ตอนที่ 3
ประสบการณ์หรรษาในห้องน้ำทำให้แฟนสร่างเมาจนแทบเต็มตา กว่าจะทันคิดได้ว่ามันน่าอายแค่ไหนกับการมีอะไรกันในที่แบบนั้นก็เป็นตอนที่ทุกอย่างผ่านพ้นไปอย่างหยุดหรือฉุดรั้งอะไรเอาไว้ไม่ทัน
กี่ครั้งแล้วที่หินทำให้ยอมโอนอ่อนง่ายๆกับเรื่องแบบนี้...เป็นเพราะความหื่นของอีกฝ่ายและตัวเองล้วนๆ
“โทรบอกเพื่อนมาเอากุญแจรถแล้วมึงก็กลับกับกู”
ร่างสูงเอ่ยบอกขณะที่กำลังสาละวนอยู่กับการเก็บของใส่กระเป๋า ตอนนี้หินและแฟนอยู่ในห้องพักนักดนตรี อีกคนแวะขึ้นมาเก็บของเพื่อจะกลับ
“เดี๋ยวกูบอกพวกมันไปเจอที่ลานจอดรถ”
“แล้วแต่มึงสะดวก”
จากการหายตัวมาเข้าห้องน้ำเกินกว่าครึ่งชั่วโมงบีและนัทจึงไลน์และโทรมาหาทว่าแฟนไม่สามารถตอบได้ในตอนนั้นจึงเพิ่งบอกเพื่อนไปในไลน์ว่าอยู่กับหินก่อนจะได้รับสติกเกอร์เป็นหน้าหมั่นไส้กลับมา
Fan : กูจะกลับกับมัน พวกมึงมาเอากุญแจที่ลานจอดรถนะ
Bee : แรด
Bee : แรด
Bee : แรด
Nut : ลำไย!
Nut : แหม ทีตอนแรกทำเป็นไม่อยากมา
Nut : *สติกเกอร์
Fan : ไปรอที่รถเลย เดี๋ยวเอากุญแจไปให้ที่นั่น
แฟนตัดบทไม่สนใจต่อคำแซ็วนั้นก่อนจะกดล็อกโทรศัพท์ปิดการสนทนาซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่อีกคนเก็บของเสร็จเรียบร้อย
“เสร็จแล้ว” ร่างสูงเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าพร้อมเป้เล็กๆหนึ่งใบ
“อืม ไปยัง”
“มึงไหวนะ”
“ไม่ไหวจะอุ้มกูหรือไง”
“อยากให้กูอุ้ม?”
“ไม่”
ใบหน้าสวยส่ายปฏิเสธพลางค่อยๆขยับกายลุกขึ้น แม้ขาจะอ่อนล้ากว่าเคยแต่ก็ไม่ทำตัวอ่อนแอให้ใครต้องมาดูแล จังหวะก้าวเดินแปลกๆนั้นทำให้หินหลุดหัวเราะ ก่อนร่างสูงจะเดินไปหาแล้ววาดแขนเกี่ยวเอวบาง พยุงคนตัวเล็กกว่าเอาไว้
“เดินแบบนั้นเขารู้หมดว่ามึงโดนอะไรมา”
“มึงแทบจะอุ้มแบบนี้เขาไม่รู้เลยมั้ง”
“เขาอาจจะคิดว่ามึงเจ็บขา”
แฟนโคลงหัวให้กับคำพูดนั้นพลางทิ้งน้ำหนักไปอิงคนข้างตัวอย่างไม่ปฏิเสธการช่วยเหลือ แม้จะรู้สึกแปลกกับท่าเดินและเรือนกายที่แนบชิดกันอยู่ทว่าก็อดยอมรับไม่ได้ว่ารู้สึกสบายขึ้นกว่าเมื่อกี้มากโข
ก็ดีที่มันยังดูแลกันบ้าง...
“สวัสดีค่ะ/สวัสดีค่ะ”
หินค้อมหัวรับคนที่อ่อนกว่าทั้งสองเมื่ออีกฝ่ายกล่าวทักทายพร้อมรอยยิ้มกว้าง เพื่อนสนิทของแฟนซึ่งเคยเจอกันเมื่อคืนข้ามปีหากแต่วันนั้นยังไม่มีโอกาสได้คุยกันมากนัก
“บีกับนัทใช่ไหม?”
“อุ๊ย พี่หินจำเราได้ด้วยเหรอคะ” บีถามออกมาด้วยดวงตาเป็นประกาย
“จำได้” ทั้งสองทำเพียงแค่ยิ้มรับอย่างดีใจทั้งที่ข้างในอยากจะกรีดร้องจนสุดเสียง
“อะ กุญแจ”
แฟนยื่นกุญแจรถในมือส่งให้เพื่อนยามที่นัทเอื้อมมือมารับด้วยสายตามีความหมายและล้อเลียน ท่าทางการเดินซึ่งไม่ปกติทำให้ทั้งสองอยากจับเพื่อนตัวเองมาซักแล้วกรี๊ดใส่หน้าด้วยความอิจฉา
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าที่หายไปห้องน้ำนานๆนี่หายไปทำอะไรมา
“ฝากเพื่อนนัทด้วยนะคะพี่หิน”
“ครับ”
“งั้นพวกกูกลับแล้ว เดี๋ยวคุยกันในไลน์”
แฟนพยักหน้ารับ รู้ดีว่าการคุยกันนั้นคงไม่พ้นเรื่องของตัวเองกับคนข้างตัว
“สวัสดีค่ะพี่หิน/กลับแล้วนะคะ”
สองสาว(เทียม)หันมากล่าวลาด้วยถ้อยคำและน้ำเสียงแสนสุภาพก่อนจะเปิดประตูรถแล้วขับออกไป
“มึงรออยู่นี่แหละ เดี๋ยวกูขับรถมารับ”
“อืม”
ร่างบางได้แต่รับคำ แม้ไม่อยากทำให้อีกคนเสียเวลาแต่ร่างกายก็อ่อนล้าเกินกว่าจะปฏิเสธการช่วยเหลือ แฟนยืนรออยู่ที่เดิมจากนั้นไม่กี่นาทีต่อมาKSRก็มาจอดอยู่ตรงหน้า
“นั่งเป็นไหม”
“หึ”
ใบหน้าสวยส่ายปฏิเสธในทันใดเมื่อทั้งชีวิตเคยขึ้นยานพาหนะสองล้อนี้เพียงไม่กี่ครั้ง และคำตอบนั้นไม่ได้ผิดไปจากที่หินคาดการณ์เอาไว้แม้แต่น้อย ร่างสูงจึงก้าวลงจากรถไปหยุดอยู่ตรงหน้า
“ตอนนี้ยิ่งกว่านั่งเป็นไหมคือมึงนั่งไหวไหม” ริมฝีปากบางขบเม้มเข้าหากันเมื่อถูกเอ่ยถาม
“คิดว่าไหว”
“ถ้าไม่ไหวก็กลับแท็ก”
แม้ไม่เคยรู้ว่ามันเป็นยังไงแต่ก็พอจะจินตนาการออกว่าคนที่ต้องเป็นฝ่ายรองรับคงลำบากไม่น้อย เวลาเดินก็คงรู้สึกเสียดๆเหมือนตอนเข้าห้องน้ำแล้วท้องผูกล่ะมั้ง
“ไหว”
“ไหวก็ไหว”
เมื่ออีกฝ่ายยืนยันอย่างนั้นฝ่ามือหนาจึงเอื้อมไปจับเอวเล็กแล้วออกแรงรั้งอีกคนให้ขึ้นไปนั่งคร่อมบนเบาะภายในเวลาอันรวดเร็ว
“มึงทำได้ไงอ่ะ” คนถูกอุ้มถามออกมาอึ้งๆเนื่องจากตัวเองไม่ได้หนักเพียงสามหรือสี่กิโล
“ตัวบางแค่นี้ยกมือเดียวยังได้”
“ขี้โม้”
“หึ ยกมึงให้ตัวลอยด้วยแค่ลิ้นยังทำมาแล้ว”
“ทะลึ่ง!”
ถ้อยคำติดเรทไร้ซึ่งความอายใดๆทำให้แฟนอยากลงจากรถไปฟาดอีกคนสักป๊าบ นอกจากความหื่นแล้วความหน้าด้านก็เป็นอีกหนึ่งอย่างที่หินมีเยอะไม่แพ้กัน
ขณะที่คนโดนว่าก็ไม่ได้เอ่ยปฏิเสธอีกทั้งใบหน้าดุยังยกยิ้มอารมณ์ดี เมื่อเย้าแหย่ร่างบางจนพอใจชายหนุ่มจึงวาดขานั่งลงด้านหน้า จากนั้นจึงเอื้อมมือไปจับแขนคนข้างหลังให้มาโอบรอบเอวตัวเอง
“กูลืมเอาหมวกมา กอดไว้ถ้ากลัวตก”
“ทำตัวอย่างกับพระเอกละครหลังข่าว แค่จับไว้ก็พอแล้วมั้ง”
แฟนปฏิเสธการกระทำนั้นด้วยการขยับตัวออกห่าง เปลี่ยนจากการโอบกอดมาเป็นจับเสื้อตรงเอวอีกฝ่ายเอาไว้แค่นั้น
ทำตัวน้ำเน่าเหมือนพระนางในละคร ชีวิตจริงใครเขาทำอย่างนั้นกัน
“หึ อย่ามาทำตัวเป็นนางเอกทีหลังก็แล้วกัน”
หินเอ่ยเตือนก่อนจะออกรถให้คนที่ไม่ค่อยถนัดกับการนั่งมอเตอร์ไซด์นักต้องจับเสื้อแน่นขึ้น
ไม่ได้อยากทำตัวแบบในหนังแต่รู้ว่าไม่นานอีกฝ่ายจะต้องทำ
“มึงขับเร็วเกินไปหรือเปล่า”
“60นี่นะเร็ว”
เข็มบนหน้าปัดไม่เคยขยับขึ้นไปมากกว่านั้นมีแต่ลดลงเพราะกลัวคนด้านหลังจะกลัว อาการเกร็งนิ่งของแฟนหินสัมผัสได้จากแรงจับบนเอวของตัวเอง เสียงที่เอ่ยเมื่อครู่ก็สั่นจนคนฟังเกือบหลุดหัวเราะ
กลัวจนลืมความเจ็บส่วนล่างไปหมดแล้วมั้ง
“40ได้ไหม”
“คนข้างหลังได้บีบแตรไล่...ก็บอกให้กอดไว้แต่แรก”
มือบางซึ่งกำแน่นอยู่กับเสื้อถูกรั้งไปโอบรอบเอวสอบอีกครั้งในขณะที่คนกลัวก็ยอมโอนอ่อนโดยง่าย ก่อนแขนเรียวอีกข้างจะสอดไปกอดหินเองโดยไม่ให้คนตัวโตต้องเอ่ยซ้ำ
เป็นแฟนกันแล้ว แค่กอดคงไม่เป็นไรมั้ง
คนถูกกอดยกยิ้มกับตัวเอง ในใจก่อเกิดความเอ็นดูต่อคนด้านหลังทั้งที่แฟนไม่ได้ดูน่ารักเลยสักนิด
เป็นลูกคุณหนู เอาแต่ใจ แถมยังขี้เหวี่ยงจะทำให้ยิ้มได้ยังไงกัน...หรืออาจเป็นเพราะท่าทางการเอียงซบที่ราวกับเด็กกำลังเกาะเอวพ่อแบบนี้
--
“ทำไมพากูมาที่นี่”
แฟนเอ่ยถามออกมาเมื่อรถจอดนิ่งสนิทอยู่ในลานจอดรถของอพาร์ทเมนต์แห่งหนึ่ง แม้จะถามมาตลอดทางหากแต่ก็ไม่ได้รับคำตอบจนต้องถามขึ้นอีกครั้งเมื่อมาถึงที่หมาย
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าอพาร์ทเมนต์ใคร
“ห้องกูใกล้กว่าคอนโดมึง”
“ถ้ากูก้าวเข้าห้องมึงจะเสียตัวอีกรอบไหม”
ประโยคนั้นทำให้หินหลุดหัวเราะเสียงดัง ร่างสูงขยับลงจากรถแล้วยืนขำในขณะที่แฟนนิ่งมองด้วยความงุนงง
“ขำอะไร”
“ก็ดูมึงพูด เสียตัว คำน่ารักเกิน”
“ก็มันจริง หน้าอย่างมึงมันหื่นน้อยเสียที่ไหน”
“หึ แล้วไม่ชอบ?”
ใบหน้าสวยเบ้ใส่แทนคำตอบหากแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธจนทำให้หินได้ใจ ใบหน้าคมยกยิ้ม ดวงตาทอความเจ้าเล่ห์ด้วยความรู้สึกเป็นต่อ
“มาอุ้มกูลงด้วย เจ็บ”
เมื่อรถไม่ได้เคลื่อนที่ความกลัวก็ปลิวหายก่อนความเจ็บจะแทรกผ่านเข้ามาให้เพิ่งรู้สึกตัว เบาะรถแข็งๆซึ่งรองรับส่วนล่างร้าวระบมยิ่งพลันทำให้เจ็บกว่าเดิมจนต้องนิ่วหน้า หินที่เห็นท่าทางนั้นจึงขยับเข้ามาอุ้มแล้ววางร่างบางลงบนพื้นแผ่วเบา
“ค่อยๆเดิน”
เอ่ยเตือนพร้อมทั้งสอดรั้งท่อนแขนโอบรอบเอวบาง พยุงอีกฝ่ายเอาไว้ให้รู้สึกสะเทือนน้อยลงเวลาก้าวเดิน
“รู้แล้วน่า”
แฟนตอบรับก่อนจะค่อยๆออกเดินด้วยการช่วยเหลือของคนซึ่งเป็นต้นเหตุ สองร่างโอบประคองกันไปกระทั่งถึงบนห้อง ยามประตูบานกว้างเปิดออกเผยให้เห็นด้านในคิ้วคู่สวยก็เลิกขึ้นด้วยความแปลกใจเมื่อมันดูสะอาดกว่าที่คาดคิด
การตกแต่งโดยรอบเน้นด้วยสีขาวและดำซึ่งตัดกันได้อย่างลงตัว เมื่อย่างกรายเข้ามากลิ่นอายของผู้ชายจางๆก็ลอยกรุ่นติดปลายจมูก ไม่เพียงแต่บนเรือนกายแข็งแกร่งที่ได้กลิ่นแห่งความเซ็กซี่...แต่โดยรอบทุกอณูของห้องนี้ก็เช่นกัน
แค่ได้กลิ่นก็อยากจะสัมผัสเจ้าของ...
“ไปอาบน้ำให้สบายตัวซะจะได้รีบกินยาแล้วเข้านอน พรุ่งนี้กูจะไปส่งที่คอนโดแต่เช้า”
“กูจะใส่อะไรนอน”
“ใส่แค่เสื้อนอนกูคงพอ ชุดนี้เดี๋ยวกูเอาไปปั่นแห้งให้”
“กางเกงในอ่ะ”
“ไม่ต้องใส่”
“งั้นมึงห้ามปล้ำกู”
“ไม่ทำหรอกน่า สงสาร”
ใบหน้าคมส่ายน้อยๆยามกวาดสายตามองคนตรงหน้าไปทั่วร่าง แม้ความสวยของอีกคนจะไม่ลดลงทว่าแฟนก็ดูอ่อนล้ากว่าเคยเนื่องจากกิจกรรมเข้าจังหวะทั้งในห้องน้ำและก่อนหน้า
ถึงหื่นแต่ก็พอมีจิตสำนึกอยู่บ้าง
“ช่วยสงสารกูเยอะๆเถอะ”
“หึ เดี๋ยวกูจะพาไปเข้าห้องน้ำ”
ท่อนแขนที่ยังไม่ละออกจากเอวบางกระชับแน่นก่อนจะก้าวพาคนข้างตัวเดินไปทางด้านขวาซึ่งเป็นส่วนของห้องนอน มือหนาเอื้อมไปเปิดประตูแล้วโอบประคองแฟนเข้าไปจนถึงในห้องน้ำ
“แปรงสีฟันอยู่ในนั้น เดี๋ยวกูออกไปเอาผ้าเช็ดตัวกับเสื้อให้”
ใบหน้าสวยพยักรับพลางเอื้อมมือไปเปิดตู้เล็กๆเหนืออ่างล้างหน้าแล้วยิบแปรงสีฟันอันใหม่ซึ่งยังไม่ได้แกะออกมาใช้งาน ไม่นานนักคนที่หายไปเอาผ้าเช็ดตัวและเสื้อผ้าก็กลับมาขณะที่คนกำลังแปรงฟันนั้นมีฟองอยู่เต็มปาก
“กูพาดไว้ตรงนี้นะ” แฟนพยักหน้ารับ “ให้อาบช่วยไหม”
อีกคนถามต่อพร้อมทั้งยกยิ้ม ดวงตาคมประกายวาววับอย่างสื่อความหมาย
“ไอ้อ้อง!” (ไม่ต้อง)
“ตามใจ”
หินยักไหล่อย่างน่าหมั่นไส้จากนั้นร่างสูงจึงเดินออกไป ปล่อยให้แฟนได้จัดการกับตัวเองต่อโดยไม่แกล้งอะไรอีก
ยี่สิบนาทีผ่านไปร่างบางในชุดเสื้อเชิ้ตสีดำตัวโคร่งก็เดินออกมาจากห้องน้ำ ด้วยขนาดตัวที่ต่างกันจึงทำให้ชายเสื้อนั้นยาวจนพอปกปิดขาอ่อนได้พอดิบพอดี แม้ว่าข้างล่างจะโล่งโจ้งเย็นวูบหากแต่สีของมันยังเข้มพอจะมั่นใจได้ว่าอีกคนคงไม่เห็นอะไร
“นึกว่ามึงหลับคาห้องน้ำไปแล้ว” คนที่นอนพาดตัวอยู่บนเตียงขยับลุกขึ้นนั่ง
“ร่างกายกูระบมก็เลยทำทุกอย่างช้าไปหมด ไม่รู้เป็นเพราะหมาตัวไหน”
“โดนหมาเอางั้นมึงก็เป็นเมียหมา”
“ยอมรับว่าตัวเองเป็นหมาเหรอ?”
แฟนเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าคนที่นั่งห้อยเท้าอยู่ปลายเตียง คิ้วคู่สวยเลิกขึ้นนิดๆยามเอ่ยคำถาม
“ก็ถ้าได้มึงเป็นเมีย...เป็นหมาก็ยอม”
คนพูดยกยิ้มมุมปากพลางทอดสายตามองมากรุ้มกริ่มจนใจคนฟังเต้นผิดจังหวะไปชั่ววินาที
ทว่าเพราะอีกฝ่ายมักเอ่ยเย้าหยอกอย่างนี้เสมอคนกำลังจะเขินจึงดึงสติและความคิดตัวเองกลับมาได้ทัน
“กำลังจีบกูอยู่หรือไง ต้องเขินไหม”
คำถามนั้นทำให้หินเป็นฝ่ายเลิกคิ้ว ก่อนท่อนแขนแกร่งจะยกขึ้นรั้งเอวเล็กให้ขยับเข้ามาใกล้ยามเงยหน้าขึ้นมอง
“แล้วจีบได้ไหมล่ะ”
“เลยขั้นจะจีบมาแล้วไหม”
“อืม มีคนเคยบอกกูว่าต่อให้เป็นแฟนกันแล้วแต่การจีบกันทุกวันมันก็เป็นเรื่องที่น่ารักดี”
“แฟนเก่ามึงพูด?”
“หึ กูอ่านเจอ”
“แล้วมึงคิดว่าไง”
“อ่านแล้วจะอ้วก”
“ตอนนี้กูก็รู้สึกอย่างนั้น”
คำตอบนั้นทำให้หินหลุดหัวเราะเนื่องจากเป็นความรู้สึกที่เหมือนกัน ชายหนุ่มแค่เพียงเอ่ยเพื่อจะแกล้งแหย่คนตรงหน้า ผู้ชายห่ามๆแบบเขานอกจากจีบบนเตียงแล้วอย่างอื่นก็ทำไม่เป็นนัก ฉะนั้นจึงลืมเรื่องการจะพูดอะไรหวานๆนี้ไปได้เลย
“คิดไม่ผิดจริงๆที่เลือกมึง”
“แต่กูรู้สึกนิดๆว่าตัวเองคิดผิด”
“ทำไม?”
“เพราะมึงมันหื่นเกินมนุษย์”
“หึ กูคิดว่าสำหรับมึงแล้วนี่เป็นเหตุผลที่ทำให้มึงเลือกถูกที่สุด”
“ใครเขาจะหื่นแบบมึงกัน แล้วก็ไปอาบน้ำได้แล้ว เหม็นเหล้า”
“หอมออก ลองดมดิ”
ใบหน้าคมแหงนขึ้นอีกราวกับบอกว่าให้ก้มลงไปพิสูจน์กลิ่น แล้วชั่ววินาทีหนึ่งในหัวของแฟนก็เกิดความคิดสนุกๆ เป็นผลให้เกิดการกระทำอันไม่คาดคิดในวินาทีต่อมา
ฟอด
ปลายจมูกเล็กแตะลงบนหน้าผากของคนที่เงยหน้าขึ้นมาหาก่อนจะสูดดมกลิ่นของผิวกายนั้นเข้าปอดจนเกิดเสียงแล้วผละขึ้นมายืนเช่นเดิม
“ดมแล้ว เหม็น” การกระทำนั้นทำให้เป็นหินบ้างที่ชะงักไป
“นี่จีบกูหรืออ่อยหรืออะไร”
“กูจำเป็นต้องทำอะไรแบบนั้นเหรอ”
“ก็ไม่”
“แล้วทำไม มึงใจเต้นเหรอ”
“ตอนนี้ยัง”
ตอนนี้ยังแต่อนาคตก็ไม่แน่...
มันเป็นเพียงความรู้สึกแปลกใจที่แล่นวาบเข้ามาในหัว หากแต่ยังไม่มากพอจะทำให้ใจเต้น แต่ถึงอย่างนั้นหินก็ไม่ปฏิเสธว่าการกระทำนี้มันน่ารัก
โดนหอมหน้าผาก...ก็รู้สึกดีเหมือนกันนะ
“อืม งั้นก็เลิกไร้สาระแล้วไปอาบน้ำ ดึกแล้ว”
“มาอ่อยให้อยากแล้วก็จากไปวะ”
“หาเรื่องหื่น ไปอาบน้ำ!”
คราวนี้แฟนเอ่ยเสียงเข้มกว่าเดิมพร้อมทั้งขยับออกห่างจนท่อนแขนแกร่งหลุดออกจากรอบเอว
“ไปแล้ว เมียใครวะดุจริงๆ”
ประโยคหลังร่างสูงซึ่งกำลังผุดลุกขึ้นเอ่ยพึมพำกับตัวเองพลางเดินเข้าไปในห้องน้ำยามที่แฟนได้แต่ส่ายหัวน้อยๆแล้วทรุดตัวนั่งลงบนเตียงเตรียมตัวเข้านอน เพราะความเพลียเริ่มกัดกันร่างกายจนรู้สึกอ่อนล้า
“อ้าว ถอดเสื้อแล้วก็ไม่เอาไปเก็บ”
ร่างบางเอ่ยขึ้นยามนั่งลงแล้วเพิ่งสังเกตเห็นว่าแจ็คเก็ตตัวใหญ่สีดำที่อีกฝ่ายใส่มาวางพาดอยู่บนเตียง แฟนจึงเอื้อมมือไปหยิบมันหวังจะเอาไปแขวนไว้หน้าตู้ให้เรียบร้อย ทว่ากระดาษบางอย่างกลับปลิวออกจากกระเป๋าเสื้อจนต้องชะงักมอง
‘081-2345678
เฟิร์นนะคะ ^^’ตัวเลขสิบตัวและชื่อซึ่งเขียนอย่างเรียบร้อยด้วยลายมือน่ารักของผู้หญิงทำให้แฟนขมวดคิ้ว พลิกดูอีกด้านก็ไม่พบว่ามันไม่มีอะไรที่มากกว่านั้น
หืม ผู้หญิงให้มาสินะ
กระดาษใบเล็กถูกเก็บเข้าไว้ที่เดิมจากนั้นแฟนจึงเดินไปทางตู้เสื้อผ้าซึ่งอยู่มุมห้องแล้วเปิดมันออกเพื่อหยิบไม้แขวนเสื้อ
“ทำไมมีแต่สีดำกับขาว”
ดวงตาสวยกวาดมองเสื้อผ้าในตู้อย่างแปลกใจยามพบว่ามันมีแค่เพียงสองสีนี้ แม้จะรู้ว่าผู้ชายอย่างหินคงไม่สวมใส่เสื้อผ้าสีสดใสแต่นี่มันก็น่าแปลกใจไปสักหน่อย
สงสัยไปก็ไม่ได้อะไรมากกว่านั้น เสื้อในมือจึงถูกแขวนใส่ไม้ก่อนจะถูกห้อยไว้หน้าตู้เสื้อผ้า จากนั้นสิบนาทีต่อมาร่างสูงในชุดกางเกงวอร์มเพียงตัวเดียวก็เดินออกมา
“ยังไม่นอนอีก?” หินถามขึ้นเมื่อเห็นอีกคนนั่งพิงหลังเล่นโทรศัพท์อยู่บนเตียง
“กูคุยกับเพื่อน”
“คุยเสร็จแล้วก็นอน”
“กูเอาเสื้อมึงไปแขวนให้แล้วเจอกระดาษเบอร์โทรศัพท์” ประโยคนั้นทำให้หินที่เอาผ้าเช็ดตัวไปตากเดินกลับมาหาคนอยู่บนเตียง
“แล้ว?” เอ่ยถามพลางทรุดตัวนั่งลง
“ใครให้มา”
“ไม่รู้ รู้แต่เป็นผู้หญิง”
“แล้วมึงก็รับมา?”
“ก็อืม เป็นเรื่องปกติ แต่กูไม่เคยโทรไป...มึงหึง?” คำถามนั้นได้รับคำตอบเป็นการส่ายหน้าปฏิเสธ
“แค่ถาม”
“มันเป็นเรื่องปกติของนักดนตรี ถ้าปฏิเสธหรือไม่รับเลยเขาจะหาว่าหยิ่ง บางทีก็อาจถูกร้องเรียนไปที่ร้านว่าไม่เป็นกันเองบ้างเล่นไม่เพราะบ้าง”
หินเอ่ยอธิบาย นอกจากตัวเองแล้วคนอื่นในวงก็มักจะได้รับอะไรแบบนี้เสมอ บางคราวอาจเป็นแอคเคาท์ไลน์หรือชื่อเฟซอะไรประมาณนั้น ทุกคนไม่ปฏิเสธที่จะรับแต่จะติดต่อกลับไหมอันนั้นก็เป็นเรื่องที่ว่าถูกใจหรือเปล่า
“คงได้มาทุกคืนเลยสิ”
“ก็เกือบจะ” คำตอบนั้นทำให้แฟนเบ้ปาก
“แล้วมึงก็คิดจะรับมาทุกครั้งเลยหรือไง ถ้าเกิดวันหนึ่งกูหึงล่ะ”
แฟนเป็นคนขี้หึงและขี้หวง วันนี้ยังไม่รู้สึกอะไรไม่ได้หมายความว่าวันหน้าจะไม่รู้สึก หากวันหนึ่งความรู้สึกและความสัมพันธ์มันข้ามมากไปกว่าการหลงใหลถูกใจ วันนั้นแค่การชายตามองคนอื่นหินก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะทำ
“ถ้าวันหนึ่งกูรักแล้วมึงไม่ต้องห่วงอะไรแบบนี้หรอก”
“...”
“และถ้ามึงหึงกูก็จะไม่รับมา”
สายตาของคนพูดไม่ได้ทอความหวานซึ้ง ไม่มีรอยยิ้มเอาใจ ไม่มีสัมผัสอ่อนหวานใดๆ หากแต่บางอย่างในน้ำเสียงและคำพูดเรียบๆนั้นกลับทำให้แฟนเกิดความรู้สึกเชื่อได้อย่างไม่น่าเชื่อ
เชื่องั้นหรือ...
เชื่อว่ามันจะทำให้เชื่อใจหรือเชื่อว่าวันหนึ่งมันจะรัก...
“วันไหนหึงแล้วก็บอกแล้วกัน”
หึง...นั่นคงหมายถึงรักแล้ว
ไม่ใครก็ใครที่จะเกิดความรู้สึกนั้นก่อนกัน
--
วันต่อมา
“ท่าทางมีความสุขนะเรา อยู่กับเพื่อนสนุกเลยสิ”
น้ำเสียงอ่อนละมุนของผู้เป็นแม่ดังขึ้นขณะที่ทุกคนในครอบครัวกำลังนั่งรถกลับบ้าน
พ่อ แม่ และผู้เป็นน้องสองคนเพิ่งกลับมาจากการเคาท์ดาวน์ที่นิวยอร์กขณะที่แฟนไม่ได้ไปด้วยเนื่องจากอยากอยู่สนุกกับเพื่อน
“แฟนดูมีความสุขเหรอ” คนถูกทักถามขึ้นอย่างแปลกใจเมื่อไม่คิดว่าตัวเองจะแสดงออกถึงอะไรแบบนั้น
“อืม ไม่รู้สิ แม่สัมผัสได้น่ะ”
“หรือว่ามีความรัก” เสียงใสๆจากน้องสาวซึ่งนั่งอยู่เบาะหลังชะโงกหน้ามาถาม
“ความรักอะไรล่ะ”
“มีหนุ่มๆมาจีบแน่เลย” ฟาร์มผู้ซึ่งเป็นน้องชายคนกลางเอ่ยขึ้นอีกคน
“ยุ่งทั้งสองคนเลยนะ”
“เป็นอย่างที่น้องว่าหรือเปล่า ลูกพ่อมีหนุ่มมาจีบเหรอ” เสียงทุ้มจากผู้เป็นพ่อทำให้คนถูกรุมถามยื่นปากใส่น้อยๆ
“ที่ไม่ยอมไปกับเราก็เพราะอย่างนี้แน่เลย”
“นี่ ปีไหนๆก็ไปเคาท์ดาวน์แต่ต่างประเทศไม่เบื่อกันหรือยังไง พี่ก็แค่อยากเคาท์ดาวน์ที่เมืองไทยบ้างก็เท่านั้น”
“แล้วสรุปว่ามีหนุ่มจริงหรือเปล่าหืม”
“แม่~”
สายตาของคนเป็นแม่ทอความกรุ้มกริ่มระคนล้อเลียนจนแฟนได้แต่เอ่ยเรียกอีกฝ่ายเสียงอ่อน ดวงตาทั้งสี่คู่ที่ทอดมองมาจากทุกทิศทุกทางทำให้คนถูกจับจ้องไม่อาจเลี่ยงไปไหนได้
“...ก็คุยๆกันอยู่” คำตอบถูกเอ่ยไปแบบกลางๆเพื่อป้องกันความตกใจจากทุกคน
“นั่นไง”
“หล่อไหม อายุเท่าไหร่ ทำงานอะไร นิสัยเป็นยังไง...”
“ถามอะไรขนาดนั้น เป็นทะเบียนราษฎร์เหรอ” แฟนหันไปหาน้องชายพลางเอื้อมมือไปเขกหัวเจ้าจอมยุ่งหนึ่งที
“อย่าไปยุ่งกับเรื่องของพี่เขามากเลย เราเองเอาตัวให้รอดเถอะ...ยังไงถ้าคบกันแล้วก็พามาให้พ่อรู้จักบ้างล่ะ อยากรู้ว่าคนโชคร้ายคนนั้นจะเป็นใคร”
“พ่อ!”
ประโยคนั้นเรียกเสียงหัวเราะจากคนทั้งรถให้ดังก้องในขณะที่แฟนได้แต่นั่งหน้าบึ้งแล้วงอแงใส่คนนั้นคนนี้เนื่องจากถูกแซ็วเรื่องนี้อย่างหนัก
--
“พรุ่งนี้กูจะได้หยุดสักทีโว้ย!”
เสียงตะโกนลั่นห้องจากเพื่อนร่วมวงทำให้มือที่กำลังพิมพ์ข้อความตอบใครบางคนหยุดชะงัก หินเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนตัวเองก่อนจะกดส่งข้อความแล้ววางโทรศัพท์ในมือลง
“กูจะนอนให้หนำใจ” เพื่อนอีกคนเอ่ย
“ว่าแต่งานมึงเสร็จยังวะ กำหนดอีกไม่กี่วันแล้วนี่” มือกีตาร์ของวงนามว่ามาร์ชหันมาถาม
“อีกนิดหน่อย กูรู้สึกว่ามันยังไม่ลงตัว”
“ยังไม่ได้อีกเหรอวะ แล้วมึงจะเอาไง ปล่อยผ่านหรือแก้”
“คนอย่างไอ้หินเหรอจะปล่อยผ่าน”
“ถ้าไม่ดีที่สุดไม่ออกจากมืออาจารย์หินหรอก เขียนเพลงไหนดังเพลงนั้น เชื่อมือเทพดิ” ถ้อยคำเยินยอเกินความจริงอย่างแสร้งพูดทำให้หินส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ
“อย่ากวนตีน”
ก๊อก ก๊อก
“พี่หิน ที่เดิม”
พนักงานของร้านซึ่งเปิดประตูเข้ามาโดยไม่รอให้ใครอนุญาตตะโกนบอกก่อนจะปิดประตูลงโดยไม่ต้องรอฟังคำตอบใดๆ ที่เดิมที่ทุกคนต่างเข้าใจความหมายดีทำให้หินผุดลุกขึ้น
“โห่ไรวะ พี่หินอีกแล้ว ฮ็อตเหลือเกิน”
“เมื่อไหร่ของพี่โค้กจะมาบ้างน๊า”
หินไม่สนใจคำพูดและเสียงจากผู้เป็นเพื่อน ร่างสูงก้าวผ่านทุกคนออกจากห้องพักนักดนตรีแล้วเดินไปทางขวามือซึ่งมีมุมเล็กๆมุมหนึ่งซ่อนอยู่ และเมื่อเดินไปถึงหญิงสาวในชุดรัดรูปก็หันมาหาพร้อมด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน
เป็นภาพที่เห็นจนชินตา
“สวัสดีครับ”
หินเป็นฝ่ายเอ่ยทักขึ้นก่อนตามมารยาท และเพียงแค่คำกล่าวทักทายนั้นอีกฝ่ายก็หน้าขึ้นสีพร้อมทั้งหลบสายตาด้วยท่าทางมีจริต
“สวัสดีค่ะ” เสียงตอบรับนั้นทั้งเล็กและแผ่วเบาจนคนฟังแทบไม่ได้ยิน
“...”
หินยืนนิ่งรอให้อีกฝ่ายพูดต่ออย่างใจเย็น กระทั่งหญิงสาวตรงหน้ารวบรวมสติได้จึงหันมาสบตากันอีกครั้ง
“ชื่อ พลอยนะคะ นี่พี่หินใช่ไหม”
“ครับ”
“คือ...พลอยชอบตอนพี่หินอยู่บนเวทีมากเลยค่ะ จะเป็นอะไรไหมคะถ้าอยากทำความรู้จักมากกว่านั้น”
ประโยคของคนตรงหน้าไม่ได้แตกต่างจากที่หินคิดเอาไว้มากนัก หากแต่ท่าทางเอียงอายนั้นช่างแตกต่างจากในความคิด โดยส่วนมากแล้วคนที่เข้ามาในรูปแบบประมาณนี้มักจะมีความมั่นใจในตัวเองค่อนข้างสูง
“ถ้าแค่อยากรู้จักก็ได้ครับ...แต่ถ้ามากกว่านั้นอันนี้พี่ให้คำตอบไม่ได้”
“แค่รู้จักกันก่อนได้ค่ะ ขอแค่เบอร์ก็ได้”
หญิงสาวยื่นโทรศัพท์มาตรงหน้าด้วยมืออันสั่นเทา เห็นอย่างนั้นแล้วหินก็นึกเอ็นดูอีกฝ่ายอยู่ไม่น้อย ก่อนมือหนาจะเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์แล้วกดเบอร์โทรให้ก่อนส่งคืนเจ้าของ
“ขอบคุณนะคะ”
“ไม่เป็นไรครับ งั้นพี่กลับเข้าไปแล้วนะ”
“ค่ะ”
“เดินลงไปดีๆล่ะ คนเมามันเยอะ” ประโยคนั้นทำให้อีกคนยิ้มกว้างพลางพยักหน้ารับหงึกหงัก
หินเดินกลับเข้ามาที่ห้องซึ่งเหลือเพียงแค่นักร้องนำของวงที่นอนแผ่หลาอยู่บนโซฟา เดาว่าคนอื่นคงลงไปกินข้าวหรือไม่ก็คงมีนัดเหมือนตัวเอง
“กูกลับแล้วนะ”
มือหนาตบแปะๆเข้าที่แก้มของเพื่อน อีกฝ่ายสะลึมสะลือตอบรับก่อนจะพลิกตัวหนีไปทางอื่น
เท่านั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับการล่ำลา