เห็นมันสั่งเด็กชงเหล้าเต็มแก้วก็ใจคอไม่ดี คือจริง ๆ ก็แอบกลัวว่าไอ้โนบิตะจะมาเห็น แต่ที่กลัวกว่าคือถ้าเกิดเมาขึ้นมาแล้วหลุดพูดอะไรออกไป ความก็แตกหมดว่าตอนนี้ผมเป็นทาสไอ้โนบิตะอยู่น่ะสิ...
ผมนั่งยึก ๆ ยัก ๆ คิดว่าจะอยู่พอเป็นพิธีซักนาทีสองนาทีแล้วชิ่งกลับ แต่พอเห็นว่าสาวสวยที่เดินอ้อมมาจากหลังโซฟาไปนั่งปุอยู่ข้าง ๆ เฮียเป็นใคร ก็เปลี่ยนความคิดจะที่จะหนีแล้วกลับมานั่งหลังตรงทันที...
“พี่พลอย...”
ผมอุทานออกมาเบา ๆ อยู่ดี ๆ สมองมันก็พาลไปนึกถึงวันคืนเก่า ๆ เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ไอ้เฮียเพิ่งรับเหล้าจากเด็กมาส่งให้ผม
“เฮ้ย รู้จักพี่พลอยด้วยหรอมึงน่ะ” ไอ้เตี้ยบังคับให้ผมถือแก้วเหล้าไว้ในมือ แล้วพยักเพยิดหน้าไปทางพี่พลอยที่ส่งยิ้มมาให้เหมือนคนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน “คนนี้น่ะเด็ด กูลองมาแล้ว สุดยอดไปเลย”
ไอ้เฮียยื่นหน้ามากระซิบเบา ๆ แล้วยิ้มอย่างภูมิอกภูมิใจ แต่สำหรับผมเหมือนได้ยินเสียงฟ้าผ่าลงกลางหัว อยู่ ๆ เลือดในกายมันก็เหมือนจะหยุดไหลเวียน ความรู้สึกนี้คืออกหักใช่ไหม ? รักแรกรักเดียว รักมานานคนเดียวคนนี้อยู่ ๆ ก็กลายเป็นเมียเพื่อนใหม่ไปซะฉิบ ความผิดหวัง ความโศกเศร้าที่ไม่ได้พบกันมานานอยู่ ๆ พรั่งพรูจนเต็มหัวใจ พี่พลอยคนสวยคนนั้นไม่แม้แต่จะแลหางตามองผมด้วยซ้ำ ทั้ง ๆ ที่เอาจากผมไปจนกระเป๋าแบนกลับบ้านทุกวันศุกร์...
งานโศกมาเลย...ยิ่งเห็นเขาคลอเคลียกันมันยิ่งเฮิร์ท ผมยื่นมือไปยกแก้วเหล้ามาซด กระดกอึก ๆ ลงคอต่างน้ำ ลำบากเชี่ยที่นั่งห่างออกไป ต้องขอแลกที่กับสาวนั่งดริ้งข้างตัวแล้วเขยิบมาหาผมใกล้ ๆ แทน
“กูคิดว่าจะไม่ได้แดกเหล้ากับมึงซะแล้ว...ไหนบอกว่าแม่ให้ช่วยปิดร้าน ทำไมมาได้”
รู้นะว่ามันจงใจเปลี่ยนเรื่อง แต่ตอนนี้กูไม่มีอารมณ์จะเปลี่ยนด้วยแล้ว เห็นมือพี่พลอยลูบไล้แผ่นอกไอ้เฮียเตี้ยแล้วก็รุ้สึกเจ็บแปลบ ๆ ตอนนี้ในกระเป๋าผมมีเงินไม่ถึงห้าร้อยด้วยซ้ำ แล้วจะมีปัญหาทำให้เขาหันมาสนใจได้ไง
“แล้วมึงล่ะ ทำไมมาร้านนี้ได้ มึงก็เหมือนกันเฮีย มึงมาร้านนี้ทำไมวะ!” รู้ตัวครับว่าเริ่มพาล แต่คนมันกำลังเศร้า เข้าใจไหม... พอเห็นผมถามอย่างนั้นเฮียมันเลยค่อย ๆ อธิบายให้เขาใจไปทีละเปราะ
“ก็ตอนแรกไม่ได้คิดจะมาหรอก แต่เพราะมึงไม่มา ก็เลยคิดว่ามาร้านนี้ดีกว่า” เห็นหน้ามันยิ้มแล้วก็รู้สึกเกลียดรอยยิ้มของมันขึ้นมาอย่างประหลาด เบื่อตัวเองที่เป็นคนย้อนแย้งชิบหาย เมื่อกี้ยังไม่อยากนั่งก๊งกับมันอยู่เลย แล้วทำไมตอนนี้ถึงซัดเหล้าต่างน้ำแบบนี้
“โธ่...กูถามดี ๆ เอาจริง ๆ ตกลงว่ายังไง ตามมาหากูหรอคะพิก?” เชี่ยชาญยิ้มแซว มันนิ่งไปพักนึงเมื่อเห็นว่าผมไม่ตอบอะไร เพราะสายตาผมยังอยู่กับผู้หญิงใจร้ายคนนั้นอยู่เลย “หรือว่าโกหกกูเพื่อที่จะมาหา--”
“เฮ้ย มันมาได้ก็ดีแล้วไม่ใช่หรอวะ มันคงตามมาเซอร์ไพร์สมึงแหละ จะซักไซ้อะไรมันมากมาย เสียบรรยากาศหมด เนอะ พิก” ไอ้เตี้ยจากแคนาดาหันมาขยิบตาให้ผมทีนึง ไม่รู้ว่ามันแกล้งโง่หรือจงใจสวนขึ้นมาอย่างนั้น แต่อารมณ์ผมตอนนี้ไม่พร้อมตอบเหี้ยอะไรทั้งนั้นแหละ รู้อย่างเดียวว่าถ้าอยากเลี่ยงไอ้ชานกับพี่พลอยก็ต้องเอาเหล้าเข้าปากตัวเองนี่ล่ะ...
เหล้าหมดไปอีกแก้วแต่ดูเหมือนความเฮิร์ทของผมจะยังไม่หมด พอน้องเด็กเสิร์ฟมาเติมเหล้าให้ใหม่ผมก็กระดกอีกจนหมดไปสามสี่แก้ว กินไวยิ่งกว่าพายุจนหนที่ห้าไอ้ชานต้องเอื้อมมือมาแตะแขนเอาไว้แล้วเปลี่ยนไปคุยเป็นเรื่องเกมแทน
“วันนี้กูเพิ่งได้เกมใหม่มา เกมที่มึงอยากเล่นไง...เดี๋ยวโทรหาแม่นะ บอกว่าขอไปค้างกับกู กูจะให้มึงเล่นก่อนใครเลย”
ได้ยินมันพูดเสียงตะกุกตะกักก็พอจะเดาได้แล้วว่ามันกำลังคิดจะทำอะไร เชี่ยชานตอนพยายามจะปลอบใจผมก็ดูน่ารักดีอยู่หรอก ถ้าไม่ติดว่ามากับโนบิตะผมก็คงจะกลับกับมันนี่ล่ะ
หรือจะแอบดอดกลับกับแม่งดีวะ กลับไปตอนนี้ยังไงโนบิตะมันก็ไม่รู้ตัวหรอก
คอยดูนะ พ่อจะเล่นเกมให้หายเฮิร์ทไปเลย !
“เออ...กูจะกลับกับมึ--”
แต่ไม่ทันที่ผมจะได้ตอบจนจบประโยค เงยหน้าขึ้นมาก็เจอสายตาของไอ้เฮียที่มองมาอย่างมีเลศนัย บอกตรง ๆ ว่าผมโคตรจะไม่ชอบสายตาแบบนี้ของมันเลย ดูแล้วไม่รู้ว่าตกลงแม่งคิดอะไรอยู่ในใจกันแน่ ซึ่งสายตาแบบนี้ คนแรกที่ผมรู้จักดีเลยก็คือไอ้โนบิตะ... แม่งชอบมองผมด้วยสายตาเจ้าเล่ห์เพทุบาย ถ้าเล่นใหญ่กว่านี้อีกหน่อยกูก็ว่าจะสนับสนุนให้มึงไปแคสเป็นพระเอกช่อง ONE พี่พุฒเดชอุดรอยู่เหมือนกัน =_=
“คงไม่ได้หรอกครับ คืนนี้พิกเค้ามีนัดติวหนังสือกับผมต่อ”
พูดถึงโนบิตะ โนบิตะก็มาเลยครับ... ได้ยินเสียงเย็น ๆ ของมันที่ดังขึ้นจากด้านหลังก็เสียวสันหลังวาบขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ผมค่อย ๆ หันไปตามเรียวมือของมันที่วางไว้บนมือของไอ้ชานที่กอดไหล่ผมไว้ ริมฝีปากของมันตอนนี้ยิ้มกว้าง แต่ใบหน้าใต้กรอบแว่นนี่อำมหิตย์อย่างเห็นได้ชัด...
“อ้าว ไอ้โนบิตะ มึงก็มาหรอเนี่ย...วันนี้วันอะไรวะเนี่ย โชคดีจัง เพื่อนเต็มเลย”
ไอ้คนไม่รู้อิโหน่อิเหน่ก็ยังเป็นคนไม่รู้อิโหน่อิเหน่ เชี่ยชานโพลงขึ้นมาน้ำเสียงตื่นเต้นเมื่อเห็นว่าเป็นใครที่ยืนอยู่ตรงด้านหลังโซฟา โนบิตะในตอนนี้ไม่ได้เซ็ตผมหล่อเนี้ยบเหมือนอย่างที่มากับผมในทีแรก แต่มันหวีผมหน้าม้าลงจนปรกหน้า และสวมแว่นตาเชย ๆ เหมือนที่ชอบใส่เวลาอยู่ในคลาสแทน
“ขอนั่งด้วยคนนะครับคุณชาน”
ไม่รอให้ได้คำตอบ โนบิตะก็เดินอ้อมมาทิ้งตัวลงนั่งแทรกตรงกลาง เชี่ยชานที่พยายามจะปลอบใจผมโดยที่ไม่รู้อะไรเลยก็ไม่ได้ว่า มันเพียงแค่ขยับตัวออกห่างไปอีกนิดเพื่อให้โนบิตะได้นั่งสบายขึ้น
“วันนี้สนุกชิบหายเลย...กินเหล้าหน่อยไหมวะ โนบิตะ”
แทนที่จะเป็นผมหรือชานชวน คนพูดชื่อเฉพาะของไอ้เก้ากลับเป็นไอ้เตี้ยเพื่อนใหม่ของกลุ่มแทน พักนึงผมเห็นสายตาของพวกมันฟาดฟันกันกลางอากาศ บรรยากาศดูดุมากซะจนพี่พลอยยังต้องลุกออกไปจากตักไอ้เฮียทั้งที่เฟร้นฟรายยังคาปากมันอยู่เลย
“สั่งสิโนบิตะ เดี๋ยวกูเลี้ยงเองก็ได้” เชี่ยชานพูดสวยพลางยื่นเหล้าแก้วที่บ๋อยชงมาใหม่ไปให้อย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ไม่รู้ว่ามันเมาหรือโง่เป็นปกติอยู่แล้ว ถึงไม่ได้เอะใจเลยว่าเขากำลังเขม่นกันอยู่เนี่ย..
“เฮ้ยได้ไง กูบอกแล้วงวดนี้จะจ่ายเอง อย่ามาแย่งกู” เชี่ยเฮียรีบสวนขึ้นมาทันทีที่เห็นว่าชานจะแย่งมันจ่าย มันเลิกฟาดฟันสายตากลางอากาศกับโนบิตะแล้วหันไปต่อกรกับเชี่ยชานแทน ไอ้พวกนี้นี่มันอะไร ทำเป็นอวดรวยอยู่ได้น่าหมั่นไส้จริง
“ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ชอบดื่มแอลกอฮอล”
ทั้งสองหยุติสงครามแย่งจ่ายทันทีที่โนบิตะพูดทะลุเข้ากลางปล้อง ไอ้ชานทำหน้าเหรอหราซักพักก็พยักหน้าเข้าใจ ผิดกับไอ้เฮียที่ทำปากขมุบขมิบเหมือนกำลังบ่นอะไรซักอย่างในลำคคอ
“งั้นเดี๋ยวผมขอตัวเลยแล้วกันนะครับ...ไปครับ พิก ได้เวลากลับแล้ว”
ผมปรายตามองมันตอนที่พูดว่า ‘ได้เวลากลับ’ ถามมันผ่านสายตาว่าตกลงกลับน่ะกลับห้องมึงหรือกลับไปอยู่ที่ห้องกระจกกันแน่ แต่ไม่ทันจะได้อ้าปาก ไอ้คนแว่นจืดก็ลุกขึ้นยืนแล้วฉุดผมเสียเต็มแรง คอเสื้อนี่รังจนแทบจะหายใจไม่ออก
“จะไปไหนวะ เดี๋ยวพิกมันจะกลับไปเล่นเกมกับกู”
“เออ มึงจะรีบทำไม ก็ให้พิกมันกินให้เมาก่อนสิ...กูอยากเห็นมันเมา”
ได้ยินคำว่า ‘กินให้เมา’ ก็ตงิดแล้ว แต่ยังไม่เท่ากับที่พวกแม่งประสานเสียงขึ้นมาพร้อมกัน พอทีนี้ล่ะเข้ากันดีเป็นปี่เป็นขลุ่ย เชี่ยวชาญกับไอ้เฮียเตี้ยยกมือห้ามทัพทันทีที่ผมลุกขึ้นตามแรงดึงขอโนบิตะ แวบนึงแอบเห็นใต้แว่นของมันทำตาดุ ๆ ใส่ไอ้เฮีย แต่ก็แค่แว้บเดียวเท่านั้นแหละ เพราะพอตั้งตัวได้มันหันไปหาชานแล้วกดยิ้มมุมปากอย่างใจเย็น
“คืนนี้พิกต้องนอนกับผมครับ คุณแม่เขาฝากให้ผมช่วยติวการตลาดให้”
“เฮ้ย...อะไรวะ ติวกันสองคนได้ไง ทำไมไม่พากูไปด้วย”
“ก็คุณชานไม่ได้ติดเอฟการตลาดนี่ครับ...เก่งอยู่แล้ว ไม่ต้องติวก็ได้”
เรียกได้ว่างงเป็นไก่ตาแตก พอได้ฟังประโยคยาวยืดกับน้ำเสียงที่ติดจะชื่นชมเชี่ยวชาญก็หมดข้อสงสัยทันที... บางทีกูก็งงนะว่าเพื่อนกูโง่หรือโง่มาก ทำไมถึงดูไม่ออกวะว่ากำลังโดนไอ้ห่านี่ตอแหลใส่อยู่ !
“เอ้าหรอ...ขอบใจมากเลยนะ ก็มีแต่มึงนี่แหละที่มองเห็นความเก่งของกู... เอางี้แล้วกัน งั้นติวกันดี ๆ นะพวกมึง...โนบิตะ คราวนี้มึงต้องทำให้มันผ่านให้ได้เลยนะเว้ย ! แล้วเอา A ไปตอกหน้าอาจารย์ป้ากัน !”
“โอเคครับ ผมจะพยายาม”
“มึงก็ตั้งใจฟังที่โนบิตะมันติวล่ะ เข้าใจไหมวะพิก...เออ ๆ งั้นพวกมึงรีบไปเหอะ ดึกแล้ว เดี๋ยวง่วงนอนกันก่อนพอดี”
จบคำอวยพรไอ้เชี่ยชาญก็หันไปสนใจแก้วเหล้าแบบไม่คิดจะสนใจผมอีก คือตอนนี้งงมากครับ งงตัวเองมากว่าตกลงควรจะรู้สึกยังไงดี กูควรยังเฮิร์ทเรื่องพี่พลอย หรือจะปวดหัวที่เพื่อนตัวเองโง่โนลิมิตแบบนี้?... เผลอไปสบตาเข้ากับไอ้เฮีย ยังดูออกเลยว่ามันก็พอจะตะขิดตะข่วงใจเรื่องที่โนบิตะพูดอยู่บ้าง แต่ก็เอาเหอะ ในเมื่อไม่มีใครรั้งกูก็ไม่อยากนั่งตรงนี้แล้วเหมือนกัน
ผมเดินนำไอ้เก้าออกมาโดยที่ไม่ต้องรอให้มันบังคับอีก ก้าวขาผ่านบาร์ เจอพี่พลอยนั่งสูบบุหรี่สวย ๆ ซบกับลูกค้าที่ดูมีกะตังค์แล้วก็ยิ่งเจ็บใจ
ใช่สิ กูมันจนนี่ ไม่มีอะไรจะให้หรอกนอกจากตัวกับใจโทรม ๆ ดวงนึง...
“บอกแล้วใช่ไหม ว่าไม่ให้ออกไปเดินเพ่นพ่าน” ปิดประตูมาได้ก็ไล่บี้กูเลย ผมทรุดตัวลงนั่งบนที่พักแขนบนโซฟาสีแดง ตาไม่ได้มองไม่ได้สนใจซักนิดว่าโนบิตะมันกำลังทำอะไร รู้แต่ว่าตอนนี้อยากจะก้มลงมองตีนตัวเองอยู่อย่างนั้น อยากมองตีนกรัง ๆ คู่นี้อีกซักพักเพื่อย้ำว่าตัวเองแม่งไม่มีอะไรดีเลยซักอย่างยกเว้นกระเป๋าแบน ๆ ที่มีเงินอยู่ไม่กี่ร้อย เงียบไปอย่างนั้นอยู่พักใหญ่ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าคืบมาด้านข้างตอนนี้กูไม่มีอารมณ์จะต่อล้อต่อเถียงกับมึงหรอกนะ คนกำลังเฮิร์ทน่ะเข้าใจไหม?
“เป็นอะไร...โกรธหรอที่ห้ามไม่ให้ออกไปข้างนอก?”
แต่แทนที่เก้าจะด่าต่อมันก็เดินมาหยุดแล้วย่อตัวลงนั่งตรงหน้า ใบหน้าขาวของมันเงยขึ้นมามองหน้าผมนิ่ง ตอนนี้มันถอดแว่นตาอันเชยนั้นออกไปแล้ว เหลือแต่หน้าเกลี้ยงเกลากับผมทรงแฟชั่นที่ถูกสางลงมาปรกหน้านิด ๆ
“เปล่า” ผมตอบแล้วเสหน้าหันไปมองทางอื่นแทน ห้องกระจกของไอ้เก้ามันติดกับบันไดวนและเคาน์เตอร์บาร์ ด้านนอกมองเข้ามาน่ะไม่เห็นหรอก แต่ด้านในมองออกไปน่ะ ชัดเจนตำตา...
จะอะไรซะอีกล่ะ ก็พี่พลอยไง... กำลังป้อนคอกเทลลูกค้าหนุ่มคนใหม่กันซะใกล้ชิด
โอ้ย เฮิร์ทโว้ย!!!!!
“หันหน้ามานี่” ตะโกนในใจยังไม่ทันสุดเสียง โนบิตะมันก็ลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูงแล้วเชิดหน้าผมให้เงยขึ้นไปจ้องหน้ามัน ตอนนี้มันยืนอยู่ตรงกลางหว่างขาผมพอดิบพอดี แถมสายตาที่จ้องมองมาก็ดูดุอย่างกับหมาหวงกระดูก
“อะไร” ผมปัดมือมันออก พยายามจะหันกลับไปมองภาพพี่พลอยเพื่อตอกย้ำหัวใจ แต่ยิ่งดิ้นเท่าไหร่ มันก็ยิ่งล็อกคางผมแน่นขึ้น
“อย่าไปมองเขา...มองผมนี่”
“....”
“อย่าเศร้า...มองผมสิ...เดี๋ยวจะทำให้ลืมเขาเอง”
เรายื้อกันอยู่อย่างนั้นจนรู้ตัวอีกทีหลังผมก็เอนลงกับโซฟา มันพร้อมกันกับริมฝีปากของโนบิตะที่โน้มลงมาทาบทับพอดิบพอดี... จะว่ากูใจง่ายเลยก็ได้ แต่พอโดนมันจูบก็เหมือนกับจะลืมเรื่องราวเฮิร์ท ๆ ไปซะหมด จูบคราวนี้ของโนบิตะเหมือนกับจะสูบลมหายใจผมออกไปหมด... มันล้วงลิ้นเข้ามาตวัดลิ้นผม ผละออกแล้วดึงเข้ามาจูบใหม่ จูบย้ำ ๆ ซ้ำ ๆ อยู่อย่างนั้นจนมุมปากเราทั้งคู่เลอะน้ำลายไปหมด
ถ้าให้เดานี่อาจจะเป็นวิธีการปลอบใจแบบนึงของมัน ซึ่งแม่งโคตรไม่เอาถ่าน... ถามจริงเหอะ จะมีผู้ชายดี ๆ ที่ไหนอกหักจากผู้หญิงแล้วจะยอมให้ผู้ชายเอาอย่างผมบ้าง แต่ถึงจะคิดอย่างนั้นผมก็เริ่มเคลิ้มเมื่อมันลากปากลงมาเคล้าเคลียกับคอ ตอนที่มันซุกไซร้ ดูดดุน จูบฟัดที่หูนี่ทำเอาผมจนสั่นไปทั้งตัว
“เดี๋ยว...เดี๋ยวมึง...จะทำกันตรงนี้หรอ...”
ยอมรับเลยว่าถึงตอนนี้จะไม่ค่อยมีสติสตังหลงเหลือแล้ว แต่ที่หน้าก็ยังมียางอายอยู่ ผมผละจูบออกจากมันมาแล้วเงยหน้าขึ้นดูกลุ่มคนที่แด๊นซ์อยู่ข้างนอก ถึงจะบอกว่าด้านในนี้ไม่มีคนเห็น แต่กูก็เห็นคนข้างนอกอยู่ดีไม่ใช่หรอวะ
เอาจริง ๆ นี่แม่งก็ไม่ต่างอะไรจากโชว์เอากันให้คนอื่นดูเลยนี่หว่า...
“มึง...ไม่อายหรอวะ...คนเยอะแยะ”
“ไม่มีใครรู้หรอกน่า”
มันพูดพร้อมกับยื่นปากลงมาจูบฟัดที่คอผมอีกรอบ ริมฝีปากมันใกล้หูผมซะจนได้ยินว่าเสียงของมันพร่าแค่ไหน...กลิ่นอาฟเตอร์เชฟที่มันใช้ยิ่งชัดเจนเมื่อมันโน้มหน้าเข้ามาใกล้ ผสมกับกลิ่นน้ำหอมเข้ม ๆ ที่มันฉีดมาในวันนี้
“แต่กู....”
ผมเลื่อนมือลงไปจับแขนมันทันทีที่สัมผัสได้ถึงอะไรที่ดุนดันอยู่ตรงหว่างขา มือของเก้าไวมาก ไม่ทันไรมันก็ปัดมือผมออกแล้วล่วงเข้ามาลูบไล้ด้านในจนตื่นตัวคับกางเกง
“ไม่ต้องกลัว...เชื่อผมสิ”
ผมน่าจะรู้ว่าคำพูดของมันเชื่อไม่ได้ซักอย่าง เพราะเมื่อผมยอมให้มันปลดกระดุมกางเกง ยอมให้รูดปราการด่านสุดท้ายโยนออกไปไว้บนโซฟา ยอมให้มันล้วงมันควักน้องชายผมออกมาเตรียมจะก้มลงไปดูด แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไรจู่ ๆ เสียงเคาะประตูกระจกก็ลั่นขึ้นรัว ๆ ดังจนเราทั้งคู่สะดุ้งสุดตัว !
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“เปิดประตูเดี๋ยวนี้เลยนะมึง กูรู้ว่ามึงอยู่ในนี้ !!!”หันไปก็เจอไอ้เฮียเตี้ยยืนมองมาจากด้านนอก เรามองมันสลับกับหันมามองกันอยู่สองสามรอบ จนถึงตอนนี้มันยังไม่เลิกทุบกระจกเลยด้วยซ้ำ อึ้งอยู่นาเป็นนาทีพอตั้งสติได้ผมก็รีบลนลานผลักอกให้โนบิตะให้ออกห่างทันที
ดูมันจะหัวเสียมากกว่าที่คิด เพราะเมื่อผมดันมันออกจากตัว โนบิตะมันก็จัดเสื้อผ้าตัวเองแล้วเดินไปกระชากประตูให้เปิดออกอย่างแรง แม่งไม่ถามสุขภาพกูเลยซักคำ ไม่ได้ให้สัญญาณอะไรเลยทั้งที่กูอยู่ในสภาพกึ่งเปลือยแบบนี้ !
คือ...ตอนนี้กูก็ยังอยู่ในสภาพไม่ใส่กางเกงไหม ?
ทำอะไรคิดถึงสังคมบ้างสิโว้ย!!!!
“มีอะไรครับเฮีย”
มันถามขึ้นเสียงเรียบทันทีที่ไอ้เฮียชะโงกหน้าเข้ามา ในใจผมนึกอยากจะด่าไอ้เตี้ยนี่ที่ช่างไม่รู้กาลเทศะ แต่พอมองหน้าตาหงุดหงิดอารมณ์เสียของเก้าผ่านกระจกเงาสีดำนั่นแล้วก็นึกสงสารไอ้บ้าเฮียขึ้นมาตะหงิด...นี่มันจะรู้ไหมว่ากำลังเผชิญหน้ากับจอมมารเข้าให้แล้ว
“เปล่ากูแค่จะมาบอกว่าอย่าให้ชานมันจ่าย—อ้าวพิก...นี่มึงเข้ามาทำอะไรในนี้เนี่ย”
ยังดีที่ตอนมันโผล่หัวเข้ามาแล้วมีประตูกั้นไว้ ทำให้ผมมีเวลาใส่กางเกงทั้งที่ไม่มีกางเกงในประมาณเกือบสามวินาที ไอ้เฮียเสหน้าออกจากไอ้โนบิตะที่ยืนพิงอยู่ตรงกรอบประตู ก่อนจะเดินเข้ามาหาผมที่นั่งเม้มปากไขว่ห้างบังกระดุมกางเกงที่ไม่ได้กลัดเอาไว้
“อ๋อ...กูเข้ามาเอาของ เดี๋ยวจะไปแล้ว...เอ้อ งั้นกูไปก่อนนะโนบิตะ บาย...”
คือท่าทางของผมตอนนี้ดูยังไงก็มีพิรุธ แต่เห็นมันคุยกันสนิทสนมแล้วก็ยิ่งไม่อยากอยู่เป็นก้างขวางคอ ผมรีบก้าวอาด ๆ พยายามจะแทรกตัวผ่านมันทั้งคู่ แต่ยังไม่ทันที่จะได้เดินออกไปจากวงกบประตู ไอ้เฮียเตี้ยก็เรียกผมเอาไว้ด้วยน้ำเสียงที่ไม่บ่งบอกอารมณ์
“เดี๋ยวสิ...พิก อย่าเพิ่งไป”
ผมหันขวับไปหามันที่เบี่ยงตัวเข้าไปอยู่ในห้องตอนที่ผมแทรกตัวออกมา ไอ้เฮียยืนยิ้มแล้วชี้มือไปทางโซฟา บางอย่างที่เด่นหราอยู่บนนั้นทำเอาผมหน้าแห้ง...
“กูว่ามึงลืมของว่ะ”
มันหัวเราะออกมาเบา ๆ เมื่อเห็นผมตาโต มองตามมือมันไปก็ต้องอุทานใจเสียงดังว่า...
ไอ้เหี้ยเอ้ย! ลืมอะไรไม่ลืม กูลืมกางเกงในไว้ตรงนั้นได้ไงวะ!!
ผมรีบวิ่งไปปัดกางเกงในให้ตกลงลงจากโซฟาทันที ก่อนจะยืนเม้มปากมองมันที่นอนหายใจรวยรินเป็นเลข 8 เหมือนกับใบ้หวยอยู่บนพื้น ได้ยินเสียงหัวเราะเสียดหูที่ดังขึ้นลั่นห้องกระจกแล้วใจก็เหี่ยวแฟ่บ... ต่อจากนี้กูจะมองหน้าคนอื่นยังไง ไม่ต้องเอาคอไปไว้ที่ตีนเลยหรอ ?
“นี่พวกมึง...แน่ะ ๆ ๆ ๆ ๆ”
ไอ้เฮียเตี้ยพอเห็นผมพูดอะไรไม่ออกก็ตะโกนแซวซะใหญ่โต มือไม้ของมันชี้โบ้ชี้เบ้มาทางผมกับเก้าที่ยืนนิ่งเหมือนหุ่นหิน กูจะบ้าตาย ให้คนอื่นรู้ก็ไม่ได้ ทำไมต้องให้ไอ้บ้านี่เป็นคนรู้ด้วยวะ
แล้วท่าทางมันจะไม่โง่เหมือนไอ้ชานด้วย...กูต้องพูดยังไงมันถึงจะเชื่อว่าเราสองคนไม่ได้คบกันล่ะ !
เอ๊ะเดียว...ไม่ใช่คบ คือกูไม่ได้คิดจะคบกับโนบิตะ...ไม่ดิ ไม่ใช่ แค่นอนน่ะ นอน แค่นอนด้วยกัน ไอ้บ้าเอ้ย มาคิดมากอะไรตอนนี้วะเนี่ย!!!
“หุบปากได้แล้วครับคุณใหญ่...ถ้ายังไม่เลิกทำหน้าทำตาอย่างนั้นผมจะเดินออกไปบอกผู้จัดการว่าโต๊ะคุณกินฟรี ไม่ต้องจ่าย”
เงียบ...ได้ผลชะงัด เชื่อเขาเลยว่าเป็นคนกระเป๋าหนักจนต้องการระบายออกอย่างแรง ไอ้เฮียหน้าถอดสีไปเลยเมื่อได้ยินว่าโนบิตะจะทำยังไงกับมันถ้ามันยังไม่เลิกทำหน้าตาล้อเลียนอย่างนั้น... ว่าแต่ไอ้เฮียนี่ชื่อจริงๆคือคุณใหญ่หรอวะ...เออ กูไม่สงสัยแล้วว่าทำไมมันชอบให้คนอื่นเรียกเฮีย แม่งตัวเตี้ยอย่างกับหมาปั๊ก ชื่อใหญ่คงจะไม่เหมาะกับไซส์ตัวมันเท่าไหร่...
“เฮ้ย...อย่ามาทำเป็นขู่ ถ้าร้านนี้ฟรี กูหาไปจ่ายร้านอื่นก็ได้”
“งั้นผมจะให้ผู้จัดการไปบอกร้านอื่นในละแวกนี้ให้หมดว่าถ้าคุณใหญ่ไปกินให้กินฟรีตลอดชีวิต...เลือกเอาว่าจะเสี่ยงไหม ? คุณก็น่าจะรู้ดีนี่...ว่าเขตนี้ร้านไหนมีอำนาจที่สุด ?”
“...”
น้ำเสียงเย็นเยียบของโนบิตะกับสีหน้าซีดเผือดของไอ้เฮียใหญ่เกือบจะทำให้ผมขนลุกซู่แล้ว ฉากตรงหน้ามันคล้าย ๆ กับฉากมาเฟียกำลังขู่ลูกหนี้ในหนังไม่มีเพี้ยน แตกต่างอย่างเดียวก็ตรงแม่งเสือกขู่กันเรื่องที่จะไม่ยอมให้จ่ายตังค์หลังกินเสร็จนี่สิ...
นี่กูอยู่ในส่วนไหนของโลกใบนี้หรือ... เกิดมาไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องมาเจอกับคนเพี้ยน ๆ อย่างพวกแม่งเนี่ย...
จะบ้าตาย...
“ก..กูขอโทษ ขอให้กูจ่ายให้มึงเถอะนะ ” สีหน้าท่าทางที่ดูเหนือกว่าเมื่อครู่หายวับไปพริบตา ไอ้เฮียใหญ่ดูผิดหวังและเศร้าใจมากเมื่อเก้ายังคงปั้นหน้านิ่ง ๆ ใส่มัน “นะ ละแวกนี้ร้านมึงใหญ่สุดแล้ว ขอให้กูได้จ่ายตังค์ให้มึงเถอะ ขอร้อง”
“....แต่คุณต้องสัญญามาก่อนว่าจะไม่ล้อพิกอีก ไม่ว่าจะที่ไหน หรือเมื่อไหร่ ?”
ไอ้เฮียใหญ่หันขวับมาหาผมทันที มันเม้มปากแล้วพยักหน้ารัว ๆ
“โอเค กูสัญญา...กูจะไม่ล้อมึงอีก ถ้าไม่มีอะไรแล้วงั้นกูไปก่อนนะ กูกลัวมึงเปลี่ยนใจไม่ให้กูจ่ายอะ”
“รีบเถอะครับ ก่อนที่ผมจะหงุดหงิดมากไปกว่านี้” เก้าตอบเสียงเรียบ แล้วเดินเปิดประตูอ้ารอการจากไปของอีกคนอย่างใจจดใจจ่อ
“อือ งั้นกูไปก่อนนะ...พิก บายนะมึง ไว้เจอกันใหม่เมื่อชาติต้องการ”
หันมาล่ำลาจนสนแกใจไอ้เฮียใหญ่ก็รีบสาวเท้าออกไปก่อนที่ไอ้โนบิตะจะหงุดหงิดตามที่ขู่ขึ้นมา อันที่จริงผมก็ไม่เห็นว่าที่มันขู่จะน่ากลัวเลยซักนิด ไอ้ที่มันขู่ผมยังดูน่ากลัวซะกว่า เล่นเอาผู้หญิงบนหิ้งมา ใครล่ะจะกล้าหือ
“ผมล็อกประตูปิดม่านให้แล้ว...มาต่อกัน”
ดูท่าทางมันคงจะหื่นจริง ล็อกห้องปิดม่านเสร็จก็เดินตรงดิ่งมาหาผมที่ยืนงงทำตาปริบ ๆ ไม่ใช่อะไรนะ แต่คือกำลังงงไง ว่าสรุปมันยังจะมีอารมณ์เอาต่ออีกหรอ ?
“กูไม่มีอารมณ์ละ หายเฮิร์ทแล้วด้วย...”
ผมก้มลงมองน้องชายตัวเองที่ห่อเหี่ยวคามือ แหงล่ะ เกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นมา ใครมีอารมณ์จะทำต่อได้ก็แปลกแล้ว
แต่ไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อ คนตัวสูงกว่าก็นั่งลงยอง ๆ ตรงหน้า มันปัดมือผมที่กุมน้องชายตัวเองไว้ให้เลื่อนออกจากกลางลำตัว ก่อนจะรั้งกางเกงแล้วรูดทีเดียวถึงข้อขา
“ไม่เป็นไร ผมจะปลุกให้เอง”
ไม่รู้ว่ามันกินอะไรผิดสำแดงมาหรือเปล่า ? รู้แต่ว่าพอเห็นมันช้อนตามองจากข้างล่างแล้วก็เริ่มจะมีอารมณ์ขึ้นมาแปลก ๆ ตามขึ้นมาซะได้ หมู่นี้ผมว่าตัวเองชักจะหมกหมุ่นเกินไปแล้ว แค่โดนกระตุ้นนิด ๆ หน่อย ๆ ไอ้ท่อนวิเศษตราพิกน้อยก็ผงกหัวตื่นขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย
“...ซี๊ด...มึง...”
ผมสูดปากเหมือนกินของเผ็ดเมื่อไอ้เก้าจับน้องชายผมให้ตรงกับริมฝีปากมันแล้วครอบครองทีเดียวจนมิดด้าม เรียกว่าลีลามันยังร้อนแรงไม่มีตก ไม่อยากจะอธิบายเลยตอนที่มันใช้ลิ้นรูดเอาตั้งแต่โคนมาจนปลาย มันเสียวจี๊ดไปทั้งไปทั้งตัวจนแทบยืนต่อไม่ไหว
“มึง...ดูดเบา ๆ อย่าแรง...กูเจ็บ”
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันไปเอาเรี่ยวเอาแรงมาจากไหน พอไล่ไอ้เฮียไปได้มันก็สูดปากดูดแรงจนน้องผมน้ำตาเล็ด พยายามกลั้นก็แล้ว อดทนก็แล้ว แต่ก็ยังสู้ฤทธิ์ลิ้นกับท่าไม้ตายที่มันเอาฟันครูดไม่ได้ โนบิตะถอนปากออกแล้วเงยหน้ามองผมด้วยสายตานิ่ง ๆ นาทีนี้ยิ่งไม่แว่นบดบัง ยิ่งทำให้ผมเห็นหน้ามันได้ชัดเจนมากกว่าเดิม
“มีอารมณ์ขึ้นมาบ้างหรือยัง ?”
จะเรียกไอ้สิ่งที่มึงกำลังทำว่ายังไงดี ? ไอ้ที่มันพยายามปลุกผมให้ตื่นโดยการใช้ปากทำให้อย่างรุนแรง แถมยังเลื่อนมือมาขยำก้นจับแหวกแล้วแทรกนิ้วเข้ามาลูบวน ๆ จนมันสั่น ขมิบถี่ ๆ แบบนี้นี่เรียกว่ามีอารมณ์แล้วได้ไหม?...
ผมได้แต่เสหน้าไปมองทางอื่น จะให้ยอมรับว่ามีอารมณ์เพราะลีลาของมันแล้วก็ใช่ที่ ใจนึงก็ อยากแต่อีกใจก็ยังอาย จะให้หน้าด้านทำพยักหน้ายอมรับง่าย ๆ ก็ไม่ใช่เชี่ยพิกสิวะ !
ผมเม้มปากปิดสนิท ไม่ว่ายังไงก็ไม่อยากจะยอมรับว่าเริ่มตื่นตัวขึ้นมาแล้วนิด ๆ (?) เห็นอย่างนั้นมันก็ผละออกมาจ้องหน้าผมนิ่ง ๆ ยังจะจ้องกูอยู่อีก อยากทำอะไรทำไมไม่ทำให้เสร็จ ๆ เหมือนทุกทีล่ะวะ แม่งเอ้ย !
“ไม่ตอบ...สงสัยจะยัง”
โนบิตะพูดด้วยโทนเสียงเย็นเยียบก่อนจะลุกขึ้นเต็มความสูง มันทำท่าจะเดินไปที่โต๊ะทำงานทั้ง ๆ ที่มือและปากยังคงเลื่อมไปด้วย...อะไรต่อมิอะไรของผม โอ้ย ! อย่าบอกนะว่ามึงงอน ไอ้ชิบหาย ใครควรจะงอนกันแน่วะในสถานการณ์แบบนี้เนี่ย!!
“ดะ...เดี๋ยว!”
กูล่ะเบื่อตัวเองเป็นบ้า ขอบอกไว้ตรงนี้เลยนะ! ว่าที่เอื้อมมือออกไปรั้งชายเสื้อมันไว้ ไม่ใช่เพราะกระเหี้ยนกระหือรืออยากให้มันทำต่อ... แต่เพราะสีหน้ากับแววตาของมันที่มองมานิ่ง ๆ ไม่บ่งบอกอารมณ์ต่างหาก ไม่ชอบโดนมองอย่างนั้นน่ะ เข้าใจไหม? ไม่ชอบรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองทำผิดซะเต็มประดา
“อะไร” มันหยุดอยู่นิ่ง ๆ แล้วเอี้ยวหน้ากดสายตามองต่ำ
ยังจะถามอีกว่าอะไร...โอ้ย ไอ้ชิบหายยยยย
“กู...กู...”
นาทีนนี้ผมเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่น ถอนหายใจบ่นว่าเกลียดตัวเองเป็นรอบที่ล้าน ยังไงล่ะพิก พอเค้าหันกลับมาแล้วก็พูดไปซิวะ บอกแม่งไปเลยว่า ‘จะทำอะไรก็ทำ’
“ถ้าไม่พูดผมจะไปทำงานต่อแล้วนะครับ”
“กู..เอ่อ...” คำพูดแม่งคาอยู่ที่ปากนี่เอง แต่พูดไม่ได้ ไม่รู้จะพูดยังไง อายโว้ย! ไม่เข้าใจรึไง!
“พิก...” ผมมองมันที่ถอนหายใจเบา ๆ แล้วเลื่อนมือลงมาปัดมือผมออก... “อย่าทำแบบนี้...คุณไม่มีอารมณ์ ผมก็ไม่ทำอะไรคุณแล้วไง ยังไม่พอใจอีกหรอครับ”
“...”
“หรืออยากกลับ? ถ้าอยากกลับก็บอกดี ๆ เดี๋ยวผมจะให้พี่เกื้อไปส่ง”
ให้ตายเหอะ ผมชักจะหงุดหงิดขึ้นมาแล้ว มันคิดว่าตัวเองมีอารมณ์คนเดียวหรอวะ คิดว่าที่คนอื่นเค้าเอาแต่พูดว่า
ไม่ โง้นงี้งั้นเพราะไม่อยากทำหรอวะ ก็กูเป็นผู้ชายไง มึงน่ะเอากูเป็นคนแรก แล้วจะให้กูพูดออกมายังไงว่าชอบจัง รู้สึกดีนะ เอาอีกสิ งี้หรอ
อารมณ์เสียเป็นคนเดียวหรือไงวะ โลกนี้มีตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางรึไง !
“โอเคถ้าไม่ตอบ งั้นเดี๋ยวผมจะโทรเรียก--”
“กูอาย...” (มีต่อด้านล่าง)