วันเปี่ยมรัก.24
คุยกันด้วยเรื่องชีวิตประจำวัน คุยกันไปเรื่อย ๆ และอยู่ดี ๆ ผู้ใหญ่เปี่ยมก็เรียกชื่อศิวัฒน์ซ้ำกันหลายครั้งและมองหน้าคนที่ขับรถให้แบบยิ้ม ๆ
“หนูวันจ๋า หนูวันของเรา หนูวัน หนูวัน”
มันไม่ได้ทำให้รู้สึกถึงความน่ารักเลยสักนิด เมื่อผู้ชายตัวโตคนหนึ่งต้องถูกเรียกด้วยชื่อแบบนั้น
“ถามจริง ๆ เถอะ ผู้ใหญ่รู้มั้ยว่าที่จริงเราชื่ออะไร”
ที่จริงก็รู้ แต่ไม่ยอมเรียก เพราะชื่อเล่นของศิวัฒน์มันซ้ำกับคนที่ไม่อยากแม้แต่จะพูดถึง
“ถ้าให้ตอบจริง ๆ ก็คือว่ารู้”
“รู้แล้วทำไมถึงยังเรียกแบบนี้อยู่อีก”
ผ่านมานานขนาดนี้แล้ว แค่เรื่องชื่อที่คนอื่น ๆ เรียกไม่ใช่เรื่องใหญ่อีกแล้ว จะเรียกอะไรก็ช่าง แค่เรียกแล้วเข้าใจกันก็พอแล้ว ตอนนี้ทุกคนในหมู่บ้านก็เรียกชื่อตอนที่ถูกเรียกสมัยเด็ก ๆ กันหมด แรก ๆ ที่ถูกเรียกมันทำให้รู้สึกโกรธ แต่เมื่อผ่านไปนาน ๆ ก็กลายเป็นความเคยชินจนตอนนี้ไม่ได้รู้สึกอะไรแล้ว แต่ก็อยากรู้ว่าผู้ใหญ่เปี่ยมรู้ชื่อเล่นที่ใช้เรียกกันจริง ๆ หรือเปล่าแค่นั้น
“ถ้าบอกว่ารู้ งั้นบอกมาว่าที่จริงแล้วเราชื่ออะไร”
“ชื่อศิไง”
“อ้าว ก็รู้ว่าชื่อศิ ทำไมตั้งแต่แรกถึงเรียกเราว่าวันอยู่ได้”
เรื่องนั้นมันอธิบายได้ไม่ยาก เพียงแค่จริง ๆ ไม่อยากอธิบายแค่นั้น
“วันอยากให้เราพูดจริง ๆ เหรอ”
“แล้วทำไมเราถึงไม่อยากให้ผู้ใหญ่พูดล่ะ”
ถามกลับบ้างและผู้ใหญ่เปี่ยมก็มองหน้าคนถามอย่างชั่งใจ
“วันรู้ใช่มั้ย ว่าเราเคยมีแฟนชื่อศิตา”
เรื่องนั้นพอรู้อยู่บ้าง ผู้หญิงสวย ๆ ที่ดูแตกต่างจากผู้หญิงคนอื่น ๆ ในหมู่บ้านและเคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับผู้ใหญ่เปี่ยมมาก่อนจนถึงขั้นอยู่กินกันเรื่องนั้นใคร ๆ ก็รู้กันหมด
“ผู้ใหญ่เรียกเขาว่า...ศิ...เหรอ”
ถึงขนาดนี้แล้วก็คงไม่มีอะไรให้สงสัย ผู้ใหญ่เปี่ยมไม่ได้ตอบแต่ศิวัฒน์ก็เข้าใจแล้วว่าเพราะอะไร
“ยังคิดถึงกันอยู่ล่ะสิ ก็เลยไม่อยากพูดชื่อให้แสลงใจ”
ไม่รู้ว่าทำไมอยู่ดี ๆ ถึงเผลอพูดจางี่เง่าแบบนั้นออกไปได้และคนพูดก็นึกอยากตบปากตัวเองที่พูดจาแบบนั้นออกไป
“ดีใจจัง วันหึงเราแล้ว”
“เราไม่ได้หึง ผู้ใหญ่อย่ามาตีความผิด ๆ แบบนั้นนะ”
แบบนี้แหละที่เรียกว่าหึง แบบที่กำลังทำอยู่ แบบตอนนี้ที่งอแงหงุดหงิดเวลาพูดถึงศิตา
“ไม่หึงก็ไม่หึง แล้วไม่คิดจะหึงเราบ้างสักนิดเลยเหรอ”
ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำแบบนั้น แต่ก็ยอมรับว่าหงุดหงิดและไม่พอใจเวลาที่ผู้ใหญ่เปี่ยมพูดถึงคนที่เคยมีความสัมพันธ์กันจนถึงขั้นใช้ชีวิตด้วยกัน
“ให้เราหึงผู้ใหญ่กับเมียเก่าผู้ใหญ่เนี่ยนะ คิดได้ไง”
ก็แค่ปฏิเสธความรู้สึกที่อยู่ในใจของตัวเอง ก็แค่ทำเป็นเมินเฉย ก็แค่ทำเหมือนไม่รู้สึกอะไรเลยสักนิด ทั้งที่ตอนนี้ไม่รู้ตัวว่าเผลอแสดงท่าทีแบบไหนออกไปบ้าง
“ไม่หึงเลยสักนิดจริง ๆ เหรอ”
ผู้ใหญ่เปี่ยมเหล่ตามองคนที่ขับรถมาส่งและแอบยิ้มเมื่อเห็นสีหน้าของคนที่มีท่าทางลุกลี้ลุกลนอย่างเห็นได้ชัด
“ผู้ใหญ่!”
เอ็ดคนที่มองมาด้วยน้ำเสียงดุ ๆ และผู้ใหญ่เปี่ยมก็มองหน้าคนที่ขับรถมาส่งแบบยิ้ม ๆ แต่ไม่ได้พูดอะไร
“ผู้ใหญ่มองหน้าเราทำไม มองทางสิ ช่วยมองว่ามีที่จอดรถตรงไหนบ้าง”
ได้ ถ้าอยากให้ช่วยมองทางและอยากให้ช่วยมองหาที่จอดรถทำไมจะช่วยไม่ได้
“มีที่ว่างตรงโน้นเราว่าพอจอดได้”
โชคดีที่มีที่ให้จอดและศิวัฒน์ก็เลี้ยวรถเข้ามาจอดเรียบร้อย
“มาเร็วไปครึ่งชั่วโมง ผู้ใหญ่จะไปนั่งรอในสถานีขนส่งมั้ย เดี๋ยวเราไปรอเป็นเพื่อนก็ได้”
มาส่งแล้วก็ยังมีน้ำใจไปรอเป็นเพื่อน แต่ผู้ใหญ่เปี่ยมคิดว่าเราใช้เวลาอยู่ด้วยกันสองต่อสองในรถแบบนี้ต่อไปอีกหน่อยคงดีกว่า
“วัน”
เรียกคนที่กำลังปลดเข็มขัดนิรภัยและศิวัฒน์ก็หันมามองหน้าของผู้ใหญ่เปี่ยมด้วยความสงสัย
“อือ”
ก็แค่มองหน้ากัน ก็แค่มองแบบไม่คิดอะไร ก็แค่ผู้ใหญ่เปี่ยมยื่นหน้าเข้ามาใกล้และจ้องเข้าไปในดวงตาของศิวัฒน์แบบนิ่ง ๆ
“อะไรล่ะผู้ใหญ่ มีอะไร”
แค่มองตากันไม่รู้ว่าทำไมหัวใจถึงเต้นแรงขึ้นทุกขณะ และศิวัฒน์ก็กระพริบตามองคนที่ยังไม่ละสายตาไปจากกัน มองแล้วก็ทำให้ใจเต้นระทึก มองแล้วก็รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง มองแล้วก็ทำให้ไม่รู้จะพูดอะไร
“ผู้ใหญ่มองหน้าเราทำไม”
น้ำเสียงที่เอ่ยถาม เบาจนแทบจะกลายเป็นเสียงกระซิบแต่ก็ดังพอให้ได้ยินกันแค่สองคน
“เราจูบวันได้มั้ย”
ฝ่ามืออุ่น ๆ แตะสัมผัสที่ข้างแก้มของศิวัฒน์แผ่วเบา ดวงตาคมที่จ้องนิ่งตรงมาบ่งบอกความรู้สึกที่อยู่ภายในใจอย่างชัดเจน
“ไ...ม่...”
แล้วคำพูดปฏิเสธก็ถูกกลืนหายลงไปในคอ เมื่อริมฝีปากอุ่น ๆ แนบประทับลงมาอย่างแผ่วเบา อ่อนโยน และไม่ได้เรียกร้อง แค่เพียงอยากให้รับรู้ความรู้สึกที่อยู่ในใจทั้งหมดแค่นั้น เนิ่นนานที่เหมือนว่าหัวใจและร่างกายกำลังล่องลอย เนิ่นนานที่ไม่เคยได้รับสัมผัสอบอุ่นอ่อนหวานแบบนี้
ไม่ใช่จูบเพื่อปลุกเร้าอารมณ์ แต่เป็นการบอกถึงความรู้สึกโหยหาและคิดถึงแ ศิวัฒน์ไม่ได้ขัดขืนเมื่อถูกจูบแบบนั้น และเมื่อริมฝีปากของคนที่จูบกันค่อย ๆ ผละออกห่างอย่างช้า ๆ ศิวัฒน์ก็ลืมตาขึ้นสบตากับดวงตาของผู้ใหญ่เปี่ยมที่จ้องมองมานิ่ง ๆ ฝ่ามืออุ่น ๆ ยังประคองที่ข้างแก้มและปลายนิ้วโป้งก็ยังเกลี่ยไล้เบา ๆ เหมือนอยากหยอกล้อ
“ถึงตอนนี้เราก็ไม่รู้ว่าวันคิดยังไงกับเรานะ”
บอกไปตรง ๆ และหวังว่าการที่คนที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้ปฏิเสธหรือแสดงท่าทีรังเกียจตอนที่จูบกันก็น่าจะช่วยให้เข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายขึ้นมาบ้างและผู้ใหญ่เปี่ยมก็ผละออกห่างและดึงมือศิวัฒน์มาจับเอาไว้และลูบไล้เล่นที่หลังมือเบา ๆ และหันไปมองหน้าของคนที่นั่งอยู่ข้างกันแต่ยังไม่ได้พูดอะไรออกมา
“ไม่ว่าวันจะคิดยังไงกับเรา แต่เราอยากให้วันรู้ ว่าเราชอบวันนะ”
ทำไมถึงมาบอกความรู้สึกกันง่าย ๆ แบบนี้ ทำไมถึงได้พูดกันตรง ๆ ไม่รู้หรือไงว่ามันทำให้ทำตัวไม่ถูกและศิวัฒน์ก็ได้แต่นิ่งเงียบ
“เราไม่ได้เร่งรัดอะไรนะ ที่พูดทั้งหมดก็แค่อยากให้วันรับรู้เอาไว้”
รับรู้แล้วยังไง หลังจากรับรู้แล้วจะให้ทำยังไงได้อีก ศิวัฒน์ไม่ได้ตอบแต่ยังนั่งฟังสิ่งที่ผู้ใหญ่เปี่ยมพูดไปเงียบ ๆ และผู้ใหญ่เปี่ยมก็ยกข้อมือขึ้นมองดูเวลาในนาฬิกา
“เราไปแล้วนะ เจอกันวันศุกร์นะวัน”
บอกลาเพื่อจะได้พบกันอีกในครั้งหน้า และจะเป็นการพบกันครั้งใหม่หลังจากที่บอกความรู้สึกไปแล้ว ผู้ใหญ่เปี่ยมลงจากรถไปแล้ว และศิวัฒน์ก็ได้แต่มองตามคนที่เดินไปขึ้นรถที่สถานีขนส่ง
...เราชอบวัน...คำพูดคำนั้นที่มาพร้อมกับดวงตาที่มองมาอย่างจริงจังมันทำให้คนฟังหวั่นไหว ศิวัฒน์ถอนใจยาวและเอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้รถ ยกมือขึ้นทาบที่อกข้างซ้ายและหัวใจก็เต้นระทึกรุนแรงไม่หยุด
ทั้งที่เฉไฉมาตลอด ทั้งที่แกล้งทำเป็นไม่รับรู้ว่ารู้สึกยังไงด้วย ทั้งที่พยายามไม่ให้เกินเลยจากสิ่งที่ควรจะเป็นมาตลอดแล้วอยู่ดี ๆ ก็ถือโอกาสบอกกันตรง ๆ แบบไม่ให้ตั้งตัวอย่างนี้ ถ้าเจอหน้ากันอีกครั้งแล้วจะทำตัวถูกได้ยังไง
+++
ทำไมตั้งแต่วันนั้นเราถึงไม่ได้พูดคุยกันอีกเลย ส่งข้อความไปก็ไม่ยอมอ่าน โทรไปหาก็ไม่ยอมรับสาย เมื่อถึงวันหยุดที่จะต้องกลับบ้านก็ไม่ยอมกลับมา ตอนนี้ผู้ใหญ่เปี่ยมรู้สึกร้อนรนกระวนกระวายเพราะคนที่นิ่งเฉยไปเหมือนเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แล้วแบบนี้จะให้ทำยังไงดี
“วันเป็นยังไงบ้างย่าแพง พอดีจะถามเรื่องโครงการใหม่แต่ติดต่อไม่ได้เลย ไม่รู้ว่าเป็นอะไรหรือเปล่า”
หลังจากอดทนรอมาสองสัปดาห์เต็ม เมื่อถึงวันหยุดถัดมาก็หมดความอดทนในการรอจนมาถามกับย่าของคนที่ทำให้กระวนกระวายใจ และย่าแพงที่ไม่รู้เรื่องระหว่างคนสองคนก็ตอบไปตามความจริง
“ย่าก็คิดอยู่ว่าไอ้วันมันเป็นอะไร ไม่เห็นไปบ้านผู้ใหญ่เลย มีปัญหาอะไรกันหรือเปล่า หลานย่ามันเอาแต่ใจตัวเอง ผู้ใหญ่อย่าไปถือสามันเลยนะ”
ไม่ยอมแวะมาหาและตั้งใจจะหลบหน้ากันจริง ๆ สินะ
“เปล่าครับ ไม่ได้ทะเลาะอะไรกัน สงสัยวันคงจะยุ่งหรือเครียดกับงานหรือเปล่า ผมก็เป็นห่วงเห็นเงียบไปกลัวจะไม่สบายหรือเป็นอะไร”
ห่วงจริงและกลัวจะไม่สบายหรือเป็นอะไรไปจริง ๆ แต่คนที่ทำให้เป็นห่วงก็ไม่นึกสงสารหรือเห็นใจคนที่รอคอยกันบ้างเลย
“ผมเอากล้วยกับมะละกอมาฝาก ที่บ้านออกเยอะเลย นี่ก็แจกไปหลายบ้านแล้ว เดี๋ยวต้องไปบ้านอื่นต่อ โทรศัพท์ผมมันรวน ๆ หน่อยช่วงนี้ติดต่อใครไม่ได้เลย ยังไงผมรบกวนย่าแพงบอกวันให้หน่อยได้มั้ยครับ”
“ได้ ๆ เดี๋ยวย่าบอกไอ้วันมันให้ ผู้ใหญ่จะให้ย่าบอกว่าอะไรล่ะ”
ถ้าเป็นย่าแพงโทรไปยังไงคนที่ไม่ยอมมาเจอกันก็คงต้องยอมรับโทรศัพท์แน่ ๆ และผู้ใหญ่เปี่ยมก็รีบฝากข้อความไปหา
“ย่าแพงช่วยบอกวันหน่อยว่า ถ้าไม่ว่างแวะมาหาที่บ้านก็ไม่เป็นไรเดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะไปหาที่โน่นเอง”
+++
โดนข่มขู่กันขนาดนั้น คนที่ไม่ยอมอ่านข้อความมาตลอดก็เลยต้องเปิดอ่านข้อความที่ผู้ใหญ่เปี่ยมส่งมาให้ ข้อความน่ารัก ๆ ทั้งสติกเกอร์และข้อความหยอกล้อที่ผู้ใหญ่เคยส่งมาให้เป็นปกติ มันคงจะดีกว่านี้ถ้าศิวัฒน์ไม่ได้เจอความกดดันอะไรมา
...วัน ช่วยหน่อยนะถือว่าป้าขอร้อง ผู้ใหญ่เปี่ยมจะได้มีลูกมีเมียกับเขาสักที...
ใช่ มันควรจะเป็นแบบนั้น ใคร ๆ ก็รู้ว่าแม่ของผู้ใหญ่เปี่ยมตั้งความหวังกับเรื่องนี้ไว้มากขนาดไหน แล้วจะไปทำลายความหวังของคนแก่ที่อยากอุ้มหลานได้ยังไง แค่ที่เป็นอยู่ตอนนี้มันก็ผิดมากแล้ว ยังไงมันก็ไม่มีทางเป็นไปได้ ถึงจะรู้สึกดีเวลาอยู่ด้วยกันมากขนาดไหน ถึงจะยิ้มได้เวลาที่อยู่ใกล้ชิดกัน แต่ความจริงก็คือความจริงและศิวัฒน์ก็รู้ว่าไม่มีทางเป็นได้มากกว่าที่เป็น
...ผู้ใหญ่มีเรื่องสำคัญอะไรหรือเปล่า...
ส่งข้อความกลับไปหาแค่เพียงไม่ถึงหนึ่งนาทีก็มีข้อความตอบกลับมาแล้ว
...เราขอโทรหาวันได้มั้ย...
ยังไม่ได้รับอนุญาตให้โทร แต่ผู้ใหญ่เปี่ยมก็ไม่ได้รอขอแล้วก็โทรหาทันทีและศิวัฒน์ก็ยอมรับสาย
“วัน...”
“อือ”
“วันโกรธอะไร ทำไมไม่ยอมคุยกับเราเลย โกรธเรื่องที่เราพูดวันนั้นเหรอ”
ถามตรง ๆ โดยไม่ต้องอ้อมโลก เปิดประเด็นเพื่อคุยกันให้ชัดเจนโดยไม่ต้องรอให้เสียเวลาและศิวัฒน์ก็นิ่งเงียบไป ไม่รู้จะตอบยังไง
“วันโกรธเรามาก วันเกลียดเรามากขนาดที่ไม่อยากพูดไม่อยากเจอไม่อยากเห็นหน้าเราเลยเหรอ”
ความอึดอัดใจที่มีมาตลอดสองสัปดาห์เต็มถูกระบายเป็นคำพูดให้คนฟังได้รับรู้และศิวัฒน์ก็ทำได้เพียงแค่ฟังไปเงียบ ๆ เท่านั้น
“ถ้าวันไม่ได้รักไม่ได้ชอบกันสักนิดเราก็ไม่ได้บังคับใจวันเลยนะ แต่อย่าเงียบหายไปแบบนี้ได้มั้ย เราขอร้อง รู้มั้ยว่าเราเครียดเรื่องวันขนาดไหน”
มันก็คงไม่ต่างจากที่ศิวัฒน์รู้สึกแต่จะให้พูดอะไรได้
“ผู้ใหญ่ว่างเหรอวันนี้”
แกล้งเฉไฉไปเรื่องอื่นไม่ยอมคุยกันตรง ๆ และผู้ใหญ่เปี่ยมก็ถอนใจยาวด้วยความกลุ้มใจ
“เราว่าคุยกันแบบนี้คงไม่รู้เรื่องหรอก พรุ่งนี้เราไปหาวันดีกว่า”
รู้ว่าถ้าขืนยังคุยกันแบบนี้ต่อไป คนที่ไม่ยอมคุยด้วยก็คงจะเฉไฉไปเรื่องอื่นได้เรื่อย ๆ มีทางเดียวคือต้องเจอหน้ากันเพื่อจะได้พูดคุยกันอย่างตรงไปตรงมาและผู้ใหญ่เปี่ยมไม่คิดจะปล่อยให้ตัวเองต้องค้างคาใจเพราะเรื่องนี้ไปนาน ๆ
“ผู้ใหญ่เป็นคนมีหน้ามีตาในหมู่บ้าน กลับไปคิดทบทวนเรื่องนี้ดูใหม่ดีมั้ย ผู้ใหญ่ก็แค่หาผู้หญิงดี ๆ สักคน มีลูกแล้วก็แต่งงานกันทำให้แม่สบายใจทำไมเรื่องแค่นี้ถึงทำให้แม่ไม่ได้ล่ะ”
ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ ทำไมถึงได้เอาเรื่องนี้มาอ้าง
“แล้วทำไมวันถึงไม่ทำแบบที่บอกเราให้ปู่กับย่าบ้างล่ะ”
โดนถามกลับบ้างในแบบเดียวกันและศิวัฒน์ก็ไม่รู้จะตอบกลับยังไง
“เราโตแล้วนะวัน จะรักจะชอบและจะตัดสินใจใช้ชีวิตร่วมกับใครเราคิดเองได้ วันอยากให้เราแต่งงานมีครอบครัวไปเพื่อตอบแทนบุญคุณแม่เราแค่นั้นเองเหรอ”
อยู่ในสังคมเล็ก ๆ แค่นี้ไม่ว่าทำอะไรก็ถูกจับตามองแต่มันต้องถึงขนาดทำให้ไม่มีความสุขในชีวิตบ้างเลยเหรอ
“สงสารเราเถอะวัน อย่าให้เราต้องอยู่กับคนที่เราไม่รักเลย ชีวิตเราไม่ได้จบแค่แต่งงานนะ เรายังต้องการอะไรจากคนที่จะอยู่กับเราหลาย อย่าง เราอยากได้คู่คิด เราอยากได้คู่ใจ เราอยากได้คนที่ช่วยเหลือและเข้าใจเรา ไม่ใช่แค่ผลิตลูกให้แล้วก็จบนะวัน”
บอกเหตุผลที่คิดเอาไว้ทั้งหมดและศิวัฒน์ก็ไม่รู้จะโต้แย้งสิ่งที่ผู้ใหญ่เปี่ยมพูดออกมาได้ยังไง
“เอาเถอะ วันอาจจะไม่อยากคุยกับเราตอนนี้ งั้นขอร้องนะ ถ้าวันกลับมาก็แวะมาหาเราหน่อย มาคุยกันให้รู้เรื่องไม่ใช่เอาแต่หนีหน้าและไม่ชัดเจนอยู่แบบนี้”
เปิดโอกาสให้คิด เปิดโอกาสให้ลองทบทวนตัวเอง และผู้ใหญ่เปี่ยมก็บอกเรื่องเดิม ๆ ซ้ำอีกครั้งก่อนวางสาย
“อีกอย่างนะวัน”
ศิวัฒน์กำลังตั้งใจฟังและคิดตามที่ผู้ใหญ่เปี่ยมพูดในทุก ๆ ประโยคที่กลั่นออกมาจากใจ
“เราเคยบอกวันแล้วไม่ใช่เหรอ เผื่อวันจะลืมไปแล้ว งั้นเราจะบอกอีกครั้งนะ ถ้าไม่ใช่วัน ไม่ว่าใครเราก็ไม่เอา”
TBC.