ตอนที่4
“ห้องนี้มันหมายความว่าไงครับ”
ปารมีถามแทบจะทันทีที่เข้ามา เมื่อห้องที่เด็กๆพามาคือห้องของผู้เป็นพ่อ
“ก็คุณปามเป็นคนรักของคุณพ่อ ก็ต้องนอนกับคุณพ่อสิครับ”
ปฐวีตอบฉะฉานราวกับมันเป็นเรื่องธรรมดา
“แต่…..”
“มีอะไรเหรอ”
ปารมีกำลังจะพูด เสียงคุณพ่อของเด็กๆก็ดังขึ้นมาซะก่อน
“คุณปามดื้ออีกแล้วครับ”
ธรณินรีบวิ่งไปฟ้องพ่อทันที คำบอกเล่าของลูกชายทำให้วสุธาต้องขมวดคิ้วเข้าหากัน
“ดื้อ?”
“ก็คุณปามจะไม่อยู่ห้องนี้”
ปฐพีพูดบ้าง ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบทันทีที่เด็กชายพูดจบ วสุธามองหน้าปารมีเชิงไต่ถามว่าจริงหรือไม่
“ก็ที่นี่มันห้องคุณวสุธา”
ปารมีพูดด้วยเสียงเบาหวิว ถึงแม้จะเต็มใจมาด้วย แต่ก็เพราะเห็นแก่เด็กๆเป็นส่วนใหญ่ พูดตรงๆว่าเขายังกลัววสุธาอยู่มาก ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยคิดแม้แต่น้อยว่าคนๆนี้น่ากลัว ความทรงจำวันที่โดนทำร้ายยังคงเด่นชัดอยู่ในใจ จึงเป็นเรื่องปกติใช่ไหมที่ปารมีจะหวาดผวาเวลาวสุธาเดินเข้าใกล้ หรือแม้แต่การที่หวั่นใจเมื่อต้องมานอนห้องเดียวกัน
“สบายใจเถอะ ผมสัญญาว่าจะไม่ล่วงเกินคุณอีก หากว่าคุณไม่เต็มใจ”
คำสุดท้ายมันฟังดูแปลกๆ แต่วสุธาไม่ปล่อยให้ปารมีได้คิดตามคำพูดนั้นมากนัก
“คุณกลับมาคราวนี้ไม่ใช่ในฐานะพี่เลี้ยง แต่เป็นคนรักของผม มาอย่างเจ้านายอีกคน เพราะงั้นการนอนห้องเดียวกับผมเป็นการแสดงให้เห็นว่าผมยกย่องคุณ”
“แต่ผมไม่ได้อยากเป็น”
วสุธาออกจะหน้าตึงเมื่ออีกฝ่ายปฏิเสธอย่างชัดเจนว่าไม่ได้อยากเป็นคนรักของตนเอง แต่ก็รีบลบความไม่พอใจของตนทิ้งไปทันที ตัวเองทำผิดเอาไว้กับอีกฝ่ายขนาดนั้น แค่ปารมียอมกลับมาก็เป็นเรื่องเหลือเชื่อเหลือเกินแล้ว
“ถึงคุณไม่อยาก แต่นั่นคือสิ่งที่ผมตั้งใจ เพราะงั้นคุณก็ยอมรับเสียเถอะ”
พูดทิ้งไว้แค่นั้นแล้วออกจากห้องมาด้วยไม่อยากต่อความยาว
ปารมีเองก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างลำบากใจ
“คุณปามจัดของเถอะ เร็วๆๆ”
ธรณินเขย่าแขนพลางดึงปารมีให้มาจัดของ สุดท้ายปารมีก็ต้องยอมรับการนอนห้องเดียวกับวสุธาอย่างไม่สามารถขัดได้ ...
..................................
ตั้งแต่กลับมาอยู่ที่จอมไตร อะไรหลายๆอย่างก็เปลี่ยนไป จากเดิมที่ปารมีเป็นพี่เลี้ยง เป็นลูกจ้างคนหนึ่งของบ้าน ตอนนี้มีสถานะเป็นคนรักของเจ้าของบ้าน เป็นเจ้านาย...ทำให้ปารมีทำตัวไม่ค่อยถูกนัก และกลัวว่าคนอื่นๆจะรับไม่ได้ ก็ในเมื่อปารมีเป็นผู้ชาย ไอ้การจะเข้ามาอยู่ในฐานะคนรักของเจ้านายผู้ชายมันดูจะแปลกไปมาก ปารมีเตรียมใจรับสถานการณ์ที่จะโดนดูถูกจากคนรอบข้างมาเป็นอย่างดี....แต่ก็ไม่มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นสักนิด ไม่มีเลย ทุกคนให้ความเคารพปารมีด้วยความเต็มใจ จนปารมีชักเหนื่อยใจ ที่นี่จะไม่มีใครต่อต้านให้เขารู้สึกว่ามันเป็นโลกธรรมดาบ้างรึอย่างไรกัน
ปารมีไม่รู้ตัวว่าตลอดเวลาที่เข้ามาอยู่ในฐานะพี่เลี้ยงนั้น ได้ทำให้ทุกคนในบ้านรักและเอ็นดูแค่ไหน ปารมีไม่เคยวางอำนาจเพราะถือว่าได้รับเงินเดือนมากกว่า หรือทำหน้าที่ที่สูงกว่าคนอื่น กลับกัน ปารมีย้ำกับทุกคนว่าตนเป็นลูกจ้างเหมือนกัน มีอะไรก็ต้องช่วยกัน ปารมีไม่เคยดูแลคุณหนูๆของพวกเขาเพียงเพราะเป็นหน้าที่ หรือเพราะต้องการเอาอกเอาใจพ่อของเด็กๆอย่างที่คนอื่นๆทำ แต่ปารมีทำตามความตั้งใจของตน อาจจะตามหน้าที่ แต่ก็เป็นไปด้วยความจริงใจ จนอาจเรียกได้ว่าทำไปด้วยความรัก หากใครสักคนที่วสุธาจะเลือกมาเป็นนายอีกคนของพวกเขาเป็นปารมีแล้วละก็ พวกเขาไม่มีใครคิดจะคัดค้านหรือเห็นว่าไม่สมควร
“คุณปาม ไม่ต้องทำหรอกค่ะ”
แม่บ้านคนหนึ่งเดินมาเจอปารมีกำลังล้างขวดนมของตาหวานรีบร้องห้ามและถลาเข้ามาแย่งขวดนมในมือปารมีไปถือไว้
“แต่ว่า......โธ่.....น้าสาย”
ปารมีที่กำลังจะแย้ง เจอสายตาดุๆของแม่บ้านที่ส่งมาก็ต้องร้องเรียกอีกฝ่ายอย่างอ่อนใจ
“ผมจะเป็นง่อยอยู่แล้ว”
ปารมีอาจจะพูดเกินจริงไปสักนิด แต่ว่านอกจากตอนที่ปารมีลงมาทำกับข้าวแล้ว ไม่มีเวลาไหนที่ได้รับอนุญาตให้ทำงานเลย
“ก็ไปดูคุณตาหวานสิค่ะ”
ปารมียิ้มเซียวๆให้ เพราะรู้ว่าเถียงไปก็ไม่เกิดประโยชน์ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาพยายามดิ้นรนจะได้ทำงาน และทุกครั้งไม่เคยมีครั้งไหนที่จะได้ทำอย่างที่ตั้งใจสักครั้ง
“ครับๆ ผมจะไปนั่งเฝ้าตาหวานหลับก็แล้วกัน”
ปารมีพูดงอนๆแล้วเดินออกไป ภาพนั้นเรียกรอยยิ้มจากแม่บ้านสายได้เป็นอย่างดี ปารมียังคงพูดด้วยภาษาสุภาพกับตน และพูดกับทุกคนอย่างที่เคยพูด แม้สถานะจะเปลี่ยนแปลง แต่คนไม่ได้เปลี่ยนไป เธอดีใจที่เจ้านายไม่ได้เลือกคนผิดมาอยู่ข้างกาย
...............................
เมื่อเดินเข้ามาในห้องนอนซึ่งก็ยังเป็นห้องของวสุธา แม้ว่าปารมียืนยันหลายครั้งว่าต้องการกลับไปนอนห้องเดิม แต่ใครจะไปเถียงสู้เจ้าของบ้านได้ล่ะจริงไหม
ห้องนอนนี้ตาหวานไม่ได้อยู่ด้วย แต่เด็กชายอยู่ที่ห้องข้างๆซึ่งต่อไว้สำหรับเลี้ยงทารกเมื่อนานมาแล้ว ใช้เลี้ยงเด็กๆทั้งสามคน เลวี่ภรรยาผู้ล่วงลับของวสุธาเป็นคนต่อไว้เมื่อเธอยังอยู่
“คุณวสุธา”
“ว่าไง”
วสุธาที่กำลังเปลี่ยนเสื้อหันมามองคนเรียกเพียงแวบเดียวแล้วก็หันกลับไปสนใจการติดกระดุมต่อ
“ผมคิดว่าผมว่าง.....ว่างเกินไป”
ปารมีพยายามหาคำพูดที่พูดไปแล้วจะดูไม่เหมือนว่าเขาเอาแต่ใจตัวเองจนทำให้วสุธาลำบากใจ เขามาอยู่ที่นี่ รู้ตัวเองดีว่าไม่ได้เข้ามาในฐานะคนรักอย่างที่วสุธาบอกคนอื่นๆ ก็แค่คนที่วสุธาเผลอมามีอะไรด้วย และเกิดเป็นที่ต้องการของลูกๆของวสุธา เลยได้ฐานะนี้มา วันหนึ่งเกิดวสุธาไม่พอใจ เกิดเด็กๆไม่ต้องการขึ้นมาแล้ว เขาก็คงต้องจากไป ปารมีบอกตัวเองอยู่เสมอว่าที่นี่ไม่ใช่ที่อยู่ถาวรของตน
“ฮืม...”
วสุธาเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งเมื่อได้ฟังคำถาม
“ไว้จะหาอะไรให้ทำล่ะกัน”
ถึงแม้จะรับปากแต่ปารมีก็แอบคิดว่าเป็นเพียงแค่คำตอบรับส่งๆ ด้วยคิดว่าวสุธาไม่ได้สนใจอะไรกับตัวเองเท่าไหร่
“ครับ”
เมื่อวสุธาไม่พูดอะไรมากไปกว่านั้น ปารมีก็ไม่รู้ว่าจะต้องพูดอะไรกับชายหนุ่มอีก
หลังจากแต่งตัวเรียบร้อยวสุธาก็เดินลงมาข้างล่าง ปารมีเองก็เดินตามลงมาด้วย โดยไม่ได้ตั้งใจสักนิด แต่คนที่มองมาส่วนใหญ่กลับคิดว่าปารมีตั้งใจเดินมาส่งวสุธาที่รถเพื่อไปงานเลี้ยงค่ำนี้
“สวัสดีค่ะคุณปารมี”
นก...เลขาสาวส่งยิ้มมาให้ เธออยู่ในชุดราตรีหรู ถึงแม้ผมจะรวบขึ้นทั้งหมด และสวมแว่นสายตาอยู่ แต่เธอก็ไม่ได้ดูเชยสักนิดกลับดูทันสมัย การแต่งตัวเป็นแบบเรียบแต่หรูทำให้นอกจากจะดูสวยแล้วเธอยังดูสง่างามอีกด้วย
“สวัสดีครับ”
ปารมีทักทายกลับไป
“งั้นไปก่อนนะ”
วสุธาหันกลับมาลาปารมีก่อนที่จะเข้าไปนั่งในรถ และหญิงสาวซึ่งเป็นเลขาก็ตามเข้าไปนั่งเคียงข้างก่อนที่รถจะแล่นออกไป ทั้งคู่ออกไปงานเลี้ยงค่ำนี้ด้วยกัน ใช่....วสุธาไปกับเลขาอย่างที่เคยทำมาเสมอตั้งแต่ภรรยาเสียไป .....ปารมีไม่อยากคิดอะไรแต่ก็อดคิดไม่ได้ ทำไมวสุธาถึงตัดสินใจเลือกเขาเข้ามาเป็นอยู่ในฐานะคนรัก ทั้งๆที่มีคนที่เหมาะสมกว่าอยู่ข้างๆแท้ เวลาที่ทั้งคู่ยืนคู่กันช่างดูเหมาะสม ยิ่งพอมาแต่งตัวด้วยชุดพีธีการเพื่อไปงานเลี้ยงแบบเมื่อครู่นี้แล้ว มองดูราวกับเป็นภาพวาดก็ไม่ปาน
ปารมีไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองต้องรู้สึกเจ็บจี๊ดๆที่ไหนสักที่ทุกครั้งเมื่อเห็นทั้งคู่อยู่ด้วยกัน แล้วเขาก็เริ่มคิดว่าอาจเป็นเพราะตัวเองว่างการว่างงาน ในขณะที่คนอื่นๆนั้นงานล้นมือก็เป็นได้
ตัวเองจะเป็นคนไร้ค่าไปถึงเมื่อไหร่........ปารมีได้แต่คิดอย่างนั้นอยู่ตลอดเวลา
.............................
“ปารมีมาบอกว่าเขาว่างมาก เธอว่าเขาต้องการอะไรนก”
วสุธาเอ่ยถามเลขาคู่ใจในขณะที่ทั้งคู่นั่งอยู่บนรถ
“ฮืม....ก็คงเบื่อล่ะมั้ง”
นกตอบพร้อมรอยยิ้ม หล่อนไม่ค่อยเห็นวสุธาสนใจใครนัก แต่กับปารมีนั้น วสุธาพูดถึงจนเรียกได้ว่าเป็นประจำเลยก็ว่าได้
“ก็ลองแนะนำให้เขาไปเรียน....ทำอาหารดีไหมค่ะ คุณปารมีชอบไม่ใช่หรือ”
เท่านั้น บทสนทนาก็หยุดลง วสุธาไม่ตอบรับหรือไม่ปฏิเสธคำแนะนำ แต่นกก็รู้เป็นอย่างดีว่า พรุ่งนี้ คงต้องเตรียมรายละเอียดของโรงเรียนฝึกทำอาหารหลายๆที่ไว้ให้
...........................................
แต่รายละเอียดเรื่อทั้งหลายเหล่านั้นกลับไม่ได้ใช้อย่างที่นกตั้งใจ เพราะปารมีไม่อาจทิ้งตาหวานให้คนอื่นเลี้ยงด้วยไม่อยากเพิ่มภาระให้ใคร ถึงแม้คนในบ้านจะเต็มใจ แต่เขาก็คิดว่ามันไม่ถูกต้องอยู่ดี
“งั้นก็ทำขนมเล่นๆไปดีไหม ผมจะให้เขามาทำห้องอบขนมให้ถัดจากห้องครัว”
หลังจากฟังอีกฝ่ายว่าปารมีก็ไม่ค่อยสบายใจนัก เมื่อมันดูเหมือนว่าการเรียกร้องของตนเองจะเป็นการหาเรื่องให้วสุธาเสียเงินโดยใช่เหตุ
“ไม่ต้องหรอกครับ ผมจะพยายามหาอะไรทำระหว่างที่เลี้ยงตาหวานไปด้วยแล้วกัน”
วสุธารับฟังแต่ไม่ได้ทำตาม วันถัดมาก็มีช่างมาดูที่และการก่อสร้างห้องสำหรับทำขนมก็เริ่มขึ้น
ห้องทำขนมของปารมีมีขนาดไม่ใหญ่มาก และห่างออกมาจากตัวบ้านเล็กน้อย แม้ปารมีจะตอบปฏิเสธแต่ก็อดตื่นเต้นกับห้องใหม่ที่สร้างขึ้นเพื่อตัวเองนี้ไม่ได้
เด็กๆก็ดูจะตื่นเต้นไม่แพ้กัน แต่ด้วยเหตุผลที่ต่างออกไป หลายครั้งหลายคราที่เด็กๆอยากกินขนมอันนั้นอันนี้แล้วปารมีบอกว่าไม่สามารถทำได้ด้วยข้าวของเครื่องมือที่มีอย่างจำกัด แต่เมื่อมีห้องสำหรับทำขนมแบบนี้ เครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆก็ต้องเพียบพร้อมตามไปด้วย
เด็กชายทั้งสามใช้เวลาว่างส่วนหนึ่งในการเลือกรายชื่อขนมที่อยากกินไว้รอเพื่อให้ปารมีทำให้
การสร้างห้องอบขนมนี้วสุธาทำไปเพราะต้องการ ‘เอาใจ’ ปารมี เรื่องนี้ใครดูก็รู้ แต่แปลกเหลือเกินที่เจ้าตัวทั้งวสุธาและปารมีกลับไม่รู้สึกถึงเรื่องนั้นสักนิด
วสุธาคิดว่าตัวเองทำเพราะอยากทำ ไม่มีเหตุผลอะไรอีก
ส่วนปารมีคิดว่าวสุธาทำไปด้วยเพราะต้องการชดใช้ให้เรื่องที่เคยมาล่วงเกินตน
ทั้งสองคนไม่ได้คิดเลยว่าสายใยเล็กที่ผูกคนทั้งสองเข้าไว้ด้วยกันนั้นกำลังค่อยๆดึงทั้งสองเขามา ให้ทั้งสองค่อยใกล้กันมากขึ้นกว่าเดิม
.......................
ถ้าถามว่าเวลาไหนที่ปารมีอึดอัดใจที่สุดตั้งแต่กลับมาอยู่ที่บ้านจอมไตร ปารมีตอบได้โดยไม่ต้องคิดเลยว่าเวลานั้นคือช่วงเวลายามค่ำคืน
ร่างบางเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยชุดนอนเหมือนทุกครั้ง ก่อนจะแทบทำผ้าเช็ดตัวที่ใช้ซับน้ำอยู่ร่วงหลุดมือเมื่อเห็นว่าใครที่นั่งอยู่ภายในห้อง
“เอ่อ... ทำงานเสร็จแล้วหรือครับ”
วสุธาเงยหน้าละความสนใจจากเอกสารที่หยิบติดมาอ่านแล้วก็พยักหน้าให้ก่อนจะลุกขึ้นสวนเข้าไปในห้องน้ำเพื่อจัดการชำระล้างร่างกายบาง
ลมหายใจอุ่นๆถูกพรูออกมาจากริมฝีปากบางเบาๆ ร่างกายที่เกร็งนิ่งเมื่อครู่ถูกผ่อนคลายลงเมื่อไม่มีอีกคนอยู่ในกรอบสายตาแล้ว
“เมื่อไหร่จะแก้ได้นะ”
บ่นกับตัวเองเบาๆถึงการการเกรงกลัวคนตรงหน้า หากเป็นช่วงเวลาธรรมดานอกห้องนอนปารมีก็ไม่ค่อยรู้สึกอะไรนัก หากแต่เมื่ออยู่ในห้องนี้ทีไร ความรู้สึกหวาดกลัวเรื่องราวที่ผ่านมาก็ยังไม่จางหายไปเสียที แต่เพราะวสุธาไม่เคยมีท่าทีคุกคามอีกปารมีจึงพยายามไม่แสดงอาการเหล่านั้นออกไป
แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้รู้เลยว่าคนที่เพิ่งเดินสวนเข้าไปในห้องน้ำเมื่อครู่นี้สังเกตเห็นอาการหวาดกลัวเหล่านั้นได้อย่างชัดเจน ร่างสูงพิงผนังห้องน้ำแล้วถอนหายใจออกมาเช่นเดียวกัน แต่ไม่ใช่ด้วยความโล่งใจอย่างปารมีเมื่อครู่ วสุธากลุ้มใจที่ปารมียังกลัวตนเองอยู่ แต่เพราะเรื่องที่ตัวเองทำนั้นมันน่าจะทำให้รู้สึกแย่จริงๆเลยไม่คิดโทษร่างบางข้างนอกห้องนั้นเลยสักนิด แค่ปารมียอมกลับมาอยู่ที่นี่ก็นับว่าดีถมไปแล้ว แต่เขาก็ยังหวัง หวังจะให้ปารมีเลิกหวาดกลัวตัวเขาได้เสียที
หลังจากอาบน้ำเสร็จเมื่อออกมาห้องนอนที่เคยสว่างก็เหลือเพียงแสงนวลจากโต๊ะเครื่องแป้งเท่านั้น ปารมีแกล้งทำว่าหลับไปแล้วทั้งที่คงจงใจหลบหน้าเขา แต่วสุธาก็ไม่ทักออกมา ตอนนี้เขาอยากให้ปารมีชินกับชีวิตที่มีตัวเขาอยู่ข้างๆและไว้ใจพอจะเลิกหวาดกลัวเสียก่อน
เรื่องที่ตัวเองทำนั้นโหดร้ายแค่วสุธารู้ดีที่สุด
แม้จะไม่ได้รับความไว้วางใจหรือการให้อภัยจากอีกฝ่ายวสุธาก็ไม่คิดจะบ่นสักนิด
ร่างสูงล้มตัวลงนอนบนเตียงในด้านที่ว่างแล้วมองดูใบหน้าของคนที่นอนหลับตาหันมาทางตนเองเงียบๆ
ไม่ไว้ใจจึงไม่กล้านอนหันหลังให้
หวาดกลัวและต้องการมีอะไรอยู่ข้างกายจังทั้งกอดหมอนข้างเสียแน่นและห่มผ้าห่มเสียมิดชิด
พอมองใบหน้าเนียนที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมแต่ไม่มีสิทธิได้แตะต้องก็อดนึกถึงเรื่องที่คุยกับอมฤตเมื่อกลางวันไม่ได้
“พี่ดินทำไมเลือกให้คุณปามกลับมาล่ะครับ”
อมฤตถามไม่ใช่เพราะเขาไปข่มขืนใครเข้าบ่อยๆ ส่วนมากก็เสนอตัวและเขาก็รับการเสนอนั้น หรือหากใครที่วสุธาต้องตาอำนาจและเงินตราก็สามารถนำพาคนๆนั้นมาให้ตนได้ ก่อนจะจากลากันด้วยการตอบแทนฝ่ายนั้นตามความพอใจของทั้งสอง ไม่ว่าอีกฝ่ายจะพยายามยื้อเท่าไหร่วสุธาก็ไม่เคยนึกจะให้ใครเข้ามาอยู่ในสถานะของคนรัก
“เพราะเด็กๆชอบเขาด้วยไงล่ะ”
วสุธานิ่งคิดไปนานก่อนจะตอบคำถามนั้นออกมา อมฤตรู้ได้ทันทีว่ามันไม่ได้ออกจากใจแต่กลั่นออกมาจากสมอง
“ก็ให้เขากลับมาเป็นพี่เลี้ยงแล้วตอบแทนเขาเล็กๆน้อยๆก็ได้นิ่ครับ”
“นั่นก็จริงแต่ปารมีไม่เหมือคนอื่น”
ไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ว่าคนที่ถูกพูดถึงต่างจากคนอื่นตรงไหน
ทำไมถึงเลือกให้คนๆนี้มาอยู่ข้างกายตนในฐานะคนรัก
ขนาดตัวเองยังอธิบายให้ตัวเองเข้าใจไม่ได้ แล้ววสุธาจะเอาอะไรไปอธิบายให้น้องชายฟัง
“พี่ดินลองคิดดู อะไรที่คุณปามไม่เหมือนคนอื่น เพราะตัวคุณปามที่แตกต่างหรือเพราะพี่ที่คิดว่าคุณปามแตกต่างไปจากคนอื่นกันแน่”
อมฤตพูทิ้งท้ายก่อนจะเดินออกจากห้องของวสุธาไป
วสุธานอนคิดถึงเรื่องที่น้องชายพูด เขาไม่รู้ว่าปารมีต่างอย่างไร แต่มันก็ต่างจากทั้งตัวของปารมีเองและในความคิดของเขานั้นล่ะ ปารมีไม่เหมือนใคร กล้าต่อปากต่อคำกับเขาแต่ในขณะเดียวกันก็มีท่าทางเกรงเขาอย่างเห็นได้ชัด จนเมื่อมีเรื่องนี่ล่ะจากเกรงถึงกลายเป็นกลัวไป ปารมีเรียบร้อย ยิ้มบ่อยและเข้ากับคนง่าย แต่กลับมีเรื่องให้เขาขุ่นใจบ่อยครั้ง เมื่อมาคิดดูแล้วก็เหมือนจะเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆแทบทั้งสิ้น
“หรือว่ารัก”
เปรยกับตัวเองเบาๆก่อนจะส่ายหัวไล่ความคิดที่ตัวเองคิดว่าไร้สาระออกไป
จะเป็นไปได้อย่างไร เมื่อถึงตอนนี้ยามที่นึกถึงคำว่า ‘รัก’ ใบหน้าของเลวี่ภรรยาผู้ล่วงลับก็ยังเป็นภาพที่ปรากฏออกมาอย่างขัดเจนเหมือนเช่นทุกครั้ง
ความรู้สึกที่มีต่อปารมีแตกต่างจากความรู้สึกที่มีต่อเลวี่
“ไม่สิ ไม่ใช่รักหรอก”
วสุธาจึงสรุปว่ามันต้องไม่ใช่ความรักแน่ๆ
...................
วสุธาหลับไปแล้วในขณะที่ปารมีค่อยๆลืมตาขึ้น เป็นอย่างนี้ตั้งแต่คืนแรกที่มานอนที่ห้องนี้ปารมีไม่เคยหลับก่อนร่างสูงข้างๆ แต่ก็แกล้งทำเป็นหลับก่อนทุกครั้งเพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า เมื่อแน่ใจว่าอีกฝ่ายหลับสนิทแล้วแน่ๆปารมีก็ลุกขึ้นเบาๆแล้วย่องออกไปที่ห้องของตาหวานอย่างเช่นทุกคืนที่ทำมา
ไม่ใช่ว่าไม่ไว้ใจจนต้องหนีไปนอนที่อื่น แต่ปารมีลุกขึ้นเพราะตาหวานมักจะตื่นขึ้นมาหลังเที่ยงคืนเล็กน้อย เด็กชายต้องดื่มนมในเวลานั้นทุกวัน ปารมีไม่อยากให้เสียงร้องไห้งอแงของตาหวานปลุกวสุธา ถึงแม้จะไม่ค่อยรู้เรื่องธุรกิจนักแต่ปารมีก็รู้ว่าอีกฝ่ายทำงานหนัก หลังจากเวลางานแล้วก็มักจะมีงานกลับมาทำที่บ้านด้วยเสมอ นอกจากนี้เวลานอนทุกครั้งอีกฝ่ายจะนิ่งนานพลางถอนหายใจอยู่ในความมืด เหมือนกำลังคิดเรื่องอะไรๆอยู่เสมอ คงมีแต่เวลานอนเท่านั้นที่วสุธาจะได้ผักผ่อนและผ่อนคลายอย่างแท้จริง ปารมีอยากให้วสุธาได้พักจึงเป็นฝ่ายไปปลุกหลานชายขึ้นมาเพื่อดื่มนมแทน .... แต่วันนี้ต่างจากทุกวัน
ไม่ทันที่ปารมีจะได้ก้าวไปถึงห้องนอนของเด็กชาย เสียงร้องไห้จ้าก็ดังขึ้น ไม่ใช่เสียงร้องแบบที่ปารมีได้ยินเมื่อเด็กชายหิว ร่างบางรีบสาวเท้าเข้าไปในห้องด้วยความไม่สบายใจ ทั้งเป็นห่วงหลานแล้วยังกลัวว่าเสียงของเด็กชายจะไม่แค่ปลุกวสุธาที่อยู่ห้องใกล้ๆ เสียงที่แผดดังนั้นอาจจะปลุกคนทั้งบ้านให้ตื่นขึ้นมาเลยก็เป็นได้
“โอ๋ๆ ไม่เอาไมร้องนะครับตาหวาน”
ปารมีอุ้มเด็กชายขึ้นแนบอกแล้วลูบหลังเบาๆเป็นการปลอบใจให้เด็กชายนิ่งเงียบ แต่มันไม่ได้ผล เด็กชายยังคงร้องไห้งอแงไม่เอาทั้งนม ของเล่น ผ้าอ้อมไม่เปียก และปารมีคิดว่าเด็กชายไม่ได้มีไข้ ตาหวานงอแงอย่างที่ไม่เคยเป็น ปารมีเริ่มหน้าเสียเพราะเอาเข้าจริงๆตัวเองก็มีประสบการณ์ในการเลี้ยงเด็กน้อยมาก
“อย่าร้องสิครับ ไม่ร้องนะคนเก่ง”
ยิ่งเห็นตาหวานร้องปารมีก็ยิ่งใจเสีย เด็กชายร้องไห้เสียงดังจนเสียงแทบจะแหบแห้งแต่ก็ยังไม่หยุดแผดเสียง ปารมีทั้งพาเดินทั้งเอานอนเปลเด็กชายก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเงียบ
“อย่าเป็นอย่างงี้สิครับ”
คนอุ้มใกล้จะร้องไห้ตามเด็กชายในอ้อมกอดเต็มแก่
“เกิดอะไรขึ้น”
ในที่สุดที่นึกกลัวก็เป็นจริงมาหนึ่งเรื่อง
วสุธาตื่นขึ้นมาแล้วแถมยังเดินมาถามถึงที่ แต่ตอนนี้ปารมีไม่รู้จะทำยังไงแล้วจริงๆจึงได้แต่ส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปยังร่างสูงหน้าห้อง
ปารมีนั้นกังวลใจเกินกว่าจะสังเกตเห็นว่า ถึงแม้เสียงร้องของตาหวานจะอีกฝ่ายสูงขึ้นมาก็จริง แต่นั่นไม่ได้ทำให้วสุธายุ่งยากใจหรือเกิดความรำคาญสักนิด ใบหน้าคมเข้มนั้นเต็มไปด้วยความเป็นห่วงเด็กชายเสียมากกว่า
“อยู่ดีๆแกก็ร้องครับ ร้องๆไม่หยุดเลย ทำยังไงดีครับ”
เสียงสั่นๆนั้นทำให้วสุธาก้าวเท้ามารับเด็กชายไปอุ้มเอง เด็กชายชะงักเล็กน้อมเมื่อได้รับความอุ่นจากอ้อมกอดอันแข็งแรง แต่ก็เพียงชั่ววินาทีก่อนจะกลับมาร้องไห้อย่างเก่า
“ไหนดูสิคนเก่ง ปวดท้องหรือเปล่าครับ”
วสุธาพูดกับเด็กชายพลางใช่มือข้างหนึ่งกดท้องเด็กชายเบาๆ
“ปกตินิ่”
หันไปบอกคนข้างๆที่นั่งหน้าเสีย
“ตาหวานเป็นอะไรครับ”
เด็กน้อยสามคนมายืนงัวเงียอยู่หน้าห้อง ปฐพีเป็นคนเอ่ยถามทั้งที่ยังตาปรือปรอย
ไม่มีคำตอบจากผู้ใหญ่เด็กจึงเดินเข้ามาหาน้องเอง
“สงสัยฝันร้ายแน่เลย”
ธรณินออกความเห็นซึ่งทั้งปารมีและวสุธาก็แอบเห็นด้วยในใจแต่วสุธาก็ยังอยากแน่ใจว่าเด็กชายไม่ได้มีอะไรผิดปกติจริงๆ
“เอาไงดี ตามเอมาดีไหม”
ปารมีชั่วใจอยู่ชั่วครู่เนื่องจากมันดึกมากแล้ว แต่เมื่อเห็นว่าร่างเล็กนั้นยังไม่หยุดร้องเสียทีก็พยักหน้าตกลง
“พีไปโทรตามอาเอมาหน่อยนะครับ”
วสุธาบอกลูกชายแล้วปฐพีก็เดินเร็วๆออกไปโทรตามคุณหมอเอ ไม่นานก็กลับมาอีกครั้ง
“อาเอเข้าเวรคับ แต่จะรีบกลับมาดูให้”
ปารมีหน้าเสียไป โรงพยาบาลกับบ้านไม่ใช่จะใกล้ หรือจะพาไปโรงพยาบาลดี ในหัวร่างบางตีกันวุ่นเพราะเป็นห่วงเด็กชายตรงหน้าเป็นอย่างมาก
“ใจเย็นๆ บางทีแกอาจจะแค่ฝันร้ายอย่างที่นินพูด”
วสุธาพยายามปลอบใจ แต่เมื่อปารมียังคงนั่งหน้าเสียอยู่เหมือนเก่าร่างสูงจึงรวมเอาร่างคนที่นั่งข้างๆเข้าสู่อ้อมกอด แขนแกร่ง
อีกข้างยังคงอุ้มเด็กชายตัวน้อยไว้อย่างมั่นคง
“ใจเย็นๆ”
ปารมีมองดูเด็กชายที่อยู่ในอ้อมกอดของวสุธาก็ได้แต่จับมือเล็กๆนั้นไว้ รู้สึกเหมือนเสียงร้องไห้จะเบาลงไปเล็กน้อย วสุธาก็ยิ่งกระชับให้ทั้งตัวเองเด็กชายและปารมีใกล้กันมากขึ้น เด็กๆสามคนเห็นดังนั้นก็ทั้งสอดทั้งเบียดตัวเองไปด้วย ธรณินอาศัยที่ตัวเองตัวเล็กพาตัวเองไปนั่งอยู่บนตักปารมีโดยมีพี่ชายสองคนเบียดมาจากคนล่ะข้าง
มือของเด็กชายทั้งสามจับจับมือและลูบหัวน้องเหมือนต้องการปลอบโยน
แล้วไม่นานตาหวานก็นิ่ง เด็กชายไม่ได้หลับไปเพราะเหนื่อยอ่อนจากการร้องไห้ แต่กลับหยุดร้องแล้วใช้ตาแป๋วๆนั้นไล่จ้องเหล่าบุคคลตรงหน้าแทน
ทุกคนถอนหายใจอย่างโล่งอก ตาหวานอาจจะฝันร้ายหรือรู้สึกอะไรสักอย่างขึ้นมาจึงร้อง หากเมื่อได้รับความอบอุ่นจากทุกคนจึงได้หยุด
ปารมีไม่กล้ากลับไปนอนแล้วทิ้งตาหวานเอาไว้คนเดียว วสุธาก็ยังไม่ไว้ใจว่าสถานการณ์จะกลับมาเป็นปกติ เด็กๆทั้งสามคนยืนยันจะนอนเป็นเพื่อนน้องเพราะกลัวน้องฝันร้ายอีก
สุดท้ายทั้งห้าคนก็นอนอยู่ในห้องนั้นโดยวสุธา ปฐพีและปฐวีเป็นคนไปขนผ้าห่มและหมอนเข้ามา
เด็กชายนอนหลับไปอีกครั้ง พร้อมๆกับอีกห้าชีวิตนอนอยู่ใกล้ๆไม่ห่างไปไหน
ธรณินนอนเบียดอยู่ระหว่างวสุธาและปารมี ส่วนสองแฝดนอนอยู่ข้างๆบารมีอีกข้าง
ภาพที่ดูเป็นครอบครัวยามนอนหลับนี้คงไม่มีใครได้เห็น หากทั้งห้าคนจะไม่ลืมว่าได้โทรเรียกคุณหมอเอให้มาดูอาการตาหวาน
“อะไรกันเนี่ย”
คุณหมอเกาหัวงงๆก่อนจะเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม มือบางหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองออกมาถ่ายรูป ‘ครอบครัว’ นั่นเอาไว้
อมฤตที่ตามขึ้นมาหลังจากจอดรถได้แต่ส่ายหน้าเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังทำอะไร
“คุณหมอเล่นอะไรอีกล่ะ”
คนโดนทักหันไปยิ้มให้อีกฝ่ายเต็มใบหน้าก่อนจะโชว์รูปให้อมฤตดูผลงานการถ่ายภาพของตน
“ไปดูตาหวานหน่อยเถอะ เผื่อเป็นอะไร”
คุณหมอยอมเก็บโทรศัพท์ลงแต่โดยดีแล้วเริ่มเข้าไปทำหน้าที่หมออย่างเงียบเชียบ เด็กชายปกติดี คุณหมอเอไม่คิดว่ามีสิ่งผิดปกติตรงไหนจึงตั้งใจจะกลับไปทำงานต่อ แต่ก็ไม่ลืมเขียนผลการตรวจไว้ข้างเตียงเล็ก
“ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง พรุ่งนี้มาดูจะมาดูอีกที”
ฝากข้อความแล้วจึงถอยออกไปอย่างเงียบๆเหมือนตอนเข้ามา
........................
TBC
ตอนที่ 5 มาวันศุกร์ค่า