ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
สรุปข้อสำคัญดังนี้
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้าม มิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์ และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด
โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม
5.ขอ ให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่ นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว
6.อย่า พูดคุย ทักทาย นักเขียน คนอ่่านโดยรีพลายดังกล่าวไม่เกี่ยวพันกับนิยายให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรคอมเม้นต์สักคอมเม้นต์เีดียวก็เพียงพอแล้ว ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และทำลิงค์โยงมายังนิยาย และให้นักเขียนทุกคนทำลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยเกี่ยวกับแฟนคลับนิยาย ในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
7.1 นิยาย 1 ตอน จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
- 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
เวปไซต์ แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่าง ประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0เรื่องนี้แต่งล้วนๆ อ่านเพื่อความสะใจ
ไปอ่านกัน....เฮ้อ! ง่ายๆ สั้นๆ ไปไหมหว่า???
เทพพิทักษ์ขุนทัพ
Part 1
ไอ้ขี้ขลาด.....
.
.
.
“เก็บถุงเท้ากูด้วย..เสร็จแล้วขึ้นไปเอางานกูมาทำให้เสร็จ พรุ่งนี้กูไม่มีส่งมึงต้องรับผิดชอบ” คำพูดจากปากชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่หุ่นนักกีฬา วิศวะปิโตรเลียมปีสองจากสถาบันชื่อดังของรัฐฯ
มีศักดิ์เป็นลูกชายของผู้มีอุปการะคุณของหนุ่มรุ่นพี่ปีสี่จากคณะเดียวกันมหาลัยเดียวกัน แม้ความสูงจะเลื่อมล้ำกันไม่มาก
แต่ความหนาแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ในขณะที่อีกคนเป็นถึงนักกีฬารักบี้ของสถาบัน แต่อีกคนกับสูงโปร่งกล้ามเนื้อพองาม
คงเพราะไม่ได้เล่นกีฬาหักโหมเหมือนอีกฝ่าย
แค่เอาเวลามาคอยดูแลรับใช้คนออกคำสั่ง กอปรกับเรียนอย่างหนักทั้งงานซึ่งเป็นของตัวเอง
แถมยังต้องทำให้อีกคนด้วยต่างหาก แค่นี้เด็กกำพร้านามว่า
‘ขุนดอน’ ก็ไม่เหลือเวลาจะไปทำกิจกรรม
หรือเล่นกีฬาห่าเหวอะไรอีกแล้ว
ขุนดอน...อยู่กับหลวงตาที่วัดต่างจังหวัดแถวภาคอีสานตั้งแต่จำความได้ พ่อแม่หน้าตาเป็นอย่างไร
คือใคร นามสกุลอะไรไม่รู้เลยสักนิด เคยลองถามหลวงตาแล้ว ท่านบอกแต่เพียงว่าเก็บตนมาจากหน้าวัดตรงเนินดิน
ข้างกำแพง ทางภาคอิสานเรียกว่า ‘ดอน’ เพราะมีใครไม่รู้นำเอามาทิ้งไว้ตั้งแต่ตนคลอดได้ไม่ถึงเดือนด้วยซ้ำ
ท่านจึงเก็บมาเลี้ยงพร้อมกับตั้งชื่อให้ว่าขุนดอน และให้ใช้นามสกุล ‘เทพพิทักษ์ขุน’ ซึ่งเป็นนามสกุลของชายหนุ่ม
ที่ออกคำสั่งตนเมื่อกี้ชื่อว่า
‘ขุนทัพ เทพพิทักษ์ขุน’ โดยทุกวันนี้ชาติกำเนิดของขุนดอนยังคงเป็นปริศนา
อย่างไม่มีทางหาความเป็นมาได้เลย
ตั้งกะจำความได้ มีแต่หลวงตานี่แหละเป็นเสมือนพ่อ ได้มีโอกาสเข้าเรียนโรงเรียนวัด
พร้อมกับรับใช้หลวงตาไปด้วย ทำให้ขุนดอนเป็นคนมีอุปนิสัยใจเย็น สงบเสงี่ยมเจียมตัว อยู่ในกรอบระเบียบด้วยดี
มาโดยตลอด จนอายุย่างเข้าสิบห้าเป็นหนุ่มรุ่นกระทง หลวงตาผู้ซึ่งชราภาพมากก็เกิดอาพาธ ก่อนท่านมรณภาพ
ไม่ถึงสองวัน ครอบครัวตระกูล
‘เทพพิทักษ์ขุน’ โดยมีหัวหน้าครอบครัวซึ่งเป็นศิษย์ก้นกุฏิของหลวงตา
เติบโตจากการเป็นเด็กวัดมาก่อน คือคุณท่าน
‘ขุนพรหม’ ไปได้ดิบได้ดีเพราะศรีภรรยาร่ำรวยมีสมบัติเกื้อกูล
ให้ทำธุรกิจจนกลายเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่มีหุ้นในการลงทุนขุนเจาะน้ำมันทั้งในอ่าวไทย และอีกหลายประเทศ
ถือได้ว่าเป็นตระกูลเศรษฐีระดับต้นๆ ของประเทศเลยก็ว่าได้
ความสัมพันธ์ระหว่างขุนดอน กับขุนทัพนั้น ไม่ได้สวยงามราบรื่นเลยสักนิด ทั้งที่..นามสกุล
ก็เหมือนกัน เพราะนามสกุลนี้หลวงตาให้ตนใช้ ตั้งแต่ที่นำตนมาเลี้ยงนั่นแหละ แถมยังเป็นนามสกุลเดียวกับคุณท่าน
ขุนพรหมเช่นกัน เพราะงั้นขุนดอนจึงกลายเป็นคนของ ‘เทพพิทักษ์ขุน’ ไปโดยปริยาย
ปัจจุบันนี้ ถึงแม้คนรับใช้กว่ายี่สิบคนจะให้ความเคารพขุนดอน ประหนึ่งเจ้านายในบ้านตามคำสั่ง
ของคุณท่านขุนพรหมและคุณหญิงพิมาลา ที่รักและเอ็นดูขุนดอนเหมือนลูกชายของตน พร้อมกับรับปากหลวงตาก่อน
ท่านมรณภาพว่าจะเลี้ยงดูขุนดอนส่งเสียเล่าเรียนไม่ให้ต้องลำบากในฐานะลูกชายคนหนึ่ง นี่คือสาเหตุที่ทำให้ขุนดอน
เข้ามาอยู่ในคฤหาสน์ของตระกูลเทพพิทักษ์ขุน
แม้ก่อนหน้าขุนดอนจะเคยพบกับคุณท่านขุนพรหมและขุนหญิงพิมาลา พร้อมด้วยคุณขุนทัพ
ก่อนนี้แล้วสมัยอายุเพียงสิบสองขวบ ในขณะที่อีกฝ่ายอายุสิบขวบ แต่เหตุการณ์ครั้งนั้นคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้ขุนทัพ
ไม่เคยญาติดีกับขุนดอนเลยจนกระทั่งทุกวันนี้
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ย้อนหลังไปเมื่อสิบกว่าปีก่อน รถเบ้นซ์สีดำคันหรู นำครอบครัวเทพพิทักษ์ขุน
มากราบหลวงตาที่วัด วันนั้นขุนดอนถูกหลวงตาเรียกให้ไปสวัสดีคุณท่านขุนพรหมและคุณหญิงพิมาลา โดยมีเด็กชาย
อายุไล่เลี่ยกับตนอีกคน นั้นก็คือคุณขุนทัพจ้องตนตาแป๋ว
การเจอกันครั้งนั้น เริ่มต้นด้วยดีเพราะตนได้รับหน้าที่ให้เป็นพี่เลี้ยงคอยดูแลพาคุณขุนทัพ
ไปเล่นยังลานวัด ในขณะที่หลวงตาและพวกผู้ใหญ่อยู่คุยธุระกันต่อ ความเป็นลูกคนรวยคุณขุนทัพจึงมีของเล่นราคาแพง
นั่นคือรถยนต์วิทยุบังคับที่นำติดตัวมาด้วย เป็นความสนุกสนานและความสุขครั้งหนึ่งเลยก็ว่าได้สำหรับขุนดอน
ฟังจากเสียงหัวเราะของเด็กชายทั้งสองร่าเริงกันอย่างเต็มที่ในขณะที่เล่นรถวิทยุบังคับตรงลานกว้างของวัดด้วยกันนั้น
“ฮ่าๆๆๆๆ...พี่ดอน บังคับให้เลี้ยวซ้ายดิ ปล่อยชนกองทรายได้ไง ล้อมันก็ติดทรายดิ อ่อนวะ..
มา..มาทัพสอนขับเอง” นั่นคือคำพูดของคุณขุนทัพ ผู้กระตือรือร้นกับการสอนเพื่อนใหม่นามว่าขุนดอนเล่นรถยนต์บังคับ
อย่างตั้งอกตั้งใจ
“ว้าวๆ! พี่ทำได้แล้ววิ่งฉิวไปเลย ดูดิคุณทัพเหลียวจนหลังปัดยังกะรถแข่งเลย..เจ๋งป่ะ?” เสียงพูดบ่งบอกถึงความสุข เพราะเป็นครั้งแรกที่ได้เล่นของเล่นราคาแพงและไฮเทคของเด็กวัดอย่างขุนดอนในครั้งแรก
“เจ๋งๆ ใช้ได้หัวดีสอนไม่ยากแหะ” คุณขุนทัพ ผู้วางมาดทำตัวเป็นพี่เลี้ยงสอนเด็กรุ่นพี่
อย่างขุนดอนก็พลอยปลื้มฝีมือการสอนของตนไปด้วย ทุกอย่างเหมือนไปได้สวยหากไม่เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นมาเสียก่อน
“เฮ้ย!..ไงมึงไอ้เด็กกำพร้า มีของดีไม่แบ่งพวกกูเลยนะ” มันคือหัวโจกเด็ก มันอายุสิบห้าเข้าไปแล้ว
แถมสมุนอีกเป็นพรวนกว่าหกคน ชื่อไอ้โจ้ลูกชาวบ้านแถวนี้ที่มักคอยหาเรื่องกลั้นแกล้งขุนดอนประจำ อาศัยพวกมากเข้าว่า
แม้จะตัวโตกว่าอายุมากกว่ามันก็ไม่สามารถกดขุนดอนให้เป็นสมุนในก๊วนได้ นั่นเพราะขุนดอนคือนักมวยเอกรุ่นเยาว์
ที่มักหลบหลวงพ่อไปชกตามงานวัดประจำ ฝีมือชกมวยของขุนดอนเป็นที่รู้จักกันดีในย่านนี้ ไม่มีมวยเด็กรุ่นไหน
สู้ขุนดอนได้เลย แพ้น๊อคตลอด จากไหวพริบลีลาสายตาและความคล่องแคล่วว่องไวเป็นเลิศ อาจารย์มวยอย่างคู่บุญ
หมายหมั้นปั้นมือให้ขุนดอนเป็นนักมวยเต็มตัว ถึงแม้จะหลบหลวงตาสอนกันก็ตามเถอะ
ขุนดอนรู้ดีว่าหลวงตาท่านรู้ แต่ที่ท่านไม่ห้ามคงเพราะเห็นว่าขุนดอนไม่ได้ทำตัวเหลวไหล
ที่ชกมวยเพราะหาเงินใช้ส่วนตัวตอนไปเรียน เพราะไม่อยากรบกวนหลวงตาจนเกินไป กระทั่งหลวงตามรณภาพ
ทำให้ชีวิตขุนดอนต้องหักเหเข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ ถึงได้หยุดชกมวยไปโดยปริยาย แต่ไม่เคยหยุดซ้อมหากมีโอกาส
ในช่วงคาบว่าง ขุนดอนมักโดดไปซ้อมมวยที่ยิมของมหาลัยเป็นประจำ โดยไม่เคยให้ขุนทัพรู้สักครั้ง เหมือนกับตอนแอบ
หลวงตานั่นแหละ เพียงแต่รายนี้ร้ายกว่าหลวงตาหลายร้อยเท่าถึงยอมให้รู้ไม่ได้
“มึงต้องการอะไรไอ้โจ้?” ขุนดอนยืนกร่างถามอย่างเอาเรื่องกับนักเลงรุ่นเยาว์
“ถ้ามึงไม่อยากให้ไอ้นี่มันเจ็บตัวไปด้วย เอารถนั่นมาให้พวกกูเสียดีดี” เป็นการปล้นของเล่น
กันซึ่งๆ หน้า หากแม้ขุนดอนมาเพียงลำพัง แทบไม่ต้องคิดว่าจะต้องทำยังไง ตนหากลัวพวกมันทั้งเจ็ดคนไม่ อย่างมาก
ก็แค่เจ็บตัวแต่อย่างน้อยพวกมันก็คงไม่ต่างกับตนเหมือนกัน แต่เมื่ออยู่ในภาวะจำยอมเพราะห่วงความปลอดภัย
ของคุณขุนทัพ ความคิดในตอนนั้นจึงทำได้แค่ว่า
“ถ้าพวกมึงได้รถไปแล้ว จะไม่ยุ่งกับพวกกูงั้นดิ..พูดจริงนะ” ฟังดูเหมือนคนขี้ขลาด
ภาพการยอมแพ้โดยที่ไม่ยอมสู้ของขุนดอน คือความผิดหวังฝังลึกของขุนทัพที่ไม่มีทางลืมได้ เพราะ...
“ไม่ได้นะ...ไปยอมมันทำไมพี่ดอน นี่มันรถของทัพนะ” เด็กน้อยวัยสิบขวบผิวพรรณลูกคุณหนูจ๋า
กลับไม่ยอมที่จะยกรถยนต์วิทยุบังคับให้กลุ่มเด็กอันธพาลเอาไปง่ายๆสบายๆ ต้องผิดหวังอย่างแรงเมื่อ...
“ให้พวกมันไปเถอะ...เชื่อพี่” คำพูดเพียงประโยคเดียว ที่ทำให้ความสัมพันธ์และความรู้สึกดีดี
ของทั้งคู่เปลี่ยนไปทันที ขุนทัพหมดความศรัทธาเพื่อนใหม่ที่ตนเพิ่งรู้สึกดีด้วยเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา ด้วยคำจำกัดความ
ตามความคิดของเด็กในเวลานั้นว่า
‘ขี้ขลาดตาขาว’ เบ้าตาสองข้างของใบหน้าหมดจดอย่างลูกคุณหนูคลอไปด้วย
น้ำรื้อขึ้นมาวาววับ แต่เจ้าตัวกลับเม้มปากแน่นไม่ยอมให้มันไหลออกมาทำความขายหน้าให้ตนเป็นอันขาด กำลังยืนจ้องเขม็ง
มองภาพของเพื่อนใหม่เดินไปหยิบรถยนต์คันเล็กแสนรัก พร้อมกับกล่องบังคับยื่นให้กับไอ้เด็กโข่งที่ข่มขู่เอาไป
อย่างไม่ยอมดิ้นรนขัดขืน พอพวกมันได้ในสิ่งที่ต้องการก็พากันหัวเราะดีใจกันยกใหญ่
“ฮ่าๆๆๆๆ..ขอบใจหวะ...ไม่นึกว่ามึงจะเชื่อง..พวกกูไปหละ” พูดจบพวกมันก็ยกโขยงกันเดินจากไป
ไม่เหลียวหลัง ทิ้งให้เด็กน้อยลูกขุนหนูยืนกลั้นน้ำตากำมือแน่นจ้องตามของเล่นแสนรักไปอย่างเจ็บปวด ไอ้เสียดายของเล่น
คงไม่เท่าไหร่ แต่เสียใจที่ถูกชิงของรักของตนไปต่อหน้าต่อตาโดยไม่ทำอะไรเลยต่างหาก ในขณะที่เพื่อนใหม่เจ้าถิ่น
ที่ตนน่าจะพึ่งพาได้กลับขี้ขลาดตาขาว เป็นฝ่ายตกลงรับปากยกของเล่นของตนให้หน้าตาเฉยเพียงเพราะขี้ขลาดกลัวเจ็บ
นั่นคือความคิดของขุนทัพ ก่อนจะหันหลังวิ่งกลับไปยังกุฏิหลวงตาไม่ยอมเหลียวหลัง
หารู้ไม่ว่าสายตาอีกคนที่ยืนมองตามหลังพวกไอ้โจ้แดงก่ำ ข่มความรู้สึกกดดันจนเผลอกัด
กรามกรอด...พอหันมาเห็นเพื่อนใหม่ใจกว้างวิ่งหนีไปยังทางกุฏิหลวงตา ตนก็สาวเท้าวิ่งออกไปเหมือนกัน แต่หาใช่ทิศทาง
ไปยังกุฏิหลวงตาไม่ กลับเป็นทางที่พวกไอ้โจ้เพิ่งเดินรวมกลุ่มกันไปสดๆ ร้อนๆ
ขุนทัพไม่มีโอกาสรู้เลยว่า ในขณะที่ตนกำลังนั่งรถเบ้นซ์คันหรูเดินทางกลับไปพร้อมกับความรู้สึก
เจ็บปวดบอบช้ำไม่พูดไม่จาหน้าบึ้งอย่างไม่มีใครทราบสาเหตุ เพราะเจ้าตัวไม่ปริปากเลยสักนิด ทำให้คุณท่านขุนพรหม
และคุณหญิงพิมาลาไม่เซ้าซี้ถามให้มากความ เพราะรู้ว่าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเพียงคนเดียวเป็นคนหัวแข็งไม่ยอมคน
ติดเป็นนิสัย คงอยู่ในภาวะไม่สบอารมณ์อะไรสักอย่าง
ในเวลานั้น คือเวลาเดียวกับที่ร่างของเด็กผอมแกร่งอีกคนกำลังตะลุมบอนกับเด็กกว่าเจ็ดคน
อย่างเอาเป็นเอาตาย ถึงกับหน้าตาแตกยับเลือดกำเดาไหลทะลัก แต่พวกมันทั้งเจ็ดก็ไม่แตกต่างกัน เผลออาจจะหนักกว่า
เสียด้วยซ้ำ บ้างก็เบ้าตาแตก บ้างก็นอนกุมหว่างขาหน้าตาบิดเบี้ยวร้องไห้ระงม บ้างก็ปากแตกเลือดอาบไม่ต่างกัน
สุดท้ายพวกมันถึงกับยกมือยอมแพ้ และคืนรถวิทยุบังคับให้กับขุนดอนในที่สุด
สภาพเลือดอาบหน้า เนื้อตัวฟกช้ำเสื้อผ้ายับย่นย้อมสีแดงจากเลือดกำเดา ดูจนแทบไม่เหลือ
เค้าโครงเดิม เบ้าตาแทบปิดแต่ยังพยายามถือรถยนต์วิทยุบังคับ ออกแรงวิ่งตามรถเบ้นซ์คันหรูที่เห็นอยู่ลิบๆ
จนหมดแรงล้มฟุบ ก่อนจะละเมอออกมาหวังให้คนในรถได้ยินบ้างสักนิดก็ยังดี
“คุณทัพ...ผมเอารถมาคืนให้...แล้ว” เสียงสุดท้ายก่อนที่สติจะดับวูบไปของขุนดอน
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ภายในห้องส่วนตัวที่หรูหราสะดวกสะบายไม่มีที่ติ ด้วยอุปกรณ์อำนวจความสะดวกครบครัน
จากความกรุณาจากคุณท่านและคุณหญิง ขุนดอนค่อยๆ หยิบรถยนต์วิทยุบังคับสภาพดีที่ตนอุตส่าห์เก็บรักษาไว้
ออกมานั่งมอง พร้อมกับนึกถึงความเป็นมาของเรื่องราวแต่หนหลัง ตนรู้ดีว่าที่คุณทัพไม่ญาติดีด้วย แถมยังกลั่นแกล้งตนอีก
นั่นเพราะอะไร ตนเคยเอารถคันนี้ไปคืนให้คุณทัพแล้ว หลังย้ายเข้ามาอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้ในวันแรก แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาจาก
เด็กหนุ่มวัยสิบสามปีซึ่งสูงใหญ่หน้าตาหล่อเหลาอย่างไม่มีที่ติ เป็นเพียงคำพูดที่แสนเจ็บปวดสั้นๆ ว่า
“หึ...เก็บไว้ประดับความขี้ขลาดของแกเหอะ...ของพรรณนั้นฉันไม่ต้องการ..ขอบอกไว้อย่าง...ไม่ต้องเอา
มันมาให้ฉันเห็นอีกจำใส่หัวแกไว้ด้วยไอ้ขี้ขลาด” สรรพนามที่เลือกขานของอีกฝ่ายลับหลังคุณท่านและคุณหญิง เพราะต่อหน้า
ทั้งสองท่านนี้คุณทัพจะเรียกตนว่า ‘ดอน’ เฉยๆ แต่ขุนดอนก็เข้าใจไม่ถือโทษโกรธคุณทัพแม้แต่น้อยเพราะเรื่องราวมันผ่าน
มากว่าสามปีตนถึงมีโอกาสนำเอามาคืน มันนานเกินไปสำหรับที่จะบอกกล่าวให้อีกคนเข้าใจ เพราะไม่มีโอกาสที่จะได้พูด
ได้อธิบายอีกเลยในเมื่อคุณทัพในวันนั้น แตกต่างจากคุณทัพในวันนี้อย่างสิ้นเชิง ไม่เคยเปิดโอกาสให้ตนได้อธิบายใดๆ
นอกจากหัวเสียหงุดหงิดทุกครั้งที่เห็นหน้าตน
ไม่เหลือความเป็นมิตรให้กันสักนิด นอกจากการตอกย้ำให้ตนรู้ถึงฐานะตัวเองว่า มึงคือคนรับใช้ของกู...
’ไอ้ขี้ขลาด’ คำว่าเพื่อนไม่เหลือให้กันอีกแล้ว เพราะงั้นด้วยความเจียมเนื้อเจียมตัวและบุญคุณที่ทำให้ตนสามารถ
อยู่อย่างสะดวกสบายร่ำเรียนได้จนถึงทุกวันนี้ แม้จะต้องคอยรองรับอารมณ์ของคุณทัพตลอดเวลา ขุนดอนก็อดทน
โดยไม่เคยปริปากบ่น ยิ่งสองสามปีหลังมานี้คุณท่านและคุณหญิงแทบจะไม่ค่อยได้อยู่เมืองไทยเพราะต้องเดินทาง
ไปดูงานต่างประเทศเสียเป็นส่วนใหญ่ ทำให้ขุนดอนและคุณทัพต้องอยู่ด้วยกันในคฤหาสน์หลังใหญ่เพียงลำพัง
นั่นยิ่งทำให้คุณทัพก้าวร้าวและกลั่นแกล้งขุนดอนหนักยิ่งกว่าเก่า....??????
เรื่องนี้จะลงแค่ไม่กี่ตอนจบ
เท่าที่คิดไว้ ไม่เกินสิบตอน จะว่าเรื่องสั้นก็ไม่ใช่
จะว่าเรื่องยาวก็ไม่เชิง เพราะไม่เคยเขียนเรื่องยาวแค่สิบตอน
เพราะงั้น...ชอบไม่ชอบก็บอกกันมา ติชมกันได้ เรื่องนี้ออกจะหนักดราม่า
หากใครรับไม่ได้ขออภัยอย่างแรง แต่จบแฮปปี้แอนดิ้งชัวร์ เพราะคนเขียน
แอบอยากซาดิสดูหน่อย อย่างเขียนอะไรแรงๆ แล้วค่อยว่ากัน
Luk.
ปล.น้องจอมเหลืออีกแค่สองตอนจบแล้วค่ะ อย่าเพิ่งรุมด่าคนเขียน แหมๆ ก็มีบ้างไรบ้างดราม่านิดหน่อยเนอะ