10
“ไหนล่ะผ้าอนามัย” เงยหน้าขึ้นมาก็เจอน้องสาวบังเกิดเกล้าแบมือเข้ามาใกล้จนนิ้วแทบจะกระแทกตาแตก ผมถอนหายใจใส่
ไอ้พิมพ์แล้วชี้นิ้วไปที่โต๊ะกับข้าวด้านหลังก่อนจะหันกลับมาให้ความสนใจกับละครช่อง7ที่แม่ผัวกำลังถลึงตาใส่จอต่ออย่างเซ็ง ๆ
“อีกแล้วนะ! บอกแล้วใช่ไหมว่าให้ซื้อโมเดส ทำไมซื้อลอริเอะมาทุกทีเลย!”
เสียงไอ้พิมพ์ยังคงดังหึ่ง ๆ ที่ด้านหลัง แต่นาทีนี้ผมไม่ใส่ใจจะหันไปเถียงกับมันเหมือนอย่างทุกที เพราะเสียงในละครทีวีมันทำให้ผมนึกถึงเหตุการณ์ประหลาด ๆ บางอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้...
‘ฉันรู้แล้วว่าคนที่แกแอบไปคบชู้ด้วยน่ะเป็นใคร รอให้ถึงเวลาก่อนเถอะ! ฉันจะแฉพวกแกให้อายจนไม่กล้าเดินผ่านหน้าเซเว่นเลยคอยดู!’เสียงแม่ผัวที่แหลมจนเกือบทะลุแก้วหูแตกในทีวีนั่นทำให้ผมหายใจติดขัด อันที่จริงก็ไม่อยากจะนึกอะไรหรอกนะ แต่วันนี้แม่งโคตรประหลาด...ประหลาดจนต้องเก็บเอามาคิดมากทั้ง ๆ ที่ผมไม่ใช่คนคิดมากเลยอะคิดดูสิ
คืองี้นะครับ...หลังจากที่ไอ้โนบิตะมันกลับมาจากห้องน้ำพร้อมกับไอ้เฮียบรรยากาศก็เปลี่ยนไปเลย จากที่มีคุยเล่นกันบ้าง แว่นจืดมันก็เงียบเป็นเป่าสากตลอดงานจนไอ้ชานยังบ่นว่าไปฉี่แล้วอาจได้ขี้มาด้วยแต่ห้องน้ำสกปรกเลยขี้ไม่ลงจนพาลต้องหงุดหงิดแบบนี้ (ขอบคุณความขี้มโนของมึงมาก ควายยังดูออกเลยมั้งว่าแม่งไม่สบอารมณ์) แต่เล่า ๆ มาเนี่ยก็ยังไม่เท่ากับประเด็นที่ไอ้เฮียแม่งยิ้มกรุ้มกริ่มตลอดงานอย่างกับเมื่อกี้ไปเยี่ยวออกมาเป็นทองยังไงอย่างงั้น
แล้วที่จี้ใจกันสุด ๆ ก็เห็นจะเป็นตอนยื่นมือไปหยิบตังทอนนั่นแหละ นิ้วก้อยผมกับไอ้เก้าเสือกแตะโดนกันโดยไม่ได้นัดหมาย...แล้วจะให้ทำไง ก็รีบชักมือออกสิวะ! แต่ถึงจะรีบอย่างนั้นก็ยังไม่ทันสายตาอันขี้เสือก(เบอร์สอง)จากไอ้เฮีย มันมองผมสลับกับโนบิตะไปมาแบบมีเลศนัย ( น่าเห็นใจเชี่ยวชาญมันนิดหน่อย เพราะมันออกจะหงุดหงิดเล็ก ๆ ที่ไม่มีใครใส่ใจจะมองหน้ามันตอนพูดด้วยเลย ) หน้าด้านมองอยู่อย่างนั้นจนเป็นผมที่ต้องหลบสายตามันเอง
“ถามว่าทำไมถึงซื้อลอริเอะมา!”ภาพแม่ผัวลูกสะใภ้ด่ากันโขมงโฉงเฉงในทีวีตัดฉับกลายเป็นหน้านางยักษ์ขมูหมีพร้อมผ้าอนามัย 1 ห่อถ้วนมาอยู่ตรงหน้าแทน ผมถอนหายใจแล้วเอนหลังลงกับพนักพิง กอดอกแล้วพยักเพยิดหน้าไปทางห่อผ้าอนามัยในมือน้องสาว
“ก็โมเดสมันไม่มีปีก เห็นชอบบ่นว่าแยมเปื้อนขอบกางเกงทุกที เลยซื้อไอ้ที่บาง ๆ แบบมีปีกมาให้แทน จะได้สวยเหมือนนางฟ้าวิคตอเรียซีเคร็ทไง...ใส่แล้วบินได้เลยนะ กลิ่นก็หอมชาเขียว--”
“กรี๊ดดดดดดดดด พูดมาได้ยังไง หน้าไม่อาย เป็นผู้ชายแท้ ๆ มาแยมเปื้อนอะไรไอ้บ้า!!!!”
งานอดิเรกอีกอย่างที่นอกจากการปัดกวาดเช็ดถูบ้านก็แหย่น้องสาวเนี่ยแหละครับ ไอ้ที่บอกว่าตั้งใจซื้อแบบมีปีกนี่ก็มีเหตุผลจริง ๆ ก็กันไว้ก่อนดีกว่าแก้ทีหลังไม่ใช่หรอวะ พูดแค่นี้ทำมาเป็นอายแล้วทีเวลาฝากกูซื้อผ้าอนามัยนี่ไม่เคยจะอายเลย มาตะโกนใส่หน้าฉอด ๆ แบบนี้ใครจะเอามันไปทำเมียบ้างเนี่ย
“ทะเลาะอะไรกันอยู่ได้ เสียงดังไปถึงหลังบ้านเลย” นี่แม่ผมเองครับ เดินออกมาพร้อมตะหลิวที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำยาล้างจานจากอีเกีย แม่เดินออกมาหยิบผ้าขนหนูเช็ดเหงื่อที่ซ่กหน้า ก่อนจะขมวดคิ้วแล้วเท้าสะเอวมองผมกับน้อง
“ก็พี่พิกมันแกล้งหนู! / หนูเปล่าทำอะไรน้องนะแม่!” เราทั้งคู่ตะโกนขึ้นมาพร้อมกัน
ผมรีบยกมือขึ้นทำท่ายอมแพ้แล้วแก้ตัวอย่างไว สกิลเอาตัวรอดนี้ต้องงัดออกมาใช้ก่อนที่ตะหลิวแม่จะลอยมากระแทกหน้า ก็บอกแล้วว่าเป็นลูกชัง เห็นน้องมันออดอ้อนเข้าหน่อยแม่ก็พร้อมจะตีผมให้ก้นลายแล้ว... ก็อย่างว่าเกิดเป็นลูกผู้ชายบ้านนี้โคตรอาภัพ แม่ไม่ค่อยแสดงออกว่ารักเท่าไหร่...
“ไอ้พิก! แกแกล้งอะไรน้องมัน—”
ปรี๊นนนนนนนนนนนนน ยังไม่ทันที่แม่จะได้ยกตะหลิวขึ้นมาชี้หน้าผมแล้วฟาดก้นให้พร้อยไปด้วยลายมือเหมือนเสื้อยี่ห้อบอดี้โกรพ เสียงบีบแตรจากยานพาหนะปริศนาก็ดังขึ้นเป็นครั้งที่สอง พวกเราทั้งสามคนยุติการกระทำอันไร้ความเป็นกลางนี้ลง ก่อนจะพร้อมใจไปสามัคคีชุมนุมตรงหน้าต่างบานมุ้งลวดที่ข้างประตูแทน
“รถใครไม่คุ้นเลย” แม่ผมบ่นเบา ๆ
“กรี๊ดดดด ขับบีเอ็มดับบลิว ไอ8 ด้วย!!!” เสียงน้องสาวบ้าวัตถุ
“หรือว่าจะเป็น...” นี่ผมเอง...ครางออกมาเบา ๆ แล้วรีบตวัดหน้าหันไปมองนาฬิกาติดผนังที่ด้านหลัง...
Rrrrrr Rrrrrrrr มันไม่รอให้สมองได้ประมวลผลอะไรเลยครับ พอสิ้นเสียงแตรครั้งที่สามมันก็โทรเข้าเครื่องผมเลย
จะใครซะอีกล่ะ ก็ไอ้โนบิตะไง!
“ฮัลโห--”
[ “ออกมาเปิดประตูบ้านครับพิก...
เดี๋ยวนี้” ]
โอโห สั่งเสียงเข้มขนาดนี้กูเป็นคนรับใช้มึงปะเนี่ย? แต่ก็ไม่ได้อิดออดอะไรหรอกครับ พอมันพูดจบกดตัดสายปุ๊บ ผมก็รีบถลาไปคว้ากุญแจประตูรั้วทันที...
“ใครมาน่ะพิก” แม่ถามท่ามกลางความมึนงงของตัวแม่เองและน้องสาว คือไม่ใช่อะไรนะครับ รถไม่คุ้นตาเขาเลยงงกันนิดนึงว่าผมมีเพื่อนที่ไหนนอกจากไอ้ชานด้วยหรอ... แต่หลังจากนี้แม่ก็ควรรู้ได้แล้วนะว่าผมมีเพื่อนมากกว่าไอ้บ้านั่นเพิ่มมาอีกถึงสองคน...
“เพื่อนหนูอะแม่ เดี๋ยวหนูมา ไปเปิดประตูให้มันแป๊บนึง”
ไม่อยากให้รอนานครับ กลัวมันบีบแตรอีกรอบแล้วข้างบ้านจะออกมาตะโกนด่าข้อหาทำเสียงดังรบกวนในยามวิกาล ผมวิ่งเหยาะ ๆ ไปไขกุญแจรั้วแล้วเปิดประตูให้กว้าง ๆ เปิดเสร็จมันก็พุ่งรถเข้ามาในตัวบ้านทันทีอย่างรู้งาน...ดับเครื่องเสร็จลงมาก็เจอผมล็อกประตูรั้วอีกรอบแล้ว
“คุณแม่คุณยังไม่นอนใช่ไหม?”
ผมหันไปหามันที่เดินเข้ามาซ้อนข้างหลัง ไอ้เก้าตอนนี้อยู่ในสภาพที่... แต่งตัวดีโคตร ๆ มันใส่เชิ้ตขาวปกดำ กางเกงยีนเข้ารูปสีดำ เซตผมตั้งแต่ใส่แว่น (ไม่ใช่กรอบที่มันใส่ไปเรียนปกติ อันนี้ดูแพงกว่ามาก) แถมยังหอมฟุ้งไปด้วยกลิ่นน้ำหอมแบรนด์ที่ผมชอบแอบไปดมในช็อปของห้างดังบ่อย ๆ เข้าเซตกับถุงกระดาษแปะยี่ห้อขนมหวานชื่อดังอันเท่าเขื่องอีก...
เรียกได้ว่าดูดีเหี้ย ๆ ...ผิดกับสภาพผมตอนนี้มาก
“ยังไม่นอน มาแล้วก็ไปหวัดดีแม่ก่อน ขอโทษเค้าด้วยที่บีบแตรเสียมารยาทเมื่อกี้อะ” ผมพูดพลางเดินนำมันเข้าบ้านไป ไม่อยากจะบอกแม่กับน้องเลยว่าเนี่ย เพื่อนที่มหาลัย เพราะจากสภาพผมกับมันตอนนี้เหมือนเจ้านายกับคนใช้มากกว่า...
ก็จะอะไรอีกล่ะ ก้มลงมองตัวเองตั้งแต่เสื้อนอนเก่า ๆ คอขาดวิ่น (แต่ก็ยังใส่) กางเกงบ็อกเซอร์ขาสั้นลายสปองบ๊อบ (ที่ใส่เดินร่อนไปร่อนมาทั่วบ้านจนยางยืด) แล้วยังจะอีแตะโชว์ตาตุ่มด้าน ๆ นี่อีก...ทุกอย่างรวมกันแล้วไม่มีอะไรที่เทียบชั้นกับมันได้เลยแม้แต่น้อย
เรียกได้ว่าไอ้โนบิตะแม่งฉีกภาพไอ้แว่นจืดออกไปได้อย่างสมบูรณ์แบบเลยทีเดียว (แม้จะใส่แว่นตาเหมือนกันก็ตาม)
“แม่...นี่เพื่อนหนู ชื่อเก้า...เก้า นี่แม่กู...ชื่อนายแม่”
เข้ามาถึงในตัวบ้านผมก็รีบแนะนำนายแม่ให้เพื่อนรู้จักก่อนเลย ไอ้โนบิตะพอถอดรองเท้าเสร็จก็รีบเงยหน้าขึ้นมาพนมมือไว้กลางอกแล้วค้อมหัวไว้ลงอย่างนอบน้อมรู้งาน ส่วนแม่น่ะหรอ เห็นแล้วก็ทำหน้าเขิน ๆ มือไม้นี่พันกันยุ่ง...สงสัยไม่คิดว่าเพื่อนลูกจะหล่อขนาดนี้
“สวัสดีครับคุณแม่”
“สะ...สวัสดีจ้ะเก้า...เข้ามานั่งก่อนสิ” แม่ผายมือเชิญแขกไปทางโซฟาตัวใหม่ที่ซื้อจากอีเกีย แต่ยังไม่ทันจะได้ก้าวขาเหยียบพรมเปอร์เซียที่ช่างไม่เข้ากับสภาพบ้านก็ต้องยิ้มกว้างออกมาเมื่อโนบิตะมันยื่นถุงที่อยู่ในมือส่งไปให้
“ไม่ทราบว่าคุณแม่จะชอบหรือเปล่านะครับ แต่ขนมเจ้านี้คุณแม่ผมท่านก็ชอบ...เห็นพิกบอกว่าคุณแม่เปิดร้านขายอุปกรณ์ทำเบเกอร์รี่เลยคิดว่าคุณแม่คงจะชอบขนมเค้ก”
“อุ้ย” เรียกว่าเลือกของมาได้ฉลาดมาก แม่ผมนี่ตาวาวอย่างกับเห็นของลดราคาในท็อปส์ “แบรนด์นี้ที่เพิ่งมาเปิดตัวในพารากอนใช่ไหมจ้ะ แม่เล็งไว้นานแล้วว่าจะชวนลูกสาวออกไปชิมพอดี...ขอบคุณมากเลยนะจ้ะลูกชาย” แม่พูดแล้วก็ชี้ไปทางไอ้พิมพ์ที่ยืนตัวบิดอยู่ข้างหลัง สายตาน้องสาวผมนี่วาววับ ดูท่าทางอยากจะทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ของพี่ชายมันมาก แต่จากสภาพเสื้อผ้าที่มันใส่อยู่ตอนนี้คงจะไม่กล้าทำอะไรกระโตกกระตาก ก็ชุดพละเก่า ๆ สมัยม.ต้นนั่นมันดูเหมือนชุดจีบหนุ่มซะเมื่อไหร่
จะว่าไปก็เรียกได้ว่าไอ้เก้าประสบความสำเร็จในการเข้าหาแม่ผมมาก ขนาดเชี่ยชานเข้าบ้านผมมาตั้งแต่อ้อนแต่ออกแม่ผมยังไม่เคยเรียกมันว่า ‘ลูกชาย’ ด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานแบบนี้เลยซักครั้ง...น่าน้อยใจแทนแม่งไหมล่ะ ตาแม่งี้เชื่อมเชียว ส่วนน้องสาวบังเกิดเกล้างี้ถอยกรูดหลบมุมไปอยู่หลังเสาอย่างรู้หน้าที่...ไม่มีออกมาโวยวายเหมือนตอนผมเล่นเกมกับไอ้ชานเลยซักนิด...
“แล้วมาทำอะไรดึก ๆ ดื่น ๆ ป่านนี้ล่ะจ้ะ มีธุระสำคัญอะไรกับพิกเขาหรือเปล่า” แม่ถามขึ้นทันทีที่พวกเราหย่อนก้นลงสัมผัสกับความนุ่มของโซฟา ไอ้เก้าไม่ตอบอะไรในทันที มันทำเพียงแค่หัวเราะ แล้วก้มลงไปหยิบถุงกระดาษอีกอันมาวางไว้บนโต๊ะ
“มาติวหนังสือให้พิกน่ะครับ”
“ติวหนังสือ? / อ่านหนังสือเนี่ยนะ? / ติวอะไรวะ” แม่ / น้อง / ผม ตกใจแบบเรียงตามลำดับ
ทุกคนในบ้าน(รวมถึงผม)กรีดร้องอย่างคนเสียประสาทเมื่อสิ่งที่มันพูดออกมาเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยทำเลยตั้งแต่เกิดมาในชีวิตนี้ ไม่ใช่แค่ผมเท่านั้นที่ตกใจสุดขีด แม่และน้องต่างก็ออกอาการมือไม้อ่อนทันทีเมื่อได้ยินไอ้โนบิตะมันพูดออกมาอย่างนั้น
“ใช่ครับ” มันยิ้มอย่างไว้ที “จะเป็นการรบกวนเกินไปไหมครับ ถ้าหากผมจะขออนุญาตติวกับพิกจนกว่าจะอ่านที่เตรียมมาจนหมด”
ได้ยินคำว่า ติว ที่มันเน้นเสียงก็ขนลุกวาบเป็นวงที่กลางสันหลังเลยครับ ไม่พูดเปล่านะ แม่งยังหันมาพยักหน้าแล้วยิ้มให้ผมอีกด้วย... จะมาไม้ไหนล่ะวะเนี่ย วันนี้ก็แกล้งมันไปซะเยอะด้วย....
ไม่น่าเลยกู....ไม่น่าเลย
“ได้สิจ๊ะ” แม่พูดด้วยน้ำเสียงเหมือนพระแม่มารีตอนประทานพร “เดี๋ยวแม่ล้างจานเสร็จก็จะขึ้นไปนอนแล้ว ลูก ๆ ก็ไปอ่านหนังสือกันข้างบนนะ...พิมพ์ถ้าจะดูทีวีก็เบาๆเสียงหน่อยนะลูก พี่ๆเขาจะได้มีสมาธิอ่านหนังสือกัน”
โอโห นี่มันพระแม่มารีอาร้องเพลงของมาดอนน่ากับบียองเซ่!!! ไม่รู้จะอุทานเป็นภาษาอะไรเลย รู้แค่ว่าตั้งแต่จำความได้ก็ไม่เคยเห็นแม่ตัวเองพูดจาไพเราะเหมือนเคาะออกมาจากกลอนโบราณอย่างนี้! เชี่ยเก้ามันทำได้ไงวะ ทำให้แม่ผมเรียกผมว่า ‘เขา’ แล้วยังจะให้ไอ้พิมพ์เงียบเสียงเพื่อให้ผมได้ติวหนังสืออย่างเป็นสุขอีก???
ผมหันไปมองน้องสาวตัวเองที่หลบมุมหลับเสาพยักหน้าหงึก ๆ แล้วเสหน้ากลับมาหรี่ตามองไอ้เก้าที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เห็นมันกระตุกยิ้มนิด ๆ ก็รู้แล้วว่าแม่งเล่นไม่ซื่อ ! รู้ว่ากูกลัวแม่ก็เลยกะเข้าทางแม่กูสินะ... ไอ้คนเจ้าเล่ห์เพทุบาย ไอ้ตัวร้ายในการ์ตูนเล่มละ 45 บาท! มึงมันเลยจุดประสงค์ของคำว่าโนบิตะไปไกลแล้ว! มึงมันจอมมาร! มึงมันโวลเดอมอร์ในคราบดัมเบิ้ลดอร์ มึงมันเซารอนในคราบแกรนดาฟ!!!!!
“ขอบคุณมากนะครับ...งั้น...เริ่มติวกันเลยดีกว่านะครับพักเดี๋ยวจะดึกแล้วง่วงซะก่อน”
สาบานได้ว่ามันกำลังพูดกับผมด้วยน้ำเสียงแบบที่เริงร่าเป็นที่สุดเลย!!! หันไปเจอแม่ก็ทำหน้าเหมือนปลิ้มปริ่มซะมากมาย กะอีแค่ลูกชายมีเพื่อนรักเรียนมันจะอะไรกันนักกันหนา รู้แล้วว่าหล่อ! แต่ไม่เห็นต้องแสดงออกหน้าขนาดนี้เลย...
ไอ้พิมพ์ก็เหมือนกัน หันไปมองอีกรอบก็หายแว๊บไปแล้ว มาอีหรอบนี้ไม่ต้องเดาเลยว่าแม่งหายไปไหน ก็ไปแต่งตัวน่ะสิ เอาหัวเป็นประกันว่าอีกไม่กี่นาทีหลังจากนี้ต้องมีคนมาเคาะห้องผมระหว่าง ‘ติว’ อย่างหนักแน่นอน!
.
.
.
ขึ้นมาถึงห้องตัวเองก็ทางโปร่งโล่งสบายแล้วครับ พอปิดประตูหนีสายตาวิววับเป็นประกายมันวาวของแม่ได้ผมก็โยนถุงหนังสือทั้งหมดลงบนเตียงแล้วเอานิ้วโป้งตีนยกขึ้นชี้หน้ามันด้วยความหงุดหงิดทันที
“ติวหนังสือเหี้ยไรของมึงวะ พูดโกหกตกนรกกินขี้นกไปโรงเรียนนะโว้ย”
ผมออกปากด่าทั้งที่ตีนยังชี้หน้ามันอยู่ ส่วนไอ้โนบิตะน่ะหรอครับ ดูไม่สะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย มันเงยหน้ามองสำรวจห้องผมใหญ่ ไม่รู้ว่ามีอะไรน่าสนใจหรือแกล้งทำเป็นหูทวนลมใส่ผมกันแน่
“กูถามว่าติวหนังสือเหี้ยอะไรของมึง!” พอสบโอกาสที่มันเดินเข้ามาใกล้ก็ออกแรงเหวี่ยงตีนกระแทกข้อพับมันอย่างแรง ไอ้เก้าเซไปข้างซ้ายนิดนึงก่อนจะหันขวับกลับมาหาผมที่นอนแผ่หลาเท้าศอกสองข้างชะโงกหน้ามองมันกลับอย่างกวนตีน
“ไม่ได้จะติวหนังสือหรอกครับ” พูดจบก็ถอนหายใจใส่ผมดังเฮือกเหมือนคนเซ็งในอารมณ์แบบสุด ขีด “กางโต๊ะญี่ปุ่นสิครับ เดี๋ยวจะบอก...ว่าทำไมถึงมาหา”
ผมหันไปตามสายตาของมันที่มองไปยังโต๊ะญี่ปุ่นเล็ก ๆ ข้างโต๊ะเขียนหนังสือ ไอ้เก้สส่งเสียงเบา ๆ ว่าเร็ว ๆ อีกครั้งในลำคอ มันเข้มซะจนต้องรีบพลิกตัวลงจากเตียงไปหยิบโต๊ะมากาง ทั้ง ๆ ที่ก็ไม่รู้ว่าจะทำตามคำสั่งของมันทำไม...
กางโต๊ะเสร็จมันก็ลงมานั่งขัดสมาธิแล้วหยิบหนังสือเป็นตั้งเลื่อนมาวางไว้ตรงหน้า ผมขมวดคิ้วมองไอ้กองหนังสือเท่ากระเป๋าแบรนด์เนมตั้งเล็ก ๆ ของไอ้พิมพ์สลับกับมองหน้าโนบิตะมันแบบคนกำลังงง
“นี่อะไรวะ”
ถามออกไปเพราะไม่รู้จริง ๆ ครับ หนังสือเท็กซ์เป็นภาษาอังกฤษทั้งนั้น แถมมีกระดาษคั่นไว้ให้เรียบร้อยเลย แต่ประเด็นไม่ใช่ว่ามันเรียบร้อยไม่เรียบร้อย ประเด็นคือ...แล้วมึงมาซะดึกดื่นขนาดนี้ บีบแตรจนข้างบ้านแทบจะออกมาฟ้อนรำด่ากูเป็นเพลงกาพย์เพื่อมากางหนังสือให้กูดูเนี่ยนะ...
“งานวิจัยของกลุ่มเราที่ต้องส่งพรุ่งนี้ไงครับ” โนบิตะพยักเพยิดหน้าบนกองหนังสือ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือตัวเองมาวางไว้บนโต๊ะแล้วสไลด์เข้าแอพไลน์
“แล้ว...ยังไงวะ” ก็จะไม่ให้งงได้ยังไง ผมเคยต้องอ่านหนังสือพวกนี้ที่ไหน ปกติโนบิตะมันก็ทำจนเสร็จเป็นเล่มแล้วส่งให้ตลอด...
อย่าบอกนะว่า...
“จะให้คุณทำไงครับ...” มันเงยหน้าขึ้นมาจากโทรศัพท์แล้วส่งยิ้มเย็นเตร็กที่ไม่ได้เป็นเจ้าของเดียวกันกับโทนาฟมาให้ “เห็นเมื่อเย็นปากดีนัก ลองทำเองดูบ้างซักครั้งสิครับ จะได้รู้ว่าทำงานแทนคนอื่นมันเหนื่อยแค่ไหน”
โอโห มาประโยคเดียวนี่กูเย็นวาบไปทั้งหน้าเลย... อันที่จริงก็เริ่มรู้สึกผิดขึ้นมานิดหน่อยแหละครับ หนังสือตั้งเท่าตึกช้างขนาดนี้มันอ่านแล้วสรุปเป็นการบ้านให้พวกผมได้ไงวะ... มันเอาเวลาตอนไหนไปทำถ้าไม่ใช่หลังเลิกงานที่เกือบจะเช้าตรู่ของทุกวัน? ลองนึก ลองประติดประต่อเหตุการณ์ดูก็เท่ากับว่าช่วงไหนมีการบ้านเป็นงานกลุ่ม (ซึ่งบ่อยมาก ๆ) ก็เท่ากับว่ามันก็แทบไม่ได้นอนเลยงั้นสิ...
เห็นสีหน้าจริงจังของมันแล้วก็แอบกลัวนิด ๆ ครับ คือมันมองมาด้วยสายตาเย็นชาแบบสุด ๆ ใต้ตางี้ ถ้าไม่เอาแป้งกลบ ไม่มีแว่นบังก็เกือบจะน้อง ๆ หมีแพนด้าของพี่จีนแล้ว... แม่ง น่าสงสารชิบหาย...เอาไงดีวะ จะใจอ่อนหรือจะแข็งใจไว้...
“กูไม่ทำ” พอคิดได้ว่าไม่ควรทำตามให้มันย่ามใจก็รีบกระโดดขึ้นเตียงแล้วห่มผ้าทันที “กูง่วง จะนอนแล้ว ไม่ทำอะไรทั้งนั้นแหละ”
บอกมันเสร็จก็ตะแคงตัวนอนหันหลังให้...ใครอยากทำก็ทำไปสิ แต่กูไม่ทำแน่ ๆ
“แน่ใจนะ?” มันถามกลับด้วยน้ำเสียงไม่จริงจังนัก และจากนั้นที่ว่างข้าง ๆ ผมก็ยวบไปตามร่างของมันที่ทิ้งตัวลงมานอนข้าง ๆ
“เออแน่ใจ” ผมตอบแล้วเอี้ยวตัวหันกลับไปมองมันที่นอนเท้าแขนอยู่ข้าง ๆ มองมาก็มองกลับสิวะ ไม่กลัวหรอก! “ถ้าอยากให้มีคนทำมากเดี๋ยวพรุ่งนี้กูไปให้เชี่ยชาน--”
“อย่าพูดถึงคนอื่น” อยู่ ๆ มันก็พูดสวนขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย สีหน้ากับน้ำเสียงนี่เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังตีนเลยครับ “งั้นทำอย่างอื่นดีไหมล่ะครับ...ทำอะไรก็ได้ที่ผมจะไม่รู้สึกว่าเสียน้ำมันรถมาที่นี่ฟรีๆ”
มาแล้วครับฉากเข้าพระเข้านาง... มันพูดพร้อมกับยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนเกินพอดี ใกล้จนลมหายใจของมันเป่ารดข้างแก้มผม... คือไม่ใช่ว่ากูจะสมยอมนะ แต่สถานการณ์นี้ ในห้องกูแบบนี้...ก็อยากจะรู้เหมือนกันว่ามันจะกล้าทำอะไรที่มากไปกว่าจูบบ้าง
“...”
“ไม่กลัวเลยหรือไง” มันถามเบา ๆ เพราะผมจ้องสู้มันกลับยิบตา
“ไม่” ผมตอบทั้งยังคงจ้องตามันอยู่อย่างนั้น
ทุกอย่างค่อย ๆ ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ทั้งจมูกโด่งเป็นสัน ทั้งดวงตาคู่เรียวรีและริมฝีปากสีแดงฉ่ำของมัน โนบิตะมันยอมป๊อดเพราะเป็นฝ่ายหลับตาก่อน แต่หลังจากนั้นรู้ตัวอีกทีท้ายทอยผมก็โดนรวบเข้าไปใกล้จนริมฝีปากของเราทั้งคู่สัมผัสกันแนบแน่น
อีกครั้งที่ต้องบอกว่าแม่งจูบโคตรเก่ง... โนบิตะเล็มริมฝีปากผมจากด้านนอก ทั้งบดคลึงทั้งขยี้เบา ๆ จนรู้สึกจั๊กจี้ ไม่รู้เป็นห่าอะไร แต่เวลาจูบกันแทบทุกครั้งมันจะต้องดูดกลีบปากผมจนช้ำไปหมด ลิ้นก็เหมือนกัน ชอบสอดเข้ามาแล้วดุนเล่นกับเพดานอยู่ได้ คือมันจั๊กจี้ไง...พอคัน ๆ ปนเสียว ๆ ผมก็ต้องถดหน้าออก พอถดหน้าก็เหมือนยิ่งเปิดทางให้มันคร่อมผมได้สะดวกอย่างนี้...
“วันนี้คุณแม่งโคตรน่าหมั่นไส้เลยรู้ตัวไหม” มันผละปากออกมากระซิบเบา ๆ ที่ข้างหูโดยที่มือก็เลิกเสื้อลูบไล้แผ่นอกผมไปด้วย... แล้วเชื่อไหม ตอนมันบอกว่าหมั่นไส้นี่สะกิดยอดอกผมอย่างแรงจนต้องผวาจิกหลังมัน... ล่อแหลมสุด ๆ ไปเลยครับไอ้เหี้ย ทั้งเขี่ยทั้งบีบซะแรงเลย... นวดคลึงเฟ้นแม่งขนาดไหนก็ไม่มีน้ำนมคุณแม่ออกมาให้มึงดูดหรอกไอ้ห่า!
“ปากดีนักไม่ใช่หรอ แล้วทำไมตอนเฮียมันพูดถึงไม่หัดปฏิเสธซะบ้าง...”
“....”
“หรือว่าชอบใจกับตำแหน่งเมียที่คนอื่นเขายัดเยียดให้...”
สมงสมองตอนนี้ไปหมดแล้วครับ แม่งพูดอะไรมาก็ฟังไม่ค่อยจะรู้เรื่องแล้ว ได้ยินอยู่ไม่กี่คำคืออะไรเฮีย เมีย ๆ ...แม่งบ่นอะไรวะ งุบงิบงุบงิบอยู่ได้ตรงคอชาวบ้าน พูดไปก็ดูดคอกูไปแบบนี้ใครเขาจะฟังมึงรู้เรื่อง!
“อะไรของมึงเนี่ย...จะพูดอะไรก็พูดออกมาดัง ๆ สิวะ” ผมขมวดคิ้วมองไอ้เก้าที่ผละหน้าออกมาจากคอ มันถอนหายใจออกมาเบา ๆ กลอกตามองเพดาน แล้วกระแทกเสียงใส่ผมอย่างคนอารมณ์เสีย
“ถามว่าชอบนักหรือไง ที่ให้คนอื่นเขามองว่าเป็นเมียเชี่ยวชาญน่ะ!” “ห๊ะ...”
วิ๊งเลย...อึ้งเลย... เดี๋ยวนะ... คือกูไม่คิดว่านี่จะเป็นเรื่องที่น่าเก็บเอามาคิดไหม? ใครจะพูดอะไรก็ช่างมันสิวะ คนเป็นเพื่อนกันก็รู้อยู่แก่ใจว่าไม่มีอะไร แล้วมึงจะมาหงุดหงิดอะไรกูเนี่ย
ก๊อก ก๊อก ก๊อก “พี่พิก เปิดประตูหน่อย พิมพ์เอาน้ำมาให้”อยู่ ๆ ก็เหมือนกับว่าได้ยินเสียงระฆังดังช่วยชีวิตในใจ ผมนี่แทบจะตีลังกาลงจากเตียงทันทีที่รู้ว่าน้องสาวมายืนเรียกอยู่หน้าห้อง... แต่ไม่ทันที่จะได้ลุกออกตากฟูกไปตามใจปรารถนา โนบิตะมันก็กระชากแขนผมให้กลับมานอนที่เดิม แล้วโน้มหน้าลงมาใกล้ ๆ
“จะไปไหนครับ” มันรวบแขนทั้งสองข้างของผมแล้วออกแรงกดล็อกแขนจนแทบขยับไม่ได้
“จ..จะไปเปิดประตูให้พิมพ์ไง...มันเอาน้ำมาให้...ไปเปิดช้าเดี๋ยวมันสงสัย”
“ไม่ให้ไป” โนบิตะยื่นคำขาดแล้วหรี่ตามอง “ถามม่ตอบก็ไม่ให้ไป”
“โอ้ย...เป็นเหี้ยอะไรของมึงเนี่ย ลุกออกไป กูจะไปหาน้องสาว” อยู่ดี ๆ ก็เกิดรักน้องสาวบังเกิดเกล้าขึ้นมาเฉย ผมแหวใส่มันเสียงเบาแล้วพยักเพยิดไปทางประตู สถานการณ์ล่อแหลมแบบนี้ยังจะเอาอะไรจากกูอีก ยิ่งผมดิ้นจะลุกจากเตียงมันก็ยิ่งล็อกแขนผมแน่นขึ้น เรียกว่าไม่ยอมลดราวาศอกให้เลยแม้แต่น้อย
“ก็บอกว่าไม่ให้ไปไงครับ ถ้าดิ้นอีกอย่าหาว่าไม่เตือนนะ” มันพูดขู่แล้วเลื่อนมือมาหยุดอยู่ตรงหน้าอกทั้งสองข้างของผม แต่เรื่องอะไรกูต้องเชื่อมึงวะ พูดจาอย่างกับพระเอกละครหลังข่าว...กูไม่ใช่นางเอกนะที่เอะอะจะยอมให้มึงทำตามใจยังไงก็ได้...เพราะงั้นกูไม่สนใจหรอก จะพูดอะไรก็พูด ยังไงกูก็จะดิ้น!!
ดิ้น....
และ....
“โอ้ยไอ้เหี้ย!!! กัดมาได้เจ็บนะโว้ย! ”
ผมตะโกนลั่นเมื่อมันโน้มลงมากัดหน้าอกผมแล้วใช้มืออีกข้างบีบแรง ๆ จนรู้สึกชาไปหมดทั้งร่าง... ไอ้ห่าเอ้ย กัดซะแรงเลย ชาติที่แล้วเป็นหมาหรือไงวะเนี่ย!
“ก็ให้เจ็บครับ... จะได้จำ” มันพูดอู้อี้กับหน้าอกผมแล้วแลบลิ้นเลียวนรอบ ๆ “ทีนี้จะจำได้หรือยังว่าเป็นของใคร”
“ของใครเหี้ยอะไรล่ะ มึงกับกูไม่ได้เป็นอะไรกันเลย”
“แต่เราก็มีสัญญาต่อกันนี่ครับ” มันพูดหน้าตาเฉยเลยเว้ย พูดออกมาได้หน้าไม่อายทั้ง ๆ ที่มันเป็นเรื่องที่ไม่น่าพูด “ตราบใดที่ยังมีสัญญากับผม คุณก็ห้ามให้ความหวังคนอื่น”
“เดี๋ยว ๆ โนบิตะ มึงคิดอะไรไปไหนต่อไหนเนี่ย กูงงไปหมดแล้ว มึงพูดอะไรช่วยพูดให้กูเข้าใจได้ไหม...ให้ความหวังใครวะ กูงง”
“ไม่เข้าใจก็งงต่อไปเพราะผมก็ไม่ได้คิดจะถือโทษโกรธคนโง่อยู่แล้ว”
แม่งไม่สนใจผมเลยครับตอนนี้...เอาแต่ลากปากกดจูบไปทั่วท้องผมอย่างเดียวเลย... แล้วแม่งสะท้านไปถึงม้ามถึงไตก็ตรงที่ตอนนี้มันเริ่มทำปากหนัก กดจูบหนัก ๆ ลงต่ำเรื่อย ๆ ทั้ง ๆ ที่น้องสาวผมยังคงตะโกนเสียงดังเคาะประตูห้องไม่หยุดไม่หย่อนเนี่ย!!!
“พี่พิก ได้ยินไหม เปิดประตูหน่อย!!!”“อยากให้น้องคุณได้ยินก็ตะโกนอีกสิ”
ผมไม่รู้ว่าตัวเองมาถึงจุดนี้ได้ไง จุดที่เมื่อกี้กูยังปฏิเสธจะทำการบ้านให้มันอยู่เลย... แล้วตอนนี้คืออะไร จะให้น้องกูได้ยินอะไรที่นอกจากการ ‘ติวหนังสือ’ อีกกก ตกลงจุดประสงค์มึงคืออะไรแน่...แต่งตัวหล่อๆมาบังคับกูให้ทำการบ้านหรือมาคาดคั้นกันว่าห้ามเป็นเมียคนอื่น...
“มึงแม่งเป็นเหี้ยอะไรวะกูงงไปหมดแล้ว เดี๋ยวอารมณ์ดี อารมณ์ร้าย ตกลงมึงเป็นคนยังไงแน่วะเนี่ย”
ผมพูดใส่หน้ามันไปด้วยความมึน... คือกูก็ไม่ได้อะไรนะเรื่องที่เรามีเซ็กส์กันเพราะนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรก แต่คือกูก็งงไง สงสัยว่าเมื่อกี้มันก็ยังดี ๆ อยู่แท้ ๆ แต่ทำไมจู่ ๆ ก็อารมณ์ขึ้นแล้วฟาดงวงฟาดงาใส่ผมแบบนี้...
หรือถ้าเป็นรสนิยมมึงก็ช่วยบอกกันหน่อย....กูไม่เก็ทโว้ยยยย กูโง่!!!
“คุณไม่ต้องสนใจหรอกมั้งว่าผมเป็นคนยังไง” มันจ้องลึกเข้ามาในดวงตาของผม
“....”
“สนใจแค่ว่า...ผมไม่ชอบบางสิ่งที่คุณทำ... ก็เท่านั้นแหละครับ”
จนถึงตอนนี้กูก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี...
จะเรียกว่าโง่ก็ได้นะ...แต่ว่า...
แล้วกูไปทำอะไรให้มึงไม่ชอบล่ะโว้ย!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! ____________________________________________
TBC
ความเมีย ความผัว ความครอบครัวแตกแยก...
ความชิสุกะมีเงี่ยนงำอยู่เบื้องหลังแน่ๆ อิอิ
มันร้ายนะคะหัวหน้า!