“ไอ้โอ้ มึงต้องอธิบายเรื่องนี้กับกู...กูบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่ายุ่งกับเด็กที่ชื่อเมืองนั่น!” ยูตะโกนใส่ผมเสียงดัง พร้อมกับปารูปแผ่นหนึ่งลงบนโต๊ะของผม...มันเป็นรูปของผมกับเมืองยืนกอดกัน...เมื่อวานนี้
“ทำไมวะ” ผมถามกลับ ไม่ค่อยพอใจกับอคติของเพื่อนมากนัก มันคงฟังข่าวลือมากเกินไป...จริงอยู่...ผมเองก็เคยได้ยินข่าวลือเรื่องของเมือง แต่ผมไม่เห็นจะสัมผัสได้กับนิสัยอย่างว่าเลยสักนิด เมืองจะเรียบร้อย และน่ารักเสมอเวลาอยู่กับผม
“ถ้าไม่มีหลักฐาน พูดอะไรมากูไม่เชื่อหรอกนะ” ผมพูดดักคอไอ้ยูเอาไว้ก่อน
“ได้...ถ้าอย่างนั้นมึงดูนี่”
ยูหยิบเอาโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋าออกมา ทำอะไรกับเครื่องสักพักก่อนจะยื่นให้ ผมทำสีหน้าที่อธิบายไม่ถูก เมื่อเห็นว่ามันเอาคลิปอะไรให้ผมดู
ผมเพ่งมองคนสองคนที่กำลังร่วมรักกันในคลิป ผมเงยหน้ามองไอ้ยู...เมื่อเห็นว่าหนึ่งในนั้นเป็นมัน ก่อนจะก้มลงมองดูอีกคนที่โดนกระทำ รู้สึกว่าใบหน้านั่น...เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
...อะ..อ้า...อือ...แรงๆเลยพี่... ผมเบิกตาโพลง หน้าที่รู้สึกคุ้น บวกกับเสียงที่ได้ยิน คนที่ผมนึกฝันถึงอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน...จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจาก...น้องเมือง
…
ผมไม่เข้าใจ และไม่อยากยอมรับ...ทุกอย่างมันกำลังไปได้สวย ถ้าผมไม่ได้มารับรู้ความจริงเข้าเสียก่อน...ไม่เป็นไร เรื่องนั้นมันอาจจะเป็นอดีตของเมือง ทุกคนเคยมีอดีต และอาจจะทำผิดพลาดกันได้ มันเป็นเรื่องธรรมดา
ผมหันหลังกลับไปนั่งรอเมืองที่โต๊ะม้าหินตัวเก่ง ตอนแรก...ผมยอมรับว่าตัวเองรับไม่ได้ เลยอยากหลบหน้าน้องสักระยะ แต่ท้ายที่สุดแล้ว ด้วยเหตุผลอะไรผมก็ไม่สามารถบอกได้...ผม...กลับมานั่งรอน้องตามเดิม
‘กูนอนกับเด็กนี่เมื่อปีที่แล้ว มึงต้องได้เห็นตอนที่มันเดินร่านไปทั่วในผับ...ไม่ใช่แค่กูหรอกนะที่ได้เอามัน คลิปในเน็ตที่มันเอากับผู้ชายมีอีกเป็นร้อย...’ ตอนนั้นที่ได้ฟังไอ้ยูเล่า ผมแทบจะยั้งหมัดเอาไว้ไม่อยู่ ไม่ว่ายังไง ผมก็ไม่สามารถจินตนาการภาพน้องในทางแบบนั้นได้เลย
‘กูเพิ่งจะมาเห็นมันอีกครั้งตอนรับน้องนี่แหล่ะ ไม่น่ามาเป็นรุ่นน้องกูเลย เสนียดฉิบหาย อ้อ...แล้วไม่ต้องให้กูสาธยายนะว่าทำไมคนในคณะถึงเรียกมันว่าน้องเมือก เพราะมันชอบกินน้ำเมือกลื่นๆคาวๆยังไงล่ะ...’
‘ไอ้ยู!’
‘ตาสว่างสักทีเถอะมึง กูเตือนด้วยความหวังดี...’ ผมถอนหายใจ ร่างกายและจิตใจรู้สึกเหนื่อยล้าที่ต้องมารับรู้เรื่องพวกนี้
“พะ...พี่โอ้” ได้ยินเสียงน้องเรียกเบาๆ ผมจึงเงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มให้เหมือนปกติ...แต่สิ่งที่ไม่ปกติคือ...รอยยิ้มที่ผมมีให้ มันไม่ได้ยิ้มออกมาจากใจอีกต่อไปแล้ว
...
ผมจ้องมองจอทีวี แต่ภาพไม่ได้ซึบซับเข้าหัวสมองผมเลยแม้แต่น้อย เสียงหั่นผักที่อยู่ในครัว เมื่อก่อน...ผมเคยชอบมันมาก แต่ตอนนี้ มันกลับทำให้ผมรู้สึกรำคาญ
“พี่โอ้...วันนี้เมืองเขียนเรือนไทยได้เอด้วยนะ” น้องพูดพร้อมกับยิ้มให้ผม แต่ผมกลับกระตุกยิ้มให้น้อยๆ
เมื่อก่อน ผมต้องชวนน้องคุย น้องถึงจะพูด แต่ตอนนี้กลับกัน เมืองต้องเป็นคนเริ่มพูดก่อน แล้วผมถึงจะยอมปริปาก...และเหมือนเจ้าตัว ก็จับความผิดปกตินี้ได้
“พี่โอ้...ไม่สบายเหรอครับ” น้องว่าพลางก้มหน้าลง ก้มหน้า...เหมือนที่เคยเจอกันในวันแรก
“ถะ...ถ้ารำคาญ เมืองกลับก่อนนะ” เจ้าตัวพูดแล้วรีบลนลานเก็บสัมภาระ ก่อนจะเดินออกไป...ผมนอนนิ่ง ไม่ได้บอกลา ไม่ได้เดินไปส่งที่หอของน้องเหมือนที่เคย...เพราะตอนนี้ผมรู้สึกว่า...ใจของผม มันกำลังเปลี่ยนไป
...
“ไอ้โอ้ วันนี้ไปแดกเหล้าไหม” ไอ้ยูเดินมาชวนผมที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะมาหิน มองไปด้านหลังของมันก็เห็นกลุ่มเพื่อนอีกเจ็ดแปดคนยืนรออยู่
ผมมองไปยังบันไดอาคาร เด็กปีหนึ่งที่เรียนเสร็จแล้วค่อยๆพากันทยอยลงมา และสักพัก เมืองก็คงเดินลงมา…
“นี่มึงยังไม่เลิกยุ่งกับไอ้เด็กเหี้ยนั่นอีกเหรอ” ไอ้ยูว่า และยังไม่ทันที่จะได้พูดอะไรไปมากกว่านั้น เมืองก็เดินลงมาพอดี...ยิ้มให้ผม แบบที่เคยทำ แล้วก็ยิ้มให้ไอ้ยู...แต่สีหน้าบึ้งตึงของไอ้ยู ทำให้น้องกลัว และก้มหน้าลงตามเดิม
“สะ...สวัสดีครับ” เมืองยกมือไหว้ทั้งๆที่ก้มหน้าอยู่อย่างนั้น ไอ้ยูทำท่ารังเกียจ ก่อนจะเดินหนีไปสมทบกับกลุ่มเพื่อน
“วันนี้...พี่ไม่ไปส่งเรานะ” ทันทีที่ผมพูดจบ น้องก็เงยหน้ามองผมฉับพลัน นัยน์ตาใสแวววาวกว่าเดิมเมื่อน้ำตามันรื้นขึ้นมา
“ไม่เป็นไรครับ...” น้องก้มหน้าลงตามเดิม ผมถอนหายใจ ไม่ได้รู้สึกเอ็นดูกับการกระทำของคนตรงหน้าอีกแล้ว...ความรู้สึกรำคาญ...มันเข้ามาแทนที่ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
“พี่โอ้...!” น้องคว้ามือเข้ากับชายเสื้อของผม ผมหันกลับไปมอง...เมื่อไหร่มันจะจบลงสักที...
“ถ้า...พี่ได้ยิน...ได้เห็นอะไรมา...พี่อย่าเชื่อเขานะ...พี่อย่าเชื่อเรื่องพวกนั้น...เมืองที่เป็นแบบนี้...มีแค่เมืองคนเดียว...ไม่มีคนอื่นอีกแล้ว...ถึงมีอีก...คนนั้นๆก็ไม่ใช่เมือง...ฮึก...พี่โอ้ต้องเชื่อเมืองนะ”
ผมหันไปมองน้องตรงๆ ใบหน้าที่ก้มลง ทำให้ผมเห็นเพียงน้ำตาที่หยดลงบนพื้น ผมโอบร่างของน้องเข้ามากอด...และนั่น อาจเป็นครั้งสุดท้าย ที่ผมได้มอบอ้อมกอดที่แสนอบอุ่นให้กับเมือง...
...
ผมดื่มเหล้า และดื่มไปมาก...เพื่อให้ลืมภาพของเมือง...กับไอ้ยู...หรือกับผู้ชายหลายๆคนที่ยูมันอ้างขึ้นมา แต่ยิ่งดื่ม ผมก็ยิ่งจำ และใจมันก็เจ็บปวดทุกครั้ง ที่นึกถึงขึ้นมาได้
...คนหลอกลวง...
ผมเกลียด...เกลียดคนแบบนี้ ต่อหน้าผม...เมืองอาจทำตัวเป็นคนใสซื่อ...แต่ลับหลัง เมืองแอบไปทำอะไรที่ไหน...ผมไม่อาจสามารถรับรู้ได้เลย
“ไอ้โอ้ กูเจอเด็กมึงในห้องน้ำ รีบไปดูเลยสัด จะได้ตาสว่างสักที!” ไอ้ยูกับเพื่อนอีกสองคนเดินมาหิ้วปีกผม ผมงุนงงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ก่อนจะเริ่มเข้าใจ ว่าพวกมันหมายถึงอะไร…
“อะ...อืม...แฮ่ก...เข้ามา...เข้ามาลึกกว่านี้...” เรียวขาขาวเกี่ยวกระหวัดอยู่ที่บั้นเอวของชายฉกรรจ์...ไม่ใช่แค่คนเดียว...แต่มีถึงสามคน...ที่รุมล้อมร่างที่ผมคุ้นเคยนั่น
ผมค่อยๆทรุดตัวลงช้าๆ เมื่อคนที่ว่าส่งสายตามาแล้วยิ้มยั่วให้ผม เหมือนไม่ใช่คนๆเดียวกันกับที่ผมเคยรู้จัก...ตอนนี้ในหัวมันตีรวน มีแต่คำถาม...ว่าทำไม
...ทำไมต้องเป็นเมืองด้วย...
...
หลังจากดื่มเสร็จ...ผมขับรถกลับคอนโดด้วยจิตใจที่ว่างเปล่า จะโทษเมืองคนเดียวคงไม่ได้ ต้องโทษตัวเองด้วย...ที่ไม่ยอมฟังคำเตือนของใคร
ผมเปิดประตูเข้าไปในห้อง คลำหาสวิตช์ไฟ แสงที่สว่างวาบฉายร่างของใครบางคนที่นอนฟุบอยู่บนโต๊ะทานข้าว ผมขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะเดินไปวางพวกกุญแจลงบนโต๊ะให้เกิดเสียงดัง คนที่นอนอยู่จะได้รู้สึกตัว
“อะ...พี่โอ้กลับมาแล้วเหรอครับ” เขาบอกพร้อมกับทำท่างัวเงีย เหมือนเพิ่งตื่นอย่างไงอย่างนั้น...แสดงละครเก่งจริงนะ
“เราก็กลับมาเร็วเหมือนกันนี่” ผมมองท่าทีเอียงคออย่างงุนงงนั่น คงจะทำให้ดูน่ารักน่าเอ็นดูสินะ แต่เสียใจด้วย ผมไม่ใช่ไอ้โง่เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว
“พี่โอ้หิวไหม...เมืองทำอาหารไว้รอ เดี๋ยวเมืองไปอุ่นให้นะ” เมืองบอก ลุกขึ้นยืนและกำลังจะผละไปทางครัว แต่ผมคว้าข้อมือเอาไว้ก่อน
“พอสักที!” ร่างของรุ่นน้องสะดุ้งสุดตัวกับเสียงของผม ก่อนจะหันมามองช้าๆด้วยใบหน้าที่ขาวซีดราวกับกระดาษ
“พี่...โอ้”
“เลิกแกล้งแสดงละครเป็นคนเรียบร้อยใสสื่อไร้เดียงสาได้แล้ว กูรำคาญ!” ผมตวาดแล้วผลักตัวของเมืองออกไปทางประตู
“พี่โอ้เป็นอะ...”
“หึ...กูรู้เรื่องหมดแล้ว ฉายาน้องเมือกของมึงน่ะ”
“พี่โอ้ นั่นไม่ใช่เมือง นั่นพี่...”
“ต้องให้ไล่ยังไงถึงจะไป! อ้อ หรือต้องให้กูสงเคราะห์ก่อน สามคนวันนี้คงไม่พอสำหรับมึงสินะ” ผมพูดเสียงขรมพร้อมกับกระชากร่างที่ถอยกรูดเข้าหาตัว ตอนนี้ผมมีอารมณ์โกรธมากกว่าอารมณ์ใคร่...เพราะฉะนั้นรสรักที่ผมจะมอบให้กับเมืองในวันนี้...มันต้องจำไปจนวันตาย!
“อย่าครับพี่โอ้!”
“หยุดดีดดิ้นได้แล้ว กูรู้ว่ามึงชอบ” ผมว่าก่อนจะก้มลงจาบจ้วงริมฝีปากของคนด้านล่าง พร้อมกับดึงทึ้งเสื้อออกจากตัวจนขาดวิ่นไม่มีชิ้นดี
เมืองผลักไสเบี่ยงหน้าหลบผมเต็มที่...แน่ล่ะ แค่ผมจะจับมือหรือจะหอมแก้ม เมืองยังไม่ให้...แล้วทำไมกับคนอื่นเมืองถึงยอม!
ผมแยกขาของรุ่นน้องออกกว้าง ก่อนจะเสือกไสร่างกายเข้าไป...มันเข้ายาก...กว่าที่คิด
“ฮือๆ...เจ็บ...พี่โอ้...เมืองเจ็บ” ผมมองใบหน้าของคนที่ร้องทุรนทุรายอยู่ใต้ร่าง แล้วยังไง...เจ็บแล้วยังไง
“เจ็บเหรอ...ถูกแล้ว...เพราะกูตั้งใจทำให้มึงเจ็บ” พูดจบในขณะที่อีกคนกำลังนิ่งค้าง ผมก็ดันร่างกายเข้าไปจนสุด...ก้มมองรอยเลือดที่ไหลรินออกมาตามช่องทาง...ยิ่งมากเท่าไหร่ ผมยิ่งสะใจเท่านั้น
ร่างกายของผมรู้สึกตื่นตัวเต็มที่ เมื่อความอ่อนนุ่มโอบรัดทุกทาง...อารมณ์ใคร่เริ่มเข้ามาพัวพัน ลิ้นชิ้นของผมแตะสัมผัสลงกับผิวเนียน ซอกคอ ยอดอก...แตะมันไปทุกส่วนที่จะซอกซอนไปถึง และไม่ลืมที่จะฝากรอยเอาไว้
“อะ...อ้า...” ผมครางออกมา รู้สึกเสียววาบ มีความสุขอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน...แน่นอน...ว่าผมมีความสุขเพียงคนเดียว...ไม่ว่าจะปลุกอารมณ์ให้คนที่อยู่ด้านล่างเท่าไหร่...เจ้าตัวก็ไม่ตอบสนอง
ผมก้มลงทาบทับร่างของเมือง สะโพกยังคงทำหน้าที่กระแทกเข้าออกถี่รัว ผมโน้มริมฝีปากชิดกับริมฝีปากของคนที่นอนสั่นคลอนอยู่ด้านล่าง...อยากได้ยิน...เสียงครางที่น่ารักออกมาจากริมฝีปากนั่น
“ร้องออกมาสิ...ถ้าเมืองไม่อยากเจ็บ ร้องออกมาให้พี่ได้ยิน”ผมกระซิบเสียงพร่า แต่แทนที่จะได้ยินเสียงคราง...เมืองกลับส่งเสียงสะอื้นมาให้ผมแทน...
...
ผมนั่งมองแผ่นหลังเปลือยของคนที่นอนสลบไสลอยู่บนเตียง ตามร่างกายมีแต่ร่องรอยบอบช้ำ โดยเฉพาะช่องทางที่คอยรองรับความป่าเถื่อนของผม...จนตอนนี้ เลือดก็ยังคงไหลออกมาไม่หยุด
...แล้วจะไปสนใจมันทำไม...
ถึงกระนั้นผมก็ยังอุตส่าห์ใจดี เอาผ้าชุบน้ำเช็ดตัวให้...ผมค่อยๆไล้ผ้าไปตามผิวเนียนช้าๆ...ไม่อยากจะเชื่อเลย ว่าร่างกายนี้ผ่านผู้ชายมาแล้วเท่าไหร่ ยิ่งผมได้เห็นท่าทีที่ไม่ประสากับเรื่องพรรณนี้ ผมคงคิดว่านี่คงเป็นครั้งแรกของเมือง...ถ้าไม่ได้เห็นเจ้าตัวในห้องน้ำที่ผับเสียก่อน...ผมคงคิดว่าคนที่นอนอยู่ตรงนี้...เป็นคนละคนกับคนที่อยู่ในห้องน้ำนั่น
...คนละคนอย่างนั้นเหรอ...
ผมรีบพลิกร่างของคนที่นอนไม่ได้สติทันทีเมือฉุกคิดอะไรได้...ผมไล้นิ้วลงกับสะโพกของเมือง ถ้าเมืองเป็นคนๆเดียวกันกับในคลิปที่ไอ้ยูเอามาให้ผมดูจริงๆ เมืองจะต้องมีรอยสักเล็กๆตรงนี้...แต่ผมสำรวจทั่วร่างกายของคนตรงหน้าแล้ว ร่างกายขาวสะอาดไม่มีร่องรอยใดๆทั้งสิ้น หรือว่า...ผมจะตาฝาดไปเอง
“ฮัลโหล ไอ้ยูเหรอ...มึงยังเก็บคลิปของมึงกับเมืองเอาไว้อยู่รึเปล่าวะ...”
...
ผมรีบบึ่งรถไปที่คอนโดของไอ้ยู ใจกระวนกระวายร้อนรนถึงคำตอบ พร้อมกับหวนนึกถึงคนที่ผมทิ้งไว้ที่ห้อง...ผมกำลังกลัว...ลางสังหรณ์ของตัวเอง
“มึงเลื่อนไปที่วินาทีก่อนหน้านี้แล้วหยุดภาพให้กูที” ผมบอกอย่างร้อนรน และภาพที่ได้เห็น ทำให้ผมนิ่งค้าง มันเป็น...อย่างที่ผมคิดไว้จริงๆ
“ไอ้ยู...ตอนที่มึงมีอะไรกับเมือง น้องมี...รอยสักรึเปล่าวะ” ผมถามออกไป รู้สึกตีบตันในลำคอเหลือเกิน
“มีสิวะ ก็อย่างในคลิปนี่แหล่ะ” ยูตอบ พร้อมกับมองหน้าผมงงๆ
“มึงแน่ใจนะว่าเป็นรอยสัก ไม่ใช่ Tattoo หรืออะไรก็ตามที่มันคงอยู่ไม่ถาวร” ผมถามย้ำ ขอบตาเริ่มร้อนผ่าว...และคำตอบของมัน ทำให้ผมตัวชา
“ไม่นะ...รอยสัก สักลงบนผิวหนังของแท้แน่นอน มึงมีอะไรรึเปล่าวะ”
โลกของผมดำมืดทันที เมื่อรู้ว่าตัวเองได้ทำพลาดไป...พลาด...อย่างไม่น่าให้อภัย...
“คนที่นอนกับมึงในคลิป...กับน้องเมือง...เป็นคนละคนกัน”
...
ผมรีบหุนหันออกจากห้องของไอ้ยูทันที...ป่านนี้คนที่ผมทิ้งไว้จะเป็นยังไง เลือดยังไหลอยู่ไหม ไข้ขึ้นรึเปล่า ฟื้นแล้วหรือยัง และถ้าฟื้น...ผมควรจะทำยังไง
ผมคิดคำขอโทษมากมายในระหว่างที่ขับรถ...เฝ้าอ้อนวอน...ภาวนาขอให้น้องหายโกรธผม อย่าให้ระหว่างเรามีเรื่องเลวร้ายไปมากกว่านี้เลย…
ก้อนเนื้อในอกของผมเต้นไม่เป็นส่ำเมื่อผมมาหยุดยืนอยู่หน้าห้องนอนของตัวเอง ผมค่อยๆหมุนลูกบิด เปิดประตูออกให้เกิดเสียงเบาที่สุดเท่าที่จะทำได้...แต่เมื่อเปิดเข้าไป...สิ่งที่เห็นทำให้เลือดในกายของผมร้อนรุ่ม
“เมือง!...เมืองอยู่ไหน ออกมาเดี๋ยวนี้ พี่ไม่ตลกนะ!” ผมตะโกนแบบนี้ไปทั่วห้อง สำรวจแล้วทั้งในห้องน้ำ ห้องครัว แต่ไม่มีใครอยู่ที่นี่ นอกจากตัวผม...
ผมขอร้องให้ รปภ. ทั้งทางฝั่งคอนโดของผม และฝั่งทางหอของเมืองช่วยกันตามหา จนเกือบรุ่งเช้า เราก็ยังไม่พบเจอเบาะแสของน้อง
“เมือง...” ผมกลับมา ทรุดตัวลงข้างเตียงด้วยความอ่อนระโหย จ้องมองคราบเลือดที่กระจายเป็นวงกว้างบนผ้าปูขาว ผ้าปูที่เย็นชืด...บ่งบอกว่าคนที่เคยนอนลุกออกไปนานแล้ว
“เมือง...พี่ขอโทษ” ความรู้สึกผิดที่เกาะกุมหัวใจพร่างพรูออกมาพร้อมกับหยดน้ำตา
“เมือง...พี่...รักเมือง” ผมทำได้แค่เพียงพร่ำเพ้ออยู่อย่างนั้น
…แต่จะมีประโยชน์อะไร ในเมื่อเจ้าตัวไม่ได้อยู่เพื่อที่จะรับฟังอีกแล้ว...
…
http://www.youtube.com/v/p1t69Z4FiIo