Chapter Nineteen.
“ขอโทษนะที่วันนี้ไม่ได้ไปหาฝุ่น” บลูเอ่ยกับคนปลายสายด้วยความรู้สึกผิด ด้านคนฟังซึ่งรับรู้ได้ก็รีบตอบกลับมาในทันใด
(ไม่เป็นไรเลย)
“แต่ยังไงพรุ่งนี้เราก็จะไปหา ยังอยู่ที่ระยองอีกหนึ่งวัน”
(อื้อ บลูพักผ่อนเถอะ)
“โอเค แล้วเดี๋ยวเราโทรหาอีกทีนะ”
พอฝุ่นรับคำสายโทรศัพท์ก็ถูกตัดให้บทสนทนาทางไกลนั้นจบลง
ร่างเล็กในชุดเสื้อยืดตัวโคร่งหมุนตัวกลับไปมองคนที่นอนทอดกายจิบกาแฟในตอนสายอย่างสบายอารมณ์แล้วยู่ปากใส่น้อยๆ
สาเหตุที่ไปหาฝุ่นไม่ได้ก็เพราะคนแก่แสนหื่นนี้ไงล่ะ...เล่นซะสะโพกยอกเลย
“อารมณ์ดีจังเลยนะครับ”
แก้วกาแฟในมือหนาถูกวางลงบนโต๊ะก่อนกัญจน์จะหันไปยกยิ้มใส่เด็กน้อย
“แน่นอน”
“งั้นก็เชิญคุณกัญจน์อารมณ์ดีต่อไปเลยครับ บลูไปอาบน้ำแล้วดีกว่า”
“มาพักผ่อนทั้งที ทำตัวขี้เกียจสักวันคงไม่เป็นไรหรอก”
คนที่ตั้งท่าจะหยัดกายขึ้นหยุดชะงัก พอลองคิดไปคิดมาบลูก็เห็นด้วยกับคนข้างกาย ความตั้งใจจะไปอาบน้ำจึงแปรเปลี่ยนเป็นเอนกายลงนอนเพื่อทอดมองวิวทิวทัศน์ที่นอกระเบียงตรงหน้า ปล่อยใจไปกับความสงบสุขเล็กๆ จากนั้นจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาบันทึกภาพไว้
“เย็นนี้คุณกัญจน์จะพาบลูไปไหนเหรอครับ”
“ก็ดินเนอร์กันปกติ นานๆ จะได้เที่ยวที”
ใบหน้าเล็กกดลงรับพร้อมทั้งเลื่อนเฟซบุ๊กดูนั่นดูนี่ แล้วก็ต้องสะดุดกับกระทู้ข่าวในเพจที่ตัวเองติดตาม
‘สามีเซเลปสุดสวย แก้ม มทิรา ลาออกจากการดำรงตำแหน่งทางการเมืองแล้วเรียบร้อย หรือข่าวลือที่ว่าทั้งสองจดทะเบียนหย่ากันแล้วจะเป็นเรื่องจริง!’
ดวงตาคู่สวยเลื่อนไปมองคนที่นอนอยู่บนเก้าอี้ตัวยาวอีกตัวก่อนจะพบว่าคุณกัญจน์กำลังพักสายตา ถึงอย่างนั้นบลูก็ยังรับรู้ได้ถึงความรู้สึกผ่อนคลายบนใบหน้าคร้ามคม
‘ข่าวในวงการการเมืองพัดโหมกระหน่ำ แต่ทางเราคงจะไม่สนใจอะไรหากไม่ใช่เรื่องของ กัญจน์ ศิวะเกียรติ สามีของเซเลปหญิงคนดังที่หลายคนติดตาม เอ๊ะ ไม่รู้ว่าการลาออกนี้จะเกี่ยวกับเรื่องของการหย่าร้างหรือไม่ หรือว่าการไปเที่ยวของคุณแก้ม มทิรา จะเป็นการไปพักใจและหลบนักข่าวกับประเด็นที่แสนหนาหูว่าทั้งสองได้จดทะเบียนหย่ากันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ทั้งนี้ทั้งนั้นยังไม่มีใครสามารถคอนเฟิร์มเรื่องนี้ได้ คนชอบเผือกอย่างเราๆ คงต้องรอคุณแก้มกลับมาจากต่างประเทศ แล้วฟังคำสัมภาษณ์จากปากเจ้าตัวเอง’
ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันเมื่ออ่านเนื้อหาข่าวจนจบขณะที่ในหัวก็เกิดคำถาม
คุณกัญจน์หย่ากับภรรยาแล้วหรือยัง...
บลูหันไปมองคุณกัญจน์อีกครั้ง จับจ้องเสี้ยวหน้าคร้ามคมของคนวัยสี่สิบสองปีอยู่อย่างนั้น กระทั่งเปลือกตาหนาเปิดขึ้นจึงดึงสายตาไปมองทางอื่น
“ร้อนหรือเปล่า” เสียงทุ้มถามขึ้นเมื่อเห็นว่าแดดเริ่มแรง แม้ตรงนี้จะเป็นมุมที่ไม่โดนแสงแต่อุณหภูมิรอบตัวก็สูงไม่น้อย
“ไม่ครับ” คนถูกถามส่ายหน้าน้อยๆ
“มานี่ซิ”
บลูจำต้องเบือนหน้ากลับไปมองคนเรียก เมื่อเห็นอีกฝ่ายขยับตัวให้ข้างกายมีพื้นที่ทั้งยังตบมือบอกให้ไปหาจึงพาตัวเองไปตรงนั้น
“สบาย” กัญจน์เอ่ยขึ้นยามวาดแขนพาดผ่านเอวเล็กแล้วกระชับอีกคนเข้าหาตัว
“คุณกัญจน์ไม่อาบน้ำง่ายเหรอ” บลูถามขึ้นเมื่อคนข้างกายซึ่งยังคงอยู่ในชุดคลุมอาบน้ำไม่มีทีท่าว่าจะลุกไปทำอะไร
“ไม่ล่ะ ขี้เกียจ”
ได้ฟังคำตอบแล้วคนร่างเล็กก็ลอบถอนหายใจ
ในเมื่อคุณกัญจน์อยากอยู่แบบเน่าๆ สักวันก็ตามนั้น
--
“มีอะไรอยากจะถามฉันหรือเปล่า” ผ้าเช็ดปากถูกคลี่วางลงบนตักแกร่งยามกัญจน์เอ่ยปากถามคนตรงหน้าขึ้น
ท่าทางครุ่นคิด ทั้งยังอึกอัก เหมือนมีอะไรตลอดทั้งวันนั้นทำให้คนที่ผ่านอะไรมามากรับรู้ได้ไม่ยาก
“...” บลูบีบมือเข้าหากันอย่างไม่กล้าพูดสิ่งที่ตัวเองสงสัยใคร่รู้
“พูดออกมาเถอะ เห็นเธอทำท่าเหมือนมีอะไรแล้วฉันพลอยอึดอัดไปด้วย”
ดวงตาคมจับจ้องไปที่เด็กน้อย พร้อมทั้งสื่อสายตาว่าให้พูดมันออกมา
“ทำไมพาบลูมาดินเนอร์ซะหรูเลยล่ะครับ เนื่องในโอกาสอะไรหรือเปล่า”
“แน่ใจนะว่าเป็นคำถามนี้”
คนถูกรู้ทันกัดริมฝีปากล่างด้วยความสั่นไหว ดวงตากลมโตช้อนขึ้นมองคนอายุมากกว่าแล้วก็หลุบมองจานอาหารบนโต๊ะสลับกันไปมาอยู่อย่างนั้น กระทั่งสุดท้ายก็ตัดสินใจสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วกลั้นใจเรียบเรียงคำพูดออกไปอย่างเชื่องช้า
“...มีข่าวลือว่า...คุณกัญจน์หย่ากับ...คุณแก้มแล้ว” ดวงตาสั่นไหวมองเพียงอาหารตรงหน้า
“ข่าวลืองั้นเหรอ เว็ปไหนหรือว่าเพจไหน ทำไมเขียนข่าวแบบนั้น”
ได้ยินดังนั้นบลูก็เหลือบสายตาขึ้นมองคนพูด เห็นความไม่พอใจเจืออยู่ในดวงตาคมแล้วในอกก็เกิดความวูบโหวง
“แสดงว่ามันไม่ใช่ความจริง...เหรอครับ”
“ไม่ใช่ข่าวลือ แต่เป็นเรื่องจริง” ริมฝีปากได้รูปบิดยิ้ม ต่างจากสีหน้าบลูที่เหมือนยังคงสับสนมึนงง “ฉันหย่ากับแก้มตั้งแต่เดือนที่แล้วแล้ว...แล้วนี่ก็คือโอกาสของการดินเนอร์ในครั้งนี้”
เสียงดนตรีแผ่วเบาแสนสุนทรีย์เหมือนดังไม่เข้าหูบลูเมื่อได้ยินคำว่าหย่า ทั้งที่ไม่ควรจะรู้สึกอะไรแต่ใจกลับเกิดความยินดีอย่างไม่อาจห้าม
“ความจริงก็ว่าจะหาโอกาสบอกเด็กแถวนี้อยู่เหมือนกัน แต่ก็เพิ่งมีโอกาสดีๆ”
“คุณกัญจน์...” คนเรียกไม่รู้ตัวเรียกอีกฝ่ายทำไม เรียกแล้วก็ไม่ได้เอ่ยอะไรต่อจากนั้น
“ฉันว่าจะย้ายไปอยู่ต่างประเทศ”
“...”
“เธอสนใจหรือเปล่า”
ใจที่หล่นวูบไปในวินาทีแรกถูกกระชากกลับมาที่เดิมจนบลูแทบตั้งตัวไม่ทัน
คะ คุณกัญจน์ชวนไปอยู่ด้วยกันงั้นเหรอ
“ถ้าบลูบอกว่าไม่ล่ะ” ถึงน้ำเสียงจะสั่นไหวทว่าบลูก็ยังแกล้งลองเชิงว่าคนตรงหน้าจะตอบอย่างไร
“ฉันก็จะอุ้มเธอขึ้นฮอฯไป”
คนฟังระบายยิ้มกว้าง มันเป็นไปโดยอัตโนมัติ อีกทั้งดวงตายังร้อนผ่าว ในอกอิ่มเอมกับสิ่งที่ตัวเองได้รับ
คนที่ตัวคนเดียวมาตั้งแต่มอต้นกำลังจะได้อยู่เคียงข้างคนมีเกียรติอย่างคุณกัญจน์งั้นเหรอ
“คุณ...ไม่รังเกียจเด็กขายตัวคนนี้เหรอครับ”
“เลิกคิดอะไรไร้สาระ ถ้ารังเกียจฉันจะอยู่กับเธอมาขนาดนี้ไหม” คิ้วเข้มขมวดมุ่นขณะที่น้ำเสียงก็เข้มดุขึ้นเพราะความคิดที่ไม่สมควรนั้น
“งั้นก็อยู่ด้วยกันตลอดไปเลยนะครับ”
บลูกะพริบตาถี่ไล่หยดน้ำ ทั้งยังระบายยิ้มอย่างออดอ้อน
อยู่ในสถานะไหนก็ได้ทั้งนั้น ขอแค่ได้อยู่กับคุณกัญจน์
“ก็ขึ้นอยู่ว่าเธออยากอยู่กับคนแก่ๆ แบบฉันไหม” คนแก่เองก็ยิ้มได้ไม่ต่างกัน
ชีวิตที่กัญจน์เลือกแล้ว...มันสุขใจเหลือเกิน
“คุณก็รู้อยู่แล้ว”
“ทีเธอยังไม่รู้ คิดอะไรว่าฉันจะรังเกียจ”
“ก็บลูเป็นแค่เด็กที่มีหน้าที่ดูแลคุณ” คนร่างเล็กเอ่ยเสียงเบา
“ไม่ว่าเราจะเริ่มต้นกันแบบไหนมันก็ไม่สำคัญเท่ากับจะไปต่อกันยังไง...ฉันแก่แล้ว ไม่มานั่งพูดอะไรให้มากความหรอกนะ”
เพียงเท่านั้นเด็กที่แอบคิดอะไรไร้สาระมาโดยตลอดก็สูดลมหายใจเข้าลึก แล้วยิ้มให้กว้างเท่าที่จะสามารถทำได้
“เข้าใจแล้วครับ”
“ระหว่างนี้ก็เที่ยวเมืองไทยให้เต็มที่ หมดปีนี้แล้วคงจะนานๆ ได้กลับมาที”
“บลูอยู่ได้ทุกที่ ขอแค่มีคุณ” พอมีโอกาสบลูก็หยอดให้คนแก่ไปต่อไม่เป็น สุดท้ายกัญจน์เลยต้องเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นพร้อมทั้งพยายามเก๊กหน้าสุดความสามารถ
“หึ ทานข้าวเถอะ”
มือหนาหยิบมีดกับส้อมขึ้นมาจัดการกับอาหารตรงหน้า ระหว่างนั้นก็อดลอบมองบลูที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่แทบจะตลอดเวลาไม่ได้
กัญจน์ไม่เคยคิดว่าตัวเองตัดสินใจอะไรถูกเท่านี้มาก่อน
ต่อให้เขาต้องโดนญาติต่อว่า
ต่อให้บริษัทอสังหาริมทรัพย์จะหุ้นตก
ต่อให้ต้องสูญเสียอะไรหลายอย่างไปแต่มันก็คุ้มแล้วที่ได้ชีวิตตัวเองกลับคืนมา
ชีวิตที่เขาอยากใช้มันมาตลอด
--
“คุณปินจะเข้าห้องน้ำหรือเปล่าครับ”
“ไม่ครับ” ปารินทร์เอ่ยตอบคนขับรถพร้อมรอยยิ้มบาง
“ถ้าอย่างนั้นรอผมสักครู่”
“ตามสบายเลยครับ”
เสียงประตูเปิดและถูกปิดลงดังขึ้นก่อนที่รถแวนจะเหลือเพียงร่างสูงที่นั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่คนเดียว
ระยองงั้นเหรอ...
ปินเคยมาทำงานที่นี่หลายครั้ง แต่ไม่คิดเลยว่าครั้งนี้จะได้มาเพราะจุดประสงค์อื่น
‘หมอบอกว่าอาการปินดีขึ้น...งั้นนี่ก็ตามที่สัญญา’
กระดาษแผ่นหนึ่งถูกยื่นมาตรงหน้า แถมมาด้วยรูปแอบถ่ายของคนที่อยู่ในทุกห้วงลมหายใจ
‘ฝุ่นย้ายไปอยู่ระยอง อยู่ชานเมืองหน่อยแต่ก็ยังเป็นอำเภอใหญ่ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว ซื้ออาคารพาณิชย์สามชั้นอยู่ ข้างล่างเปิดเป็นร้านข้าวแกง’
ดวงตาเรียวรีที่เหม่อมองไปนอกรถถูกดึงกลับมามองรูปถ่ายในมือที่ดูมาแล้วไม่รู้กี่ครั้ง จับจ้องคนในรูปที่แสนคิดถึงอยู่อย่างนั้นยามที่หัวใจก็ค่อยๆ เต้นถี่รัวขึ้นมา
วันนี้แล้วที่จะได้เห็นฝุ่นด้วยตาตัวเอง...
--
“พี่ฝุ่น ออเดอร์จ้า”
มือบางเอื้อมไปหยิบกระดาษแผ่นเล็กจากเด็กสาววัยมัธยมปลายพร้อมทั้งส่งยิ้มให้ก่อนจะหันกลับมาตักอาหารใส่จานแล้วนำไปเสิร์ฟ
“เพิ่งจะบ่ายสองเองแต่กับข้าวจะหมดซะแล้ว พี่ฝุ่นไม่คิดจะทำเพิ่มเหรอ”
คนถูกถามส่ายหน้าไปมาช้าๆ
“เท่านี้ก็พอแล้วล่ะ ทำแค่พออยู่พอกิน”
“เดี๋ยวลูกค้าก็มาทำหน้าเสียดายใส่อีก” มะตูมที่มารับจ็อบเสริมในวันหยุดเสาร์อาทิตย์พูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ผสมแอคติ้งเข้าไปอีกหนึ่งระดับ
“ก็มีไม่เยอะหรอก”
ปากที่กำลังจะอ้าเพื่อเถียงกลับว่าไม่เยอะซะที่ไหนเป็นอันต้องชะงักเมื่อมีคนเดินเข้าร้านมา แล้วดวงตาของมะตูมก็หรี่ลงมอง พิจารณาคนตรงหน้าอยู่ในใจ
คนนี้อีกแล้ว...
“วันนี้ต้มยำขาหมูหมดแล้วเหรอครับ” คนร่างสูงถามขึ้นเมื่อชะโงกมองกับข้าวในตู้แล้วพบว่าเมนูเด็ดไม่มี
“ครับ เหลือแต่อย่างอื่น”
“เสียดายจัง วันนี้ผมไม่น่ามาช้าเลย” ฝุ่นยิ้มรับคำพูดนั้นตามมารยาท จากนั้นอีกคนจึงเปลี่ยนไปเลือกเมนูอื่น “งั้นเอาเป็นต้มข่าไก่กับไข่ลูกเขยแล้วกันครับ”
“ทานนี่ใช่ไหมครับ”
“ครับ”
“งั้นเชิญข้างในเลยครับ”
ลูกค้าของร้านยิ้มรับ ทว่าก็ไม่ได้เดินไปในทันทีจนฝุ่นต้องทำเป็นหันไปตักข้าวถึงได้เดินต่อเข้าไป
“พี่สุดหล่อเขามาอีกแล้ว มาทุกอาทิตย์เลย ต้องชอบพี่ฝุ่นแน่ๆ” มะตูมโน้มตัวมากระซิบให้ฝุ่นโคลงหัวใส่ด้วยความอ่อนใจ
“มะตูมก็พูดไป เอาน้ำแข็งไปเสิร์ฟด้วยนะ”
“รับทราบค่ะ...แต่ว่ามะตูมไม่ได้พูดเล่นนะ สายตาที่เขามองพี่ฝุ่นมันเป็นแบบนี้เลย” พูดแล้วก็ทำสายตาใส่จนฝุ่นหลุดหัวเราะ แล้วเด็กสาวท่าทางแก่นเซี้ยวก็ผละออกไปตักน้ำแข็งใส่แก้วเพื่อเอาไปเสิร์ฟให้คนที่มาใหม่
“เอ่อ...”
ฝุ่นเงยหน้าขึ้นมองลูกค้าซึ่งยืนอึกอักอยู่ตรงหน้าหลังจากที่ทำออเดอร์เมื่อกี้เสร็จเรียบร้อย
“รับอะไรดีครับ”
“อะไรเป็นเมนูฮิตครับ” คนไม่เคยมาทานถามเสียงเบา ทว่าฝุ่นยังไม่ทันเอ่ยตอบมะตูมที่เดินกลับมาก็ชิงอธิบายแทน
“เมนูฮิตของร้านก็คือต้มยำขาหมู แต่วันนี้หมดแล้วค่ะน้า รับอย่างอื่นไปแทนได้นะ อร่อยเหมือนกัน”
“มะตูม เอาจานนี้ไปเสิร์ฟไป” เจ้าของร้านปรามคนพูดมากพร้อมทั้งมอบงานให้ทำ ตรงนี้จึงกลับมามีความเงียบอีกครั้ง
“งั้นผมเอาทุกเมนู อย่างละกล่องแล้วกันครับ”
คิ้วคู่สวยขมวดเข้าหากันน้อยๆ แต่สุดท้ายฝุ่นก็ยิ้มรับคำแล้วเชิญให้ลูกค้าเข้าไปนั่งรอในร้าน
“ได้ครับ นั่งรอข้างในก่อนสักครู่นะครับ”
“มีขายอยู่หกเมนู เปลี่ยนไปทุกๆ วัน แต่ว่าตอนที่ผมไปเหลือแค่ห้าเพราะเห็นบอกว่าเมนูฮิตหมดแล้วครับ”
ปารินทร์ทอดมองคนร่างเล็กที่กำลังตักอาหารใส่จานอยู่อีกฝั่งด้วยดวงแววตาที่สั่นระริก
ความคิดถึง โหยหา อยากก้าวลงจากรถไปดึงฝุ่นเข้ามากอดมันประทุรุนแรงจนต้องกำมือแน่นเพื่อไม่ให้ตัวเองทำอย่างนั้น
มันยังไม่ถึงเวลา...ปินพร่ำบอกประโยคนี้เป็นรอบที่ล้าน
“เมนูฮิตคืออะไรครับ”
“ต้มยำขาหมู”
กึก
แล้วคำตอบนั้นก็ทำให้ฝ่ามือหนาทั้งสองข้างเกร็งแน่น เกิดความหวงแหนเนื่องจากคนอื่นได้กินสิ่งที่ตัวเองโปรดปรานจนอยากปิดร้านฝุ่นลงวันนี้
“แล้วร้านเปิดกี่โมงครับ” ลมหายใจวูบโหวงถูกผ่อนออกมาช้าๆ ก่อนจะถามในสิ่งที่ให้คนขับไปสืบ
“เปิดอังคารถึงอาทิตย์ เวลาสิบเอ็ดโมงถึงสี่โมงเย็นครับ แต่เห็นเด็กเสิร์ฟบอกว่าบ่ายสามอาหารก็หมดแล้ว โดยเฉพาะต้มยำขาหมูที่จะหมดเร็วมาก”
ปารินทร์จับจ้องอีกคนโดยไม่วางตา ยิ่งเห็นลูกค้าผู้ชายหน้าตายืนคุยกับฝุ่นนานเกินกว่าที่ควรยิ่งอยากลงไปแสดงตัว
ไม่ว่าจะยังไงฝุ่นก็เป็นของเขาแค่คนเดียว...
“พี่หวานครับ...ติดต่อขอซื้ออาคารพาณิชย์ฝั่งตรงข้ามฝุ่นให้ผมที” ปินกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์เพื่อบอกสิ่งที่ต้องการไปยังปลายสาย
(ปินรู้ใช่ไหมว่าควรหรือไม่ควรทำอะไร)
“ผมรู้ครับ”
(เฮ้อ แต่เท่าที่พี่รู้มาแถวนั้นมีคนอยู่เต็มหมดแล้วนี่)
“เสนอเงินจนกว่าจะมีคนขาย”
(โอเคปิน พี่จะจัดการให้) น้ำเสียงนั้นมีความอ่อนใจเจืออยู่แต่สุดท้ายภาวิดาก็ยอมรับปาก
“แล้วก็ซื้อรถคันใหม่ด้วยนะครับ”
(...ได้)
“ขอบคุณครับพี่หวาน”
--
เฮ้อ
ลมหายใจแห่งความเหนื่อยล้าถูกพรูออกทางปากหลังจากที่ฝุ่นอาบน้ำเสร็จแล้วเดินมาทิ้งตัวลงบนเตียงนอน
เปลือกตาสีอ่อนหลับลงให้การมองเห็นมีเพียงความมืด แล้วภาพของใครบางคนก็เด่นชัดขึ้นมาเหมือนดั่งทุกครั้ง
คิดถึงปิน...
เมื่อความคิดถึงเกิดขึ้นตัวก็พลิกไปหยิบโทรศัพท์มากดเข้าอินสตาแกรม พอไม่เห็นการอัปเดตใดๆ จากอีกคนฝุ่นก็ถอนหายใจด้วยความผิดหวัง
กว่าครึ่งปีแล้วสำหรับการใช้ชีวิตด้วยตัวเอง มันเหนื่อยหนักหนาอย่างที่ใครหลายคนบ่นกัน แต่สิ่งที่ทำให้ทรมานกลับไม่ใช่ความเหนื่อยนั้นแต่เป็นความคิดถึงที่มีต่ออีกคน
อยากมีปินคอยกอดเวลาเหนื่อยล้า
เผลอคิดถึงสัมผัสอบอุ่นแล้วน้ำตาก็ไหลมาคลอหน่วยโดยที่ฝุ่นไม่รู้ตัว
มือบางยกขึ้นมาเช็ดน้ำออกจากหน้า ทว่ายิ่งเช็ดกลับยิ่งไหล สุดท้ายฝุ่นจึงปล่อยมันไปทั้งอย่างนั้น
แล้วก็เป็นอีกหนึ่งค่ำคืนที่หลับไปพร้อมน้ำตา
--
‘มาแล้วสำหรับซิงเกิ้ลใหม่ล่าสุดจากนักร้องสุดฮอต ปิน ปารินทร์ กับเพลงที่มีชื่อว่า เธอที่แสนไกล เรียกได้ว่าปล่อยออกมาคืนเดียวยอดคนดูก็ทะลุถึงห้าล้านวิว อีกทั้งยังขึ้นอันดับหนึ่งของทุกชาร์ตทุกคลื่นวิทยุแล้วเรียบร้อย นอกจากกระแสเพลงจะมาแรงแล้ว กระแสข่าวซุบซิบเรื่องความสัมพันธ์กับนางเอกเอ็มวีก็มาแรงไม่แพ้กันเลยค่า’
‘เหมือนเดิมครับ...ไม่มีอะไร’
‘คนจะจับตามองว่าไม่มีอะไรเพราะเป็นเกย์หรือเปล่า’
‘เคยพูดไปแล้วครับว่าแล้วแต่ความคิดของทุกคน’
‘งั้นกับไอด้ามีโอกาสพัฒนาไหม’
‘ไม่ขอตอบเรื่องส่วนตัวเหมือนเดิมครับ คุยเรื่องเพลงกันดีกว่า’
คนที่ยืนจัดร้านอยู่เผลอยืนนิ่งงันจนมะตูมเดินมาหยุดอยู่ข้างตัว
เป็นครั้งแรกที่อยากให้ปินพูดถึงเรื่องส่วนตัวบ้าง...
“พี่ฝุ่นเป็นแฟนคลับพี่ปินเหมือนกันเหรอ”
“ปะ เปล่า...พี่ก็ดูอะไรไปเรื่อย” ฝุ่นหันมาตอบคนข้างตัว
“แต่มะตูมเป็นแฟนคลับพี่ปินนะ คนอะไรทั้งหล่อแล้วก็เสียงดีมาก นี่เมื่อคืนก็นอนฟังเพลงเธอที่แสนไกลทั้งคืนเลย พี่ฝุ่นฟังหรือยัง”
“ฟังบ้างแล้วล่ะ”
เพราะฟัง...เช้านี้ถึงต้องเอาน้ำแข็งประคบตาและลงรองพื้นเพื่อกลบความบวมช้ำ
“เพราะเนอะ ถึงจะออกแนวเศร้าๆ หน่อยก็เถอะ”
คนอยู่ตรงนั้นเป็นอย่างไร
คนอยู่ตรงนี้แทบจะขาดใจ
คิดถึง...ต่อให้เธอนั้นจะอยู่ไกลแสนไกล
ไม่อาจไขว่คว้า เหนี่ยวรั้ง อ้อนวอนให้เธอไม่ไป
ฉันนั้นเลยเพียงทำได้ ก้มหน้าแล้วยอมห่างไกลใจตัวเองฝุ่นไม่อยากคิดเข้าข้างว่าปินแต่งเพลงนี้เพราะตัวเอง
“ร้านเปิดหรือยังครับ”
เสียงที่ดังขึ้นเรียกให้คนทั้งสองหันไปมอง เมื่อเห็นว่าเป็นลูกค้าที่แวะเวียนมาแทบทุกอาทิตย์มะตูมจึงร้องทักออกไป
“คุณน้ามาอีกแล้ว!”
ตลอดระยะเวลาประมาณสี่เดือนคุณน้าคนนี้ก็แวะมาซื้อกับข้าวที่ร้านอยู่เรื่อยๆ
“เปิดแล้วครับ เพิ่งเปิดพอดีเลย”
ฝุ่นขยับเก้าอี้ให้เข้าที่อีกเล็กน้อยก่อนจะเดินออกมารับลูกค้าพร้อมรอยยิ้ม
“เอาเหมือนเดิมครับ”
“ทุกเมนูอย่างละกล่อง ยกเว้นต้มยำขาหมูที่เพิ่มเป็นสองกล่อง ใช่ไหมคะ?” มะตูมถามย้ำเพื่อความแน่ใจ กระทั่งอีกฝ่ายตอบรับกลับมาเด็กสาวก็ยิ้มแฉ่ง
“นั่งรอก่อนนะครับ”
ฝุ่นผายมือเชิญจากนั้นจึงเดินไปทางหน้าร้าน โดยมีลูกมืออย่างยะตูมคอยตักข้าวใส่กล่องให้
“คุณน้าย้ายมาอยู่ฝั่งตรงข้ามนี่เหรอคะ เห็นซื้อกับข้าวเสร็จก็เข้าไปตรงนั้นตลอดเลย” มะตูมถามขึ้นขณะที่ส่งถุงกล่องข้าวทั้งสองถุงไปให้อีกฝ่าย
“อ๋อ เจ้านายน่ะครับ เขามาพักผ่อนที่นี่”
“เจ้านายชอบทานกับข้าวร้านพี่ฝุ่นเหรอคะ” คนช่างจ้อถามไปเรื่อย
“ครับ”
“มาเป็นครอบครัวเลยเหรอคะ ซื้อหลายกล่องเชียว”
“เอ่อ...” คนที่คิดคำตอบไม่ทันได้แต่ลากเสียงอยู่ในลำคอ
“มะตูม ถามคุณน้าเยอะไปแล้ว...ไม่รบกวนแล้วดีกว่าครับ”
ดั่งเป็นเสียงช่วยชีวิตของคนขับรถวัยกลางคน ธนาระบายยิ้มอย่างโล่งอกกับการไม่ต้องคิดหาคำตอบนั้น
“ครับ ไว้เดี๋ยวจะมาอุดหนุนใหม่นะครับ”
“ขอบคุณครับ” ฝุ่นเอ่ยขอบคุณพร้อมทั้งส่งยิ้มให้ แล้วลูกค้าประจำที่แวะเวียนมาเป็นระยะก็เดินเข้าไปที่อาคารพาณิชย์ฝั่งตรงข้ามอย่างเคย
--
2 ปีผ่านไป‘ทำไมปินถึงไม่ต่อสัญญากับค่ายเดิมคะ มีปัญหาอะไรกันหรือเปล่า’
‘ไม่ได้มีปัญหาอะไรกันครับ คุยกันด้วยดี’
‘แล้วอย่างนี้จะเซ็นสัญญากับค่ายใหม่หรือเปล่าคะ ได้ยินข่าวมาว่ามีหลายค่ายตามจีบ’
‘ไม่ครับ เป็นนักร้องอิสระ’
‘ทำไมล่ะคะ’
‘ไม่อยากให้ใครมามีผลกระทบกับการกระทำของตัวผมเอง ในอนาคตก็อาจจะทำอะไรที่เป็นตัวเองมากขึ้น ลองนู้นลองนี่ ก็ไม่อยากให้ค่ายมาแบกรับความเสี่ยงตรงนี้ไปด้วย’
‘แล้วเมื่อไหร่จะมีคอนเสิร์ตเดี่ยว’
‘เมื่อวันที่รู้สึกว่าตัวเองพร้อมครับ’
‘ปินก็เป็นนักร้องมาจะเจ็ดปีแล้ว มันยังติดตรงไหนยังไง’
‘ไม่ได้ติดตรงไหนยังไงหรอกครับ แค่รอเวลาที่เหมาะสม รอเวลาที่ใจผมบอกว่าใช่...ยังไงก็จะมีแน่ๆ ไม่ต้องเป็นห่วง”
“ติดตามมาตั้งแต่มอต้นจนตอนนี้มะตูมขึ้นมหาลัยแล้ว เฮ้อ เก็บตังรอไปคอนเสิร์ตพี่ปินจนราจะขึ้นแล้วเนี้ย”
เด็กสาวที่กลายเป็นสาวเต็มตัวในวัยยี่สิบปีพร่ำเพ้อกับโทรทัศน์พร้อมทั้งเช็ดโต๊ะไปด้วย
“ขนาดนั้นเลยเหรอมะตูม” ฝุ่นที่เก็บเก้าอี้ไปเรียงกันไว้ด้านข้างเดินกลับมาถาม
“ขนาดนั้นเลยพี่ฝุ่น อยากเห็นพี่ปินร้องเพลงสดๆ อยู่ตรงหน้า ตอนนี้ไปตามที่เซ็นทรัลระยองได้ฟังพี่ปินร้องแค่ไม่กี่เพลงเอง” แฟนคลับปินตัวยงหันมาตอบด้วยท่าทางจริงจัง
“แค่ไม่กี่เพลงก็ยังเอามาเพ้อไปเป็นอาทิตย์”
“ก็เสียงพี่ปินทั้งทุ้ม แล้วก็นุ่มนี่นา”
“พอเลย เพ้ออยู่นั่นเดี๋ยวก็ไปตลาดให้แม่ไม่ทันหรอก...เดี๋ยวที่เหลือพี่เก็บต่อเอง”
“ไม่เป็นไร มะตูมช่วยแป๊บเดียว ค่อยซิ่งไปตลาดให้แม่ทีหลัง”
แล้วร่างมีน้ำมีนวลก็ขยับทำนู้นทำนี่ให้รวดเร็วขึ้น จนไม่กี่นาทีต่อมาร้านก็ถูกเก็บจนเรียบร้อย เตรียมพร้อมสำหรับการเปิดในวันต่อไป
“มะตูมไปแล้วนะพี่ฝุ่น เดี๋ยวอาทิตย์หน้ามาช่วยงานใหม่”
“อื้ม ตั้งใจเรียนล่ะ”
“ค่า สวัสดีค่ะ”
ฝุ่นโคลงหัวอย่างอ่อนใจยามมองตามมะตูมที่เดินไปสตาร์ทมอเตอร์ไซด์แล้วขับออกไปด้วยความรวดเร็ว
กี่ปีก็แก่นเซี้ยวไม่เปลี่ยน
ตึก ตึก
เสียงฝีเท้าหนักๆ ที่ดังขึ้นจากอีกด้านเรียกให้ฝุ่นหมุนตัวกลับมาจากการมองตามมะตูม ก่อนจะเตรียมเอ่ยปากบอกลูกค้าว่าร้านปิดแล้ว
“ร้านปิดละ...”
ประโยคนั้นไม่อาจเอ่ยจนจบเมื่อหันไปเห็นคนตรงหน้าเต็มตา
แม้จะมีหมวกและแมสก์ปิดหน้าแต่รูปร่างและดวงตาเรียวรีคู่นั้นก็ทำให้ฝุ่นรู้ได้ทันที
ปิน!!
TBC.
อุ๊ยยยย เขาเจอกันแล้วน้าาา
ตอนหน้ามาลุ้นกันว่าปินจะมาหาฝุ่นในแบบไหน อิอิ
เป็นกำลังใจให้หมาปินกับแมวฝุ่นด้วยนะคะะะะ
แล้วก็แอบบอกว่าเล่มกำลังอยู่ในกระบวนการ
หยอดปุกหมูกันได้เล้ย
#secrecyลับรัก