ่ายก็ไม่ต่างกัน
มีปัญหาตั้งแต่บนโต๊ะอาหารยันการนั่งรถกลับบ้าน
คนพ่อจะให้หลานรักไปนั่งด้วย ขณะที่คนลูกก็ยื้อญาติผู้น้องไว้กับตัวแล้วผลักไสคนไม่รู้อิโหน่อิเหน่อย่างกรองเกียรติไปนั่งด้วยแทน เถียงกันไปต่าง ๆ นานาจนสุดท้ายคนนอกอย่างกรองเกียรติก็เป็นคนตัดสินให้คือทั้งธันวาและตนเองจะกลับบ้านด้วยรถของลุงประภาส
“เห้อ” กรองเกียรติลากเสียงถอนหายใจยาวทันทีที่ล้มตัวลงนอนบนเตียงธันวาทั้งที่มือยังกดสมาร์ทโฟนไม่หยุด
“ไปอาบน้ำไป จะได้มาติวหนังสือ”
คนที่นอนอยู่ผงกหัวขึ้นมามอง “พูดจริงป่ะเนี่ย”
“ก็มึงบอกพี่ป้องอย่างนั้นเองนี่ จำไม่ได้?”
“กูโกหกไหมล่ะ” กรองเกียรติล้มตัวลงนอนดังเดิม บ่นพึมพำว่าอุตส่าห์ช่วยแท้ ๆ ก่อนจะเด้งตัวขึ้นนั่งเฉียบพลันจนเจ้าของห้องตกใจ “เชี่ยยยย”
“อะไรของมึง”
“พี่แรมแม่งไอดอลกูจริง ๆ ว่ะ คนอะไรวะโพสสเตตัสแค่คำเดียวคนกดไลก์เป็นร้อยในห้านาที เม้นอีกสามสิบ”
ธันวาฟังแล้วส่ายหน้า รู้สึกตัวเองเข้าไม่ถึงลัทธิ ‘เดือนแรม’ อย่างที่เพื่อนสนิทเป็น
“มึงเข้าไปไลก์ดิ๊”
“กูไม่มีเฟซฯพี่เขา”
“เฮ้ย! ไม่มีได้ไงวะ นั่นประธานปีสามนะเว้ย”
“แล้วไงวะ ไม่เห็นจำเป็นต้องมีนี่หว่า”
“ก็เอาไว้ติดต่อเรื่องงานหรือสัพเพเหระตามประสารุ่นพี่รุ่นน้องไง”
“ไม่สนิท”
กรองเกียรติส่ายหน้าระอา “มึงนี่ชักจะเหมือนไอ้ดีนพ่อมึงเข้าไปทุกที ไม่รู้จักผูกมิตรเลยไอ้บ้านี่”
ธันวาฟังแล้วก็ส่ายหน้าเดินหนีหมายจะไปอาบน้ำก่อนแต่ก็ต้องชะงักเท้าเมื่อได้ยินเพื่อนพูดบางอย่าง
“โง่มันแปลว่าไรวะ”
“หือ?...ก็แปลว่าโง่ไง” ธันวาตอบหน้าซื่อเพราะคิดว่าเพื่อนถามตนจริง ๆ
“ไม่ใช่สิวะ เนี่ย ๆ” เจ้าตัวไม่พูดเปล่าแต่ยังยื่นหน้าจอมาให้ธันวาดูอีกด้วย ไม่ต้องเสียเวลาหาให้นานเพราะกรองเกียรติได้เลื่อนสเตตัสดังกล่าวไว้บนสุดเพื่อง่ายต่อการสะดุดตาแล้ว
‘โง่’
คำเดียวสั้น ๆ กับยอดไลก์และคอมเมนท์มหาศาลจริงอย่างที่เจ้าของเครื่องนี้เล่า หัวคิ้วเข้มเคลื่อนเข้าหากัน เห็นสเตตัสนี้แล้วรู้สึกคันยุบยิบในใจอย่างบอกไม่ถูก
“แล้วไงวะ”
“โว๊ะ! เนี่ย ๆ กูเข้าไปส่องคอมเมนท์มา แต่ละคนก็เดากันไปคนละเรื่อง แต่พวกเพื่อน ๆ พี่แกนี่น่าเชื่อถือสุด แต่แม่งก็ไม่รู้ความหมายอยู่ดีว่ะ” กรองเกียรติขยี้หัวจนผมยุ่ง ทำราวกับนี่คือข้อสอบที่ถ้าหาคำตอบไม่ได้แล้วจะสอบตกอย่างไรอย่างนั้น
“เรื่องเรียนเคยจริงจังเท่านี้ไหม”
กรองเกียรติตวัดตาขึ้นมอง “ถามตัวเอง?”
“ไอ้ฟาย!!!” ธันวาปาหมอนอิงอัดหน้าเพื่อนก่อนรีบวิ่งเข้าห้องน้ำเพราะกลัวจะถูกเอาคืน
‘โง่’
แปลก...ทั้งที่เป็นแค่คำ ๆ เดียวที่ถูกโพสเป็นสเตตัส สื่อความหมายในทางอื่นได้ตั้งมากมาย แต่ทำไมธันวาถึงอ่านแล้วรู้สึกเหมือนกำลังถูกเรียกด้วยเสียงทุ้มดุของอีกฝ่าย
เด็กหนุ่มส่ายหน้าไล่ความคิดที่ช่วงนี้ชักจะมีรุ่นพี่เดือนแรมอยู่ในนั้นมากเกินไปแล้ว
ธันวารู้ว่าตัวเองไม่ใช่คนอาบน้ำนาน แต่ก็ไม่คิดว่าผ่านมาเกือบสิบนาทีแล้วแต่กรองเกียรติก็ยังคงหมกมุ่นอยู่กับการถอดรหัสสเตตัสของเดือนแรม
“ชื่อคน!”
“ห๊ะ! อะไรของมึงไอ้เก่ง” มือที่จับผ้าเช็ดตัวซับผมอยู่หยุดชะงัก
“โง่ต้องเป็นชื่อคน” ธันวาถอนหายใจ ไม่เข้าใจว่าทำไมเพื่อนรักถึงติดใจคำนั้นนักหนา
ว่าแต่...ใครมันจะชื่อโง่วะ
“ทำไมคิดงั้น”
“ไม่ใช่ดิ ต้องชื่อแทน พี่แรมต้องใช้คำว่าโง่เรียกใครสักคนแน่ ๆ” ดูเหมือนกรองเกียรติจะไม่ได้สนใจคำถามของธันวาเลย
“รู้แล้วจะได้อะไรวะ กูว่าบางทีมึงอาจจะคิดมากไป เขาอาจจะแค่อยากด่าตัวเองก็ได้”
“มึงโง่ป่ะ ถ้าหน้าอย่างพี่แรมเรียกโง่ คะแนนท็อปทุกบล็อกอนาโตมีปีที่แล้วคงไม่สูงจนเกือบเต็มหรอก นั่นน่ะยอดพีระมิดนะเว้ย”
“...”
“เดี๋ยวนะ…” ธันวาตาโต อยู่ ๆ ไอ้เพื่อนบ้าก็ชี้นิ้วมาที่เขาเหมือนเพิ่งนึกอะไรขึ้นได้ “มึงโง่…”
“ไม่ต้องย้ำมากไอ้สัด”
“ไม่ ๆ ไม่ใช่โง่แบบนั้น แต่พี่แรมเคยเรียกมึงว่าโง่นี่ ใช่ไหม? กูเคยได้ยิน”
“เพ้อเจ้อไปใหญ่แล้ว เลิกคิด ๆ ไปอาบน้ำ”
“กูว่าต้องใช่แน่ ๆ” กรองเกียรติสรุปได้แล้วก็ยิ้มเจ้าเล่ห์อยู่คนเดียว “ว่าง ๆ มึงก็ลองไปส่องเฟซฯพี่เขาดูนะ อ่านคอมเมนท์สเตตัสนั้นด้วย เผื่อจะหายโง่” คนมาอาศัยนอนด้วยเน้นคำสุดท้ายจนหวิดโดนเตะให้ก้นช้ำหากไม่วิ่งหนีเข้าห้องน้ำเร็วพอ
“หายโง่บ้าอะไร!” ธันวากร่นด่าตามหลังเพื่อน ไม่ใช่ว่ามันคิดเองเออเองอยู่คนเดียวหรือ ทำมาเป็นรู้ดีราวกับนั่งอยู่ในใจรุ่นพี่เดือนแรม แน่จริงทักไปถามเลยสิว่าคำนั้นหมายถึงอะไรหรือใคร จะได้รู้กันไปเลยว่าใครกันแน่ที่ควรหายโง่เสียที!
เกือบลืมไปแล้วว่าเพื่อนเขาคนนี้อาบน้ำนานเพราะมัวแต่ฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีจนเพลิดเพลินราวกับการอาบน้ำเป็นกิจกรรมสุดโปรดที่สุดในชีวิต ดังนั้นในตอนที่เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นธันวาจึงคิดว่ากรองเกียรติไม่น่าจะได้ยิน
คนที่ยืนอยู่หลังประตูคือญาติผู้พี่ ในมือเขามีจานใบเล็กใส่คุกกี้มาจำนวนหนึ่งที่น่าจะเพียงพอสำหรับผู้ชายสองคน “เห็นว่าจะติวหนังสือกัน พี่เลยเอาขนมมาให้ เผื่อหิว”
“ขอบคุณครับ” คนน้องรับจานคุกกี้มาถือไว้เอง
ปกป้องยืนจ้องหน้าน้องนิ่งก่อนจะยื่นมือไปลูบแก้มเนียนใสของอีกฝ่าย “ซูบไปเยอะเลยนะเรา กินเยอะ ๆ หน่อยสิ”
“อะ เอ่อ…” ธันวาเบี่ยงตัวหนีเล็กน้อย “คงเป็นเพราะนอนดึกมากกว่าครับ”
ปกป้องยิ้มเอ็นดู “แล้วนี่ใจคอจะยืนคุยกันตรงนี้เหรอ”
“เอ่อ...ไอ้เก่งกำลังจะออกมา เดี๋ยวเราก็จะอ่านหนังสือกันเลย คงไม่มีเวลาคุยเล่นกับพี่ป้อง ขอโทษด้วยนะครับ”
ปกป้องนิ่งเงียบ มองน้องชายอย่างวัดใจอีกครั้ง “โอเค งั้นพี่ไปนอนก่อน” คนพี่ยิ้มบาง ยื่นมือไปยีผมน้องจนอีกคนเผลอย่นคอหนีด้วยความตกใจ “ฝันดีนะ”
ก้นจานคุกกี้ไม่ทันถึงโต๊ะ ธันวาก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้งเสียก่อน ทว่าครั้งนี้ไม่ใช่จากคนเดิม แต่เป็นลุงประภาสที่มาพร้อมนมอุ่นสองแก้วในมือ ธันวามองเลยไหล่คนเป็นลุงไปเห็นปกป้องยังยืนหันหลังกลับมามองอยู่ไม่ไกลนัก
“นมอุ่น ๆ ดื่มก่อนนอนจะได้หลับสบายนะลูก”
“ขอบคุณครับ” ธันวารับมาถือไว้แล้วยืนมองหน้าลุงนิ่งด้วยความสงสัยเพราะอีกฝ่ายเอาแต่จ้องหน้าเขายิ้ม ๆ “เอ่อ...ลุงภาสมีอะไรอีกรึเปล่าครับ”
มือหนาสากตามวัยยื่นมาลูบผมคนเป็นหลานด้วยความเอ็นดู นัยน์ตาคู่นั้นไม่โกหก ธันวารู้ว่ามันเต็มไปด้วยความรัก แต่บ่อยครั้งที่เขาไม่เข้าใจความหมายของมันและไม่แแน่ใจว่ามันจ้องมาที่เขาหรือมองทะลุไปถึงใครกันแน่ รวมถึงจุมพิตที่ประทับลงบนผมของเขาในตอนนี้ด้วย
“ฝันดีนะครับ”
“ครับ”
นานกว่าที่บอกปกป้องไว้มาก กว่าที่กรองเกียรติจะออกมาจากห้องน้ำในสภาพที่ใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว คนมาขอนอนด้วยมองเจ้าของห้องที่นอนแผ่บนเตียงโดยมี Textbook กายวิภาคเล่มหนาวางอยู่ข้าง ๆ “เอาจริงดิ?”
“แล้วแต่มึงอ่ะ กูแค่หยิบมาเผื่อ”
กรองเกียรติรู้ว่าธันวาไม่ได้หยิบมาเผื่ออ่านเองแน่ ๆ แต่คงหยิบมาใช้เป็นข้ออ้างในการปลีกตัวจาก ‘บางคน’ มากกว่า
“แล้วนั่นอะไร” กรองเกียรติชี้นิ้วไปยังอาหารบนโต๊ะอ่านหนังสือของเพื่อนสนิท
“ลุงภาสกับพี่ป้องเอามาให้”
“อ่า...กินซะสิหลานรัก”
“ไอ้เหี้ย” ไม่ด่าอย่างเดียว ธันวายังส่งหมอนอิงไปจูบหน้ากรองเกียรติเต็ม ๆ อีกด้วย และยิ่งหงุดหงิดเมื่ออีกฝ่ายส่งเสียงหัวเราะกลับมาแทนที่จะเป็นคำด่า
“ของมึงด้วย ช่วยกูแดกเลย”
กรองเกียรติกอดหมอนอิงเดินเข้าไปคว้านมในส่วนของตัวเองมานั่งดื่มปลายเตียง เมื่อเพื่อนรักไม่ว่าอะไรที่ตนกินอาหารบนที่นอนจึงนั่งต่อด้วยความสบายใจ “แล้วนี่มึงตอบไลน์เพื่อนบ้างรึเปล่า พวกมันเป็นห่วงมึงมากนะ”
“พวกมึงก็เกินไป” ธันวาบ่นอุบ
“แหม แล้วใครวะที่รั้งกูไว้ไม่ให้หนีกลับก่อนอ่ะ” ได้ทีจึงปาหมอนอิงใส่เพื่อนกลับไปบ้าง “ไปตอบพวกมันด้วย”
“อือ” ธันวาครางรับเนือย ๆ ก่อนกดเข้าหน้าแชทกรุ๊ปอนาคตของชาติแล้วส่งสติ้กเกอร์ที่ดูร่าเริงที่สุดเท่าทีมีไปให้ ไม่ถึงหนึ่งนาทีก็มีคนอ่านพร้อมข้อความที่เด้งพรึบพรับ
DEAN : กลบเกลื่อน
ทีมพระเอก : ช้าสัส
นโม_ตัสสะ : ขยายความด้วยเว้ย
โอมเพี้ยง : @นโม_ตัสสะ ปิดเสียงโทรศัพท์ไอ้สัส เดี๋ยวแม่ด่า
นโม_ตัสสะ : แล้วที่มึงปล่อยให้มันสั่นบนเตียงอ่ะ แม่จะไม่ตื่นมาด่าเลยดิ
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ”
กรองเกียรติสะดุ้ง หันมองเพื่อนที่หัวเราะร่วนแล้วกลิ้งไปมาอยู่บนเตียง เขาให้มันส่งข้อความไปบอกเพื่อนที่รออยู่ มีเรื่องอะไรน่าขำอย่างนั้นหรือ
“เชี่ย ไอ้แฝดตลก กูเดาว่าเดี๋ยวไอ้ดีนต้องด่า”
ไม่ทันที่กรองเกียรติจะได้รับคำอธิบาย เสียงหัวเราะก็ดังขึ้นอีกครั้งจนเขาต้องรีบวางแก้วนมแล้วไปคว้าโทรศัพท์ตัวเองมาดูบ้าง
จริงอย่างที่ธันวาว่า ดีนกำลังด่าเพื่อนแฝดที่ใช้พื้นที่ในกรุ๊ปแชทเถียงกันอย่างน่ารำคาญอีกแล้ว ถ้าให้เดาคือวันนี้ฝาแฝดเองก็กลับบ้าน เพราะทุกครั้งที่เป็นอย่างนั้นแม่ของทั้งสองจะมานอนคั่นกลางลูกชายสองคนเสมอ
สุดท้ายคืนนั้นก็ไม่มีการติวหนังสืออย่างที่กล่าวอ้าง บทสนทนาในกลุ่มก็ไม่ได้เป็นเรื่องของธันวาอีกแล้ว มันกลายเป็นเรื่องสัพเพเหระที่ชวนให้สองหนุ่มที่นอนข้างกันหัวเราะขบขันกันไปจนหลับไปพร้อมกับการลืมปิดไฟ
….ลืมว่ายังมีนมอีกแก้วที่ยังไม่ได้ดื่ม
รวมถึงคุกกี้ในจานนั่นด้วย…
สองหนุ่มนักศึกษาแพทย์ตื่นตั้งแต่เช้ามานั่งงอแงที่โต๊ะอาหารขอกลับมหาวิทยาลัยหลังอาหารเช้าทันที ทำเอาคนเป็นลุงหน้าหงิกงอเพราะตั้งใจว่าจะชวนเล่นเกมกระดานกันเสียหน่อย
“ขอโทษที่ไม่ได้บอกตั้งแต่เมื่อวานครับ ผมลืมเอง” เพราะมัวแต่ยุ่ง ๆ และพูดคุยกันแต่เรื่องอื่น ธันวาจึงหาช่องทางที่จะพูดเรื่องนี้ไม่ได้
“ไม่น่ารีบกลับกันเลย” คนเป็นลุงซึ่งนั่งหัวโต๊ะว่าพลางเอนหลังพิงพนัก รู้สึกว่าอาหารเช้าวันนี้ไม่อร่อยเสียแล้ว ฝั่งขวามือเป็นลูกชายแต่เขากลับเอาแต่หันมาด้านซ้ายซึ่งมีธันวาและกรองเกียรตินั่งอยู่
“เพื่อนนัดทำงานครับ ไม่อยากให้รอกัน” ธันวาไม่ได้โกหก เพียงแต่ไม่ได้นัดกันวันนี้เท่านั้นเอง ซึ่งเขาเองก็รู้สึกผิดที่ทำตัวเหมือนคนอกตัญญู ที่หลุดออกจากอ้อมอกไปได้ก็ถอยห่างไม่ใยดี เพียงแต่ไม่อยากอยู่ที่นี่นานเพราะรู้สึกอึดอัดกับบางสิ่งบางอย่าง
“งั้นเดี๋ยวลุงไปส่ง”
“ผมไปส่งน้องให้เองครับพ่อ” ปกป้องเสนอตัว
“ไม่เป็นไร พ่ออยากไปส่ง”
สองหนุ่มนักศึกษาแพทย์ลอบกลืนน้ำลายอย่างอึดอัด สองพ่อลูกขัดแย้งเรื่องรับส่งพวกเขากันตั้งแต่เมื่อวานจวบจนวันนี้ แต่จนแล้วจนรอดลุงประภาสก็เป็นฝ่ายชนะและพาพวกเขาไปส่งถึงโซนหอพัก
กรองเกียรติยืนเคว้ง ไม่รู้จะทำหน้าอย่างไรในตอนที่ลุงประภาสวางมือบนผมธันวาแล้วลูบอยู่อย่างนั้นหลายนาที “ตั้งใจเรียนนะครับ แล้วอย่าลืมที่สัญญากันไว้”
ธันวายิ้มแห้งก่อนตอบรับแล้วบอกลา
“กูว่าพี่ป้องแปลก ๆ เหมือนมีอะไรบางอย่างมากกว่าที่เราคิด” กรองเกียรติว่าด้วยสีหน้าครุ่นคิดในตอนที่เดินเข้าประตูหอพักนักศึกษาแพทย์ชาย
“อะไรวะ”
“ไม่รู้ว่ะ ถ้าอยากรู้ก็คงต้องเจอกันบ่อย ๆ ซะแล้ว”
“งั้นกูไม่อยากรู้”
คนเป็นลูกพี่ลูกน้องตัวจริงเดินหนีจนกรองเกียรติต้องรีบสาวเท้าตามไปให้ทัน
ธันวากำลังรู้สึกว่าการที่ตนกลับไปนอนบ้านหนึ่งคืนมันราวกับว่าเขาแค่เดินออกจากหอไปซื้อของที่ตลาดข้างโรงพยาบาลเพียงแค่สามสิบนาที เพราะทุกอย่างใต้หอชายยังเหมือนกับตอนจากไปไม่ผิดเพี้ยน เขาไม่ได้หมายถึงจำนวนหรือตำแหน่งโต๊ะเก้าอี้ แต่หมายถึงกลุ่มคนที่นั่งร้องเพลงดีดกีตาร์อยู่นั่นต่างหากที่ยังอยู่กันครบทุกคนและท่าทางเดิม เห็นจะต่างออกไปก็แค่เสื้อผ้าที่สวมใส่ที่เป็นคนละชุดกับเมื่อเย็นวันศุกร์เท่านั้นเอง
“อ้าวเห้ยไอ้น้องธันว์ กลับมาเร็วจังวะ” โอ๊คร้องทักหนุ่มรุ่นน้องร่วมห้องเสียงดังลั่นโถง พาให้เสียงดนตรีต้องลดระดับลงเหลือเพียงแค่เสียงคลอเบา ๆ
“กลับมาอ่านหนังสือครับพี่”
“ดี ๆ ขยัน”
“แล้วทำไมพวกพี่ตั้งวงกันแต่เช้าเลยอ่ะ”
“หาอะไรทำให้สมองรีแล็กซ์โว้ย จะได้อ่านหนังสือจำ”
“อ๋อ...ครับ” ธันวาพยักหน้าเข้าใจทั้งที่ไม่เข้าใจ ข้อกังขาคือทำแบบนี้จะจำเนื้อหาได้ดีขึ้นจริงหรือ เป็นเขาคงจำได้แต่เนื้อเพลงเสียมากกว่า แต่เอาเถอะ อีกฝ่ายเป็นรุ่นพี่ คงจะทดลองมาเยอะและมันก็คงจะได้ผลดีจริงดังว่า
เดือนแรมมองตามหนุ่มรุ่นน้องที่เดินผ่านเข้าไปยืนตรงโถงลิฟต์แล้วโดยไร้การทักทาย เขาก็อดแค่นหัวเราะเยาะตัวเองออกมาไม่ได้ อย่าว่าแต่อีกฝ่ายจะทักทายกันเลย แค่มองหน้ากันสักนิดก็ไม่มี ทว่าสิ่งที่เขาไม่รู้คือหากธันวาไม่สังเกตเห็นเดือนแรมเป็นคนแรก อีกฝ่ายก็คงไม่รู้ว่าท่าทางทุกอย่างของพวกเขายังเหมือนเดิมยกเว้นเสื้อผ้าที่เปลี่ยนไป ทั้งที่วันนี้ยังมีสิ่งที่ต่างไปอีกมากอย่างเช่นว่าโอ๊คไม่ได้เล่นกีตาร์แต่ย้ายมานั่งข้างล่างเหมือนเขา
“เย็นพรุ่งนี้หลังซ้อมดนตรีเสร็จไปกินหมูกระทะกันมึง กูอยากกินเนื้อออออ” ธันวาเอ่ยชวนกรองเกียรติก่อนแยกย้ายกันเข้าห้องพักของตัวเอง เนื้อที่ว่าไม่ใช่เนื้อวัว แต่คือคำที่หมายรวมว่าเนื้อสัตว์ไม่ใช่พวกผักพวกหญ้า
“พ่อแม่กูมาหาว่ะ”
“เออว่ะกูลืม ไม่เป็นไร ๆ ไว้ไปกินกันวันหลัง” จะกินวันนี้เลยก็ไม่ได้ อาหารที่แม่บ้านจัดให้ตามคำสั่งของลุงประภาสมีอยู่เต็มสองมือ ถ้าไม่ได้กินก็เสียของแย่
“เห้ย อยากกินก็ต้องไปกินดิวะ ไปด้วยกันเนี่ยแหละ พ่อแม่กูก็คิดถึงมึง”
“มึงบ้าเหรอะ กูอยากกินหมูกระทะนะไม่ใช่ชาบู”
“เออหน่า พ่อแม่กูกินได้หน่า”
“ไม่เป็นไรหรอก ให้พวกท่านอยู่กับลูกชายสุดที่รักเถอะว่ะ เราไปกันวันอื่นก็ได้”
“เอางั้นเหรอวะ จะ pause ความอยากรอกูเหรอ”
“เออหน่า เดี๋ยวกูก็หาเนื้อนิด ๆ หน่อย ๆ กินก่อน ไว้ไปจัดหนักกับมึงทีหลังไง จะได้ชวนไอ้ตฤณกับไอ้ดีนไปด้วย”
“เออ ตามใจมึง”
สมาชิกห้องมีสี่คน โอ๊คเล่นดนตรีอยู่ใต้หอ อาร์ตกลับบ้าน ส่วนรุ่นพี่อีกคนที่ชื่อนันขาดการติดต่อตั้งแต่เมื่อวันศุกร์ ธันวาจึงเดาว่าอีกฝ่ายก็น่าจะกลับบ้านเช่นกัน
ก่อนเริ่มอ่านหนังสือธันวาจัดการเคลียร์งานบ้านทั่วไปของตัวเองก่อน โดยเริ่มจากการนำเสื้อผ้าที่ใส่ตลอดทั้งสัปดาห์ลงไปใส่เครื่องซักผ้าใต้หอ ได้ยินเสียงร้องและเสียงกีตาร์ดังอยู่แว่ว ๆ ก่อนกลับขึ้นมาก็แวะดูกล่องมิลเลอร์ของตัวเอง แปลกใจเล็กน้อยที่วันหยุดแบบนี้ยังมีกระดาษโน้ตเล็ก ๆ อยู่ในนั้น
‘คิดถึง
เขียนแบบนี้ใช่ไหมวะ’ธันวาร้องหืมทันทีที่อ่านจบ หัวคิ้วเคลื่อนเข้าหากัน นอกจากจะคุ้นลายมือว่าคล้ายกับโน้ตใบก่อนที่ได้รับแล้วก็ยังพอเดาได้อีกว่าน่าจะเป็นฝีมือใคร เพราะคงไม่มีใครอื่นอีกที่จะกวนประสาทเขาเล่นแบบนี้ นอกจากเดือนแรม
ธันวาถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่าย อยู่ดี ๆ มาถามว่าคำนี้เขียนแบบนี้หรือเปล่า แล้วเขาควรทำอย่างไร? เขียนตอบอย่างนั้นหรือ?
เด็กหนุ่มคว้าปากกาสาธารณะที่วางไว้ใกล้ ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กิจกรรมนี้มาบรรจงเขียนตอบกลับไปด้วยลายมือที่คิดว่าอ่านง่ายที่สุด
‘เขียนแบบนี้ครับ
กิ๊ดตึ๋ง’TBC.
-----------------------------------------------------------
เรื่องนี้พระเอกเราค่าตัวแพง แต่ตอนหน้าจะออกเยอะแบบมากๆแล้วค่ะ
#แรมเดือนสิบสอง
ด้วยรักและขอบคุณ
ธัญญ์