INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง  (อ่าน 159681 ครั้ง)

snowblack

  • บุคคลทั่วไป
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง ตอนที่ 18.2
«ตอบ #300 เมื่อ29-07-2008 21:49:58 »



         ปองผุดลุกขึ้นนั่งบนเตียงในห้องของตัวเองเหลือบมองนาฬิกาที่มีตัวเลขดิจิตอลค่อยๆเปลี่ยนไปช้าๆ  ยามค่ำคืนที่เงียบเหงาเช่นนี้ ทุกวินาทีที่ผ่านไปเชื่องช้าอ้อยอิ่งเสียเหลือเกิน  นั่นเองยิ่งยื้อความทรมานจากการนอนไม่หลับให้ยาวนานออกไป ทั้งที่ร่างกายอยากพัก แต่กลับหลับไม่ลง   ความคิดหลายอย่างมันตีกันอยู่ในหัว  โดยเฉพาะเรื่องอาการกลัวเครื่องบิน  อาจเพราะปองเอาแต่คิดเรื่องนี้ ทำให้ข่มตานอนไม่ลง  เขาเพิ่งรู้สึกกลัวที่สุดในชีวิตครั้งนี้เป็นครั้งแรก   ทำให้เขานึกไปถึงงาน หากเดินทางไปไหนมาไหนไม่ได้แบบนี้  จะทำงานได้อย่างไร คุณพิรุณายังต้องเดินทางเช่นนี้บ่อยๆ แล้วเขาจะยังทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยได้อยู่อีกหรือ  ปองนั่งชันเข่าพลางแกะริมฝีปากตนเองเล่นด้วยความเคยชิน ทั้งที่รู้ แกะไปแกะมา เดี๋ยวเจ็บตัว

“โอ้ย!”  ในปากรู้สึกถึงรถเลือดจางๆ  ปองคลำหากล่องทิชชูจากหัวเตียง  ซับเลือดตัวเองพลางนึกถึงเรื่องเก่าๆ

“อย่าแกะปากเล่น”เสียงใครคนหนึ่งดุเข้าให้ ปองยังจำความรู้สึกอบอุ่นของปลายนิ้วที่ช่วยซับเลือดให้อย่างเบามือได้แม่นยำนัก

“ก็มันติดนิสัย”

“แก้เสียสิ”

“แก้ไม่ได้หรอก มันก็เหมือนที่วิลชอบเกาหัวเวลาคิดอะไรเพลินๆไง ระวังเถอะสักวันหัวจะล้าน”

“เท่ห์สิ สกินเฮด”ปองจำได้ว่าตัวเองหัวเราะพลางขยี้ศีรษะคนรักเล่น  โดยมีใครอีกคนเดินเข้ามาหาพร้อมกับแปรงฟันไปด้วย  ก่อนจะส่งลิปมันให้พี่ชายอย่างรู้หน้าที่ 

“จะได้ไม่เจ็บเวลาแผลเริ่มแห้ง” เสียงพูดนั้นอู้อี้เพราะพูดพลางแปรงฟันไปด้วย  ก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ

         ปองเบิกตากว้างตกใจกับความคิดของตนนี่เป็นครั้งแรกที่เมื่อคิดถึงอดีตแล้ว มีพีทร่วมในความทรงจำดีๆบ้าง  นี่เป็นสัญญาณบอกหรือเปล่านะว่า ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว ปอง ‘พร้อม’ สำหรับการเปิดรับใครอีกคนเข้ามา......ยังหรอก....  เขามั่นใจว่า ทุกอย่างยังไม่ก้าวไปไกลกว่าการเปลี่ยนมุมมอง  อย่างที่ปองเคยสัญญากับตัวเอง ตราบใดที่คนที่อยู่ในใจคนนั้นยังคงฝังลึกในทุกห้วงคิด  ใครอีกคนที่ เหมือนเขาอย่างน่าตกใจนั้น จะไม่มีวันก้าวเข้ามาได้   ปองเชื่อ ไม่มีใครแทนใครได้  จนกว่าหัวใจจะพร้อมอีกครั้ง อาจเป็นเดือน  เป็นปี หรือหลายปี จนกว่าปองจะมั่นใจว่าพร้อมจะรักใครสักคนที่เนื้อแท้  ไม่ใช่ภาพลวงหลอกหลอนของเงาอดีต

         ปองตวัดผ้าห่มออกจากตัว เดินเท้าเปล่าเข้าไปในครัว หยิบแก้วน้ำออกจากชั้นวางอย่างเงียบเชียบแม้จะไม่ได้เปิดไฟ  เหลือบมองนาฬิกาพลางไพล่นึกถึงเวลาออกเวรของคุณหมอ ดวงตาดำขลับนั้นมองออกไปนอกหน้าต่าง   ถนนโล่งมีเพียงแสงจากสัญญาณจราจรที่สะท้องพื้นถนนแฉะๆ  ปองดื่มน้ำอีกใหญ่ ก่อนจะสำลักพรวด! ชายร่างสูงพอประมาณ กับเสื้อแจ๊คเก็ตัวใหญ่สีเขียวเข้มเดินมาหยุดอยู่ฝั่งตรงข้ามถนน แล้วแหงนเงยมองขึ้นมายังหน้าต่างห้องนั่งเล่นของเขาก่อนจะเลื่อนสายตามาที่หน้าต่างห้องครัว  ปองหลบวูบ ซ่อนกายในความมืดลอบสังเกตพฤติกรรมคนที่อยู่ข้างล่างนั้น พีทเพียงแหงนเงยขึ้นมองส่งยิ้มให้ใครอีกคนที่ คงไม่อยู่ในห้องนั้น เพราะเขาได้ข่าวว่าปองจะเดินทาง ทั้งที่เขายังคงเป็นห่วงเรื่องสุขภาพ แต่ก็พูดอะไรมากไม่ได้   ลมหนาวยามค่ำคืนพัดเบาๆ หอบละอองฝนเบาๆให้กระจายสู่อากาศ พัดความหนาวเย็นให้เกาะกุมทุกชีวิต พีทเพียงแต่ยิ้ม ยืนอยู่ตรงนั้นอีกอึดใจหนึ่ง ก่อนจะเดินจากไป....กลับสู่บ้าน ที่ไม่มีใครรอคอย

ปองมองชายคนนั้นไปจนลับจากสายตา พลางคิดทบทวนหลายสิ่ง ด้วยหัวใจที่สงบขึ้น





         ธีรธรมองคนตาปรือปรอย ที่นั่งดูทีวีอยู่ใกล้ๆ มือนั้นยังถือบะหมี่สำเร็จรูปที่กินไม่หมดเสียที มองดูข่าวต่างประเทศที่เกิดเหตุความไม่สงบจึงจำต้องยกเลิกคนเสิร์ตของพิรุณาไปอย่างน่าเสียดาย  เจ้าของดวงตาสีม่านราตรี แอบนึกยินดีในใจ  ดีแล้ว พิรุณาจะได้มีเวลาอยู่ด้วยกันสองสามวันก็ยังดี   ดวงตาสีม่านราตรีนั้น มองสำรวจคนนั่งเคียงใกล้อย่างพิจารณา  ผมสีน้ำตาลออกแดงนั้น เริ่มยาวเลื้อย  ดวงตาคู่สวยปรือปรอยด้วยความง่วงงุน  ข้อมือบางๆนั้น ยิ่งบางกว่าเมื่อครั้งก่อนไป ไปทำงาน กินนอนเต็มอิ่มไหม? เหนื่อยมากหรือเปล่า? คำถามเหล่านี้ ธีรธรตอบได้ด้วยตัวเอง เขาสะกิดพิรุณาให้หันมอง

“ง่วงแล้วก็ไปนอนเถอะ”พิรุณาพยักหน้าเบาๆ แต่ไม่ยอมลุกขึ้นเสียที

‘ขอดูทีวีอีกหน่อยดีกว่า’

“จะนอนบ้านตัวเองไหม? ระหว่างที่ไปทำงานเจ้าหมาย้ายมานอนบ้านนี้แล้วนะ” ธีรธรลองทำภาษามือผิดๆถูกๆประกอบดูบ้าง พิรุณาเพียงแต่มองอย่างขบขันในแววตา ก่อนจะส่ายหน้า

“งั้นหรือ” มือแข็งแรงนั้นขยี้ผมพิรุณาอย่างนึกหมั่นไส้น้อยๆ  พลางคิดว่าควรจะให้พิรุณานอนห้องไหน  เพราะห้องนอนสำหรับผู้มาเยือน ตอนนี้ก็แทบจะกลายเป็นห้องเก็บของไปเสียแล้ว ห้องนอนตัวเองรกอย่างกับรังหนู  ที่สำคัญ   ผู้ชายสองคนนอนเตียงเดียวกัน มันยังไงๆอยู่ชอบกล

‘ถ้าอย่างนั้น เตรียมนอนเลยดีกว่า’พิรุณาลุกขึ้นปิดโทรทัศน์ก่อนเดินไปมาในบ้านราวกับเป็นเจ้าของบ้านเสียเอง ทั้งที่ น้อยครั้งเหลือเกินที่พิรุณาจะเข้ามาเหยียบบ้านนี้  ธีรธรที่เดินถือกระเป๋าเป้ของพิรุณามานึกสงสัยว่า พิรุณารู้ได้อย่างไร พอเห็นพิรุณาทำท่าจะเปิดประตูเข้าไป ก็จะร้องห้าม แต่ก็ไม่ทันแล้ว

         พิรุณามองสภาพห้องที่ไม่ได้รกอะไรหนักหนา เพียงแต่ดูจะวางของผิดที่ผิดทางไปบ้างเท่านั้น  บนเตียงนอน มีกองเอกสารวางเป็นตั้งเล็กตั้งน้อยประปราย   มีแก้วกาแฟที่หมดแล้วตั้งอยู่บนหัวเตียง ข้างกองถุงเท้า ที่มุมห้องมีกองเสื้อกองใหญ่ที่โยนสุมกันไว้  พิรุณากวาดสายตามองสภาพห้อง ก่อนจะมองเจ้าของห้องที่ เกาแก้มตัวเองอย่างขัดๆเขินๆ 

‘รกเสียไม่มีดี’พิรุณาส่งภาษามือให้อย่างหยอกล้อ

“ทราบแล้วครับๆ” ธีรธรกล่าวพลาง หยิบจับจัดของให้เข้าที่เข้าทาง พิรุณามองภาพนั้นอย่างขบขัน 

“อาบน้ำก่อนไหม? ...”ธีรธรเว้นประโยคหลังไว้ ว่าตนจะได้จัดข้าวของให้เข้าที่เขาทาง ไม่ได้มีเจตนาสิ่งใดลึกซึ้งมากมายไปกว่านั้น  พิรุณายอมไปอาบน้ำชำระกายแต่โดยดี  ก่อนจะพบว่า ห้องนอนนั้นคืนสภาพสะอาดเรียบร้อยได้ในเวลาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น พิรุณาเห็นเจ้าของบ้านเหงื่อโทรมกาย

‘เหงื่อออกเหมือนอาบน้ำเลย’ธีรธรหัวเราะ เมื่อพิรุณาทำท่ารังเกียจไม่อยากเข้าใกล้เนื่องจากอาบน้ำเรียบร้อยแล้ว  และยิ่งขบขันขึ้นอีก เมื่อคนตัวเล็กใส่เสื้อตัวใหญ่กว่าขนาดตัวมาก

“ถึงกับรังเกียจกันเชียว” แขนแข็งแรงนั้นเอื้อมคว้าพิรุณา มือนวลๆนั้นผลักดันคนตัวใหญ่ให้อย่าเข้าใกล้

‘ไม่เอา  เน่าขนาดนี้ อย่ามายุ่ง’ เมื่อพิรุณายืนยันดังนั้น ธีรธรจึงไปอาบน้ำแต่งตัวเสียใหม่เช่นกัน

      
         ห้องนอนที่เคยรกรุงรังนั้นบัดนี้เป็นระเบียบเข้าที่เข้าทาง พิรุณาสำรวจห้อง กล้องติดเลนซ์ใหญ่ตัวหนึ่งถูกวางไว้บนโต๊ะอย่างบรรจง พิรุณาทราบว่างานอดิเรกที่ธีรธรชอบนั้นคือการถ่ายภาพ ทว่ายังไม่เคยเห็นฝีมือกับตา ดวงตาสีน้ำตาลแดงนั่งมองภาพที่ติดบนผนังห้องมากมาย กลับสะดุดตากับภาพโทนฟ้าอมเขียวหากมองใกล้ๆจะเห็นหยาดฝนที่เกาะพราวบนผิวหน้าของกระจกรถ เหมือนสายตาคนเราที่มองผ่านกระจกออกไป ไกลออกไปนั้น เป็นเสาไฟถนน ที่ตั้งอยู่โดดเดี่ยว พิรุณายิ้มพลางไล้มือแผ่วเบาลงบนภาพนั้น ก่อนจะเดินชมภาพอื่นๆต่อไป  พลันสายตาเหลือบไปเห็นของที่วางอยู่หลังตู้หลังใหญ่ ในซองหนังสีดำที่ฝุ่นจับหนา  พิรุณานึกอยากรู้จึงปีนขึ้นไปหยิบมันลงมา

   
         เสียงกีต้าที่ผิดเพี้ยนจากการไม่ได้ขึ้นสายทำให้ธีรธรสงสัย  นานแล้วที่บ้านนี้ไร้ซึ่งเสียงดนตรี นานแล้ว ที่เขาละเลยและเลอะเลือนกับการเล่นดนตรี ด้วยภาระหน้าที่ยุ่งและเหนื่อยอยู่ทุกวัน แค่ฟังดนตรีสักเพลงแต่ก่อนนั้นก็ยากหนักหนา  แต่เมื่อมีพิรุณาเข้ามาก็เหมือนเสียงดนตรีที่ดังแทรกขึ้นมาท่ามกลางเสียงเจรจาวุ่นวาย  ดนตรีที่นับวัน เขาจะพยายามเงี่ยหูฟัง แม้ชีวิตจะวุ่นวายสักเพียงไหน  ธีรธรอ่อนจาง เมื่อเห็นพิรุณานั่งลงบนเตียงของเขา  ขานั้นไขว่ห้างโดยมีกีต้าวางบนหน้าขา มือนวลๆนั้นดีดพยายามให้เป็นเพลง  ทำนองกระท่อนกระแท่นนั้นเต็มที

“ทำไมเล่นแต่สายล่าง?”พิรุณาทำท่ายอมแพ้ ก่อนจะส่งภาษามือ

‘จำไม่ได้ว่าสายอื่นเสียงอะไรบ้าง  เล่นยาก  ตั้งสายเองก็ไม่ได้  คุณธีเล่นได้ไหม?’ ชายหนุ่มไม่เอ่ยสิ่งใด เพียงแต่เดินเข้าไป รับกีต้าตัวนั้นมา ก่อนจะทรุดกายลงนั่งเคียงข้าง  ตั้งสายเพียงไม่นานก็เป็นอันใช้ได้

“อยากให้เล่นหรือ?” พิรุณาพยักหน้าแรงๆ แล้วใช้มือทัดเส้นผมที่เปียกลู่ไว้หลังหู  ราวกับตั้งใจฟังเต็มที่

“ได้ยินหรือ?” ดวงตาสีม่านราตรีนั้นฉายประกายเป็นกังวล 

‘ดนตรี ไม่จำเป็นต้องเสพย์สุนทรียรสผ่านทางหู  มนุษย์เรารับรู้ได้หลายทางก็จริง จะใช้ตา ใช้มือ หรือใช้หูก็ไม่สำคัญเท่าไหร่หรอก  สำคัญที่ใช้ใจเสพย์ความสุนทรีย์ แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว’ ธีรธรยิ้มเอ็นดู คนท่าทางอ่อนเยาว์จริงแท้มิได้ไร้เดียงสาเลย แม้แต่น้อย

“ไม่ได้เล่นมาหลายปีแล้ว  จะเล่นละนะ”พิรุณาปรบมือ แล้วย้ายลงมานั่งกับพื้นแทน  ธีรธรยิ้มเขินๆ แล้วลองขยับนิ้วจับคอร์ตบางคอร์ต


         นิ้วแข็งแรงนั้นกดลงบนสายบนช่วงเสียงต่างๆ ในตอนเริ่มมันดูไม่มั่นคง และไม่แน่ใจ ต่อมาทำนองจึงเริ่มมั่นคงและมั่นใจขึ้น  พิรุณามองมือแข็งแรงนั้นที่กดไล้ไปตามสายกีต้าเบาๆ ดวงตาสีม่านราตรีนั้นเป้นประกายพราวชวนมอง  เมื่อไรที่สบตากระแสบางอย่างมันจะเล่นเข้าสู่ใจ  พิรุณาเห็นว่าปากหยักสวยของนักดนตรีจำเป็น กำลังขยับ  คำร้องอ่อนหวานกำลังพลั่งพรู และเอ่อล้นทุกห้องใจ  พิรุณาเสียดายเหลือเกิน  เสียดาย....ที่ไม่อาจได้ยินเสียงนั้น  มันจะทุ้มนุ่มนวลไหม  เสียงหล่อหรือเปล่า   พิรุณาได้แต่เดา และจดจำ ‘ภาพ’ ตรงหน้าไว้ 

“อ้าว..เล่นผิดเสียแล้ว” ธีรธรอุทาน พลางพยายามรื้อฟื้นความทรงจำขึ้นใหม่ 

‘ขอเพลงๆ เอาเพลง save me from myself’ พิรุณาส่งภาษามืออย่างกระตือรือร้น ราวกับเด็กๆที่อยากให้เล่านิทานต่อ

“เพลงเมื่อกี๊ ยังเอาตัวไม่รอดเลย” ธีรธรตบฟูกนอนข้างตัวเบาๆ ให้พิรุณาขึ้นมานั่งด้วยกัน

‘ผมมีเพื่อนเป็นนักกีต้าคลาสสิคอยู่ คุณธีอยากคุยกับเขาไหม?’ ดวงตาสีน้ำตาลแดงนั้นแลดูใสซื่อย์ จนธีรธรอดยิ้มเอ็นดูไม่ได้ มือแข็งแรงนั้น ลูบลงบนเส้นผมนุ่มเบาๆ

“ไม่เอา...คุยกับนักเปียโนดีกว่า” 

‘ว่ามาได้เลย’

“เหนื่อยไหม? เห็นต้องเดินทางตลอด”

‘ยิ่งทุ่มเทมาก ก็ยิ่งเหนื่อยมาก เป็นธรรมดานี่ครับ  แต่เหนื่อยแล้วมีความสุข ผมก็ยอม’ยามพูดถึงสิ่งที่รักดวงตาคู่สีน้ำตาลออกแดงนั้นพราวชวนมอง 

“แล้วมือล่ะ เป็นอย่างไรบ้าง ?” พิรุณานิ่งอยู่อึดใจ

‘ก็ไม่เป็นอะไรมาก’ธีรธรแค่มองท่าทางนั้นก็รู้  อาจไม่ถึงกับโกหก เพียงแต่บอกไม่หมดเท่านั้น มือแข็งแรงนั้น ค่อนจับมือนวลนั้นขึ้นเบาๆ

“แน่ใจหรือ?” พิรุณาอึกอัก ลุกลี้ลุกลน เหมือนเด็กถูกจับได้  ดวงหน้าคมสันนั้นยื่นเข้าไปใกล้ๆก่อนถามย้ำ

“แน่ใจหรือ?”

                               ยามพูดลมหายใจอุ่นๆกระทบผิวแก้ม เคลียเคล้าอยู่ใกล้หู นิ้วแข็งแรงนั้นจี้เข้าเอว พิรุณาสะดุ้งสุดตัวรีบปัดป้องมือนั้นออกจากตัว  ธีรธรหัวเราะ เขาไม่ยอมแพ้หรอก  มือแข็งแรงนั้นยังตามจั๊กจี้ราวีไม่เลิก พิรุณาดิ้นรนพลางหัวเราะน้ำหูน้ำตาไหล  เมื่อหยุดหอบหายใจด้วยกันทั้งคู่ เสียงเพลงเบาๆจากเครื่องเสียงในห้องครวญ เพลงช้า  เสียงกีต้ากระซิบหยอกเย้า  พิรุณาพลิกกาย หยิบรีโมตที่ตนนอนทับอยู่ ออกมา  ธีรธรหัวเราะ  ดวงตาเมื่อยามแลสบกันนั้น แฝงรอยอบอุ่นรักใคร่ไว้  ทว่าครั้งนี้ อะไรบางอย่างมันรบกวนหัวใจ  มันร้องร่ำอยู่ในอกราว กลองรัว  มือแข็งแรงนั้น จับมือนวลที่บางลงจากร่างกายที่ผ่ายผอมลงเล็กน้อย มากุมไว้แผ่วเบา ทุกสัมผัส อ่อนโยน แผ่วเบา ทว่าอุ่นร้อนจนน่ากลัว  ริมฝีปากหยักสวยนั้น แตะเบาๆลงบนข้อมือนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าลงบนรอยนูนผิดปรกติ ราวกับพยายามจะทำให้มัวเลือนหาย

‘ทำอะไร?’พิรุณายื้อข้อมือตนมากุมไว้เสียเอง  รู้สึกใบหน้าร้อนจัด ดวงตาสีม่านราตรีนั้นระยับชวนให้ลุ่มหลง

“เสกคาถา” ดวงหน้าคมสันยังเคล้าเคลียไม่ห่างหาย  พิรุณาทำตัวแข็ง

“ไม่ดีหรือ?” พิรุณาหลับตาแน่น  เมื่อรับรู้สัมผัสอ่อนนุ่มที่ใบหู  รู้สึกถึงหัวใจตัวเองเต้นหนักๆในอก   รู้สึกตัวอีกที พิรุณาก็นอนนิ่งอยู่บนที่นอนแล้ว  คนตัวใหญ่นอนหนุนร่างเขาราวกับพิรุณาเป็นหมอนข้าง   ใบหูนั้นแนบอยู่บนอกพิรุณา

“หัวใจเต้นแรงดีจริงๆ ถ้าไม่รู้ว่าเพราะอะไร คงนึกว่าไปเล่นไตรกีฬามา” พิรุณามองคนนัยน์ตาเจ้าเล่ห์ตาเขียว  นึกอยากทำร้ายร่างกายเสียให้เจ็บ แล้วมันเพราะใครกันล่ะ!

“สังสัยมันคงตะโกนว่า รักคุณธีๆ จนเหนื่อย”ธีรธรหัวเราะกับมุขตัวเอง

‘เข้าข้างตัวเอง’ มือนวลนั้นหมายจะตบเบาๆลงบนเส้นผมสีดำสนิท  แต่มือแข็งแรงนั้นจับไว้เสียก่อน

“แล้วจริงไหมล่ะ?”  แทนคำตอบใดๆ ดวงตาคู่สีน้ำตาลแดงนั้นกลับฉายประกายร้ายๆออกมา  ก่อนจะพลิกร่างตนออกไปอีกทาง  ธีรธรมองตามอย่างงงงัน

‘ไม่รู้สิ’พิรุณาส่งภาษามือ แล้วชะโงกกายเหนือร่างสูงใหญ่นั้น  ริมฝีปากอ่อนนุ่ม สัมผัสกึ่งปากกึ่งแก้มอยางชักลังเล มืออบอุ่นนั้น ไล้นิ้วมือไปตามตีนผม ลามไล้ไปตามคอ

“เอียงซ้ายไปนิด แต่ก็โอเค ...หวานดี” ธีรธรยิ้มให้ก่อนจะเป็นฝ่ายมอบสัมผัสหวานที่รุ่มร้อนกว่าเก่าให้ 

ใครสักคนในกลุ่มเพื่อนเขาเคยพูดไว้  รักกับ ดิน ฟ้า ลม ฝน ต้องทำใจ เอาแน่เอานอนไม่ได้อย่างหนึ่งล่ะ สองคือ เดาทางเดาใจยากนัก  แต่หากลองได้รักแล้ว เชื่อเถอะ จะหลงเสียแทบงมงาย ....ธีรธรยังจำได้ วันนั้นหัวเราะเสียไม่มีดี พลางว่า ทฤษฎีนี้จะจริงหรือ  เพราะวันนั้นเป็นวันที่เขาเองยังไม่มี ฝน มาหล่อเลี้ยงหัวใจ เป็นวันที่ยังไม่มีใครให้ห่วงหา  แต่วันนี้ เห็นจะหัวเราะไม่ออกเสียแล้ว เพราะนอกจาก จะเป็นฝนที่หวานล้ำแล้ว ยังเริงร้อนและสัตย์ซื่อต่อความรู้สึกทุกการกระทำเสียด้วย ดังนั้นคำถามที่ธีรธรเฝ้าอยากถามใครอีกคน เป็นอันตกไป คำตอบมันติดอยู่กับใจนี่ล่ะ!!


          เสียงเพลงที่ไร้คนฟังยังครวญแผ่วเบา  เสียงหวานๆของนักร้องนั้น พ่ายแพ้ต่อเสียงกีต้าทุ้มนุ่ม ที่คล้อเคล้าหยอกล้อไวโอลินเสียงหวาน ให้สนองรับความสอดคล้องราวเสียงลมหายใจแผ่วเบา   ท่วงทำนองทุ้มนุ่มนั้นเป็นจังหวะเนิบช้าใจเย็น ราวหยอกเย้าให้ไวโอลินเพรียกหา   พอไวโอลินราเสียงกลับเป็นฝ่ายต้อนให้ต่างประสาน เฝ้ากระซิบกระซาบเคลียเคล้าแลกเปลี่ยนความละมุนหวานแก่กันราวเกรงว่า ต่างจะลืมถ้อยสำเนียงอ่อนหวานนี้ ว่ายวนเย้าอ่อนโยนถึงเพียงไหน   ท่วงทำนองเหล่านี้ยังคงบรรเลงต่อไปท่ามกลางราตรีอันพร่างพราวด้วยแสงสุกสกาวของดวงดาว จวบจนเหล่าดวงดาวเหล่านั้นเหนื่อยล้าจึงเงียบหายไปกับกระแสลม



         
         นิ้วเรียบที่ตัดเล็บสั้นรียบติดเนื้อกดลงบนแป้นคีย์เบาๆ เสียงโน้ตเพียงตัวเดียวดังขึ้นตามค้อนไม้ กลไกภายในดีดตัว  พิรุณาจดจ่อกับการกดโน้ตทีละตัว  การเล่นดนตรีของพิรุณาเหมือนกับการออกกำลังกาย ทุกครั้งเขาจะเล่นเบาๆด้วยเพลงบทง่ายๆ หรือการไล่สเกลจากง่ายไปยาก อาจเพราะการขยับนิ้วให้ได้ดั่งใจชักจะยากขึ้นทุกที  นิ้วเรียวยาวนั้นกดลงแผ่วเบา บรรเลงเป็นท่วงทำนองหวานๆทว่าเล่นง่ายๆ รู้สึกปวดนิดที่ข้อมือ แต่นี่เป็นเพียงขั้นเริ่มต้นเท่านั้น พิรุณาทราบดี ว่าของจริงนั้นเจ็บปวดและชวนตกใจกว่านี้ขนาดไหน  นิ้วเรียวที่กดลองบนแป้นคีย์อย่างแม่นยำนั้น อยู่ๆก็ค้าง ด้วยอาการนิ้วหัวแม่มือขวา ไม่สามารถขยับได้มันซ้อนอยู่กับฝ่ามือราวกับมีกาวติด ยังความเจ็บปวดมาให้ ....นี่ไม่ใช่ครั้งแรกหรอกที่เป็นแบบนี้  พิรุณามองนิ้วตัวเองที่อยู่ในลักษณะผิดธรรมชาติอย่างปลงๆ พลางใช้มืออีกข้างพยายามง้างนิ้วออกมา

“ตื่นเช้าจัง” แขนอบอุ่นแข็งแรงนั้นโอบล้อมรอบกาย  พิรุณาตกใจรีบใช้มือกุมมือข้างดีกุมมืออีกข้างไว้ ด้วยเกรงว่า ธีรธรจะตกใจ

“มีอะไรหรือ?ทำไมทำท่าตกใจ” พิรุณาส่ายหน้าแรงๆ

“แล้วมือเป็นอะไร?” มือแข็งแรงนั้น จับเบาๆอย่างขออนุญาต ดวงตาคู่นั้นมองสบตรงๆด้วยแววตาที่พิรุณาเห็นเมื่อไร ต่อให้ความลับใหญ่แค่ไหน ก็เห็นจะปิดไม่อยู่   

“มือเป็นอะไรน่ะ!!  ไปโรงพยาบาลไหม?!!!”

‘ไม่ต้องหรอกครับ เดี๋ยวก็หลายแล้ว เพียงแค่นิ้วล๊อคเท่านั้น’ พิรุณาส่งภาษามืออย่างทุลักทุเล

“แล้วอย่างนี้ คอนเสิร์ตครั้งต่อไป จะไหวหรือ?”พิรุณาพยักหน้า

‘อย่าห่วงเลยครับ เดี๋ยวก็หาย ไม่ได้เจ็บอะไรมาก’ พิรุณา ยิ้มน้อยๆ ก้มลงใช้มืออีกข้าง กดลงบนหลังมือระหว่างนิ้วโป้งและนิ้วชี้  ธีรธรมองมือนวล ที่บัดนี้ มีเส้นเลือดปูดโปนมากมายอย่างสงสารรู้สึกตัวเองทำอะไรไม่ได้เลย ทั้งที่อยู่ด้วยกันตรงนี้ ใกล้กันถึงเพียงนี้

“ขอกอดได้ไหม?”พิรุณาพยักหน้า  วงแขนแข็งแรงนั้นโลบไล้แผ่นหลังโปร่งอย่างปลอบประโลม  พิรุณาหัวใจเต้นแรงกับคนที่นั่งซ้อนหลัง..คนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจที่สุด...คนที่ในปัจจุบันนี้สำคัญที่สุด

‘คิดว่าความรักคืออะไร?’ภาษามือที่ไม่ค่อยถนัดนักถามคนตัวใหญ่ที่โอบร่างโปร่งนั้นไว้อย่างถนอม

‘ความผูกพันอันเหนียวแน่นของหัวใจและความรู้สึก ที่มีต่อใครสักคนอย่างจริงจัง’มือแข็งแรงนั้นทำภาษามือช้าๆ แม้จะผิดบ้างถูกบ้าง ทว่าจับใจพิรุณานัก

‘แล้วพิรุณาล่ะ’ พิรุณายิ้มบาง หันไปแตะริมฝีปากลงบนปลายคางอีกฝ่าย ธีรธรหัวเราะอย่างเอ็นดู

‘ถ้าชีวิตเหมือนอุปรากรสักเรื่อง ความรักก็เหมือนเพลง Intermezzo เป็นแค่เพลงสำหรับสลับฉากที่สวยงาม  มันไม่ใช่ส่วนใหญ่ของชีวิต  เพียงแต่มันแทรกสอดเข้ามาเพิ่มสีสัน ความหลากหลายให้  ทั้งสุข ทุกข์ปะปนกันไป  และในเวลานี้คุณธีเป็นคนบรรเลงมันให้ผมฟัง’

“แล้วเพราะไหม?” พิรุณาทำท่าคิดหนัก

‘ไม่ทราบเหมือนกันสิครับ’พอเห็นธีรธรทำหน้าเศร้าๆ พิรุณาจึงรีบส่งภาษามือต่อ

‘รู้แต่ตอนนี้ ชอบที่สุดเท่านั้น’ ธีรธรเบิกตากว้าง คว้ามือนวลนั้นไว้ ทั้งสองข้าง

“หายแล้วนี่!  ยังเจ็บอยู่ไหม?” พิรุณาส่ายหน้า พลางมองมือ ที่ไม่ได้อยู่ในลักษณะผิดธรรมชาติอีกต่อไป ก่อนจะนึกขึ้นได้หยิบกระดาษอาบมัน สีครีมที่มีตัวหนังสือสีน้ำตาลออกแดง ให้ธีรธร

‘ตั๋วคอนเสิร์ตรอบสุดท้าย’ ดวงตาสีน้ำตาลแดงยามนึกถึง ‘วันสุดท้าย’ แฝงรอยหวาดหวั่น  ทว่าไม่ย่อท้อ ธีรธรพยักหน้า พลางกล่าวขอบใจ เขาแน่ใจว่าพิรุณาต้องรู้  ธีรธรคนนี้แม้ไม่อาจอยู่เคียงกาย แต่หัวจิตหัวใจนั้น อยู่เป็นกำลังช่วยผลักดันกันเสมอ

         พิรุณารู้ตัวดี การจะเป็นที่รักของใครสักคนโดยเฉพาะคนอย่างเขา ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับทั้งคนที่ต้องการจะรักและคนถูกรัก  ความรักที่มั่นคงนั้น ไม่ใช่แค่รัก ส่วนผสมของมันซับซ้อนกว่านั้น เหมือนอาหาร ที่ปรุงอย่างไรถึงจะถูกปากคนทาน เหมือนบทเพลงที่ประพันธ์อย่างไรของจะเรียกว่าไพเราะอย่างเป็นตนเอง   ส่วนผสมอันเหมาะสมของแต่ละคนย่อมไม่เท่ากัน  พิรุณาหวัง...ว่าความอดทนอันยอดเยี่ยมของธีรธรจะยาวนาน นานพอที่จะผ่านพ้นสิ่งที่พิรุณาผลักดันให้เกิด อดทน..ต่อไปอีกสักนิด  จนกว่า ‘หน้าที่’จะเสร็จสิ้น  แม้ ‘หัวใจ’ จะร้องร่ำด้วยความโหยหา   อดทนและรอ...จนกว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย


จบตอนแล้วครับ  :m13:
หลังจากที่ผ่านการหมักดองเค็มมานาน
(พอกันทั้งคนแต่งคนโพสเลย :laugh:)
ขอบคุณกำลังใจจากทุกคนที่มีให้ทั้งคนเขียนและคนโพสนะครับ :L2:

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง ตอนที่ 18.2
«ตอบ #301 เมื่อ29-07-2008 22:37:33 »

อิอิ มาแล้วววววววววววววววววววววววววววววววววว ตอนนี้น่ารักน่ะเนี่ย อิอิ

แต่รู้สึกตะหงิดๆว่า ต้องมีอะไรแน่ๆ เฮ้อออออออออออออ คนเขียนอ่ะชอบทิ้งปมไว้ให้เครียดนานๆ อิอิ

ken_krub

  • บุคคลทั่วไป
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง ตอนที่ 18.2
«ตอบ #302 เมื่อ29-07-2008 22:37:53 »

เป็นกำลังใจให้ครับ

ออฟไลน์ kajeaw

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 529
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-2
    • กาเจี๊ยว
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง ตอนที่ 18.2
«ตอบ #303 เมื่อ29-07-2008 22:58:03 »

ตอนนี้หวานนะ.... แต่มันเศร้า ๆ อย่างไรไม่รู้  :m15:

ออฟไลน์ ภาณุเมศพลัง

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 238
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +144/-0
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง ตอนที่ 18.2
«ตอบ #304 เมื่อ29-07-2008 23:28:04 »

ในที่สุดก็ได้ลง ฮ่าๆๆๆๆ ดองกันลืมเลยทีเดียว 

ตอนนี้เศร้าหรอคะ  ฮ่าๆๆๆๆ  ไม่หรอกน่า..นะ

ไม่เครียดๆ ต้องไม่เครียด  เรา ต้อง...จงชิล....(เครียดคะเเนนสอบอย่างเดียวพออย่างอื่น ต้องจงชิล) :laugh:


ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์เเละการเข้าอ่านเช่นเคยนะคะ

เมศร๊ากกกกกกทุกคนเลยยยยยย ฮี๊ววววว~:กอด1:





ออฟไลน์ M@nfaNG

  • ชีวิตคือการตรวจสอบ...
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4453
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +847/-18
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง ตอนที่ 18.2
«ตอบ #305 เมื่อ30-07-2008 00:00:48 »

 :m13: หวานจริงๆๆๆเลยยย  นานๆๆมาที
แต่เหมือนๆจะใกล้จบไม๊เนี่ย หรือไงจ๊ะ...... :a4:
อีกนานไหมหนอจะมาลงต่อ :a1:

snowblack

  • บุคคลทั่วไป
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง ตอนที่ 18.2
«ตอบ #306 เมื่อ30-07-2008 22:27:24 »

^
^
^

ถามถูกใจน้องมากเลยเจ้  :laugh:

ออฟไลน์ ErosAmor

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 851
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-2
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง ตอนที่ 18.2
«ตอบ #307 เมื่อ02-08-2008 19:43:36 »

มันให้ความรู้สึกหวานๆเศร้าๆ ยังไงๆพิกล

อยากให้พิรุณาไปรักษาไวไวจัง   :o12:

fc_uk

  • บุคคลทั่วไป
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง ตอนที่ 18.2
«ตอบ #308 เมื่อ01-10-2008 15:19:49 »

มาหา จขกท  :L2: :L2: :L2:



snowblack

  • บุคคลทั่วไป
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง 19.1
«ตอบ #309 เมื่อ24-10-2008 02:08:45 »

^
^
^
^ :o8: :m1: :oni1:


INTERMEZZO   chapter# 19



         ปองแต่งกายเรียบร้อยด้วยเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีดำเช่นเดียวกับกางเกงแสลคสีเดียวกันแม้อากาศจะอุ่นขึ้นมากจากฤดูหนาวอันยาวนาน  เขามองสบกับเงาร่างของตนเองในกระจก  ก่อนจะเหลือบไปมองกรอบรูปที่ตั้งอยู่บนหลังตู้เสื้อผ้าเตี้ยๆไม่ไกลจากกระจกบานใหญ่นัก ภาพคนสองคนกอดกันอย่างรักใคร่  ชาวเอเชียผู้มีผมและดวงตาแจ่มกระจ่างในรูปนั้น ดูช่างอ่อนเยาว์ ดวงตานั้นทอประกายรักใคร่อย่างไม่ปิดบัง ปองยิ้มให้ตนเองเมื่อครั้งอดีตบางๆ ก่อนจะหันไปมองเงาสะท้อนในกระจก ชายชาวเอเชียคนเดียวกัน ทว่าดวงตาคู่นั้นกลับไม่ฉายประกายแจ่มเหมือนคนในภาพ  อาจด้วยเพราะเวลาทำให้อายุล่วงเลย อาจเพราะอายุที่ล่วงเลยนั้นผ่านช่วงเวลาหลากหลาย  และอาจเพราะช่วงเวลานั้นพบเจอเรื่องไร้สุขมากกว่าความสุข   ปองคนที่เคยซื่อตรงและเปิดเผยต่อความรู้สึกอย่างคนมองโลกในแง่ดีจึงหายลับ..และไม่กลับมา  ปองหยิบของจำเป็น ก่อนจะเดินออกจากที่พัก นั่งแท็กซี่ออกจากตัวเมือง

         ปองทอดสายตามองแผ่นป้ายหินสลักชื่อของคนคุ้นใจไว้อย่างวิจิตร  ใต้ผืนฟ้าสีฟ้าสดใส เนื้อหินสีขาวสะท้อนแสงอาทิตย์เจิดจ้า  ทว่ารอบกายกลับเงียบงัน  ปองย่อกายลงนั่งยองๆ ไล่อ่านอักษรบนแผ่นหินนั้นราวกับจะจดจำทุกตัวอักษร แน่ล่ะ ปองจำได้ทุกข้อความ แม้แต่ตำหนิเพียงเล็กน้อยบนแผ่นหินนั้น ดวงตาสีนิลหยุดอยู่ที่ตัวเลขของวันที่ ...วันนี้เมื่อหลายปีก่อน  ปองวางดอกทานตะวันที่ได้จากร้านใกล้ๆลงหน้าแผ่นหินนั้น พลางนึกขำ ดอกทานตะวัน ไม่ได้เข้ากันเลยสำหรับสถานที่เช่นนี้  ทว่าทุกปีปองจะนำดอกทานตะวันช่อใหญ่มาวางไว้ เพราะเมื่อครั้งอดีต ปองเคยเปรียบใครคนนั้นเหมือนดอกทานตะวัน  คนที่สดใส ให้ความรู้สึกแช่มชื่น  คนที่เบิกบานไม่ชอบถือระเบียบพิธีการ  คนที่มักอ้างว่าโดดเดี่ยวแต่ไม่เคยเดียวดาย เหมือนทานตะวันที่มีดวงตะวันเป็นประหนึ่งสหายสนิท

“ตั้งกี่ปีมาแล้ว” ปองพูดเบาๆ มือนั้นไล้เบาๆลงบนรอยสลัก

“ลืมไม่ได้สักที และคิดว่าคงจะไม่ลืม” มือบางนั้น หยิบเศษหญ้าที่ถูกลมหอบพัดออก

“จำได้ไหม ช่วงที่เราอยู่ด้วยกัน  เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด มีความสุขมาก มากเสียจนคิดว่าความสุขนั้นจะเป็นของตัวไปอีกยาวนาน แต่ก็นะ.... ไม่มีอะไรเป็นนิรันดร์” ปองพูดราวกับเจ้าของป้ายหินสลักนั้นนั่งอยู่ต่อหน้า มีเลือดเนื้อและจิตใจ ไม่ใช่เพียงร่าง  แน่ล่ะ..สำหรับปอง วิลยังคงมีลมหายใจในหัวใจของเขา

“ขอบคุณสำหรับช่วงเวลาที่สวยงามที่สุดในชีวิต” ปองพูดประโยคเดิม ที่เคยกล่าว ณ ที่แห่งนี้ ในทุกครั้งที่มาเยี่ยมเยือน

“และขอบคุณสำหรับความอดทน” ปองกล่าวเบาๆ

“ได้ยินไหมพีท” ชายร่างสูงในสูทสีดำเรียบร้อย ยืนอยู่ข้างหลังเขาเมื่อไหร่นั้นปองเองก็ไม่แน่ใจ

“ได้ยินแล้ว” ความเงียบงันโรยตัวเชื่องช้า   พีทมองแผ่นหลังโปร่งบางตรงหน้าแววตาคู่นั้นฉายประกายครุ่นคิด

“เรื่องของเรา....เป็นไปได้ยากใช่ไหม?” ปองนิ่งมองป้ายหินนั้นอยู่อึดใจจึงพยักหน้าช้าๆ พีทอยากให้ดวงตาคู่นั้นหันกลับมามองเขาเหลือเกิน  ทว่ามันคงเป็นฝันที่ยากเหลือเกิน  เขาแพ้วิลเสมอ....แพ้พี่ชายราบคาบตั้งแต่วิลยังมีชีวิตอยู่ จนถึงตอนนี้ วันที่วิลจากไปเนิ่นนานหลายปี เขาก็ยังคงแพ้อย่างหมดทางสู้

“พีท...ผมไม่อยากให้คุณเอาเวลาทั้งชีวิตมาทุ่มเทที่ผม ชีวิตคนสั้นและยากจะคาดเดา  สักวัน...บางที คุณอาจมีคนที่อยากดูแลเขามากกว่าผม อยากให้ความรัก และได้ความรักอย่างเหลือล้นตอบแทน”

“แต่...”

“จะพูดว่า มันยังมาไม่ถึงใช่ไหม?” ชายหนุ่มพูดไม่ออก

“อย่าปฎิเสธเลย คนเราล้วนโหยหาความรัก  ผมนับถือความอดทนของคุณ  มันมาก...เสียจนผมรู้สึกอึดอัดและผิดบาป”

“ทำไมถึงเอาแต่ปฎิเสธผม ทั้งที่ผมเองก็ไม่ด้อยไปกว่าวิล  ผมไม่ดีตรงไหน! คุณถึงไม่เห็นค่าของผม”

“คุณไม่ได้ด้อยกว่าใครที่ตรงไหน เพียงแต่ความรักของผมมันยังคงฝังลึก อย่าดันทุรังอีกเลย เราจะเจ็บกันทั้งคู่ ...หรือเราเจ็บกันมาไม่พออีกหรือ?”พีทรู้สึกเจ็บในหัวใจ

“ลองคิดดูให้ดีนะ ชีวิตคนเรา แม้จะสั้น ทว่าหนทางยังอีกยาวไกล.....อีกอย่างคือ แก้วที่แตกละเอียด ไม่อาจเก็บกู้เศษซากมาประกอบให้ดีดังเดิมได้  คุณคงเข้าใจใช่ไหม?”  ปองไม่ได้เบือนหน้ากลับไปมองชายร่างสูงคนนั้น แต่เขารู้ น้ำตากำลังหยาดหยด  ทว่าดวงตาของปองกลับแห้งผาก อาจเพราะหัวใจข้างในอกนี้ หลั่งเลือดและน้ำตาอย่างเงียบๆมานานหลายปี
         
“คิดดูให้ดีๆ”น้ำเสียงนั้นทอดแผ่วเบาและอ่อนโยน  อ้อมแขนแข็งแกร่งนั้น โอบรอบร่างปองจนเซนั่งลงกับพื้น เพียงอึดใจก็ปล่อย  ก่อนจะเดินจากไป  ทิ้งไว้แต่น้ำตาหยดใหญ่ที่อุ่นร้อน บนหลังมือบาง   ปองมองตามร่างนั่นจนลับสายตา

“วิล คุณรู้ไหม  พีทได้ทุนไปทำวิจัยที่ต่างประเทศ  น่าภูมิใจใช่ไหม? ผมรู้ว่าเขาจะไม่ไปโดยไม่มีผม ผมทำผิดหรือเปล่า?  นี่ดีสำหรับทั้งผมและเขาแล้วหรือเปล่า?   มันดีแน่ๆแล้วใช่ไหม?” ปองเฝ้าถามก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ เพียงกระพริบตา น้ำตาหยดหนึ่งจึงร่วงริน  ตลอดเวลาปองรู้ ว่าตนเองไม่ได้แข็งแกร่ง และเจิดจ้าอย่างเพชร เหมือนพิรุณา  เขาเป็นเพียงแก้วใสบางที่มีรอยร้าวลึกจนเกินเยียวยาเท่านั้น


ใครที่เคยกล่าวไว้ ว่าความรักจะจืดจางเมื่อถูกเวลาเยียวยานั้น บัดนี้ปองได้พิสูจน์กับตนเองแล้วว่าคำกล่าวนี้ใช้ไม่ได้กับตัวเขา  ความรักอันจริงแท้....แม้ผ่านเวลาไปยาวนาน แม้ผู้เป็นที่รักจะจากไปแสนไกล ทว่าความรักยังคงฝังลึกในทุกห้วงขณะจิต  ราวกับต้นไม้ใหญ่ที่รากนั้นหยั่งลึกมั่นคง  แม้ความรู้สึกนั้นจะไม่ยั่งยืน แต่ปองเชื่อ...มันจะไม่ลบจากความทรงจำ


------------------------------------------------------------------------------------------------------

เศร้าง่ะ :sad2: :o12: :serius2:

สงสารปอง :a6:

สำหรับการเฝ้ารอ(คนแต่ง)อันยาวนาน

ในที่สุดตอนจบก็มา

เรื่องนี้ใกล้จบแล้วนะครับ

เอาไปเท่านี้ก่อนเดี๋ยวจะเอามาลงอีกครับ  :oni1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง 19.1
« ตอบ #309 เมื่อ: 24-10-2008 02:08:45 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ M@nfaNG

  • ชีวิตคือการตรวจสอบ...
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4453
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +847/-18
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง ตอนที่ 19.1
«ตอบ #310 เมื่อ24-10-2008 10:57:33 »

 :o12: ทำไมปองต้องปิดกั้นตัวเองขนาดนั้นด้วย
ที่จริงถึงแม้จะรับรักพีทก็ใช่ว่าใจจะต้องลืมวิลนี่นา
ความรักมันก็อยู่ในใจเราเสมอ  :m15:
แต่เราที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ต้องมีความสุขด้วย o7

ken_krub

  • บุคคลทั่วไป
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง ตอนที่ 19.1
«ตอบ #311 เมื่อ24-10-2008 12:53:39 »

เป็นกำลังใจให้ครับ

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง ตอนที่ 19.1
«ตอบ #312 เมื่อ24-10-2008 18:31:59 »

สงสารปองงงงงงงงงงงงงงงงงงงง ที่จมอยู่กับอดีต

ออฟไลน์ M@nfaNG

  • ชีวิตคือการตรวจสอบ...
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4453
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +847/-18
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง ตอนที่ 19.1
«ตอบ #313 เมื่อ26-10-2008 15:24:55 »

ทำไมยังไม่มาลงอีก ได้ข่าวว่าที่อื่นลงแล้วนะ  :serius2:

snowblack

  • บุคคลทั่วไป
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง ตอนที่ 19.1
«ตอบ #314 เมื่อ26-10-2008 21:45:30 »

^
^
^
^
ต้องกราบขออภัยท่านพี่ เนื่องด้วยน้องไปเที่ยวกับที่บริษัทมาที่ ปราณบุรี ตอนนี้ปวดตามเนื้อตัวและไข้รับประทาน
แต่น้องก็สามารถมาลงให้ได้ครับ (เรียกคะแนนความสงสารสุดๆ)

เชิญรับชมกันได้เลยครับ
------------------------------------------------------------------------------------------------------
         พิรุณามองเงาตนเองในกระจก พลางเสยเส้นผมด้านหน้าขึ้นให้ดูเรียบร้อยก่อนจะเลื่อนมือลงมาจัดคอเสื้ออกแข็งให้เข้าที่  ดวงตาสีน้ำตาลออกแดงในกระจกเงานั้นสะท้อนประกายเจิดจ้า  คนในเงาสะท้อนกระจกนั้นไม่มีเค้าของความหวาดหวั่นแม้แต่น้อยแม้สื่อจะต่างเสนอข่าวว่านี่เป็นคอนเสิร์ตอย่างเป็นทางการเป็นครั้งสุดท้ายของนักดนตรีหูพิการคนนี้  ทว่าสำหรับพิรุณา นี่ไม่ใช่ครั้งสุดท้าย มันฟังดูสิ้นหวังเกินไป  สำหรับพิรุณานี่คืองานชิ้นสุดท้ายก่อนการพักร้อนระยะยาวที่กำลังจะมาถึง  ในหัวของพิรุณาคิดวางแผนสำหรับก้าวต่อๆไปเสมอ  แน่นอน...ช่วงระยะหยุดพักนี้เขามีแผนมากมายที่คิดอยากจะทำ   ประตูห้องแต่งตัวเปิดออก สต๊าฟคนหนึ่งยื่นหน้าเข้ามาแล้วพยักหน้าให้เบาๆ  เป็นสัญญาณว่าจวนได้เวลา พิรุณาพยักหน้าตอบเบาๆเช่นกันพลางยิ้มจางๆ   ก่อนจะเบือนสายตากลับมามองกระจกเพื่อตรวจดูความเรียบร้อยของตนเองอีกครั้ง  ใบหน้าในเงาสะท้อนของกระจกนั้นกำลังยิ้มให้กำลังใจตนเองเช่นทุกที


         พิรุณาเดินมาจนถึงสุดทางเดินข้างเวที ที่สุดทางเดินนั้นเห็นแสดงสว่างสีเหลืองนวลๆจากบริเวณหน้าเวทีสาดส่อง  พิรุณาหยุดสูดหายใจเข้าลึกๆ คลี่ยิ้มจางๆนำหน้าไปก่อน ก่อนจะก้าวออกจากเงาสลัวสู่ความสว่างไสวท่ามกลางแสงไฟหน้าเวที  เสียงปรบมือดังกระหึ่มรอบกายไม่อาจทำให้พิรุณารับรู้ นับแต่นี้ ทุกย่างก้าว ทุกกิริยา ทั้งท่าเดิน การโค้งคำนับและการนั่งลงหน้าเปียโนอย่างสำรวม คือการรวมสมาธิอย่างสูงสุด  เขาสูดลมหายใจช้าๆ ก่อนจะแตะนิ้วเรียวลงบนแป้นคีย์ เสียงเปียโนกรุ๊งกริ๊งราวแสงแปร่งประกายอันเป็นคุณสมบัติเฉพาะของบทเพลงนั้นๆ สะท้อนออกมาอย่างชำนิชำนาญ  พิรุณารับทุกสัมผัสที่ผ่านปลายนิ้ว  ทุกช่วงจังหวะการเปลี่ยนเพเดิล  ทุกช่วงขณะการเคลื่อนไหวร่างกายลื่นไหลไม่มีสะดุด เช่นเดียวกับเสียงดนตรีอันไม่ขาดตอน บางคราวรัวเร็ว บางคราวอ่อนหวาน  บางคราวน้ำเสียงหนักแน่น เพียงชั่วอึดใจต่อมากลับแผ่วเบาราวกระซิบ สิ่งเหล่านี้ล้วนสร้างความไพเราะรื่นหู  พิรุณาไม่ทราบว่าในบรรดาผู้ชมทั้งหลายมีใครบ้าง  เขารู้เพียงแต่ ทำทุกอย่างให้สมบูรณ์จนกว่าจะสิ้นซึ่งพละกำลังตน

“คุณคะ จำได้ไหมว่าครั้งแรกคุณว่าเด็กคนนี้ไม่มีมือของนักเปียโนด้วยซ้ำ แล้วจะประสบความสำเร็จได้อย่างไร”หญิงสูงวัยผู้เป็นภรรยาบุรุษที่พิรุณาเรียกอย่างเต็มปากว่า ‘อาจารย์’กระซิบขึ้น

“นั่นสิ บางที่พระเจ้าอาจลืมประทานมือของนักเปียโนให้พิรุณา  แต่ท่านไม่ได้ลืมเอาหัวใจของนักดนตรีใส่ให้ ดูท่านับวันมันจะยิ่งพองใหญ่คับอก…ระวังเถอะเดี๋ยวจะหายใจไม่ออกตาย”ผู้เป็นอาจารย์กล่าวเย้าให้ภรรยาค้อนใส่เสียวงหนึ่ง  ตามจริงแล้ว พิรุณามีรูปมือที่ไม่เหมาะกับการเล่นเปียโน ปลายนิ้วเรียวเกินไป ทำให้เมื่อเล็บยาวออกมาเพียงเล็กน้อยเมื่อวางมือบนคีย์บอร์ดแล้วไม่ได้รูปมือที่สวยงามดังนั้น เขาจึงต้องกำชับให้พิรุณาตัดเล็บสั้นเสมอ สั้นชนิดที่เรียกว่าเสมอเนื้อ   และด้วยความดื้อดึงของพิรุณา ทำให้แกล้งลืมๆไปบ้างว่าต้องวางมืออย่างไรให้สวย ดังนั้น การวางรูปมือของพิรุณาในช่วงแรกนั้นนับว่าใช้ไม่ได้  ยิ่งโตเท่าไหร่ยิ่งแก้ไขยาก  แต่ความพยายามของเขาก็เห็นผลในสองปีต่อมา  ทว่าปัญหาบางประการยังอยู่ การวางรูปมือที่ไม่ถูกต้องมาหลายปี ส่งผลให้บางเทคนิคทำได้ยาก พิรุณาจึงต้องซ้อมหนักขึ้นและใช้ความพยายามหนักขึ้นเป็นเท่าตัว

“นอกจากหัวจิตหัวใจ แล้ว ท่าทางพระเจ้าจะทรงใส่ความดื้อดึงมาเสียเต็มร้อย”

“อ้อ..อย่าลืมพรสวรรค์ชนิดฟ้าประทานเสียล่ะ”ผู้เป็นอาจารย์พูดเสริม


         เสียงถ้อยทำนองอ่อนหวานปนโศกได้บรรยากาศหนาวเย็น นิ้วเรียวนั้นถ่ายทอดอารมณ์ผ่านเสียงเพลงได้อย่างยอดเยี่ยม   ทั้งหนักเบาราวสายลมผ่านพัด เสียงสั้นยาวราวกับหิมะปรอย  ผู้เป็นอาจารย์ลอบยิ้มอย่างภาคภูมิใจด้วยเกรงคนนั่งข้างกายจะรู้   สิ่งที่ทำให้นักดนตรีแต่ละคนจะมีชื่อเสียงขึ้นมาได้  แค่เทคนิคชั้นสูงอย่างเดียวไม่พอ ต้องมีพรสวรรค์ในการสร้างสรรค์ความไพเราะอันเป็นแบบฉบับของตนเอง   สิ่งนี้คือเส่นห์อันหาได้ยากยิ่ง  ในปีหนึ่งๆมีนักเรียนการดนตรีมากมายที่มีเทคนิคการเล่นแพรวพราวจบจากสถานศึกษา แต่จะมีสักกี่คนที่มีพรสวรรค์ดังกล่าวอย่างแรงกล้า  พิรุณาเมื่อสมัยนั้น นอกจากเป็นนักเรียนนอกคอกที่เทคนิคต่ำเตี้ย พิการทางหูแล้ว  พรสวรรค์อันเป็นขุมพลังนี้กลับฉายประกายเด่นชัดกว่าใครๆมาตั้งแต่เมื่อครั้งยังเป็นเพียงเด็กใหม่   เอ็ดเวิร์ด ฮอร์นยิ้มรับ เขาเลือกไม่ผิด และได้แต่ภาวนา ให้การรักษาที่กำลังจะมาถึงไม่ช้าเกินแก้


         เสียงปรบมือดังสนั่น  เมื่อแสงไฟที่เคยหรี่ลงจนมืดสลัว  กลับค่อยๆสว่างเจิดจ้าขึ้นราวกับต้อรับบทเพลงสุดท้ายของค่ำคืนนี้  สุภาพสตรีที่แม้วัยจะล่วงเลยไปมาก ทว่ากลับยังดูสดสวย มิใช่แรกแย้มดั่งดรุณีรุ่นๆ ทว่าเป็นความสวย อันประกอบจากความงามสง่า  ยืนกลางเวที ส่งยิ้มน้อยๆให้ผู้ชม และนักดนตรีของตน พิรุณายิ้มรับกว้างขวาง ตอบรับ  เสียงดนตรดังกรุ้งกริ้งบรรเลงนำ  ก่อนเสียงอ่อนโยน หากยังคงความงามสง่าไว้ในทีจะค่อยครวญเพลง  ขับกล่อมให้ผู้ฟังหลงท่องตกภวังค์ไปกับห้วงอากาศอันมีเสียงเพลงครวญหวาน


Edelweiss, Edelweiss
Every morning you greet me
Small and white, clean and bright
You look happy to meet me
Blossom of snow may you bloom and grow
Bloom and grow forever
Edelweiss, Edelweiss
Bless my homeland forever


from the Sound of Music
Music: Richard Rogers
Lyrics: Oscar Hammerstein


         ธีรธรเฝ้ามองพิรุณาจากที่นั่งของตน  ‘หนุ่มน้อยนัยน์ตาพราว’ คนนั้นยังเป็นคนเดิม  คนที่มีความสุขอย่างยิ่งกับเสียงเพลง แม้หูทั้งสองข้างจะไม่ดีพร้อม  คนที่ต่อสู้กับตนเอง แม้จะเจ็บปวด หลายครั้งที่เขาลอบห็นพิรุณาไม่สบายใจกับการบาดเจ็บ แต่ไม่เคยแสดงให้ใครเห็น เขาเชื่อ ว่าพิรุณาทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาดินแดนแห่งเสียงเพลงของตนไว้กับตัวเองให้นานที่สุด พิรุณายื้อการรักษา อาจเพราะหัวแข็ง แต่เขาเข้าใจ พิรุณาเพียงแค่อยากรักษาช่วงเวลาที่เป็นสุขที่สุดไว้ให้เนิ่นนาน     เพราะหลังจากนั้น....จะไม่มีสิ่งใดเหมือนเดิมอีกต่อแล้ว   ธีรธรส่งยิ้มให้พิรุณาที่ยิ้มกว้างอย่างมีความสุข พลางนึกย้อนกลับไป ถึงวันเวลาที่อยู่ด้วยกันครั้งล่าสุดก่อนพิรุณาจะต้องกลับมาสานต่องานของตนให้สมบูรณ์

‘อะไรทำให้คนเรารักเสียงดนตรี?’

‘ถามตอบยากจริงๆ’พิรุณาตอบ พลางครุ่นคิด

‘เอางี้...งั้นถามง่ายๆเลย ว่าทำไม พิรุณาถึงชอบเสียงเพลง’ธีรธรยิ้มขันเมื่อพิรุณาตีหน้ายุ่งอย่างไม่รู้จะตอบว่าอย่างไร

‘ไม่รู้สิ  อาจเพราะผมผูกพันกับมันก็ได้  เมื่อตอนยังเด็กๆ  ผมไม่ค่อยมีใครอยากเล่นด้วย เพราะแปลกกว่าคนอื่น   เลยได้ดนตรีเป็นเพื่อนไง’ 

‘เศร้าจัง เดี๋ยวร้องไห้เลย’

‘ตัวโตเสียเปล่า’ ธีรธรหัวเราะร่า  แล้วเร่งให้เล่าต่อ

‘พอโตขึ้นมาหน่อย ก็ท่าทางจะฉายแววเอาดีทางดนตรี เพราะอยู่คนเดียวเป็นส่วนใหญ่  สารพัดเพลงมากมายที่ถุกบังคับเล่นก็ เล่นจนเบื่อ เลยเริ่มปรับเปลี่ยนไปเรื่อย และต้องขอบคุณที่ไม่ได้ยินเสียง มันทำให้จินตนาการโลดไปไกล  ผมจำได้ว่าครั้งแรกที่เข้าเรียนดนตรีอย่างจริงจัง อาจารย์แทบจะไล่ผมออก เพราะผมเล่นแต่ในสิ่งที่ผมคิด ผมยังเถียงอาจารย์...แน่นอนว่าด้วยภาษามือ ว่าทำไมถึงบังคับให้ผมเล่นแต่ไอ้โน้ตที่มีอยู่ในกระดาษมาสักร้อยปีได้ มันเก่าเก็บจะตายไป’

‘แล้วยังไงอีก’

‘ก็เบื่อน่ะสิ แล้วพอเบื่อเมื่อไหร่ ผมก็จะไม่สนใครๆแล้ว  เล่นแต่ในสิ่งที่ผมคิดเท่านั้น  ผมเลยกลายเป็นเด็กเหลือขอในสายตาใครๆ  จนเจออาจารย์..คุณเคยเจอแล้วนี่  ครั้งแรกที่ท่านเขาสอน ท่านถามผมว่า บ้านเกิดอยู่ที่ไหน ผมตอบไม่ได้ เลยตอบส่งๆ’ พิรุณา ไม่ยอมเล่าต่อ กลับหยุดดื่มน้ำเสียเฉยๆ จนธีรธรทนไม่ไหวต้องเร่งให้เล่าต่ออีก

‘แล้วตอบว่าอะไร?’พิรุณามองอย่างขำๆ

‘ก็ตอบว่า ดนตรีที่ผมสร้างขึ้นมานี่แหล่ะ เป็นบ้านเกิดของผม เพราะมันอยู่ในหัวผมนี่ มันติดตัวไปด้วยตลอด   ตลกดีใช่ไหม ..ตอนนั้นคิดอะไรเด็กๆ แถมยังดื้อมากๆเลย ใครพูดอะไรไม่เชื่อสักอย่าง ไร้เหตุผลชะมัด’

‘แล้วตอนนี้ยังดื้อไหม?’

‘เอ..อันนี้ก็แล้วแต่ว่า กับใคร’

ธีรธรเข้าใจ ว่าทำไมพิรุณาถึงเลือกเพลงนี้เป็นเพลงสุดท้าย  ดินแดนของพิรุณา จะยังคงอยู่ ในหัวคนช่างคิดคนนั้นตราบชีวิตสิ้นลมหายใจ   แม้มันอาจไม่ยิ่งใหญ่เท่าเดิม ไม่กว้างไกลอย่างเก่า  ทว่ายังคงแปร่งประกายจรัสจ้าและงดงามอยู่ในความทรงจำ ...ตลอดไป


         เสียงเพลงสุดท้ายลอยหายไปกับเสียงปรบมือราวห่าฝนกระหน่ำ  พิรุณาลุกขึ้นอย่างสง่างามค้อมกายให้ผู้ชม สวมกอดนักร้องรับเชิญของตน ก่อนดวงตาคู่สีน้ำตาลแดงทอดมองไปไกล เพื่อจดจำเสี้ยวนาทีนี้ไว้  ผู้คนมากมาย ลุกขึ้นปรบมือให้เขา  ผู้คนเหล่านี้กำลังแสดงให้เขาเห็นว่า งานที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจมานานก่อประโยชน์ มันสร้างความรื่นย์รมย์ให้ผู้ฟัง ได้จริง  พิรุณาได้ทำความฝันเล็กๆของตนให้สำเร็จลุล่วงแล้ว พิรุณาค้อมกายให้ผู้ชมอีกนับครั้งไม่ถ้วน มันเป็นความรู้สึกที่อยากจะขอบคุณโดยที่เขาเองก็ไม่อาจรู้สาเหตุแน่ชัด  อาจเพราะตอนนี้สมองของเขาตันตื้อ   ความภูมิใจมันก่อตัวขึ้นในอก  พิรุณา... คนที่เริ่มทุกอย่างแทบจะจากศูนย์เดินมาตามเส้นทางที่หัวใจรักได้ไกลถึงเพียงนี้  วันนี้พิรุณาได้ดื่มด่ำความภาคภูมิใจนั้นแล้ว และจะจดจำทุกเสี้ยววินาทีนี้ไว้เป็นกำลังใจให้กับตัวเองในวันข้างหน้า ที่อาจต้องแพ้พ่ายหรือล้มลุกคลุกคลานยิ่งกว่าที่เคยประสบมา พิรุณาจำได้แม้แต่รอบยิ้มของตัวเอง ว่ามันกว้างขวางถึงเพียงไหน  จำได้ติดตาว่าผู้ชมเบื้องล่างมีสีหน้าแววตาอย่างไร


         หลังช่วงเวลาบนเวทีและการสัมภาณ์เล็กๆน้อยๆผ่านพ้นไป พิรุณากลับเข้าห้องแต่งตัวพร้อมดอกไม้ช่อใหญ่ที่มีดอกไม้หลากชนิดปะปนกันไปจากการรวมดอกไม้ช่อเล็กช่อน้อยให้เป็นช่อเดียว  เปลี่ยนชุดกลับเป็นชุดสบายๆเตรียมพร้อมที่จะออกไปจากห้องนี้  ดวงตาคู่สวยกวาดมองห้องนั้นด้วยความรู้สึกหลากหลาย  ก่อนจะถอนหายใจยาวๆกับตัวเอง  แล้วตัดสินใจเปิดประตูออกไปจากที่แห่งนั้น เดินไปบนทางเดินหินขัดมันที่ทอดยาวออกไปไกลและร้างผู้คน  ที่สุดปลายทางนั้น ชายหนุ่มร่างสูง ยืนยิ้มน้อยๆให้  พิรุณายิ้มรับ มือแข็งแรงนั้นช่วยถือดอกไม้ช่อใหญ่

“ไปกันเถอะ”ธีรธรพูดเบาๆ พิรุณาพยักหน้ารับก่อนจะเดินตามกันไปบนทางเท้าเล็กๆ ท่ามกลางลมกลางคืนและแสงดาวกระพริบพราวอยู่ไกลๆ มือนวลบาง ยื่นไปจับมือแข็งแรงข้างที่ว่างไว้เบาๆ ธีรธรหันกลับมามองอย่างแปลกใจ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่พิรุณาเป็นฝ่ายต้องการบางอย่างจากเขา โดยปราศจากคำพูดใดๆ ทว่าดวงตานั้นสื่อความหมายที่เข้าใจกัน แม้ดวงตาคู่สีน้ำตาลแดงที่ธีรธรนึกชมว่าสวยนักหนาจะมีม่านน้ำตาอุ่นๆบดบังเพียงบางๆ มือแข็งแรงที่อบอุ่นนั้นจับกระชับแน่นขึ้น  แล้วเดินต่อไปเบื้องหน้า เดินไป...พร้อมๆกัน

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง ตอนที่ 19.2
«ตอบ #315 เมื่อ26-10-2008 23:30:15 »

อิอิ มาแล้วววววววววววววววววววววววววววววววววววววว

ตอนหน้าพิรุณาจะได้ยินแล้วใช่มั้ยเนี่ย อิอิ

ออฟไลน์ M@nfaNG

  • ชีวิตคือการตรวจสอบ...
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4453
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +847/-18
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง ตอนที่ 19.2
«ตอบ #316 เมื่อ27-10-2008 00:26:08 »

^
^
^
^
ต้องกราบขออภัยท่านพี่ เนื่องด้วยน้องไปเที่ยวกับที่บริษัทมาที่ ปราณบุรี ตอนนี้ปวดตามเนื้อตัวและไข้รับประทาน
แต่น้องก็สามารถมาลงให้ได้ครับ (เรียกคะแนนความสงสารสุดๆ)

เชิญรับชมกันได้เลยครับ

อ้าวเที่ยวซะป่วยไปเลย ขอให้หายไวๆนะค่ะ ขอโทษที่ใช้แรงงานคนป่วย :กอด1:

แต่ตอนนี้ทำไมอ่านแล้วใจหายยังไงไม่รู้น่ะซิ ไม่ชอบคำว่า"ครั้งสุดท้าย"เลย o7

fc_uk

  • บุคคลทั่วไป
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง ตอนที่ 19.2
«ตอบ #317 เมื่อ28-10-2008 01:11:10 »

ไอ้โน็ตสู้สู้
ไอ่โน็ตสู้ตาย  :ped149: :ped149: :ped149:

snowblack

  • บุคคลทั่วไป
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง ตอนที่ 19.2
«ตอบ #318 เมื่อ02-11-2008 17:36:04 »

^
^
^
^
เชียร์หรือว่าแช่งกันแน่วะพี่  o12
.
.
.
.
.
.
.
.
.
         
         เคนมองร่างโปร่งบางของโดลเชที่สวมกอดมารดาอย่างรักใคร่เพื่อส่งขึ้นเที่ยวบินเที่ยวดึกกลับประเทศทันที พิรุณาได้ขอร้องกึ่งบังคับว่า อยากได้นักร้องสักคนมาร้องเพลงสำคัญของค่ำคืนนี้ จึงได้มารดาของโดลเชมาเป็นนักร้องรับเชิญอย่างฉุกละหุก ทว่าทุกอย่างผ่านไปอย่างราบรื่นและน่าประทับใจ เคนยิ้มรับเมื่อมารดาของโดลเชหันมาฝากฝั่งลูกชายแล้วตกปากรับคำอย่างยินดี ขณะที่โดลเชท้วงมารดาเป็นภาษาฝรั่งเศสให้เข้าใจกันเพียงแม่ลูก  จนได้เวลาอันควรมารดาของโดลเชจึงหายลับเข้าไปในด่านตรวจ เหลือเพียงเคนและโดลเช

“ดีจังที่คอนเสิร์ตผ่านไปอย่างราบรื่น   นึกว่าจะมาไม่ทันเสียแล้ว”โดลเชถอนหายใจโล่งอก

“คิดว่าเป็นยังไงบ้างล่ะ?”

“น่าเสียดายนะครับ ที่คุณพิรุณาอาจจะไม่ได้กลับมาในวงการนี้”

“ใครว่าพิรุณาจะไม่กลับมาในวงการนี้  ทั้งชีวิตพิรุณามีเพียงดนตรีในหัวตันๆนั่นนะ ผมเชื่อว่าเขาจะกลับมา แม้อาจจะไม่ได้โด่งดังอย่างเก่า แต่จิตวิญญาณของพิรุณายังคงความเป็นนักดนตรีไว้ครบถ้วน” โดลเชฟังแล้วช่วยพิรุณาท้วง ว่าเคนไปว่าพิรุณาให้เขาเสียหาย แต่ก็เห็นด้วยกับสิ่งที่เคนกล่าวต่อมา

“ตอนคุณเล่นคอนเสิร์ตครั้งสุดท้าย รู้สึกยังไงบ้างหรือครับ?”เคนหันไปยิ้มให้คนยืนเคียงใกล้

“มันหลากหลายความรู้สึกนะ ตื่นเต้น เสียดาย เสียใจ แต่ก็ฮึกโหม เพราะผมรู้ว่าถึงต่อไปจะไม่ได้มีโอกาสแบบนี้ แต่ดนตรียังอยู่ในหัวใจผม” 

“ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ คุณจะเลือกใหม่ไหม? ระหว่างคุณในตอนนี้ กับ คุณ ที่เป็นนักเชลโล่” เคนมองคนหน้าหวานนัยน์ตาดุ ก่อนมือแข็งแรงนั้นจะขยี้เส้นผมอ่อนนุ่มจนเป็นกระเซิง

“ถ้าผมยังเป็นนักเชลโล่ แล้วผมจะได้เจอคุณไหม  จะได้เริ่มรู้สึกดีๆกับคุณหรือ? เอ๊ะหรือว่าไม่อยากให้ผมรู้สึกดีๆด้วย”

“ทำไมจะไม่เคยเจอ ผมยังเคยยอมซื้อตั๋วไปนั่งดูคุณเล่นเลย  แต่ใครก็ไม่รู้ ไม่เคยจะเห็นผมในสายตา เอาแต่ใจละที่หนึ่ง  ไม่ได้สนใจคนรอบข้างเลย”

“อย่าดุสิครับ”เคนยิ้มเอาใจ

“ตอนนี้ผมสนคุณที่สุดนะ”เคนพูด ทว่าตาเผลอมองแอร์โอสเตสสาวกลุ่มหนึ่งที่ทิ้งสายตาให้อย่างอดไม่ได้ โดลเชหันไปมองบ้าง

“น่าเชื่อตายล่ะ ให้ตายสิ!” โดลเชว่าแล้วบ่นต่อเป็นภาษาฝรั่งเศสยาวเหยียด

“ไม่เอาน่าผมแค่ล้อเล่น”โดลเชทำหน้าเมื่อย  โดยไม่ทันระวังจะโดนชายร่างสูงชนจนเกือบล้ม ดีที่ชายคนนั้นมีความรับผิดชอบพอที่จะช่วยพยุงโดลเชไว้

“ขอโทษครับ เป็นอะไรหรือเปล่า?” เสียงทุ้มถามด้วยภาษาอังกฤษปนสำเนียงแปล่งๆถามขึ้น โดลเชมองคนช่วยพยุงตนก่อนจะกล่าวขอบคุณไม่เต็มเสียง  รู้สึกผิวหน้าร้อนผ่าวเล็กน้อย จะไม่เขินได้อย่างไร  ชายตรงหน้านี่ใช่หน้าตาขี้ริ้วเสียที่ไหน

“ปล่อยแฟนฉันนะเว้ย เอ็ดมันต์ ไม่เจอนานก็ยังนิสัยเสียเหมือนเดิมนะ”เคนกล่าวเสียงเข้ม ดวงตาสีมรกตนั้นฉายประกายเย็นชา  เอ็ดมันต์ปล่อยมือแต่โดยดี ไม่วายทิ้งสายตากรุ้มกริ่มใส่คนหน้าหวานนัยน์ตาดุ ที่พอปล่อยตัวก็หลบหลังเคนทันที

“ไม่เจอนาน ยังปากคอไม่ค่อยดีเหมือนเดิมนะ แอนนิโมโต มาดูคอนเสิร์ตของพิรุณาหรือ?”

“ใช่ พิรุณาขอให้ช่วยหานักร้องให้”

“ยังโดนเขาใช้เหมือนเดิม”คิ้วเข้มนั้นยกสูงเป็นเชิงถาม เรียกโทสะที่สุมอกเคนให้ยิ่งโหม

“ก็ยังดีกว่าคนถูกลืมนะครับ”เคนยิ้มอย่างมาดร้าย โดลเชเห็นท่าจะไม่ดีจึงต้องพูดแทรกขึ้น

“เอ่อ ...ถ้าพอมีเวลาไปดื่มกาแฟคุยกันก่อนไหมครับ”เคนหันมามองคนพูด คล้ายจะบอกว่า ไม่มีคำพูดที่ดีกว่านี้แล้วหรือ โดลเชได้แต่ยักไหล่

“ต้องขอโทษด้วยครับ พอดีว่าไฟล์ทที่ผมจะบินออนบอร์ดเสียแล้ว  ขอเป็นโอกาสหน้าแล้วกันนะครับคุณ...?”

“โดลเชครับ”

“ชื่อหวานสมตัวเลยนะครับผมเอ็ดมันต์ วิทเนอร์ครับ ยินดีที่ได้รู้จัก แล้วพบกันใหม่นะครับคุณโดลเช ..อ้อ แอนนิโมโตก็ด้วย”เอ็ดมันต์ยิ้มให้เล็กน้อยก่อนจะเดินหายไปกับความจอแจของคนที่พลุกพล่านในที่นี้

“เขาเป็นใครหรือครับ ท่าทางสนิทกันดี”

“ศัตรูตามธรรมชาติของผมน่ะสิ ชอบใจเขาเหมือนกันล่ะสิ”

“เขาก็ดูสุภาพดีนี่ครับ  ทำไมพูดเหมือนแค้นๆอย่างไรชอบกล” เคนทำเสียงขึ้นจมูก ดวงตาชวนมองคู่นั้นฉายประกายน้อยใจ

“เหมือนกันเลย ทั้งคุณทั้งพิรุณา หมอนั่นเป็นแฟนเก่าพิรุณา”เคนพูดแล้วนึกขึ้นได้ว่าไม่ควรเอ่ยถึงพิรุณา โดลเชมักน้อยเนื้อต่ำใจเสมอว่าเป็นคนมาทีหลัง โดลเชชะงัก แล้วหัวเราะออกมาเสียงดัง

“ที่เคืองเขาเพราะอย่างนี้นี่เอง  คุณพิรุณาต้องหัวเราะเยาะแน่ๆ จริงๆผมก็น่าจะมองออกนะว่าทำไมคุณพิรุณาถึงไม่คิดเกินเลยไปกว่าเพื่อนกับคุณทั้งที่คุณออกจะเปิดเผยขนาดนั้น”เคนทำหน้าไม่เข้าใจ มือบางจับดวงหน้าคมสันนั้นไว้

“เพราะคุณเป็นเด็กน้อยน่ะสิ”

“อายุอย่างผมไม่เด็กแล้วมั้งโดลเช?”

“เด็กสิ อย่างที่คุณทำใส่ ‘ศัตรูตามธรรมชาติ’ของคุณนั่นไงเรียกว่าเด็ก  เอาน่า....คุณบอกว่าชอบคนอายุมากกว่า ผมน่าจะถ่วงดุลให้พอดีๆสำหรับคุณได้นะ”โดลเชยิ้มหยอกเย้า

“นั่นสิ  ว่าแต่คุณจะช่วยเอ็นดูผมหรือเปล่าล่ะ?”ดวงตาสีมรกตนั้นส่งสายตาอ้อนๆมาให้อย่างรอคำตอบ โดลเชไม่ตอบเพียงแต่โน้มกายเข้าไปใกล้ แตะริมฝีปากแผ่วเบาลงบนแก้มชายคนที่เป็นที่รักเบาๆ

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง 2/11/2551
«ตอบ #319 เมื่อ02-11-2008 23:22:00 »

คู่นี้ก็น่ารักดีน่ะเนี่ย อิอิ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง 2/11/2551
« ตอบ #319 เมื่อ: 02-11-2008 23:22:00 »





ออฟไลน์ ภาณุเมศพลัง

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 238
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +144/-0
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง 2/11/2551
«ตอบ #320 เมื่อ02-11-2008 23:53:25 »

หมักดองๆ  :laugh:

จิ้มคนบนทะลุถึงเจ้าของประทู้  :jul3:

ขอบคุณสำหรับการเข้าอ่าน เเละคอมเม้นต์นะคะ

ออฟไลน์ วิหคท่องนภา

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 367
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง 2/11/2551
«ตอบ #321 เมื่อ04-11-2008 20:10:38 »

 :m29:เอ่อ.....คือว่าเพิ่งอ่านหน้าแรกค่ะ ถึงตอนที่นายเอกเล่นเปียโนอ่ะ....

เสียงโทรศัพท์ยังไม่ได้ยินเลย.....เล่นดนตรีกันยังไงเหรอคะ  :a6:  :a6:

 o2คิดภาพคนไม่ได้ยินเสียงแล้วเล่นดนตรีไม่ออกจริงๆ  เคยเห็นแต่คนตาบอดเล่นอ่า

 :oหรือเราจะงงไปเองคนเดียวหว่า ถ้าได้ยินเสียงดนตรีก็น่าจะคุยกันรู้เรื่องสิ :m29:

ปล.(กลับมาตอบต่อ) เจ้ย  งงไปเองจริงๆด้วย  เขายังได้ยินอยู่นี่หว่า....โห สุดยอดเลยเนอะ  เล่นดนตรีได้โคดเทพเลย o13 :m4:

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-11-2008 20:19:58 โดย Kirasaki »

ออฟไลน์ sukie_moo

  • ปัจจุบัน คือ อดีตของอนาคต
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3488
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +457/-15
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง 2/11/2551
«ตอบ #322 เมื่อ08-11-2008 14:18:13 »

ในที่สุดก็อ่านทันจนได้

ใกล้จบแล้วใช่ไหมคะ    ยังไงเอามาลงเร็วๆนะคะ  :oni3:

ออฟไลน์ M@nfaNG

  • ชีวิตคือการตรวจสอบ...
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4453
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +847/-18
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง 2/11/2551
«ตอบ #323 เมื่อ12-11-2008 16:24:42 »

ได้ข่าวว่าคนลงน้องโน้ตกำลังยุ่งรับปริญญา ยินดีด้วยนะคะ :L2:


เราก็รอคอยกันต่อไปนิ :impress2:

snowblack

  • บุคคลทั่วไป
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง 3/12/2551
«ตอบ #324 เมื่อ03-12-2008 21:59:00 »

มาแล้วครับ (หลังจากอู้ไปนาน)

มาต่อกันเลยเน๊าะ
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
         

         ธีรธรมองเข็มวินาทีที่กระดิกถี่ๆแล้วถอนหายใจ การประชุมเสร็จสิ้นลงหลังเวลาเลิกงานเล็กน้อย  เขาฟังเลขาสาวรายงานคร่าวๆเกี่ยวกับสิ่งที่ต้องทำพรุ่งนี้ว่ามีนัดหมายอะไรบ้าง โดยไม่ลืมเตือนให้เขาพักผ่อนอย่างเพียงพอ และดูแลสุขภาพตัวเองเสียบ้าง  อย่ามัวแต่ดูแลคนอื่นจนลืมตัวเองแถมแซวส่งท้ายว่า วันนี้ยิ้มหน้าบานเป็นพิเศษ ธีรธรยิ้มรับกว้างขวาง จะไม่ให้หน้าบานได้อย่างไร   ‘บีโธเฟ่นผู้น่ารัก’ ยอมอยู่เฉยๆ กลับบ้านตัวเองถูกเสียที หลังจากเทียวไปเทียวมาทั่วไปหมด เรียกว่าแทบจะทั่วโลกอยู่เกือบสองปี จน ‘ท่านชาย’ ถึงกับทรงตั้งสมญานามให้พิรุณา ว่า ‘นกขมิ้น’ ที่ธีรธรและเพื่อนๆของพิรุณาเอง อย่างเกรซ คุณแม่ลูกหนึ่ง อดีตแม่นกขมิ้นยังช่วยกันลงความเห็นว่า ควรจะเติมคำว่า ตัวใหม่ หรือเบอร์สองเข้าไปด้วย   ธีรธรเปิดประตูห้องทำงานด้วยใจหวังว่า จะมีพิรุณายิ้มหวานๆต้อนรับให้หายเหนื่อย แต่เขาพบเพียงความว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่สัมภาระสักชิ้นให้เห็นว่าพิรุณามาแล้ว

“คุณลีเห็น พิรุณาบ้างไหม?”

“อ้าว ไม่อยู่ข้างในหรือคะ?”ธีรธรส่ายหน้าให้อย่างเอือมๆ

“อาจจะอยู่ข้างล่างก็ได้นะคะ”

       บอสหนุ่มเห็นดีด้วยจึงลงมาตามถึงชั้นล่าง กลิ่นกาแฟ และนมเนยจากมุมกาแฟเล็กๆภายในล๊อบบี้ทำให้บอสหนุ่มนึกขึ้นได้ว่า ท้องหิวแล้วเช่นกัน  ทว่าเสียงดนตรีสดใสนั้นสะดุดหู  แผ่นหลังโปร่งบางในเสื้อเชิ้ตสีขาวกับเส้นผมสีน้ำตาลแดงเคลียไหล่ ทำให้ธีรธรยิ้มบาง  มองผู้บรรเลงบทเพลงระรื่นหูนั้นอย่างแสนรัก  จวบจนเพลงนั้นบรรเลงจนจบ ผู้ชมต่างปรบมือให้  นักดนตรีลุกขึ้นยืน โค้งให้ผู้ชมราวนักแสดงเอก แม้เวทีจะเป็นเพียงยกพื้นเตี้ยๆ ผู้ชมมีอยู่เพียงหยิบมือ ทว่าด้วยหัวจิตหัวใจของคนเป็นนักดนตรีอย่างพิรุณา ต่อให้ไม่มีเวที ไม่มีผู้ชม ทุกครั้งที่เขาได้ถ่ายทอดเสียงดนตรีของเขาล้วนแต่เป็นความสุขทั้งสิ้น

“เหนื่อยไหม?”ธีรธรถามเมื่อพิรุณาลงจากเวที แล้วเดินมาหา

‘ผมต้องถามต่างหากว่าเหนื่อยไหม เห็นว่าประชุมตั้งแต่บ่าย’

‘ไม่หรอก ถึงเหนื่อยก็หายแล้ว’ พิรุณาเม้มปาก แล้วเสมองไปทางอื่น บอสหนุ่มหัวเราะกับกิริยา ‘น่าดู’ ที่นานทีปีหนจะได้เห็นสักครั้ง

‘ไปเถอะ กลับบ้านกัน’ ธีรธรยิ้มเอ็นดูพลางกระชับมืออุ่นๆนั้นที่ก็จับกระชับตอบสนองเช่นกัน


         พิรุณานั่งกับพื้นหน้าเตียงพลางรื้อของในกระเป๋าส่วนตัวออกมากองไว้  ธีรธรมองมือนวลๆที่แบ่งของออกเป็นกองอย่างนึกขำก่อนจะนั่งลงวางคางสากๆวางบนไหล่บาง พลางโอบรอบเอวนั้นไว้ด้วยสองแขน  พิรุณาหันมาเอาหัวโขกเบาๆทีหนึ่ง  นี่ก็อีกที่เป็นเรื่องแปลก คนรักกันคู่อื่นๆ เขาคงไม่เอาหัวโขกกันเป็นการแสดงความรัก แต่พิรุณาทำและที่น่าแปลกใจไปกว่าคือธีรธรกลับชอบการกระทำเล็กๆน้อยๆเหล่านี้  พิรุณายื่นสมุดเล่มหนึ่งให้เขา หน้าปกสีแดงเป็นรูปกบตัวสีเขียวแขนยาวเก้งก้าง บนหัวมีมงกุฎ กำลังยิ้มปากกว้าง ชายหนุ่มทำหน้าสงสัย พิรุณาเพียงแต่ยิ้มรับบางๆ นิ่งรอให้อีกฝ่ายเปิดสมุดดู ภายในมีภาพถ่ายแปะทีละหน้า มีคำบรรยายใต้ภาพเป็นภาษาไทยโย้ไปเย้มา ว่าไปที่ไหนมาบ้าง

“ส่งรายงานหรือ?”ธีรธรถามพิรุณาหัวเราะ

‘หน้ามันเหมือนคุณธีดีออก’พิรุณาชี้ที่ปกสมุด ธีรธรยิ้ม พลางว่าตนไม่ได้ตัวสีเขียวเสียหน่อย

“ไปเที่ยวมาหลายที่เลยนะ ลายมือก็สวยขึ้นเรื่อยๆเสียด้วย ไปเที่ยวไกลๆคิดถึงกันมั่งไหม?” พิรุณายิ้ม มือนวลจับหน้าคมสันไว้ หอมซ้ายขวาแรงๆ

‘หอมสบู่’

‘แต่พิรุณาหอมช๊อคโกแลต กินแล้วแปรงฟันหรือยังเนี่ย’ พิรุณายิ้มเก้อๆ เอนหลังพิงอกแข็งแรง  ธีรธรหัวเราะเบาๆ กางสมุดวางบนหน้าขาเจ้าของผลงาน พลางพลิกดูเรื่อยไป บางภาพเขาเห็นแล้วถึงกับต้องยิ้มตาม

‘ถ่ายสวยขึ้นไหม? อุตส่าห์ตั้งใจเรียนกับคุณธีเลยนะ’ ชายหนุ่มตอบคำถามด้วยการแตะริมฝีปากลงบนขมับคนถาม  นึกขำที่สอนพิรุณาถ่ายรูป เจ้าตัวดูจะจำอะไรไม่ได้มากนัก บางรูปจึงถ่ายมาเห็นแค่ปาก บางรูปก็ขาดๆเกินๆ

“สอนไปไม่เห็นจำได้เลย ลงโทษเสียดีไหมนี่” นิ้วมือแข็งแรงจี้เอว พิรุณาทำท่าจะหนีแต่แล้วก็ถูกมือนั้นคว้ากลับมา

‘ไอ้นี่อะไร?’ ธีรธรถามก่อนจะหยิบถุงพลาสติกใบเล็กๆที่ถูกม้วนไว้เสียเกือบเป็นก้อนกลม มาคลี่ดู ภายในเป็นเศษอุปกรณ์ มือนวลบางเทมันลงบนฝ่ามือ

‘เครื่องช่วยฟัง วันก่อนทำหล่นแล้วถูกเหยียบพัง’

“จะซ่อมได้ไหมเนี่ย สภาพแย่ขนาดนี้ คงต้องซื้อใหม่” พิรุณาส่ายหน้าเบาๆ

‘ไม่ต้องซื้อใหม่หรอกครับ ต่อไปผมคงไม่ต้องใช้แล้ว’ เมื่อเห็นว่าธีรธรมองอย่างสงสัย พิรุณาจึงยิ้มบาง

‘ผมรู้สึกว่า หลายปีมานี้ถึงจะใส่เครื่องช่วยฟังแต่ก็ไม่ได้ยินอะไรอีกแล้ว   คิดว่าคงหนวกสนิทแล้วล่ะครับ’  พิรุณามองรอยยิ้มที่ค่อยๆแห้งเหือดลงเรื่อยๆของธีรธรแล้ว ก็ทำได้เพียงกุมมือใหญ่นั้นไว้  ปล่อยให้วงแขนอบอุ่นนัดกอดรัดแนบอก

‘ผมไม่ได้อยากได้ความสงสาร  แค่อยากเป็นเหมือนๆคนทั่วๆไป….ใช้ชีวิตได้อย่างปรกติ โดยที่ไม่มีใครดูถูก หรือส่งสายตาเวทนา เพราะสิ่งเหล่านั้นทำให้ผมรู้สึกด้อยค่า’

‘พิรุณาทำสำเร็จแล้วนี่ คุณได้แสดงให้เห็นคนทั้งโลกเห็นแล้วว่า การที่ร่างกายไม่ได้ดีพร้อม ปิดกั้นความสามารถของคุณไม่ได้’

‘แต่ไม่ใช่กับคนพิการทุกคน ที่จะโชคดีอย่างผม...ไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็นคนที่ถูกรัก  หรือเป็นผู้มอบความรักได้อย่างเปิดเผย บางคนรังเกียจที่จะมีคนพิการอยู่ในบ้าน หรือเป็นคนรู้จัก เรื่องแบบนี้หลีกเลี่ยงไม่ได้ในสังคม’

‘แต่ผมไม่เคยรังเกียจพิรุณานะ’ พิรุณายิ้ม รับรู้ว่าตนโชคดีถึงเพียงไหนที่ได้รู้จัก ได้รัก คนๆนี้

‘หวังว่าจะมีคนอย่างคุณเยอะๆ  ดีไหม?’

‘คงไม่ดีถ้ามีคนแบบผมเยอะๆแล้วพิรุณารักไปเสียทุกคน’ ทั้งคู่หัวเราะให้แก่กัน ก่อนธีรธรจะได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือของตนส่งเสียงร้องมาจากบนเตียง  แค่เพียงเอื้อมไปคว้ามาก็พูดธุระได้ โดยที่ยังมีพิรุณาอยู่ในอ้อมแขน

         พิรุณาเงยหน้ามองดวงหน้าคมสัน เจ้าของมือแข็งแรงที่เริ่มมาหนุบหนับอยู่แถวคอ เมื่อแตะถูกหู พิรุณารีบเอียงศีรษะหนี  ปากหยักสวยที่พูดโทรศัพท์อยู่นั้นยกยิ้มขัน ทว่าไม่ยอมเลิกรา  จนพิรุณาแก้เผ็ดด้วยการปีนขึ้นไปนั่งบนตัก  เป่าหูอีกข้างที่ไม่ได้แนบโทรศัพท์ให้ธีรธรได้เอียงหลบบ้างมือแข็งแรงนั้นเลิกแกล้ง เปลี่ยนมาปิดหูแทน พิรุณาหัวเราะสะใจ แต่แล้วมือนวลบางนั้นกลับยื้อมือที่ปิดหูออก ก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ สูดหายใจแรงๆ
“ข...ขอบคุณ..ที่ร..รักผม”เสียงพูดที่แหบพร่าและเบาเสียแทบไม่ได้ยินนั้นทำให้ธีรธร นิ่งค้าง ดวงตาสีม่านราตรีนั้นเบิกกว้าง ละล้ำละลักบอกปลายสายว่าแล้วจะโทรกลับ ก่อนจะมองพิรุณาอย่างเหลือเชื่อ!

“เมื่อกี้ พูดหรือ?”

‘ได้ยินด้วยหรือครับ?’ ธีรธรพยักหน้าเร็วๆ พิรุณาดวงหน้าซับสีเลือดจางๆเสสายตามองทางอื่น

“พูดได้ด้วย!!”ธีรธรอุทาน ก่อนจะรู้ตัวว่า ได้พูดอะไรแปลกๆออกไป

‘พูดได้เพราะ หูหนวกหลังจากพูดได้แล้วแต่พูดได้แค่ง่ายๆเท่านั้น  หลังจากนั้นก็ถูกพาไปฝึกออกเสียงบ้าง  เพราะส่วนใหญ่ในกรณีไม่ได้พิการแต่กำเนิด ถ้าหูไม่ได้ยินจะพูดไม่ได้ เพราะไม่ยอมพูด นานวันเข้ากล่องเสียงจะใช้งานไม่ได้ เลยต้องฝึก แต่ผมไม่ได้ฝึกออกเสียงมานานแล้วเหมือนกัน...เลยไม่แน่ใจว่าเสียงยังออกอยู่ไหม’

‘ยังได้ยิน ถึงจะเบามากก็เถอะ’ ธีรธรยังอดอุทานกับตัวเองอีกไม่ได้ นี่เป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่สุดเท่าที่เขาพบว่าตลอดทั้งชีวิต!

‘อยากได้ยินเสียงคุณธี’ ดวงตาคู่สีน้ำตาลแดงนั้น มองมาอย่างยากจะอธิบาย ดวงตาคู่สวยนั้นกำลังอ้อนวอนผสมกับความเศร้าจางๆ เพราะรู้ว่าคำขอนั้นยากนักจะเป็นจริง  ริมฝีปากหยักสวยแตะบนหน้าผากมนเบาๆ มือแข็งแรงกุมมือน้อยไว้วางแนบหัวใจ

“ต่อให้ไม่ได้ยินเสียงนี้ แต่หัวใจนี่จะยังคงส่งเสียงบอกต่อความรู้สึกให้พิรุณาเสมอ ดีไหม?”พิรุณายิ้มรับ ร่างทั้งร่างสั่นเทิ้มด้วยความปิติ น้ำตาหยาดจากหางตาโดยไม่รู้ตัว ยินดีรับสัมผัสอุ่นนุ่มจากริมฝีปากหยักสวยนั้น

ตลอดมาพิรุณาอาจเคยโกรธเคืองต่อโชคชะตาที่ทำให้ไม่อาจเป็นเหมือนคนทั่วไปได้ ทว่าวันนี้ พิรุณารู้ว่าตนช่างโชคดีเพียงไหนที่ได้มีโอกาสได้รับความรักลึกซึ้งจากใครสักคน  ใครคนนั้น คนที่พิรุณาเองก็รักจนหมดทั้งหัวใจเช่นกัน

         ธีรธรยังกึ่งหลับกึ่งตื่น รู้สึกเมื่อยขบไปทั้งตัว ลำคอแห้งผากและเจ็บคออย่างมากท่าทางอาการตั้งท่าจะไม่สบายมาหลายวันวันนี้คงเอาจริงเสียแล้ว  รู้สึกจักกระจี้เพราะมีอะไรมาถูไถแถวจมูก  สัมผัสอุ่นๆไล้ไปตามริมฝีปาก ก่อนจะไล้ไปตามแนวขนตา  ชายหนุ่มลืมตาโพลง เห็นพิรุณาทำตาโตตกใจ  มือแข็งแรงกุมข้อมือนวลบางที่มีรอยแผลเป็นจางๆปรากฏก่อนจะประทับริมฝีปากลงไปแผ่วเบา

‘มือร้อนจัง ไม่สบายหรือเปล่า?’ พิรุณาว่าแล้วยื่นมือไปแตะหน้าผากคนเพิ่งตื่นเทียบกับตัวเอง

“พิรุณาตัวเย็นต่างหาก”

‘ยังไม่ตายตัวจะเย็นได้ยังไง คุณธีนั่นล่ะตัวร้อน วันนี้หยุดสักวันไม่ดีกว่าหรือ?’ธีรธรนอนคิดว่าวันนี้เขาต้องทำอะไรบ้าง
‘ถ้าไม่ยอมหยุดวันนี้ เกิดป่วยหนักต้องหยุดงานหลายวันกว่าเดิมนะ’ ธีรธรมองคนเจ้าเหตุผลแล้วก็ต้องยอมรับ หยุดวันเดียวดีกว่าหยุดหลายวัน ก่อนจะยอมโทรหาเลขาสาว

“คุณลีครับ  วันนี้ผมไม่เข้าออฟฟิซนะครับ”เลขาสาวที่ปลายสาวทำเสียงตกใจ ร้อยวันพันปีบอสหนุ่มไม่เคยขอลางานสักครั้ง สงสัยฝนจะตกเสียละมั้ง

“รู้สึกเหมือนจะไม่สบาย พิรุณาเลยบังคับให้หยุด” เลขาสาวแอบคิดในใจ นั่นไงว่าแล้ว ฝนตกจริงเสียด้วย

“ให้ลีแวะซื้ออะไรเข้าไปให้ไหมคะ?”

“ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณมาก” ธีรธรพูดเรื่องงานอีกเล็กน้อยก่อนจะวางสาย  นึกวางแผนในใจเหมือนกันว่าวันนี้จะได้อยู่กับพิรุณาตามลำพักสักวัน

         ธีรธรแต่งตัวสบายๆ เดินออกมาที่ห้องครัว ได้ยินเสียงรายงานข่าวจากโทรทัศน์และเสียงถ้วยชามกระทบกัน กลิ่นกาแฟหอมกรุ่น และเจ้าหมาที่กระดิกหางตัวสั่นราวกับไม่เจอกันมาสักปีทั้งที่ เจ้าหมาเจอเขามากกว่าเจ้าของมันจริงๆเสียอีก  ที่โต๊ะอาหาร มีอาหารเช้าอย่างง่ายๆรอท่าอยู่แล้ว นอกจากพิรุณาที่ใส่เสื้อเชิ้ตสีส้มสดใสที่ขับให้บรรยากาศในบ้านสดชื่นกว่าทุกวันแล้ว ยังมีแขกที่เจ้าของบ้านจำไม่ได้ว่าเชิญมาเมื่อไหร่  ปองยิ้มกว้าง ส่งภาษามือให้พิรุณาจากมุมหนึ่งของห้องครัว  ก่อนทั้งคู่จะหันมาเห็นธีรธร

“อรุณสวัสดิ์ครับบอส” ธีรธรตอบรับ พลางส่งสายตาให้คนทำไม่รู้ไม่ชี้

“เห็นพิรุณาว่า บอสไม่ค่อยสบาย”

“นิดหน่อยเท่านั้นแหล่ะ  คุณปองก็ดูสดชื่นขึ้นมากนะครับ” จากครั้งสุดท้ายที่เขาได้พบปอง ปองเปลี่ยนไปมาก ดูสดใสขึ้นมากเช่นกัน

“คงเพราะดอกไม้สวยๆจากคุณพิรุณามังครับ ส่งมาให้ทุกอาทิตย์”

‘สวยใช่ไหม? เพิ่งให้เขาลองผสมHybrid ให้ปักแจกันได้นานๆหน่อย อยากให้กุหลาบตัดดอกหอมด้วยทนด้วย’พิรุณาเล่าอย่างร่าเริงในขณะที่ธีรธรคิดในใจ ไม่เห็นได้สักดอกเลย

‘ว่างๆไปเที่ยวไหม?’ พิรุณาถามอย่างตื่นเต้น ปองบุ้ยใบ้ไปทางชายหนุ่มที่นั่งเงียบไม่สนทนาอะไรเลย  มือนวลบางจึงเอื้อมไปกุมมือแข็งแรงนั้นไว้แล้วตบลงเบาๆ

‘คุณธีไม่เหมาะกับกุหลาบหรอกครับ  ขนาดกระบองเพ็ชรในบ้านเลี้ยงไว้ยังตาย’ปองขำออกมา ก่อนจะแสร้งเป็นกระแอมกระไอเพราะรู้ว่าเสียมารยาท.

‘ต้นไหนจำไม่เห็นได้ว่ามี’
‘ต้นในห้องทำงานไง ที่ตั้งไว้ริมหน้าต่าง’พิรุณาว่ามี แต่เจ้าของบ้านว่าไม่มี

‘เห็นมันคอพับคออ่อนอยู่ในกระถาง ไม่เชื่อไปดูด้วยกันเลย’พิรุณาทำท่าจะลากอีกคนไปดูให้เห็นกับตาจริงๆ ปองจึงช่วยไกล่เกลี่ย

“เอาเป็นว่า ทานก่อนแล้วค่อยไปดูไม่ดีกว่าหรือครับ” บอสหนุ่มส่งสายตาขอบคุณปนขำๆให้ปองที่ช่วยห้ามศึกบนโต๊ะอาหารให้แต่เช้าก่อนจะเปิดประเด็นใหม่เมื่อเห็นว่าพิรุณายังฮึดฮัดอยู่เล็กน้อย

“ได้ยินว่าคุณปองทำงานแปลหนังสืออยู่”

“ครับ อ่านไปด้วยแปลหนังสือไปด้วย เพลินดีเหมือนกัน”

‘ได้ข่าวว่า คุณหมอพีทได้ทุนวิจัย’

‘สละสิทธิ์ไปแล้วล่ะครับ  ตอนนี้ไปเป็นแพทย์สนามของUN ครั้งล่าสุดนี่เห็นว่าถูกส่งไปแถวอิรัก’ปองนึกแปลกใจ ตอนนี้เขาสามารถพูดถึงใครคนนั้นได้โดยไม่ลำบากใจ กลับมีความสุขจางๆที่นึกถึงเสียด้วยซ้ำ

‘น่าตื่นเต้นจัง คุณปองไม่ห่วงหรือ?’พิรุณาทำตาโต  ทำเป็นไม่สนใจมือใหญ่ที่สะกิดสะเกา

‘ก็ห่วงครับ แต่เขาก็ติดต่อมาเป็นระยะ’

“เอายามั่ง ไม่สบาย ตัวร้อน ปวดหัว” ปองมองคนตัวโตส่งสายตาอ่อนอ้อนแล้วนึกขำ ธีรธรเป็นชายหนุ่มที่เกือบถอยไปเป็นเด็กหนุ่มช่างอ้อนเมื่ออยู่กับพิรุณา ไม่มีเค้าของธีรธรที่เป็นบอสหนุ่มไฟแรงในเวลางานหลงเหลือ

‘อายคุณปองไหมเนี่ย บ้านใครน่าจะรู้นะว่ายาอยู่ไหน’เจอแบบนี่ บอสหนุ่มเลยยอมถอย หลบไปให้ยาให้น้ำตัวเองแต่โดยดี

‘คุณพิรุณาใจร้ายนะครับเนี่ย  จริงๆแล้วอายก็บอกมาดีกว่า’

‘เปล่าสักหน่อย’ ปองหัวเราะขันกับท่าทีทำเฉย แต่หน้าเนียนแดงซ่าน

‘ว่าแต่คุณปองเถอะ สดใสขึ้นมากเลยนะครับ มีเรื่องอะไรดีๆหรือเปล่า’ ปองรีบส่ายหน้า

‘อาจเพราะคิดได้ว่า ถึงจะทำตัวทะมึนอย่างไรก็ไม่ได้ประโยชน์มังครับ เลยดูแลตัวเองเสียหน่อย’ พิรุณาพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย ก่อนจะเปลี่ยนท่าทีเป็นจริงจัง

‘คุณปองผมมีเรื่องไหว้วาน’ปองนิ่งรออย่างตั้งใจ

‘ผมอยากเรียนต่อน่ะครับ ยื่นหนังสือแล้ว ทางมหาวิทยาลัยอยากให้ผมมีผู้ช่วยมาเรียนด้วยอีกคน เพราะผมจัดว่าเป็นนักศึกษาพิเศษ’ปองพยักหน้าเข้าใจความหมายนั้น

‘เรียนเกี่ยวกับกฎหมายต้องเก่งภาษามากๆ ผมเกรงว่าจะช่วยอะไรคุณพิรุณาได้ไม่มาก’

‘คิดมากจัง  เอาน่า เราเรียนไปด้วยกันไง’ เมื่อเห็นพิรุณายิ้มให้อย่างอ่อนโยน ปองจึงตอบรับด้วยความเต็มใจ

‘ก็ได้ครับ  แต่ได้ปรึกษาบอสแล้วหรือยังครับ?’

‘คุณธีมีเรื่องให้คิดเยอะแล้ว เอาไว้เรียบร้อยก่อนแล้วบอกทีเดียวดีกว่า’ปองพอเดาได้ว่าเมื่อบอกแล้วต้อง ‘บ้านแทบแตก’แน่ๆที่ไม่ยอมบอกแต่เนิ่นๆ  แต่เชื่อเถอะ ร้อยทั้งร้อย คุณพิรุณาต้องชนะ



         บ่ายคล้อยหลังส่งปองกลับบ้านแล้ว พิรุณาจัดการข้าวของของตัวเองให้เข้าที่ อาบน้ำเจ้าหมาให้สะอาดเอี่ยมแล้ว เห็นบ้านเงียบๆ แอบย่องๆไปแง้มประตูดู เห็นธีรธรทำงานในห้องทำงาน บนโต๊ะตัวใหญ่นอกจากเอกสารแล้ว ยังมีกระบองเพ็ชรกระถางเล็กที่อาการร่อแร่เลื่อนมาวางบนโต๊ะด้วย  ทีแรกพิรุณาว่าจะเข้าไปเตือนให้พัก แต่พอคิดถึงตัวเองแล้วว่าตนเองก็ไม่ต่างจากคุณธีนัก ต่อให้ไม่สบาย แต่คนเคยทำงาน ขอแค่ทำนิดทำหน่อยแล้วค่อยพักก็ยังดี จึงได้แต่ปล่อยให้ทำงานเงียบๆ โดยไม่ลืมแปะโน้ตไว้ที่หน้าประตู ถึงเวลาทานยา  ก่อนจะหลบออกไปอยู่บ้านตัวเอง  เปียโนสีดำสนิทยังคงสะอาดเอี่ยมภายใต้ผ้าคลุมผ้าสักราดสีแดงเลือดห้อยระบายเล็กๆจนรอบ  นิ้วเรียวแตะไล้ไปบนฝาเปียโนตัวนั้น แผ่วเบา ก่อนจะยกฝาขึ้น  พิรุณารู้ ว่าถึงอย่างไร ทุกอย่างก็ไม่มีทางกลับไปเหมือนเดิม  เขาอาจไม่ได้ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของอาชีพอีกต่อไป แต่หัวใจเขายังคงรักในเสียงดนตรี เสียงที่ไม่อาจได้ยินด้วยหู กลับสัมผัสชัดเจนด้วยหัวใจ

         นิ้วเรียวกดลงบนแป้นคีย์อย่างแม่นยำเป็นท่วงทำนองของเพลงแจ๊สคุ้นหู  แม้จะขาดสีสันจากเครื่องดนตรีอื่นๆ ทว่ายังคงรักษาความนุ่มละมุนของเพลงแจ๊สไว้ได้อย่างเหนียวแน่น ช่วงเวลาในการพักฟื้นที่ยาวนาน ไม่ได้ทำให้ฝีมือพิรุณาตาลงแม้แต่น้อย  พิรุณายิ้มที่มุมปากเมื่อเห็นใครย่องๆเข้ามานั่งซ้อนหลัง   ความอบอุ่นจากอกนั้นแผ่นซ่านและโอบล้อมร่างโปร่งบางนั้นไว้ราวกับจะหลอมละลายหัวใจนั้นจนผสานเป็นดวงเดียว นิ้วมือแข็งแรงชี้นิ้วชี้ออกมานิ้วเดียวทำท่าจะกดลงบนคีย์เลยโดนมือนวลบางตีเข้าให้โดยที่เสียงดนตรีไม่ได้ขาดหายหรือสะดุดลงเลยแม้แต่น้อย ธีรธรบ่นงึมงำว่าใจร้ายพลางหัวเราะร่า ก่อนจะเงี่ยหูฟังท้วงทำนองละมุนหวานที่คุ้นหู แล้วเริ่มครวญเพลงคลอตามเบาๆ

People
You can never change the way they feet
Better let them do just what they will
For they will
If you let them
Steal your heart from you
People
Will always make a lover feel a fool
But you knew i loved you
We could have shown them all
We should have seen love through

Fooled me with the tears in your eyes
Covered me with kisses and ties
So goodbye
But please don't take my heart

GEORGE MICHAEL lyrics - Kissing A Fool


         ท่วงทำนองอ่อนหวานลอยหายไปกับอากาศแล้ว ทว่าความอ่อนหวานในหัวใจยังคงอยู่ มือแข็งแรงที่มีไว้สำหรับกอบกุมมือนวลบางนี้เชยคางพิรุณาใหเบือนหน้ามา ดวงตาสีม่านราตรีอ่อนแสงลงจ้องมองลึกลงไปในดวงตาสีน้ำตาลแดงที่เขาหลงใหลหนักหนา เขาหลงรักดวงตาคู่นี้ในยามที่มันสะท้อนเงาร่างของเขาในดวงตาคู่นั้น  หลงรักดวงตาคู่นี้ที่ยอมเผยความรู้สึกทั้งสุขเศร้าให้เขาร่วมแบ่งปันและช่วยแบกรับ และดวงตาคู่นี้เองที่เป็นกุญแจดอกสำคัญที่ไขพันธนาการหัวใจให้เขาอยากทุ่มเทใกล้ชิดใครสักคนด้วยทั้งหมดของชีวิต

ธีรธรเชื่อว่าผลของการรอคอยอย่างอดทนงดงามเสมอ  และหากความรักของพิรุณาเป็นเพียงเพลงINTERMEZZOที่บรรเลงคั่นฉากในอุปรากรณ์ใหญ่ อย่างมหรสพชีวิต  เขาหวังว่าบทเพลงนั้นจะบรรเลงเนิ่นนาน แม้จังหวะจะไม่ได้เร่งเร้าให้เริงร้อน ทว่าหวานล้ำ ประณีตและ ละเมียดละไมกว่าเพลงไหนๆทั้งหมดทั้งสิ้น สุดท้าย เขายินดีจะนิ่งฟังเพลงนั้นแม้ว่าเสียงของมันจะเบาบางสักเพียงไหน  เขาจะเงี่ยหูฟังทุกถ้อยทำนองหวานเหล่านั้น และซึมซับไว้ด้วยทั้งหมดของหัวใจ.
.
.
.
.
จบตอน 19 แล้วครับ :L2:

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง 3/12/2551
«ตอบ #325 เมื่อ03-12-2008 23:53:05 »

เย้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆได้เจอ พิรุณาแล้ว อิอิ

แถมตอนเนี่ย แฮปปปี้สุดๆ เป็นปลื้มมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมน่ะเนี่ย อิอิ

ออฟไลน์ M@nfaNG

  • ชีวิตคือการตรวจสอบ...
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4453
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +847/-18
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง 3/12/2551
«ตอบ #326 เมื่อ04-12-2008 19:27:42 »

อ่านแล้วอบอุ่นจังเลยตอนนี้ :o8:
อยากให้เป็นแบบนี้ตลอดไป :L1:

ออฟไลน์ sukie_moo

  • ปัจจุบัน คือ อดีตของอนาคต
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3488
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +457/-15
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง 3/12/2551
«ตอบ #327 เมื่อ13-12-2008 12:29:15 »

 :L2: :L2: :L2:

ในที่สุดก็ได้อ่านต่อแล้ว

คุณธีน่ารักจัง

snowblack

  • บุคคลทั่วไป
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง จบบริบูรณ์
«ตอบ #328 เมื่อ14-12-2008 23:11:04 »

อยากจะบอกเพื่อนๆว่าตอนต่อไปนี้เป็นตอนจบแล้วนะครับ


ขอบคุณทุกคนที่แวะเข้ามาอ่านนิยายของน้องเมศนะครับ

เป็นปีเหมือนกันนะครับกว่าเรื่องนี้จะจบได้(คนเขียนเก่งมากน้อง)

แล้วไปอ่านบทส่งท้ายกันเลยครับ
.
.
.
.
.
.

บทส่งท้าย


         พิรุณาเอียงศีรษะพลางเพ่งสายตาผ่านกรอบแว่นอ่านตัวอักษรตามความเอียงของหน้ากระดาษที่ถูกยกขึ้นจนตั้งฉาก พลางจิบกาแฟจากถ้วยในมืออย่างไม่รู้ตัวก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าดื่มผิดถ้วย แล้วส่งต่อให้ชายหนุ่มดวงหน้าคมสันที่เอียงศีรษะอ่านตัวอักษรที่เอียงตามหน้ากระดาษเช่นกัน  มือแข็งแรงจับมือนวลให้ถือหูถ้วยกาแฟไว้ ขณะที่ตนดื่มอึกใหญ่  ก่อนจะพยักหน้าโดยที่สรุปไม่ได้ว่ากาแฟอร่อยหรือไม่ พลางอ่านบทสัมภาษณ์ นักเปียโนชื่อดัง ดังขนาดไหนล่ะ? ...นั่งอยู่ข้างๆกันนี่ล่ะ

เมศ : จากอัลบัมชุดนี้ รู้สึกว่าเป็นเพลงแจ๊ส ฟังดูอ่อนหวาน รื่นเริง มีอะไรเป็นแรงบันดาลใจหรือเปล่า?
พิรุณา: จริงๆแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่หันมาจับเพลงแจ๊สแบบเต็มตัวกับเขาบ้างนะครับเลย อยากนำเสนอแง่มุมที่สนุกสนาน เพราะผมว่า เพลงแจ๊สมันสนุกสนานให้อารมณ์รื่นเริงจึงทำเพลงแนวที่ฟังสบายๆ ที่ทุกคนจะได้หยิบมาฟังได้สบายหู

เมศ : แล้วคิดว่าระหว่างแนวเพลงคลาสสิคกับแจ๊สนี่ อย่างไหนที่รู้สึกเป็นพิเศษ
พิรุณา : คลาสสิคกับแจ๊ส ให้ความรู้สึกที่ไม่เหมือนกันครับ แนวคลาสสิคผมรู้สึกพิเศษตรงที่มันรักษาความสง่างาม ความยิ่งใหญ่ของบทเพลงนั่นที่ส่งต่อผ่านเวลามาเป็นร้อยๆปี จะว่ารู้สึกพิเศษในแง่ของความเคารพก็ได้ครับ ส่วนเพลงแจ๊สนี่ ผมคิดว่ามันพิเศษตรงที่ให้อิสระกับนักดนตรีดีนะครับ นักดนตรีจะได้โชว์ทักษะ ความสามารถ ความคิดสร้างสรรค์และอีกหลายๆอย่างออกมาได้อย่างเต็มที่

เมศ : ทราบว่านอกจากจะเป็นนักดนตรีแล้วยังเป็นเจ้าของไร่กุหลาบด้วย กิจการเป็นยังไงบ้าง?
พิรุณา : ไร่กุหลาบนี่ผมหุ้นกับเพื่อน ช่วยกันคิด ค่อยประคับประคองกิจการเล็กๆให้โต เหมือนปลูกต้นไม้สักต้นเลยครับ วันนี้นำมาฝากด้วย เป็นกุหลาบก้านยาว ไม่รู้ว่าชอบสีไหน เอาเป็นว่าเอาไปทั้งสองสีเลยแล้วกันนะครับ
 
เมศ: นอกจากการเป็นนักดนตรี นักธุรกิจ แล้ว ยังคาดหวังอะไรอีกไหม?
พิรุณา : เรียนจบโทครับ ช้าหน่อยก็ไม่เป็นไร

เมศ : ขอทราบเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวนิดหนึ่ง ถามตรงๆเลย มีคนรักหรือยัง?
พิรุณา : มีแล้วครับ (ตอบแบบไม่ลังเลเลย)

เมศ: เป็นคนแบบไหนคะ คิดว่าอะไรทำให้รู้สึกชอบ
พิรุณา: จริงๆก็หน้าตาธรรมดาๆ แต่ว่าดูสง่า มีความเป็นผู้ใหญ่ดี เป็นที่ปรึกษาที่ดี

เมศ: คุณพิรุณาน่ารักขนาดนี้  ‘คนนั้น’ ขี้หึงหรือเปล่า?
พิรุณา: จะว่าหึงคงไม่ใช่ เอาเป็นว่าหวงกับห่วงดีกว่าครับ ว่าแต่คนนั้นนี่คนไหนครับ

         ธีรธรมองเจ้าของบทสัมภาษณ์ ที่กำลังหน้านิ่วคิ้วขมวดกับตัวอักษรอ่านยากตรงหน้า ที่เงยหน้ามาส่งสายตาขอความช่วยเหลือ ริมฝีปากหยักสวยยิ้มรับจางๆอย่างเอ็นดู ก่อนชะโงกหน้าไปใกล้...แทบเอาจมูกฝังแก้ม พิรุณาชี้ที่คำเจ้าปัญหาก่อนจะจ้องมองอย่างรอความหวัง ธีรธรอ่านพาดหัวบทสัมภาษณ์นักธุรกิจหนุ่มสุดฮอต ก็ไม่ใช่คนไกลตัวอีกนั่นล่ะ เห็นหน้าตัวเองยิ้มบาดใจอยู่ในหน้ากระดาษ หล่อขนาดนี้พิรุณายังว่าหน้าตาธรรมดาเสียอีก ธีรธรอยากจะหัวเราะออกมาดังๆ แต่เดี๋ยวเป็นเรื่อง จะงานเข้ามิใช่น้อย

‘คำไหน? คำนี้หรือ?’ พิรุณาพยักหน้า

‘อ่านว่า เศรษฐกิจ’ มือใหญ่จับมือนวลบางแบออกแล้วใช้นิ้วเขียนเป็นคำอ่านให้

‘เจอตัวแปลกๆแล้วอ่านไม่ค่อยออกทุกที’

‘อ่านไม่ออกหรือไม่ยอมอ่าน’พิรุณาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้  ดูนาฬิกา

‘อ๊ะ สายแล้ว ไปเรียนก่อนนะครับ’ร่างโปร่งบางกระโดดแทบจะพุ่งตัวออกจากโซฟา แต่ก็ไม่ทันแขนแข็งแรงที่คว้าเอวไว้ทัน

‘ไปด้วย วันนี้ว่าง’ธีรธรยิ้มเจ้าเล่ห์ แต่พิรุณายิ้มเหย

‘คุณลีโทรมาบอกว่ามีงานด่วนไม่ใช่หรอครับ’พิรุณายังพยายาม ทั้งที่รู้ว่าไม่ได้ผล

“มุสา”

‘แปลว่าอะไร’

‘ภาษาพระ ท่านว่าโกหก’

‘หกแล้วทำยังไง เอาผ้ามาเช็ด’ธีรธรกึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง จะขำก็คงใช่หรอก

‘ตลกมาก มุขใหม่ประจำปีนี้หรือไง  แค่ไปเรียนด้วยจะกลัวอะไรนัก’

‘ก็คุณธีทำหน้าดุ เพื่อนๆก็ไม่อยากเข้าใกล้ผมน่ะสิ ครั้งที่แล้วเพื่อนๆนึกว่าผมเอาเจ้าหนี้มาเรียนด้วย’  หลังจากพิรุณามาบอกเรื่องเรียนต่อ ก็ ‘บ้านแทบแตก’ อย่างที่ปองคิดไว้ แต่พิรุณายังยืนยัน และชนะด้วยประโยคเดียว ว่า

‘คุณธีจะเก็บผมไว้ในบ้านเฉยๆ ผมจะเหี่ยวเหมือนกระบองเพ็ชรต้นนั้นแหล่ะ แล้วสุดท้ายก็ผอมซีด แล้วก็ตายไปเลย’ แล้วพอยอมปล่อยให้ไปเรียน ‘สาย’ ก็รายงานอยู่เนืองๆว่า เพื่อนใหม่แต่ละคนหูตาแพรวพราวดูแล้วไม่น่าไว้ใจ สบโอกาสธีรธรเลยมาเป็นผู้ช่วยคอยเฝ้าระวังเสียเอง ผลคือ พิรุณาบ่นไปเป็นอาทิตย์ว่าเพื่อนๆไม่กล้าคุยด้วย

‘เจ้าหนี้ก็เจ้าหนี้’ ธีรธรว่าพลางหยิบกระเป๋าโน้ตบุ๊คมาถือไว้พร้อมกับเสื้อนอกทั้งของตัวเองและพิรุณา พิรุณาทำตาวาว

‘ยืมเงินมาซื้อขนมหน่อยเดียว ทำอย่างกับเป็นหนี้ทั้งชีวิต’พิรุณาทำท่าจะบ่นต่อว่า เงินก็คืนแล้ว แต่มือแข็งแรงนั้นรวบมือนวลบางทั้งสองข้างไว้  พิรุณาเงยหน้าจะทำตาดุใส่เสียหน่อย กลายเป็นว่า ส่ง ‘มุมถนัด’ให้บอสหนุ่มเสียแล้ว ริมฝีปากหยักสวยประทับลงบนกลีบปากบาง  มอบจุมพิตอ่อนหวานทว่ารุ่มร้อนจนแทบหลอมละลาย  ดวงตาสีม่านราตรีพราวระยับ 

“เป็นหนี้สิ เป็นหนี้หัวใจ อยากให้เป็นไปตลอดชีวิตเลย”  ธีรธรหัวเราะ และยิ่งหัวเราะดังขึ้นอีกเมื่อพิรุณาลนลานออกไปนอกบ้านจนเกือบเดินชนประตู

         น่าแปลกที่พวกเขาแทบไม่เคยส่งภาษาบอกรักกัน จะทำอย่างนั้นไปทำไมเล่า..ในเมื่อ ดวงตาเมื่อยามมองสบกัน มันบอกทุกถ้อยคำรักออกมาโดยไม่ปิดบัง จะมีถ้อยคำจากภาษาใดบอกรักได้ลึกซึ้งเท่าแววตาคู่นั้น ที่ทอดมองอย่างอาทร และจงรักอย่างเต็มหัวใจ


END



ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง จบบริบูรณ์
«ตอบ #329 เมื่อ14-12-2008 23:34:26 »

อ้ายยยยยยยยยยยยยยยยยยย จบแล้วเหรอ

ประทับใจสุดๆ เลยขอบคุณมากเลยน่ะคับ

หวังว่าจะได้อ่านนิยายดีแบบนี้ อีกน่ะค้าบบบบบบบบบบบบบบบบบบ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด