บทที่ 18
ทำบุญร่วมชาติ ตักบาตรร่วมรัก
เทพท้อกับประชาธิปไตยที่หายไป @LostDemocracy44
ขอบคุณพิธียัญดาวจักรวาลที่ทำให้ผมกู้คืนแอคหลักกลับมาได้ แต่ถ้าจะสวดขอให้ใครอยู่ในตำแหน่งต่อคงยากพอๆ กับการกู้แอสการ์ดที่ล่มสลายให้กลับมารุ่งเรืองนั่นแหละ หึ!
[พระพาย]
ผมยังมีชีวิตรอดหลังขังตัวเองในห้องน้ำหนึ่งชั่วโมงเต็ม วันนั้นมันสาหัสจริงๆ ครับ ใครมันจะไปรู้วะว่าน้องตัวน้อยๆ ขี้เขินขี้อายจะใจกล้ามาจุ๊บผมก่อน จุ๊บเสร็จก็มาหน้าแดงใส่ ใจคนมองอย่างผมแทบศีลขาด ในหัวมโนภาพจับน้องโยนลงบนเตียงแล้ว *ตั๊บ*(เซ็นเซอร์) ก่อนจะ *ตั๊บ*(เซ็นเซอร์) ตามด้วย *ตั๊บ*(เซ็นเซอร์)
ว่าแต่เสียงเซ็นเซอร์มันใช่เสียงนี้หรือเปล่า?
เอาเป็นว่าคืนนั้นผมออกจากห้องน้ำเพราะเฟนไปตามสายฟ้ามาช่วยทุบประตูเรียก แตกตื่นกันไปทั้งชั้น และผมผ่านคืนนั้นไปด้วยการสวดมนต์สงบสติอารมณ์และกำหนดลมหายใจเข้าออก
พอจิตใจสงบถึงเพิ่งนึกได้ว่าวันเสาร์ที่เป็นวันเกิดน้อง คือเสาร์เดียวกับที่พ่อเรียกตัวผมไปกินมื้อเย็นที่บ้าน นั่นหมายความว่าวันเกิดเฟนผมจะไม่ได้อยู่กับเขา แต่ต้องไปนั่งจ้องตาปริบๆ กับคุณพ่อสุดที่รักแทน ถึงจะเป็นแค่มื้อเย็นแต่ผมรู้ดีว่าพี่พริ้งต้องลากคอผมกลับบ้านตั้งแต่เช้าแน่ และผมก็ไม่รู้ว่าพ่อจะคุยเรื่องอะไรมั่ง ถ้าแกบ่นลากยาวอีกกว่าผมจะได้กลับห้องก็นู่น ค่ำมืดกันพอดี
ผมเลยอยากฉลองวันเกิดให้น้องล่วงหน้า โชคดีที่วันศุกร์พวกเราว่างตรงกัน ผมกับเฟนไม่มีเรียนเลยถือโอกาสนี้พาน้องไปทำบุญวันเกิดที่วัดในจังหวัดกาญจนบุรีแบบไปเช้าเย็นกลับ จะได้พาเขาเที่ยวด้วย
แต่ก่อนอื่นต้องไปยืมรถไอ้สายฟ้าก่อน ให้น้องซ้อนเวสป้าไปโดนแดดเลียผิวไหม้ลมพัดหน้าแห้งกันก่อนพอดี ตอนนี้ผมเลยมายืนอยู่ที่ชั้น 7 หน้าห้อง 711 ซึ่งเป็นห้องของสายฟ้าหรือว่าง่ายๆ ก็คือห้องเก่าของผมก่อนผมจะทิ้งมันไปอยู่กับเด็กที่ชั้นห้า
ผมไขกุญแจห้องเข้าไปโดยไม่เคาะประตู สิ่งแรกที่เห็นคือไอ้สายฟ้าที่นุ่งผ้าขาวม้าถือขันใส่แปรงสีฟันยาสีฟันเดินออกมาจากห้องน้ำพอดี มันสะดุ้งตอนเห็นผม
“ไอ้สัส ไม่เคาะประตู!”
“โวยวายอะไรกันวะ...” เสียงงัวเงียดังมาจากเตียง พอหันไปก็เห็นดารัญกำลังลุกนั่งขยี้หัวฟูๆ หยีตามองผม “คนจะหลับจะนอน มารยาทมีมั้ย?”
“ทีมึงไปห้องกูก็ไม่เคาะ” ผมทำเมินคำด่าของดารัญ “เออ ยืมรถหน่อยสิมึง”
“เอาไปทำไร”
“ขับ”
“อ๋อ นึกว่าเอาไปพาย ถุ้ย!” มันโยนหลอดยาสีฟันใส่ผม โชคดีที่ยกมือรับได้ทัน “กูหมายถึงจะขับไปไหน ทำไมไม่เอาพี่สายหยุดมึงไป”
“กูจะพาเฟนไปทำบุญวันเกิด แล้ววัดที่จะไปอยู่กาญฯ ให้น้องซ้อนพี่สายหยุดไปแดดแดกผิวน้องไหม้กันพอดี”
“มึงเนี่ยนะจะเข้าวัด?”
“ทำไมกูจะเข้าวัดไม่ได้”
“วัดไม่ใช่ที่ของมึงว่ะ กูนึกภาพมึงเดินสำรวมเข้าวัดไม่ออก” ดารัญมองเหยียดผมมาจากเตียง สายตาคือทิ่มแทงเหยียดหยามยิ่งกว่าอะไรดี
“แต่จะว่าไปนะพวกมึง” สายฟ้าขัดขึ้นมา “ขนาดทหารยังเข้ามาอยู่ในสภาได้เลย…”
“พ่อแม่มึงยังอยากเห็นมึงรับปริญญาอยู่นะ” ดารัญหัวเราะเหอะๆ
“กูก็ตั้งใจเรียนอยู่นี่ไง”
“ยัง ยังไม่รู้ตัว”
“อะไรของมึงไอ้รัญ กูอุตส่าห์ให้ที่ซุกหัวนอนตั้งคืนหลังมึงมาดูบอลห้องกู มีสิทธิ์มาปรายตามองกูแบบนั้นเรอะ?”
“พอก่อน สรุปจะให้กูยืมมั้ยรถเนี่ย”
“เออๆ ขากลับเติมน้ำมันให้กูด้วย” สายฟ้าเดินไปหยิบกุญแจรถโยนให้ผม “แล้วก็อย่าลืม ห้ามซิ่ง ห้ามแว้น ห้ามชน ห้ามปาด อ้อ แล้วก็ห้ามกินข้าวบนรถ”
“อะไรวะ แค่กินข้าวบนรถก็ไม่ได้”
“กลิ่นมันแขวนลอยข้างใน กูเหม็น! ถ้าลำบากขนาดต้องมานั่งกินในรถก็ไม่ต้องแดก!”
“แล้วจะตะโกนใส่หน้ากูทำไม มึงอินอะไรนักหนา!”
“เปล่า!” มันเถียง “รับปากกูว่าจะไม่กินข้าวในรถ”
“เอออออออ”
“กูขอแบบจริงใจหน่อย”
“ครับผม ทราบครับคุณสายฟ้า กระผมจะปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด” ผมกระแทกเสียงใส่ ก่อนหันไปทางดารัญที่หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเล่นไม่สนใจการโต้เถียงของผมกับสายฟ้า “เออไอ้รัญมึง แล้วเค้กกูล่ะ ทำหรือยัง”
“เค้กอะไรนะ?” มันเงยหน้าขึ้นมา คิ้วขมวดแน่น
“เค้กสามชั้นสกรีนหน้ากูที่กูไปสั่งในทวิตฯ ตอนมึงเปิดรับออเดอร์ไง”
“เดี๋ยวนะ” เพื่อนผมยกมือห้าม “มึงเอาจริง?”
“เอาจริง” ผมพยักหน้ารับ
“สามชั้นเลยน่ะนะ?”
“เออ ทั้งสามชั้น ทั้งสกรีนหน้ากูด้วย” ผมย้ำเผื่อมันตกหล่นรายละเอียด “พรุ่งนี้วันเกิดเฟน กูจะเซอร์ไพรส์เค้กน้องแล้วขอเป็นแฟน”
“น้องจะไม่เป็นแฟนกับมึงเพราะเค้กหน้าเหี้ยนี่แหละ”
“หน้ากูไม่ใช่หน้าเหี้ย” ผมแย้งสายฟ้า
“ก็หน้ามึงอะแหละเหี้ย” มันหัวเราะหึๆ เดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าแต่งตัวหลังนุ่งผ้าขาวม้าผืนเดียวอยู่นาน “งั้นเสาร์นี้เฟนก็อายุครบสิบแปดพอดีน่ะสิ?”
“ใช่มึง สิบแปดปีเต็ม”
“แต่มึง…” ดารัญแทรกขึ้น ผมเห็นมันก้มหน้ามองจอโทรศัพท์ในขณะที่อ่านออกเสียง “มาตรา 283 ทวิ ผู้ใดพาบุคคลอายุเกินสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเพื่อการอนาจาร แม้ผู้นั้นจะยินยอมก็ตาม ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”
“ขีดเส้นใต้ตรง ‘แต่ยังไม่เกินสิบแปดปี’ นะมึง” สายฟ้าสมทบ “เท่ากับว่าถึงน้องสิบแปดมึงก็ยังเสี่ยงคุกอยู่ดี”
“ไม่สิวะ”
“มึงจะแย้งตรงไหน ไม่เคลียร์หรือไง”
“กูน่ะศึกษามาแล้ว” ผมยืดอก “ตาม ป.พ.พ. มาตรา 16 บัญญัติว่าการนับอายุบุคคลให้เริ่มนับแต่วันเกิด เช่น มึงเกิด 1 มค. 25xx มึงจะอายุครบหนึ่งปีในวันที่ 31 ธค ปีเดียวกัน ไม่ใช่ 1 มค ปีถัดไป เพราะฉะนั้นหัวสมองอันชาญฉลาดของกูสรุปได้ว่า เฟนอายุครบสิบแปดตามหลักการนับอายุตามกฏหมายวันนี้เรียบร้อย ไม่ใช่พรุ่งนี้”
“มึงกำลังจะบอกกูว่า…”
“พรุ่งนี้ที่เป็นวันเกิดน้องก็ถือว่าน้องอายุสิบแปดปีหนึ่งวัน”
“ทำไมกูกลัวคำว่าหนึ่งวันของมึง”
“สรุปคือเกินสิบแปดมาหนึ่งวันก็ถือว่าอายุเกินสิบแปดปี” ผมพยักหน้าสรุป “กูจะไม่มีความผิดทางอาญาฐานพรากผู้เยาว์เพราะเฟนอายุเกินสิบแปดแล้ว”
“…”
“ส่วนทางแพ่งถ้าน้องยินยอมกูไม่ถือเป็นการละเมิด”
“คนอย่างมึงนี่มัน…” สายฟ้าอ้าปากพะงาบๆ มันชี้หน้าผม แต่ไม่มีคำด่าอื่นหลุดออกมา ผมยิ้มเย้ย ยักคิ้วกวนตีนมันกลับ
“จะด่ากูเหรอ ทำไม แล้วมันผิดตรงไหน กูไม่เห็นมันผิดตรงไหน”
“ผิดตรงมึงมุ่งมั่นจริงจังกับการค้นคว้าอะไรที่ตัวเองได้กำไรนี่แหละ ทีตอนเรียนกฏหมายธุรกิจปีสองไม่เห็นจะใส่ใจขนาดนี้” สายฟ้าแค่นเสียงเหอะใส่ผม “มึงมันภัยสังคม หนักแผ่นดิน!”
“เท่าไหร่ถึงเรียกว่าหนัก?”
“250”
“กิโล?”
“เหอะ” มันส่ายหน้า “250 เสียง”
“ถุ้ย!” คราวนี้ผมถุยใส่มันบ้าง “เดี๋ยวกูไปล่ะ น้องรอนานแล้ว รัญมึงอย่าลืมเค้กของกู ต้องใช้พรุ่งนี้ ทำเสร็จแล้วฝากแช่ตู้เย็นห้องมึงก่อน กูกลับจากบ้านเดี๋ยวมาเอา ถ้าทำไม่ทันกูจะไปสแปมแอคมึง”
“แอคเค่อกากๆ ของมึงจะทำอะไรแอคเซเลปกูได้”
“กูเอาแอคมึงส่งให้กลุ่มเพื่อนเค่อกูไปดีลได้แล้วกัน” ผมแกล้งแหย่เลยโดนดารัญโยนหมอนอัดหน้า “ไปล่ะ เส้นทางสายบุญรอกูอยู่ พวกมารอย่างมึงก็ขัดขวางไม่ได้”
“ถ้ามึงยังส่งมีมพระลงกรุ๊ปไลน์บ่อยๆ ก็อย่ามาอ้างบุญเลยไอ้คนบาป” ดารัญหัวเราะเหอะๆ ในลำคอ
“เดี๋ยวกูทำพิธียัญดาวจักรวาลดึงพลังศักดิ์สิทธิ์จากเบื้องบนอธิษฐานให้มึงรอดคุกรอดตารางแล้วกัน” สายฟ้าเดินมาตบไหล่ผม
“เฮ้ย ได้ผลเหรอวะวิธีนี้?”
“บางทีอะไรที่ดูปัญญาอ่อนก็เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจได้นะมึง”
“ทำไมกูฟังแล้วเอ๊ะหน่อยๆ”
“ไม่หรอก มึงคิดไปเอง”
“เหรอวะ”
“จ้ะเพื่อน”
“เออ ขอบใจที่หวังดีกับกูนะพวกมึง” ผมโบกมือลาพวกมันก่อนเดินออกจากห้อง คล้ายๆ ได้ยินเสียงสายฟ้าพูดพึมพำตามหลังมาแว่วๆ
“อีโง่”
สงสัยมันด่าดารัญมั้ง…
[เฟน]
พี่พระพายพาผมมาทำบุญก่อนวันเกิดหนึ่งวันที่วัดในจังหวัดกาญจนบุรี เราออกกันมาตั้งแต่แปดโมงเช้า แต่เพราะการจราจรที่ติดขัดในกรุงเทพฯ ทำให้กว่าจะมาถึงแดดก็จ้ากลางหัวแล้ว ผมยกมือป้องแสงอาทิตย์ที่ส่องแยงตา แดดประเทศไทยไม่ปรานีกันบ้างเลย ถ้าตอกไข่ใส่หัวผมคงได้ไข่ดาวหนึ่งใบ
“เฟน”
“หือ?”
“เอาหมวกพี่ไปใส่ครับ” พี่พระพายถอดหมวกแก๊ปตัวเองมาสวมหัวผม มันหลวมจนปีกหมวกตกลงปิดตาผมจนต้องดันขึ้น “หัวเล็กจังเลย”
“ก็หัวพี่ใหญ่”
“ช่าย หัวพี่ใหญ่มากด้วย”
“พี่พระพาย…” ผมหันมองเขา เบะปากเล็กน้อย “เราอยู่ในวัดต้องสำรวมคำพูดคำจานะ”
“เฮ้ย หนูเข้าใจเหรอ?!”
“เปล่า เราเดาเอา” ผมกะพริบตา “เวลาพี่ลากเสียงช่ายแล้วยิ้มกรุ้มกริ่มกับคำพูดไม่ขยายความ มันเป็นเรื่องไม่ดีทุกทีเลย”
“ประทับใจว่ะ หนูรู้ทันพี่”
“พี่สายฟ้ากับพี่รัญเทรนเรามาดี” ผมยักคิ้วอวด
“เดี๋ยวนะ นี่ไปคุยแยกกับพวกมันตอนไหน”
“ก็พี่สายฟ้าเชิญเราเข้ากลุ่มไลน์” ผมกดเปิดหน้าไลน์ยื่นให้พี่พระพาย เขาหรี่ตาก้มหน้าอ่านออกเสียง
“รู้ทันภัยสังคม พพ. เดี๋ยวนะ...นี่มันชื่อกลุ่มอะไรวะเนี่ย?!” พี่พระพายเริ่มโวยวายเป็นหมีกินผึ้ง “หนูกดออกเลย มันจะล้างสมองเรา”
“ไม่เอา” ผมดึงโทรศัพท์กลับมาเก็บเมื่อพี่พระพายทำท่าจะแย่งไป
“หนู”
“อยู่ในวัดจิตใจต้องสงบ” ผมเตือนเขา “ห้ามโมโหจนจมูกบาน ฮึบเลยนะพี่พระพาย”
“แต่…”
“ฮึบ!”
“ฮึบก็ฮึบ”
พี่พระพายส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอ สุดท้ายก็เลิกโมโหจมูกบานสักที เขาพาดแขนโอบไหล่ผมพาเดินเข้าไปในตัวพระอุโบสถ ข้างในนี้ให้ความรู้สึกสงบและอากาศเย็นกว่าภายนอกมาก พระพุทธรูปสีทองสว่างองค์ใหญ่ตั้งอยู่ข้างหน้า ล้อมด้วยเครื่องตกแต่งต่างๆ ที่ผมไม่รู้จักชื่อ รอบด้านคือภาพจิตกรรมฝาผนัง เพดานด้านบนก็เหมือนกัน ผมตาโตกับความสวยงามที่ค่อนข้างแปลกตาจนได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ จากคนข้างตัว
“อ้าปากค้างหมดแล้วหนู”
“พี่อย่าล้อเราสิ” ผมตีแขนเขาไปทีนึง บ่นอุบอิบเสียงเบา “ก็เราไม่ค่อยได้มาที่แบบนี้นี่นา”
“โอเคครับ ไม่ล้อก็ได้ มา ไหว้พระกันก่อน” พี่พระพายดันหลังผมให้เดินไปหน้าพระประธาน เราทั้งสองนั่งลง ตรงหน้าผมเป็นแท่นบทสวดบูชา ผมถอดหมวกออกจากหัว สะดุ้งนิดหน่อยตอนพี่พระพายยื่นมือมาจัดทรงผมให้ พอหันมองเขา เจ้าตัวก็ส่งยิ้มมา “ผมหนูงอเป็นตูดเป็ดเลย”
“ก็หมวกมันทับอะ” ผมลูบๆ หัวตัวเองซ้ำรอยพี่พระพาย “น่าเกลียดมั้ย หายหรือยังพี่?”
“ไม่น่าเกลียดสักหน่อย”
“หือ?”
“น่ารักจะตายอยู่แล้ว”
เขายิ้มหวานให้ผมอีกครั้ง เอื้อมมือบีบจมูกผมเบาๆ แล้วผละออก ผมเม้มริมฝีปาก ก้มหน้าลูบจมูกตัวเองแล้วพึมพำเปลี่ยนเรื่อง
“เราจะสวดมนต์แล้ว”
“ครับๆ สวดมนต์กันเนอะหนู”
ผมไม่ได้ตอบพี่พระพาย แต่หันกลับมาพนมมือสวดมนต์ตามบทสวดบนป้าย มีคนอื่นๆ ที่เข้ามาไหว้พระในนี้ไม่น้อย แต่ผมกลับรู้สึกว่าสถานที่นี้เงียบสงบไม่วุ่นวายทั้งที่คนก็เยอะ พี่พระพายสวดมนต์เสร็จแล้ว เขาก้มลงกราบ ผมเองก็ทำตามเขาติดๆ ก่อนอีกฝ่ายจะหันมา
“ทำบุญวันเกิดมั้ยเฟน”
“เอาสิพี่”
“โอเค พี่เห็นตรงนั้นมีตู้ให้บริจาคถวายปัจจัยค่าน้ำค่าไฟ” เขายิ้ม ลูบหัวผมเบาๆ ไปทีนึง “ไปบริจาคกันเนอะ”
“อื้อ”
“ชาติหน้าจะได้เกิดมาคู่กันอีก” เขาไม่วายหยอด ผมหน้าร้อนขึ้นมาทันที “หน้าแดงเก่งจังเลยตัวก็เท่านี้”
“อย่าแซว!”
“กิ๊วๆ”
“พี่พระพายไม่แซวน้องนะ” ผมกระซิบเสียงดุ
“เฮ้ยขี้โกงว่ะ ใครสอนเนี่ย แทนตัวว่าน้องแบบนี้พี่ก็แย่สิ” พี่พระพายทำท่ามันเขี้ยว แต่ไม่ได้โวยวายเสียงดังเพราะเรายังอยู่ข้างในตัวอุโบสถ
“ไม่คุยกับพี่แล้ว” ผมขยับลุกเดินออกจากตรงนั้น ก้มตัวเล็กน้อยเมื่อผ่านคนอื่นที่ยังนั่งสวดมนต์และบางคนที่นั่งสมาธิอยู่ พี่พระพายตามมาติดๆ เขาพาดแขนกับไหล่ผม โอบเข้าไปชิดตัวเขา “พี่พระพายนี่ในวัด สำรวมหน่อย”
“แล้วพี่ทำอะไรไม่สำรวมฮึเจ้าตัวดี”
“ก็มือพี่อะ”
“โอบนิดเดียวเอง” เขาตีหน้าซื่อแล้วพาผมเดินไปอีกทาง “มาถ่ายรูปกันก่อนๆ จิตกรรมฝาผนังที่นี่สวยมาก พี่อ่านรีวิวแล้วคนมาถ่ายเก็บไว้เป็นที่ระลึกกันเต็มเลย”
“อยากถ่ายรูปกับเราล่ะสิ”
“เดี๋ยวนี้รู้ทันเก่ง สายฟ้ากับรัญมันสอนอะไรเราบ้างเนี่ย?”
“เยอะแยะเลย” ผมอวด
“เยอะแค่ไหน ไหนบอกพี่หน่อย”
“ก็…” ผมชะงัก รีบยกมือปิดปากตัวเอง หรี่ตามองพี่พระพาย เขาอมยิ้มอยู่ตรงหน้า “เนี่ย พี่จะล้วงความลับจากเรา เรารู้ทัน ไม่บอกพี่หรอก”
“หนูก็มองพี่ในแง่ร้ายเกินไป”
“พี่จะบอกว่าไม่อยากล้วงความลับเรา?”
“ไอ้อยากล้วงก็อยากล้วง” เขาว่าในขณะยื่นหน้าเข้าใกล้ ดวงตาพี่พระพายหยีโค้งรับกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “แต่ไม่ได้อยากล้วงความลับนะ อยากล้วงอย่างอื่น”
“...”
“หมายถึงล้วงรู้หัวใจหนู”
“พี่หมายถึงล่วงรู้หัวใจเราหรือเปล่า” ผมแก้คำให้ “ล่วงกับล้วงคนละความหมายนะพี่ ถึงเราอ่อนภาษาไทยแต่คำง่ายๆ แค่นี้เรารู้นะ”
“อ้าวเหรอ…” พี่พระพายกะพริบตา น้ำเสียงและคำพูดต่อมาฟังดูรื่นไหลเป็นธรรมชาติจนผมอดคิดไม่ได้ว่าระแวงพี่เขามากเกินไปหรือเปล่า “บางทีภาษาไทยก็ซับซ้อนเข้าใจยากเนอะเฟน เสียงมันใกล้ๆ กันแบบนี้”
“พี่”
“ครับ?”
“ไม่ว่าในหัวพี่จะคิดอะไรอยู่ก็ตาม เราอยากเตือนพี่อีกครั้งว่านี่มันในวัดนะ” ผมสบตาเขา “มันบาปนะพี่ พี่จะตกนรก”
“งั้นพี่จะคิดดีทำดีแทน”
“ดีแล้วที่พี่คิดได้…”
“เพราะพี่อยากพาหนูขึ้นสวรรค์แทนไงครับ”
ผมนิ่งไปอย่างใช้ความคิด สีหน้าพี่พระพายกะลิ้มกะเหลี่ยมาก คำพูดเขาต้องมีความหมายแฝงแน่ๆ แต่คำว่าพาขึ้นสวรรค์มันก็ไม่ได้ดูชั่วร้ายสักหน่อย คนดีเท่านั้นถึงจะได้ขึ้นสวรรค์ไง เฮ้อ บางทีผมก็ปวดหัวที่ต้องมาคอยพิจารณาคำพูดของพี่พระพายทุกประโยคแบบนี้
“สรุปพี่จะถ่ายรูปมั้ย?” ผมเปลี่ยนเรื่องหนีซะเลย รอบนี้ขอยอมแพ้ไปก่อน
“ถ่ายครับ”
พี่พระพายพยักหน้ารับ น้ำเสียงเขาเจือหัวเราะ ผมถูกโอบไหล่เข้าชิดพี่พระพายมากกว่าเดิมตอนอีกฝ่ายเปิดกล้องหน้าของมือถือเพื่อถ่ายเซลฟี่ ผมยิ้มชูสองนิ้ว ส่วนพี่พระพายเอียงหัวมาชิดหัวผม
แชะ!
“สวยมาก” เขาพูดตอนดูรูป ผมชะโงกหัวเข้าไปดูแล้วพยักหน้าเห็นด้วย
“อื้อ รูปวาดสวยจริงๆ”
“ไม่ พี่หมายถึงหนูน่ะยิ้มสวยมาก” เป็นอีกครั้งที่ผมโดนคนขี้แกล้งหยอดใส่ในระยะประชิดแบบไม่ทันให้ตั้งตัว แก้มผมถูกปลายนิ้วพี่พระพายสะกิดเบาๆ “แก้มแดงอีกแล้วคนเก่ง ฮึบเร็ว”
“เราจะไปทำบุญ”
ผมปัดมือพี่พระพายออกเบาๆ แล้วหมุนตัวเดินหนีไปทางตู้บริจาค ควักแบงค์ร้อยออกจากกระเป๋าสตางค์ได้ก็หลับตาพับแบงค์พนมมืออธิษฐาน ขณะนั้นผมรู้สึกว่ามีคนเดินเข้ามาใกล้ มือหนึ่งวางลงบนไหล่ ผมลืมตาเงยหน้าขึ้นมอง พี่พระพายยืนอยู่ข้างผม เขายักคิ้วให้ทีนึงก่อนควักแบงค์ร้อยขึ้นมาพนมมืออธิษฐานเหมือนผม แป๊บเดียวก็ยื่นแบงค์นั้นมาให้
“พี่ทำบุญกับหนูด้วยนะ”
“อื้ม ได้สิ” ผมรับเงินมาจากเขาแล้วพับรวมกับเงินของตัวเองหยอดลงตู้บริจาคค่าน้ำค่าไฟ อดหันไปหาพี่พระพายอีกครั้งไม่ได้ “พี่อธิษฐานอะไรเหรอ?”
“อยากรู้เหรอ”
“พี่อยากบอกเราหรือเปล่าล่ะ” ผมถาม เผื่อเป็นเรื่องส่วนตัวผมจะได้ไม่ก้าวก่ายเขาไปมากกว่านี้ แต่พี่พระพายก็แค่ยิ้มแล้วพยักหน้า
“บอกได้ เพราะพี่ขอให้หนูนั่นแหละ”
“หือ?”
“พี่ขอให้เฟนมีความสุข เป็นเด็กดี น่ารักสดใสแบบนี้ไปตลอดครับ”
ผมเงียบไป ไม่รู้จะพูดอะไรเพราะในใจมันฟูไปหมด พอตั้งสติได้ สิ่งแรกที่ทำคือหลบตาพี่พระพายแล้วอุบอิบเสียงเบาจนนึกหงุดหงิดตัวเอง
“พี่จะขอให้เราทำไม ขอให้ตัวเองมีความสุขไปสิ”
“ก็ถ้าหนูมีความสุขพี่ก็มีความสุขด้วยไง เนี่ย วิธีขอพรครั้งเดียวได้นกสองตัว พี่ฉลาดล่ะสิ”
“ไม่คุยด้วยแล้ว”
“บอกไม่คุยด้วยๆ สุดท้ายหนูก็ใจดีคุยกับพี่ต่อทุกทีนั่นแหละ”
“งั้นต่อไปไม่ใจดีแล้ว”
“เขาถึงบอกไว้ว่าคนน่ารักมักใจร้าย”
“พี่จะตัดพ้อแล้วหยอดเราในประโยคเดียวแบบนี้ไม่ได้นะ” ผมอยากจะทุบคนแพรวพราวสักตุ้บสองตุ้บ ติดที่โดนโอบไหล่ไปชิดตัวพี่เขาซะก่อนจนง้างมือไม่ทัน “พี่ชอบแกล้งเราจังเลยเนี่ย”
“ผู้ชายแกล้งแปลว่าผู้ชายชอบครับ”
“เราอยากไปเดินดูรอบๆ วัดแล้ว” ผมพูดไปอีกเรื่อง ส่วนพี่พระพายก็ใจดียอมให้ผมเปลี่ยนเรื่องอีกครั้ง ต่อไปผมจะจำไว้ว่าถ้าเขินพี่พระพายให้ชวนเขาเปลี่ยนเรื่องซะ ถึงอีกฝ่ายจะรู้ดีก็เถอะว่าผมเขินน่ะ
“โอเคครับ ไปเดินดูรอบๆ กัน”
พี่พระพายจับมือผมเอาไว้ ผมอดสงสัยไม่ได้ อากาศร้อนจะตาย จับมือกันแบบนี้ถ้าเหงื่อออกเต็มมือไม่รู้สึกอึดอัดบ้างหรือไง แต่ผมก็สงสัยตัวเองเหมือนกันที่ไม่ดึงมือออกแถมยังจับมือพี่พระพายตอบ
บางทีกับเรื่องง่ายๆ ไม่ซับซ้อนเราก็หาคำอธิบายไม่ได้เหมือนกันแฮะ…
V
V
V