ตอนที่ 11
คงจะดีกว่า ถ้าวันนั้นมันเป็นแค่ฝันร้าย
เวลาถูกถามว่าโตขึ้นอยากจะเป็นอะไร ผมไม่เคยให้คำตอบได้เพราะยังไม่รู้ความต้องการของตัวเอง แต่มีความต้องการของแม่ที่คาดหวังในตัวผมอยู่เสมอ แม่อยากให้เรียนหมอ ส่วนพ่อไม่เคยพูดอะไรแต่ดูแล้วก็คล้ายว่าจะสนับสนุนความคิดของแม่ หน่อยเห็นดีเห็นงามด้วยเป็นที่หนึ่ง เพราะอยากเห็นผมเป็นหมอในอนาคต
หน่อยสอนผมอยู่เสมอว่าทุกอย่างที่พ่อกับแม่ทำให้เป็นเพราะรักและหวังดี ถูกฝังให้เชื่อแบบนั้นมาโดยตลอด แต่ดูเหมือนว่า ความคาดหวังจะเป็นความรักที่บิดเบี้ยว เพราะมันส่งผลให้ผมรู้สึกในทางตรงข้ามกันอยู่เสมอ บ่อยครั้งผมเกิดคำถามว่าแม่กำลังคาดหวังเพื่อตัวผมหรือเพื่อตัวเองกันแน่
แต่ถึงอย่างนั้นการตั้งใจเรียนก็ดูจะเป็นหน้าที่เดียวที่ผมพอจะทำได้ อย่างที่บอกว่าผมไม่มีปัญหาเรื่องการเรียน แต่อย่างหนึ่งที่ไม่ชอบก็เวลาที่ต้องทำงานคู่หรืองานกลุ่ม มันกลายเป็นเรื่องยากสำหรับผมที่จะต้องหาคู่หรือยัดเยียดตัวเองเข้าไปในกลุ่มของใครสักคน อย่างวันนี้ในคาบวิทยาศาสตร์ก็มีงานกลุ่มที่ต้องทำรายงานและนำเสนอหน้าห้อง การจับกลุ่มถูกจัดขึ้นตั้งแต่คาบที่แล้ว ผมเป็นเศษเหลือที่ถูกอาจารย์จับยัดใส่กลุ่มของนักเรียนแถวหลังที่ยังขาดคนอยู่ด้วยความไม่เต็มใจนัก ปั้นยกตำแหน่งหัวหน้ากลุ่มเหตุผลก็เพราะต้องการโยนทุกงานให้ผมรับผิดชอบ แต่อย่างไรการพรีเซนท์ของวันนี้ก็ผ่านพ้นไปแล้ว ผมคิดว่าทุกอย่างจะจบในตอนที่กำลังจะหมดคาบ แต่ดูเหมือนว่าสถานการณ์จะไม่เป็นเช่นนั้น
ทุกอย่างกำลังจะเริ่มต้นต่างหาก..."ปณิธาน" เสียงเรียกจากครูที่หน้าห้องดังขึ้นเรียกความสนใจของผมไปแม้ว่าจะไม่ใช่ชื่อตัวเอง เจ้าของชื่ออย่างปั้นที่นั่งอยู่ด้านหลังขานรับเสียงดัง
"ครับผม"
"กลุ่มเธอ ออกมาคุยกับครูหน่อย"
นักเรียนห้าคนรวมผม ลุกออกจากโต๊ะไปที่หน้าห้อง เราตกเป็นที่สนใจจากจำนวนสมาชิกที่เหลือในห้องทันทีเพราะไม่มีใครรู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น กระทั่งเล่มรายงานของกลุ่มเราถูกครูโยนลงบนโต๊ะเบาๆ
"ใครเป็นคนทำรายงานเล่มนี้"
"ช่วยกันครับ" หนึ่งในกลุ่มเป็นตัวแทนตอบหลังจากที่เอาแต่มองหน้ากันไปมา
"ครูถามอีกที"
"พวกเรา...ช่วยกันครับ"
"พันธกานต์"
ผมเงยหน้าขึ้นมองหลังจากเสียงเรียก ก่อนจะต้องก้มหน้าลงไปอีกเมื่อครูพูดต่อในประโยคหลัง
"เธอเป็นคนทำทั้งหมดใช่ไหม"
"..."
"ตอบครู"
หากผมพูดความจริง เพื่อนในกลุ่มจะซวยกันหมด แต่ถ้าผมโกหก ครูก็ต้องรู้อยู่ดี จึงทำได้แค่ก้มหน้าเงียบ ไม่มีคำตอบจากผม
"เธอทำรายงานส่งครูมากี่เล่มแล้ว คิดว่าครูจะไม่รู้เหรอ ตอนพรีเซนท์งานก็แทบจะพูดอยู่คนเดียว ครูถามอะไรก็ตอบอยู่คนเดียว ทำคนเดียวแบบนี้จะเอาคะแนนคนเดียวหรือไง!"
"เปล่านะครับ"
"แล้วทำไมไม่ให้เพื่อนช่วย"
ก็ไม่มีใครช่วย...ไม่มีใครสนใจ...ไม่มีใครตามงาน...ไม่มีเลย"ถึงเธอจะเก่งแค่ไหนแต่มันก็เป็นงานกลุ่ม ถึงเพื่อนไม่ช่วยก็ต้องบังคับให้มันช่วย ไม่งั้นครูจะสั่งงานกลุ่มไปเพื่ออะไร พวกเธอก็เหมือนกัน ทำไมไม่ช่วยเพื่อน ทำตัวมักง่ายแบบนี้แล้วคิดว่าครูจะไม่รู้นะ"
"..."
"พันธกานต์ ครูให้เธอเลือกว่าจะเอาคะแนนคนเดียวแล้วให้เพื่อนได้ศูนย์คะแนน หรือให้คะแนนเพื่อนแล้วเธอได้ศูนย์แทน"
นึกโกรธอยู่ในใจว่าทำไมความรับผิดชอบทั้งหมดต้องตกอยู่ที่ผม ผมไม่รู้ว่าการที่เอางานมาทำคนเดียวทั้งหมดให้มันจบๆ ไปจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่ทำให้เราเดือดร้อนกันหมด แม้จะพยายามขนาดไหน แต่ทุกอย่างก็ยังแย่ลงอยู่เรื่อยๆ ไม่มีโอกาสให้ผมได้หายใจอย่างสะดวกในห้องเรียนที่แสนจะโหดร้ายนี่เลย
"ว่ายังไงพันธกานต์"
"ให้เพื่อนได้คะแนนครับ ผมรับผิดเอง"
"เธอจะเอาแบบนี้ใช่ไหม"
"ครับ"
มันเป็นทางเลือกที่ดูไม่มีทางเลือกเลยด้วยซ้ำ ถ้าผมเห็นแก่ตัวเองแล้วเอาคะแนนนั้นไว้คนเดียว ผมคงไม่มีชีวิตรอดจากคนพวกนี้ที่ดูจะแค้นเคืองกันราวกับเจ้าป่ารอขย้ำเหยื่อ
"พันธกานต์กลับไปนั่งที่ พวกที่เหลือคุยกับครูก่อน"
ผมพยักหน้ารับก่อนเดินกลับไปที่โต๊ะ เพื่อนในห้องยังมองมาที่ผมจนต้องก้มหน้าเดินไปนั่งที่ให้เร็วที่สุด เสียงของครูที่หน้าห้องยังคงได้ยินมาถึงตรงนี้เพราะความเงียบ เด็กพวกนั้นโดนดุเรื่องที่ไม่ช่วยงานกลุ่ม เป็นความจริงจึงไม่อาจมีใครเถียง การถูกต่อว่าต่อหน้าคนในห้องคงไม่เป็นที่ชอบใจเท่าไรนัก ในตอนที่ครูเดินออกไปแล้วหลังหมดเวลาเรียนพอดี พวกนั้นก็เดินกลับเข้ามาที่โต๊ะ ความโกรธเคืองถูกบอกผ่านสายตาที่กำลังจับจ้องอยู่นั่นจนผมรู้สึกถึงลางไม่ดีที่จะต้องเจอ หมดคาบพอดี...รีบไปจากตรงนี้ดีกว่า
"มึงจะไปไหน"
เสียงเรียกของเพื่อนคนหนึ่งหยุดทุกอย่างที่ผมกำลังจะทำ ก่อนคนในกลุ่มทั้งหมดจะมายืนรุมล้อมผมเอาไว้ ถอยหลังจนหมดหนทางหนี ผมยังคงทำได้แค่ก้มหน้าเงียบๆ
"มึงตั้งใจทำรายงานให้ครูเขาดูออกว่ามึงทำคนเดียวเหรอ"
"ไม่ใช่นะ"
"แล้วครูเขารู้ได้ไง"
"ก็ไม่รู้เหมือนกัน"
"มึงรู้ไหมทำไมคนเขาถึงเกลียดมึงทั้งห้อง เพราะมึงนิสัยแบบนี้ไง ไม่น่ารับมึงเข้ากลุ่มแต่แรกเลย ไอ้เหี้ยเอ๊ย!" คำด่าหยาบคาบมาพร้อมกับแรงผลักที่ทำเอาผมเซไปชนกับโต๊ะ เสียงดังดึงความสนใจของเพื่อนให้หันมามองอีกครั้ง
"เห็นหน้ามึงแล้วแม่ง!"
"เฮ้ย ใจเย็น" ปั้นปัดมือที่กำลังจะผลักซ้ำเข้ามาอีกทีออกไปก่อน ยืนอยู่ตรงนี้ผมเหมือนลูกหมาตัวเล็กๆ ที่กำลังโดนรุม ไม่ได้สู้ ไม่ได้หนี ไม่มีแม้แต่สิทธิ์ที่จะโต้เถียง
คนที่ดูมีอิทธิพลที่สุดอย่างปั้นขยับเท้าเข้ามาตรงหน้าผม พวกที่เหลือจึงถอยหลังออกไป ถูกจ้องหน้าอยู่ครู่หนึ่งก่อนอีกฝ่ายจะยกมุมปากขึ้นยิ้มแล้วพูดออกมา
"ทำไมมึงไม่บอกครูไปว่าอยากได้คะแนนคนเดียว"
"..."
"ทำแบบนี้คิดว่ากูจะขอบคุณมึงงั้นเหรอ"
"..."
"ใช่ มึงคิดถูก ขอบคุณนะ ไม่ต้องทำอะไรก็ได้คะแนนฟรีๆ ดีจะตาย ประทับใจว่ะ" ว่าแล้วยกมือข้างหนึ่งขึ้นตบหน้าผมเบาๆ แล้วกอดคอเอาไว้อย่างนั้น
"คะแนนมึงหายไปแค่นี้ใช่ว่าจะไม่ได้เกรดสี่ซะหน่อย แต่พวกกูเนี่ยมีสิทธิ์ติดศูนย์ได้เลยนะ พวกมึงก็ต้องขอบคุณพลีสมันด้วย ขอบคุณเร็ว"
"ปล่อย" ผมพูดเบาๆ เพื่อบอกให้คนที่กำลังกอดคออยู่ปล่อยผมออก แต่อีกคนที่กำลังสนใจจะพูดเรื่องอื่นมากกว่าจึงไม่ได้ยิน
"ถ้าไม่ได้มันเราก็ไม่ได้คะแนนนะเว้ย"
"ปล่อย!" ผมเพิ่มเสียงให้ดังกว่าเดิม จึงได้รับความสนใจจากคนข้างๆ
"อะไร"
"ปล่อย...ปล่อยเรา"
"ทำไม แตะเนื้อต้องตัวไม่ได้เลยเหรอ"
"ไม่ชอบ...ปล่อย" ยิ่งผมถอยหนี ยิ่งขยับเข้ามาใกล้ ยิ่งผมพยายามพาตัวเองให้หลุดพ้น ยิ่งถูกกอดรัดให้แน่นกว่าเดิม
"ปั้น ปล่อยเถอะ"
"มึงวิเศษมาจากไหน ถึงได้รังเกียจอะไรกูนักหนา ถูกเนื้อถูกตัวแค่นี้ไม่ได้ มึงเป็นอะไร"
"เราไม่ชอบ"
"แต่กูชอบ ไม่อยากปล่อยเลย" เสียงหัวเราะของคนอื่นๆ ดังขึ้นตอนที่ปั้นกำลังแกล้งผมมากขึ้นด้วยการกอดแน่นกว่าเดิม กระทั่งยื่นปลายจมูกเข้ามาเฉียดใบหน้าทำท่าจะหอมแก้ม
การใกล้ชิดอย่างจงใจเป็นเหตุให้ผมตัวสั่น หัวใจขยับจังหวะเต้นแรงขึ้น สติหลุดจนแทบจะควบคุมตัวเองไม่อยู่ ทั้งหมดนั่นเป็นเพราะความหวาดกลัว
"ปั้น ปล่อยเราเถอะ ปล่อย..."
"ไม่ปล่อย จะทำไม"
"ปล่อย"
"ไม่"
"บอกให้ปล่อย!" ผมใช้เรี่ยวแรงที่มีผลักปั้นขยับออกไปได้เพียงเล็กน้อย แต่คงเป็นเพราะการตะโกนสุดเสียงที่ดังจนคนข้างๆ ตกใจจึงยอมปล่อยผมออก
"มึงเป็นอะไรเนี่ย"
"ไม่ชอบ!"
"แค่นี้มันจะตายเลยหรือไง ฮะ! มันจะตายเลยหรือไง!" มันควรจบตั้งแต่ตอนที่ผมบอกว่าไม่ชอบ แต่การถูกกลั่นแกล้งมันไม่ง่ายแบบนั้น ยิ่งรู้ว่าผมไม่ชอบ ยิ่งทำเหมือนเป็นเรื่องสนุก ปั้นดึงผมเข้าไปกอดอีกที แม้ผมจะดิ้นหนีคล้ายคนที่ต้องการเอาชีวิตรอดจากสัตว์ร้าย
"ปล่อย!"
เสียงร้องของผมดังขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่เท่าเสียงหัวเราะของเพื่อนในห้องที่มองเป็นเรื่องขำขัน ทั้งที่ความจริง ผมหวาดกลัวจนแทบขาดใจ ไม่รู้จะสู้ยังไงสุดท้ายจึงร้องไห้ออกมา
"เฮ้ย! ร้องไห้ทำไมวะ"
"ก็บอกให้ปล่อยไง! บอกให้ปล่อยกู! ปล่อยกู! ไอ้เหี้ย! ปล่อยกู!" ผมโวยวายด้วยคำหยาบอย่างที่ไม่เคยพูดมาก่อน ด้วยความตกใจหรืออะไรก็ตามที ไอ้ปั้นจึงยอมปล่อยผมออก
"มึงเป็นอะไรพลีส"
"อย่ามาแตะตัวกู!"
ผมทรุดตัวลงนั่งกับพื้นสติพลันหลุดลอยหายไป ไม่สามารถหยุดยั้งน้ำตาที่ไหลออกมาด้วยความฟูมฟาย แม้จะถูกถามว่าเป็นอะไรก็ไม่สามารถให้คำตอบได้ ทำได้แค่ร้องไห้และอยากหนีหายให้พ้นไปจากตรงนี้...อยากไปจากตรงนี้...
ไม่อยากอยู่แล้ว ...
ทุกวันอาทิตย์ หน่อยจะพาผมมาที่โบสถ์ การมาที่นี่มันทำให้ผมรู้สึกสงบและอบอุ่น ราวกับว่าทุกปัญหาที่เกิดขึ้นในใจพระเจ้าจะเป็นผู้รับฟัง และต่อให้ไม่เหลือใครในชีวิต ผมยังคงเหลือความศรัทธาอยู่
"น้องพลีสคะ"
ผมหันมองหน่อยที่เดินเข้ามาเรียก หลังจากปล่อยให้ผมนั่งเล่นอยู่ที่ริมสนามฟุตบอลหน้าโบสถ์
"คุณกานต์โทรมาให้หน่อยไปทำธุระให้ เรากลับบ้านกันเถอะค่ะ"
"พลีสยังไม่อยากกลับ"
"ถ้าอย่างนั้น..."
"หน่อยไปเถอะ พลีสกลับเองได้"
"หน่อยอาจจะกลับไม่ทันทำอาหารกลางวันให้ น้องพลีสหาอะไรทานเองได้ไหมคะ"
"ได้"
"น้องพลีสโอเคนะคะ"
ผมพยักหน้ารับเพื่อบอกให้หน่อยแน่ใจว่าผมโอเคกับทุกเรื่อง ก่อนที่หน่อยจะเดินออกไป สายตาผมกลับไปจ้องมองเด็กๆ ที่กำลังวิ่งเล่นอยู่ในสนาม เสียงดังจอแจแต่กลับไม่รู้สึกหนวกหูหรือรำคาญ นั่งมองอยู่นานอย่างเลื่อนลอย กระทั่งได้ยินเสียงหนึ่งในนั้นหวีดร้องเสียงดังเพราะวิ่งหกล้ม ด้วยความตกใจผมจึงลุกขึ้นยืนหวังจะเข้าไปช่วย แต่ช้ากว่าเด็กผู้ชายวัยมัธยมคนหนึ่งที่วิ่งเล่นอยู่ในสนามด้วย เด็กคนนั้นตรงเข้าไปถึงเด็กที่หกล้มก่อน อุ้มให้ลุกขึ้นยืนขณะคนตัวเล็กกำลังร้องไห้
"ไหนดูสิ เจ็บไหม"
"เจ็บค่ะ"
"เจ็บมากไหม"
"เจ็บมากค่ะ"
"ไม่เป็นไรนะ ไม่ร้อง เดี๋ยวพี่พาไปล้างแผลนะ"
ผมมองตามขณะสองคนนั้นเดินออกจากสนามเข้าไปในโบสถ์ พลันคิดไปว่า...เป็นเด็กนี่ดีจังเลย เจ็บก็บอกว่าเจ็บ ถึงจะร้องไห้ก็ไม่เป็นไร มีคนที่คอยโอบอุ้มในเวลาที่ต้องการใครสักคนมันคงเป็นเรื่องที่ดีที่สุดเท่าที่มนุษย์จะต้องการแล้ว ตัวผมเองแม้ความเป็นเด็กยังมีอยู่ แต่ความเจ็บปวดกลับต้องกลายเป็นความลับ ไม่สามารถบอกให้ใครรู้ได้
มันต้องโอเค แม้ในเรื่องที่ไม่โอเค มันต้องไม่เป็นอะไร...
แม้ในสิ่งที่เป็นจนแทบจะขาดใจตายก็ตาม เพราะผมยังไม่อยากกลับบ้านหลังจากกลับจากโบสถ์จึงตั้งใจมาหาหนังสืออ่านสักเล่ม อีกใจก็อยากกินอะไรเย็นๆ สักแก้ว เลือกไม่ได้ว่าจะไปคาเฟ่หรือร้านหนังสือ จึงมาจบที่ร้านคาเฟ่กึ่งห้องสมุดที่มีหนังสือให้อ่านจำนวนมาก มีเครื่องดื่มและขนมอร่อยๆ กับพื้นที่บริการให้อ่านหนังสือหรือนั่งทำงานแบบเงียบๆ อีกด้วย ผมสั่งนมสดปั่นแก้วหนึ่งแล้วเดินหาที่นั่ง ตรงเข้าไปยังบริเวณด้านในที่เงียบกว่าจุดอื่น แต่วันนี้เป็นบ่ายวันอาทิตย์ที่คนค่อนข้างเยอะ โต๊ะทุกตัวเกือบจะเต็มไปหมด ขณะกำลังมองหาที่นั่งว่างๆ เสียงหนึ่งก็ดังเรียกขึ้นมา
"น้อง"
"..."
"น้องพลีส"
ผมหันมองเจ้าของเสียงก่อนพบว่าเป็นคุณหมอที่นั่งอยู่ที่โต๊ะตัวริม ริมฝีปากอยากขยับเป็นรอยยิ้มเพราะดีใจที่ได้เจอ แต่ทำไมได้อย่างนั้นจึงทำได้แค่ก้มหัวเล็กน้อยเป็นเชิงทักทาย คุณหมอกวักมือเรียกให้ผมเดินเข้าไปหา สองขาจึงปฏิบัติตามราวกับเป็นคำสั่ง ผมยกมือไหว้เพื่อเป็นการทักทายอีกครั้ง
"นั่งสิ"
มีที่ว่างข้างๆ คุณหมออยู่พอดี ผมจึงขยับไปนั่งลง เว้นระยะห่างเอาไว้เล็กน้อยเพื่อไม่ให้ใกล้ชิดจนเกินไป ผมวางแก้วลงบนโต๊ะ แล้วหันมองหนังสือในมือคุณหมอที่มีเนื้อหาเป็นภาษาอังกฤษทั้งเล่ม
"มาคนเดียวเหรอครับ"
"ครับ แล้วคุณหมอ..."
"มาคนเดียวเหมือนกันครับ วันนี้วันหยุดไม่รู้จะไปไหนก็เลยมาหาที่นั่งอ่านหนังสือเล่นๆ น่ะครับ"
"อ๋อ...ครับ"
ผมน่าจะมีความสามารถในการพูดคุยกับคนอื่นให้มากกว่านี้ เพื่อไม่ให้บทสนทนาของเรานั้นเงียบงัน ทั้งๆ ที่มีโอกาสได้พบกันแล้วแท้ๆ แต่ความเงียบก็ยังเป็นสิ่งเดียวที่เกิดขึ้นระหว่างเราในขณะนี้ แต่ความโชคดีก็อยู่ตรงที่คุณหมอพูดเก่งกว่าจึงเป็นฝ่ายชวนผมคุยได้ยืดยาว
"แล้วฟันเป็นยังไงบ้าง เจ็บไหม"
"ไม่เจ็บครับ"
"รู้ไหมน้องเป็นคนไข้คนเดียวของพี่เลยที่ไม่เคยบอกว่าเจ็บ"
ผมทำได้แค่ยิ้ม ที่จริงมันก็มีบ้างครั้งที่เจ็บมากจนเรียกว่าทรมานได้อยู่เหมือนกัน แต่ผมก็คิดเพียงแค่ว่า ต่อให้บ่นว่าเจ็บก็ใช่ว่าใครจะสนใจ ใช่ว่าความเจ็บมันจะหายไปซะหน่อย
"ถ้าเจ็บมากก็บอกพี่ได้นะ พี่จะทำให้มันเจ็บน้อยลง"
"ครับ คุณหมอ"
"จะไม่ยอมเรียกพี่เลยใช่ไหม"
ผมทำได้แค่ยิ้มตอบ ก่อนอีกฝ่ายจะทำหน้าบูดเหมือนจะงอนกัน เขาเป็นคนน่ารัก...ไม่ว่าจะทำหน้าแบบไหนก็ยังคงน่ารัก จะนิ่งเฉยหรือเผยรอยยิ้มให้เห็น ก็ดูน่ารักอยู่เสมอ มีหนึ่งคำถามที่ผมคิดสงสัยจึงใช้โอกาสนี้ถามมันออกไป
"คุณหมอ"
"..."
"คุณหมอครับ"
"ไม่เรียกพี่ ไม่หันหรอก"
"ใจร้ายจังเลยครับ"
"ฮะ? เปล่านะ! มีอะไร พูดมาสิ"
"ผมถามอะไรหน่อยได้ไหม"
"ได้ครับ"
"คุณหมออายุเท่าไรเหรอครับ"
คำถามของผมทำให้สายตาอ่อนโยนคู่นั้นเปลี่ยนเป็นมองตาขวางคล้ายจะไม่พอใจ ผมผู้ไม่รู้ความผิดของตัวเองจึงได้แต่ทำหน้างงๆ
"ยังจะมาทำตาใส ถามอะไรออกมารู้ตัวไหม"
"ถามอายุครับ"
"โอ๊ย...ไม่ตอบครับ คำถามไม่น่ารัก"
"งั้นถามใหม่ได้ไหมครับ"
"ก็ได้ ให้โอกาส"
"ผมอายุเท่าไร"
"..."
"ตอนที่คุณหมออายุเท่าผม"
"น้อง!"
ผมยกนิ้วชี้ขึ้นเป็นเชิงให้เงียบหลังจากที่เขาแผดเสียงดังเรียกผม ผมรู้ตัวแล้วแหละว่าได้เอ่ยคำถามต้องห้ามออกไป แต่แค่แกล้งเล่น แค่แกล้งเฉยๆ น่ะ
"เอาเป็นว่าพี่ไม่ได้แก่ แต่แค่มีวุฒิภาวะ โอเคไหมครับ"
"โอเคครับ"
ให้เดาเอาเองก็เห็นได้ชัดว่าเด็กมัธยมกับหมอฟันนั้นคงอายุห่างกันพอสมควร แต่ด้วยบุคลิกและหน้าตาที่ดูอ่อนเยาว์ รวมถึงนิสัยน่ารักๆ ที่มักจะทำให้เกิดรอยยิ้มอยู่เสมอ นั่นทำให้ผมไม่ได้รู้สึกว่าเขาอายุมากไปกว่าผมสักเท่าไร ระยะห่างระหว่างวัยไม่เคยมีผลต่อความรู้สึก หากแต่เป็นเรื่องอื่นมากกว่าที่ทำให้ผมรู้สึกว่า...เราอยู่ห่างกันเกินไป
"เดี๋ยวผมไปดูหนังสือทางโน้นนะครับ"
"แล้วจะกลับมานั่งตรงนี้ไหม"
ผมชี้ไปที่แก้วนมสดที่วางทิ้งเอาไว้ เป็นเชิงตอบคำถามนั้นว่าผมจะกลับมา คุณหมอยิ้มกว้างก่อนพยักหน้าเบาๆ พ้นจากสายตาคุณหมอ ผมจึงหันหลังพิงชั้นวางหนังสือแล้วยกมือตบหน้าอกตัวเองเบาๆ
เต้นซะแรงเลยนะหัวใจ... เราใช้เวลาอยู่ในคาเฟ่พักใหญ่ ต่างคนต่างอ่านหนังสือจบไปคนละเล่มจึงชวนกันกลับ คุณหมอเสนอตัวขับรถไปส่งที่บ้านแต่ผมปฏิเสธ เพราะรู้มาว่าบ้านเรานั้นไปคนละทางจึงเกรงใจ ชอบในความที่เขาไม่เซ้าซี้แล้วยอมแยกกันที่หน้าร้านเพื่อต่างคนต่างกลับ
"น้อง"
"ครับ"
"วันหลังว่างๆ มานั่งอ่านหนังสือด้วยกันอีกนะ"
"ครับ คุณหมอ"
"เรียกพี่ไม่ได้เหรอ"
ผมหลุดยิ้ม ยอมในความพยายามที่จะให้ผมเรียกพี่ของเขา แต่ตัวเองก็ดันไม่ใจอ่อนง่ายๆ
"ทำไมถึงอยากให้เรียกพี่จังเลยครับ"
คุณหมอเปลี่ยนสีหน้าเป็นเรียบเฉย ก้มหน้าเศร้าจนผมรู้สึกแปลกใจ
"คุณหมอ..."
"จริงๆ แล้ว พี่เคยมีน้องชายคนหนึ่ง แต่เขา..."
"..."
"เขาเพิ่งตายไป"
"..."
"ก็เลยอยากให้น้องเรียกพี่ว่าพี่ เผื่อมันจะทำให้พี่คิดถึงน้องชายน้อยลง"
หัวใจผมอ่อนยวบตอนที่ได้ยินเรื่องนั้น ซ้ำสีหน้าของคุณหมอที่ดูเศร้าจนรู้สึกสงสาร แววตาอ่อนไหวคล้ายกำลังจะร้องไห้ ผมไม่รู้วิธีปลอบใจผู้คน สิ่งเดียวที่ทำได้ตอนนี้ก็คงจะเป็นสิ่งที่เขาต้องการ แม้ไม่เคยกล้าที่จะเรียกเขาว่าพี่ต่อ แต่ครั้งนี้ถือเป็นข้อยกเว้น ผมกำลังจะขยับริมฝีปากเอ่ยคำนั้นออกไป
"พี่..."
"พี่ต่อ!"
ขวับ!
เราทั้งคู่หันไปมองเสียงเรียกที่ดังขึ้นจากด้านหลัง ก่อนผู้ชายคนหนึ่งที่ผมคุ้นหน้าจะเดินเข้ามาแล้วร้องเรียกคุณหมออีกที
"พี่ต่อ! อยู่นี่เอง ตามหาพี่ไปทั่ว"
ผู้ชายที่สวมเสื้อยืดกับกางเกงวอร์มที่เดินเข้ามา คือผู้ชายคนที่ยกหนังสือให้ผมในร้านและเจอกันที่สนามเด็กเล่น เมื่อเขาหันมาเห็นผมก็เลิกคิ้วขึ้นทำตาโต
"อ้าว น้อง"
ผมยิ้มนิดๆ เป็นเชิงทักทาย
"นี่รู้จักกันด้วยเหรอ" เขาชี้ผมกับคุณหมอสลับกันไปมา คุณหมอทำได้แค่กัดฟันยิ้มฝืนๆ
"แล้วพี่เป็น..."
"พี่เป็นน้องชายพี่ต่อ น้องแท้ๆ เลยครับ"
ผมหันขวับมองคุณหมอที่ยังคงทำได้แค่ยิ้ม กัดฟันพูดกับน้องชายตัวเองเบาๆ
"จะโผล่มาทำไมตอนนี้!"
"มาขอตังค์"
"อีกแล้วเหรอ"
"อื้อ" ว่าแล้วก็ยกสองมือขึ้นแบต่อหน้าคุณหมอ คนถูกขอก็ควักเงินในกระเป๋าส่งให้ง่ายๆ พร้อมกับไล่ออกไปทันที
"ขอบคุณนะครับ รักพี่ต่อที่สุดเลย" บอกรักพี่ชายเสร็จก็หันมายกมือโบกให้ผมเป็นเชิงลาก่อนจะเดินออกไปจากตรงนี้ คุณหมอคนข้างๆ หันมามองผมช้าๆ ขณะที่ยังคงยิ้มกว้าง เรียกว่ามันคือการกัดฟันแล้วฉีกปากออกฝืนๆ ดีกว่า
"มีน้องชายกี่คนเหรอครับ คนนี้ยังไม่ตายนี่"
"ขอโทษคร้าบ! พี่แค่ล้อเล่นเฉยๆ ไม่โกรธสิครับ ไม่โกรธนะ พี่ขอโทษ"
"ไม่เห็นต้องโกหกเลย"
"ก็พี่ไม่ชอบให้น้องเรียกพี่แบบนั้นเลย แค่อยากให้เราสนิทกันมากกว่านี้เฉยๆ"
"..."
"ไม่ได้เหรอครับ"
ผมเองก็คิดสงสัยอยู่เหมือนกัน ถ้าหากว่าเรื่องระหว่างเรามันมากกว่านี้...จะเป็นยังไงนะ
"เดี๋ยวพี่เลี้ยงไอติมเป็นการไถ่โทษ"
"ครับ?"
ไม่ได้บอกซะหน่อยว่าอยากกินไอติม แต่ก็เรียกเอาไว้ไม่ทัน คุณหมอเดินเข้าไปในร้านสะดวกซื้อแล้วกลับออกมาพร้อมไอติมสองโคน ตอนที่ยื่นให้ผมก็ยังคงลังเล
"ทำไมล่ะ ไม่ชอบไอติมเหรอ"
"ชอบครับ แต่ว่า..."
"ถ้าน้องไม่กินมันจะละลายนะ"
"..."
"ถ้าชอบก็กินเลย ไม่ต้องมีแต่ครับ"
ผมยื่นมือรับไอติมโคนนั้นมาจนได้ กัดเข้าไปหนึ่งคำเพื่อรับรสชาติช็อกโกแลตละมุนลิ้น ไอติมจากคุณหมอทำให้ผมยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ และคงเป็นเพราะรอยยิ้มของคนข้างๆ นั่น ที่ทำให้รู้สึกหวานมากกว่าความเป็นจริง
พี่ต่อ...
ใจผมเรียกชื่อเขาอยู่อย่างนั้น
"เลอะแล้ว"
"ครับ?" ผมเงยหน้าขึ้นมอง ตอนที่คุณหมอยื่นมือข้างหนึ่งมาเช็ดมุมปากของผมเบาๆ ร่างกายแข็งทื่อไม่เคลื่อนไหว เพราะสายตาของคุณหมอต่อที่จับจ้องผมเอาไว้อย่างนั้น ร่างกายใกล้ชิดกันตอนที่เขาขยับเท้าเข้ามาหา ปลายนิ้วที่เช็ดมุมปากขยับขึ้นเกลี่ยข้างแก้มเบาๆ แล้วเลื่อนขึ้นไปวางอยู่บนหัว ท่าทางอ่อนโยนพาผมเคลิ้มลอย ก่อนสติพลันกลับมา ผมรีบขยับหนีพลางเอ่ยเสียงดัง
"อย่านะครับ!"
ผมยกมือปัดมือของอีกฝ่ายออกไปท่ามกลางสีหน้าที่ดูตกใจ ใจผมเต้นแรง หายใจลำบากและควบคุมอาการสั่นไหวไว้ไม่อยู่
"น้อง..."
"อย่ามาแตะตัวผม!"
"พลีส"
เป็นแบบนี้อีกแล้ว...เป็นแบบนี้ทุกทีเลยต่อข้างล่างค่ะ