ตอนที่ 1
Love Actually
ผมกับไอ้ค่ายเป็นเพื่อนกันมานาน นับแล้วตอนนี้ก็สองปี สี่เดือน กับอีกสิบหกวัน มันช่างเป็นเวลาที่ยาวนาน...นานจนเพื่อนที่เคยแอบชอบผู้ชายคนหนึ่งได้เสียกันจนเตียงหักไปหลายหลัง ส่วนตัวเองนั้น...ยังไม่เฉียดกลายคำว่า ‘แฟน’ สำหรับมันเลยสักนิด
คิดแล้วก็เศร้า เดินน้ำตาตกกลับเข้ามาในห้อง หยิบเอาขวดน้ำจากในตู้เย็นมาสาดย้อมใจไปก่อน เทไปได้สองขวดน้ำก็หมด หากแต่ความเสียใจยังคงตกค้างไม่หายไปไหน ผมเลยรีบหาทางออกให้กับตัวเองด้วยการคว้าโทรศัพท์บ้านที่ิอยู่ตรงหัวเตียงขึ้นมาต่อสายหาใครคนหนึ่ง
“พี่...น้ำไม่ไหลมาซ่อมหน่อย”
“…”
“กำลังเศร้าอยู่ครับ อยากสาดน้ำย้อมใจ”
“…”
“พี่รีบพาช่างมาเร็วๆ เลยนะครับเดี๋ยวผมจะรีพีทเพลงรอ” พูดจบก็รีบตัดบทด้วยการวางสายก่อนทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างหมดอาลัยตายอยาก ชื้นไปหมดแล้วเตียงกู...
วันนี้ไอ้ค่ายกำลังเดินหน้าจีบใครคนใหม่อยู่ ถามว่าเจ็บมั้ย จะตอบว่าไม่เจ็บมันก็คงโกหกกันเกินไป แต่ระยะเวลาสองปีไม่ได้ทำให้ผมเข็ดหลาบกับแอบการรักข้างเดียวเลยสักนิด ก็เคยบอกกับตัวเองเป็นสิบๆ ครั้งเหมือนกันว่าพอละ เลิกชอบ หนีไปอเมริกาเหมือนในละครดีกว่า แต่ในความเป็นจริงกูก็ยังเรียนไม่จบ
ลองหายไปจากชีวิตอีกฝ่ายดูเผื่อมันจะคิดถึง แต่อีกวันแม่งก็เสือกเจอกันในคลาสตอนแปดโมงเช้าแบบมึนๆ
ถ้าย้ายคณะ แล้วกูจะไปเรียนเหี้ยอะไร
อยากไปหาคนชอบใหม่เผื่อจะได้ลืมๆ ไปบ้างก็ไปไม่รอดเหมือนอย่างเคย
วันไหนอยากหากิจกรรมทำเพื่อไม่ให้ตัวเองฟุ้งซ่าน ผมกลับพบว่ากิจกรรมนั้นมักมีไอ้ค่ายเข้าไปมีส่วนร่วมด้วยเสมอ เช่นไปดูหนัง มันก็มักโผล่ไปด้วย กินข้าว เราก็มีร้านประจำร้านเดียวกัน ยิ่งแอลกอฮอล์ยิ่งไม่ต้องพูดถึง พี่ค่ายโต๊ะสิบแปด ส่วนพี่เติร์ดแน่นอน...
โต๊ะสิบแปดเหมือนกัน รำคาญไอ้สัด!
สรุปแล้วก็อยู่นี่แหละ อยู่ดูหนามตำใจตัวเองไปเรื่อยๆ
เบื่อคำว่าเพื่อนสนิทแต่ทำอะไรไม่ได้ เหมือนมันเป็นคำที่ยิ่งใหญ่สำหรับผู้ชายมาก และถ้าเป็นไอ้ค่ายด้วยแล้ว ผมบอกเลยว่ามันบูชาคำนี้เอาไว้เหนือหัว ใครก็ห้ามเปลี่ยนสถานะมัน ไม่ว่าจะจากเพื่อนเป็นคนรัก หรือแม้แต่เพื่อนกลายเป็นศัตรูก็ตาม
ผมกับมันเรียนนิเทศฯ เราคบกันหมดไม่ว่าจะเป็นเพศไหนเพราะต้องทำงานร่วมกัน ยิ่งปีท้ายๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง งานกลุ่ม โปรเจ็กต์กลุ่มดาหน้าเข้ามาให้ทำจนล้นมือ
ติ๊ง! โทรศัพท์มือถือที่ถูกปาลงบนเตียงดังขึ้น ผมหันขวับไปมองชั่วครู่พร้อมกับบอกตัวเองซ้ำๆ ว่าห้ามกดเข้าไปดูเด็ดขาด ที่ทำได้คือรอช่างมาซ่อมท่อกับเปิดเพลงเดิมๆ วนไปเพื่อบิ๊วอารมณ์เท่านั้น
ติ๊ง! ติ๊ง! ติ๊ง!
ร้องเพลง กูต้องร้องเพลง ต้องไม่สนใจว่าอะไรจะเกิดขึ้นในนั้น
“เก็บอารมณ์ เก็บเอาเรื่องราวนั้นทิ้งไป
เก็บเอาแรงที่จะใช้รักใครไว้กับตัวเอง
ดีกว่าเอาไปเสียน้ำตา…”หนึ่งนาทีผ่านไป...ช่างยังไม่มา
“เก็บเอาใจ เก็บเอารักที่ให้เขาไป
เก็บเอาความตั้งใจ
และฝันที่เคยวาดไว้กับเขา
เก็บคืนมาอย่าเปลืองหัวใจ”ห้านาทีผ่านไป...กูฟังเพลงเดิมไปสองรอบ…
“ฝืนใจเอาหน่อย ถึงยังรักแต่เขาไม่รัก
เราคงต้องปล่อย ปล่อยให้เขาไปดีกว่า
แล้วมันจะผ่านไปด้วยดี
แล้วใจของเธอจะเปลี่ยนไป
แล้ววันหนึ่งเขาจะหายไป
แม้วันนี้จะยังรู้สึก แม้จะยังคิดถึงเขาอยู่ทุกลมหายใจ…”ตอนนี้สิบนาทีละ กูทนไม่ไหวแล้วโว้ยยยยยยยยยยย ตัดสินใจเป็นครั้งสุดท้ายด้วยการหยิบมือถือบนเตียงขึ้นมาแล้วกดปุ่มโฮมตามสเต็ป เสือกแม่งให้ตายกันไปเลย
แน่นอน คนที่อยู่ในแจ้งเตือนเมื่อสิบนาทีก่อนยังคงเป็นเพื่อนสนิทของผม เพราะกรุ๊ปไลน์ ‘ชายฉะกัน’ กำลังสนุกกับการคุยประเด็นของไอ้ค่ายกันอย่างเมามันแม้จะมีสมาชิกอยู่เพียงสี่คนก็ตาม
BoneChoneมึงโสดทีไรนี่แอดสาวระนาวเลยนะเชี่ยค่าย
Tatt’ooเรียกได้ว่านั่งไล่แอดแบบเป็นจริงเป็นจังจะดีกว่าไอ้สัด
BoneChoneประกาศเพื่อนโสดโปรดรับแอด
แล้วดูไอ้ตัวดีมันตอบ เคยปฏิเสธอะไรกับเขาซะที่ไหน
K.Khunpolอะไร กูไม่ได้แอด เค้ามาเอง
Tatt’ooกูว่าเดี๋ยวมึงก็ไม่โสดอีก ไอ้เติร์ดมึงหัดปรามที่รักมึงบ้าง
ซึ่งประโยคที่ผมตอบได้ก็มีแค่...
เติร์ดที่แปลว่าสาม
เกี่ยวไรกับกูวะสัด
มันจะรักกับใครไม่เห็นเกี่ยวกับกูเลย ผมไม่ใช่แฟนมันซะหน่อยแม้ในใจจะแอบหวังมานานแล้วก็ตาม แถมยังเคยฝันอีกว่าวันหนึ่งมันอาจแชทมาบอกชอบผมในกรุ๊ปไลน์ ฝันมานานตั้งสองปีจนตอนนี้ไอ้ค่ายเปลี่ยนเมียไปเป็นสิบ กว่าจะตกมาถึงกูได้คงเหลือแต่กระดูก
K.Khunpolเกี่ยวดิ
มึงคือเพื่อนที่อยู่กับกูเสมอตอนที่ไม่เหลือใครนะ
เติร์ดที่แปลว่าสาม
มึงไม่ต้องมาพูดดีไอ้เหี้ย
มีช่วงที่มึงไม่เหลือใครด้วยเหรอ กูจำไม่ได้
Tatt’oo555555555555555555555
บทสนทนาถูกตัดไปหลังจากเลขห้านับไม่ถ้วนถูกพิมพ์กลับมา ผมไม่ลืมหรอกว่าวันนี้มันหนีไปคุยกับใครบ้าง เพราะงั้นถึงต้องถอยกลับมารักษาแผลใจก่อน แม้มันจะเกิดขึ้นปีละหลายครั้งก็ตาม
Rrrrrr...!
สิ้นเสียงเตือนจากไลน์ไม่เท่าไหร่ผมก็ต้องขมวดคิ้วกับเสียงเรียกเข้าจากมือถือแทน ซึ่งเจ้าของเบอร์ก็คงไม่ใช่ใครที่ไหน หากแต่เป็นไอ้เพื่อนรักหน้าหม้อที่ผมกำลังนึกด่าในใจเมื่อครู่นี่เอง
แปลกดี ผมไม่สามารถห้ามใจตัวเองไม่ให้ปฏิเสธสายของมันได้เลยสักครั้ง ไม่รู้ไอ้ค่ายมันทำเสน่ห์เอาไว้หรือเปล่า แต่ทั้งน้ำเสียง ทั้งคำพูด ทั้งเสียงหัวเราะที่ได้ยินแม่งก็ทำให้คนฟังหลงไปตามๆ กัน ไม่ใช่แค่ผู้หญิงหรอก กูก็คือหนึ่งในนั้น!
“มีไร” ทันทีที่รับสายเสร็จ ก็กรอกเสียงลงไปห้วนๆ ทันที จะทำตัวอ่อนโยนกับมันไม่ได้ เดี๋ยวแม่งก็ได้ใจอีก
[ว่างป่ะ อยากชวนออกมาข้างนอก]
“อะไรของมึง ไหนบอกจะไปสร้างความสัมพันธ์ใหม่กับน้องมิลค์บัญชีไง”
[ก็เออไง แต่เหมือนกูจะเจอเรื่องทะแม่งๆ ว่ะ] เสียงทุ้มตอบกลับอย่างเร็วรี่
“ทะแม่งตรงไหน”
[ยังไม่ชัวร์ ตอนนี้กูนัดเจอกับน้องแล้ว เลยอยากให้มึงแวะมาหาหน่อย]
“นัดเจอน้องแล้วจะเรียกกูไปเป็นก้างขวางคอทำไม แค่นี้นะ ที่ห้องน้ำไม่ไหล” จากนั้นผมก็รีบวางสาย ไม่เปิดโอกาสให้มันได้พูดอะไรออกมาอีก แค่นี้ก็เจ็บสัดๆ อยู่แล้ว มีคนปกติที่ไหนบ้างที่จะมานั่งดูคนที่ตัวเองชอบจีบคนอื่นอย่างหน้าชื่อตาบาน มึงไปหาในเอ็มวีเพลงไทยเถอะไอ้สัด
รักแท้ไม่ใช่การครอบครอง ไม่ใช่พ่อง!
ถ้าไม่รักแล้วมีความรู้สึกว่าไม่ได้อยากเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเขามันไม่เรียกว่ารักหรอก มันก็แค่คำพูดของคนที่รักไม่พอแล้วพูดว่าตัวเองเป็นคนดีเท่านั้น หรืออีกอย่างหนึ่งก็คือมึงโกหกตัวเองเหมือนที่ผมมักทำ
ตบบ่าปลอบใจ พร่ำแต่พูดไม่เป็นไรทุกครั้งตอนที่ไอ้ค่ายเลิกกับคนเก่า แล้วได้แต่ยิ้มปั้นหน้าน้ำตาตกในตอนมันเปิดตัวแฟนใหม่ในอีกไม่กี่วันต่อมา ทุกอย่างในชีวิตผมวนลูปแบบนี้ไม่มีที่สิ้นสุด ถามว่าอยากหาใหม่มั้ยมันก็มีความคิดนี้ผุดขึ้นมาบ่อยเหมือนกัน แต่สุดท้ายผมก็ไปไม่รอดเพราะความซื่อตรงของตัวเอง
ถ้าเป็นคนลืมอะไรง่ายๆ เหมือนไอ้ค่าย ตอนนี้ผมคงมีความสุขไปแล้ว ไม่ต้องจมปรักกับคนๆ เดียวมาถึงสองปีหรอก
คิดแล้วก็ได้แต่นอนซึม รอให้ช่างมาซ้อมท่อและร้องเพลงต่อไป
“เป็นทุกอย่างให้เธอแล้วแม้ว่าเธอไม่เคยเป็นอะไรกับฉันเลย...”
พูดแล้วก็เปลี่ยนไปเปิดเพลงใหม่ เอาให้ชอกช้ำระกำใจแล้วพรุ่งนี้ผมจะกลับไปเป็นไอ้เติร์ดคนเดิมที่ยอมรับทุกอย่างได้และทำตัวเท่ๆ ของกูต่อไป
เช้าวันรุ่งขึ้นผมมาเรียนตามปกติ เด็กนิเทศฯ ชอบมีที่สิงสถิตอยู่ไม่กี่ที่ หนึ่งโรงอาหารนิเทศฯ และสองใต้ต้นไม้หน้าลานกิจกรรมที่จะมีโต๊ะไม้เรียงรายเต็มไปหมด ทุกคนคือเจ้าที่!
พวกผมจะมีโต๊ะประจำอยู่ เช้ามาก็ต้องมานั่งที่นี่ กินข้าวก็กินที่นี่ ทำทุกอย่างเสมือนเป็นพื้นที่ส่วนตัว อย่างที่บอกว่ากลุ่มผมมีกันอยู่สี่คน คบกันมาตั้งแต่ปีหนึ่งแต่กว่าจะเหวี่ยงคนมาครบได้ขนาดนี้ก็ใช้เวลาเกือบหมดเทอมถึงจะลงตัว
เมื่อก่อนผมไม่ได้อยู่แก๊งนี้หรอก แต่คนที่นิสัยเหมือนกันมักจะอยู่ด้วยกันได้ เพราะงั้นหลังจากอยู่กับแก๊งเก่าไม่รอดผมเลยต้องวิ่งมาซบอกกลุ่มใหม่ ซึ่งก็คือไอ้พวกนี้แหละ
หลายคนชอบเรียกเราว่า ‘แก๊งโหด’
หน้าตาเราไม่ได้โหด แต่นิสัยเฉพาะบางอย่างของแต่ละคนต่างหากที่โหดจนเป็นที่กล่าวขาน รุ่นพี่และรุ่นน้องในมหา’ลัยส่วนใหญ่ที่ไม่สนิทด้วยแทบไม่เรียกชื่อพวกเราเลยด้วยซ้ำ แต่จะใช้คำว่าโหดแทนชื่อทั้งสี่คนแทน สรุปแล้วผมสี่คนแม่งชื่อโหดหมด สัด!
แต่ถ้ามองดีๆ เรียกไอ้โหดก็ดีกว่าเรียกไอ้เหี้ยไปหลายขุม เวลามีข่าวลือหนาหูเรื่องไอ้โหดทีไรก็จำต้องมาวิเคราะห์แล้วแหละว่าหมายถึงใครคนไหน เพราะแต่ละคนก็รวมพวกคนดีที่สังคมหวาดกลัวทั้งนั้น
“ไอ้สัด มึงมาสาย” เสียงที่เอ่ยขึ้นเป็นเชิงล้อเลียนนี้เป็นของ ‘ไอ้ทู’ สมาชิกคลาส VIP ของความโหด
เจ้าของทรงผมสุดเซอร์ที่ยาวจนต้องมัดเป็นมวยไว้ด้านหลัง วันนี้มันสวมชุดนิสิตแขนสั้นมาแถมยังไม่ชอบผูกไทด์เหมือนเดิม เอาจริงในกลุ่มเราแทบไม่รู้จักการผูกไทด์ด้วยซ้ำหลังจากขึ้นปีสอง
ไอ้ทูเป็นคนมีความสามารถ โดยเฉพาะเรื่องถ่ายภาพต้องยกให้มันเป็นอันดับหนึ่งของรุ่น ความโหดที่ทุกคนกล่าวขานไม่ได้อยู่ที่ความเก่งของแม่งหรอก หากแต่อยู่ที่รสนิยมในการถ่ายภาพมากกว่า เพราะคุณทูเขาถ่ายแต่แนวเซ็กซี่ เน้นผู้หญิงทรงตู้มสะบึ้มฮึ่มเท่านั้น ภาพธรรมชาติ วิว ต้นไม้ห่าอะไรอย่าถามมัน ไอ้นี้รู้อย่างเดียวคือการหามุมหน้าและมุมนม
นิสัยส่วนตัวคือกินจุ ขี้เรื้อน แต่สาวก็ติดมันตรึมเพราะขึ้นชื่อว่าเป็นหนุ่มเซอร์มีเสน่ห์หาตัวจับยาก แถมในแกลอรี่ผลงานภาพถ่ายของมันยังเต็มไปด้วยนางแบบสวยๆ ซึ่งส่วนใหญ่นั้น...เคยเป็นแฟนของมันมาก่อน
“โทษทีว่ะมึง เมื่อคืนกว่าช่างจะซ่อมท่อน้ำได้ก็เอาซะดึก” ผมพูดพลางนั่งลงตรงเก้าอี้ ก่อนคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามซึ่งกำลังก้มหน้าแดกข้าวอยู่นั้นจะเงยขึ้นมาถามบ้าง
“ซ้อมท่อหรือซ่อมแอร์ในตำนาน”
“ไอ้โบน ไอ้เหี้ย”
“ฮ่าๆๆ ผมไม่เล็กนะครับคุณเติร์ด”
ไอ้ปากหมานี่ชื่อ ‘โบน’ หนึ่งในสมาชิกยุคแรกที่ก่อตั้งแก๊งโหดขึ้นมา จริงๆ มันสนิทกับไอ้ค่ายมากกว่าผมอีก เพราะเป็นคนไปไหนไปกันได้ทุกที่ ถ้าเขาบอกให้ไปนรกมันก็จะไป
ไอ้โบนเป็นผู้ชายผิวแทนที่ตัดสกินเฮดคนเดียวในกลุ่ม ด้วยลุคแบดบอยประกอบกับนิสัยยียวนกวนตีนทำให้ใครหลายๆ คนตกหลุมพรางมานักต่อนัก
การหลีสาวคืองานอดิเรกของมัน แต่แปลกเหมือนกันที่มันไม่เคยลงมือจีบใครสักคน ไม่ใช่เพราะกำลังรอคอยรักแท้หรอก หากแต่ผู้หญิงไม่เปิดโอกาสให้มันได้จีบเพราะมักเป็นฝ่ายเดินเข้าหาเองเสียมากกว่า
“แล้วนี่คุณชายขุนพลไม่มาอีกเหรอ”
“ไม่รู้มัน สงสัยติดสาวอยู่เลยนอนตื่นสาย”
“ติดสาวหรือติดสัด” ไอ้ทูเสริมทันที
“คงพอๆ กับมึงนั่นแหละ ปล่อยๆ มันไปเหอะ” ปลงละ ไม่อยากเอาใจเข้าไปยุ่ง...
“พูดถึงกูอยู่เหรอ”
ตายยากตายเย็นฉิบหายเลยเว้ย เจ้าของเสียงทุ้มที่กำลังเดินตรงดิ่งมาที่โต๊ะทำให้ผมกับเพื่อนอีกสองคนต้องหันไปมอง วันนี้ไอ้ค่ายสวมชุดนิสิตแขนยาวที่พับแขนเสื้อไปครึ่งหนึ่งกับกางเกงยีนลูกรักตัวละหลายหมื่นของมัน แม่งเคยบอกกับผมเว้ยว่าใส่แล้วเป้าจะมีเสน่ห์ และทุกวันนี้เป้ามหาประลัยของมันก็โคตรมีเสน่ห์ต่อทุกเพศจริงๆ
สำหรับไอ้ค่าย ผมรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับตัวของมัน ฝันเปียกครั้งแรกในชีวิต แฟนคนแรก อกหักครั้งแรก และสารพัดที่เป็นเรื่องส่วนตัวผมก็เสือกจนรู้หมด มันเป็นเจ้าของรูปร่างสูงโปร่ง ผิวขาวเนื่องจากมีเสี้ยวจีนอยู่ แต่ทรงผมและการแต่งตัวของมันบอกเลยว่าห่างไกลจากคำว่าตี๋เยอะ
ไอ้นี่ก็สายโหดของกลุ่มเหมือนกันในเรื่องของความหน้าหม้อ เจ้าชู้ ดีที่หล่อและมีตังค์เยอะ ดูเหมือนจะเป็นผู้ชายเพอร์เฟ็กต์แต่บอกเลยว่ามันโง่ครับ โดยเฉพาะเรื่องที่ไม่ควรโง่
“มึงมาก็ดีละไอ้ค่าย ไหนมาให้เพื่อนสัมภาษณ์หน่อยเร๊ว” เมื่อมากันครบองค์ บทสนทนาถามตอบเรื่องสาวๆ ก็ถูกจุดประเด็นขึ้นอย่างรวดเร็ว
“สัมภาษณ์เหี้ยอะไรล่ะ”
“เมื่อคืนได้จึ๊กๆ กันยัง” ไอ้โบนถาม ใจผมก็เหมือนถูกมีดคมๆ ปักลงกลางใจ
“ไม่ได้ว่ะ”
“ห่า ไอ้คนไม่มีน้ำยา”
“จับได้ซะก่อน น้องแม่งคุยกับคนอื่นอยู่เว้ย มึงก็รู้ว่ากูไม่ชอบเป็นตัวสำรองของใคร” ใช่! ทุกคนรู้ดี ไอ้ค่ายค่อนข้างมีความมั่นใจในเสน่ห์ของตัวเองพอสมควร ทุกครั้งที่มันเดินเข้าหาใครก็แทบไม่เคยถูกปฏิเสธ แล้วยิ่งถ้ามารู้ว่าคนที่คุยอยู่กำลังจัดมันเข้าไปอยู่ในโหมดคุยเผื่อเลือกล่ะก็...
อย่าหวังเลยว่าจะได้คุยกับมันอีก
“แล้วทำไง”
“เทสิถามได้ เจ็บใจฉิบหาย บอกรุ่นพี่คนนั้นเขาก็ดี เออ...ดีสินั่นเดือนมอ” มันสบถเสียงเครียด นานมาแล้วที่ผมไม่เห็นท่าทางแบบนี้
“เดือนมอแล้วไง เดือนมอกากๆ ก็เยอะ” ผมปลอบใจเพื่อนรักด้วยการพูดให้กำลังใจ แม้ลึกๆ จะแอบรู้สึกดีที่เจ้าตัวไม่ได้สานต่อความสัมพันธ์กับน้องเขา
“ไม่เหมือนมึงเนอะ ไม่เป็นเหี้ยอะไรก็ยังกาก”
“สัด” กูล่ะเกลียดไอ้ทูฉิบหาย มีห่าอะไรก็แซะกูหมด
ผมเป็นสมาชิกคนที่สี่ของแก๊งโหด ตอนแรกก็สงสัยว่ากูโหดตรงไหน แต่พอไปถามน้องรหัสหรือเพื่อนรหัสดูทุกคนก็ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า ผมโหดในเรื่องชอบทำร้ายจิตใจคนอื่น
เอาตามจริงตั้งแต่เข้ามาเรียนปีหนึ่ง มีคนเข้ามาในชีวิตผมค่อนข้างมาก และทุกคนก็หวังประโยชน์ว่าจะได้พัฒนาความสัมพันธ์ แต่สุดท้ายผมก็มักตัดเขาออกจากชีวิตด้วยการปฏิเสธตรงๆ ทุกคนเลยชอบด่าว่าผมมันเหี้ยที่ทำให้เขาเสียใจ
ก็ถ้าไม่ติดว่ากูชอบไอ้ค่าย กูมีเมียไปเป็นร้อยละไอ้เหี้ย!
เวลารักหรือชอบใครผมจะไม่แสดงอาการ ไม่บอก ไม่พูดอะไรทั้งนั้น บางครั้งเหมือนจะเป็นพวกปากแข็งแต่เมื่อดูสถานการณ์แล้วประเมินว่าคนคนนั้นไม่มีทางชอบเราผมจะไม่เอาตัวเข้าไปเสี่ยงด้วยการบอกชอบ เหมือนที่ผมกำลังทำอยู่กับไอ้ค่ายทุกวันนี้
เพราะถ้าบอกชอบมันในวันที่มันยังไม่หยุดตัวเอง และก็ไม่แน่ใจว่าจะพร้อมเปิดรับเราหรือเปล่า สุดท้ายผมอาจจะเสียมันไป
“วันนี้โดดมั้ย...” ไอ้ค่ายพูดออกมาสั้นๆ เราสามคนที่เหลือเลยมองหน้ากันลอกแลก
“ก็ดีนะ กูไม่อยากเรียนของสมพงษ์พอดี”
“กูก็ด้วย”
“เอาก็เอาวะ”
เราสี่คนเป็นเพื่อนที่สนิทกันมาก และความคิดหลายอย่างก็ตรงกันอย่างน่าใจหาย เวลาใครขอโดดเราก็พากันยกไปทั้งก๊วน ไม่เคยมีคนใดคนหนึ่งห้ามหรือทักท้วงอะไร เจริญมันเข้าไปสิมึง
ดังนั้นหลังจากเรียนในคาบเช้าเสร็จพวกผมก็โดดกันมาเดินเล่นห้างให้สบายอารมณ์ นั่งแดกข้าว หลีสาว แชร์เฟซบุ๊ก แอดไลน์ผู้หญิงกันอย่างมีความสุข ใกล้ค่ำหน่อยทุกคนก็แยกย้ายเพราะมีนัดส่วนตัว คงเหลือผมกับไอ้ค่ายเท่านั้นที่นั่งมองหน้ากันอยู่สองคน
“ไอ้เติร์ด”
“ไร”
“ไปตัดผมกัน กูอยากเปลี่ยนลุค” ไม่รู้เป็นเหี้ยอะไร แต่ผมคิดว่าสาเหตุอาจมาจากการที่มันรู้สึกเสียเซลฟ์กับผู้หญิงคนนั้น ซึ่งผมก็ไม่สามารถขัดมันได้นอกจากพยักหน้าแล้วเดินตามมันเข้าไปที่ร้านทำผม
เดิมทีไอ้ค่ายผมค่อนข้างยาวเพราะมันกะเลี้ยงไว้แข่งกับไอ้ทูด้วยภารกิจพิชิตส้นตีนอะไรของมันก็ได้รู้ แต่วันนี้ทุกอย่างกำลังจะเปลี่ยนไปเมื่อมันได้ย้ายก้นตัวเองไปนั่งบนเขียง
ใช้เวลานั่งๆ นอนๆ อยู่ที่ร้านเป็นชั่วโมงสุดท้ายไอ้ค่ายคนเก่าก็ได้ตายไปทันทีที่เจ้าตัวลุกออกจากเก้าอี้ หลังจากพนักงานทำการสระไดร์ทุกอย่างให้เสร็จสรรพ
“เป็นไง” มันถามพลางยักคิ้วหลิ่วตาให้
“ดูสารเลวกว่าเดิมร้อยเท่า” ผมจ้องหน้ามันอยู่อย่างนั้น จ้องจนแทบจะแดกหัวอีกฝ่ายอยู่รอมร่อ อาจเพราะไม่ชินหรือการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้มันเร็วเกินไป โลกของผมถึงได้โคลงเคลงไปมาไม่หยุด
ไม่มีแล้วนายขุนพลที่ตั้งใจเลี้ยงผมยาวๆ เพราะต้องการจะคีปลุคเซอร์ เหลือเพียงไอ้ค่ายผู้ชายหน้าเลวๆ คนหนึ่งเท่านั้น
ไม่รู้มันพูดกับที่ร้านว่ายังไง แต่อันเดอร์คัตสูงแถมยังทำ straight line ตรงบริเวณที่ไถผมออกยิ่งสร้างลุคแบดบอยของมันได้เป็นอย่างดี จิวหูสีดำที่เจาะขึ้นไปสามรูติดสร้างเสน่ห์ให้กับเจ้าของเป็นอย่างมาก ทำเอาคนในร้านหันมาชื่นชมมันไม่ขาดปาก
น้องดีอย่างงั้น งานดีอย่างนี้ เออ! ยอมรับก็ได้
อ่านต่อด้านล่างค่ะ