12
{พระเพลิง}
ผมใช้เวลาตลอดคืนครุ่นคิดเรื่องไอ้กันต์ ยิ่งคิดก็ยิ่งก็เหมือนพายเรือวนอยู่ในอ่าง ไอ้วีธีการง้อแบบในเน็ตบอกเลยตรงนี้ ไม่เวิร์ค พิสูจน์กับตัวพูดเลยว่าแม่งนามธรรมสุดๆ พอต้องทำอะไรที่ขัดกับสันดานของตัวเอง ไม่เซลฟ์เลยสิพับผ่า นี่ก็อารมณ์เสียถึงขั้นไม่มีสมาธิซ้อมบอลทั้งที่วันแข่งแบ่งสายนัดแรกกำลังจะเริ่มขึ้นแล้วในอีกสองวันข้างหน้า จนรุ่นพี่กับเพื่อนร่วมทีมออกปากว่าผมผิดฟอร์มไปจากเดิมมาก
ก็ยอมรับล่ะนะว่ามีเรื่องกวนใจ ฟอร์มการเตะที่เคยเป็นความหวังของทีมเลยกลายขาเปลี้ยอย่างที่เห็น นี่ก็กำลังหาทางสลัดเรื่องของไอ้กันต์ออกไปจากสมองอยู่ ไม่ใช่ว่าถอดใจนะ แต่ขอเวลาตั้งหลักแป๊บ
เฮ้ออออ!
ผมโยนกระเป๋าตังค์พร้อมกุญรถไว้ที่โต๊ะกินข้าว จากนั้นก็เหวี่ยงโทรศัพท์ตามไปเป็นอย่างที่สามเพื่อระบายอารมณ์
“เฮียเป็นอะไร”
“ทำไม”
ผมหันไปมองไอ้น้องชายที่นั่งเล่นโทรศัพท์ในมือในทันที สายตามันที่มองผมผู้เป็นพี่ชายช่างดูเยาะเย้ยถากถาง นี่ไม่ได้คิดไปเองหรอกนะ แต่ผมกำลังรู้สึกว่าไอ้น้องชายที่คลานตามกันมากำลังสะใจที่ผมดูไม่เป็นตัวของตัวเองแบบนี้
“ก็เห็นเฮียดูหงุดหงิดงุ่นง่าน”
“กูปกติ”
“ปกติเหรอ หน้าเฮียโคตรหงิกอ่ะ ได้ข่าวมาซ้อมบอลวันนี้ก็เละเทะเลยนี่นะ อารมณ์เสียอะไรมาบอกน้องได้นะ หรือว่า...ไม่มีที่ลงเหรอไง ไปไป๊ จัดสักดอกสองดอกอารมณ์จะได้ดีๆ”
“ไอ้พาย มึงนี่ลามปามนะ กูพี่มึง ไม่ใช่เพื่อนเล่น”
“ก็พี่ไง ถึงได้ถาม ถึงได้แนะนำแต่สิ่งดีๆ ให้”
“ไม่ต้อง” ผมมองมันอย่างเหยียดๆ แล้วนั่งลงข้างมัน
“เออพี่เพลิง มะรืนนี้พี่แข่งนัดแรกเปิดสนามใช่ป่ะ”
“เออ” ผมดื่มน้ำอึกใหญ่ ก่อนตอบ
“เตะกับคณะไหน”
“บริหาร อ่อน”
“อืม ก็จริง วิศวะไม่เคยแพ้บริหารนี่เนอะ แต่ปีนี้มีตัวเด็ดมานะเฮีย มันเป็นเด็กที่อยู่ทีมเยาวชนทีมชาติแถมยังเล่นให้สโมสรด้วย เฮียอย่าประมาท”
“อืม เคยเห็นแม่งเล่นแล้ว ทีมกูเอาอยู่”
“เดี๋ยวผมกับเพื่อนไปเชียร์”
คำว่าจะพาเพื่อนไปเชียร์ของไอ้พายทำให้ความสนใจของผมพุ่งไปที่มันทันที พาลให้นึกถึงสีหน้าเฉยๆ เอ๋อๆ ของไอ้กันต์โผล่ขึ้นมา
“เออ มากันเยอะๆ เดี๋ยวแข่งเสร็จจะพาไปกินชาบู”
“จริงดิ ผลแพ้หรือชนะ เฮียก็จะเลี้ยใช่ป่ะ”
“กูก็ต้องชนะดิวะ เคยแพ้ไหม เตะบอลคณะมาไม่เคยแพ้ ปีนี้กูก็ต้องได้ถ้วย”
“โอ๊ย! ก็ให้คนอื่นเข้าได้ถ้วยได้ไหบ้างเถอะ สงสารคณะอื่นเขา”
“กูเป็นเลิศทุกด้านเว้ย”
“เออ เฮียเก่ง...”
RRRRRRR
เสียงโทรศัพท์ของไอ้พายมันดังขึ้นขัดการสนทนาของเราทั้งคู่ ผมเลยปล่อยให้มันรับโทรศัพท์ แล้วเปิดทีวีดูแก้เซ็งเพราะวันนี้เหนื่อยมาทั้งวัน อยากจะนอนดูหนังชิวๆ ที่ห้องไม่คิดจะออกไปไหน
“ไง อยู่ห้องนี่แหละ ยังไม่ได้ทำเลยแต่เมื่อวานกูทำเกือบเสร็จแล้ว คืนนี้ปั่นอีกสองชั่วโมงก็เสร็จ ...โหมึงไม่ต้องมาข่มกูไอ้กันต์”
ผมเงี่ยหูฟังไอ้พายคุยโทรศัพท์เมื่อได้ยินชื่อของใครอีกคนลอยเข้ามา ความสนใจของผมเพ่งสมาธิไปที่ข้อความสนทนา จะกั๊กๆ หน่อยก็ตรงที่แกล้งทำเป็นสนอกสนใจข่าวกีฬานี่ล่ะ
“เออว่ะ กูลืมรายงานวิชานั้นไปเลยว่ะ งั้นพรุ่งนี้มาช่วยกูหน่อยดิ”
เรดาห์ความเผือกเต้นเร่าๆ หูงี้ผึ่งเลยครับ ถ้าทำได้จะแย่งโทรศัพท์มาแล้วเปิดสปีคเกอร์โฟนล่ะ แต่ขอสงวนท่าทีเอาไว้หน่อยแล้วกัน ไอ้มาดทั้งหลายที่สั่งสมมามันต้องรักษาไว้ก่อน
“มาที่ห้องกูนี่ล่ะ นะมึงนะ กูเลี้ยงพิชซ่าเดี๋ยวสั่งมาสองถาดใหญ่”
ผมค่อยๆ กดรีโมตในมือลดเสียงทีวีลงอีกสองขีด ขยับตัวเล็กน้อยเพราะไอ้พายมันเริ่มสงเสียงหงุงหงิงตอนที่พูดกับเพื่อนของมันเหมือนกำลังอ้อนอะไรสักอย่าง
“นะมึงนะช่วยกูทำหน่อย ไม่เอาอ่ะ มาห้องกูนะ ห้องกูใหญ่กว่า เสร็จแล้วกูไปส่ง ...โอ๊ย! ไม่อยู่หรอก ซ้อมบอลไงมึง ดึกๆ ถึงกลับ เออ เขากลับดึกทุกวันเลย นะมึงนะ กูแถมบิงซูด้วยเดี๋ยวพาไปเลย เคๆ น่ารัก”
เมื่อไอ้พายวางสาย มันก็ทำเป็นนิ่งเงียบไปแป๊บก่อนจะหันมาหาผม ส่วนผมก็ลอยหน้าลอยตายกมือเกาคิ้วเล็กน้อยพยายามไม่ทำตัวมีพิรุธ
“เฮียพรุ่งนี้กลับดึกใช่ป่ะ”
“ทำไม” ผมถาม
ก็สงสัยว่าทำไมถึงนึกเฮี้ยนมาถาม ปกติแล้วเราทั้งคู่ไม่ค่อยได้วุ่นวายชีวิตกันเท่าไร จะกลับดึกกลับสว่างก็ไม่ก้าวก่ายอะไรกันอยู่แล้ว
“พรุ่งนี้ไอ้กันต์จะมา ถ้าเฮียไม่อยากเจอมัน กลับดึกหน่อยก็ได้นะ ผมขี้เกียจเห็นเฮียอารมณ์ขึ้นตอนเจอหน้ามัน”
“แล้วถ้ากูเหนื่อย อยากกลับเร็วล่ะ” ผมลองถามออกไปด้วยน้ำเสียงเอื่อยเฉื่อยสีหน้าเซ็งๆ แล้วก็แกล้งหาวทีหนึ่ง น้องชายผมทำหน้าครุ่นคิด
“…งั้นก็ไม่เป็นไร ผมไปทำรายงานห้องมันแทนก็ได้”
“ทำไมวะ เพื่อนมึงไม่อยากเจอหน้ากูงั้นสิ”
“ก็ไม่เชิงคงไม่อยากโดนเฮียด่า มันเลยบอกว่าไม่อยากมา”
“แล้วกูจะไปด่าอะไรมัน” เสียงผมเริ่มดังไต่ระดับ ไอ้ท่าทีเฉื่อยชาเมื่อตะกี้หายวับไปในบัดดล
“ตกลงเฮียกลับดึกไหม”
“เออ ดึกก็ดึก”
วันรุ่งขึ้น ผมใช้เวลาตลอดช่วงบ่ายไปกับการยื่นเอกสารฝึกงานและคุยเรื่องโปรเจคกับอาจารย์ที่ปรึกษา เรื่องสถานที่ฝึกงานไม่มีปัญหาอะไรเพราะผมได้บริษัทยักษ์ใหญ่ซึ่งเป็นบริษัทของเพื่อนสนิทของพ่อในการฝึกงาน ที่จริงผมจะฝึกกับที่บ้านก็ได้ แต่มันคงไม่ท้าทายเท่าไรถ้าจะต้องไปฝึกงานในบริษัทที่พ่อของตัวเองเป็นเจ้าของอยู่ แม้บริษัทของครอบครัวจะใหญ่โตและมีงานดีๆ ให้ทำไม่ต่างกันก็ตาม
พ่อผมเป็นสถาปนิกที่ใครต่อใครก็รู้จักกันดีในแวดวงการออกแบบแถมยังมีชื่อเสียงอยู่ในแถบตะวันออกกลาง เพราะว่าท่านรับโปรเจคงานส่วนใหญ่กับเศรษฐีอาหรับ ผลงานเด่นๆ ก็โรงแรมที่สวยและหรูหราที่สุดของดูไบนั่นล่ะ พ่อของผมเป็นหนึ่งในผู้ออกแบบซึ่งโปรเจคนั้นทำกำไรได้มหาศาล จบจากโปรเจคที่นั่นก็มีโครงการดีๆ อยากให้บริษัทเข้าไปทำ ทีนี้ไม่ต้องหาลูกค้าแล้วครับ ลูกค้าจะวิ่งมาหาเราเอง
อ่ะนะ แต่ผมไม่ค่อยมีหัวทางด้านศิลปะเท่าไรเลยเบนมาเรียนโยธา แต่ส่วนไอ้พายไอ้นั่นมันเป็นคนมีดีเทล ชอบความสวยงามมันเลยเลือกที่จะเรียนอินทีเรีย ว่าไปแล้วถ้าพวกเราพี่น้องเรียนจบบริษัทของครอบครัวมีทุกตำแหน่งครบล่ะ มีสถาปนิก ซึ่งก็คือพ่อผม วิศวกรนั่นก็คือผม แล้วก็มัณฑนากรอย่างไอ้พาย
ผมเดินลงมาข้างล่างตึกกับเพื่อนอีกสองคน ตอนแรกก็กะว่าจะรีบไปซ้อมที่สนามฟุตบอล ถ้าไม่บังเอิญเจอใครบางคนที่เดินงงๆ สอดส่ายสายตาเหมือนหาใครอยู่ผ่านหน้าไปเสียก่อน
“พวกมึงไปก่อนเลยนะ เดี๋ยวกูขอแวะทำธุระแป๊บ” ผมบอกกับเพื่อนทั้งคู่ที่เดินลงจากตึกมาด้วยกัน
“กูรอที่สนาม เร็วหน่อยนะมึง เดี๋ยวพี่เขาถามหา”
เมื่อพวกมันลับไปแล้วผมก็เดินไปที่ตัวเจ้าปัญหาที่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงหลงมาเดินที่คณะผมอยู่คนเดียว เสียงเจี๋ยวจ๊าวของไอ้พวกที่นั่งอยู่ก็แซวเป็นระยะเมื่อเห็นว่ามีคนแปลกหน้าเดินพลัดถิ่นเข้ามา ทั้งเสียงแซวเสียล้อดังขึ้นจากกลุ่มกากๆ ประจำคณะที่ลองได้มีเยื่อหลงผ่านเข้ามามีอันได้โดยแทะโดนเล็มมันเสียทุกคน
“มาหาใครครับ”
“ช่วยได้นะ แหมนานๆ จะมีคนน่ารักผ่านมาสักที แวะคุยกันก่อนสิ”
นั่นคือเสียงที่ผมได้ยิน เสียงเหล่านั้นทำให้ผมเดินเร็วๆ ตามหลังได้เด็กน้อยที่ดูตัวลีบลงเมื่อผ่านพวกนั้นไป
“มาทำอะไร”
“โอ๊ะ!” เสียงร้องพร้อมกับท่าทางสะดุ้งสุดตัวของตัวป่วนดังขึ้น มันหันมาจังหวะเดียวกับที่ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้มันพอดิบพอดี กันต์จ้องหน้าผมอย่างตื่นตะลึง ก่อนจะถอยห่างออกไปสองสามก้าวบวกกับอาการอ้าปากค้างที่ดูน่าตลกจนผมเห็นแล้วมันเขี้ยวเหลือหลาย
“ถามว่ามาทำอะไรแถวนี้ แล้วมากับใคร”
หน้าตาเหรอหราของอีกฝ่ายทำให้ผมยิ่งรู้สึกหงุดหงิดเล็กๆ ที่มันโดนแซว
“ผม...”
“เฮ้ย! พวกมึง หุบปาก” ผมชี้นิ้วไปที่กลุ่มรุ่นน้องปีสองที่ยังไม่มีท่าทีว่าจะเลิกแซวคนตัวเล็กขาวจั๊วตรงหน้า ตัวขาวๆ กับท่าทางผู้ดีของมันทีไม่ค่อยเข้ากับสถานที่นี้เท่าไร ก็แถวนี้มันมีแต่พวกดิบเถื่อน ไม่ได้ดูเนี๊ยบเป็นผู้ดีแบบเด็กคณะอื่น
รุ่นน้องปากเปราะของผมเงียบเสียงลง แต่ยังคงมองจ้องไอ้กันต์อย่างไม่วางตา ก็มันขาวแถมดูซื่อๆ บื้อๆ ด้วย ไอ้เถื่อนพวกนี้มันชอบแบบนี้ล่ะ
สัด ของกูเลิกมอง!
ผมตวัดสายตาไปอีกครั้ง แถมยังแสยะยิ้มอาฆาตไปเป็นเครื่องย้ำเตือนว่าถ้ายังไม่เลิกแซวเลิกอ้อยเด็กหลงคนนี้ ผมจะเดินไปกระทืบล่ะ
“มาคนเดียว?”
“อ่า ครับ”
“แถวนี้ไม่ใช่ที่เดินเล่นนะ ไม่มีใครเขาเดินท่อมๆ ไม่รู้เหนือรู้ใต้แบบมึงหรอก ไอ้พวกนี้มันชอบลากพวกทึ่มๆ ไปนัวมึงไม่เคยได้ยินเหรอ” ผมมองไอ้กันต์ที่ดูตัวลีบเล็กตั้งแต่หัวจดเท้า แล้วก็เห็นกล่องขนาดใหญ่พอประมาณกับม้วนกระดาษที่มันหนีบมาด้วย
“ไม่ได้มาเดินเล่นครับ ผมมาธุระ” เสียงของมันเบา มันคงคิดว่าเป็นข่าวลือสิท่า แต่ขอโทษข่าวลือบางอย่างก็มาจากเรื่องจริง
“ตึกวิศวะนี่นะ”
“ครับ”
“ธุระอะไร กับใคร”
“พี่นิวสาขาไฟฟ้าครับ”
ไอ้นิว สาขาไฟฟ้า คนหล่อประจำชั้นปี ฮึ! เส้นเลือดตรงขมับของผมเริ่มเต้นตุบๆ โดยไม่ทราบสาเหตุ
“มีอะไรกับมัน ถึงต้องถ่อมาหาถนี่”
“ผมมีโปรเจคอยากให้พี่เขาช่วยนิดหน่อย อ่า มาพอดีเลย หวัดดีครับพี่” ปากมันทักทายเฉยๆ เพราะมือที่ถือของพะลุงพะลังอยู่ สีหน้ามันดูกระตือรือร้นดีใจขึ้นมา ผิดกับเมื่อกี้ที่ดูเหยเก
“รอนานป่าว” ไอ้นิวที่เดินหล่อๆ มายิ้มร่ามาแต่ไกลก่อนทักไอ้ตัวเล็กข้างผมราวกับสนิทสนมกันเสียเหลือเกิน มันแตะไหล่ไอ้กันต์แล้วเขย่าหัวตามมาด้วย
คือมึงนี่สนิทกับโคแก่ไปทั่วเลยใช่ป่ะวะ
“แป๊บนึงอ่ะพี่”
“ไหนล่ะ งานมึง”
“นี่ครับ ในกล่องมันมีเลตเตอร์ที่ผมขึ้นรูปยกขอบมาแล้วนะครับ มีอคริลิกมาด้วยมันจะต้องอยู่ด้านหน้านะพี่พี่ถอดฝาครอบมันออกก็จะเห็น แล้วนี้ก็แบบที่ผมเตรียมไว้ให้”
ไอ้นิวรับแบบในมือไอ้กันต์ไป แล้วคลี่แบบดูคร่าวๆ ผมอดไม่ได้ที่จะชำเลืองตาดูก็เห็นเป็นตัวอักษรพร้อมกับรูปแบบดีไซด์ให้ออกไฟเดาเอาว่าคงเป็นงานที่ต้องส่งอาจารย์ของมัน
“เสปคไฟกันต์ใช้แบบไหน”
“ผมใช้แอลอีดีแบบโมดูล นี่ก็ลองไปดูแถวบ้านหม้อมานะแต่แสงมันไม่โอเค ผมอยากได้วอร์มไวท์อ่ะพี่ มันมีแต่เดย์ไลท์ แสงมันดูแข็งๆ แต่ก็ต้องเอามาก่อนกลัวไม่ทัน เสียดายเนอะ ผมว่ามันต้องเพี้ยนไปจากที่ผมดีไซน์ไว้”
ไอ้กันต์ทำหน้าเสียดายดูแล้วน่าสงสาร มันถอนใจเฮือกใหญ่แล้วยิ้มแหยส่งไปให้อีกฝ่าย ผมมองไปที่ไอ้นิว ไอ้นั่นก็ดูสายตาวิบวับตอบกลับไปเห็นแล้วคันตีน แหม่อยากหาปากใครมาแก้คัน
“แล้วไม่บอก เดี๋ยวไปเป็นเพื่อนมันมีหลายร้าน จริงๆ นอกจากชนิทของแสงแล้วยังมีกำลังวัตต์ของไฟด้วยนะ แสงที่ออกมามันจะให้ค่าลักซ์ต่างกัน ส่งวันไหนล่ะซื้อใหม่ไหม”
“ส่งพุธหน้า แต่ผมกลัวพี่ทำไม่ทัน”
“งั้นเสาร์นี้ไปไหมล่ะ เดี๋ยวพาไป พี่ทำวันเดียวก็เสร็จ เดินไฟง่ายๆ กระจอก”
“ได้เหรอพี่”
“ได้ดิ แล้วนี่ไม่ได้ซื้อหม้อแปลงมาเหรอ มันต้องใช้ด้วยนะ แต่สายไฟไม่ต้องพี่มีเยอะ”
เห็นไอ้นิวมันเปิดกล่องไปมาก่อนถามไอ้กันต์ที่กุลีกุจอถือม้วนกระดาษให้อีกฝ่าย
“เปล่า ผมไม่รู้ ขอโทษทีพี่”
“ไม่เป็นไรๆ แต่ไม่ซื้อมาก็ดี เดี๋ยวต้องคำนวนกำลังวัตต์ก่อนจะได้ซื้อขนาดถูก เดี๋ยวไปซื้อทีเดียววันเสาร์แล้วกันนะ”
“ออ ครับพี่ งั้นผมไปก่อนนะ ไม่กวนเวลาพี่แล้ว”
“จะไปตอนไหนโทรมานะ”
“ครับ”
“อ้าว ว่าไงเพลิง”
“เห็นกูด้วย”
สัด ยืนอยูโกฐธ์ปีเสือกพึ่งมาทัก ก็มัวแต่ทอล์คกิ้งอะเบ้าท์กันเสียจนลืมมองคนรอบข้าง
ถุย! ธันวาไหมล่ะมึง
“ไม่ไปเตะบอล? เขาไปกันหมดแล้วนะ”
“ไป” เมื่อตอบส่งๆ ไป อีกฝ่ายก็พยักหน้าส่งๆ มาเช่นกัน เอาตามตรงผมกับไอ้นิวก็ไม่ได้สนิทสนมหรือแค้นเคืองอะไรกันเป็นพิเศษ แต่ไม่รู้ทำไมวันนี้รู้สึกว่าเหม็นบูดขี้หน้ามันแบบสาเหตุไม่ได้ขึ้นมาแบบนี้
“เออ กูไปก่อน พี่ไปแล้วนะกันต์”
ไอ้นิวโบกมือแล้วเดินจากไปในที่สุด ส่วนไอ้เด็กต่างถิ่นมันยิ้มอ่อนส่งไปมองแล้วก็อยากกระชากหัวมันกลับมา จากนั้นก็ตบหัวสั่งสอนสักผลัวะ จะได้รู้ตัวสักทีว่าจะมาทำตาเชื่อมกับผู้ชายในตึกวิศวะไม่ได้ มันอาจถูกลากไปรุมโทรมในห้องน้ำแบบไม่รู้เนื่อรู้ตัว
“สนิทกันดีเนอะ ดูพูดภาษาเดียวกัน มาหากันถึงที่ถึงถิ่นโคตรใจกล้า”
ผมพูดขึ้นลอยๆ พร้อมกับเดินตามหลังไอ้กันต์ที่เดินจ่ำผ่านใต้ตึกไปโดยไม่คิดจะลาผมสักคำ แต่กับอีกคนพูดกันเป็นฉากๆ
“ขอให้พี่เขาช่วยงานน่ะครับ ผมก็ต้องเอามาให้เขาถึงที่เป็นธรรมดา” มันตอบกลับมาแต่ไม่มองผมที่เดินขนาบข้าง
“ที่จริงแค่เรื่องเดินไฟกับวางหลอดไฟใครๆ ก็ทำได้ งานเด็กมอต้นว่ะ” เสียงที่ติดจะเย้ยหยันของผมออกไปเองเฉยเลย
“ผมทำไม่เป็นนี่ ไม่รู้ด้วยว่าต้องคำนวนกระแสไฟแบบไหน อีกอย่างเพื่อนผมคนอื่นก็ให้คนที่เรียนไฟฟ้าช่วยกันทั้งนั้น” น้ำเสียงของเจ้าตัวเบาลง ดูอ่อยๆ แบบเสียความมั่นใจ
“ลองทำดูหรือยัง ไม่เห็นจะยากตรงไหน ไม่เห็นต้องเรียนไฟฟ้ากำลังก็ได้หรือเปล่าวะ ก็แค่คำนวนจากกำลังวัตต์ของหลอดทั้งหมดที่ใช้คูณจำนวนหลอด แค่นี้ก็รู้แล้วว่าต้องใช้หม้อแปลงขนาดเท่าไร เดินไฟเองก็ไม่ยาก” ผมยักไหล่
“ครับ ไว้ครั้งหลังผมจะลองทำดู”
“จริงๆ ถามกูก็ได้นะ มันไม่ได้ยากขนาดนั้น”
“ออ ครับ”
ไอ้กันตอบเบาๆ แล้วก็ทำท่าจะเดินจากไปโดยไม่ได้สนใจว่าผมเดินตามหลังมาอยู่
“ไปกินข้าวกัน” ผมพูดขึ้นมาดื้อจนอีกฝ่ายชะงักเท้าแล้วหันมามอง
“พี่ชวนผม?”
“อืม”
ไอ้กันต์ทำหน้างง ดวงตากลมโตของมันเบิกกว้าง สีหน้าดูประหลาดไปอึดใจหนึ่งก่อนจะส่ายหน้าน้อยๆ
“ผมกินแล้ว”
นอกจากจะปฏิเสธแล้ว มันยังทำท่าจะเดินหนีอีก ผมเลยต้องรีบสาวเท้าเข้าไปดักหน้าเอาไว้ ยังไงเสียวันนี้ก็จะไม่ยอมให้มันเดินนี้ผมหรอก เพราะไม่เห็นกันหลายวัน เอาจริงก็อยากเจอหน้ามันหน่อยๆ
หน่อยเดียวเท่านั้นล่ะ นี่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก แค่อยากคุยอีกสักแป๊บ ก็ตอนนี้เริ่มจะสมานแผลบนใบหน้าที่แหกแบบหมอไม่กล้ารับเย็บไปแล้ว ก็ว่าจะตั้งหลักใหม่ เมื่อหมูเตะเข้าปากหมา ไอ้ครั้นจะคายทิ้งก็เสียดายหรือเปล่าวะ
“งั้นไปเป็นเพื่อนหน่อย”
นี่ก็เพิ่งเคยตื้อใครสักคนเป็นครั้งแรก แต่ก็ไม่ได้ออดอ้อนอะไรมากจนเสียความเป็นตัวเองไป น้ำเสียงฟังแล้วติดดูข่มขู่นิดหน่อยอย่างไว้เชิง ก็เดี๋ยวนี้ไอ้กันต์มันไม่ได้กลัวผมจนหงอแบบเมื่อก่อนแล้วนะ
“ผมต้องรีบไปทำรายงานต่อครับ นัดกับพายไว้ป่านนี้คงรอนานแล้ว”
“มันรอได้” ผมยักคิ้วจึกจึก ไม่ได้แคร์อะไร
“พี่ไม่ไปซ้อมบอลเหรอ”
“ไป แต่กูหิว จะกินข้าวก่อน”
ผมแม่งโคตรดื้อดึง วันนี้พูดเลยว่าเอาจริง แล้วมันก็ต้องตามใจผมด้วย