ไปป์มันบิดมอเตอร์ไซด์ในตำนานจนข้อมือขึ้นเอ็น ผมเข้าใจนะ ว่ามันอยากช่วยผม แต่ไอ้ความเร็วระดับจักรยานนี่ มันโหดร้ายเกินไปสำหรับจิตใจที่ว้าวุ่นของผม เราใช้เวลานานพอควรกว่าจะประคับประคองกันมาถึงคณะนี้ได้ บอกตรง ๆ นะ ผมไม่อยากมาเหยียบที่นี่อีกเลย ตั้งแต่อ้วกกระจายเมื่อวาน ช่างเป็นวีรกรรมที่ทุเรศสิ้นดี
ผมกับมันรีบวิ่งเข้าไปใต้ตึกทันทีที่จอดรถเสร็จ ผมล้วงมือถือเพื่อจะโทรหาเนียร์ แต่ไม่ทันได้กดปุ่มอะไร เพราะตอนนี้มันมีจุดสนใจอยู่ที่เดียวซะแล้วสิ แล้วน้องชายผมก็อยู่ตรงกลางวงเสียด้วย
“เนียร์!” ผมตะโกนเรียก ไอ้เด็กหัวเกรียนในชุดนักเรียนหันมาฉีกยิ้มให้หน้าตาเฉย เฮียรู้ว่ามึงชอบมีเรื่องต่อยตี แต่นี่มันน่ากลัวเกินไปนะโว้ย! ทุกสายตาเลยเปลี่ยนจุดโฟกัสมาที่ผมแทน แต่เวลาแบบนี้ผมต้องปกป้องน้องชายก่อน “อย่ามายุ่งกับน้องกูนะเว่ย!”
“เฮียมึงนี่เท่ดีนะ” หนึ่งในไอ้พวกนั้นเอ่ยแซว
“กูอยากได้พี่ชายแบบนี้มั่งว่ะ ฮ่า ๆ ๆ ๆ”
ผมเกลียดไอ้พวกพูดล้อเลียนแบบนี่ที่สุด! คิดว่าถ่อยมาแกล้งเด็กแล้วเท่ใช่มั้ย คิดแล้วก็เลือดขึ้นหน้า ผมเดินเอาไหล่เตี้ย ๆ ชนพวกมันที่ตีวงล้อมจนเข้าไปอยู่ด้านในกับเนียร์ ส่วนไปป์ที่วิ่งตามมายังทำหน้ามึนงงเหมือนทำอะไรไม่ถูก ส่วนผมน่ะฟิวส์ขาดไปแล้ว เลือดในกายเดือดพล่านเสียจนร้อนไปทั้งตัว
“มึงมาทำอะไรที่คณะคนอื่นเขาวะเนี่ย!?” ผมหมดความอดทนจนเผลอตะคอกใส่มัน
“ผมมาเคลียร์เรื่องเฮียนั่นแหละ”
“เคลียร์เหี้ยอะไรจะโดนยำตีนอยู่รอมร่อแล้ว” ผมตะโกน “แล้วพวกมึงจะมุงกันหาพ่อมึงเหรอ!? งานการไม่มีทำรึไง มารุมแกล้งเด็กเนี่ย”
ไม่ไหวแล้วนะ...
“เฮีย...”
“ไปสิวะ ไอ้สัตว์ มองหน้าหาพ่อมึงเหรอ!?”
เมื่อสิ้นประโยคฝูงชนที่รายล้อมอยู่ก็แตกฮือกระจายกันไปคนละทิศละทาง และนั่นทำให้ผมได้เห็นบางอย่างที่มองข้ามไป... ไอ้คิน ไอ้กัน ไอ้โจ้ ที่กำลังอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง และถัดมาก็คือ ไอ้อาร์ท ที่กำลังนั่งลูบรอยช้ำตรงมุมปาก หรือว่า...
“แฮะ ๆ ผมเลือดร้อนไปหน่อยน่ะเฮีย โอ๊ย!” มันร้องเพราะถูกผมตบหัวเข้าไปเต็มแรง
“ทำไมมึงต้องทำแบบนี้วะ?”
“กะ... ก็ผมเป็นห่วงเฮีย”
“เลยมาซัดหน้าคนอื่นเล่นงั้นสิ? ม้าไม่ได้แบ่งสมองให้มึงตอนเกิดรึไงเนียร์”
ตอนนี้ไอ้กลุ่มที่นั่งกันหน้าสลอนอ้าปากค้างหนักกว่าเดิม ไอ้ไปป์รีบวิ่งมาช่วยกล่อมเราก่อนที่จะเกิดศึกสายเลือด “สองศรีพี่น้องใจเย็นกันก่อน อย่าเพิ่งตีกัน”
“อ้าว พี่ไปป์ หวัดดีครับ” ไอ้เนียร์ยกมือไหว้ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นั่นยิ่งทำให้ผมเดือดกว่าเดิม ผมไม่ชอบเวลามันทำตัวกุ๊ยแบบนี้... แล้วยิ่งมาลงมือกับ...
“ผมไม่เป็นไรครับ เราคุยกันรู้เรื่องแล้วใช่มั้ยครับ... น้องแฟน?” ไอ้อาร์ทที่นั่งอยู่บนพื้นส่งยิ้มเย็น ๆ มาให้ ผมคิดว่าเนียร์ต้องกระโจนต่อยปากมันซ้ำแน่ ๆ หลังได้ยิน...
“เออ! อย่าพูดเยอะ เฮียอาร์ท เดี๋ยวปากบวมกว่าเดิมหรอก”
เชี่ย... ผมอึ้ง... ช็อกจนไม่รู้ว่าในสถานการณ์แบบนี้ควรจะพูดอะไรออกมาดี ก็ไอ้เนียร์มันถ่อมาเพื่อต่อยไอ้อาร์ทนี่ แล้วมัน... มันไปญาติดีกันตอนไหนวะ
“เนียร์! มึงอธิบายกับเฮียมาเดี๋ยวนี้”
“เฮียไปถามกับเฮียอาร์ทเองเหอะ ผมถือว่าเราทำข้อตกลงกันแล้ว เจอกันที่บ้านนะเฮีย... ผมโดดอาจารย์ปิงวันนี้ไม่ได้ เดี๋ยวสาวที่นั่งข้าง ๆ จะคิดถึง”
“เดี๋ยวก่อนสิ กลับมาอธิบายให้รู้เรื่องก่อนนะเว่ย! เนียร์! เนียร์!”
สิ่งที่เหลืออยู่มีเพียงแผ่นหลังของน้องชายที่ค่อย ๆ ไกลออกไปเท่านั้น เนียร์มันขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซด์เพื่อนก่อนจะบิดออกไปไม่ยอมปริปากพูดอะไรทั้งนั้น... ผมยังคงมองค้างอยู่อย่างนั้นจนมันหายไปลับตา และตอนนี้สิ่งที่หลงเหลือคือ สายตาหลายคู่ที่กำลังทิ่มแทงผมอยู่เบื้องหลัง
“ฟาร์พันธุ์ดุ!” ไอ้โจ้พูด
“หัวใจกูจะวาย” ตามมาด้วยคู่หู ไอ้กัน
“มึงเท่นะเนี่ย ฟาร์” จากผัวไอ้ไปป์
“กูไม่เห็นมึงระเบิดมานานแล้ว ตั้งแต่งานกลุ่มตอนปีหนึ่ง พลังทำลายล้างแม่งรุนแรงเหมือนเคย” ไปป์ว่าพลางปรบมือให้ กูไม่ภูมิใจหรอกนะ...
ผมหันไปมองไอ้ผู้ชายคนเดิมที่ยังมีรอยยิ้มเย็น ๆ อยู่บนใบหน้า อาร์ทหัวเราะเบา ๆ กับท่าทีของผม “น่ารักดีนะครับ”
ประสาทแล้ว!! มองยังไงว่ามันน่ารักวะ!! ผม...ผม...โธ่เว้ย! ทำอะไรไม่ถูกทุกทีเวลาอยู่ต่อหน้ามัน แต่ตอนนี้ผมมีเรื่องต้องคุยกับมันให้รู้เรื่องก่อนซะแล้ว “อาร์ท... กูมีเรื่องต้องคุยกับมึง”
ขอโทษว่ะ ไปป์ กูรู้ว่ามึงอยากเสือก... ไปถามไอ้คินทีหลังแล้วกันนะ
อาร์ทพยักหน้ารับ มันบอกว่าจะพาผมไปเอารถที่คณะเอง ถึงจะมีสายตาว้าวอนอยากสอดรู้จากไอ้ไปป์ แต่ผมก็ยังคงหันหลังให้มันอย่างเลือดเย็น แล้วเดินตามไอ้อาร์ทไปยังรถบีเอ็มดับเบิ้ลยู ซีรี่ส์ 3 ซีดาน สีดำมันวาวของมัน... ทุกครั้งที่เห็นรถเท่ ๆ แบบนี้ ผมก็อดอิจฉาไม่ได้ทุกที เฮ้ย! นี่มันไม่ใช่เวลามาสนใจรถซะหน่อย
ผมรีบเข้าไปทิ้งตัวนั่งในรถแล้วถาม “บอกมาได้รึยัง ว่าเกิดอะไรขึ้น”
“ใจเย็น ๆ สิครับ มีเวลาให้คุยกันอีกเยอะเลยล่ะ”
“อาร์ท... กูกำลังเครียดนะ”
“อย่าเครียดสิครับ มันไม่มีอะไรแย่เลยนะ” มันว่าพลางค่อย ๆ ถอยรถออกมา
“ตะ... แต่มึงโดนน้องกูต่อย”
“แค่ฟาร์เป็นห่วง ผมก็หายเจ็บแล้วล่ะครับ” มันยิ้มบาง ๆ ให้ผม ก่อนจะกดเร่งแอร์... ผมคงขนลุกเพราะแอร์เย็นสินะ... ใช่ ต้องใช่แน่ ๆ “น้องเขาบุกเข้ามาไล่ถามคนในคณะ ว่าผมอยู่ที่ไหน แล้วก็บังเอิญว่า เราคุยกันไม่ค่อยถูกคอกันน่ะครับ ผมเลยโดนเข้าไปนิดหน่อย”
“คนอย่างมึงไม่น่าโดนต่อยได้เลย” ผมพูดไปตามที่คิด นี่มันผิดวิสัยไอ้อาร์ทที่มีวิชาแกร่งกล้ามากเลยนะ...
พอได้ยินแบบนั้นมันกลับหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะตอบอย่างไม่ใส่ใจ “ผมจะโดนต่อย ต่อเมื่อผมอยากโดนต่อยครับ”
ทำไมผมรู้สึกเสียวสันหลังวาบวะ เป็นประโยคธรรมดาที่ไม่ธรรมดาจริง ๆ
“ขอโทษแทนเนียร์มันด้วย มันก้าวร้าวแบบนี้ทุกที แต่ครั้งนี้กูว่ามันมากไป”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ เขาแค่เป็นห่วงฟาร์มาก”
“กูไม่ใช่เด็ก ๆ ที่ต้องให้น้องชายมาคอยปกป้องนะ! กูก็ยืนด้วยขาของตัวเองได้ ทำไมมันไม่เข้าใจวะ!?”
รู้สึกแย่... ผมไม่น่าตะโกนระบายอารมณ์ใส่คนอื่นแบบนี้เลย อาร์ทมันไม่ได้ทำอะไรผิดเสียหน่อย มันต่างหากที่ต้องมาเจ็บตัวเพราะเรื่องไร้สาระของผม คิดได้แบบนั้นผมก็เบือนหน้าออกไปมองนอกหน้าต่าง อีกไม่นานก็ถึงคณะผมแล้วสินะ ผมต้องรีบพูดก่อนที่มันจะค้างคาใจ
“ขอโทษนะ...”
“เขาบอกผมว่า หมัดนี้แทนคำสัญญา” มันพูดสวนขึ้นมา “สัญญาว่าผมจะไม่ทำให้พี่ชายเขาเสียใจ ถ้าผมทำให้ฟาร์ร้องไห้ ผมจะโดนเพื่อนเขารุมกระทืบด้วย”
“กูไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น!”
“ผมรู้...” มันยิ้ม “ความเข้มแข็งเป็นสิ่งที่ดีครับ แต่การได้รับความห่วงใยจากคนอื่น ก็ไม่ได้ถือว่าเราอ่อนแอเสียหน่อยนี่ครับ”
“.......”
“อีกอย่าง เพื่อนในคณะผมเขาไม่ได้รุมหาเรื่องเนียร์หรอกครับ เขากำลังชวนเข้าแก๊งต่างหาก คณะผมเป็นพวกชอบผู้ชายที่มีลูกบ้าแบบนี้แหละ ฮะ ๆ ๆ”
“บ้าเอ๊ย...” ผมสบถ “มึงยังไม่ได้บอกเลย ว่าคุยอะไรกับมันบ้าง”
“เขาก็แค่ฝากฝังพี่ชายปนข่มขู่น่ะครับ... รถฟาร์คันด้านในใช่มั้ยครับ?”
“ไม่ใช่ มึงขับเลยมาแล้ว คันเมื่อกี้ต่างหาก”
“ว้า... แย่จังนะครับ”
“อย่ามานอกเรื่องนะ อาร์ท! กูอยากรู้รายละเอียด... เฮ้ย! ไอ้ซิตี้คันนั้นมันถอยออกอะไรของมันน่ะ แม่งเอ๊ย! จะชนลูกกูแล้ว!”
ผมนั่งไม่ติดเมื่อเห็นการถอยรถของมือใหม่ ที่ตูดรถมันกำลังไหลเข้าไปใกล้ลูกรักของผมเรื่อย ๆ ผมลนลานปลดเข็มขัดนิรภัย พร้อมจะกระโดดออกจากรถเพื่อไปหยุดมัน แต่จากระยะทางตอนนี้มันไม่ทันแล้ว ผมได้แต่หลับตาปี๋...
โครมมมมมมมม
เสียงเหล็กบดเข้าหากันจนผมไม่กล้าลืมตาขึ้น... ไม่จริง! ลูกรักที่อุตส่าห์เฝ้าทะนุถนอมมาหลายปี ดันมาถูกไอ้หน้าโง่ถอยมาชนแบบนี้มัน... ผมกระชากประตูรถเปิดออก แล้วเดินเข้าไปหาคนขับหน้าโง่ทันที แต่ภาพที่เห็นตรงหน้าทำเอาพูดอะไรไม่ออก
รถฮอนด้าแจ๊สลูกรักของผมยังคงจอดแน่นิ่ง ปลอดภัย ไร้รอยขีดข่วนใด ๆ ตรงกันข้ามกับบีเอ็มคันงามที่ผมโดยสารมา ที่ตอนนี้ตูดยับบุบเข้าไปนิดนึงเพราะถูกไอ้รถนั่นชน... ไม่สิ... เพราะไอ้อาร์ทถอยมาบังรถผมต่างหาก
มันเอาบีเอ็มมาบังฮอนด้า... ไอ้ควาย!
“ว้า... แย่จังเลยนะครับ เท้าผมคงกระตุกไปเหยียบผิดที่น่ะครับ” ไอ้คู่กรณีหน้าโง่ที่เปิดประตุรถออกมายังยืนเอ๋อไม่เลิก อย่าถามถึงใบขับขี่เลย ผมว่าถามหาบัตรผู้มีอาการทางจิตน่าจะเจอง่ายกว่านะ ขอโทษครับ... พอเป็นเรื่องรถผมเลยเดือดเป็นพิเศษ
“อ่า... ผะ... ผม...” มันคงไม่กล้าพูดสินะ ว่าตัวเองก็ผิด ที่ไอ้อาร์ทถอยไปชนมันแล้วผิดก็จริงอยู่ แต่ถ้าอาร์ทไม่ถอย ป่านนี้มันสอยรถผมไปแล้วนะ... มึง...
“รอประกันผมมาแล้วกันครับ” ไอ้อาร์ทพูดนิ่ง ๆ แต่ผมกลับเป็นฝ่ายที่เดือดดาลแทน มันคว้าแขนผมไว้ “อย่าอารมณ์เสียเลยครับฟาร์ น้องหนูดีบอกผมว่า ความโกรธเป็นตัวบั่นทอนพลังชีวิตนะครับ”
“แต่... มัน...”
“ไม่เป็นไรครับ รถผมประกันชั้นหนึ่ง”
อื้อหือ... ประโยคอวดรวยแบบพระเอกนี่มันอะไรกัน? เหมือนรังสีความเย็นจากตัวมันแผ่มาทำให้อารมณ์ร้อน ๆ ของผมสงบลงได้ วันนี้ผมเดือดมาหลายเรื่องแล้ว... ไม่แปลกใจว่าทำไมตาขวากระตุกทั้งวัน...
พวกผมเปิดประตูรถค้างไว้แล้วนั่งกันเงียบ ๆ โดยไม่ปริปากอะไร ผมมีเรื่องให้คิดมากมายวนเวียนอยู่ในหัว แม้ในตอนที่พนักงานจากบริษัทประกันภัยมา ผมก็ยังหยุดคิดไม่ได้เลย...
ผมรู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอ... ทำไมทุกคนต้องพยายามปกป้องผมมากขนาดนั้นด้วยนะ แม้แต่ไอ้อาร์ทก็เหมือนกัน ทั้ง ๆ ที่บีเอ็มมันก็หลักล้าน แต่กลับยอมเอามาบังรถกระจอก ๆ อย่างลูกผม... แบบนี้มันน่าเจ็บใจมั้ยล่ะ
เรื่องนี้ยังคงวนเวียนอยู่ในหัว แม้ว่าตอนนี้ผมจะกลายเป็นสารถีแล้วก็ตาม ผมต้องขับรถไปส่งอาร์ทที่บ้านเพราะรถมันส่งศูนย์ซ่อมอยู่ ลูกรักของผมที่ผมภูมิใจนักหนากลับไม่ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาเลยสักนิด
“อาร์ท... มึงไม่ต้องทำเพื่อกูขนาดนั้นเลย” ผมเป็นคนเปิดบทสนทนาที่แสนจะน่าอึดอัดนี้ แม้แต่แอร์เย็น ๆ ยังไม่ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นเลยสักนิด “ถึงกูจะหวงรถกูมาก... แต่มึงก็หัดห่วงรถตัวเองบ้างสิวะ”
“ผิดด้วยเหรอครับ?”
“ผิดสิวะ”
“ที่ผมห่วงฟาร์มากกว่ารถตัวเองน่ะ...”
ผมนิ่งชะงักไปพร้อมกับสมองที่ว่างเปล่า... น่าแปลกมากที่เรื่องราวบ้าบอเหล่านั้นมันกลับสลายไปหมดด้วยคำพูดเลี่ยน ๆ พรรค์นั้น... ผมได้แต่ก้มหน้าลงซ่อนแก้มที่เริ่มร้อนผ่าวของตัวเอง
“บางทีกูก็คิดนะ... ว่ากูเป็นคนที่ไม่มีความกล้าเอาซะเลย”
“อย่างนั้นเหรอครับ”
“ดูอย่างเนียร์มันสิ อยากทำอะไรมันก็ทำ ถึงขนาดบุกมาหาเรื่องมึงถึงคณะ มันยังกล้าเลย” ผมค่อย ๆ แตะเบรกเพื่อชะลอรถ เมื่อเห็นสัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเหลือง “กูอยากเป็นแบบนั้นบ้าง อยากทำอะไรก็ทำ อยากพูดอะไรก็พูด... เมื่อไหร่กูจะมีความกล้าวะ?”
“นี่ก็กล้าแล้วไง...” ผมขมวดคิ้ว “กล้าเปิดใจให้ผม”
ผมตกใจเล็กน้อยที่มืออุ่น ๆ นั่นช้อนที่คางให้เงยหน้าขึ้น อาร์ทจ้องเข้ามาในตาผม น่าแปลก... ผมรู้สึกว่าแววตาที่เคยเลื่อนลอยของมันกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายในตอนนี้
“ผมจะจูบ... นะครับ” ถ้าผมถามว่า ’ถามทำไม’ มันก็คงจะตอบกลับมาแบบเจ็บแสบว่า ‘ที่บ้านผมสอนมาดี’ สินะ คิดแล้วผมก็หลุดขำออกมา และไม่น่าเชื่อว่า... ผมจะพยักหน้าแทนคำตอบอย่างไม่ทันได้คิดด้วยซ้ำไป
ริมฝีปากของเราสัมผัสกัน ในขณะเดียวกับที่ 120 วินาทีของไฟแดงเริ่มนับถอยหลัง นี่เป็นจูบแรกของผม... ทำเอารู้สึกวูบโหวงในใจไปหมด ผมตื่นเต้นเสียจนสัมผัสได้ถึงหัวใจที่สูบฉีดเลือดแรงขึ้นเรื่อย ๆ ความรู้สึกนี้มัน... ราวกับลอยเคว้งอยู่กลางอากาศ... อ่อนโยน... และอบอุ่นอย่างที่สุด ผมหลับตาลงช้า ๆ ค่อย ๆ ตอบรับสัมผัสที่ติดปลายลิ้นนั่นเบา ๆ อย่างเผลอไผล...
และแล้วสัมผัสนั้นก็สิ้นสุดลง... เมื่อไฟแดงนับถอยหลังมาถึงเลข 0
"เจ็บปากแต่ก็คุ้มนะครับ..."
เรายิ้มให้กันกับจูบแรกในเวลา 120 วินาทีนี้... ใครบอกว่าอาร์ทมันน่ากลัวกันล่ะ ใครจะเคยเห็นแววตาอบอุ่นที่มันมอบให้ผมบ้างล่ะ
บางทีผมอาจไม่ต้องการคนสติดี ๆ แต่เป็นมัน... คนที่เห็นค่าของผมที่สุดก็ได้
อ่า... นี่เป็นครั้งแรกที่ผมไม่ชอบไฟเขียวเอาซะเลย
TBC
ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า //หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง//
ข้าขอตั้งชื่อท่านี้ว่า "จูบติดไฟแดง" แต่จะ "ติดใจ" รึเปล่าอันนี้ก็ไม่รู้นะ //เรียกลูกกรอกมา 'ฮิ้ววววววววววววววววววววววววว'//
อย่างที่เคยบอกนะจ๊ะว่าน้องฟาร์ไม่ได้เป็นซึนเดเระแบบที่หลายๆคนเข้าใจ(แต่ไปป์มันเป็นนะ555) ขอย้ำอีกครั้งว่าฟาร์เป็นยันเดเระต่างหาก
คนเขียนขออธิบายให้เห็นภาพ//หยิบแว่นขึ้นมาสวม// เพราะยังมีหลายๆคนเข้าใจผิดว่าสองอย่างนี้มันแตกต่างกันอย่างไร
ซึนเดเระ คือ คนประเภทแข็งนอกอ่อนใน ที่สำคัญคือปากไม่ตรงกับใจ รักนะแต่ไม่แสดงออก(โปรดร้องใส่ทำนองแบบเกิร์ลลี่ เบอร์รี่ )
ยันเดเระ คือ คนประเภทอ่อนนอกแข็งใน นึกถึงตัวละครประเภทหน้าตาแบ๊วๆ แต่ในใจเอามีดเชือดคออีกฝ่ายเลือดกระฉูดมาติดหน้า และจะสั่งสมในใจรอวันระเบิดออกมา
จากที่กล่าวมานี้ บวกกับเหตุการณ์เกรียนแตกในคณะถาปัต จึงของสรุปว่าฟาร์เป็นยันเดเระนะคะ ฟันธง!!
นอกจากตอนนี้จะโชว์การระเบิดพลังคอสโม่ของฟาร์แล้ว ยังโชว์ความเป็นผู้ชายอบอุ่นของคุณอาร์ทด้วยนะคะ ใครว่าคุณอาร์ทเป็นผู้ชายเยือกแข็ง น้องฟาร์ขอเถียงนะ (แต่คนเขียนไม่เถียง เพราะคิดว่ามันเยือกแข็งจริงๆ....)
ตอนหน้าเราจะกลับมาพบกับพ่อพระเอกของคนเขียนอีกครั้ง อย่างที่บอกว่าเรื่องนี้ใกล้จบเต็มที่แล้วค่ะ ใครที่บ่นว่ามันยาวๆ ยืดเรื่องก็ทนเอานะคะ อีกนิดๆ อย่าเพิ่งทิ้งกันไปไหนนะคะ//กอดดดดดดดด//
ปล.คุยกับผู้จัดการขำๆว่าไอ้คนขับซิตี้นั่นชะตาขาดอย่างแรง แทนที่ชนฮอนด้าแจ๊ส พี่ล่อบีเอ็มเลย แต่จะซวยกว่านี้ถ้ามันชนไอ้เน่า เพราะไม่มีประกัน แถมเจ้าของมันทั้งสองยังพร้อมจะกระทืบไม่ให้ได้ผุดได้เกิดอีกต่างหาก ฮ่าๆๆๆ
ปล.น้องเนียร์ของคนเขียน ห้ามแย่งค่ะ!!