Ai Adore You.
#ขอรักแค่คุณ
ตอนที่ 28
พิชช์ฌานแวะเข้ามาในห้องหนังสือหลังจากทำงานเสร็จแล้ว เขายิ้มนิดๆเมื่อเห็นเจ้าโอเมก้ากำลังก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือเล่มใหญ่พร้อมกับเขียนโน๊ตอะไรยุกยิกใส่สมุดของตัวเอง บนโต๊ะตัวใหญ่มีหนังสือและกองกระดาษวางเรียงเป็นตั้ง
“อ่านถึงไหนแล้ว ...พร้อมจะสอบเทียบหรือยัง”
อาคิราห์สะดุ้งเงยหน้าขึ้น พอเห็นว่าเป็นใครก็ส่งยิ้มไปให้
“พร้อมแล้ว”
“พร้อมสอบ?”
“พร้อมกินมื้อเย็น” อัยย์ตอบหน้าตาย พิชช์ฌานหัวเราะเบาๆ วางมือลงบนศีรษะทุยสวยนั้น เจ้าของศีรษะเอียงหัวหลบแล้วปิดหนังสือลง “อย่าโดนหัวผม เดี๋ยวความรู้ที่อ่านมากระฉอกออกหมด”
“นี่แน่ะ ให้มันกระเด็นออกมาเลย” ชายหนุ่มเปลี่ยนเป็นเขกหัวแทน
“กระเทือนท้องหมด” เจ้าโอเมก้าพึมพำ เหลือบมองด้วยหางตาราวกับค้อน คนฟังยิ้มกว้างก้มลงหอมแก้มนวลเนียนทั้งสองข้างฟอดใหญ่
“กระเทือนอีกมั้ย” พิชช์ฌานกระซิบ
เจ้าของแก้มหน้าร้อนผ่าวโดยเฉพาะตำแหน่งที่ถูกสัมผัส อาคิราห์ยกมือขึ้นแนบแก้มแล้วส่ายหน้าไปมา
“คุณทำผมลืมที่อ่านหมดแล้วจริงๆนะเนี่ย”
“งั้นเดี๋ยวคืนนี้ฉันทวนให้” ดวงตาคมกริบแพรวพราว
“ไม่เอา” อีกฝ่ายรีบปฏิเสธ เพราะเคยหลงกลยอมให้อีกฝ่าย ‘ทบทวน’ บทเรียนไปหนหนึ่งแล้ว เล่นเอาใจสั่นวูบวาบแทบนอนไม่หลับทั้งคืน “ผมอ่านซ้ำก็ได้ จดย่อเอาไว้”
“ขยันดีมาก แบบนี้สอบผ่านแน่” พิชช์ฌานว่า ทอดสายตามองคนขยันอย่างเอ็นดู นับตั้งแต่ที่อาคิราห์มาบอกว่าอยากเรียนกฎหมายแบบจริงจัง เขาก็ค้นหาหนทางต่างๆเพื่อจะให้เจ้าโอเมก้าได้เข้าเรียนจริงๆ ติดตรงที่ว่าอีกฝ่ายไม่เคยเรียนในหลักสูตรปกติมาก่อน เลยต้องเริ่มจากการสอบเทียบวุฒิเป็นอันดับแรกก่อนที่จะหาที่เรียนสำหรับโอเมก้าต่อ
“ผมไม่เคยสอบมาก่อนเลย” อาคิราห์พูดหงอยๆ คิ้วเรียวขมวดมุ่น “ถ้าเป็นภาษาผมทำได้ แต่เรื่องเลขพวกนี้ผมไม่รู้เรื่องเลย” คนพูดถอนหายใจเฮือกด้วยท่าทางหนักอกหนักใจ
พิชช์ฌานขยับตัว ความจริงเขาก็แค่อยากให้อาคิราห์ ‘ทำที’ ไปสอบเสียหน่อยแค่นั้นเองพอเป็นพิธี ยังไงก็สอบผ่านเพราะเขาจัดการให้ได้ง่ายๆ
“ถ้าเธอเครียดมากฉันจะไม่ให้ไปสอบแล้วนะ เดี๋ยวลูกเป็นอะไรขึ้นมา รู้หรือเปล่าว่าการที่แม่เครียดน่ะส่งผลต่อลูกมากกว่าที่ฉันหอมแก้มเธอเมื่อกี้นี้อีก”
“ผมไม่ได้เครียดนะ จริงๆ” อาคิราห์รีบปฏิเสธ “ผมรู้ว่ามันต้องใช้เวลา อาจจะอีกหลายเดือน คุณให้ผมไปสอบเถอะนะ ผมอยากเรียนต่อจริงๆ แล้วก็...ให้ผมสอบผ่านด้วยตัวเองด้วย” คนพูดดักคออย่างรู้ทัน “ผมไม่อยากให้มีคนมาครหาทีหลังว่าใช้อำนาจซื้อวุฒิการศึกษา”
“ฉันไม่ได้จะทำแบบนั้นเสียหน่อย” พิชช์ฌานรีบโบกมือ
“ดีแล้วครับ ผมอยากมั่นใจว่าเป็นความสามารถของผมจริงๆ ไม่ใช่ใช้เส้น ถ้าคุณทำก็เหมือนดูถูกความสามารถของผม”
“อาคิราห์คนใหม่นี่จริงจังน่าดูเลยแฮะ” นักการเมืองหนุ่มอุทาน “ฉันชักจะนับถือแล้วสิ ..แบบนี้ต้องให้รางวัลด้วยเมนูมิชลินสตาร์”
“จริงเหรอ” เจ้าโอเมก้าหน้าบาน เดินเข้ามาเกาะแขนเขาเอาไว้ “ไปกันเลยดีมั้ย ลูกร้องแล้วด้วย”
พิชช์ฌานหัวเราะ เขาเริ่มรู้ทันกับคำว่าลูกร้องของอีกฝ่ายแล้ว มันหมายถึงกระเพาะของเจ้าตัวที่กำลังร้องโครกครากต่างหาก
ชายหนุ่มพาคู่สมรสไปทานอาหารข้างนอกบ้านเป็นครั้งแรกหลังจากเกิดเหตุการณ์ที่เกาะขึ้น อาคิราห์ไม่ได้ถามอะไรแม้จะสังเกตได้ว่าพิชช์ฌานเพิ่มคนติดตามขึ้นอีกเกือบเท่าตัวแถมยังเดินทางด้วยรถยนต์สีดำปลอดที่เจ้าตัวเคยบอกว่ากันกระสุนได้ทั้งคันอีกด้วย
เดาเอาจากท่าทางระมัดระวังของเจนภพร่วมกับข่าวตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมา อาคิราห์ก็พอจะเดาได้รางๆว่าสถานการณ์ตอนนี้คงไม่ปลอดภัยนัก
การสืบสวนของตำรวจก็เริ่มเข้มข้นขึ้นทุกที ข่าวการเสียชีวิตในห้องขังของจักรกฤตทำให้เกิดความสงสัยคาดเดากันไปต่างนานา หลายคนเชื่อว่าผู้ชายคนนั้นไม่ได้ฆ่าตัวตายเพื่อหนีความผิดอย่างที่หลักฐานแสดงให้เห็นแต่ว่าถูกเก็บจากคนบงการที่ใหญ่กว่า แต่จะด้วยเหตุผลไหนก็ตาม การที่พิชช์ฌานออกหน้ามีส่วนรู้เห็นกับการจับกุมและทลายแหล่งค้าโอเมก้าครั้งนี้ก็นับว่าเป็นการเปิดฉากที่รุนแรงและโจ่งแจ้ง อาจกลายเป็นเป้าหมายถูกโจมตีกลับ
ไหนจะเหตุการณ์ระเบิดห้องพักที่ยังจับมือใครดมไม่ได้อีก
“เป็นอะไรไป นั่งเงียบเชียว” พิชช์ฌานทักขึ้น เหลือบมองคนนั่งข้างๆที่อยู่ในชุดสูทสีดำสมกับความหรูหราของร้านที่เขากำลังจะพาไปดินเนอร์
“ออกมาแบบนี้ จะไม่เป็นไรหรอครับ”
“ไม่มีอะไรหรอก กลัวหรือไง” นักการเมืองหนุ่มยิ้มมุมปาก “มากับฉันไม่ต้องกลัว”
“ได้ยินแบบนี้ ยิ่งกลัวเข้าไปใหญ่เลย” อาคิราห์ฝืนหัวเราะ “ผมต้องใส่เสื้อกันกระสุนหรืออะไรมั้ย”
“กอดฉันแน่นๆ รับรองกระสุนไม่โดนเธอแน่”
“เพราะไขมันคุณหนาหรอ”
คนฟังจุ๊ปาก
“เจนภพ คืนนี้ฉันจะไปฟิตเนส อย่าลืมเตือนด้วยนะ” พิชช์ฌานหันไปบอกมือขวาคนสนิทที่นั่งอยู่ข้างหน้า ได้ยินเสียงหัวเราะกวนประสาทดังขึ้นข้างตัวก็ขมวดคิ้วฉับ “ไม่ต้องหัวเราะไป เห็นว่าท้องอยู่หรอกนะ ไม่งั้นฉันไม่ปล่อยให้เธอมีพุงแบบนี้แน่ๆ”
“แต่คุณก็ชอบไม่ใช่เหรอ” อาคิราห์ว่า “เมื่อคืนคุณยังเอาหัวมาหนุนเลย”
คราวนี้เสียงหัวเราะปนกับเสียงไอเหมือนสำลักดังมาจากที่นั่งตอนหน้าแทน พิชช์ฌานกระแอม เสียงลูกน้องเงียบไปทันที
รถมาจอดที่หน้าร้านอาหารหรูหราร้านหนึ่งที่อาคิราห์เคยอ่านเจอจากนิตยสาร บรรยากาศข้างในร้านตกแต่งสวยงามถูกใจ อาคิราห์มองซ้ายมองขวาพลางเดินตามหลังพิชช์ฌานเข้าไปด้านในโดยมีลูกน้องของชายหนุ่มเดินล้อมรอบเป็นพรวน
มีเสียงพึมพำเบาๆจากแขกที่นั่งอยู่ในร้านเป็นระยะเมื่อมองเห็นนักการเมืองชื่อดังกับคู่สมรสโอเมก้าของเขาเข้า แต่ไม่มีใครกล้าลุกเข้ามาใกล้ อาจเป็นเพราะบอดี้การ์ดร่างใหญ่หลายคนที่อยู่รอบๆโต๊ะของทั้งคู่ด้วย ได้แต่แอบถ่ายรูปส่งข่าวให้กันและซุบซิบเบาๆเท่านั้น
“ทำไมคนเยอะจังนะ” อาคิราห์พึมพำ เปิดเมนูออกก้มลงดู ทำเป็นไม่เห็นว่าโต๊ะที่อยู่ทางซ้ายมือของเขากำลังจ้องเป๋งมาอย่างสนใจแค่ไหน
“ร้านดังก็อย่างนี้แหละ” พิชช์ฌานพูดยิ้มๆ
“พรุ่งนี้คงได้ลงข่าวสมใจคุณแน่”
คิ้วเข้มเลิกขึ้นสูง ตามด้วยเสียงหัวเราะ
“เห็นฉันเป็นคนยังไง ฉันไม่ใช่พวกกระดิกตัวทำอะไรก็ต้องเป็นข่าวหรอกนะ” เขาค่อน
อาคิราห์ขมวดคิ้ว ทำไมเขาจะไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายจงใจหมายถึงบิดาและพี่ชายของเขาที่ขยันเป็นข่าวลงหนังสือพิมพ์ได้ทุกวัน โดยเฉพาะในช่วงหลังมานี้
“คุณก็ไม่ได้ต่างเท่าไหร่นักหรอก” อัยย์ย่นจมูกใส่ “แต่เห็นแก่ความเป็นเจ้ามือมื้อนี้ ผมจะบอกว่าคุณพิชช์ฌานน่ะ ไม่ใช่คนอย่างนั้น แต่เป็นคนดีถือศีลกินหมูไม่กินผัก”
“ไม่กินผักนี่มันเธอแล้วอาคิราห์”
“ผมชอบกินผัก”
“งั้นกินเข้าไปเลย เอาเนื้อมาให้ฉัน” พิชช์ฌานพูดจิ้มผักในจานใส่จานของเจ้าโอเมก้าแล้วจิ้มเนื้อชิ้นโตน่ากินของฝ่ายนั้นมาใส่จานตัวเองแทน
อาคิราห์มองตาม อ้าปากค้างที่ถูกชิงเนื้อไปต่อหน้าต่อตา
“คุณพิษฌาน คืนเนื้อให้ผมเลยนะ” อัยย์ร้อง ท้องส่งเสียงโครกด้วยความหิว มองตามเนื้อของตัวเองที่ถูกมีดของอีกฝ่ายตัดหั่นอย่างไม่ปรานีปราศรัยแล้วก็น้ำตาคลอ “คุณมันใจร้าย”
พิชช์ฌานชะงัก สบตากลมโตที่มีน้ำตาคลอหน่วยแล้วก็หัวเราะออกมา
“เห้ย ล้อเล่นแค่นี้ร้องไห้จริงๆหรอ” ชายหนุ่มหั่นเนื้อในจานออกเป็นคำๆเสร็จก็ส่งคืนให้เจ้าของที่นั่งหน้างออยู่ตรงข้าม “เอามาตัดให้เฉยๆเอง โกรธจริงเหรอเมื่อกี้”
“อย่ามาล้อเล่นเรื่องนี้ ผมไม่ชอบ” อาคิราห์พูดเสียงห้วน จิ้มเนื้อสัตว์ในจานเข้าปากเคี้ยว ทำเป็นไม่สนใจสายตาคมกริบคู่นั้นที่มองมาอย่างล้อเลียน
กว่าจะเสร็จมื้อนั้น เจ้าโอเมก้าก็น้ำตาคลอไปสามรอบเพราะถูกอีกคนแกล้งเล่นจนพิชช์ฌานได้แต่สงสัยว่านักข่าวจะได้ภาพแบบไหนไปลงข่าวกันแน่
เจนภพมาบอกเช้าวันรุ่งขึ้นว่านักข่าวเอาภาพอาคิราห์น้ำตาคลอหน้างอง้ำไปลงข่าวจริงๆ แถมยังพาดหัวเหมือนกับว่าพวกเขาทะเลาะกันบนโต๊ะอาหารอีกด้วย
“ฉันเดาไม่ผิดเลย” ชายหนุ่มหัวเราะ ส่งหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นไปให้อาคิราห์ที่นั่งกระดิกเท้าฟังเพลงอยู่ เจ้าโอเมก้าเบิกตาโต “บอกแล้วให้ยิ้มๆไว้ ดูซิ หน้าตาเหมือนเต้าหู้ยี้ดูไม่ได้เลย มีฉันหล่ออยู่คนเดียว”
“ก็คุณแกล้งผมทำไมล่ะ” อาคิราห์ร้องฮึในลำคอ ผลุดลุกขึ้นยืนแล้วก้าวฉับๆออกไปจากห้องทำงาน “ผมไปอ่านหนังสือดีกว่า คุณเจนภพอย่าลืมเอาใบสมัครของผมไปส่งนะครับ”
“ได้ครับคุณอัยย์ ไม่ต้องห่วง” เจนภพรับคำ พอลับร่างของโอเมก้าแล้ว มือขวาของพิชช์ฌานก็หันมาหาเจ้านาย “คุณฌานจะยอมให้คุณอัยย์ไปเรียนมหาวิทยาลัยเปิดจริงๆหรอครับ”
“ให้เขาสอบเทียบให้ได้ก่อน แล้วค่อยว่ากันอีกที คงอีกหลายเดือน”
“แต่ผมว่าอาจจะเร็วๆนี้ก็ได้นะครับ คุณอัยย์ดูเอาจริงมาก”
“ดูไปก่อน เมื่อวานยังเห็นนั่งเอาหัวโขกโต๊ะเพราะแก้โจทย์ไม่ได้อยู่เลย” พิชช์ฌานอมยิ้ม นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง “นายลองไปหาครูมาติวให้เขาก็ได้ ขอเป็นเบต้านะ ไม่เอาอัลฟ่า”
“ได้ครับคุณฌาน ผมจะหามาให้”
“ขอเป็นผู้หญิงด้วย” อีกฝ่ายเสริม แล้วเปลี่ยนเรื่อง “เรื่องการประชุมลับของฝั่งรัฐบาลเป็นอย่างไรบ้าง ตกลงจัดวันไหน ฉันจะได้ชวนอาคิราห์ไปเยี่ยมบ้าน”
“ข่าวล่าสุดคอนเฟิร์มมาว่ามะรืนนี้ครับ”
“ดีมาก” ชายหนุ่มยกมือขึ้นลูบปลายคางเขียวครึ้ม “แล้วนิลลาว่าอย่างไรบ้าง ทำไมถึงเงียบไปเลย”
“นิลลาให้ความร่วมมือกับทางตำรวจเป็นอย่างดีครับ ตอนนี้ตำรวจได้แผนผังบ้านของจักรกฤตแล้ว ส่วนเราวางแผนจะบุกเข้าไปก่อนหนึ่งวันเพื่อหาหลักฐานครับ นิลลาบอกว่ามีตู้เซฟอยู่ในห้องนอนของมันชั้นสาม คาดว่าน่าจะมีอะไรดีๆอยู่ในนั้น”
เจ้านายพยักหน้าเนิบๆ เหลือบมองปลาบู่ในตู้ที่แหวกว่ายไปมาอย่างครุ่นคิด
“เมื่อวานอาคิราห์ถามถึงเพื่อนคือนิลลากับแทมมี่อีกแล้ว ถ้าเป็นไปได้ ...อย่าให้พวกเขาเป็นอะไรก็แล้วกันนะ ฉันไม่อยากให้อาคิราห์เสียใจ” พูดจบก็เห็นรอยยิ้มของลูกน้องปรากฏขึ้น พิชช์ฌานขมวดคิ้ว “มันจะกระทบกระเทือนลูกในท้อง ไม่ต้องมาทำหน้าอย่างนั้นเจนภพ”
“ผมแค่ดีใจครับ” เจนภพพูดยิ้ม ๆ “เห็นคุณฌานมีความสุข ผมก็มีความสุขไปด้วย”
“ความสุขมักอยู่กับเราไม่นาน” พิชช์ฌานว่า “มะรืนนี้ฉันจะพาอาคิราห์กลับบ้าน ฉันอยากให้มันเป็นข่าว ประมาณว่าพ่อตาลูกเขยสามัคคีจูบปาก โดยมีหลานเป็นกาวใจ อาจมีแนวโน้มให้ฉันสืบทอดเก้าอี้นายกฯ อะไรทำนองนั้น แต่ไม่เอาเลี่ยนมากนะ ฉันคลื่นไส้ เอาแค่พอประมาณ ให้พวกคนในพรรครัฐบาลมันดิ้นพล่านหน่อย อย่าลืมกำชับคนในพรรคของเราให้รู้ด้วย ไม่ใช่ข่าวออกแล้วดันมาดิ้นเสียเอง”
“ได้ครับคุณฌาน แล้วเรื่องคุณชาติชาย”
“ฉันจะแวะไปหาเขาพรุ่งนี้หลังเสร็จงาน”
พิชช์ฌานแวะไปหานายทุนพรรคคนสำคัญในวันถัดมาตามที่โทรนัดหมายเอาไว้ นักธุรกิจใหญ่มีท่าทีมึนตึงจนเห็นได้ชัด แม้ว่าชายหนุ่มจะชวนพูดคุยแล้วก็ตาม
“คุณพิชช์ฌาน ผมขอถามตามตรงนะ ตกลงการแต่งงานระหว่างคุณกับโอเมก้าเป็นเรื่องจริงหรือว่าเป็นเพียงเกมการเมืองอย่างที่คุณเคยบอกผมกันแน่ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมโอเมก้าคนนั้นถึงตั้งท้องลูกของคุณ” ชาติชายเปิดปากพูดขึ้น
“ผมเป็นนักการเมืองครับคุณชาติชาย ผมขอพูดสั้นๆแค่นี้ ถ้าคุณมองเห็นอนาคตทั้งของคุณและของผม เราก็มาร่วมมือกันต่อ เหมือนที่ผ่านมาแล้ว ผมต้องการเพียงแค่ความเชื่อใจกัน...แค่นั้น” ชายหนุ่มพูดเนิบๆ “และผมขอยืนยันอีกครั้งว่าพรรคของเราจะชนะการเลือกตั้งครั้งนี้ นั่นหมายความว่าผลประโยชน์ต่างๆจะตกเป็นของคนที่เลือกสนับสนุนได้ถูกฝั่ง”
คนฟังนิ่งไป
“ผมไม่คิดว่านโยบายเชิดชูโอเมก้าของคุณมันจะเวิร์ค ถึงแม้ว่าคุณจะลงทุนเสี่ยงชีวิตถล่มซ่องโอเมก้านั่น มันก็ไม่ได้ทำให้อะไรเปลี่ยนแปลงไปหรอกคุณพิชช์ฌาน คุณหาเรื่องใส่ตัวเปล่าๆ”
ชายหนุ่มยิ้มนิดๆ คิดถึงสีหน้าจริงจังของโอเมก้าที่บ้าน
“ผมคิดว่ามีสิ่งที่เปลี่ยนแปลงนะ อย่างน้อยก็เป็นจุดเริ่มต้นที่น่าสนใจ ผมคิดว่าในอนาคตกระแสเรื่องนี้จะต้องแรงขึ้น เรื่องการค้าโอเมก้าเป็นเพียงจุดเล็กๆที่จะนำไปสู่การเรียกร้อง...”
“นี่แหละที่ผมจะพูด” คนแก่กว่าขัดขึ้น “คุณกำลังหาเหาใส่หัว ทุกคนก็รู้ว่าขบวนการค้าโอเมก้ามีมานานแล้วนับศตวรรษได้มั้ง ตั้งแต่โลกนี้รู้จักคำว่าชนชั้นนั่นแหละ พวกโอเมก้ามันเกิดมาเพื่อการนี้ไง ผมถึงไม่อยากให้ไปยุ่งเรื่องนี้ มันมีคนเสียประโยชน์เยอะ”
“แต่ผมทำไปแล้ว” พิชช์ฌานพูดเรียบๆ “เราควรจะลองมองประเทศเพื่อนบ้านรอบตัวว่าเขาไปถึงไหนกันแล้ว โลกเปิดกว้างเรื่องชนชั้นพวกนี้มาหลายปีขณะที่ประเทศของเรายังปิดกั้นด้วยคำว่าเลือดอัลฟ่าบริสุทธิ์อยู่เลย ถ้าผมไม่จัดการเรื่องนี้ ต่อให้ผมได้เป็นรัฐบาลก็ไม่สามารถพาประเทศเดินหน้าได้ทัดเทียมประเทศอื่นหรอกครับ”
“คุณยังหนุ่มคุณพิชช์ฌาน คุณไม่เข้าใจหรอกว่าเรื่องนี้มันหยั่งรากลึกเกินกว่าที่คุณจะนึกถึง สิ่งที่คุณทำจะทำให้คุณเดือดร้อน เบื้องหลังของขบวนการค้ามนุษย์มีสิ่งที่เรียกว่า...กำแพง..”
“และผมทลายกำแพงนั้นไปแล้ว” พิชช์ฌานต่อให้จนจบประโยค “ผมทำลงไปแล้วคุณชาติชาย และผมเป็นพวกที่ลงมือทำแล้วต้องทำให้สุด ถ้าคุณไม่กล้าที่จะลงเรือลำนี้กับผม คุณบอกมาคำเดียว”
“............” นายทุนพรรคอึ้งไป
“หรือว่าที่คุณมีปัญหากับเรื่องนี้นักเป็นเพราะว่าคุณมีส่วนได้ส่วนเสียกับขบวนการนี้ด้วยกันแน่ครับ” พิชช์ฌานเห็นท่าทางอีกฝ่ายคงจะไม่อ่อนลงแน่ก็เลยงัดไม้ตายขึ้นมาใช้
“คุณกำลังกล่าวหาผมนะ”
“ถ้าผมเกิดหาหลักฐานมาได้ล่ะครับ”
“ผมไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการบ้า ๆ พวกนี้ เพราะผมรังเกียจโอเมก้าเกินกว่าจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย เงินจากธุรกิจขายพวกมันผมไม่อยากได้” ความเกลียดชังที่แผ่ออกมาจากคำพูด สีหน้าแววตาของคนพูดทำให้พิชช์ฌานชะงักไปนิดหนึ่ง “ผมไม่เหมือนนายทุนใหม่ของพรรคคุณหรอกคุณพิชช์ฌาน ...ผมรู้นะว่าคุณได้นายทุนใหม่แล้วถึงกล้าพูดแบบนี้กับผม”
“คุณหมายถึงคุณธีรดลน่ะเหรอ” พิชช์ฌานเลิกคิ้ว เก็บความสงสัยเอาไว้ข้างใน “คุณรินลดาคงเล่าให้คุณฟัง เขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการนี้หรอกครับ เขาเป็นคนให้ความร่วมมือในการนำจับด้วยซ้ำ ส่วนเรื่องทุน...ทั้งเงินและบารมีของเขาไม่ได้ครึ่งของคุณหรอก ไม่อย่างนั้นผมคงไม่มาหาคุณถึงบ้าน”
ชาติชายหัวเราะ
“คุณมันนักการเมือง คุณพิชช์ฌาน นักการเมืองก็จะตายด้วยการเมือง เหมือนหมองูตายเพราะงู ระวังเอาไว้ให้ดีเถอะ คุณยังหนุ่มนัก แล้วจะหาว่าผมไม่เตือน”
“ขอบคุณมากครับ” ชายหนุ่มก้มศีรษะให้ด้วยท่าทางไว้ตัวนิดๆอันเป็นเอกลักษณ์ “ผมจะจำเอาไว้”