โทรครั้งที่ 7_____________________
Call 48
ในคืนนั้น เอิ้นกลับบ้านด้วยสภาพไม่รับรู้อะไรแล้ว สมองเขาขาวโพลน ใบหน้าเขาร้อนผ่าวราวกับกำลังเผาไหม้ผิวหน้าตัวเอง นั่งเงียบตลอดทางจนลุงวีนึกสงสัย
พอถึงเตียง เอิ้นก็เอาหน้าฟาดหมอนทันที เมื่อครู่เขาไม่ได้ฝันไปใช่ไหม โชนไม่ได้เมาใช่ไหม หรือว่าเป็นเขาที่เมา
ไฉไลไม่ยอมรับความจริงจนคิดหาข้ออ้างต่างๆ นาๆ จนเผลอหลับไป
หรือว่าโชนจะหลอก!
เขาตื่นจากความฝันอันหอมหวานด้วยเพราะฝันร้ายในตอนจบ เอิ้นผุดลุกตัวนั่งราวกับเพิ่งนึกได้ถึงความเป็นไปได้เมื่อคืน
จริงๆ แล้วโชนอาจจะลงพนันกับเพื่อนไว้ก็ได้ ทำให้เขายอมตกลงรับเป็นแฟน เพื่อที่จะได้ชนะเกม เพื่อนโชนอาจจะรู้อยู่แล้วว่าเขาเป็นยังไง แล้วหลังจากนั้นก็พาเอิ้นไปสู่ความจริง ทุกคนรอบตัวหัวเราะเยาะใส่พร้อมกับเอ่ยคำต่อว่าเอิ้นอีกครั้ง เหมือนที่ผ่านมา ครั้นสมัยเอิ้นยังเป็นเด็กวัยมัธยม...
เอิ้นสมัยยังเป็นเด็กชายเคยแอบหลงรักรุ่นพี่ผู้ชายคนหนึ่ง เด็กน้อยไม่ได้หวังอะไรมากไปกว่าการแอบมอง แต่พอถูกจับได้ รุ่นพี่คนนั้นก็ทำเป็นทำดีด้วยในทีแรก พาเขาไปทานข้าวที่โรงอาหารของโรงเรียนด้วยกัน ก่อนประกาศเสียงดังลั่นว่าเขามีรสนิยมอย่างไร ร่วมกับพวกลูกหาบทำให้สถานการณ์ตอนนั้นแย่ลงไปอีก
คนที่เขาชอบมองเขาด้วยสายตาขยะแขยง ทำท่าทางลูบแขนลูบขา ขนลุกเกรียว เขาถูกเสียงหัวเราะจากทุกทิศทาง ถ้อยคำถากถาง หลากคำเยาะเย้ยพุ่งสู่กลางหัวใจจนแทบสลาย
ทุกคนหัวเราะใส่สิ่งที่เขาเป็น และด่าทอในสิ่งที่เขาไม่ได้เป็น
คำว่าร้ายจากคนไม่รู้จักกรีดหัวใจบอบบางจนเป็นแผลลึก
เรื่องราวถูกกล่าวขานมาสู่ครอบครัวของเขา จนกระทั่งมันต้องจบลงเช่นนี้
จบลงโดยที่เขาต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว
ไม่นะ ขออย่าให้มันเป็นเช่นนั้นเลย
เอิ้นภาวนา จ้องมองโทรศัพท์ของตน อยากให้โชนโทรมาหาเพื่อยืนยันกันสักนิดว่าเมื่อคืนเขาไม่ได้ฝันไป และมันเป็นความจริง หาใช่การกลั่นแกล้งใด
เขาจ้อง จ้อง จ้องโทรศัพท์เครื่องสวยจนตัวเองน้ำตาคลอ
โทรมาเถอะนะ
เขาเฝ้ารอโทรศัพท์ทั้งวัน...และไม่มีเสียงเรียกเข้าใดดังขึ้นมา...
Call 49
คงถูกหลอกจริงๆ แล้ว...
เอิ้นปาดน้ำตาในรุ่งเช้า เขาควรเรียนรู้จากบทเรียนที่แล้วมาไม่ใช่หรือไง ทำไมยังเผลอใจไปกับโชนได้อีก...
แต่เพราะตอนนั้น โชนพูดด้วยน้ำเสียงและสีหน้าจริงจังเสียจนเอิ้นไม่คิดว่ามันจะเป็นการหลอกลวง อีกทั้งจุมพิตสุดท้ายก่อนจากลาทำให้เขาเผลอตัวลอย หัวใจโบยบินอยู่บนปุยนุ่น จนกระทั่งเขาพลันนึกได้ว่าปุยนุ่นเบาบางนั่นไม่สามารถรองรับหัวใจของตนได้ หัวใจดวงน้อยๆ จงหล่นสู่พื้น กระแทกสู่ความจริง
จะมีใครมาชอบเขากัน บ้าหรือเปล่า
สงสัยอยู่ตัวคนเดียวกับหนังสือนิยายมากเกินไปจนเพ้อเจ้อ
หลงลืมว่าความเป็นจริงไม่สวยหรูเหมือนในนิทาน
เขานอนจมกับกองน้ำตาทั้งวัน เขาเปิดอ่านจดหมายที่โชนเคยส่งมาให้เขาเมื่อคราวก่อน เนื้อหาข้างในมีแต่คำถามถึงการหายไปของเอิ้น และลงท้ายด้วยความเป็นห่วงทุกฉบับ ลายมือของโชนทำให้สภาพจิตใจของเอิ้นดีขึ้น แต่ก็ไม่ทั้งหมด จะมีอะไรดีไปกว่าได้พูดคุยกับเจ้าตัวจริงๆ
จนกระทั่งตอนเย็น เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
เอิ้นไม่กล้ารับโทรศัพท์ เป็นครั้งแรกที่เขาลังเล
เขามองโทรศัพท์บ้านที่กรีดร้องเสียงแหลมจนดับไป
พลันโทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้นมาแทน
ปรากฏเป็นเบอร์ไม่รู้จัก เบอร์ของตู้โทรศัพท์สาธารณะ
เอิ้นเม้มปาก รวบรวมความกล้า กดรับสาย
Call 50
“คุณเอิ้นไม่ได้อยู่บ้านเหรอครับ ผมโทรเข้าเบอร์บ้านแล้วไม่มีคนรับสาย”
“เปล่า...ผมแค่รับไม่ทัน...” เอิ้นโกหก ใจสั่นหวาดกลัวว่าสิ่งที่เขาคิดไปกำลังจะเกิดขึ้น
“คุณเอิ้นได้ฟังเพลงเมื่อคืนไหม”
“เอ๊ะ...?”
“โถ่ ว่าแล้วเชียว ไม่ได้ฟังสินะครับ”
“เพลง...อะไร”
“ผมโทรไปขอเพลงให้คุณเอิ้นที่คลื่นวิทยุ แต่ไม่ได้โทรบอกคุณเอิ้น ลืมไปเลยว่าคุณเอิ้นคงไม่ได้ฟังวิทยุทุกวันแบบผม”
“...”
“ผมเขินเก้อเลย”
เอิ้นงงงวยกับเรื่องตรงหน้า เขาคิดว่าโชนคงโทรมาด้วยเรื่องอื่น อย่างเช่นว่าเรื่องคืนนั้นผมล้อเล่นนะ ไม่ก็ชวนเขาไปเจอกับเพื่อนของโชนอีกรอบ เพื่อเฉลยความจริงว่าเขามันวิปริต
ไม่ใช่โทรมาพูดคุยเรื่องเพลงแบบนี้
“เอาไว้พรุ่งนี้ผมค่อยเอาเพลงให้ฟังนะครับ”
“...”
“ว่าแต่พรุ่งนี้คุณเอิ้นว่างใช่ไหม ออกมาเจอกันตอนเย็นเหมือนทุกทีได้รึเปล่า”
“ผม...ว่าง...”
“งั้นเจอกันที่ม.ผมไหมครับ”
“ได้...”
“...คุณเอิ้น เป็นอะไรรึเปล่า”
“ผม...” เอิ้นเว้นไปสักพัก ก่อนกรอกเสียง “ไม่เป็นไร”
“ผมว่าผมไปหาคุณเอิ้นที่บ้านดีกว่า”
“หา เดี๋ยวสิ มาทำไม”
“เสียงคุณเอิ้นเหมือนไม่สบายใจเลย ต่อให้ผมคาดเค้นยังไงคุณเอิ้นก็จะไม่ตอบใช่ไหมล่ะ”
“ไม่ใช่นะ ผมไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ”
“นั่นไง ก็จะตอบแบบนี้ไง ผมไม่เชื่อหรอก”
“คุณโชน...”
“มาคุณโชนอะไรล่ะครับ เป็นแฟนกันแล้วนะ เลิกเรียกผมคุณได้แล้ว”
“...!”
“คุณเอิ้น...?”
“ห้ะ ค...ครับ!”
“อย่าบอกนะว่าลืมเรื่องนี้”
“เปล่านะ...ไม่ได้ลืม...”
“เสียงสั่นจัง มีพิรุธนะครับ”
“ไม่ใช่นะ”
เอิ้นเสียงสั่นกว่าเดิม เขาไม่ได้ลืมเรื่องที่โชนขอเป็นแฟน ให้ตายก็ไม่ลืม เพียงแต่เขาคิดว่าโชนต่างหากที่ลืม หรือไม่ก็ไม่ได้จริงจังกับมัน
“ผมว่าผมไปหาคุณเอิ้นดีกว่า”
“หา...จะ...จะมายังไง ไม่ต้องมาหรอก”
“เดี๋ยวผมยืมมอเตอร์ไซค์ไอ้ตาว บึ่งไปแป๊บเดียวถึง รอผมก่อนนะ”
“โชน!”
ปลายสายวางหูไปแล้ว
Call 51
“สรุปก็คือคุณเอิ้นกลัวว่าผมจะหลอก?”
“....อือ”
“แล้วก็เลยร้องไห้”
“ไม่ได้ร้องนะ”
“แต่ตาแดงนะครับ” โชนเอ่ย ยิ้มขำ เขามาถึงที่บ้านของเอิ้นภายในเวลาสิบห้านาทีเท่านั้น เอิ้นที่ไม่รู้จะปฏิเสธยังไงจึงได้แต่ต้อนรับแขกแบบงงๆ
พวกเขาทั้งคู่นั่งคุยกันที่โถงใหญ่ ที่ซึ่งเป็นห้องสำหรับรับรองแขก
โชนลูบใบหน้าเอิ้นแผ่วเบา จ้องมองดวงตาคู่สวยที่ตอนนี้มีร่องรอยของคราบน้ำตา เขารู้ว่าเอิ้นเป็นคนคิดมาก แต่ไม่คิดว่าจะมากขนาดนี้
“คุณเอิ้น บอกผมได้ไหมว่าทำไม”
“หืม”
“ทำไมถึงคิดว่าผมจะหลอกล่ะ...”
เอิ้นกระพริบตาปริบๆ เรื่องราวในความทรงจำถูกฉายซ้ำขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เขาไม่อยากนึกถึงมัน แต่เมื่อหนีแขกไม่ได้รับเชิญไม่ได้ สุดท้ายเอิ้นจึงยอมเล่าเรื่องของตนให้อีกฝ่ายฟัง
โชนพลันเข้าใจทุกอย่างขึ้นมาทันที
เอิ้นปิดใจเพราะเรื่องราวในอดีตฝังใจ ทำให้คิดว่าไม่มีใครรักเขาได้อย่างแท้จริง การอยู่คนเดียวมาตลอดหลายปีของเอิ้นยิ่งทำให้เอิ้นเปิดใจได้ยากยิ่งขึ้นไปอีก
เขาตระกองกอดอีกฝ่าย
คนในอ้อมกอดไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าตัวเองน่ารักน่าชังขนาดไหน และมีคนที่พร้อมจะมอบความรักให้ทั้งหมดอยู่ตรงนี้ คนตัวโตกดจูบลงกลางกระหม่อมของคนขี้คิดมาก
“ว้าย ตายจริง”
สิ้นเสียงของคุณป้าภา ทั้งคู่กระเด้งตัวออกจากกัน
Call 52
เอิ้นมาหาโชนที่มหาลัยตามที่เจ้าตัวนัดไว้เมื่อวาน
หลังจากที่ป้าภาเข้ามาขัดจังหวะโดยไม่ได้ตั้งใจแล้ว โชนก็ขอตัวกลับก่อนที่ฟ้าจะมืดไปกว่านี้ ไม่ลืมกำชับถึงนัดหมายของพวกเขาในวันพรุ่งนี้ ป้าภาขอโทษขอโพยเอิ้นเป็นการใหญ่ เพียงแต่เอิ้นไม่ได้นึกถือโทษโกรธอะไร
เขาแค่เขินมากๆ แค่นั้นเอง
พวกเขารู้อยู่แล้วว่าบ้านนี้ไม่ได้มีแค่พวกเขาสองคน แต่ก็ยังเผลอแตะเนื้อต้องตัวกันกลางบ้าน เรื่องนี้จะโทษใครก็ไม่ได้
โชนโทรมาหาเอิ้นก่อนนอนอีกครั้ง ตอกย้ำในความสัมพันธ์เพื่อให้เอิ้นเลิกคิดมาก
วันต่อมา เมื่อถึงเวลานัดหมาย เอิ้นก็มายังตึกคณะที่โชนเรียน ครานี้ไม่ได้มาในคราบไฉไล เพราะโชนบอกว่าอยากเที่ยวกับเอิ้นที่เป็นเอิ้นมากกว่าอยู่ภายใต้หน้ากากของใคร
นั่นทำให้เขาดีใจ
แต่ก็ประหม่าไปด้วยพร้อมกัน
“มาหาใครรึเปล่าครับ”
เอิ้นสะดุ้งโหยงกับเสียงข้างตัว หลังจากที่เขาด้อมๆ มองๆ อยู่หลายที่ก็ไม่เจอโชนสักที เอิ้นหันไปยังต้นเสียง และพบว่าคนที่ถามเขาคือตาว เพื่อนของโชนนั่นเอง
เอิ้นเอ่ยบอกความประสงค์ของตนไป ตาวพยักหน้ารับ บอกให้ตามมา
โชนอยู่ในห้องสมุดของคณะ
เจ้าตัวบ่นอุบไม่เลิก บอกกับเพื่อนเป็นร้อยๆ ครั้งแล้วว่ามีนัด จะให้มานั่งทำรายงานตอนนี้ไม่ได้ แม้ว่างานกลุ่มจะสำคัญ แต่เอิ้นก็สำคัญเช่นกัน รายงานเล่มนี้ ค่อยเขียนพรุ่งนี้ก็ยังไม่สาย หรือให้เขาเขียนสองบทในคืนนี้ก็ยังได้ เหตุใดถึงต้องมากักตัวกันด้วย
เขาตั้งใจจะลุกออกไปหลังจากเขียนรายงานหน้านี้จบ เอิ้นคงมาถึงนานแล้ว
ป่านนี้ดวงใจของเขาคงรอแย่แล้ว
ดีไม่ดีอาจจะร้องไห้ที่เขาหายไปอีก
โชนนึกเป็นห่วงแฟนตัวเองสารพัด โดยไม่รู้ตัวว่าเอิ้นปรากฏตัวอยู่ข้างหลังเขาเอง
Call 53
“ถ้ายุ่งก็ไม่ต้องนัดก็ได้นี่นา ผมไม่ว่าอะไรหรอก”
“ไม่ได้สิ ผมอยากเจอนี่”
สุดท้าย เอิ้นก็มานั่งข้างๆ โชนท่ามกลางเพื่อนๆ กลุ่มเดิม โดยแนะนำตัวเองว่าเป็น ‘เพื่อนโชน’ ครานี้เขาสามารถเอ่ยแนะนำชื่อตัวเองได้อย่างไร้ข้อกังขา เพื่อนทุกคนรับรู้และแนะนำตัวเองให้เอิ้นรู้จักอีกครั้ง
โชนตั้งใจนัดเขาที่นี่เพราะรู้ว่าต้องทำงานกลุ่ม แต่ไม่คิดว่าเพื่อนๆ ของเขาจะรั้งไว้นานเสียขนาดนี้จนโชนต้องขอโทษเอิ้นเสียยกใหญ่
เขาปล่อยให้โชนทำงานกลุ่มไปอย่างไม่นึกโกรธเคือง กลับขำแกมไม่เห็นด้วยด้วยซ้ำที่นิสิตโชนตั้งใจจะโดดงานกลุ่มเพื่อมาเจอเขา
เอิ้นหยิบหนังสือในห้องสมุดมาอ่าน ส่วนโชนก็ปั่นรายงานหัวฟูกับเพื่อนๆ
ไม่มีเพื่อนคนไหนจำเอิ้นได้ว่าเป็นคนเดียวกับหญิงสาวในร้านเดิมนั้น และเอิ้นนึกขอบคุณที่ไม่มีใครจำเขาได้
ยกเว้นคนหนึ่ง
ตาวจำหน้าเอิ้นได้ทันทีที่เห็นตั้งแต่ครั้งแรก และเมื่อรู้ว่าเอิ้นมาหาโชนก็ยิ่งมั่นใจในความสัมพันธ์ของทั้งสองคนนี้ เพียงแต่เจ้าตัวไม่ได้พูดอะไรออกไป
“เอ้อ จะว่าไป นี่ไงเพลงที่ผมจะให้ฟัง” โชนพูดขึ้นเมื่อจู่ๆ เขาก็นึกขึ้นได้ว่าเอิ้นไม่ได้ฟังเพลงที่ตนมอบให้ทางวิทยุ
ซาวน์เบาท์ที่บรรจุเทปไว้ถูกหยิบขึ้นมา โชนหยิบหูฟังให้เอิ้น กดเล่นเพลงที่ต้องการ
เย็นวันนั้น เอิ้นก็กลับไปทั้งๆ ที่ไม่ได้ออกไปไหนกัน ทั้งคู่อยู่ด้วยกันในห้องสมุดของมหาลัย ท่ามกลางกลุ่มคนมากมายดูวุ่นวายและไม่เป็นว่นตัว เพียงแต่เอิ้นก็มีความสุขแล้วที่ได้เจอโชน ดีใจแล้วที่โชนไม่ได้หลอกเขา
และขอบคุณที่ความสัมพันธ์ของสองเราเป็นเรื่องจริง
‘Sugar~ Oh, honey honey
You are my candy girl~
And you got me wanting you.’
Sugar Sugar ของ The Archies ถูกเล่นอยู่ในหัวเอิ้นไม่ต่ำกว่าสิบครั้ง และในคืนนั้นเองโชนก็โทรมาหาเขา
พร้อมกับร้องเพลงเดียวกันกับที่ให้เอิ้นฟังเมื่อเย็น
เพลงเดิมว่าหวานแล้ว ใยจะสู้ได้กับเสียงร้องของโชน ที่ทำให้หัวใจเขาหวานยิ่งกว่าน้ำผึ้งเดือนห้า
เสียงของโชนเข้ามาแทนที่ The Archies ดังทุ้มในใจแทนที่เพลงต้นฉบับ
รอยยิ้มฉาบใบหน้าของเอิ้นตลอดค่ำคืนนั้น
Honey~ Oh, Sugar sugar~
Call 54
“โชนน่าจะให้ช่องทางติดต่อผมเสียหน่อย”
“หืม”
เอิ้นพูดขึ้นในขณะที่พวกเขานั่งทานอาหารมื้อเย็นด้วยกัน วันนี้โชนไม่ต้องปั่นรายงานหรือการบ้านอะไรแล้ว จึงมีเวลามาชวนเอิ้นไปทานข้าวเย็นด้วยกัน ทดแทนส่วนของเมื่อวาน
“พอคิดว่าโชนเป็นคนเดียวที่สามารถติดต่อหาผมได้ มันก็ไม่ยุติธรรมเลย”
“คุณเอิ้น...”
“ผมว่าจะซื้อโทรศัพท์มือถือให้คุณสักเครื่อง”
“อย่าเชียวนะ” โชนร้องลั่น “คุณเอิ้นห้ามซื้อของแพงขนาดนั้นให้ผมเชียว ผมจะเก็บตังซื้อเอง”
“แล้วอย่างนั้น...” เมื่อไหร่จะได้คุยกันเล่า เอิ้นถอนหายใจ คิดหาวิธีใหม่
“ใช้เพจเจอร์ดีไหม”
“ไม่เอา เพจเจอร์ไม่ได้ยินเสียงคุณ” โชนค้าน อีกอย่าง เขาไม่มีเพจเจอร์ด้วย เพราะเสียเงินเก็บไปกับซาวน์เบาท์และอย่างอื่นหมดแล้ว แถมครอบครัวเขาไม่ได้ร่ำรวยอะไร
“ไม่เอาเพจเจอร์ แต่ยอมเขียนจดหมายน่ะหรือ” เอิ้นถามด้วยความฉงน
“ก็จดหมายมันมีลายมือคุณเอิ้นนี่นา”
“แล้วต้องทำยังไงผมถึงจะติดต่อคุณได้กันเล่า...” เอิ้นบ่นอุบพร้อมถอนหายใจ โชนไม่ทันโลกเทคโนโลยีเหมือนเขาเอาเสียเลย ขนาดเขาแก่กว่าแท้ๆ
เอิ้นคิดว่าไม่ยุติธรรมเสียเลยที่ตนไม่สามารถติดต่อโชนก่อนได้ บางวันโชนโทรมาหาเขาตอนดึก บางวันก็ไม่โทรมา เขาเองก็เป็นห่วงแฟนของตัวเองเหมือนกันนะ
“งั้นเอาเบอร์ไอ้ตาวไปได้ไหม”
“หือ”
“เพื่อนผมมันมีมือถือ ไว้ถ้ามีเรื่องเร่งด่วนคุณเอิ้นก็โทรเข้ามือถือมันนะ เดี๋ยวผมบอกมันเอง”
“ไม่เอาหรอก รบกวนแย่เลย” ให้เขาซื้อโทรศัพท์เครื่องใหม่ให้ยังดีกว่าเลย
“ไอ้ตาวไม่ว่าหรอก มันอยู่หอเดียวกับผมด้วย เอาตามนี้แหละ” ว่าแล้วโชนก็หยิบกระดาษมาจดเบอร์โทรศัพท์ของซี้สหายให้อีกฝ่าย
โชนเอาแต่ใจ เอิ้นคิด แต่ก็รับแผ่นกระดาษที่มีเบอร์โทรศัพท์ของตาวไปอยู่ดี
Call 55
คนเป็นแฟนเขาต้องทำตัวกันยังไง
เอิ้นไม่เคยมีแฟน จึงไม่รู้ว่าต้องเป็นอย่างไร เพียงแต่โชนเองก็ไม่ได้ทำตัวแตกต่างจากเดิมเท่าไหร่ เขาปฏิบัติกับเอิ้นเหมือนที่ผ่านมา
สาวน้อยดูดน้ำแดงในแก้ว สวมหมวกใบโตสีสวยหลบแสงอาทิตย์ขณะที่รออีกฝ่ายไปต่อแถวซื้อสายไหมถุงใหญ่ให้เขา แข่งกับความร้อนและผู้คน ไม่นานนักก็ถึงคิวของโชน เขาซื้อขนมสายไหมมาสองถุง ยื่นขนมก้อนฟูสีชมพูให้เอิ้น ส่วนของโชนเป็นสีขาว
เอิ้นแกะถุงขนมก่อนพากันเดินออกไปจากตรงนี้ อย่างน้อยก็หลบเข้าที่ร่มดีกว่า เอิ้นหยิบขนมเข้าปาก ความหวานจากน้ำตาลค่อยทำให้เขามีแรงขึ้นมาหน่อย
โชนพาเขาเข้าร้านเสื้อผ้าและเครื่องประดับของผู้หญิง
“คุณเอิ้นอยากได้อะไรหรือเปล่า”
อันที่จริง เอิ้นเริ่มเบื่อเสื้อผ้าและเครื่องประดับอันเก่าแล้ว จึงพยักหน้ารับ คิดว่าอย่างไรเสียก็คงได้ออกมาเที่ยวกับโชนอีกบ่อยๆ และคงต้องแต่งเป็นผู้หญิงไปอีกสักพัก
ใช้เวลาไม่นานเอิ้นก็เลือกเครื่องประดับเป็นจี้ห้อยคอและกำไลข้อมือเสร็จสรรพพร้อมกับชุดเดรสตัวใหม่
“คุณเอิ้นอยากได้อะไรอีกไหม”
เอิ้นส่ายหน้า เอ่ยถาม “โชนล่ะ”
“ไม่มีเหมือนกัน”
แล้ว...เราจะกลับกันแล้วเหรอ เอิ้นคิดในใจ ถึงแม้จะเย็นแล้วแต่เขายังอยู่กับโชนให้นานกว่านี้ เช่นเดียวกับโชน เขายังไม่อยากจากเอิ้นไปในตอนนี้ พลันนึกขึ้นได้ว่าเคยเห็นป้ายโฆษณางานวัดใกล้ๆ นี้
“งั้นเราไปงานวัดกันไหม”
“หืม”
“ผมเห็นว่าวันนี้มีงานวัดแถวนี้ด้วยล่ะ”
“เอาสิ” เอิ้นเอ่ยตอบรับด้วยความตื่นเต้น ตนไม่เคยไปเที่ยวงานอะไรแบบนี้เลยสักครั้ง
โชนจึงพาคนสวยไปที่งานตามความต้องการ
Call 56
เอิ้นไม่เคยเห็นซุ้มยิงปืน ปาเป้า โยนห่วง หรือซุ้มขายขนมอะไรพวกนี้ใกล้ขนาดนี้มาก่อน เขาเคยเห็นในรูปถ่าย แต่ไม่เคยได้สัมผัสบรรยากาศจริง และที่สำคัญ เขาไม่เคยเห็นชิงช้าสวรรค์ใกล้ขนาดนี้มาก่อน ไฉไลมองไปรอบตัวด้วยความตื่นเต้น คนเป็นแฟนก็ได้แต่ยกยิ้มให้กับความน่ารักน่าเอ็นดู
“ลองเล่นดูมั้ยครับ” โชนเอ่ยถาม เมื่อเห็นเอิ้นสนใจซุ้มปาโป่ง
“ได้หรอ”
“ได้สิ”
ไม่รอช้า โชนจัดการพูดคุยกับคุณลุงร้านปาเป้าทันที เอิ้นได้รับลูกดอกมาหกอัน กติการคือต้องยิงให้โดนลูกโป่งที่อยู่ในชั้นให้ได้ตามจำนวนที่กำหนดไว้ ถึงจะได้รางวัล
หัวใจเอิ้นสั่นระรัวด้วยความตื่นเต้นที่จะได้เล่นอะไรเช่นนี้เป็นครั้งแรก นิ้วมือสวยจับลูกดอก ขว้างมันออกไป
เอิ้นจบการเล่นปาโป่งด้วยลูกดอกที่ยิงเข้าเป้าอยู่หนึ่งดอก และได้ของรางวัลปลอบใจมา แม้ไม่ใช่ของแพงหรือหรูหรา แต่มีความหมายต่อเอิ้นอย่างถึงที่สุด ดินสอไม้รูปสัตว์แท่งนี้จะเป็นของระลึกว่าครั้งหนึ่งเอิ้นเคยมาที่นี่กับโชน
งานวัดมีทั้งของกินที่เอิ้นไม่เคยได้กิน มีทั้งซุ้มแปลกๆ ให้ลองเข้าไปชม เอิ้นพลันกลายเป็นเด็กตัวเล็กๆ วิ่งพล่านให้โชนตามดูแลเสียอย่างนั้น
“เราขึ้นชิงช้าสวรรค์ได้มั้ย” เอิ้นถาม
“ได้สิครับ”
พวกเขาต่อคิวเข้าแถวรอขึ้นชิงช้าสรรค์ เมื่อกระเช้าว่างมาถึง โชนพาเอิ้นเข้าไปนั่งเข้าใน ก่อนมันจะค่อยๆ ลอยเคลื่อนสู่ผืนฟ้า
เอิ้นจ้องมองพื้นดินที่ค่อยๆ สูงขึ้นอย่างสนุกสนาน ตนไม่เคยได้เล่นอะไรแบบนี้ และมันทำให้เอิ้นตื่นเต้นมากๆ จนกระเช้าเหล็กพาพวกเขามาใกล้จะเกือบถึงจุดสูงสุด เอิ้นหันไปหาโชน
“ขอบคุณที่พามานะ”
“ผมยินดี”
“โชน...ตอนนี้เราเป็นแฟนกันใช่ไหม”
“ใช่สิ คุณเอิ้นเป็นแฟนผมนะ”
“จริงๆ แล้ว ผมไม่ค่อยรู้ว่าการเป็นแฟนกันต้องทำยังไง” เอิ้นเริ่มกล่าวความรู้สึกในใจ
“โชนไม่ได้ทำอะไรแตกต่างจากเดิมเลย ถึงอย่างนั้นผมก็ชอบมันนะ”
“ผมหมายถึง...ก่อนหน้านี้เราเป็นเพื่อนกันใช่ไหม แล้วโชนก็ทำเหมือนเมื่อก่อน คือ...”
“คือไม่ได้ไม่ชอบหรอกนะ แต่ผมไม่รู้ว่าตัวเองต้องทำตัวยังไงให้เหมือนคนเป็นแฟนกัน”
“แต่จริงๆ แบบนี้ก็ไม่ได้แย่นะ เอ่อ...ช่างมันเถอะ” เอิ้นยอมแพ้กับการพยายามอธิบายความรู้สึกตัวเองให้อีกฝ่ายฟัง เพราะเขาเองก็ไม่เข้าใจตัวเองเท่าไหร่นัก โชนปฏิบัติตัวไม่ต่างจากที่แล้วมา แม้ไม่ใช่เรื่องไม่ดี แต่ลึกๆ ในใจเอิ้นก็อยากรู้ว่าคนเป็นแฟนกันต้องทำตัวอย่างไรเฉยๆ
“คุณเอิ้นรู้ไหม ทำไมผมถึงไม่ได้ทำอะไรให้ต่างจากเดิม”
“ผมไม่รู้...”
“เพราะทุกๆ วันก่อนหน้านั้นผมก็คิดกับคุณเอิ้นมากกว่าเพื่อนอยู่แล้ว”
“เอ๊ะ”
“อยากปฏิบัติกับคุณเอิ้นมากกว่าเพื่อน...จริงๆ ผมก็เคยบอกไปแล้วนี่เนอะ”
“...”
“แต่รู้ไหมก่อนหน้านี้มีสิ่งหนึ่งที่ผมทำกับคุณเอิ้นไม่ได้นะ”
“...”
“เป็นสิ่งที่คนเป็นแฟนกันเท่านั้นถึงจะทำได้”
โชนไม่รอให้เอิ้นเอ่ยปากถามหาคำตอบ เขาเคลื่อนตัวเข้ามาประทับริมฝีปากกับอีกฝ่าย สอดลิ้นเข้ามาในโพรงปากหวาน มอบจูบที่ลึกซึ้งกว่าเดิมให้คนเป็นแฟน
กระเช้าชิงช้าลอยตัวสู่จุดสูงสุด ไปพร้อมๆ กับหัวใจของเอิ้นที่ล่องลอยแตะปุยเมฆ
___________________________________
หวานกันทีละนิด ///
#call123456