@@รักเกิดในอู่ซ่อมรถ (บารมี&พิพัฒน์) ตอน ความห่วงใย
พิพัฒน์ไม่รู้ว่าบารมีทำแบบนี้เพื่ออะไร นี่หัวคนไม่ใช่ที่วางของ ทำไมถึงได้สรรหาของมาวางบนหัวอยู่ได้
.....ปากกาอยู่บนหัวของพิพัฒน์ และพิพัฒน์ก็หยิบปากกาออกจากหัว
.....หมอนอิง อยู่บนหัวของพิพัฒน์และพิพัฒน์ก็หยิบหมอนอิงออก
.....ลูกอมหนึ่งเม็ดอยู่บนหัว และพิพัฒน์ก็ดึงลูกอมออก
.......กระเป๋าสตางค์ของบารมีอยู่บนหัว และพิพัฒน์ก็หยิบกระเป๋าสตางค์ของบารมีออก........
บารมีสรรหาสิ่งของหลายอย่างมาวางไว้บนหัวของพิพัฒน์ และพิพัฒน์ก็หยิบทุกอย่างวางทิ้งไว้บนโต๊ะ
สุดท้ายไม่มีอะไรจะเอามาวางแล้ว บารมีก็เลย วางมือของตัวเองไว้บนหัวของพิพัฒน์ และพิพัฒน์ก็ดึงมือของบารมีออก
ไม่พูด ไม่โมโห ไม่ทำหน้าบึ้ง ตั้งหน้าตั้งตาทำบัญชีของตัวเองต่อไปโดยไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมามองและเป็นบารมีที่เดินไปล็อคคอของพิพัฒน์และวางปลายคางเกยไว้บนหัวของพิพัฒน์แทน
แต่พิพัฒน์ก็ยังคงเฉย
บารมีก็เลยใช้คางถูไปมาที่กลางกระหม่อมของพิพัฒน์เบา ๆ
“เจ็บบบบบบบ”
บอกให้รู้ว่าเจ็บที่โดนแกล้งและบารมีก็หัวเราะออกมาเสียงเบา
“อ้าว นี่คนหรอกเหรอ กูนึกว่าขอนไม้ ว่าจะเอาไปตั้งไว้ข้างนอกให้หมามันเยี่ยวรดซะแล้ว”
แล้วพิพัฒน์ก็เลยผลักคนที่ล็อคคอเอาไว้ให้ออกห่าง บารมียอมปล่อย และมานั่งอมยิ้มมองหน้าของพิพัฒน์อยู่ฝั่งตรงข้าม
“วันนี้กูว่าจะสั่งผัดกระเพราเนื้อกระต่าย ต้มยำเนื้อกระต่าย กระต่ายผัดน้ำมันหอย แล้วก็กระต่ายต้มแซ่บ”
พิพัฒน์วางปากกาลง และเงยหน้ามองคนที่แกล้งพูดบางอย่างใส่
“ทอดมันกระต่ายก็เข้าท่านะพัฒน์เดี๋ยวจะโทรสั่งเลย”
ไม่เข้าท่าเลย ทำไมต้องพูดแบบนี้ด้วย
“ผมไม่กินเนื้อกระต่าย พี่บัสจะกินจริง ๆ ก็สั่งมาเลยผมมีข้าวต้มกับผักกาดดองแล้ว”
นี่มันยิ่งกว่างอนอีกนี่หว่า เมื่อไหร่มึงจะหัดด่าหรือหัดโมโหใส่คนที่ทำไม่ดีกับมึงบ้างวะพัฒน์ มึงพูดแบบนี้ กูไปไม่เป็นเลย
“ที่มึงตื่นมาทำอะไรก๊อก ๆ แก๊ก ๆ ในครัวแต่เช้ามึงตื่นมาต้มข้าวต้มเหรอพัฒน์”
ใช่
พิพัฒน์พยักหน้า และยังคงสนใจกับงานของตัวเอง
“เป็นอะไรกินข้าวต้ม”
ก็ไม่ได้จะห่วงใยหรอกนะ แต่อยู่ดี ๆ พิพัฒน์ลุกขึ้นมาทำข้าวต้มกินตั้งแต่เช้ามันแปลก
“ไม่ค่อยดี เหมือนจะไม่สบาย”
พิพัฒน์ตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบและบารมีก็ยกหลังมือขึ้นทาบที่หน้าผากของตัวเองและอีกมือก็แตะไปที่หน้าผากของพิพัฒน์
“ใกล้ตายยังวะ”
เป็นการพูดแสดงความห่วงใยที่ไม่ว่าใครก็คงไม่อยากฟัง ไม่รู้ว่าบารมีไปสรรหาคำพูดที่ทำร้ายจิตใจคนฟังขนาดนี้มาจากไหน ถ้าคนฟังเป็นคนอื่น ได้ฟังคำพูดแบบนี้คงกัดลิ้นฆ่าตัวตาย แต่โชคดีที่เป็นพิพัฒน์ที่ไม่ถือสาหาความอะไรกับคำพูดแย่ๆ ของบารมี
“อือ”
การตอบมาด้วยน้ำเสียงเรียบสนิทไร้อารมณ์ความรู้สึกของพิพัฒน์มันทำให้บารมีถึงกับนิ่งอึ้ง
“กูล้อเล่นนิดเดียวทำเป็นไม่พอใจต้องให้เป็นไอ้เต๋อมาเล่นหรือไงถึงจะเล่นได้ พูดนิดพูดหน่อยทำเป็นโมโห”
เปล่าเลย ไม่ได้โมโห ไม่ได้รู้สึกอะไร แค่บางครั้งก็รู้สึก
“น้อยใจ” ที่บารมีไม่เคยคิดจะ “ใส่ใจ” แค่นั้น
“พัฒน์ เดี๋ยวมึงอยู่เฝ้าออฟฟิศนะ ตีบิลค่ากระจังหน้ารถมาด้วย ลูกค้าจะมาเอารถตอนบ่ายสอง กูจะออกไปข้างนอกมีอะไรก็โทรเข้าเครื่องแล้วกัน”
พิพัฒน์พยักหน้ารับ และบารมีก็ลุกขึ้นยืน ก่อนเปิดประตูออกไปบารมีก็หันมาสั่งอะไรบางอย่าง
“วันนี้มึงกลับเองนะ กูไปธุระต่อ ดึก ๆ คงกลับ จะพาพวกประมูลไปเลี้ยงหน่อย”
คำว่าพาไปเลี้ยง พิพัฒน์พอรู้ความหมายลาง ๆ
พยักหน้ารับ สิ่งที่บารมีบอกและหันกลับมาเขียนบิลตามที่บารมีสั่ง
พาพวกประมูลไปเลี้ยง วิธีการเลี้ยงมีหลายอย่าง เลี้ยงอาหาร เลี้ยงเหล้ายา แถมผู้หญิง
.......พิพัฒน์เข้าใจ.....
แต่พักนี้ไม่รู้เป็นอะไร พอได้ยินว่าบารมีจะพาใครไปเลี้ยงมันก็อดรู้สึกใจหายขึ้นมาไม่ได้
แต่นั่นมันก็เรื่องส่วนตัว
บารมีจะทำอะไรก็ได้ตามที่อยากจะทำ เพราะที่จริง แล้ว ไม่ว่าบารมีจะทำอะไรมันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพิพัฒน์เลย
+++++++++++++++++++++
ไฟในออฟฟิศยังเปิดอยู่
และบารมีที่กลับมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อจะไปงานเลี้ยง ก็ต้องผลักประตูเข้ามาดู
พิพัฒน์หลับอยู่และบารมีไม่รู้ว่าดึกดื่นป่านนี้ทำไมพิพัฒน์ยังไม่กลับ
“ไอ้พัฒน์”
เรียกคนที่แนบใบหน้าอยู่บนหมอนอิง และพิพัฒน์ก็หรี่ตาขึ้นมองและพยายามขยับกายลุกขึ้นนั่ง
สภาพคนเพิ่งตื่น ไม่มีอะไรน่ามอง ผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้ายับย่น และบารมีก็สังเกตเห็นได้ถึงกิริยาอาการของพิพัฒน์ที่ผิดแปลกไปจากปกติ รีบแตะหลังมือไปที่หน้าผากของพิพัฒน์เพื่อจะได้แน่ใจ แล้วก็เป็นไปอย่างที่คิดจริงๆ
“ไข้แดกแล้วพัฒน์มึงอ่ะ”
สังเกตอาการมาตั้งแต่บ่าย แต่ไม่นึกว่าพิพัฒน์จะเป็นหนักถึงขนาดนี้
“กินยาหรือยัง”
ยาเหรอ
พิพัฒน์พยักหน้ารับ และบารมีก็หยิบแฟ้มที่พิพัฒน์ทำงานค้างไว้ไปเก็บไว้บนชั้นวางเอกสาร
“ไหวมั้ย”
พิพัฒน์พยักหน้ารับ แต่เมื่อลุกขึ้นก็เซจนบารมีต้องดึงแขนเอาไว้
“ไม่ไหวแล้วมั้ง แย่นะเนี่ยหนักเลยนะมึงพัฒน์ ตัวร้อนเลย ไปคลินิกกัน”
บารมีประคองคนป่วยให้เดินมาขึ้นรถและจัดการคาดเข็มขัดนิรภัยให้พิพัฒน์เรียบร้อย
“จะอ้วก”
ขึ้นมาได้ไม่ทันไรพิพัฒน์ก็รีบปลดเข็มขัดนิรภัยออกและกระโดดลงจากรถมายืนโก่งคออาเจียน
ปวดหัว
ขมปากขมคอ
เวียนหัวและเหมือนโลกหมุนตลอดเวลา
“พัฒน์มึงหายใจเข้าลึก ๆ นะพัฒน์ ไหวมั้ย พัฒน์”
บารมีลูบหลังให้คนที่กำลังโก่งคออาเจียนด้วยความเป็นห่วง และ พิพัฒน์ก็เงยหน้าขึ้นเพื่อสูดอายใจลึกๆ ตามที่บารมีบอก
กว่าจะพาพิพัฒน์ไปหาหมอได้ก็ทุลักทุเลพอดู
หมอบอกว่าเป็นไข้หวัดธรรมดา อาจเกิดจากอาการเครียดและพักผ่อนไม่เพียงพอร่วมด้วย
มียาสำหรับกินสองสามอย่างอยู่ในถุงและบารมีก็จัดการสิ่งที่ต้องทำจนเสร็จเรียบร้อย
“เดี๋ยวรีบกลับนะพัฒน์ ไม่อยู่ดึกหรอก มึงอยู่ได้ป่าว มีอะไรโทรมานะพัฒน์”
พิพัฒน์พยักหน้ารับ แต่บารมีรู้สึกพะว้าพะวงไม่กล้าทิ้งคนป่วยให้อยู่คนเดียว
“มึงมีอะไรมึงโทรนะพัฒน์ ไม่ไหวมึงรีบโทรมาเลยนะ”
บอกซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลายครั้ง และพิพัฒน์ก็พยักหน้ารับทั้งที่ยังหลับตา และบารมีก็ต้องจำใจทิ้งพิพัฒน์ให้อยู่คนเดียว เพราะต้องรีบไปจัดการธุระของตัวเอง
เรื่องงานก็เรื่องใหญ่
เรื่องพิพัฒน์ไม่สบายก็เรื่องสำคัญ
ก่อนออกจากบ้านบารมียังแวะขึ้นมาเปิดประตูห้องนอนของพิพัฒน์เพื่อดูอาการคนป่วยอีกครั้งและก็เห็นพิพัฒน์หลับไปแล้วเพราะฤทธิ์ยา
“ไม่น่าเป็นไรหรอกมั้ง”
บารมีบอกตัวเองแบบนั้น
และเมื่อไปถึงงานเลี้ยง บารมีพยายามยิ้มแย้มแจ่มใส่กับลูกค้าเต็มที่
ทั้งที่ในใจ กลับไปหาพิพัฒน์แล้วตั้งแต่ก้าวขาเข้างาน
TBC.