ตอนที่ 8 : สะสมแต้ม
แผนโปรโมชั่นซื้อหนึ่งแถมหนึ่ง ซื้อสองแถมหนึ่ง ซื้อสามแถมหนึ่ง ไม่ค่อยจะได้ผลนักกับกลุ่มลูกค้าที่ค่อนข้างมีกำลังทรัพย์ พวกเขาเน้นที่รสชาติและคุณภาพ ความน่าเชื่อถือของร้านค้าและความชื่นชอบส่วนตัว ฉะนั้นสิ่งที่ผมทำได้ จึงเป็นการหลอกล่อเด็กตามเดิมเพิ่มเติมคืออกแบบบัตรสะสมแต้มลายใหม่
ผมตัดสินใจจะสร้างสตอรี่ให้ฮีโร่พิชพิช
แน่นอนว่าลงรายละเอียดมากไม่ได้กันงง จึงเลือกทำบัตรสะสมแต้มเป็นเลเวลต่างๆ
เช่นสิบดวงแรก จะได้บัตรลายอวกาศสีน้ำเงิน ฮีโร่พิชพิชยังเลเวลหนึ่ง ถือชานมเหาะเหิน
ส่วนเลเวลสอง จะได้บัตรลายสัตว์ประหลาดสีแดง ถ้าอยากให้สัตว์ประหลาดหายไปก็ต้องซื้อชานมจนครบสิบดวง ฮีโร่พิชพิชผู้มีชานมเป็นอาวุธทั้งสิบจะประทับลายทับหน้าสัตว์ประหลาดประหนึ่งโค่นล้มสำเร็จ
เลเวลสาม เป็นบ่อชานมไข่มุกสีเหลือง ฮีโร่พิชพิชต้องการอัพเกรดตัวเอง ซึ่งกว่าจะไปถึงบ่อชานมทองคำซึ่งวาดซะริมขอบบัตรได้ ก็คือตอนประทับแสตมป์ดวงที่สิบนั่นเอง เวลาเรียงแล้วจะเหมือนฮีโร่พิชพิชค่อยๆ เดินมาทีละช่องจนกว่าจะถึงที่หมาย
เลเวลสี่ เป็นบัตรสัตว์ประหลาดสองตัวสีส้ม ฮีโร่พิชพิชจะเปลี่ยนเป็นถือชานมสองแก้ว! ต้นทุนแกะตัวปั๊มนั้นไม่แพงเลย ส่วนค่าจ้างวาดก็ไม่มากเพราะใช้แบบเดิมเพิ่มเติมคือชานมอีกแก้วแค่นั้นเอง แต่การเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยนี้ก็ทำให้เด็กๆ ตื่นเต้นอยากได้ จะเอาฮีโร่พิชพิชเวอร์ชั่นอัพเกรด!
เลเวลห้า เป็นบัตรลายประตูตรงสุดขอบสีม่วง แบ่งระหว่างโลกทูดีกับโลกทรีดี ซึ่งถ้าครบสิบดวงเมื่อไหร่ นอกจากจะได้สิทธิ์ชานมฟรีหนึ่งแก้วยังได้พวงกุญแจลายฮีโรพิชพิช เปรียบเสมือนว่าฮีโร่นั้นเดินออกประตูมาเจอกับเด็กๆ ด้วยตัวเอง!!
ถ้าจบเลเวลห้าแล้ว ลูกค้าก็จะเริ่มต้นที่ฮีโร่เลเวลหนึ่งอีกครั้ง ไต่ระดับจนครบก็จะได้พวงกุญแจฮีโร่พิชพิชลายที่สอง ผมทำพวงกุญแจทั้งหมดห้าลาย มีจุดแตกต่างนิดๆ หน่อยๆ กับเปลี่ยนสีพื้นหลัง ต้นทุนทำนั้น...ผมว่าคุ้มกว่าจัดโปรโมชั่นซื้อหนึ่งแถมหนึ่งอีก
แถมเด็กๆ ก็ชอบมากด้วย
หน้าเคาน์เตอร์ของผมตอนนี้มีกรอบกระจกตั้งเพิ่ม เรียงบัตรสะสมแต้มตามเลเวลของฮีโร่พิชพิชโดยไม่ปั๊มแสตมป์ ด้านบนสุดคือพวงกุญแจทั้งห้าลาย สร้างความดึงดูดใจให้เหล่าลูกค้าตัวน้อย
แม้คนจ่ายจะเป็นผู้ปกครองก็เถอะ
ชานมอร่อย ไม่ต้องรอคิวนาน แถมลูกยังปลื้มเอาบัตรสะสมแต้มไปอวดเพื่อนว่าใครได้ถึงเลเวลไหน โค่นสัตว์ประหลาดได้รึยัง ก็นับว่าวิน-วินทั้งสองฝ่าย
“ไอเดียน่ารักดีนะคะ ฉันยังไม่เคยเจอร้านชานมที่ไหนทำเป็นสตอรี่ฮีโร่แบบนี้เลย”
“ขอบคุณครับ” ผมยิ้มตอบคุณลูกค้าหญิงวัยสามสิบต้นๆ ซึ่งจูงมือลูกชายวัยสิบขวบที่บอกว่าจะอัพเกรดฮีโร่พิชพิชเป็นเลเวลสองให้ได้ เขาอยากสู้กับสัตว์ประหลาดใจจะขาดแล้ว!
ผลตอบรับออกมาดี ไม่ปลื้มได้ไงละเออ ผมชงชานมยิ้มแก้มปริ ความรักที่ใส่ใจลงไปนั้นทำให้รสชาติกลมกล่อมกำลังดี ใครได้ชิมเป็นต้องชม
ต้องขอบคุณโรงเรียนประถมน่ะนะที่เป็นกลุ่มเป้าหมายหลัก
เพราะถ้าเป็นวัยทำงาน เจอกลยุทธ์เด็กๆ แบบนี้คงได้ผลตอบรับตรงกันข้าม โตป่านนี้แล้วถือแก้วชานมลายฮีโร่ น่าขวยเขินไม่น้อย เห็นได้ชัดจากคุณยายร้านปักเสื้อที่ดูจะงุนงงกับบัตรสะสมแต้มแบบไล่เป็นเลเวล บอกว่าปวดหัว ด้านกลุ่มคุณครูเองก็เห็นว่าไร้สาระ ยังคงยืนหยัดที่ร้านชานมเจ้าดัง
ยังไงก็ตาม มีลูกค้าเพิ่มขึ้น และส่วนใหญ่มาเป็นประจำเพื่อสะสมแต้มอัพเลเวลให้ฮีโร่พิชพิช ก็นับว่าประสบความสำเร็จ ผมเองก็สนุกกับการคิดอะไรพรรค์นี้ด้วย เด็กผู้ชายยังไงก็ต้องชอบพวกการ์ตูนฮีโร่ใช่มั้ยละครับ
แม้ผมจะอายุยี่สิบสองแล้วก็เถอะ
แต่กับคนที่...อืม อายุมากกว่ายี่สิบสอง ถือแก้วชานมลายฮีโร่ทุกวัน ทำหน้าตาย คงจะไม่รู้สึกรู้สาอะไรเท่าไหร่
“สามสิบบาทครับ”
“อย่าลืมปั๊มแสตมป์ให้ด้วย ใกล้จะได้เลเวลสามแล้ว”
“ครับๆ” ผมรับบัตรสะสมแต้มสีแดงของคุณคนแรกมาปั๊มแสตมป์ดวงที่เก้า อีกนิดฮีโร่พิชพิชจะโค่นล้มสัตว์ประหลาดแล้ว!
“แถมหนึ่งดวงไม่ได้เหรอ”
“จะไปได้ได้ยังไงล่ะครับ” ผมตอบกลับคนที่ถามหน้าตาย อยากจะอัพเป็นเลเวลสามใจจะขาด อยากถามนักว่าอายุเท่าไหร่ ใกล้สามสิบแล้วแต่ยังตื่นเต้นกับบัตรสะสมแต้มเป็นเด็กๆ ไม่อายตัวเองก็อายผมบ้างเถอะ
คุณคนแรกรับบัตรคืนแบบเสียดายหน่อยๆ ก่อนจะยืนนับเหรียญให้ผมไม่ลืมตบท้ายด้วยเหรียญสองบาท
ผมแยกเหรียญสีทองนั้นหยอดใส่กระปุกใสอย่างคุ้นชิน เสียงของเหรียญที่ตกกระทบกัน กรุ๊งกริ๊งน่าฟังไม่ต่างกับกำลังใจที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เวลานั่งตบยุงรอลูกค้า คำนวณค่าเช่าที่ช่วงสิ้นเดือนว่าจะเหลือกำไรเท่าไหร่ ก็มีเจ้ากระปุกนี้แหละที่คอยเตือนผมเสมอว่าต้องเปิดร้านต่อไป เพื่อหยอดเหรียญสองบาทให้เต็ม เพื่อคุณคนแรกที่รออยู่
จะว่าไงดีล่ะ ตอนนี้ผมค่อนข้างโหวง
ใกล้จะครบสามเดือนแล้ว ผมยังรักชานม อยากจะเปิดร้านนี้ต่อไป แต่ก็ไม่แน่ใจตัวเองว่าจะทำได้นานสักแค่ไหนกันเชียว
แม่ชนะพนันพ่อแล้วยังไงต่อ อีกกี่เดือนที่จากเรื่องขำขันกลายเป็นไม่ขำ ถึงตอนนั้นผมจะยัง...
เฮ้อ ปวดหัว “ชานมไข่มุกหนึ่งแก้ว”
“ดูดที่ถืออยู่ในมือให้หมดก่อนมั้ยครับ” ผมเอ่ยกับคุณคนแรกอย่างสุภาพ ไม่วายเหล่ตามองแก้วชานมที่ยังเหลือเกินครึ่งในมือเขา
“ไม่ได้จะกินเอง”
“แล้ว...”
“ให้คุณ”
วูบหนึ่ง ความสับสนโลเลของผมคล้ายจะกับโดนเขาสะกิดเบาๆ จนชวนให้สั่นสะท้านไปทั้งตัว เป็นความรู้สึกที่ยากอธิบาย แต่ก็คล้ายจะย้ำเตือนว่าแม้ผมจะไม่มีไอ้ภูมิคอยตามแล้วก็ยังมีคุณคนแรกอยู่ตรงนี้เสมอ
เป็นความตื้นตันแกมซาบซึ้งกับการกระทำเล็กน้อยที่มีคุณค่าทางใจ ผมชงชานมให้ตัวเอง เพียงลิ้มรสสัมผัส ความหนักอึ้งในใจก็เบาขึ้นทันตา ผมสดชื่น ตาสว่าง อารมณ์ดีดนิดๆ เป็นเหมือนทุกครั้งที่กินชานมไข่มุก จนบางครั้งก็อดสงสัยไม่ได้ว่าใส่กัญชารึเปล่า แต่ผมชงเองกับมือ จะไปมีได้ยังไงล่ะเอ้อ
“สามสิบบาทครับ” ผมถือชานมดูดตาใส ไม่วายแบมือรอเก็บเงินคุณคนแรกที่ออกปากจะซื้อให้ทั้งที่ตัวผมเองเป็นเจ้าของร้าน ไม่มีการยกยอดให้หรอกนะ และคุณคนแรกก็ไม่คิดจะชักดาบ เพราะเขาวางแบงก์ยี่สิบสองใบให้อย่างบรรจง พร้อมกับบัตรสะสมแต้มสีแดง
“ปั๊มช่องที่สิบให้ด้วย”
...ที่แท้ก็อยากจะอัพเกรดเลเวลไวๆ
รสชาติชานมที่ออกหวาน พริบตาคล้ายจะจืดจางชอบกล ผมแทบจะสำลักน้ำ รับบัตรสะสมแต้มมาปั๊มจนเต็ม ก่อนจะนับเหรียญบาทถอนคืนเขาไปสิบเหรียญ เป็นครั้งแรกเลยนะเนี่ยที่ผมได้ถอนเงินคุณคนแรก
“บัตรเลเวลสามจะได้ตอนซื้อชานมแก้วต่อไปนะครับ ขอย้ำว่าซื้อนะไม่ใช่ใช้สิทธิ์ฟรี” เห็นท่าทางกระตือรือร้นดีใจนั่นแล้วก็อดปรามไม่ได้ บัตรหนึ่งใบถ้าครบสิบดวงแลกซื้อสิทธิ์ชานมฟรีหนึ่งแก้ว ถ้าพรุ่งนี้เขาใช้สิทธิ์นั้น ก็จะชวดบัตรเลเวลสามไปอีกวัน
“ไม่เป็นไร ไม่รีบ”
เป็นคำตอบที่...กวนประสาทจนชวนมือไม้กระตุก ไม่รีบ แต่กระเหี้ยนกระหือรือให้ผมปั๊มแสตมป์จนครบสิบดวง นี่เรียกว่าไม่รีบเหรอ ผมดูดชานมอึกๆ ขณะมองหน้าคุณคนแรกที่เก็บบัตรสะสมไปอย่างไม่ใส่ใจ ช่างเป็นผู้ชายที่เดาอารมณ์ยากจริงๆ
หรือไม่ก็เดาง่ายกว่าที่คิด
มองสายตากับรอยยิ้มมุมปากที่ส่งให้กัน ไอ้สิ่งที่เขากระตือรือร้นอยากจะเอานั้นไม่ใช่บัตรเลเวลสาม แต่เป็นผมที่ก้มหน้าหลุบตาด้วยแก้มแดงๆ ต่างหาก
ขยันหยอกหัวใจเล่นได้เก่งจริงๆ
ฮึ่ย เดี๋ยวก็เคี้ยวหลอดละเอียดซะเลยนี่
ความเงียบระหว่างเราเป็นบรรยากาศที่อุ่นอวลท้าแสงอาทิตย์ ไม่ทันให้ผมเอาความเขินไปลงกับหลอดที่น่าสงสาร บุคคลไม่ได้รับเชิญก็ปรากฏตัวในสภาพหล่อเท่เหมือนเพิ่งกลับจากการถ่ายแบบ
“พิชญ์จ๋า เรามารับแล้ว!”
ฉิบหาย! แก้วแทบร่วง ผมตั้งสติดีๆ ขณะเงยมอง ‘แฟนเก่า’ ที่แทบจะกลบรัศมีคุณคนแรกมิด
“มารับทำไม” ผมถามเพราะสงสัย ไม่ได้ประชดนะขอบอก
“พิชญ์...” กฤตถอดแว่นตาดำสำหรับปลอมตัว เดินหน้าระรื่นมาหา สงสัยจะมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้น เขาถึงยิ้มแย้มดอกไม้บาน เห็นแล้วก็เผลอหลุดยิ้มตามไปด้วย
ต้องยอมรับอย่างหนึ่ง กฤตหน้าตาดีมากจริงๆ และการเห็นคนหน้าตาดีส่งยิ้มระยะประชิด ใครบ้างจะไม่คึก
“ขอโทษที่หายไปหลายวันนะ เรามีถ่ายแบบที่ต่างประเทศน่ะ” กฤตอธิบาย ก่อนจะทำหน้ากรุ้มกริ่ม ล้วงมือเข้าไปในเสื้อโค้ตตัวยาว และเมื่อชักออกมา... “แต่นแต้น ดอกไม้สำหรับพิชญ์”
กฤตก็ส่งดอกกุหลาบแดงให้ผม
“เนื่องในโอกาสอะไร”
แต่ผมไม่รับ
“เนื่องในโอกาสไม่เจอกันหลายวัน ทั้งที่บอกจะมาหา แต่ก็ไม่ได้มา พิชญ์รออยู่ใช่มั้ย ขอโทษนะ แต่เราติดต่อพิชญ์ไม่ได้เลย”
เกือบลืมว่ากฤตเป็นคนเดียวที่ไม่รู้ว่าผมขายโทรศัพท์เครื่องเก่าทิ้งไปแล้ว เพราะนับตั้งแต่ได้เบอร์จากคุณคนแรก ผมก็เปิดเครื่องตลอด และเคยโทรออกแค่ครั้งเดียวคือตอนคุยกับแม่
“ฉันจะรอนายทำไม เราเลิกกันไปแล้ว” ผมเอ่ยเสียงช้า ชัด
“พิชญ์...” กฤตสลดในทันที สำหรับผู้ชายที่มักมีรอยยิ้มประดับบนหน้า เฉิดฉายสดใสเหมือนแสงตะวันอย่างเขา ไม่ควรทำหน้าหมองคอตก แม้จะทำแล้วน่าเอ็นดูเอามากๆ ก็เถอะ
นี่ละนะ คนหน้าตาดีทำอะไรก็ดูดีไปหมด
ไอ้ความชื่นชมน่ะมี แต่ความรักน่ะไม่ ใครบ้างจะไม่ชอบของสวยงามน่ามอง และผมเองก็รู้สึกกับกฤตแค่นั้น
มองแต่ตา มือไม่ต้อง แถมไม่คิดจะหวนกลับไปคบด้วย
“ผ่านมาสามเดือนแล้ว ยังไม่ให้อภัยกันอีกเหรอ”
“นายคงไม่คิดว่า...” ผมมองกฤตที่ยังถือกุหลาบแดง ไล่สายตาตามใบหน้าหล่อเหลา รูปร่างสูงโปร่งดูดี แล้วอดหวนนึกถึงอดีตที่แสนสุข แม้ตอนนี้จะกลับตาลปัตรโดยสิ้นเชิง “โผล่มาขอโทษหนึ่งครั้ง เมาเหมือนหมาให้เห็นหนึ่งครั้ง หายหัวไปหลายวัน แล้วโผล่มาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จะทำให้ฉันเออออยอมคืนดีหรอกนะ”
“ไม่เหรอ”
“ไม่”
กฤตเงียบไปอึดใจหนึ่ง พวกเราคบกันมาสองปีเต็ม เขาคิดอะไรอยู่ทำไมผมจะไม่รู้
เขาเป็นพวกไม่ชอบคิดเยอะ คิดมาก หรือให้ถูกคือเขาไม่ถนัดคิดอะไรที่มันซับซ้อน กฤตเป็นคนตรงไปตรงมา ซื่อสัตย์กับตัวเอง และนั่นก็ทำให้ผมชอบที่จะอยู่กับเขา แต่นิสัยนี้ของเขาก็นำมาซึ่งความมักง่ายในหลายครั้ง อย่างไอ้เจอผมครั้งแรกหลังหายหัวไปสองเดือน เจอปุ๊บก็หาเรื่องคุณคนแรกปั๊บเพราะผมมีกิ๊กก็ดี และที่คิดในหัวตอนนี้ คงไม่พ้นคิดว่าก็ขอโทษไปแล้ว ทำตัวให้เห็นว่าเสียใจสุดๆ ด้วยการเมาเป็นหมาไปแล้ว แต่ผมไม่ยอมคืนดีสักที สงสัยจะโกรธมาก งั้นรอให้ใจเย็นหน่อยแล้วกัน นี่ก็ใกล้จะสิ้นเดือนพอดี ผมน่าจะเบื่อการหนีออกจากบ้านแล้วมั้ง งั้นตีเนียนมารับเลยดีกว่า เผื่อผมจะยอมกลับด้วยกัน แล้วถือโอกาสคืนดีซะเลย
กฤตหนอกฤต
ถ้ายังคบกันอยู่ ผมคงทั้งฉุนทั้งขันทั้งเอ็นดู อยากจะจับเขามากอดแล้วฟัดแก้มสักทีสองทีแก้มันเขี้ยว
แต่ในเมื่อเลิกกันไปแล้ว...
“นายกลับไปเถอะ ฉันไม่กลับ”
เย็นชาสักหน่อยน่าจะพอทำให้เขาตระหนักได้ว่าผมไม่ใจอ่อนง่ายๆ เหมือนเวลาเขาทำผิดแล้วอ้อนขอโทษ
“...ตัวอะไรน่ารักจัง” กฤตแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน หันมาจดจ่อกับบัตรสะสมแต้มที่เรียงสีอยู่ในกรอบกระจก “พิชญ์เป็นคนคิดใช่มั้ย ทำเป็นเลเวลด้วยเหรอ ถือชานมอีกต่างหาก น่ารักนะเนี่ย”
ความแตกต่างของภูมิกับกฤตคือ ไอ้ภูมิมันไม่มีศิลปะในหัวใจ และที่ตามผมไปซะทุกเรื่องนั้นก็เพราะเห็นเพื่อนเป็นตู้เอทีเอ็ม ขณะที่กฤตนั้นมีความสุขที่จะเอาอกเอาใจผม โดยไม่คิดเล็กคิดน้อยแม้ว่าบางเรื่องจะบ้าบอไปสักนิดหรือเด็กไปหน่อย
“ถ้าพิชญ์อยากเปิดชานม ไม่กลับบ้านจริงๆ งั้นเราช่วย”
“จะทำอะไรน่ะ!”
“เซลฟี่กับร้านพิชญ์ไง ไอจีเรามีคนตามเยอะ ช่วยโปรโมตให้ ไม่ดีเหรอ”
ก็ใช่ว่าจะไม่ดี แต่ผมไม่อยากได้รับความช่วยเหลือจากแฟนเก่า เพราะต้องมีปัญหาตามมาอีกพะเรอเกวียนแน่นอน
“ห้ามถ่าย” ผมทำตาดุ “นายคงไม่คิดว่าตอนนี้ที่ฉันไม่ยอมกลับ เพราะสนุกกับการทำร้านชานมให้รุ่ง ถ้าช่วยลัดขั้นตอนให้ขายดีจนลูกค้าเต็มร้าน ฉันก็คงจะเหนื่อยและเบื่อ ยอมกลับเองใช่มั้ย”
“ไม่ใช่เหรอ”
“ไม่”
กฤตเงียบไปอีกครั้ง ลูบคางอย่างจริงจังว่าควรจะเริ่มแผนไหนต่อดี
“เกะกะหน้าร้านน่ากฤต”
“งั้นถ้ารับดอกไม้ เราจะกลับ” กฤตหันมายิ้มหวาน ออดอ้อนจนชวนให้ใจอ่อน ซึ่งผมค่อนไปทางอ่อนใจมากกว่า ยอมเพราะอยากตัดปัญหาล้วนๆ
พอเห็นผมรับดอกไม้ กฤตก็ดีใจ เขามักดีใจกับเรื่องเล็กน้อยเสมอ และเข้าข้างตัวเองมากๆ
อย่างตอนนี้คงไม่วายคิดว่าผมรับดอกไม้เพราะใกล้จะหายโกรธแล้ว
อยู่กับคนอย่างกฤต เข้าใจง่ายดี แต่ก็ชวนหน่ายใจเหมือนกัน
“งั้นเรากลับแล้วนะ”
“เออ” ผมเอ่ยเสียงเพลีย หยิบชานมขึ้นมากินขณะมองส่งกฤตสวมแว่นดำเดินออกไปจากซอย ตั้งแต่ต้นจนจบ เขาไม่แม้แต่จะชายตามองคุณคนแรก
เพราะคุณคนแรกทำตัวเป็นรูปปั้นได้ชนะเลิศ
แม้จะไม่เคยถาม แต่ไอ้การนั่งฟังเก็บข้อมูลนั้นก็ชวนหนาวๆ ร้อนๆ อยู่เหมือนกัน เขาต่างกับกฤต ผมเดาทางแทบไม่ออกเลยว่ากำลังคิดอะไรและจะทำยังไงต่อไป
เพราะถ้าถามผม หากกำลังรู้สึกดีกับใครสักคน และคนนั้นมีทั้งเพื่อน ทั้งแฟนเก่าพัวพันวุ่นวาย ต้องมีถอยบ้างละ
“ดอกไม้สวยดีนะ”
...งวดนี้ชมดอกไม้เหรอ
“อยากได้มั้ยล่ะ” ผมยื่นให้คุณคนแรกแบบตั้งใจจะหยอก แต่คิดไม่ถึงว่าเขาเอาจริง
“ขอบใจ” รับไปไม่พอยังขอบคุณกันอีกต่างหาก ผมมองเขาอึ้งๆ ก่อนจะอึ้งยิ่งกว่าเดิมเมื่อคุณคนแรกเดินเอาดอกไม้ไปทิ้งถังขยะตรงเสาไฟฟ้า
“ฝากทิ้งหน่อย” ก่อนจะเดินย้อนกลับมา แล้วส่งแก้วชานมว่างเปล่าให้
ผมต้องใช้เวลาอยู่นานกว่าจะหาเสียงตัวเองเจอ
“ทำไมไม่ทิ้งถังขยะตรงนู้นเลยล่ะ” ถึงจะพูดแบบนั้น แต่ผมก็รับแก้วมาทิ้งในร้านเพราะอย่างน้อยก็ได้แยกขยะซีไซเคิลช่วยลดโลกร้อน แม้จะยังเหวอไม่หายที่เขาขอดอกไม้ไปทิ้งกันต่อหน้าต่อตา
“รังเกียจ?”
“ก็ไม่” ผมตอบทันที รังเกียจกับแค่ฝากทิ้งขยะ ผมไม่ใช่คนใจแคบขนาดนั้น
“อืม ไม่รังเกียจเหมือนกัน”
ผมเอ๊ะขึ้นมาวูบหนึ่ง
เอ๊ะกับประโยคที่งงว่าเข้าใจตรงกันมั้ยนะ เอ๊ะกับสีหน้าตายๆ และน้ำเสียงราบเรียบของเขา เอ๊ะในใจอยู่อย่างนั้น และเอ๊ะวนไปจนคุณคนแรกเดินออกจากซอย
...สรุปเขาไม่ได้ถามถึงเรื่องฝากทิ้งขยะใช่มั้ย
ตั้งใจจะสื่อว่าแม้ผมจะมีแฟนเก่าพัวพันก็ไม่รังเกียจที่จะสานสัมพันธ์ต่องั้นเหรอ
ผมนิ่งไปครู่ใหญ่ ลูบหน้าตัวเอง และพบว่ากำลังยิ้ม
ให้ตาย น่าส่งกฤตไปเรียนวิชากับคุณคนแรกจริงๆ อยากจะเนียนต้องให้เนียนถึงขั้นนี้! นี่สิ คนเนียน 2019!!
-----------------------
จบเคสภูมิแล้ว มาต่อกันที่เคสของกฤตกันค่ะ
ค่อยๆ ปิดจ็อบกันไปทีละราย เพื่อให้น้องได้เปิดร้านชานมไข่มุกอย่างราบรื่นไม่โดนระราน
โดยมีคุณคนแรกคอยเอาใจช่วยอยู่ไม่ห่างและสม่ำเสมอในทุกๆ วัน บางที...คนเราก็ไม่ต้องการอะไรมากนอกจากกำลังใจจากคนที่เข้าใจและพร้อมจะยอมรับทุกอย่างที่เป็นเรา ถูกมั้ยคะ
#ผมกับชานมไข่มุก
เพจ :
มาจะกล่าวบทไปTwitter :
MajaYnaja