ผลประโยชน์ทับซ้อน
BY: Dezair
………….
ตอนพิเศษ เมา
ในปีหนึ่งๆ มีวันฤกษ์ดีมากมาย แต่จะมีอยู่วันหนึ่งที่โหรทุกสำนักฟันธงว่านี่คือวันที่ฤกษ์ดีที่สุดในรอบปี หากคิดจะจัดงานบุญ งานกุศล จะซื้อบ้าน ออกรถ เปิดร้าน ออกบวช ลาสึก หมั้นเช้า แต่งเย็น กิจกรรมใดๆที่อยากจะพึ่งอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มองไม่เห็น ก็ควรจะลงมือในวันนี้!
ผลคืองานใดๆก็ล้วนมาลงที่ ‘วันฤกษ์ดีที่สุดในรอบปี’ เจ้าภาพก็ปวดหัวเพราะแย่งตัวแขกกันจ้าละหวั่น แขกก็ปวดหัวเพราะแบ่งร่างไปทุกงานไม่ได้ ต้องเลือกงานอยากไปที่สุด สำคัญสุด สนิทกับเจ้าภาพที่สุด
แต่...แขกบางคนไม่ได้อยากไปสักงาน แต่กลับมีงานสำคัญหลายงาน แถมสนิทกับเจ้าภาพทุกงาน ไม่ไปไม่ได้เลยสักงาน!!
“เฮียจะเปิดร้านวันเสาร์สิ้นเดือนนี้?!” เจตน์ ตั้งกาญจนพาณิชย์หันไปร้องถามญาติผู้พี่ที่นั่งกินขนมอยู่ใกล้ๆ
ชายหนุ่มหน้าตี๋พิมพ์เดียวกันนามว่า ชเยนตร์ ตั้งกาญจนพาณิชย์ พยักหน้าหงึกหงัก
“ใช่แล้ว เสาร์สิ้นเดือนนี้เลย!” ดอกเตอร์หนุ่มอนาคตไกลแถมยังไฟแรงแปลบปลาบ กลับมาเมืองไทยได้ไม่นานก็ซื้อแฟรนไชน์จากต่างประเทศมาลงทุนทำตลาดในแผ่นดินมาตุภูมิทันที!
แล้วเปิดร้านทั้งที จะแกรนด์โอเพนนิ่งอย่างเงียบๆ ชเยนตร์ก็บอกว่า ‘คุณยายไม่ยอม’ เลยต้องจัดงานเปิดร้านอย่างอลังการ อลังไม่พอ จำเพาะเจาะจงต้องเปิดกิจการในวันมหาฤกษ์ให้ได้ด้วย!
“ทำไมเฮียรีบเปิดจังวะ”
“รีบเปิดอะไร ทุกอย่างพร้อม ก็ต้องเปิดสิ แล้วเสาร์สิ้นเดือนนี้ฤกษ์ดีสุดด้วยนะ”
เรื่องนั้นเจตน์รู้ เพราะเสาร์สิ้นเดือนนี้ รุ่นพี่ของเขาคนหนึ่งก็จัดงานแต่ง และเขารับนัดไปแล้ว
“วันนั้นผมต้องไปงานแต่ง” เขาหันไปพูดกับญาติผู้พี่
“แต่งเย็นไม่ใช่เหรอ เฮียเปิดร้านตอนเช้า เก้าโมงเก้านาที เวลาดี คุณยายดูฤกษ์มาให้แล้ว” ชเยนตร์ตอบพร้อมรอยยิ้ม แต่เจตน์ไม่ยิ้มไปด้วยแม้แต่นิด แถมยังหน้านิ่วคิ้วขมวด เม้มปากแน่น
...ถูก! ต่อให้งานแต่งมีทั้งวัน แต่เขาก็รับปากว่าจะไปแค่ตอนเย็น ส่วนก่อนหน้านั้นน่ะหรือ?...
...เขาก็ต้องอยู่กับไอ้ปกน่ะสิ!! วันไหนฤกษ์ดีเขาไม่รู้หรอก ที่รู้คือวันเสาร์เป็นวันของเขากับคนรักต่างหาก!!...
แต่...ขืนพูดเรื่องนี้ออกไป เกิดชเยนตร์เอาไปฟ้องอาม่า อาม่าจะมองปกฉัตรไม่ดีไปด้วย เพราะงั้น ถึงเหตุผลนี้จะสำคัญแค่ไหนก็พูดไม่ได้เด็ดขาด!!
เจตน์นิ่งคิดอยู่อึดใจหนึ่ง แล้วก็นึกเหตุผลดีๆออก
“เฮ้ย! แต่วันนั้นวันเกิดโซ้ยเจ็กไม่ใช่เหรอเฮีย ถ้าเปิดร้านวันนั้น แล้ววันเกิดเจ็กเอาไง”
ทั้งๆที่คิดว่าชเยนตร์จะต้องเพิ่งนึกขึ้นได้เหมือนกัน แต่รายนั้นกลับยิ้มกว้างกว่าเดิม แถมโบกมือไปมา
“ไม่ต้องห่วง! เฮียคุยแล้ว เฮียเปิดร้านตอนเช้า แล้วไปกินเลี้ยงกันที่โรงแรม เจ็กก็เลยจะจัดปาร์ตี้ต่อที่โรงแรมเลย”
...ไม่ได้ห่วงเฮีย แต่ห่วงว่าจะไม่ได้อยู่กับไอ้ปกต่างหากล่ะเฮีย!!...
เจตน์ขยี้ผมอย่างหงุดหงิด
...แม่งเอ๊ย! วันฤกษ์ดีเชี่ยไร กูยุ่งฉิบหายขนาดนี้!...
...เช้าต้องไปงานเฮียชุน กลางวันไปงานวันเกิดเจ็ก เย็นไปงานแต่งรุ่นพี่ แล้วเวลาไหนให้กูได้อยู่กับไอ้ปก?!!!...
“เฮียเปิดร้านวันอื่นไม่ได้รึไง?!” คนที่รู้ตัวว่าจะต้องวิ่งรอกหลายงานเริ่มพาล แต่ชเยนตร์ไม่ถือสาหน้าตาบูดบึ้งของญาติผู้น้องคนนี้ เพราะรู้เช่นเห็นชาติกันมาแต่เด็ก
“ไม่ได้ คุณยายให้ซินแสดูให้แล้ว บอกว่าวันนี้ฤกษ์ดีสุด”
“ยายของเฮียเป็นคนไทยไม่ใช่เหรอ เชื่ออะไรกับซินแสวะ” เจตน์พาลไปถึง ‘คุณยาย’ ของชเยนตร์
เจ้าของกิจการที่จะจัดงานแกรนด์โอเพนนิ่งตามฤกษ์ของซินแสถึงกับหัวเราะ
“ก็คนไทยนั่นแหละ แต่อะไรที่ทำแล้วได้ประโยชน์ คุณยายไม่ถือ” ชเยนตร์ไม่ได้คิดจะนินทา แต่เรื่องของ ‘คุณยาย’ ที่ชื่อ กอบกุล วงศ์กีรติ นี้ใครๆก็รู้นิสัยใจคอแกดี สิ่งใดที่เรียกว่าผลประโยชน์ ต่อให้วันนี้ไม่เห็นเป็นรูปเป็นร่าง แต่ถ้าวันหน้าดูทรงแล้วว่าจะได้ แกกวาดเรียบหมด
“...แล้วอีกอย่าง วันนั้นก็วันเกิดโซ้ยเจ็ก ตอนเช้าเปิดร้านของเฮีย ตอนบ่ายกินเลี้ยงวันเกิดต่อ จองโรงแรมทีเดียว ได้ถึงสองงานไง!” ชเยนตร์ยังคงพรรณนาถึงความดีงามของการจัด 2 งานในวันเดียวกัน ในขณะที่เจตน์ต้องพ่นลมหายใจ พยายามข่มอารมณ์ตามประสา ‘คนโตๆแล้ว’ แล้วลองเจรจาอีกหน
“แต่ตอนเย็น ผมต้องไปงานแต่งรุ่นพี่ที่รู้จักอีกนะเฮีย”
“ก็ไปสิ งานเลี้ยงวันเกิดเจ็ก เลิกไม่เย็นอยู่แล้ว”
ชเยนตร์ไม่มีเปลี่ยนใจสักนิด ญาติผู้น้องเลยข่มอารมณ์แบบ ‘คนโตๆแล้ว’ ไม่ไหว
“ผมหมายถึงว่าทั้งวันจะไม่ได้อยู่กับเมียผมต่างหาก!”
คราวนี้ญาติผู้พี่หัวเราะอย่างคนไม่คิดมาก แถมแนะนำเหมือนเป็นเรื่องง่าย
“จะยากอะไร ก็พามางานด้วยสิ”
เจตน์ได้ยินแล้วก็ถึงกับชะงัก เหมือนเห็นแสงสว่างวาบที่ปลายอุโมงค์
...เออ! จริงว่ะ! ในเมื่ออยู่กันเงียบๆสองต่อสองไม่ได้ ก็พามันตะลุยไปด้วยกัน 3 งานซะเลย!...
“แต่ผมว่าไม่ดี”
ทว่า แสงสว่างปลายอุโมงค์ก็ดับพรึ่บ เมื่อญาติผู้พี่อีกคนที่ชื่อเจียระไนแย้งขึ้นมา
ตี๋ตาเรียวพิมพ์เดียวกันที่นั่งร่วมวงแบบเงียบๆเพราะเอาแต่กดโทรศัพท์ยิกๆมาตั้งแต่ต้น ยอมวางมือจากโทรศัพท์แล้วหันมาจ้องเจตน์
“มึงจะพาเมี...เอ่อ...แฟนตะลอนๆไปทั่วยังงั้นได้ไง ไม่กลัวเหนื่อยเหรอ”
คนถูกถามกะพริบตาปริบๆ เพราะร้อยวันพันปี ไม่เคยเห็น ‘เฮียโจ๊ก’ ห่วงใยใคร คราวนี้ทำไมกลัวคนรักของเขาเหนื่อย?
ทว่า...ปกฉัตรในสายตาของเจตน์ ถึงจะผอมแห้ง แรงน้อย แต่ก็ไม่ได้อ่อนแอต้องให้เขามานั่งกังวลเรื่องความเหน็ดเหนื่อยสักนิด
“ไม่กลัวอ่ะเฮีย ไอ้ปกไม่ได้เหนื่อยง่ายขนาดนั้น”
เจียระไนนิ่งไปอึดใจหนึ่ง แต่ยังไม่ละความพยายาม
“แล้วมึงไปงานเฮียชุน มึงก็ต้องช่วยรับแขก แฟนมึงจะไปอยู่ตรงไหน”
“ก็อยู่ข้างผม ช่วยผมรับแขก”
เจียระไนนิ่งไปอีกรอบ แต่...จะหยุดไม่ได้...
...แฟนกูไม่อยู่ให้พามาด้วย แล้วมึงจะพาแฟนมึงมาอี๋อ๋อตำตากูได้ยังไง!!...
“มึงคิดให้ดีนะไอ้เจ๋ง งานเลี้ยงวันเกิดเจ็ก มีแต่คนในครอบครัว...”
“ไอ้ปกก็คนในครอบครัว!” คราวนี้เจตน์เถียงไว จิกตาใส่ด้วย
“กูไม่ได้บอกว่าแฟนมึงไม่ใช่คนในครอบครัว แต่กูกลัวแฟนมึงจะเขินต่างหาก!”
“ไอ้ปกไม่ใช่คนขี้อายหรอก”
คราวนี้เจียระไนเริ่มคิดไม่ออกว่าจะขัดแข้งขัดขาญาติผู้น้องอย่างไรดี
อ้างเรื่องปกฉัตรจะเหนื่อยก็แล้ว อ้างเรื่องที่เจตน์ต้องช่วยงานก็แล้ว อ้างเรื่องปกฉัตรจะเขินคนรอบข้างก็แล้ว แต่ไม่รู้เจตน์เอานิสัยดื้อด้านมาจากใคร! ถึงมีข้อโต้แย้งทุกกรณีขนาดนี้!
เจียระไนคิดไปคิดมาก็เหลืออีกเรื่องที่ยังไม่ได้อ้าง เขาหันไปมองหน้าญาติผู้น้อง หรี่ตาอย่างรู้เท่าทันกันดี
“มึงอย่าลืมว่าเจ็กดื่มเก่ง มึงไปงานวันเกิดเจ็ก มึงก็ต้องดื่ม เจ็กคงจะปล่อยให้มึงกลับแบบเดินตรงทางหรอก แล้วเมื่อกี้มึงบอกว่าต้องไปงานแต่งต่อใช่มั้ย ไปงานแต่ง มึงคงแดกน้ำเปล่าสินะ ไอ้เจ๋ง”
เจตน์ชะงัก เห็นภาพตามเป็นฉากๆ
คราวนี้เจียระไนยิ้มกริ่มในใจ แต่ไม่แสดงออกทางสีหน้า ในขณะที่ปากพูดต่อ
“แล้วมึงเมาทีอย่างกับหมา แน่ใจเหรอว่าอยากให้แฟนมึงเห็น”
ญาติผู้น้องแทบหยุดหายใจ เจียระไนเห็นอย่างนั้นก็รีบปิดจ็อบด้วยประโยคเด็ด
“คิดดูดีๆ แฟนมึงจะคิดยังไง ถ้าได้เห็นสภาพมึงตอนเมา!”
............................
...เมาอย่างกับหมา...
เรื่องนี้ออกจะเกินความจริงไปหน่อย เจตน์คิดว่าเขาไม่ได้เมาขนาดจะใช้นิยามแบบนั้น แต่ก็ยอมรับว่าถ้าเมื่อไรที่เมา ถึงจะรู้ตัวทุกอย่าง แต่ก็ควบคุมตัวเองไม่ได้ โดยเฉพาะ ‘ปาก’
แล้วจะให้ปกฉัตรเห็นสภาพแบบนั้นของเขาจริงหรือ
...แน่นอนว่าไม่!...
เพราะฉะนั้น วันเสาร์ที่ฤกษ์ดีที่สุดในรอบปี เขาจะต้องไปคนเดียว!!
สมองและหัวใจของเจตน์ ตั้งกาญจนพาณิชย์นั้นกล้าแกร่ง คิดอะไรก็ได้ ตัดสินใจอะไรก็เด็ดขาด แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องทำให้เรื่องตัดสินใจกลายเป็นความจริงนี่สิ...อีกเรื่องหนึ่ง
ชายหนุ่มลอบมองคนรักที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ปกฉัตรกินข้าวเงียบๆ แม้จะไม่ค่อยพูด ไม่ค่อยแสดงอารมณ์ แต่ก็ดูรู้ว่าอารมณ์ดี เวลาอย่างนี้ควรเป็นเวลาสำหรับการขออนุญาต...
...เอ้ย! ไม่สิวะ! ขออนุญาตอะไร้!!! กูแค่ ‘บอก’ ต่างหาก! ‘บอก’! ไม่ได้ขออนุญาตสักหน่อยน่ะ!!...
จิตใจของหนุ่มตี๋แซ่ตั้งนั้นแข็งแกร่งจริงๆ บอกตัวเองในใจอย่างเสียงดังว่าเรื่องที่จะพูดเป็นแค่ ‘ประโยคบอกเล่า’ ขออนุญาตคืออะไร? เจตน์ไม่รู้จัก!
ทว่า...ถึงจะคิดว่าเป็นแค่ ‘การบอก’ เฉยๆ ปากกลับไม่เผยอออกจากกันสักนิด เอาแต่เม้มแน่น แถมกลืนน้ำลายซ้ำๆ มือไม้เย็นเฉียบ กำช้อนส้อมจนแทบจะบิดให้งอในอุ้งมือ
“พี่มีอะไรรึเปล่า” ปกฉัตรเป็นคนเงียบๆ แต่ความรู้สึกไว ถูกคนรักลอบมองบ่อยๆ ก็ชักสงสัยขึ้นมา
เจตน์ชะงัก ขยับตัวนั่งตรงแน่วโดยอัตโนมัติ แล้วกลืนน้ำลายอีกรอบ
“ค...คือ...” ช้อนส้อมในมือเขี่ยข้าวไปมาจนข้าวออกไปกองขอบจาน ตรงกลางเป็นหลุมว่างคล้ายสมองเขาตอนนี้
...ว่าง...โล่ง...คิดอะไรไม่ออก...
...เมื่อกี้จะขออนุญาตอะไรนะ เอ้ย! ไม่ใช่ขออนุญาตสิวะ! แค่ ‘บอก’!!...
“ค...คือ...”
สมองว่าว่างแล้ว ปากคอยิ่งเพี้ยนหนัก เพราะพูดออกมาไม่เป็นคำ ในขณะที่ปกฉัตรมองคล้ายรอฟัง
ทั้งๆที่ดวงตาสีจางเพียงแค่มองเฉยๆ ไม่ได้คาดคั้น แต่เจตน์กลับรู้สึกเหมือนอากาศรอบตัวเย็นจัด หนาวยะเยือกตั้งแต่หนังหัวจนถึงปลายเท้า แต่ถึงอย่างนั้น หัวใจอันกล้าแกร่งของหนุ่มแซ่ตั้งก็ยังตะโกนบอกตัวเองอย่างแข็งขัน
...แค่บอกเท่านั้นไอ้เจ๋ง! แค่บอกเท่านั้นเอง!...
“ค...คือ...ก...กูมาหามึงไม่ได้...หมายถึง...หมายถึง...วันเสาร์สิ้นเดือน...อ...เอ่อ...กู...กูต้องไปงานเลี้ยงตั้งแต่เช้าเลย...ก็เลย...ก็เลยมาไม่ได้...เอ่อ...”
ทั้งๆที่นอนเรียบเรียงมาทั้งคืนว่าจะเริ่มต้นด้วยรายละเอียดอีเว้นท์ต่างๆที่จะเกิดขึ้นในวันฤกษ์ดีเสาร์สุดท้ายของเดือน แต่พอถึงเวลาจริงๆ สิ่งที่เรียบเรียงไว้กลับแตกกระจายกระเจิดกระเจิง
แต่...ถึงจะไม่มีรายละเอียดใดๆ แถมเรียงลำดับประโยคแปลกๆ ปกฉัตรก็เป็นคนเข้าใจง่าย เขาเพียงรับคำ
“ครับ”
ทว่าความเข้าใจง่ายนี้ ไม่ได้ทำให้เจตน์สบายใจขึ้นเลย ชายหนุ่มไม่รู้ว่าทำไมรอบตัวยังเย็นจัด แถมในอกยังหนักอึ้ง ทั้งๆที่คนรักก็ไม่ได้มีทีท่าปั้นปึ่งแต่อย่างใด ดูสบายๆด้วยซ้ำ แต่...เขาก็ยังรู้สึกว่ามันยังมีเรื่องค้างคาใจ
หนุ่มตี๋เม้มปากเงียบไปอึดใจหนึ่ง แล้วพูดอีก
“ฮ...เฮียชุน...เอ่อ...มึงจำได้มั้ย คนที่เพิ่งจบดอกเตอร์น่ะ...ข...เขาซื้อแฟรนไชน์ไก่ทอดมาจากเกาหลี แล้ว...แล้วต้องเปิดร้าน...เอ่อ...หมายถึงจัดงานโอเพนนิ่ง ทีนี้...ตอนเช้าเลยต้องไปงานร้านเขา แล้ว...แล้ววันนั้นเป็นวันเกิดโซ้ยเจ็ก...ง่า...เจ็กคนที่เป็นหมอ...ตอนบ่ายเลยต้องไปงานเลี้ยงวันเกิดเจ็กต่อ แล้ว...แล้ว...แล้วตอนเย็น ต้องไปงานแต่งรุ่นพี่...อ่า...รุ่นพี่คนนี้...เอ่อ...เป็นคนที่คณะ...แล้ว...ไอ้ดิษก็ไป...”
เจ้าของดวงตาสีจางมองคนรักอย่างไม่ติดใจอะไรสักนิด แล้วรับคำสั้นๆ
“อ้อ ครับ”
อย่างที่บอกว่าปกฉัตรเป็นคนเข้าใจง่าย เจตน์มาหาไม่ได้ก็คือไม่ได้ เจตน์ต้องไปงานเลี้ยงก็คือต้องไป ไม่ใช่ปัญหา และไม่ใช่เรื่องใหญ่
แต่...คนต้องไปงานเลี้ยงและมาหาปกฉัตรไม่ได้กลับคิดว่านี่คือปัญหา แถมยังเรื่องใหญ่ขึ้นมากเมื่อคนรักไม่ถามอะไรสักคำ
“คือ...คือไม่ใช่กูไม่อยากมาหามึงนะ กูต้องไปงานเลี้ยง แล้ว...แล้วก็ไม่ใช่กูไม่อยากพามึงไปงานเลี้ยงนะ ต...แต่กูต้องวิ่งรอกหลายงาน คือ...คือกู...กูต้องดื่มด้วย ต้องชนแก้วกับคนนั้นคนนี้ กู...อ่า...กูกลัวว่าพามึงไปแล้ว...แล้วมึงจะเหงา...”
เจตน์คนโวยวายโผงผาง มาวันนี้พูดอะไรก็เหมือนลิ้นจะพันกันไปหมด ทั้งๆที่ท่องมาทั้งคืน ว่าจะพูดอย่างไรไม่ให้อีกฝ่ายคิดมาก แต่พอถึงเวลาจริงๆ ทุกอย่างที่ท่องมาก็เหมือนกลายเป็นศูนย์ และคนคิดมากคือเขาเอง
แต่ปกฉัตรเป็นคนเข้าใจง่าย อีกทั้งยังเป็นคนฉลาด การที่เห็นอีกฝ่ายร้อนรนอธิบายด้วยสีหน้ายุ่งยาก ย่อมเข้าใจดีว่าคนรักคิดอย่างไร เขายิ้มจาง หันไปตักผัดพริกแกงใส่จานคนที่นั่งอยู่ตรงข้าม เพียงเท่านั้น เจตน์ก็เงียบ
“พี่ขับรถไปเองรึเปล่า”
“เปล่า...อ่า...กะว่าตอนเช้าจะไปพร้อมอาม่า แล้วตอนไปงานเลี้ยงวันเกิดเจ็กก็จะติดรถใครสักคนไป ตอนเย็นออกไปงานแต่ง ค่อยให้รถไปส่ง ขากลับจากงานแต่งค่อยกลับพร้อมไอ้ดิษ”
เรื่องนี้เจตน์ไม่คิดว่าจะถูกถาม เลยไม่ได้ท่องมา อาศัยตอบตามที่คิดเอาไว้แต่แรก จึงไม่ตะกุกตะกักสักนิด แตกต่างจากตอนขออนุญาตเมื่อครู่ลิบลับ เอ้ย! ไม่ใช่ขออนุญาตสิ! เมื่อกี้คือการบอกต่างหากล่ะ!!
คนฟังยิ้ม “สบายใจแล้วครับ...กลัวพี่เมาแล้วขับรถ”
เจตน์นิ่งไป คำว่า ‘สบายใจ’ ของปกฉัตรคล้ายปลดความหนักอึ้งในใจของเขา
“มึง... ไม่ว่าใช่มั้ย”
“หือ? ว่าอะไร?”
“ก...ก็...กูต้องไปงานเลี้ยง...แล้ว...แล้วก็ไม่ได้พามึงไปด้วย ก...กู...” ตี๋ตาเรียวไม่รู้จะพูดอย่างไร เขาไม่กล้าบอกว่าเขาคงต้องดื่มเยอะ และน่าจะเมา และถ้าเขาเมา...เขาก็ไม่อยากให้ปกฉัตรเห็นเขาในสภาพนั้น
...แต่เหตุผลแบบนั้น มันดูไม่เท่เอาซะเลย...
ปกฉัตรไม่รู้เหตุผลข้อนี้ แต่ถึงไม่รู้ก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขา ดวงตาสีจางทอดมองคนรักด้วยความรู้สึกที่ไม่เคยลดลง แม้จะคบหากันมาหลายปีแล้ว
“ทุกคนมีสังคมของตัวเอง ผมก็มี พี่ก็มี เรามีเวลาให้กันได้ทุกวันอยู่แล้ว พี่ไปมีเวลาให้สังคมของพี่บ้าง ไม่เป็นไรหรอกครับ”
เจตน์มองคนที่ยังยิ้มให้เขา เมื่อได้รับการยืนยันว่าปกฉัตรไม่คิดมากเรื่องนี้ ความกังวลของเขาก็พลอยคลายลง
ดังนั้น ในวันเสาร์ที่ฤกษ์ดีที่สุดในรอบปี เจตน์จึงไม่ได้มาหาปกฉัตร
บ้านหลังเล็กแม้จะมีคนอยู่แต่ก็ค่อนข้างเงียบ เจ้าของบ้านใช้เวลาตลอดทั้งวันในการทำความสะอาด ตอนเที่ยงแวะไปกินข้าวกับนิศราที่อยู่บ้านข้างๆ ดิษกรก็ไม่อยู่เพราะไปช่วยงานแต่งรุ่นพี่ งานเดียวกับที่เจตน์จะตามไปตอนเย็น
วันเสาร์กำลังจะผ่านไปกับกิจกรรมที่เรียบง่าย ถึงจะเหงาไปสักหน่อยเพราะไม่มีคนตัวใหญ่แสนอบอุ่นมานั่งให้เบียดอยู่ข้างๆ
แต่...เหงาวันนี้ พรุ่งนี้ก็หายเหงาแล้ว เหงาวันนี้ พรุ่งนี้ก็ได้เจอพี่แล้ว เจอกันพรุ่งนี้ จะคลายเหงาด้วยการกอดพี่แน่นๆเลย...
ปกฉัตรตั้งใจจะรีบเข้านอน จะได้ถึงพรุ่งนี้ไวๆ แต่...ตอนห้าทุ่มกว่า เสียงกดออดที่หน้าบ้านก็ดังขึ้นรัวๆ
ร่างโปร่งนึกแปลกใจที่ถูกรบกวนยามวิกาล แต่ไม่ทันจะลุกไปเปิดผ้าม่านดู เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นด้วย เขาหยิบขึ้นมาดู เห็นเป็นชื่อดิษกรก็กดรับสาย ยังไม่ทันพูดอะไร ปลายสายก็พูดรัวเร็ว
‘ไอ้ปก! เปิดประตูด่วน! เฮียเจ๋งเมาเละตุ้มเป๊ะ!’
เท่านั้น ปกฉัตรก็วิ่งแน่บออกจากห้องนอนลงมาเปิดประตูให้ดิษกรทันที!
……………………….