ตอนที่ 16
“ไม่ต้องคิดถึงผมนะ ดิออน เดี๋ยวถ้างานเสร็จผมจะรีบกลับมาหาเลย”
ผมบอกมันทั้งๆ ที่เป็นผมเองเนี่ยแหละกอดตัวมันแน่น ไม่ยอมขยับ ทั้งๆ ที่โดนน้องเคาะเรียกอยู่หน้าประตูมาเกือบห้านาทีแล้ว และแน่นอนว่าน้องบ่นผมไม่หยุด
“รีบไปเชียร์น้องไป ก่อนที่น้องนายจะฆ่าฉันจริงๆ ”
ดิออนยิ้มบางแล้วลูบหัวผม ดูไม่กังวลสักนิดที่จะปล่อยผมออกไปผจญกับสมาชิกสมาคมแวมไพร์ที่คงมาไม่ต่ำกว่าร้อยสองร้อยคนเพื่อมาเป็นสักขีพยานหาหัวหน้าสมาคมคนใหม่ในวันนี้
เชื่อเหอะ ถ้าเปลี่ยนจากแม็กซ์เป็นผมที่ลงประลองวันนี้คงคนละเรื่องอ่ะ ผมคงอยู่ในร่างค้างคาวแล้วไปซ่อนตัวในที่สักที่เพื่อหนีความจริง พอคนเจอก็ร้องไห้ใส่
“ผมไม่อยากไปเลยอ่ะ”
ผมหน้าบูด เป็นไปได้ผมก็อยากอยู่ในห้องกับดิออนเหมือนกันนะ เพราะออกไปผมก็ต้องเก๊กมาก ปกติพ่อไม่ค่อยสนใจหรอกว่าผมจะทำตัวยังไง แต่ถ้ามีแขกมาเยือนเยอะขนาดนี้ ผมก็ต้องสวมวิญญาณเป็นลูกชายคนโตของหัวหน้าสมาคมจริงๆ อ่ะ
แน่นอนว่าผมจะร้องไห้ใส่แขกไม่ได้แน่ จะอยู่แต่ในร่างค้างคาวแล้วร้องกี้ๆ ทั้งวันก็ไม่ได้ใหญ่ พ่อคงจะเอาไม้ช็อตยุงที่กำลังพัฒนาอยู่มาไล่ช็อตผมแน่ๆ
“พี่ครูซ ออกมาสักที! พ่อเรียกแล้ว!!!”
น้องผมคำรามใส่ประตูจนประตูสั่นกึกๆ แทบหลุดออกมา
“เออ รู้แล้ว! ไปก็ได้!!”
ผมหน้าหงิกยอมผลออกจากดิออนแต่โดยดี และจัดเสื้อกับทรงผมของตัวเองให้เข้าที่ พยายามทำตัวให้หน้าตาดีที่สุดให้สมกับตำแหน่งที่เคยได้มาตอนอายุร้อยกว่าปีหน่อย
เห็นผมกากแบบนี้ แต่เรื่องหน้าตาผมก็มั่นใจอยู่นะ
“ผมไปแล้วนะ”
ผมบอกดิออนที่มันจ้องผมนิ่ง แต่แววตานิ่งๆ ที่เหมือนลุกเป็นไฟนั่นทำให้ผมรู้เลยว่ามันอยากขย้ำผมแทบแย่ แต่ก็นะ ผมมีงานหลวงต้องทำ ขืนผมมานั่งจู๋จี๋กับมันอีก รอบนี้พ่อได้มาตามผมด้วยตัวเองแน่
“อืม”
มันก้มลงจูบแก้มผมเชิงลาก่อนที่จะพาผมออกมาส่งหน้าประตู ซึ่งพอเปิดก็เจอน้องแม็กซ์ที่อยู่ในชุดประจำตระกูลเต็มยศยืนหน้าหงิกอยู่
“พี่จะรักมันอะไรนักหนา ผมเป็นน้องแท้ๆ พี่นะ”
ทันทีที่เห็นหน้าผม น้องผมก็แย่งผมออกจากดิออนทันที แน่นอนว่าผมหน้ามุ่ยไม่พอใจน้องสุดๆ
“พูดกับพี่เขยดีๆ หน่อยสิ แม็กซ์ หลานแกต้องการพ่อนะ”
ผมพูดหน้านิ่งๆ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ก็คือเกินคาดมากจนผมแทบหลุดหัวเราะออกมา
“อะไรนะ!!! พี่ท้องกับมันแล้ว!!???”
แม็กซ์สะดุ้งสุดตัว สีหน้าเหมือนโลกถล่ม อะไรที่เกี่ยวกับผมตรรกะทฤษฎีข้อเท็จจริงทุกอย่างในหัวแม็กซ์ก็เหมือนจะหยุดทำงานชั่วคราว
“แล้ว แล้วผมจะกำจัดมันออกจากชีวิตพี่ยังไง แล้ว แล้วผมจะทำยังไง ผมจะมีหลานแล้วเหรอ”
น้องผมหน้าซีดเผือด
“..ใจเย็น แม็กซ์ พี่เป็นผู้ชาย”
สุดท้ายผมหลุดขำออกมา และขำกว่าเดิมตอนที่น้องผมทำหน้าบึ้งใส่ผม
“ไม่ขำนะ พี่ครูซ พี่ก็รู้นี่ว่ามันเคยมีแวมไพร์ที่ท้องได้”
“แต่มันก็เป็นแค่เรื่องเล่านี่”
ผมหัวเราะ ไม่ได้กังวลเท่าไหร่เพราะคนที่เล่าเรื่องนี้ให้น้องฟังตอนเด็กๆ ก็คือผมเองเนี่ยแหละ แต่ดูเหมือนน้องจะจำไม่ได้ว่าผมเป็นคนเล่าแถมยังปักใจเชื่อมาตลอดอีก
“เอาเหอะ แต่ไม่ว่ายังไงผมก็ไม่ชอบมันอยู่ดี”
น้องผมมองดิออนตาขวาง ซึ่งผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อไหร่น้องจะญาติดีกับดิออนสักที และได้แต่หวังว่าจะญาติดีกันไวๆ เพราะคนกลางอย่างผมปวดประสาทมาก คือดิออนถึงมันจะนิ่งๆ ไม่พูดอะไร แต่มันก็มองน้องผมแบบไม่พอใจเหมือนกัน ซึ่งก็ไม่แปลกหรอก ก็น้องผมเล่นทำหน้าเหมือนจะกินหัวมันทั้งวันแบบนี้ จะให้ญาติดีด้วยก็แปลกละ
“ไปๆ เดี๋ยวค่อยรักกันทีหลังก็ได้ พี่ขี้เกียจโดนพ่อว่า”
สุดท้ายผมก็เป็นคนลากน้องออกจากหน้าประตู เพราะขืนนานกว่านี้ไม่รู้ว่าน้องผมอยากจะอุ่นเครื่องด้วยการตีกับดิออนสักรอบไหม
เดินมาสักพักก็มาถึงประตูเข้าสู่ลานประลอง ข้างในมีเสียงดนตรีสดซึ่งเป็นเพลงโบราณของเผ่าพันธุ์แวมไพร์บรรเลงคลอประกอบพิธีการที่ใกล้จะเริ่มต้นขึ้น ผมที่จัดเสื้อผ้าตัวเองจนมั่นใจแล้วเลิกหันไปจัดแจงให้น้องบ้าง
ให้ตายเหอะ
ผมเงยหน้ามองน้องเซ็งๆ เพราะน้องผมโคตรสูงเลย ไม่รู้ว่าแอบกินเลือดส่วนของผมตอนเด็กๆ เปล่า ถึงได้โตอะไรขนาดนี้ ของผมนอกจากอายุที่มากขึ้นก็ไม่มีอะไรโตละ
“ก้มหัวลงมาหน่อย เดี๋ยวพี่จัดคอเสื้อให้”
พอน้องก้มลงมา ผมก็หอมแก้มน้องดังฟอดแล้วหัวเราะคิกคักเพราะจริงๆ คอเสื้อของน้องผมคือจัดไว้ดีอยู่แล้ว ผมแค่อยากหอมแก้มน้องเฉยๆ
“ชนะให้ได้นะ พี่ยังอยากมีครีมกันแดดฟรีใช้”
ซึ่งที่ได้มาฟรีก็ไม่ใช่อะไร พวกตัวอย่างทดลองที่ผมเอามาลองใช้ก่อน คือถ้าผมตายก็คงเพราะไอ้ครีมพวกนี้แหละ
“...อืม”
น้องผมหน้าแดงแล้วพยักหน้าหงึกๆ ก่อนที่ทั้งผมและน้องจะเปิดประตูไม้บานยักษ์แล้วเข้าไปในห้อง ซึ่งผมก็สลัดคราบแวมไพร์ไร้สาระไปวันๆ ออกทันทีโดยสัญชาตญาณ
บรรยากาศในสมาคมที่ดูทางการขึ้นทำให้ผมเกร็งขึ้นโดยอัตโนมัติ ผมเดินหลังตรงแล้วงัดความรู้หลักการเป็นแวมไพร์ที่ดีออกมาใช้หลังจากที่ทิ้งไปนานหลายร้อยปีเพราะไม่ค่อยมีงานสำคัญให้ใช้
ผมเดินไปนั่งที่นั่งของผมที่จัดอยู่ในโซนของตระกูลแล้วตีหน้านิ่งไม่รู้สึกอะไร ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วประหม่ามาก อาจจะเพราะผมเพิ่งเข้ามาในห้องด้วย แวมไพร์ส่วนใหญ่ที่มาถึงได้จ้องผมไม่หยุด ซึ่งถ้าให้ผมเดาจริงๆ ก็คงจะเป็นเรื่องที่ผมเอาผู้นำวาติกันมาเป็นส่วนหนึ่งของแวมไพร์เนี่ยแหละ
ถึงพ่อผมจะรับประกันแล้วก็เหอะ แต่ทุกคนก็คงจะมองผมไม่เหมือนเดิมอ่ะ เพราะนานมากแล้วที่สมาคมแวมไพร์ไม่เอาคนนอกหรือพวกมนุษย์มาเปลี่ยนเป็นแวมไพร์ ทั้งๆ ที่ประชากรของเราก็เหลือค่อนข้างน้อยมากแล้ว อัตราแวมไพร์เกิดใหม่ก็ต่ำ จริงๆ ทุกคนควรจะดีใจนะ ที่ผมหามนุษย์โปรไฟล์ดีขนาดนี้มาเป็นคู่ได้อ่ะ
“อย่าคุยกับใคร”
ผมยังคงสีหน้าปกติแม้จะเพิ่งได้ยินเสียงพ่อพูดกับตัวเองในหัวผ่านพลังแวมไพร์ ซึ่งผมก็พยักหน้าน้อยๆ ไปให้พ่อที่มองมาทางผม คือเอาจริง ต่อให้พ่อไม่บอกผมก็ไม่อยากคุยกับใครเป็นพิเศษอยู่ดี ในนี้มีแต่คนแปลกหน้าอ่ะ ถึงจะมีเพื่อนสมัยเรียนผมบ้างก็เถอะ แต่มันก็ไม่ใช่เวลาที่น่าคุยขนาดนั้น
ผมนั่งตัวแข็งเหม่ออยู่สักพัก พิธีการก็ถึงเริ่มจริงๆ ซึ่งพิธีกรที่เป็นแวมไพร์จากที่อื่นก็มาช่วยเป็นพิธีกรดำเนินรายการให้ ส่วนผมที่ไม่ชอบงานอะไรพวกนี้ก็ได้แต่แอบหาวง่วงๆ เบื่อๆ เพราะมันไม่ค่อยมีอะไรน่าสนุกเท่าไหร่ ผมเลยเอาแต่นั่งนิ่ง ง่วง คิดถึงดิออนที่อยู่ห้องที่ไม่รู้ว่าตอนนี้จะเป็นยังไงบ้างแล้ว
ไม่รู้ว่าตอนนี้ร้องไห้คิดถึงผมรึยัง แต่ตอนนี้ผมโคตรคิดถึงดิออนเลย
ทำไงได้อ่ะ ตั้งแต่พามันมาสมาคม ผมก็ตัวติดกับมันแทบตลอดเวลา อยู่ด้วยกันทั้งตอนหลับกับตอนตื่น ยกเว้นตอนเรียนที่บางทีผมก็นอนรออยู่ห้อง เพราะทนฟังสิ่งที่ตัวเองเคยเรียนไม่ไหว มันน่าเบื่อมากกับการมานั่งจำชื่อแวมไพร์บรรพบุรุษยาวๆ ที่ไม่รู้ว่าจะจำไปทำไม
“นี่”
ผมที่กำลังจะหลับ สะดุ้งเลยตอนที่มีแวมไพร์ที่ไหนไม่รู้มานั่งข้างๆ ผม ซึ่งพอเงยหน้ามองก็พบว่าเป็นแวมไพร์สาวจากประเทศอื่นที่มาเข้าแข่งขันชิงตำแหน่งเหมือนกัน อีกฝ่ายทักผมด้วยภาษากลางและรอยยิ้มดูไม่เป็นมิตรนัก ใบหน้าสวยนั่นดูน่ากลัวกว่าผมตอนหิวข้าวอีก
ผมขมวดคิ้วนิดๆ เพราะเหมือนคุ้นๆ ว่าแวมไพร์นี่อายุน้อยกว่าผมแต่ฝีมือโดดเด่นมาก และตอนนี้ผมก็เริ่มรู้สึกว่านี่ผมเป็นดารารึเปล่า ทำไมถึงมีแต่คนอยากมาคุยด้วย
“...”
ผมเบือนหน้าหนี พยายามไม่สนใจ กลัวว่าจะสร้างปัญหาให้กับครอบครัว
“วาติกันของนายน่ะ ยกให้ฉันได้ไหม”
“ไม่”
ผมตอบกลับด้วยภาษากลางเสียงแข็ง
เรื่องนี้คอขาดบาดตายมาก ผมปล่อยผ่านไม่ได้หรอก ดิออนเป็นของผมและผมจะไม่ยกให้ใครแน่ๆ ตอนนี้คือมันเป็นทุกอย่างให้ผมอ่ะ ทั้งเป็นคู่ อาหารตา เป็นคนอาบน้ำให้และอีกสารพัดอย่างที่มันทำให้ผม ซึ่งเอาจริงๆ บางทีผมก็รู้สึกว่าผมเหมือนเป็นลูกมันมากกว่าแฟนอีก
“ถ้ามันทรยศขึ้นมา นายจัดการเขาไม่ได้หรอก เขาเป็นอดีตผู้นำวาติกันเลยนะและฉันก็เคยสู้กับเขาด้วย”
“ขอบคุณสำหรับความเป็นห่วงของคุณนะครับ แต่ถ้าเกิดอะไรขึ้นมา ผมจะรับผิดชอบด้วยชีวิตของผมเอง”
ผมตอกกลับนิ่งๆ หงุดหงิด
คือคนนอกก็ตัดสินเก่งอ่ะ ไม่เคยเจอมันด้วยซ้ำแต่กลับคิดว่าดิออนจะทรยศผม คือถ้ามันจะทำจริง มันก็ทำไปนานแล้วไหมอ่ะ ไม่มีเหตุผลเลยที่มันยอมทิ้งทุกอย่างในชีวิตมาเริ่มต้นใหม่กับผม แถมยังเหมือนได้สถานะพ่อคนที่สองมากกว่าเป็นแฟนผมด้วย
“...หึ”
เธอดูไม่พอใจเท่าไหร่ที่ผมปฏิเสธแถมยังจงใจไม่ปิดบังสีหน้าดูถูกผมด้วย
แต่แน่ล่ะ ผมที่อยู่กับคำว่ากากมาเกือบตลอดชีวิต มันก็ไม่ได้ทำอะไรผมรู้สึกอะไรเท่าไหร่ ออกจะชินด้วยซ้ำ เธออาจจะคิดว่าการกระทำนี้อาจจะยั่วโมโหผมได้ แต่ขอโทษเถอะ ผมอย่างให้งานนี้จบๆ แล้วกลับไปอ้อนดิออนมากกว่า
ผมเลือกที่จะเมินเธอไปเพราะรู้ดีว่าถ้าคุยกันต่ออีกสักพักคงได้ตีกันแน่
ผมไม่ยอมให้ใครมาว่าดิออนของผมหรอกนะ อยู่ที่นี่มันก็มีแค่ผมคนเดียว ถ้าไม่ใช่ผมที่อยู่ข้างมันก็คงไม่มีใครแล้ว
“ยังไงวาติกันนั้นก็ต้องทรยศนายแน่”
“...”
ผมทำหูทวนลมไม่สนใจ ให้ความสนใจกับลานพิธีที่เริ่มมีคนลงประลองกันแล้ว น้องผมได้คิวต่อจากคู่นี้ที่กำลังซัดกันอย่างรุนแรง จนผมมั่นใจมากว่าถ้าไม่มีพลังแวมไพร์คลุมสนามประลองนี้ไว้ตอนนี้หลังคาของคฤหาสน์คงได้ถล่มกันลงมาแล้ว
ผมมองการต่อสู้ที่ดูจะรุนแรงขึ้นทุกทีด้วยสายตาเบื่อหน่าย
เอาเข้าจริงผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมการที่จะเป็นหัวหน้าสมาคมถึงต้องต่อสู้เก่งที่สุดด้วย อาจจะเอาไว้สู้กับวาติกันก็จริง แต่ผมว่าหลายปีมานี้โลกก็สงบสุขดี เอาเข้าจริงผมก็อยากให้เผ่าแวมไพร์กับวาติกันเป็นมิตรต่อกันนะ ถึงผมจะเพิ่งถล่มพวกวาติกันไปก็เถอะ
การฟาดฟันกันจนตายกันไปข้าง มันไม่ใช่เรื่องที่สนุกเลย ทุกคนบนโลกนี้ก็ได้รับพรให้เกิดมาบนโลกมนุษย์เหมือนกัน ถึงพวกแวมไพร์อย่างผมจะเหมือนปรสิตดูดเลือดไปบ้าง แต่มันก็สามารถคุยกันได้อ่ะ ไม่ใช่เอะอะฆ่ากันอย่างเดียว
ดูไปดูมาผมก็เริ่มรู้สึกเบื่อกว่าเดิม คือปกติผมก็ไม่ได้ชอบดูการต่อสู้อะไรแบบนี้อยู่แล้วอ่ะ อย่างเดียวที่ผมชอบดูของพวกแวมไพร์คือการแข่งบินในร่างค้างคาว ไม่อยากจะอวดเลยว่าผมเคยได้ที่หนึ่งในรายการนี้ด้วย ภูมิใจมากเพราะทักษะเดียวที่ผมมีสมัยก่อนคือเผ่นให้ไวที่สุด
และในระหว่างที่ผมนั่งสัปหงกในท่าเท้าคาง อยู่ๆ ผมก็ถูกโดนกระชากตัวออกจากเก้าอี้
“!!!”
ผมสะดุ้งสุดตัวเพราะพอรู้ตัวอีกทีก็เห็นว่าตัวเองนั้นยืนอยู่ในสนามประลองแล้ว จากง่วงๆ อยู่คือตาสว่างมาก ผมกลืนน้ำลายเอือกตอนได้ยินเสียงปรบมือดังเกรียวกราวจากรอบข้าง รีบมองหาสาเหตุที่ทำให้ผมต้องตกอยู่ในสถานการณ์กระอักกระอ่วนนี้ทันที
“..อีกแล้วเหรอ”
ทั้งๆ ที่ผมอยากชักสีหน้าใส่แทบตาย แต่สีหน้าที่ผมทำได้คือนิ่งๆ ไม่รู้สึกอะไร
“รายการนี้เป็นรายการพิเศษคั่นเพิ่มขึ้นมานะครับ พอดีว่าท่านลอร์ดคาร์บิลัสอยากจะเห็นฝีมือบุตรชายคนโตของลอร์ดแกร์รี่ว่าฝีมือขนาดไหน หวังว่าทุกท่านจะไม่ถือสานะครับ”
ถือสาสิ!!! ถือสามากด้วย
ผมหน้านิ่งมากกว่าเดิม หงุดหงิดแวมไพร์ตรงหน้าแทบบ้า ที่ผมโดนลากมาลงสนามด้วยก็คงเพราะเธอนั่นแหละ แต่ก็ไม่ใช่ใครแค่เธอหรอกที่อยากเห็นฝีมือผม ทุกคนที่มางานประลองก็คงอยากเห็นกันทั้งนั้น
อย่าลืมสิว่าผมน่ะเคยกากขนาดไหน พวกแขกที่มาวันนี้ก็คงยังไม่ลืมความอ่อนของผม นอกจากนี้แล้วก็คงจะไม่ไว้ใจผมด้วยแหละว่าจะสามารถควบคุมอดีตหัวหน้าวาติกันได้อยู่จริงไหม
หึ อดีตหัวหน้าวาติกันอย่างดิออนเหรอ แค่ผมทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ มันก็ยอมผมทุกอย่างแล้ว
“ท่านลอร์ดแกร์รี่จะอนุญาตการประลองนี้ไหมครับ”
ผมสบตากับพ่อที่มองผมด้วยสายตาเป็นห่วงแล้วพยักหน้าเบาๆ
ผมไม่ยอมให้ใครมาหักหน้าพ่อหรอก ลำพังแค่พ่อต้องออกหน้าแทนผมเรื่องดิออนก็ถือว่าพ่อใจดีกับผมมากแล้วจริงๆ นี่เป็นปัญหาที่ผมสร้างขึ้นมาเอง ผมก็จะแบกรับมันด้วยตัวเอง
ผมก็รู้ดีแหละว่าการเอาวาติกันเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งมันต้องเจอกันอะไรแบบนี้อยู่แล้ว ชีวิตรักของผมกับดิออนมันก็คงไม่สวยงามเท่าไหร่หรอก คงจะต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าทุกคนจะยอมรับให้ดิออนเป็นส่วนหนึ่งของแวมไพร์จริงๆ
เอาเข้าจริงไม่ใช่แค่ดิออนหรอกที่ทิ้งทุกอย่างมาเพื่อผม
ผมก็ทิ้งทุกอย่างที่ไม่ค่อยมีอยู่แล้วเพื่อมันเหมือนกัน
ผมมีครอบครัว มีเพื่อนก็จริง แต่มันก็เป็นแค่เศษเสี้ยวในสมาคมที่ประกอบไปด้วยแวมไพร์จำนวนมาก มีกฎเกณฑ์ ค่านิยมประหลาดๆ ที่แก้ได้ยากเต็มไปหมด ซึ่งไอ้เรื่องพวกนี้แหละที่ทำให้แวมไพร์ส่วนหนึ่งเรื่องที่จะไปเข้าร่วมกับพวกโกสต์ที่อาศัยอยู่ร่วมกันแบบไร้กฎเกณฑ์ไปเลย
“อนุญาต”
เสียงของพ่อผมดังกังวาน ก่อนที่การประลองจะเริ่มต้นขึ้นในอีกสิบวินาทีข้างหน้าตามธรรมเนียมของพวกแวมไพร์
ผมที่อยู่ในร่างมนุษย์อยู่เลยคืนร่างเป็นแวมไพร์อย่างเต็มตัว ปล่อยให้ปีกกับเขี้ยวของตัวเองงอกออกมาพร้อมกับสร้างคทาจากพลังแวมไพร์ขึ้นมาไว้ในมือ
มีเสียงฮือฮาดังขึ้นนิดหน่อยเพราะทุกคนคงไม่คาดคิดว่าผมมีพลังพอที่จะสร้างอะไรให้เป็นชิ้นเป็นอันได้แล้ว แถมยังเป็นอาวุธที่ไม่ดูไม่อันตรายอีก ผิดกับอีกฝั่งที่สร้างดาบพลังแวมไพร์ออกมาถือรอผมแล้ว
ผมสบตากับเธอนิ่ง
รู้สึกสงบมากกว่าหวาดกลัว ทั้งๆ ที่ถ้าเป็นเมื่อก่อนถ้าอยู่ๆ โดนจับมาลงสนามประลองแบบนี้ ผมคงกลัวจนขาสั่นไปแล้ว หรือไม่ก็ยืนน้ำตาตกในและได้แต่ภาวนาว่าพ่อจะเห็นใจแล้วหาทางพาผมออกจากสนามนี้สักที
“สอง!”
ผมสูดหายใจลึกและกระชับคทาในมือแน่น เตรียมงัดพลังแวมไพร์ทุกอย่างที่ตัวเองมีออกมา
“หนึ่ง!”
ดูเหมือนแค่ดาบแค่เล่มเดียวจะไม่ทำให้เธอสะใจพอ เธอถึงสร้างมันออกมาอีกเล่มในช่วงวินาทีสุดท้าย ก่อนที่จะพุ่งใส่ผมทันทีเมื่อสิ้นเสียงคำว่าเริ่ม
แกร๊ง!!!
เสียงดาบกับคทาดังลั่นทันทีเมื่อผมยกขึ้นมากันได้ทัน ผมขมวดคิ้วมุ่นอาศัยจังหวะที่เธอฟาดดาบลงมาอีกครั้งในการสร้างงูออกมาพันดาบนั้นไว้พร้อมกับสร้างฝูงค้างคาวลูกกระจ็อกออกมาช่วยป่วนอีกแรง
แน่นอนว่าเธอพยายามจะฆ่างูผมให้ตาย แต่ก็ทำไม่ได้เพราะงูของนั้นมันถูกสร้างขึ้นมาจากพลังแวมไพร์ ต่อให้ถูกตัดยังไงมันก็ไม่ตายอยู่ดีนอกเสียจากว่าผมจะเรียกพลังแวมไพร์กลับคืนสู่ร่างกาย
“..ดิออนเป็นเหยื่อของฉัน.. นายไม่มีสิทธิ์เอาเขาไป!”
พอเธอเข้าใกล้ผมได้ก็โวยวายใส่ผมทันที
“ดิออนเป็นของผม”
ผมยกยิ้มยียวนมองด้วยแววตาเย็นชากว่าเดิม
จากที่คิดว่าควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ดีพอแล้ว ผมกลับเริ่มรู้สึกควบคุมพลังตัวเองไม่อยู่
“ค้างคาวกระจอกอย่างนายเนี่ยนะ ลำพังแค่หาเลือดกินเองยังทำไม่ได้เลยมั้ง”
เธอแค่นเสียงหัวเราะใส่ผมพร้อมกับใช้พลังแวมไพร์เผาทั้งงูทั้งฝูงค้างคาวที่บินกวนไปจนหมดรวมถึงคทาในมือผมด้วย ทำให้ผมตอนนี้ไม่เหลืออาวุธอะไรเลยนอกจากเนื้อตัวเปล่าๆ และพลาดพลั้งทำให้เธอจ่อปลายดาบที่ลำคอผมในที่สุด
“ถ้านายยอมเปลี่ยนใจยกดิออนให้ฉัน ฉันจะยอมหยุดแค่นี้ก็ได้นะ”
“เลิกยุ่งกับเขาสักที!!!”
ผมคำรามตอบเสียงกร้าว เริ่มโกรธขึ้นมาจริงๆ แล้วระเบิดพลังออกมาทั้งหมด ไม่สนใจอะไรอีกต่อไปและปล่อยให้สัญชาตญาณที่ซ่อนอยู่เบื้องลึกควบคุมร่างกายตัวเอง
พลังแวมไพร์ของผมแผ่ขยายออกจากใต้เท้าผมชนกับของเธอในพริบตา เธอดูตกใจที่อยู่ๆ พลังผมก็เพิ่มขึ้นพรวดพราดแต่เธอก็ไม่ลังเลที่จะตวัดดาบฟันผมที่จุดตายอีกอยู่ดี
“กฎของสมาคมคือทุกการประลองห้ามเอาชีวิตคู่ต่อสู้”
ผมจับดาบนั้นด้วยมือเปล่า ไม่ยี่หระกับเลือดที่ไหลซึมออกจากมือเพราะคมมีดก่อนที่จะออกแรงกำมันจนมันแตกคามือ และเมื่อเธอพยายามจะสร้างมันขึ้นมาใหม่ ผมก็กำดาบนั้นอีกพร้อมที่จะทำลายมันไปเรื่อยๆ
“ถ้าคุณยังไม่เลิกคิดที่จะฆ่าผม ผมก็จะฆ่าคุณบ้าง”
แน่นอนว่าผมขู่ไปงั้น ผมโกรธมากก็จริงแต่ก็ยังไม่ลืมคอนเซ็ปต์รักสันติของผมหรอกนะ
จริงๆ ผมก็เข้าใจแหละว่าเธอยังเด็กอยู่ ความมั่นใจในตัวเองสูงเลือดร้อนเลยท้าคนสู้ไปทั่ว เอาจริงแวมไพร์วัยรุ่นส่วนใหญ่ก็เป็นกัน ยกเว้นผมที่วันๆ เอาแต่คิดหาทางหนีออกจากสมาคม
“...”
ผมสบตากับเธอที่ดูกลัวผมขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด เพราะความพยายามในการสร้างดาบของเธอนั้นล้มเหลวสิ้นดี ผมทำลายมันได้ทั้งหมดจนเธอไม่สามารถแม้แต่จะรวบรวมพลังแวมไพร์ได้ด้วยซ้ำ
“อย่ามายุ่งกับดิออนอีก”
ผมพูดเสียงเย็นก่อนที่จะเดินหนีออกจากลานประลอง แล้วกลับที่นั่งตัวเองโดยไม่รอคำตัดสินเพราะก็เห็นๆ กันอยู่แล้วว่าใครเป็นฝ่ายแพ้ฝ่ายชนะ
พิธีกรและคนส่วนใหญ่ยังตกอยู่ในภวังก์กันสักพักกว่าจะได้สติ เนื่องจากคงไม่มีใครคิดว่าแวมไพร์กระจอกอันดับรองบ๊วยอย่างผมจะเป็นฝ่ายไล่ต้อนดาวลูกใหม่ที่กำลังเป็นที่จับตาของสมาคมได้
“ก็ ก็จบกันไปแล้วนะครับ สำหรับการประลองครั้งนี้ บุตรชายคนโตของท่านหัวหน้าสมาคมก็ไม่เคยทำให้เราผิดหวังเหมือนเดิม เก่งกล้าสามารถจริงๆ เลยนะครับ”
ผมเมินคำชมที่พิธีกรพูดถึงตัวเองอย่างไม่ใส่ใจและหันไปยิ้มภูมิใจให้พ่อ พร้อมกับรับขวดเลือดจากน้องผมที่กำลังจะลงแข่งแล้วแต่ก็ยังใม่วายเดินมาหาผมอีก
“พี่ไม่น่าลงแข่งเลย”
น้องผมดึงมือผมไปดูแล้วบ่นอุบ ส่วนผมก็ซดเลือดขวดนั้นแบบไม่เต็มใจเท่าไหร่เพราะไม่ใช่เลือดดิออน เป็นแค่เลือดของมนุษย์ธรรมดาที่ถูกไปปรุงแต่งรสนิดหน่อย แต่ผลลัพธ์ที่ได้คือแผลผมสมานไวมากเหลือแค่เพียงรอยกรีดจางๆ เท่านั้น
“อวยพรผมหน่อย”
ทั้งๆ ที่อยู่ท่ามกลางแขกมากมาย แต่น้องผมก็ยังเลือกที่จะเดินมาหาผมอยู่ดี
ผมยิ้มให้กับน้องที่วันนี้ดูเท่กว่าทุกวัน
เท่พอๆ กับพ่อเลยด้วยซ้ำ
“นายทำได้อยู่แล้ว แม็กซ์”
เพราะถ้าน้องผมทำไม่ได้ ก็คงไม่มีใครทำได้แล้วล่ะนะ
------